PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เครือข่ายเอ็นจีโอ ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่ร่วมงานเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับคสช.

เครือข่ายเอ็นจีโอ ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่ร่วมงานเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับคสช.
ในแถลงการณ์ ระบุว่า การบริหารประเทศกว่า 3 ปี ของรัฐบาล คสช. ผลงานประจักษ์ทั้งในทางนโยบายและกฎหมายว่าจะนำประเทศไปสู่ความทุกข์ยากทั้งในปัจจุบันและอนาคต
เนื่องจากเป็นการบริหารประเทศที่เอื้ออำนวยต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ลดทอนสิทธิชุมชน เพิกเฉยการมีส่วนร่วมและหลักประกันสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชน
นอกจากนี้ เครือข่ายเอ็นจีโอ เห็นว่า การเข้าร่วมงานอื่นใดกับรัฐบาลทหารของภาคประชาชน เป็นการกระทำที่ยินยอมและเพิกเฉยต่อสิทธิชุมชนและจะทำให้ประเทศไปสู่ความทุกข์ยากในอนาคตอันใกล้
ด้วยเหตุนี้เครือข่ายเอ็นจีโอ จึงแสดงจุดยืนต่อการไม่ร่วมกับกลไกใดๆ ของรัฐบาลทหารที่จะนำไปสู่กับดักและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล
อ่าน แถลงการณ์ทั้งหมด https://ilaw.or.th/node/4680

ป.ป.ช.เชือด 'สมบัติ อุทัยสาง' รวยผิดปกติ แจงที่มาทรัพย์ 91 ล้าน ไม่ได้

ป.ป.ช.เชือด 'สมบัติ อุทัยสาง' รวยผิดปกติ แจงที่มาทรัพย์ 91 ล้าน ไม่ได้

ป.ป.ช.มีมติชี้มูล "สมบัติ อุทัยสาง" ครั้งนั่งเก้าอี้ "รมช.มท.-ที่ปรึกษา รมว.ไอซีที" ร่ำรวยผิดปกติ เหตุชี้แจงที่มาทรัพย์สิน 91 ล้าน ไม่ได้ พร้อมส่ง อสส.ฟ้องยึดทรัพย์พร้อมดอกเบี้ยกว่า 108 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 20 พ.ย.60 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า นายสมบัติ อุทัยสาง อดีต รมช.มหาดไทย และอดีตที่ปรึกษา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศ มีทรัพย์สินที่ไม่สามารถพิสูจน์การได้มาโดยชอบ รวมมูลค่า 108,574,356.23 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ตามมาตรา 80 (1) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมีมติให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาพิพากษาคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

นายวรวิทย์ กล่าวต่อว่า จากการที่คณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ได้ทำการไต่สวนข้อเท็จจริงนั้น ฟังได้ว่าเงินฝากที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สาขาคอนแวนต์ และสาขาพุทธมณฑล ในนามของ นางสุจิวรรณ อุทัยสาง คู่สมรสและบุตร 3 คน ที่นายสมบัติไม่ได้แสดงไว้ในการยื่นบัญชีกรณีต่างๆ มียอดเงินฝากคงเหลือ ณ วันที่ 4 พ.ย.2547 จำนวน 106,291,109 บาท โดยในจำนวนดังกล่าวนายสมบัติสามารถพิสูจน์การได้มาของเงินฝากธนาคารดังกล่าวว่า ได้มาโดยชอบตามวิถีทางปกติ จำนวน 15,000,000 บาท ดังนั้นเมื่อนำจำนวนเงินที่ไม่สามารถพิสูจน์การได้มาโดยชอบ จำนวน 91,291,109 บาท รวมกับดอกเบี้ยเงินฝากที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นดอกผลทางนิตินัยของเงินฝากดังกล่าวอีกจำนวน 17,283,247 บาท มารวมคำนวณแล้วเห็นว่านายสมบัติมีทรัพย์สินที่ไม่สามารถพิสูจน์การได้มาโดยชอบ รวมมูลค่า 108,574,356.23 บาท

นายกสวนสนามทางเรือ

Fleet Review

"นายกฯบิ๊กตู่" ฝ่าฝนพรำ ร่วม5,600 ทหารเรือ สวนสนามทางเรืออ่าวพัทยา "บิ๊กป้อม-บิ๊กโด่ง" ปลัดกห.ผบ.สส.ผบ.เหล่าทัพ ผบ.ตร. มากันครบ/ บิ๊กป้อม ขึ้นเรือหลวงถลาง มีเซ ทหารประคอง / นายกฯ ยิ้มแย้ม สวมหมวกเรือ โบกมือ

ที่อ่าวพัทยา จ.ชลบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เป็นประธานพิธีตรวจพลสวนสนามทางเรือนานาชาติ ในงานมหกรรมทางเรือนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียน  และวันกองทัพเรือ111ปี

โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม  ที่ยังคงเดิน และมีทหารเรือ ประคอง ตอนเดินขึ้นเรือหลวงถลาง

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาร ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เบตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.

พร้อมด้วยผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศต่างๆ ทหารระดับสูงจากทุกเหล่าทัพและสมาคมภริยาเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพียง 

โดยมี พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้การต้อนรับ  พลเรือเอกลือชัย รุดดิษฐ์ รองผบ.ทร. ประธานการจัดงานฯ มอบ หมวก และพล.ร.อ.รังสฤษฏ์ สัตยานุกูล ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ 
กล่าวรายงานบนเรือหลวงถลาง
 
พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงเรือหลวงถลางเป็นประธานตรวจพลการสวนสนามทางเรือในครั้งนี้ ซึ่งมีเรือรบนานาชาติที่เข้าร่วมจำนวน 25 ลำ จาก 18 ประเทศรวมกับเรือรบไทยรวมทั้งหมด 40 ลำ และยังมีผบ.ทร.และผู้แทนระดับสูงของกองทัพเรืออาเซียนและกองทัพเรือนานาชาติกว่า 39 ประเทศ รวมกว่า5,600 นาย เข้าร่วมงาน 

โดยนายกรัฐมนตรีได้ขึ้นแท่นรับความเคารพบนดาดฟ้าเรือ ซึ่งมีเรือหลวงปิ่นเกล้ายิงสลุตจำนวน 19 นัด และเครื่องบินขับไล่แบบF-16  , Gripenบินผ่าน

จากนั้นเครื่องบินตรวจการชายฝั่งรุ่นที337 ได้ปล่อยควันสีธงชาติไทย และเฮลิคอปเตอร์แบบBell 212 พร้อมธงสัญลักษณ์มหกรรมทางเรือนานาชาติและและธงราชนาวีผ่านบริเวณพิธี 

นอกจากนี้ยังมีหมู่ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง EC645 อีก 3 ลำ บินผ่าน 

ทั้งนี้ระหว่างที่เรือประธาน เคลื่อนผ่านเรือหลวงจักรีนฤเบศร เครื่องบินขับไล่แบบF-16 เครื่องบินขับไล่แบบGripen  และเครื่องบินตรวจการณ์แบบSAAB 340 บินผ่าน ต่อด้วยหมู่บินเครื่องบินขับไล่เเบบF -27

ในระหว่างเรือหลวงถลางเคลื่อนที่เข้าสู่แถวเรือรบนานาชาติที่จอดทอดสมอเป็นสองแถวตามเส้นทางทางกาบซ้าย จนจบที่เรือหลวงมกุฎราชกุมารเป็นเรือลำสุดท้าย




เราไม่อาจคาดหวังอะไรจากการปรับ ครม.ได้

"เราไม่อาจคาดหวังอะไรจากการปรับ ครม.ได้ เพราะปัญหาอยู่ที่ความไม่เป็นประชาธิปไตย และอยู่ที่ตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ด้วยเหตุผล 5 ข้อ คือ...".
1.บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับ และเกิดข้อจำกัดในการลงทุนและการค้าขายกับต่างชาติ
2.มีการใช้ตามมาตรา 44 ตามอำเภอใจอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้รัฐมนตรีทั้งหลาย ต้องคอยทายใจนายกฯ จนไม่กล้าคิดบริหาร
3.การขาดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาประเทศของนายกฯ มีแต่ยุทธศาสตร์ในการอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด กับบุคลิกการพูดแบบเรื่อยเปื่อย โดยไม่มีหลักมีเกณฑ์
4.นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช.ต้องคอยตอบแทนผู้ที่ร่วมกันยึดอำนาจและรักษาอำนาจไว้ จนไม่มีที่สำหรับคนใหม่ๆ ใน ครม.และ
5.คนนอกที่มีความรู้ความสามารถไม่อยากเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาล และกับนายกฯ ที่อยู่ในสภาพเช่นนี้.

ยังไม่เข้าที่ !!

ยังไม่เข้าที่ !!
"บิ๊กป้อม"พลเอกประวิตร เดินชึ้นเรือหลวงถลาง ด้วยตนเอง แต่มีเซ และให้ทหารเรือประคอง แขน ตอน ก้าวจากบันได ขึ้นเรือ....แถม มีคลื่น
พลเอกประวิตร หายไป4 วัน ท่ามกลางข่าวไปดูแลสุขภาพ และมีรอยช้ำที่หลังมือซ้าน คล้ายรอยเข็มน้ำเกลือ ...จนคาดกันว่าไปตรวจร่างกาย หลังผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ เมื่อ พค.ที่ผ่านมา. และปรากฏตัว เมื่อวานนี้ วันแรก งาน เปิดประชุม ผบทร.อาเซี่ยน ที่รร.ดุสิตธานี พัทยา และวันนี้ มาร่วมชมสวนสนามทางเรือ ในอ่าวพัทยา

ยังสบายดี !

ยังสบายดี !
"บิ๊กป้อม" พลเอกประวิตร นั่งรถตู้ ป้ายแดง คันเดิม มาร่วมชม สวนสนามทางเรือ ที่ ท่าเรือ แหลมบาลีฮาย พัทยา...พร้อมรอยช้ำที่หลังมือซ้าย... บิ๊กโด่ง รมช.กลาโหม ปลัดกห.ผบ.สูงสุด ผบ.เหล่าทัพ ต้อนรับ
เมื่อวาน บิ๊กป้อม เสร็จเปิดประชุม ผบ.ทร.อาเซี่ยน ที่พัทยาแล้ว ก็กลับกทม. เลยเช้ามาใหม่

"บิ๊กช้าง"มา แล้ว "บิ๊กโด่ง" ล่ะ!!...

"บิ๊กช้าง"มา แล้ว "บิ๊กโด่ง" ล่ะ!!....
"บิ๊กโด่ง"ยัง น้่ง ไม่สะเทือนข่าว ปรับครม.
บิ๊กช้าง พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล อดีตปลัดกลาโหม ทหารม้า รุ่นน้อง ตท.16 เพื่อนผบ.เหล่าทัพ คัมแบ็ค เตรียมร่วม ครม."ประยุทธ์5" หลังลาออก จาก สนช....
งานนี้ บิ๊กโด่ง พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ทหารเสือฯรุ่นพี่ตท.14งดแสดงความเห็นถึงการวิเคราะห์ ว่า จะไปเป็นรมว.แรงงาน หรือว่า จะมาเป็น รมช.กลาโหม แทน แล้ว ตนเอง ต้องไปเป็น รมว.แรงงานหรือไม่.....
แต่ยืนยันว่า นายกฯยังไม่ได้คุยอะไรด้วย ส่วนตัว ยังรู้สึกว่า ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ก็ขึ้นอยู่กับนายกฯ เพราะตนเอง ไม่อาจจะเลือกได้
แต่ทว่า ก็ยอมรับว่า กำลังทำงาน ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาภาคใต้. อย่างต่อเนื่อง
"แล้วแต่ สื่อจะวิเคราะห์กันไปว่า ใครจะไปอยู่ตรงไหน ตามแต่ข้อมูลของสื่อ เพราะผมก็ไม่ทราบ อนาคตตัวเอง แต่ตอนนี้ ก็ทำหน้าที่ ทำงานที่ได้รับมอบหมาย อย่างเต็มที่" บิ๊กโด่ง ระบุ
ท่ามกลาง การจับตามองของทหารในกลาโหม ว่า พลเอกชัยชาญ จะมาเป็นรมช.กลาโหม หรือไม่ เพราะ ทำงานเข้าตา พลเอกประวิตร ตลอด3 ปีที่ผ่านมา เพราะเคยมีกระแสนี้ ตั้งแต่ ก่อน พลเอกชัยชาญ เกษียณราชการ เมื่อ30กย.ที่ผ่านมา
แต่ทว่า บิ๊กโด่ง ก็กำลังทำงานอย่างต่อเนื่อง
แต่ ทว่ารมว.แรงงาน เป็นกระทรวงสายความมั่นคง ที่ พลเอกประวิตร ดูแล อีกทั้งที่ผ่านมา ตำแหน่ง รมว.แรงงาน นี้ รมว.ก็มาจากอดีตปลัดกลาโหม หลายคน ตั้งแต่บิ๊กเต่า พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์. บิ๊กบี้ พลเอกศิริชัย ดิษฐกุล

รอผลลัพธ์

รอผลลัพธ์


โหมโรงกันมานานกว่า 2 สัปดาห์ หลัง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ไขก๊อกลาออกจากตำแหน่ง รมว.แรงงาน

“นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศกลางที่ประชุม ครม.เมื่อ 7 พ.ย.ขอใช้อำนาจผู้นำปรับ ครม. พร้อมปลอบใจรัฐมนตรี ที่ต้องหลุดจากเก้าอี้ว่า ไม่มีใครบกพร่องหรือทำอะไรผิด อย่าได้โกรธหรือน้อยใจ

เป็นการส่งสัญญาณให้เข้าใจว่า งานนี้ต้องเป็นการปรับเร็ว และปรับใหญ่ ไม่ใช่ปรับแค่จุ๋มจิ๋ม

แต่ปรากฏไม่เป็นไปตามคาด เพราะการปรับ ครม.ครั้งนี้ ต้องทอดเวลาออกไป สาเหตุหนึ่งเพราะ นายกฯประยุทธ์ มีภารกิจไปร่วมประชุมผู้นำเอเปกที่เวียดนามและอาเซียนซัมมิต ที่ฟิลิปปินส์ ต่อเนื่องกันหลายวัน

ส่วนอีกสาเหตุ มาจากข้อจำกัดในการเฟ้นหาคนที่ตรงสเปกเข้ามาเป็นรัฐมนตรี

ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะบางครั้งคนที่อยากได้ เขาก็ไม่อยากมา เป็นเรื่องที่บังคับใจกันยาก

แต่ที่เป็นโจทย์หินจริงๆของ “นายกฯ ลุงตู่” ก็คือต้องเคลียร์ใจกับเพื่อนพ้องน้องพี่ทหารที่นั่งเป็นรัฐมนตรี จะขยับใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายนะคุณโยม!!!

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้การปรับ ครม.ต้องใช้เวลาทอดยาวมาเรื่อย และเมื่อยังไม่ชัดเจนก็ยิ่งสร้างแรงกระเพื่อม

เห็นได้ชัดจากโผปรับ ครม.ที่ปลิวว่อนผ่านทางหน้าสื่อ ทั้งกระแสปรับ

เก้าอี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ เหลือเก้าอี้รองนายกฯเก้าอี้เดียว และ นายกฯลุงตู่ จะนั่งควบ รมว.กลาโหมแทน

หรือข่าวว่าเก้าอี้ของพี่รอง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ไม่มั่นคงเหมือนเก่า

รวมถึงข่าวลือจะตั้ง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มาเป็นรัฐมนตรี เปิดทางให้รอง ผบ.ตร.บางนาย ขยับขึ้นเป็น ผบ.ตร.แทน เล่นเอายุทธจักรตำรวจปั่นป่วนฝุ่นตลบไปหมด

สุดท้าย “นายกฯลุงตู่” ต้องออกมาดับกระแส ยืนยัน “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” ยังอยู่ใน ครม.ชุดใหม่ และตัวเองไม่นั่งควบ รมว.กลาโหม

ส่วน “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่โดนกระแสวิจารณ์ถล่มหนักเรื่องผลงานตกเป็นเป้าที่ต้องโดนปรับ “นายกฯลุงตู่” ก็การันตีให้เพื่อนรัก “ยังอยู่ แต่ไม่รู้อยู่ตรงไหน”

พร้อมกันนี้ นายกฯประยุทธ์ ยังสยบความเคลื่อนไหวเรื่องการปรับ ครม.ว่าจัดโผเสร็จแล้ว แต่ไม่วายออกตัวแบบเผื่อเหลือเผื่อขาด การดำเนินการตามขั้นตอนจะเสร็จภายในเดือน ธ.ค.นี้

สรุป โฉมหน้า ครม. “ประยุทธ์ 5” จะถูกอกถูกใจชาวบ้านหรือไม่ ต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการ ส่วนจะรอสั้น หรือรอยาวขนาดไหน ยังคาดเดาไม่ได้ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

แต่ที่แน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง ทั้งพี่เลิฟและเพื่อนรัก “นายกฯลุงตู่” ยังอยู่ร่วมในเรือแป๊ะโต้คลื่นกันต่อไป!!!

อย่างไรก็ตาม “พ่อลูกอิน” เชื่อว่า นายกฯประยุทธ์ มีความตั้งใจที่จะปรับครม.คราวนี้ เพื่อขับเคลื่อนการทำงานก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

โดยเฉพาะการแก้ไขความเดือดร้อนเรื่องปากท้องของชาวบ้าน ที่เป็นผลมาจากปัญหาพืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพงฉุดไม่อยู่ จนกลายเป็นแรงกระแทกเข้าใส่รัฐบาลทหาร!!!

ถ้าขืนปล่อยให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไป เรตติ้ง รัฐบาล คสช. และตัวนายกฯลุงตู่ เอง ก็คงตกทะรูดทะราด จนกระทบต่อยุทธศาสตร์ที่จะครองอำนาจต่อไปหลังการเลือกตั้ง

ฉะนั้นเมื่อ “นายกฯลุงตู่” ใช้อำนาจจัดโผ ครม.ด้วยตัวเอง ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลลัพธ์ที่จะออกมาแบบเต็มๆ

ถ้ารำไม่ดี อย่าโทษปี่โทษกลองนะโยม!!!
“พ่อลูกอิน”

"ซื่อสัตย์-ทำเพื่อราษฎร" : รัฐบาลในฝันใต้ปีกอำนาจพิเศษ

"ซื่อสัตย์-ทำเพื่อราษฎร" : รัฐบาลในฝันใต้ปีกอำนาจพิเศษ


เชี่ยวชาญด้านการกระจายอำนาจ

วิพากษ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา

เดินหน้าผลักดันอำนาจอธิปไตยให้เป็นของประชาชน

นั่นคือบทบาทของนักวิชาการอิสระ นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้สะท้อนมุมคิดถึงอนาคตของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ท่ามกลางสถานการณ์การปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5”

โดยขอย้อนกลับไปถึงต้นเหตุของการยึดอำนาจ ซึ่งเกิดจากไม่ชอบนักการเมือง เมื่อยึดอำนาจก็เดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เสียของ เพื่อประโยชน์ของกลุ่มตนหรือเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

ขอตั้งข้อสังเกตว่าการยึดอำนาจมองประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ

โฉมหน้า ครม.ประยุทธ์ 1 จึงเต็มไปด้วยทหารเกือบทุกกระทรวง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการบริหารประเทศต้องเป็นไปตามความเชื่อของ คสช.

ผ่านไปประมาณ 3 ปี บริหารบ้านเมืองไม่ได้ ทำไม่เป็น ก็วิเคราะห์ข้อมูลเข้าข้างตัวเอง ทั้งจากผลสำรวจโพลที่ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ หรือข้อมูลที่รายงานเข้ามาจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กระจายกำลังลงไปทุกหมู่บ้าน ผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) ทั่วประเทศ

คสช.เชื่อว่าทุกอย่างเป็นบวก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ

แต่ในเนื้อแท้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อแสดงโดยเส้นกราฟตามหลักเศรษฐศาสตร์พบว่า ไม่ได้เงยหัวขึ้นและหัวทิ่มลงเป็นบางครั้งบางคราว บรรดานักวิชาการต่างวิพากษ์วิจารณ์เละเทะยิ่งกว่านี้การบริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว เพราะไม่มีการตรวจสอบ ความจริงระบบการตรวจสอบสำคัญมาก ทั้งภาคประชาชน นักวิชาการ สื่อมวลชน แต่ปรากฏว่าไม่มีเลยและยังมีความพยายามปิดปากนักวิชาการ ไม่ให้ตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล เขาจึงคุยว่ารัฐบาลนี้บริสุทธิ์

ถ้ารัฐบาลแน่จริงจะต้องให้ตรวจสอบ ถึงจะได้รู้ว่าเป็นคนดีจริงหรือไม่

อีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่ยอมรับมาตลอดคือความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งทำให้ประเทศไทยทรุด ทุกอย่างหยุดหมด ผมและนักเศรษฐศาสตร์นั่งวิเคราะห์ในภาพรวมพบว่า คำว่าความเป็น ประชาธิปไตยมีความสำคัญ เมื่อมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลับยังคงมาตรา 44 แม้มีศัตรูทางการเมืองมีอาวุธ ก็ยังไม่ต้องใช้เลย แล้วติดอะไรถึงไม่ยกเลิก

มาถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าประชาธิปไตยจะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้ามาแล้วอยู่ภายใต้กติกาที่ตั้งให้พวกคุณขึ้นมามีอำนาจ จะเป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ และจะได้อะไรเมื่อเอาพวกตัวเองที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาบริหารในหมู่ทหารด้วยกันเองก็เบื่อ ลองไปสัมภาษณ์ระดับ พล.อ.รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์

ถ้าพูดความจริงจะทราบข้อเท็จจริง รับรองฟ้าผ่าแน่

ถึงบอกว่าผมไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ โดยเฉพาะการคืนความเป็นประชาธิปไตย ตัวนี้สำคัญมากในการแก้ไขปัญหาของประเทศ

รวมถึงการปลดล็อกพรรคการเมือง หากไม่รีบปลดล็อกจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองง่อนแง่น แต่ คสช.ไม่กล้าปลดล็อก เพราะขณะนี้ประเทศไทยเป็นคลื่นใต้น้ำทั้งหมดและกลัวถูกนักการเมืองตรวจสอบจะมีแผลตามมาอีก

ทั้งที่เดดไลน์พรรคการเมืองที่ต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง บางเรื่องจะครบตามกำหนดในวันที่ 5 ม.ค.61 เดดไลน์ล็อกที่สองเกี่ยวกับสมาชิกพรรคประจำเขตต้องเสร็จภายใน 5 เม.ย.61 ถึงกำหนดการเลือกตั้งใหญ่ในช่วงเดือน ส.ค.61

ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 กำหนดกรอบให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับให้แล้วเสร็จ ในจำนวนนั้นมีกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4 ฉบับ จะทำผิดจากมาตรานี้ไม่ได้

แต่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. และเป็นกูรูด้านกฎหมายของ คสช.ระบุว่าสามารถแก้ไขกฎหมายดังกล่าวได้ เป็นถึงประธาน กรธ.ได้อย่างไรไม่ดูรัฐธรรมนูญ

ขณะนี้จริงๆแล้ว คสช.เตรียมการเป็นรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งผู้มีอำนาจแท้จริงใน คสช.คือผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีการวางตัว ผบ.ทบ.ไว้ถึงปี 65

ตัว ผบ.ทบ.มีเอกภาพ แต่เสถียรภาพในกองทัพมีหรือไม่จากการแต่งตั้งโยกย้าย

การเมืองมันไม่แน่ อย่านึกว่า พล.อ.ประยุทธ์จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

แม้ คสช.มีพลังมากในการผลักดันนายกรัฐมนตรีคนนอก แต่พรรคการเมืองที่ตกปากรับคำกันไว้หลวมๆรวนเร เพราะไม่แน่ใจผลสำรวจคะแนนนิยมจริงเป็นอย่างไร

ผลโพลที่ออกมาคู่ต่อสู้ของ คสช.มีคะแนนนิยมเยอะกว่า ถ้าร่วมกันตั้งรัฐบาล นายกฯ คสช.คนแรกถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็รวนเร เพราะพรรคการเมืองที่ร่วมกับ คสช.ไม่รู้มีพลังจริงหรือไม่

ฉะนั้นขอยุให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นพร้อมกันทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งใหญ่ จะได้รู้ว่าฐานการเมืองของคุณแท้จริงแล้วยังอยู่หรือไม่ รู้เลยว่าใครมีของ รู้แน่ 90 เปอร์เซ็นต์ และยังรู้ด้วยว่ารายงานผลสำรวจคะแนนนิยมมันโกหกหรือเป็นจริง

การเลือกตั้งท้องถิ่นมันวัดได้ว่าใครมีของ เพื่อจะทาบทามเข้าร่วมพรรคทหาร

แต่การตั้งพรรคใหม่จะได้รับเลือกตั้งกี่คน คุ้มกับเงินที่ลงไปหรือไม่ กุนซือทางการเมืองของ คสช.ยังไม่เก่งพอ ตีประเด็นไม่ออก

เชื่อว่าถ้าคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ถึงวันนั้นโกลาหลแน่

เพราะจะเจอเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมือง โดนต่อรองจนเดินไม่ถูก

ที่ผ่านมารัฐบาลแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามคอร์รัปชัน การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจที่ไม่โปร่งใส แม้แต่ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา

ขณะเดียวกัน ภาษีทรัพย์สินที่จะทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนกลับเลิก ทั้งที่จะเก็บรายได้เข้ารัฐ 3-4 แสนล้านบาท หรือการแก้ปัญหาบุกรุกที่ดินของรัฐก็ไม่ประสบความสำเร็จ

ทำได้แค่แตะปัญหา ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะติดที่ระบบพรรคพวก ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ แต่ยังยืนยันว่าแก้ปัญหาต่างๆของประเทศได้สำเร็จ ถ้าทำสำเร็จจริง คสช.ไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะลงอย่างไร

และพลังที่อยู่เบื้องหลังไม่รู้จะสนับสนุนหรือไม่ ฟางเส้นสุดท้ายเมื่อพวกเดียวกันลาออกจากตำแหน่ง (พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ลาออกจาก รมว.แรงงาน) กลายเป็นปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แต่ละคนที่มีรายชื่อเข้าเป็นรัฐมนตรีล้วนมือไม่ถึง ทำไมดูถูกสังคมอย่างนี้

หลังปรับ ครม.ก็เหลือเวลาบริหารประเทศตามโรดแม็ปแค่ 1 ปี ขอเสนอว่าจะต้องปล่อยอำนาจให้คนดีๆที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีจัดการได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ ไม่พะวงระบบพรรคพวก เพื่อให้แผนงานโครงการ ต่างๆและการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง บรรลุเป้าหมายที่วางเอาไว้

การปรับ ครม.เมื่อล้างทหารไป อย่างน้อยสามารถทำให้เห็นว่าระบบทหารเซเยสอย่างเดียว ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะแก้ปัญหาของประเทศ เพราะปัญหาของบ้านเมืองเยอะจริง แต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงในการแก้ไข ถ้าไม่แก้ไข ประเทศก็เจ๊งหมด

ทีมข่าวการเมือง ถามว่า อยากเห็นรัฐบาล คสช.เดินหน้าประเทศจนถึงวันเลือกตั้งอย่างไร หลังการปรับ ครม. นายอัษฎางค์ บอกว่า ที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ เพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

และ พล.อ.ประยุทธ์ไม่รู้จักคำว่า ความ “ไม่เป็นธรรม” ในสังคมไทย ถ้าแก้ปัญหานี้ได้จะสามารถแก้ปัญหาอื่นๆตามมาอีก 5-6 ปัญหา ความไม่เป็นธรรมในสังคมทำได้ภายใน 6 เดือน อย่าบอกว่าทำไม่ทัน
และคุณรู้จักคำว่า “ยุติธรรม” หรือไม่ ถ้าไม่รู้อย่าเป็นต่อ เพราะบ้านเมืองยังมีคนเก่งซึ่งมีตัวเลือกอีกเยอะ
ฉะนั้นก่อนการเลือกตั้งตามโรดแม็ป รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นอย่างจริงใจว่า...

...“ซื่อสัตย์–เสียสละ–ทำเพื่อราษฎร”

ถ้าไม่ทำตามข้อเสนอถือว่า “เสียของ”.
ทีมการเมือง

เคาะสนิม ต่อเวลาอำนาจ : เงื่อนสถานการณ์รุกฆาต“ประยุทธ์”ปรับ ครม.

เคาะสนิม ต่อเวลาอำนาจ : เงื่อนสถานการณ์รุกฆาต“ประยุทธ์”ปรับ ครม.


ปฏิทินเลยครึ่งเดือนพฤศจิกายนมาแล้ว ใกล้เข้าสู่ห้วงปลายปี

วันเวลาเดินไปไว ขณะที่เงื่อนสถานการณ์ตามกำหนดโรดแม็ปของรัฐบาล คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ก็หดสั้นลงทุกที

นับตามเทอมเทียบกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง 4 ปี ถึงตรงนี้ก็เข้าสู่ปีสุดท้าย

ภายใต้บรรยากาศสถานการณ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ในห้วงที่จับอาการได้ว่า รัฐบาลของ “นายกฯลุงตู่” ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานที่ยกระดับขึ้นทุกขณะ

แรงกดดันจากทุกทิศทุกทาง ตามฟอร์มธรรมชาติ ของการเมืองไทยในช่วงท้ายเทอมรัฐบาล หนีไม่พ้นกระแสสังคมที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง

นั่นก็ทำให้อั้นไม่ไหว ต้องเจาะช่องระบายแรงดัน

ตามสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ส่งสัญญาณปรับ ครม.อย่างเป็นทางการ โดยได้ขออำนาจจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ขอสิทธิในการตัดสินใจ บอกรัฐมนตรีอย่าได้โกรธเคืองกัน

เพราะจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคต

และโดยปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความยากลำบากในการตัดสินใจ นับจากจุดเริ่มต้นที่ “บิ๊กตู่” แจ้งต่อที่ประชุม ครม.ขออำนาจปรับ ครม.ก็ทอดเวลามาอีกนานนับสัปดาห์

ท่ามกลางกระแสข่าว โผปลิวว่อนรายวัน อาการลุ้นระทึกของรัฐมนตรีที่ไม่มีใครรู้ชะตา

ทุกอย่างถูกอุบไต๋เงียบเป็นความลับ พอดีกับช่วงจังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์มีโปรแกรมเดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศหลายวัน และเมื่อกลับจากปฏิบัติภารกิจที่ประเทศฟิลิปปินส์ก็ “ซุ่มเงียบ” ระหว่างบ้านกับห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

โดยยกเลิกหมายงานต่างๆ มอบให้รัฐมนตรีไปแทน

แน่นอน ตามรูปการณ์ที่ล้อไปกับบรรยากาศตึงเครียด “นายกฯลุงตู่” น่าจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการจัดวางตำแหน่งรัฐมนตรี ถอดคนเก่า สลับคนใหม่

ปรับเปลี่ยนในโซนที่เป็น “จุดบอด” เชิงบริหาร

ต้องกลบ “บ่อน้ำมัน” ของรัฐบาล คสช.

เพราะถ้าประเมินจากสื่อกระแสหลักที่เกาะติดสถานการณ์ปรับ ครม. จะเห็นได้เลยว่า รัฐมนตรีที่ตกเป็นเป้าโฟกัสหลัก ก็อยู่ที่ 2–3 ชื่อ ถูกยกให้เป็น “ดีหนึ่งประเภทหนึ่ง”

ไล่ตั้งแต่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตร และสหกรณ์ เพื่อนรัก ตท.12 ของ “บิ๊กตู่” ที่ดูจะมาแรง ติดโผโดนปรับออกจากตำแหน่ง ตามเสียงวิจารณ์เรื่องฝีมือในการแก้ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ การเดินหน้าแผนบริหารจัดการน้ำที่อืดล่าช้า จนน้ำท่วมภาคเหนือ กลาง อีสาน อ่วมอีกรอบ

เสียงม็อบโห่ไล่เริ่มดังขึ้นๆเป็นระยะ

อีกรายก็คิวของ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ตกอยู่ในวงล้อม “ตำบลกระสุนตก” เจอปมร้อนปัดกันแทบไม่ทัน ทั้งการเซ็นอนุมัติป่าชุมชนให้เอกชนใช้พื้นที่ การจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วฉาวๆ ไหนจะข่าวเรือเหาะเรือเหี่ยวที่โผล่มาประจานซ้ำ

ถ้าเป็นมวยก็อยู่ในสภาพหน้าปูดบวมช้ำไปหมด

สภาพเดียวกับ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่สะบักสะบอม กระแสสะสมจากปมโดนกล่าวหาว่าปล่อยคนรอบตัวแฝงอำนาจหาผลประโยชน์ไม่หยุดหย่อน

ยิ่งตอนหลังมีปัญหาเรื่องสุขภาพมาฉุดศักยภาพเข้าไปอีก มันก็เลยเป็นปัจจัยเสริมเหตุความน่าจะเป็นในการต้องปรับเปลี่ยน “บิ๊กป้อม”

ออกจากจุดศูนย์ถ่วงอำนาจรัฐบาล คสช.

แบบที่เจ้าตัวมีอาการหงุดหงิดนักข่าวที่ไล่บี้เค้นถามเรื่องความมั่นใจในสถานภาพ “บิ๊กป้อม” โบ้ยให้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์เอง เพราะมีอำนาจจัดทำอยู่คนเดียว ตัวเองยังไม่รู้เลยจะอยู่หรือไป

ในอารมณ์ที่จับทางได้ “พี่ใหญ่” ไม่ชัวร์ปึ้กเหมือนเก่า

ท่ามกลางกระแสเร้า โฟกัสเป้าไปที่เพื่อนพ้องน้องพี่ที่อยู่รอบเอว วัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ติดวัฒนธรรมทหาร เคยประกาศไว้ชัดเจนว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ถึงตรงนี้ ถ้าเสี่ยงพากันพังทั้งคณะ จะยังคิดแบบเดิมอยู่หรือเปล่า

ในอาการแบบที่ “บิ๊กตู่” เริ่มกลับมาพูดกับคำถามนักข่าวเป็นช็อตแรก ในห้วงโผ ครม.เริ่มนิ่ง เข้าสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ โดยตอบนักข่าวสั้นๆแบบตัดความรำคาญ ยืนยัน พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ยังอยู่ ส่วน พล.อ.ฉัตรชัย อยู่ แต่ตรงไหนไม่รู้

ดูเหมือนอาการอึดอัด กว่าจะเคลียร์โจทย์ยากได้

ตามเงื่อนสถานการณ์ เพื่อนพ้องน้องพี่คือเป้าหลักที่ยั่วแรงกระแทกใส่รัฐบาล “นายกฯลุงตู่” และนั่นก็ยังโยงไปถึงยุทธศาสตร์การลดโควตารัฐมนตรีสายทหาร

เปิดทางให้มือบริหารอาชีพมาเสริมงานด้านเศรษฐกิจ

ที่ถึงแม้ในภาพรวมทีมของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ จะโชว์ภาพความสำเร็จ สัญญาณเชิงบวกที่จับต้องได้ ทั้งตัวเลขจีดีพีที่สูงขึ้น สถานการณ์ส่งออกที่เป็นบวก การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันที่กลับมาติดอันต้นๆของโลก

แต่ก็ยังติดๆขัดๆในมุมของการอัดฉีดสภาพคล่องไปถึงระดับฐานราก

จากสถานการณ์ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ทำให้โพลสะท้อนความไม่พึงพอใจรัฐบาลในมุมของการแก้ปัญหาปากท้อง เรียกร้องให้ปรับ ครม.ทีมเศรษฐกิจเป็นอันดับแรกๆ

กลายเป็นจุดอ่อนให้นักการเมืองกระแทกหมัดใส่รัฐบาล คสช.

โดยต้นตอก็มาจากการลักลั่นในเชิงบริหาร แบบที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะต้นทางการผลิตสินค้าทางการเกษตร แต่ทำงานไม่ประสานกับกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องทำหน้าที่นำผลิตผลไปขาย

เพราะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงมากันคนละโควตา พล.อ.ฉัตรชัยก็ถือว่าสายตรงของ “นายกฯลุงตู่” ไม่ฟังนายสมคิด ขณะที่นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ก็ติดความเป็นข้าราชการประจำ ทำงานไปคนละทาง

ก็อย่างที่เห็น ปัญหาเกิดไม่หยุดหย่อน เดี๋ยวก็ยางพารา เดี๋ยวข้าว เดี๋ยวมันสำปะหลัง ถ้ายังไม่มีการปรับแก้ไขเชิงบริหารก็เสี่ยงกับสถานการณ์กดดันหนักขึ้นทุกขณะ

เพราะม็อบเริ่มขยับจ่อคอหอยแล้ว

แนวโน้มเดียวกับกระทรวงเศรษฐกิจอีกหลายกระทรวงที่ลักลั่นเชิงบริหาร โดยเฉพาะสถานการณ์ที่กระทรวงคมนาคมที่ต้องรับผิดชอบสารพัดเมกะโปรเจกต์

แบกภาระโครงการ “เรือธง” ของรัฐบาล

ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ เครือข่ายคมนาคมเชื่อมโยงโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เส้นทางเชื่อมตะวันออกสู่ตะวันตก (อีสต์ เวสต์ คอริดอร์ส) ที่ พล.อ.ประยุทธ์และนายสมคิดเร่งให้ใส่เกียร์ห้าเดินหน้า เพื่อให้เม็ดเงินจากเมกะโปรเจกต์กระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวม

แต่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ก็ดีแค่ภาพโปร่งใส แต่ทำงานช้า ไล่ตามข้าราชการประจำ ทำให้เมกะโปรเจกต์อืด ไม่เป็นไปตามจังหวะที่รัฐบาลพยายามตีปี๊บ

พยายามกวักมือเรียกนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเต็มที่

นี่แค่เชิงบริหาร แต่มันยังมีปมความโปร่งใส ตามเหลี่ยมที่ พล.อ.ประยุทธ์ชิงออกตัวไว้ก่อนเลยว่า การปรับ ครม.ไม่เกี่ยวกับเรื่องการทุจริตแต่อย่างใด

เหมือนกับการเปิดทาง ไม่ให้คนที่โดนปรับเปลี่ยนออกต้องมัวหมองซ้ำ

สรุปหนีไม่ออก ไฟต์บังคับ “นายกฯลุงตู่” จำใจต้องยอมปรับเปลี่ยนเชิงการบริหาร

ยากจะฝืนทวนกระแสอีกต่อไป

เหนืออื่นใดในจังหวะที่สอดคล้องต่อเนื่องกัน การปรับ ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เกิดขึ้นในห้วง จังหวะไล่เลี่ยกับการโยน “6 คำถาม” ออกมาหยั่งกระแสสังคม

โดยเฉพาะปมของการสนับสนุนพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้ง

เซียนการเมืองจับทางได้ว่าเป็นการ “เปิดไพ่” ยุทธศาสตร์เดินหมากอำนาจต่อ

โดยสถานการณ์ปรับ ครม.จึงเป็นเหลี่ยมหนีสถานการณ์ “รุกฆาต” พล.อ.ประยุทธ์ถือโอกาสเคาะสนิมเนื้อใน ปรับเชิงบริหาร ปั่นเนื้องานกระตุ้นคะแนนนิยมรัฐบาลทหาร คสช.

ต่อเวลาอำนาจข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้ง

แต่ภาพออกมาจะตอบโจทย์กระแสได้แค่ไหน ยังต้องลุ้น.

“ทีมการเมือง”

ภูมิคุ้มกันยังเหนียวแน่น

ภูมิคุ้มกันยังเหนียวแน่น


บีบหัวใจกันมากขึ้นทุกขณะ

ห้วงเวลาลุ้นระทึกการปรับ ครม.รอบล่าสุด ที่พวกอยู่ในข่ายไม่ได้ไปต่อ ต่างวิ่งเช็กโผกันให้วุ่น

ตามรูปการณ์ล่าสุดที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ออกมายืนยันชื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังมีที่นั่งอยู่ใน ครม.

เรือแป๊ะต่อไป

ท่ามกลางข่าวลือที่โผหลายสำนักปลิวว่อนตรงกัน “บิ๊กป้อม” อาจเหลือแค่เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีเพียงตัวเดียว เพราะถูกน้องเล็กหักเหลี่ยมขอนั่งควบเก้าอี้ รมว.กลาโหมเอง

ขณะที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็ได้รับการการันตี ยังได้ตีตั๋วร่วมทีมต่อไป แต่อยู่ที่ไหนไม่รู้

ยังถนอมน้ำใจ ไม่ถึงขั้นหักหาญน้ำใจกันอย่างรุนแรง

แต่ทั้งนี้โฉมหน้า ครม.ชุดใหม่ยังต้องรอโผของจริงที่จะเป็นคำตอบสุดท้าย เพราะหลายรายชื่อที่ปรากฏตามหน้าสื่อ เป็นเพียงการคาดการณ์ ยังไม่มีการยืนยัน จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่

เพราะรายชื่อตัวจริงอยู่ในมือของ “บิ๊กตู่” เป็นผู้จัดทำเพียงคนเดียว แม้แต่คนใกล้ชิด คีย์แมนคนสำคัญ ก็ไม่ล่วงรู้รายชื่อ ครม.ชุดใหม่

เป็นบทพิสูจน์ให้เห็น แม้แต่ระดับสายแข็งอย่างพี่ใหญ่ พี่รอง และเพื่อนรักยังหืดจับ ต้องลุ้นตัวโก่งถึงนาทีสุดท้าย กว่าจะได้รับการคอนเฟิร์มสถานะของขาเก้าอี้

ก็ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงพวกเกรดรองลงไปที่อยู่ในดงกระสุนตกอย่างต่อเนื่อง

โดยโฟกัสอาการน่าเป็นห่วงที่พุ่งไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของ พล.อ.ฉัตรชัยเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ของ “บิ๊กตู่” และกระทรวงพาณิชย์ ของ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์

2 รัฐมนตรีกระทรวงหัวใจหลักทางเศรษฐกิจอยู่ในสถานการณ์ร่อแร่ มีเปอร์เซ็นต์กระเด็นจากตำแหน่งสูง เพราะทำให้รัฐบาลถูกตำหนิ โดนโจมตีไม่หยุดหย่อนในช่วงที่ผ่านมา

หลีกทางให้ทีมบริหารมืออาชีพมารับช่วงต่อ เพื่อจูนเครื่องการทำงานทั้งภาคการผลิตและการส่งออกให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน

เช่นเดียวกับกระทรวงเกรดเอ อย่างกระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน ก็อยู่ในข่ายเปลี่ยนตัวแม่ทัพ
ตลอดจนกลุ่ม “รมต.โลกลืม” ที่เริ่มทยอยเก็บข้าวของ แพ็กกระเป๋าออกจากห้องทำงานกันแล้ว

ทั้งกระทรวงด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดนลงมีดผ่าตัด ลดทอนโควตาทหาร โละ รมต.สายพลเรือน ปรับทัพเสริมประสิทธิภาพ รื้อใหญ่กันอย่างเต็มที่

ได้เวลานำคนที่มีความรู้ ความสามารถตรงกับสายงาน มาร่วมทีมเติมเต็มในจุดบกพร่อง แก้จุดบอดรัฐบาลในช่วงเวลาที่เหลืออยู่

ภายใต้การยกเครื่องที่ต้องทำให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด ควบคุมแรงกระเพื่อมจากกลุ่มอกหักไม่ให้บานปลายเป็นแรงเสียดทาน เพิ่มปัญหาให้รัฐบาลอีกทาง

ตามสถานการณ์ล่าสุด “บิ๊กตู่” บอกจัดทำโผ ครม.เสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบขั้นตอนทางเอกสาร เพื่อเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป

ดูตามปฏิทินแล้ว คาดการณ์น่าจะได้ยลโฉมดรีมทีมชุดใหม่ต้นสัปดาห์หน้า

แง้มชื่อตามหน้าสื่อมีทั้งอดีตบิ๊กข้าราชการ ภาคเอกชน แม้กระทั่งเปิดโอกาสให้เครือข่ายนักการเมืองร่วมลงเรือแป๊ะ อย่างที่มีชื่อ ยุคล ลิ้มแหลมทอง ได้ลุ้นกุมบังเหียนนั่งเก้าอี้ รมว. เกษตรฯ

ถึงเวลาต้องพึ่งคนที่มีประสบการณ์มาช่วยรัฐบาลสร้างผลงานช่วงปลายโรดแม็ป เพื่อส่ง “บิ๊กตู่” กลับมาเป็นผู้นำรอบใหม่

ผสมผสานสูตรเรือแป๊ะใหม่ เกลี่ยให้เกิดความลงตัวทุกฝ่าย ไม่ให้ผูกขาดเฉพาะโควตาสีเขียวฝ่ายเดียว ควบคู่ไปกับการถนอมน้ำใจเพื่อนพ้องน้องพี่

อย่างน้อยสายสัมพันธ์ระดับพี่น้องยังคงต้องได้ร่วมลงเรือลำเดียวกันต่อไปตามความผูกพันที่กอดคอร่วมเสี่ยงภัยกันมา

ที่สำคัญบนเส้นทางในอนาคตยังต้องเจอสถานการณ์หนักๆ อีกหลายด่านกว่าจะไปถึงสนามเลือกตั้ง

ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นความจำเป็นที่ต้องมีคีย์แมนระดับ “พี่ใหญ่” ที่เจนสนาม มีคอนเน็กชั่นรอบด้านไว้คอยเป็นกันชน ผ่อนแรงปะทะ ไม่ให้พุ่งตรงมาใส่ “บิ๊กตู่” เพียงฝ่ายเดียว

เพราะ “น้องเล็ก” ยังไม่แกร่งพอ ที่จะอยู่ได้โดยปราศจาก “พี่ใหญ่”.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน