PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562

ชำแหละ‘ขั้วการเมือง’ มองสูตรตั้ง‘รัฐบาล

ชำแหละ‘ขั้วการเมือง’ มองสูตรตั้ง‘รัฐบาล’


ชำแหละ‘ขั้วการเมือง’ มองสูตรตั้ง‘รัฐบาล’



หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศจุดยืนทางการเมือง ไม่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ หลังการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้ ยืนยันจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่เป็นแค่พรรคร่วมรัฐบาล และหากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะเข้าร่วมกับ ปชป.จัดตั้งรัฐบาลต้องไม่มีการสืบทอดอำนาจเด็ดขาด
ผศ.ดร.ยอดพล เทพสิทธา
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.นเรศวร
ตอนนี้โอกาสของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่จะจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปได้ยาก เพราะ 1.นายอภิสิทธิ์ไม่จับมือกับเพื่อไทยอย่างแน่นอน และ 2.ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เท่ากับว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้ไปกับพลังประชารัฐ แต่ก็ไม่แน่ เพราะอาจจะเกิดการจับมือกันได้ในกรณีที่พลังประชารัฐจะเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ แต่อาจจะเกิดปัญหาเนื่องจากนายอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ในรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่พรรคพลังประชารัฐเสนอ จึงมีอีกวิธี คือไปรวมกับพรรคการเมืองเล็กๆ เพื่อรวมเสียงให้ได้เกินกว่ากึ่งหนึ่งในสภา
นายอภิสิทธิ์จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อหาวิธีจับคู่ เช่นจาก 250 ส.ว.เพื่อจะได้แบ่งเสียงส่วนหนึ่งมาจัดตั้งรัฐบาล อาจจะไปจับมือกับพรรคเล็กหรือพรรคขนาดกลาง เช่น ภูมิใจไทย หรือชาติไทยพัฒนา แต่ที่แน่ๆ คือตัดเพื่อไทยออกจากตัวเลือก เนื่องจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาพูดชัดเจนแล้ว ส่วนโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะจับกับอนาคตใหม่นั้น ถ้ามองจากอุดมการณ์ของพรรคการเมืองก็น่าจะยาก แต่ก็ยากน้อยกว่าที่จะจับกับเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทางมีโอกาสน้อยมาก คิดว่าพรรคที่น่าจะจับมือกันได้จะเป็นพรรคที่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้านี้ เช่น ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ทั้ง 2 พรรคนี้น่าจะมีคะแนนเสียงรองลงมาจากประชาธิปัตย์ และจะเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลที่นายอภิสิทธิ์มีโอกาสได้เป็นนายกฯ
ถ้าดูตามข้อเท็จจริงจะเห็นว่าตอนนี้ทุกพรรคการเมืองต่างไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ยกเว้นพลังประชารัฐ ประชาชนปฏิรูป และรวมพลังประชาชาติไทย หากอยากเป็นรัฐบาลก็ต้องจับมือกันเอง เมื่อมาดูแล้ว นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะจับกับเพื่อไทยได้หรือไม่ แล้วนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ จับกับเพื่อไทยได้หรือไม่ หรือนายอนุทินและนายสุวัจน์ จะจับมือกับนายอภิสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่เพื่อไทยจะถูกบีบมากกว่า ตกลงกันยากกว่า
เมื่อดูจากระบบการเลือกตั้งครั้งนี้ โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะยากหากไม่มี ส.ว.ในมือ จากที่คนพูดกันว่า พลังประชารัฐมี 250 เสียงไว้ก็วินแล้ว คือต้องได้ทั้งหมด 375 เสียง ถามว่าจะมีพรรคการเมืองไหนที่มีเสียงข้างมากที่เด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎรบ้าง เนื่องจากมี 250 เสียง ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หมายความว่า ถ้า ส.ว.ของพรรคการเมือง เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จริง ได้เสียงข้างมากในสภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฎร ก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
สำหรับนายอภิสิทธิ์มีแนวทางเดียวคือไปจับกับพรรคอื่นๆ แล้วไปแบ่งเสียง ส.ว.ให้ได้ แต่โอกาสที่จะจับกับพลังประชารัฐ นายอภิสิทธิ์ก็พูดค่อนข้างชัดว่าไม่เสนอแคนดิเดตเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นพลังประชารัฐก็ต้องไปง้อให้นายอภิสิทธิ์เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตให้ได้ เว้นแต่พลังประชารัฐทิ้ง พล.อ.ประยุทธ์แล้วมาเอานายอภิสิทธิ์ ก็มีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลกันได้ แต่จะขัดเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเสนอชื่อแคนดิเดตไปแล้วและนายอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ลิสต์รายชื่อนั้น
ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ม.บูรพา
ความเป็นไปได้ในสูตรการจัดตั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องขอตั้งต้นก่อนว่า หลังจากนายอภิสิทธิ์แสดงจุดยืนชัดเจนที่จะไม่ร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนายอภิสิทธิ์ได้ใช้พื้นที่สื่อในการสร้างกระแสทางการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์ตกต่ำ ขณะเดียวกันนายอภิสิทธิ์ไม่ได้ปฏิเสธการร่วมรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐ

หากถามว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน มองว่ายากที่นายอภิสิทธิ์จะจับมือกับฝั่งเพื่อไทย ถ้าพลังประชารัฐได้เสียงข้างมากจริง โอกาสที่จะร่วมรัฐบาลกับประชาธิปัตย์ก็เป็นไปได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขที่หลายพรรคเห็นตรงกันว่านายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ กระแส พล.อ.ประยุทธ์ ในระยะ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาตกต่ำอย่างมาก อาจจะมีปัญหากรณีเกี่ยวกับการเป็นบุคลากรของรัฐที่ไม่สามารถนำเสนอเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ ยังเป็นประเด็นปัญหาในทางกฎหมายอยู่ บรรดาหลายพรรคก็เห็นจุดอ่อนนี้ อาจมีการเลี่ยงหรือปรับกลยุทธ์ทางการเมืองใหม่
อาจไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นพรรคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ หรือพรรคแนวร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อที่จะต่อสู้กับเพื่อไทยและเครือข่าย
อัษฎางค์ ปาณิกบุตร
อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
จริงๆ การเมืองไทยมีเพียง 2 ฝั่งเท่านั้น ไม่ใช้สามก๊กอย่างที่มีการพูดกัน เพราะที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ชอบใช้ยุทธศาสตร์แทงกั๊ก เป็นเช่นนี้มาเสมอไม่เคยเปลี่ยนจนกระทั่งถึงยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังแทงกั๊กอยู่ การมาประกาศในช่วงโค้งสุดท้ายว่า ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่เริ่มแรกสนับสนุนเผด็จการ ทำให้เกิดการยึดอำนาจ เพราะเห็นกระแสประชาธิปไตยที่ยิ่งสูงขึ้นๆ จึงกลัวว่า ตัวเองจะไม่ได้ตามเป้า ใครๆ ก็รู้ว่า การประกาศว่า ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ เพราะอยากกลับมาเป็นนายกฯ แต่ในความเป็นจริงใครๆ เขาก็รู้เช่นกันว่า ประชาธิปัตย์ คงไม่ได้ที่ 1 หรืออยู่โดดๆ ได้โดยไม่มีพรรคร่วมได้ ดังนั้น ตามเงื่อนไข แม้ว่าวันนี้นายอภิสิทธิ์ จะประกาศว่า ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่เขามีวิธีอื่นให้เล่นอีกเยอะ เช่น หากได้ไม่ถึง 100 นายอภิสิทธิ์ก็ต้องลาออก หรือใช้มติกรรมการบริหารพรรคเพื่อเอา พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังได้ หากต่อรองแล้วได้กระทรวงสำคัญๆ ไป เป็นต้น
ต้องยอมรับว่า พรรคพลังประชารัฐลงทุนไปมาก กติกาต่างๆ ก็ออกมาเอื้อทุกอย่าง อีกทั้งยังเป็นพรรคที่ถืออำนาจรัฐอยู่ คงไม่มีทางที่จะอยากแพ้อยู่แล้ว แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯ ด้วยเสียง ส.ส.เพียง 126 เสียงแล้วนำไปบวกกับ 250 ส.ว. บอกเลยว่า เสียว
การเป็นรัฐบาลด้วยเสียงข้างน้อยอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือนก็จบ แม้จะวัดใจให้จบโดยหวังว่าจะไปเลือกตั้งใหม่อีก แล้วให้เสียง 250 ส.ว.เลือกกลับมาอีกครั้ง ก็จะยิ่งยากกว่าเดิมมากวันนั้นมาถึง คนจะยิ่งเห็นเสถียรภาพของรัฐบาลว่ายิ่งฝืนยิ่งเจ๊ง แล้ววันนั้นจะเป็นการเลือกตั้งที่คนจะยิ่งเทให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิมอีกแน่นอน
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯต้องมีเสียง ส.ส.เกินครึ่งไปอีก 20-30 เสียง หรือ 280 ขึ้นไป ถึงจะอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ต้องกลัวฝ่ายค้าน
ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตย หากดูบรรยากาศในช่วงโค้งสุดท้าย เป็นไปได้สูงที่ประชาชนจะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกันสูงมาก หากวันที่ 24 มีนาคมนี้เป็นจริง โอกาสที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้เสียงเกินครึ่งหรือ 251 เสียงขึ้นก็มีสูงมากเช่นกัน แม้ว่าจุดอ่อนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยขณะนี้ คือการที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ แต่หากพรรคที่เหลือ อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ และเสรีรวมไทย ลงสนามแล้วได้เสียงรวมกันได้ถึง 251 เสียงก็จะเป็นจำนวนที่การันตีให้พรรคขนาดกลาง อาทิ พรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้านไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การมีเสียงปริ่มๆ 250 นิดๆ ต้องระวัง พวกชอบเข้าห้องน้ำบ่อยต่อรองแหกมติพรรคมีทุกยุคทุกสมัยเหมือนกัน ดังนั้น หากฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะ ประชาชนต้องออกมาใช้สิทธิเลือกฝ่ายประชาธิปไตยให้ถล่มทลายเหมือนดอกไม้บานยามเช้าถึงจะหยุดเผด็จการได้ เพราะการจะชนะแล้วการันตีเสถียรภาพด้วย พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องมีเสียงให้ได้ถึง 280 ขึ้นไปเพื่อรวมเสียงกับพรรคขนาดกลางอื่นๆ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ คิดหนักแล้วยอมแพ้ไปตั้งแต่ต้น

‘บิ๊กป้อม’ ชี้ ‘ตั้งส.ว.เอง ก็ต้องคุมได้’ อ้างไม่รู้จักใคร-เปิดชื่อ กก.สรรหาไม่ได้

‘บิ๊กป้อม’ ชี้ ‘ตั้งส.ว.เอง ก็ต้องคุมได้’ อ้างไม่รู้จักใคร-เปิดชื่อ กก.สรรหาไม่ได้



“บิ๊กป้อม” ชี้ “ตั้ง ส.ว.ก็ต้องคุมได้” ยันไม่รู้จักใครเลย-เผยรายชื่อคณะกรรมการสรรหาไม่ได้
เมื่อเวลา 10.55 น. วันที่ 13 มีนาคม ที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติของผู้ที่จะรับคัดเลือกเป็น ส.ว.ในส่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะทำอย่างไรให้มีความชอบธรรม ในเรื่องเกณฑ์อาชีพ ไม่ให้มีคดีความ รวมถึงพฤติกรรมต่างๆ ในอดีต ว่า ไม่ต้องห่วง เขาทำตามหลักเกณฑ์ และไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการสรรหา ส.ว.ได้ เมื่อถามว่า ในอนาคตจะสามารถควบคุม ส.ว.ได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “เราตั้ง เราก็ต้องจับกลุ่มให้ได้สิ” เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่า ส.ว.ส่วนใหญ่ จะกลายเป็นคนใกล้ชิดของท่านและนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “คุณก็ถามแล้วก็คิดไปเอง ผมไม่รู้จักใครทั้งนั้น”

ใครยื้อคดีพันธมิตร

ขึ้นศาลมาห้าปี วันนี้เริ่มเห็นแสงปลายอุโมงค์
วันนี้ใช้เวลาอยู่ในห้องพิจารณาคดีในศาลอาญากว่าแปดชั่วโมง สว.อย่างเราพอรับได้ แต่แกนนำสูงวัยทีถูกเบิกตัวออกมาเรือนจำพิเศษ อาทิ ลุงจำลอง ลุงพิภพ ลุงสมศักดิ์ อาจารย์สมเกียรติ และ น้องสุริยะไสย น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย ลุงจำลอง สุขภาพก็ร่วงโรยตามวัย ลุงสนธิ ลุงสมศักดิ์ ลุงพิภพ อ.สมเกียรติ และ สุริยะไสย ถึงแม้อยู่สภาพทุกขเวทนาแต่ทุกท่านมีกำลังใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่ทำหดหู่มากนัก
แกนนำพันธ์มิตรที่ถูกศาลตัดสินจำคุกคนละ 8 เดือน เป็นจำเลยร่วมกับแนวร่วมพันธมิตร 98 คน ในคดีพันธ์มิตรชุมนุมประท้วงไล่รัฐบาลโนมินีของทักษิณที่สนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิปี 2551 จำทั้งหมดถูกเหมารวมข้อหาก่อการร้าย เนื่องด้วยจำเลยมากเกือบร้อยคนถูกฟ้องในสำนวนเดียวกันการดำเนินคดีจึงล้าช้ามาแล้วกว่าห้าปี เพราะคดีที่มีโทษสูงถึงประหารชีวิต ต้องสืบพยานต่อหน้าจำเลยหมดพร้อมกัน ห้าปีที่ผ่านมาจำเลยมาพร้อมกันทุกคนเพียงนัดเดียวและสืบพยานได้เพียงครึ่งปากจากจำนวนพยานพันกว่าคน
ผู้พิพากษาที่เพิ่งรับช่วงพิจารณาคดี เห็นว่าความล่าช้าไม่เป็นธรรมแก่จำเลยและทุกฝ่ายจึง พยายามหาลู่ทางแง่มุมกฎหมายให้คดีดำเนินได้อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนมีทนายและจำเลยบางท่านไม่เห็นด้วย พยายามขัดขวางยกแม่มุมกฎหมายขึ้นโต้แย้ง ราวกับว่าจงใจจะยื้อให้การพิจารณาคดีออกไปให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ จนสุดท้ายศาลใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งการพิจารณารวดเร็วได้ โดยจัดวันสืบพยานคดีใหม่จาก สองสามเดือนต่อหนึ่งนัด เป็นนัดสืบพยานทุกๆวันอังคาร-พุธ ตั้งแต่เดือนมิ.ย. ถึง เดือน สิงหาคม โดยตั้งเป้าหมายให้ตัดสินคดีได้ภายในปีนี้
การยื้อกันในแง่มุมกฎหมายที่เสียเวลามาแล้วกว่าห้าปี ทำให้ผู้พิพากษากำหนดวันสืบพยานทุกๆอังคาร พุธ ทุกสัปดาห์ตั้งเดือน มิ.ย. ทำให้เกิดการโต้แย้งจากทนายและจำเลยบางรายสุดท้ายศาลสั่งให้ทำหนังโต้แย้งมาเป็นลายลักษณ์อักษร และ พิจารณาคำร้องในวันที่ 3 พ.ค
เราไม่ทราบเจตนาของการยื้อคดีให้นานออกไป แต่ด้วยความจริงใจและมั่นใจว่าเราไม่เป็นก่อการร้ายจึงได้แต่ภาวนา ให้การนัดพิจารณาคดีไม่เปลี่ยนจากศาลกำหนดไว้วันนี้ ถ้าเป็นตามที่ศาลกำหนดภายในปีนี้ต้องผลออกมา ว่าจะยกฟ้องหรือสั่งลงโทษ แต่ไม่ว่าผลจะออกสถานใดเราพร้อมเต็มใจคำตัดสินของศาลยุติธรรม
“นี้คือสิ่งเห็นว่าห้าปีที่ขึ้นศาลได้เห็นแสงปลายอุโมงค์ริบหรี่ในวันนี้ เพราะห้าปีที่ผ่านมาไม่เคยรู้ชะตาต้องขึ้นศาลไปอีกกี่สิบปี

ขอห้าปี

ขอ 5 ปี !!

“บิ๊กตู่” ลดกระแสต้าน 250 สว. จะลดสัดส่วนลง ในอนาคต  แต่ ขอ 5 ปีแรกทำระบบสมดุลย์ก่อน  เมื่อนิ่งแล้วพร้อมลดสัดส่วนสรรหา ชี้ถ้าซื่อสัตย์ เลือกสว.ระบบไหน ก็ไร้ปัญหา  ชี้ คสช. มีคณะกรรมการ ตรวจสอบคุณสมบัติก่อน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการสรรหาส.ว.ว่า วันนี้คัดกรองจากหลายภาคส่วน ผ่านคณะกรรมการและตรวจสอบคุณสมบัติ บนข้อจำกัดมากมาย บางคนส่งชื่อมามีคดี พ่อก็มี ลูกก็มี เมียก็มี แล้วผ่านขึ้นมา 

รวมถึง 400 คน ที่คณะกรรการสรรหาส.ว.ส่งขึ้นมาคสช.ก็ต้องตรวจสอบคุณสมบัติ ทั้งคดีความ พฤติกรรมส่วนตัว และลองเปรียบเทียบดูส.ว.เลือกตั้งและคัดสรรที่มีมาตลอด ตอนหลังเป็นเลือกตั้งเสียเยอะ ลองดูส.ว.เลือกตั้งดีทุกอย่างไหม ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง เพียงแค่ใช้เป็นคำตอบว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ถามว่าถ้าเราได้คนไม่ดีมาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน 

โดยเรามี2สภาคือรัฐบาลและฝ่ายค้าน อยู่ในนั้นทั้งหมดเลือกตั้งมาด้วยกัน ซึ่งอย่างนั้นน่ากลัวกว่า ตรงนี้อย่างน้อยก็สร้างความสมดุลย์ ได้ไปก่อนในช่วงแรก 5 ปี ระหว่างนั้นถ้ามีอะไรดีขึ้นเริ่มนิ่งก็ลดสัดส่วน เอาคัดสรรออกไปสักหน่อย เอาเลือกตั้งเข้ามาแทนเป็นระยะๆในวันหน้า 

วันนี้ขอแบบนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นทุกคนก็อ้างประชาธิปไตย 

ถ้าเป็นประชาธิปไตยที่ซื่อสัตย์จริงๆก็ไม่มีปัญหาใดๆทั้งสิ้นทั้งการเลือกและการคัดสรร ถ้าสำนึกความเป็นไทย สำนึกประเทศชาติ บุญคุณของประเทศ”

ปชป/ภท.

การที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ประกาศพร้อมเป็นฝ่ายค้านและไม่สนับสนุนลุงตู่เป็นนายกนั้น
เป็นการโยนภาระในการจัดตั้งรัฐบาล ให้กับพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ 
เป็นแต้มคูที่ไม่ธรรมดา! เพราะ:

ถ้าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังไม่ได้ จะตัดสินใจเทเสียงให้ลุงตู่เป็นนายก หรือเทเสียงให้ อภิสิทธิ์เป็นนายก? ในทางตรงกันข้ามถ้าพลังประชารัฐ จัดตั้งรัฐบาลโดยลำพังไม่ได้ จะตัดใจเทเสียงให้คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกหรือเทเสียงให้คุณหญิงสุดารัตน์เป็นนายก?
 
พิชัยสงครามบทสำคัญว่าไว้ว่า 
การจะทำศึกนั้น ต้องยืนอยู่ในจุดที่ไม่พ่ายแพ้ให้ได้เสียก่อน 
นี่แหละ คือจุดที่ยืนแล้วไม่พ่ายแพ้!
การเดินแต้มคูพร้อมเป็นฝ่ายค้านครั้งนี้แท้จริงคือ เป็นรัฐบาลนั่นเอง!

ไพศาล พืชมงคล
13/3/62

ไม่ตอบโต้อภิสิทธิ์

“บิ๊กตู่”ปัดตอบโต้ “มาร์ค” แย้ม แผนจัดตั้งรัฐบาล หลังเลือกตั้ง  ต้องให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่ใช่เป็น 1-2 ปีแล้วเลิก ทุกคนชอบของใหม่ กันตลอด แล้วเริ่มใหม่ กันมากี่ครั้งแล้ว ถอยหลังถอยหน้ากันอยู่แบบนี้  ขออย่าแบ่งพวก นายกฯ-ไม่ใช่พวกนายกฯ

พลเอกประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะมีคำแนะนำอย่างไรในการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีกฎหมาย มีพ.ร.บ. มีระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว 

ขอเพียงว่าใครก็ตามที่จะมาเป็นนายกฯ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ตามอำนาจในการบริหารที่มีธรรมภิบาล 

และต้องขอความร่วมมือทุกคนที่จะมาร่วมรัฐบาล ให้ช่วยกันปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง ทำให้ประชาชนไม่เกิดความขัดแย้งเป็นพวกนี้พวกโน้น เป็นพวกนายกฯ หรือไม่ใช่พวกนายกฯ 

ทั้งหมดคือคนไทย ไม่เช่นนั้นพอการเมืองมีปัญหา ประชาชนก็จะมีปัญหาไปด้วย เพราะต่างคนก็รักชอบพอคนละอย่างคนละพวก วันนี้จึงต้องแก้ไขใหม่ทั้งหมดด้วยการเลือกตั้งครั้งนี้ 

ขอให้ช่วยกันพิจารณาให้ดี ทำอย่างไรที่จะทำให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่ใช่เป็น 1-2 ปีแล้วเลิก ทุกคนชอบของใหม่กันตลอด แล้วเริ่มใหม่กันมากี่ครั้งแล้ว ถอยหลังถอยหน้ากันอยู่แบบนี้ 

ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล หลังเลือกตั้งค่อยว่ากัน ขึ้นอยู่กับประชาชนต้องการผู้นำแบบไหน ทุกคนก็รู้จักผม มาหมดแล้ว และรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคทุกคนก็รู้จัก ก็ต้องไปดูว่าจะพิจารณาใคร พอใจใคร มีผลงานเป็นรูปธรรมอะไรบ้าง แต่ก็ขอให้ความเป็นธรรมกับ ด้วยว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง

ผมไม่ให้หัวหน้าคณะรัฐประหารแล้ว

“ผมไม่ใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติ รัฐประหาร แล้ว”??????

“อย่าลืมว่าผมเป็นนายกฯ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผมก็เป็นนายกฯไปแล้ว ผมไม่ใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติ รัฐประหาร เสียเมื่อไหร่ ถ้าวันนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญออกมา ผมไม่ทำให้เรียบร้อย หยุดสถานการณ์ไม่ได้ ผมก็เป็นกบฎ สิครับ”

“วาทกรรมสืบทอดอำนาจ เรื่องนี้ยอมรับว่ามันพูดยาก การสืบทอดอำนาจทางการเมืองเขาก็ทำกันอยู่ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะอยากเป็นนายกฯหรือ มีพรรคการเมืองใดไม่อยากเป็นนายกฯ ไม่อยากเป็นรัฐบาลบ้าง ก็สืบทอดอำนาจทางการเมืองเหมือนกันนั้นแหล่ะ ของผมที่มามันอาจจะคนละแบบ 

อย่าลืมว่าผมเป็นนายกฯ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผมก็เป็นนายกฯไปแล้ว ผมไม่ใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติ รัฐประหารเสียเมื่อไหร่ ถ้าวันนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญออกมา ผมไม่ทำให้เรียบร้อย หยุดสถานการณ์ไม่ได้ ผมก็เป็นกบฎ สิครับ 

เพราะฉะนั้นมันจบไปแล้ว ตั้งแต่ตรงโน้น จากนั้น ผมก็เป็นนายกฯ ตามกฎหมาย 

อย่าไปย้อนแย้งกลับไปกลับมา มันจะไม่จบเสียที ต้องดูว่า ผมเป็นนายกฯ แล้วทำอะไรไปบ้าง ทำความเสียหายอะไรให้กับประเทศบ้าง ที่ไม่ได้เป็นไปตามวาทกรรมที่พูดกันออกมา ผมมีผลงานเยอะแยะ หากให้พูดก็คงพูดไม่หมด แล้วลองถามคนที่พูดว่าผมเป็นเผด็จการ ถามดูว่า ตั้งแต่เข้ามา ประชาชนผู้ประกอบการเดือดร้อนอะไรหรือเปล่า ทุกคนยังดำเนินชีวิตตามปกติ 

แม้แต่การประท้วงหลายครั้งก็สามารถทำได้ เว้นแต่บางคนที่ละเมิดกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบทั้งการละเมิดกฎหมายการชุมนุม กฎหมายจราจรทำให้ประชาชนเดือดร้อน อย่าลืมว่าการจะทำประชาธิปไตยอะไรก็ตามต้องไม่ละเมิดกฎหมาย อย่าอ้างประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่ได้ รัฐบาลต่อไปต้องเป็นแบบนี้ เราเคยชินกับรัฐบาลแบบที่อะไรก็ได้ การทำอะไรให้ประชาชนรักอย่างเดียวมันง่าย” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การทำงาน 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาของตนคือประชาชน ในทางการเมือง นายกฯ คือผู้รับอาสาเข้ามาทำงานด้วยความเต็มใจที่อยากจะมา แต่ตนมาเพราะความจำเป็น ต้องแยกให้ออก ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น 

อย่าเพิ่งลืมก่อน 22 พ.ค.57 เข้าทำเนียบฯ กันมาได้ง่ายหรือ การค้าขายตามท้องถนนทำได้หรือไม่ ปัญหาการจราจรติดขัด อย่าเอาทุกอย่างมาปนกัน ถ้าตนทำงานมาแล้วไม่ดีเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็แย่ลง ก็เป็นอีกเรื่อง แต่วันนี้เศรษฐกิจและจีดีพี. ดีขึ้นทุกตัว เว้นแต่ปัญหารายได้น้อยที่ต้องปรับโครงสร้างอีกหลายเรื่อง อยากให้เข้าใจความตั้งใจของตน ต้องยอมรับว่าปัญหาหลายอย่างแก้ยาก แต่ตนก็จะทำต่อ ถ้ามีโอกาสก็จะทำให้ 

นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่เป็นความรับผิดชอบของตนตั้งแต่ 22 พ.ค.57 คือทำอย่างไร ให้คนทุกกลุ่มทุกวัยทุกฝ่ายมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม และทุกรัฐบาลต้องคิดแบบนี้ ทุกอย่างต้องมีแผนดำเนินการ และไม่สามารถทำให้เสร็จวันเดียวได้ บางอย่างใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี การเข้ามาทำงานของตนนั้นเพื่อแก้ปัญหาเชิงบูรณาการ หลายครั้งใช้ ม.44 ถ้าไม่เกิดผลกระทบกับกฎหมายเดิมมากนัก แต่ทุกอย่างตนคำนึงถึงประเทศชาติเสมอ วันนี้ประชาชนมีความหวังว่า ทำอย่างไรหลังเลือกตั้ง ประเทศจะสงบสุข มั่นคง เศรษฐกิจดีขึ้น

อัพเดท3ก๊กการเมืองไทย

อัพเดท! สามก๊กการเมืองไทย
โดย สิริอัญญา 
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562

เหลือเวลาอีกเพียงสิบกว่าวันก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไปแล้ว คือวันที่ 24 มีนาคม 2562 ก็เกิดสถานการณ์สำคัญขึ้นที่ส่งผลต่ออนาคตการเมืองของประเทศ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาล นั่นคือการที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์แสดงจุดยืนทางการเมืองในเวลาใกล้เคียงกัน 

นั่นคือการแถลงจุดยืนว่าไม่สนับสนุนให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป และเรียกร้องให้วุฒิสมาชิกเคารพประชาชน โดยงดออกเสียงในการเลือกนายกรัฐมนตรี หรือไม่ก็ให้สนับสนุนพรรคการเมืองที่เป็นเสียงข้างมาก 

หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ดูเหมือนว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ หัวเรือใหญ่ของพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะเดือดร้อนขุ่นแค้นมากที่สุด เพราะถึงกับออกมาลำเลิกบุญคุณเอากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าเป็นผู้ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี 

ทั้งกล่าวอ้างด้วยว่าถ้าหากไม่ทำให้ ต่อให้ชาติหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่มีวันที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องถือว่าเป็นการลำเลิกบุญคุณอย่างร้ายแรงที่สุด อันเป็นลักษณะกรวดน้ำคว่ำขันกันไปเลยทีเดียว 

การแสดงท่าทีทางการเมืองของทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยย่อมส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยในยุคสามก๊กการเมืองอย่างชัดเจนที่สุด และทำให้การจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งทั่วไปต้องปรับสูตรกันใหม่ นี่แหละที่เขาว่าการเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน อะไรก็เกิดขึ้นได้ 

ก่อนหน้านี้ก็เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปแล้วว่าการเมืองไทยเข้าสู่สภาพสามก๊กที่พรรคการเมืองทั้งหลายถูกจำแนกแยกแยะออกเป็นสามก๊กสามขั้ว คือ 

ก๊กแรก ซึ่งต้องถือว่าเป็นขั้วหลักหรือก๊กหลักเพราะเกี่ยวข้องอยู่กับอำนาจรัฐคือรัฐบาลปัจจุบัน นั่นคือก๊กของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรู้กันทั่วไปแล้วว่าเป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นโดยวางแผนกันมาตลอดเพื่อสนับสนุนให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี 

ก๊กที่สอง ก็ต้องถือว่าเป็นขั้วหลักเพราะเป็นขั้วอำนาจเก่าที่มีอำนาจรัฐต่อเนื่องมากว่าสิบปีแล้ว เป็นก๊กที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งมาหลายยุคหลายสมัย นั่นคือก๊กของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับคุณทักษิณ ชินวัตร 

ก๊กที่สาม ก็เป็นขั้วหลักเช่นเดียวกัน เพราะเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอายุยืนยาวมากที่สุด มีเครือข่ายของพรรคและองค์กรจัดตั้ง รวมทั้งสมาชิกพรรคอยู่ในแทบทุกพื้นที่ของประเทศไทย นั่นคือพรรคประชาธิปัตย์ 

ภายใต้สภาพที่การเมืองไทยเป็นสามก๊ก แต่กลับมีพรรคการเมืองเกือบร้อยพรรคที่สมัครเข้าแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ แต่ทว่าแม้จะมีพรรคการเมืองจำนวนมาก มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนับหมื่นคน แต่ส่วนใหญ่ก็ไร้กระแส บ้างก็รู้กันว่าเป็นพรรคหุ่นเชิดบ้าง เป็นพรรคไม้ประดับบ้าง หรือเป็นพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นหอกดาบฟาดฟันพรรคอื่นตามที่ผู้บงการจะสั่งการบ้าง 

ดังนั้นจึงมีพรรคการเมืองนอกจากพรรคก๊กหลักอยู่เพียงไม่มากนักที่พอจะมีเสียงมีส่วนในกระแสการเมืองของประเทศ 

ที่สำคัญก็คือ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคภูมิใจไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคเสรีรวมไทย เป็นต้น 

ในบรรดาพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคก๊กหลัก และที่พอมีกระแสอยู่บ้างนั้นก็ถูกจัดว่าเป็นพรรคพันธมิตรของก๊กหลักมาแต่ก่อนแล้ว 

ดังเช่น มีข่าวคราวระบุว่าพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคภูมิใจไทยคือพรรคพันธมิตรที่พร้อมสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงจัดเป็นพรรคพันธมิตรของก๊กพรรคพลังประชารัฐ 

สำหรับพรรคเพื่อชาติ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคเสรีรวมไทย ก็มีข่าวคราวว่าเป็นพันธมิตรของก๊กพรรคเพื่อไทย 

คงเหลือแต่ก๊กประชาธิปัตย์เท่านั้นที่โดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่ปรากฏพันธมิตรที่ชัดเจน แต่สำหรับเวลาที่ผ่านมาก็มีเสียงกระซิบกระซาบให้ได้ยินอยู่บ้างว่า พร้อมที่จะร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ 

สภาพเช่นนั้นจึงทำให้สภาพสามก๊กทางการเมืองเกิดกลุ่มพันธมิตรเชื่อมโยงอยู่กับก๊กหลักต่าง ๆ และสภาพ ตลอดจนผลการเมืองของพรรคพันธมิตรเหล่านั้นย่อมส่งผลต่อฐานะและพลังอำนาจของก๊กหลักว่าจะมีขีดความสามารถในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่เพียงใด 

สำหรับก๊กพลังประชารัฐนั้น มีเสียงลือเล่าขานว่าจะมีฐานเสียง ส.ว. 250 เสียง พร้อมที่จะโหวตสนับสนุนให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นในชั้นการโหวตเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ก๊กนี้แค่มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎร 126 เสียงขึ้นไป ก็จะมีคะแนนเสียงรวม 376 เสียงขึ้นไป เป็นเสียงข้างมากในการเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงทำให้เกิดความเชื่อว่าพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป 

แต่ระบบรัฐสภาไทยนั้น ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เขียนวกวนสับสนจนพันคอคนเกี่ยวข้องเสียเอง กลับทำให้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎรระดับ 126 เสียง ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ เพราะในการบริหารราชการแผ่นดินนั้นต้องมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งหนึ่ง คือต้องมีเสียงระหว่าง 251-280 เสียง จึงจะเพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และคุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้ 

ดังนั้นสำหรับพรรคพลังประชารัฐก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีเสียงร่วมกับพรรคพันธมิตรในสภาผู้แทนราษฎรระหว่าง 251-280 เสียงด้วย 

สำหรับก๊กพรรคเพื่อไทยและก๊กประชาธิปัตย์นั้น ถ้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องอาศัยเสียงในสภาผู้แทนราษฎรอย่างเดียวถึง 376 เสียง และต้องมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรระหว่าง 251-280 เสียงด้วยเช่นเดียวกัน 

นี่คือปัญหาที่รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ได้สร้างรากฐานที่เปรียบเสมือนหนึ่งระเบิดการเมืองไว้ในระบบการเมืองของประเทศ และเป็นอันตรายที่ร้ายแรงถึงขั้นที่ทำให้ประเทศไทยก้าวซ้ำรอยตามประเทศเวเนซุเอลาก็ได้ 

ดังนั้นในทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยประกาศจุดยืนทางการเมืองไม่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ก๊กพลังประชารัฐเหลือพรรคในก๊กเพียงพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย และพรรคประชาชนปฏิรูป ซึ่งพรรคพันธมิตรทั้งสองพรรคนี้จะมีคะแนนเสียงสักกี่เสียงก็ยังเป็นปัญหาถกเถียงกันอยู่มาก 

กระทั่งมีการคาดหมายกันว่าพรรคพลังประชารัฐและพรรคพันธมิตรจะมีเสียงรวมกันแค่ระดับ 100 เสียงเท่านั้น จึงไม่มีทางที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้ 

และในทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยประกาศไม่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ได้ทำให้คะแนนเสียงของสองก๊กที่เหลือและพันธมิตรมีแนวโน้มว่าจะมีคะแนนเสียงรวมกันเกือบ 400 เสียง ซึ่งเพียงพอต่อการเลือกนายกรัฐมนตรีและในการจัดตั้งรัฐบาล 

แต่ทว่าทั้งสองก๊กที่ไม่สนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นก็มิได้เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลด้วย 

คำประกาศจุดยืนทางการเมืองดังกล่าวของพรรคประชาธิปัตย์นั้นหมายความว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นแกนในการจัดตั้งรัฐบาล และไม่ได้หมายความว่าปฏิเสธไม่ยอมรับการสนับสนุนจากพรรคพลังประชารัฐและจากก๊กพรรคเพื่อไทย นี่คือความซ่อนเงื่อนของสามก๊กการเมืองไทย 

ดังนั้นการตัดสินใจจึงถูกโยนกลับไปที่ก๊กเพื่อไทยและก๊กประชารัฐว่าถ้าต่างก็มีคะแนนเสียงไม่พอในการจัดตั้งรัฐบาลแล้วไซร้ ก๊กเพื่อไทยจะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี หรือจะหวนกลับไปสนับสนุนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี 

ในทำนองเดียวกัน ถ้าก๊กพลังประชารัฐมีคะแนนเสียงไม่พอที่จะตั้งรัฐบาลแล้วไซร้ ก๊กพลังประชารัฐจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล หรือว่าจะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดตั้งรัฐบาล 

อานุภาพทางการเมืองของการเป็นตัวแปรทางการเมืองจึงเกิดขึ้นดังนี้!

การเมืองส่อเดดล็อก 'มาร์ค'ยํ้าจุดยืนหลังเลือกตั้ง'ปชป.'ไม่เอาประยุทธ์-เพื่อแม้ว


    “ประยุทธ์” อารมณ์ดีเปิดใจรับเป็นคนตลก แต่ซีเรียสเวลาทำงาน ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง วันหน้าจะลงพื้นที่พบประชาชนมากขึ้น แจงวาทกรรม “สืบทอดอำนาจ” ทุกพรรคการเมืองก็ทำกันอยู่ ไม่เช่นนั้นจะกระสันเป็นนายกฯ หรือ ข้องใจเผด็จการตรงไหน ตั้งแต่เข้ามามีแต่พวกละเมิดกฎหมายที่เดือดร้อน “อภิสิทธิ์” ย้ำไม่เอาบิ๊กตู่ แต่อย่าโยงจับมือทักษิณ-เพื่อไทย เด็ก ปชป.สอนน้องช่อย้อนเกล็ดให้เคลียร์เรื่องธนาธรอยากพาแม้วกลับดีกว่า “วันชัย” อัดเละมาร์คตัดช่องน้อยแต่พอตัว ถามผู้ใหญ่ในพรรคหรือยัง
    เมื่อวันอังคาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างอารมณ์ดี โดยใช้เวลาตอบคำถามสื่อมวลชนเกือบ 40 นาที ซึ่งก่อนตอบคำถาม พล.อ.ประยุทธ์ได้กระเซ้าสื่อมวลชนว่า พอเห็นคำถามของสื่อ แม้เป็นคำถามที่น่าสนใจ แต่ต้องขอเวลารวบรวมสติของตัวเอง เพราะการเป็นนายกฯ ประเทศนี้ต้องไร้ความรู้สึก โมโหใครไม่ได้ วันนี้จึงลดบทบาทความเป็นทหารให้มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อการเมือง แต่ต้องห่วงสุขภาพตัวเอง ถ้าเครียดมากเดี๋ยวเป็นอะไรไปอีกก็จะลำบาก ครอบครัวก็ลำบากไปด้วย
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการปรับลุคส์ตัวเองผ่านสื่อโซเชียลมีเดียว่า หลายคนถ้ารู้จักตนจะรู้ว่าเวลาทำงานเป็นคนเอาจริงเอาจัง อาจไม่มีรอยยิ้มบ้าง แต่เวลาที่อิสระ อยู่กับเพื่อนฝูง โดยเฉพาะกับครอบครัว เป็นคนตลก สามารถพูดตลกได้ และซีเรียสก็ได้ แต่ด้วยภาระหน้าที่บางครั้งก็เปลี่ยนไม่ทัน ขอความเห็นใจบ้าง สิ่งที่ค่อนข้างซีเรียสมีเรื่องเดียว คือการทำงาน ต้องเอาจริงเอาจัง เพราะอยู่มาตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีสุดท้าย ปัญหายังไม่จบสิ้น ซึ่งค่อนข้างซีเรียส เพราะถือว่าเรื่องของกฎหมายและความมีระเบียบวินัยของคนในชาติเป็นสิ่งสำคัญ ขอให้เข้าใจกันบ้าง
    “ผมเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะ ยิ้มง่าย เว้นแต่สื่อจะสร้างภาพลักษณ์ของผมอย่างไร เวลาผมหน้ายิ้ม สื่อไม่ชอบนำเสนอ ชอบเวลาที่ผมหงุดหงิดชี้ไม้ชี้มือ คนก็มองว่ากลายเป็นเผด็จการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวและว่า ที่ผ่านมาค่อนข้างเก็บตัว เพราะไม่อยากเป็นภาระทั้งในเรื่องทีม รปภ.และยานพาหนะต่างๆ รวมทั้งไม่อยากให้เกิดความวุ่นวาย เพราะส่วนใหญ่ก็รู้จักตน อยากไปนั่งดื่มกาแฟสักทีเพื่อดูว่าการค้าขายเป็นอย่างไร แต่จะไปสักทีก็ลำบาก วางตัวก็ลำบาก ยืนยันไม่ใช่คนถือตัว ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง พยายามไปพบปะประชาชนทั้งในวันนี้และวันหน้า
    นายกฯ ย้ำว่า ไม่เคยสบายใจตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ ไม่ได้ปฏิเสธการทำงาน เพราะทั้งหมดถือเป็นความรับผิดชอบ ตลอดเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ยอมรับว่าบางครั้งก็ทำให้เครียด เนื่องจากมีหลายอย่างที่ต้องแก้ วันนี้เราพูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำทั้งหมด บางเรื่องต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะติดขัดข้อกฎหมาย และต้องฟังเสียงประชาชน ซึ่งเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ทำอย่างไรจะลดความขัดแย้งให้มากที่สุด
“ลุงตู่”ขอความเป็นธรรม
    เมื่อถามว่า ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะมีคำแนะนำอย่างไรในการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้มีกฎหมาย มี พ.ร.บ. มีระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว ขอเพียงว่าใครก็ตามที่จะมาเป็นนายกฯ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ตามอำนาจในการบริหารที่มีธรรมาภิบาล และต้องขอความร่วมมือทุกคนที่จะมาร่วมรัฐบาล ให้ช่วยกันปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมือง ทำให้ประชาชนไม่เกิดความขัดแย้งเป็นพวกนี้พวกโน้น เป็นพวกนายกฯ หรือไม่ใช่พวกนายกฯ ทั้งหมดคือคนไทย ไม่เช่นนั้นพอการเมืองมีปัญหา ประชาชนก็จะมีปัญหาไปด้วย เพราะต่างคนก็รักชอบพอ คนละอย่าง คนละพวก วันนี้จึงต้องแก้ไขใหม่ทั้งหมดด้วยการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอให้ช่วยกันพิจารณาให้ดี ทำอย่างไรที่จะทำให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ไม่ใช่ 1-2 ปีแล้วเลิก ทุกคนชอบของใหม่กันตลอด แล้วเริ่มใหม่กันมากี่ครั้งแล้ว ถอยหลังถอยหน้ากันอยู่แบบนี้ ส่วนการจัดตั้งรัฐบาล หลังเลือกตั้งค่อยว่ากันขึ้นอยู่กับประชาชนต้องการผู้นำแบบไหน รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคทุกคนก็รู้จัก ก็ต้องไปดูว่าจะพิจารณาใคร พอใจใคร มีผลงานเป็นรูปธรรมอะไรบ้าง แต่ก็ขอให้ความเป็นธรรมกับตนเองด้วยว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง
    พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงการลงไปช่วยพรรค พปชร.หาเสียงว่า ก็ต้องดูข้อกฎหมายของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แม้บอกว่าไปได้ แต่ก็ต้องระมัดระวังตัวเอง เพราะในฐานะที่เป็นตัวเลือกก็ต้องพิจารณาว่าจะทำอะไรได้แค่ไหน เพราะไม่อยากให้มีข้อขัดแย้งอีก ไม่อยากให้ฟ้องร้องและปัญหาในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีวันจบหรอกประเทศไทยช่วงนี้ต้องลดราวาศอกกันบ้าง ถ้าจับจ้องกันหมดทุกเรื่องก็จะเป็นอยู่แบบเดิม สิ่งดีๆ จะไม่เกิดขึ้น และที่เห็นทุกวันนี้ การออกหน้าสื่อทุกช่องล้วนเป็นความขัดแย้งทั้งสิ้น ยืนยันว่าจะไม่ไปขัดแย้งกับใคร หน้าที่ของตนคือทำให้ประเทศชาติปลอดภัย
    นายกฯ ยังกล่าวถึงการส่งบทกลอนไปยังเวทีปราศรัยของพรรค พปชร.ที่จังหวัดนครราชสีมา ว่าเป็นสิทธิ เพราะเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แล้ว มีการแต่งกลอนโน่นนี่ไปเรื่อย ใครอยากเอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ได้ ทำในฐานะนักกลอนคนหนึ่ง จะไม่ให้ทำอะไรเลยหรืออย่างไร ทีคนอื่นทำนั่นทำนี่โครมๆ ไม่เห็นสื่อไปว่ากันบ้าง จ้องแต่นายกฯ อย่างเดียว วันนี้ก็พยายามแยกบทบาทของตัวเองระหว่างหน้าที่นายกฯ และผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ ยอมรับว่ายากเหมือนกัน โดยเฉพาะการเป็นนายกฯ ของประเทศนี้
    “เมื่อก่อนมีแบบนี้หรือไม่ ทั้งหมดก็ออกไปหาเสียงกันโครมๆ ไม่เห็นมีใครว่า ในอดีตก็ทำกันมาโดยตลอด นายกฯ ที่มาจากการเมืองออกไปหาเสียงกันโครมๆ ผมยังเคยต้องไปดูแลเขาเลยตอนเป็นทหาร” นายกฯระบุ
    เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรใกล้โค้งสุดท้ายการเลือกตั้งโพลยังหนุนให้นั่งนายกฯ ต่อ แต่คะแนน พปชร.ยังตามพรรคอื่น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มันสุดท้าย แต่ก็ยังไม่ท้ายสุด วันนี้จะโค้งสุดท้ายอะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ขอขอบคุณที่โพลยังหนุนให้นั่งนายกฯ ต่อ ขอบคุณประชาชนที่สนับสนุน แต่ก็อยากรู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะโพลก็คือโพล แต่ก็ต้องขอบคุณ แต่ขอให้รักประเทศชาติมากกว่า เพราะสำหรับตนเองแล้ว สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องมาเป็นหลัก และประชาชน คือจิตที่มั่นในการทำงานตลอดไป ถ้ายังได้มีโอกาสทำงานก็แค่นี้ 
แจงเรื่องสืบทอดอำนาจ
    “ช่วงนี้ผมถึงต้องพยายามทำตัวให้เครียดน้อยลง ไม่เช่นนั้นเส้นเลือดในสมองแตกตายไปแล้ว ถ้าไปมัวฟังการวิจารณ์ตรงนั้นตรงนี้ ฟังหาเสียงมาด่าผมบ้าง ผมก็ไม่เคยไปด่าตอบใครสักคน ก็ขออย่าไปให้ความสนใจมากนัก ถ้าผมสนใจทุกเรื่อง ป่านนี้ผมตายไปแล้ว วันข้างหน้าเขามีกฎหมายอยู่แล้ว ไม่อยากให้ใช้”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วาทกรรมสืบทอดอำนาจ เรื่องนี้ยอมรับว่ามันพูดยาก การสืบทอดอำนาจทางการเมืองเขาก็ทำกันอยู่ ไม่เช่นนั้นทุกคนอยากเป็นนายกฯ หรือมีพรรคการเมืองใดไม่อยากเป็นนายกฯ ไม่อยากเป็นรัฐบาลบ้าง ก็สืบทอดอำนาจทางการเมืองเหมือนกันนั่นแหละ ของตนเองที่มามันอาจจะคนละแบบ อย่าลืมว่าเป็นนายกฯ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ก็เป็นนายกฯ ไปแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหารเสียเมื่อไหร่ ถ้าวันนั้นไม่มีรัฐธรรมนูญออกมา ไม่ทำให้เรียบร้อย หยุดสถานการณ์ไม่ได้ก็เป็นกบฏสิ เพราะฉะนั้นมันจบไปแล้วตั้งแต่ตรงโน้น จากนั้นก็เป็นนายกฯ ตามกฎหมาย อย่าไปย้อนแย้งกลับไปกลับมา มันจะไม่จบเสียที ต้องดูว่าเป็นนายกฯ แล้วทำอะไรไปบ้าง ทำความเสียหายอะไรให้กับประเทศบ้าง ที่ไม่ได้เป็นไปตามวาทกรรมที่พูดกันออกมา
    “ผมมีผลงานเยอะแยะ หากให้พูดก็คงพูดไม่หมด  แล้วลองถามคนที่พูดว่าผมเป็นเผด็จการ ถามดูว่าตั้งแต่เข้ามาประชาชนผู้ประกอบการเดือดร้อนอะไรหรือเปล่า ทุกคนยังดำเนินชีวิตตามปกติ แม้แต่การประท้วงหลายครั้งก็สามารถทำได้ เว้นแต่บางคนที่ละเมิดกฎหมาย อย่าลืมว่าการจะทำประชาธิปไตยอะไรก็ตาม ต้องไม่ละเมิดกฎหมาย อย่าอ้างประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญอย่างเดียวไม่ได้ รัฐบาลต่อไปต้องเป็นแบบนี้ เราเคยชินกับรัฐบาลแบบที่อะไรก็ได้ การทำอะไรให้ประชาชนรักอย่างเดียวมันง่าย”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า การทำงาน 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาของตนเองคือประชาชน ในทางการเมือง นายกฯ คือผู้รับอาสาเข้ามาทำงานด้วยความเต็มใจที่อยากจะมา แต่ตนมาเพราะความจำเป็น ต้องแยกให้ออกว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น อย่าเพิ่งลืมก่อน 22 พ.ค.2557 เข้าทำเนียบฯ กันมาได้ง่ายหรือ การค้าขายตามท้องถนนทำได้หรือไม่ ปัญหาการจราจรติดขัด อย่าเอาทุกอย่างมาปนกัน ถ้าทำงานมาแล้วไม่ดีเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็แย่ลง ก็เป็นอีกเรื่อง แต่วันนี้เศรษฐกิจและจีดีพีดีขึ้นทุกตัว เว้นแต่ปัญหารายได้น้อยที่ต้องปรับโครงสร้างอีกหลายเรื่อง อยากให้เข้าใจความตั้งใจของตน ต้องยอมรับว่าปัญหาหลายอย่างแก้ยาก แต่ก็จะทำต่อ ถ้ามีโอกาสก็จะทำให้
    สำหรับกรณีการวิจารณ์ถึงท่าทีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ประกาศจุดยืนไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวย้ำในระหว่างลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงที่ไม่ไปตอบโต้ใครทั้งนั้น เพราะได้แถลงครบถ้วนแล้ว ยืนยันว่าการตัดสินใจประกาศจุดยืนของพรรคเพื่อนำประเทศออกจากวังวนของความขัดแย้ง เพราะเงื่อนไขความขัดแย้งในอนาคตจะเกิดจากเรื่องการสืบทอดอำนาจกับการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งพรรคชูเรื่องประชาธิปไตยสุจริต
ย้อนอนค.กลับไปส่องกระจก
    “เราพูดจุดยืนชัดเจน ฉะนั้นการที่บอกว่าเราไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรเลยกับการที่ไปจับมือกับนายทักษิณ หรือพรรคเพื่อไทย เราขึ้นเวทีกับพรรคเพื่อไทยมาหลายเวที ทั้งสองฝ่ายยืนยันตรงกันว่าไม่มีการจับมือ และไม่ร่วมกันก็ชัดเจนอยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า การประกาศจุดยืนไม่ใช่วาทกรรม เพราะคำขวัญของพรรคชัดเจนอยู่แล้วคือ “สจจ เว อมตา วาจา” เรารักษาคำพูด เราต้องเป็นแกนหลักในการนำพารัฐบาลเพื่อนำพาประเทศ ไม่ได้ปิดกั้นพรรคการเมืองอื่นๆ นอกเหนือจากเครือข่ายของนายทักษิณหรือพรรคเพื่อไทย ใครที่อยากจะมาทำงานสนับสนุนเรา เราก็ทำงานได้ด้วย แต่เงื่อนไขคือเดินหน้าตามอุดมการณ์ นโยบาย และทิศทางของเรา
    นายเชาว์ มีขวด รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ออกมาเรียกร้องให้ ปชป.ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรค พปชร. แทนที่จะประกาศไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อย่างเดียว ว่านายอภิสิทธิ์พูดถึงหลักการจะร่วมรัฐบาลกับ พปชร.ไว้ชัดเจนว่าต้องไม่หนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และไม่หนุนการสืบทอดอำนาจ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่โฆษกพรรค อนค.เคยไปพูดไว้ในเวทีดีเบตที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ดังนั้นถ้าคิดในมุมของโฆษกพรรค อนค. ที่กล่าวหาหัวหน้าพรรค ปชป. ก็ต้องย้อนกลับไปถามว่าด้วยหลักการเดียวกันนี้ อนค.หวังใช้ พปชร.ดันหัวหน้าพรรคตัวเองเป็นนายกฯ ด้วยใช่หรือไม่ เพราะพร้อมร่วมรัฐบาลกับพรรค พปชร. ถ้าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์และการสืบทอดอำนาจ
    “แทนที่โฆษกพรรคอนาคตใหม่จะมาตั้งคำถามกับ ปชป. ให้ไปหาคำตอบมาชี้แจงประชาชนดีกว่าที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคคิดรื้อฟื้นคดีทักษิณขึ้นมาใหม่ และบอกว่าต้องใช้ผู้พิพากษาที่เป็นกลางนั้นหมายถึงอะไร ที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่ไม่เคยพูดเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันของทักษิณและเครือข่าย แต่กลับมีแนวคิดไม่แตกต่างอะไรกับลิ่วล้อนายทักษิณ ที่เคยพยายามจะทำจนนำไปสู่ความวุ่นวายในบ้านเมือง กระทั่งจบลงที่การรัฐประหาร มีจุดยืนทางการเมืองที่เดินเคียงข้างพรรคเพื่อไทยใช้วิธีก้าวร้าว แบ่งแยกประชาชน จะนำประเทศไปสู่ความขัดแย้งหรือไม่ ผมอยากให้ย้อนมองดูตัวเองก่อน แล้วค่อยมาวิจารณ์คนอื่น” รองโฆษก ปชป.กล่าว
    นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ประกาศจุดยืนว่า ชัดเจนดี เพื่อคนจะได้เอาไปตัดสินใจประกอบการเลือกตั้ง เช่นเดียวกับพรรคที่ชัดเจนว่าไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจทั้งตัวบุคคลและอุดมการณ์
    ส่วนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรค พท. ระบุว่า ถ้าพรรค ปชป.กลายเป็นพรรคต่ำร้อย นายอภิสิทธิ์ยังยืนยันจะรับผิดชอบโดยการลาออกหรือไม่ และเมื่อลาออกแล้วจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกหรือไม่ และเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรค ปชป.ยังไม่มีมติพรรคในการไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเปิดทางให้หลังเลือกตั้งสามารถมาร่วมรัฐบาลกับพรรค พปชร. หรือกลับลำไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ได้ ถ้าจะให้เกิดความชัดเจนควรให้เป็นมติพรรคในการยืนยันท่าทีโดยเร็ว
    นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้สมัคร ส.ส.เขต พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอให้นายอภิสิทธิ์อย่ากลืนน้ำลายตัวเอง ไม่เช่นนั้นต่อไปคำพูดของนายอภิสิทธิ์จะไม่มีใครเชื่อถืออีก เหมือนนักการเมืองบางคนที่เคยประกาศเลิกเล่นการเมืองแล้วกลับมาตั้งพรรคการเมือง และประกาศชัดเจนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
ซัด'มาร์ค'ตัดช่องน้อย
    ส่วนนายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โพสต์เฟชบุ๊กในเรื่องนี้ว่า เป็นการทิ้งไพ่ตายก่อนโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง และทำให้ตายจริงๆ ทั้งคนในและนอกพรรคงงเป็นไก่ตาแตกว่าหัวหน้าพรรคกินยาผิดสำแดงหรืออย่างไร เพราะที่พูดจาปราศรัยอย่างนี้ ไม่ต่างอะไรกับหัวหน้าพรรคเด็กใหม่ๆ อย่างนายธนาธร ที่หวังแต่สร้างภาพให้ดูดี เรียกคะแนนจากคนบางกลุ่มโดยไม่คำนึงถึงความจริงทางการเมือง
    “ท่ามกลางการเมืองที่แบ่งเป็นขั้วกันชัดเจนเช่นนี้ หันไปทางซ้ายก็เพื่อทักษิณ หันมาทางขวาก็เป็นซีกไม่เอาทักษิณ เอาประเทศชาติเป็นสำคัญ แล้วคุณอภิสิทธิ์จะเอาอะไรที่ประกาศมาเช่นนั้น ถามผู้หลักผู้ใหญ่และสมาชิกของประชาธิปัตย์แล้วหรือยัง หรือรู้อยู่แล้วว่าถึงอย่างไรประชาธิปัตย์ก็ได้ไม่ถึง 100 เสียง ซึ่งคุณอภิสิทธิ์ก็ต้องลาออกอยู่แล้วจึงพูดเป็นการทิ้งไพ่ตายเพื่อจะได้ตายไปตามคำประกาศ แต่ลืมนึกถึงคนในพรรคประชาธิปัตย์ว่าเขาจะคิดอย่างไร ถ้าพูดกันแบบไม่เกรงใจก็เหมือนเป็นการตัดช่องน้อยเฉพาะตัวหรือเปล่า” นายวันชัยโพสต์
    นายวันชัยระบุอีกว่า เรื่องสืบทอดอำนาจเผด็จการนั้น ก็เป็นเรื่องที่พูดกล่าวหาเอามันเท่านั้นเอง เพราะหลังเลือกตั้งแล้ว แม้ พล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ ก็ไม่มีทางเป็นเผด็จการได้ ต้องถูกควบคุมกำกับดูแลจากนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งการประกาศของคุณอภิสิทธิ์ครั้งนี้ เป็นการเปลือยให้เห็นธาตุแท้ และทำให้รู้ว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจที่จะสร้างความขัดแย้งทางการเมืองต่อไปในอนาคตอย่างแท้จริง และจะทำให้หูตาของประชาชนสว่างขึ้น ตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ง่ายขึ้น
    ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แสดงความเป็นห่วงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย ที่อยู่ในผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับที่ 2 ว่าจะไม่ได้เป็น ส.ส. เนื่องจากจำนวน ส.ส.ที่พึงจะได้ของพรรค พท.เต็มกับ ส.ส.เขตไปหมดแล้ว นอกจากนี้นโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายเก่าๆ ที่เหมือนไปเอาของบรรพบุรุษมาใช้ ไม่มีอะไรใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม ผิดกับของเราที่ใหม่ สด และทำได้จริง
    "หลังเลือกตั้ง ตั้ง ครม.ได้ เราจะเอา พล.อ.ประยุทธ์ คสช. และมาตรา 44 กลับไป แต่จะเอาลุงตู่กลับมา เอาความแข็งแกร่งของท่านมาดูแลเรื่องความมั่นคง ส่วนการบริหารด้านอื่นๆ จะเป็นนักการเมืองมืออาชีพที่ช่วยกัน" นายสมศักดิ์ระบุ.

ติดซอยตัน

เหลืออีก 11 วันเท่านั้น การเลือกตั้งใหญ่ที่ถูกใส่กุญแจล็อกมา 5 ปีจะเกิดขึ้นอีกครั้งเพื่อให้คนไทย 51 ล้านคนร่วมกำหนดอนาคตการเมืองไทยด้วยตัวเอง

แต่ประเด็นร้อนๆก่อนเลือกตั้งยังอยู่ที่กรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาทิ้งบอมบ์ประกาศจุดยืนไม่สนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” สืบทอดอำนาจการเมือง

การประกาศไม่เอาลุงตู่ ก่อนวันเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ เกิดผลกระเทือนไปถึงพรรคพลังประชารัฐอย่างรุนแรง

ทำให้แผนจับขั้วตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งเกิดขัดลำกล้องทันที

คนที่โมโหหนักกว่าใคร คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แห่งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ประกาศจุดยืนหนุน “ลุงตู่” สุดลิ่มทิ่มประตู

ลุงกำนันฉุนขาดประกาศทวงบุญทวงคุณกับนายอภิสิทธิ์แบบจัดหนักจัดเต็ม

“ผมอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ 37 ปี ผมเป็นเลขาธิการพรรค เป็นผู้บริหารพรรคคนสำคัญคนหนึ่ง และผมบอกกับพี่น้องตรงๆเลยว่า ผมเป็นคนทำให้ “อภิสิทธิ์” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี”

“ถ้าไม่ใช่เพราะผม ไม่รู้ว่าชาติหน้ามันจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นี่แหลงกันตรงๆ”

แต่วันนี้ “อภิสิทธิ์” มาประกาศแล้วว่าเลือกตั้งคราวนี้ เขาไม่สนับสนุน “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แน่นอน ผมก็ข้องใจอยากจะถาม “อภิสิทธิ์” ว่าตกลง “อภิสิทธิ์” ยืนข้าง “ทักษิณ” เต็มตัวแล้วใช่มั้ย นี่แสดงว่าถ้าฝ่ายทักษิณเทคะแนนให้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ เอาทันทีใช่มั้ย

“นี่แสดงว่ามึงอยากเป็นนายกฯ จนลืมหัวกูแล้วใช่มั้ย”

แค้นจัดขนาดขึ้นมึงขึ้นกูกันทีเดียว

“แม่ลูกจันทร์” ประเมินว่าการประกาศต่อต้าน “ลุงตู่” ไม่ให้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพื่อสืบทอดอำนาจการเมือง

น่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ดูดีขึ้นพอสมควร

แต่ถ้ามองลึกๆ การประกาศจุดยืนไม่เอาลุงตู่และพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเอง

โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการคือ...

1, ไม่สนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์” สืบทอดอำนาจการเมือง

2, ไม่ขัดข้องถ้าพรรคพลังประชารัฐจะเข้าร่วมเป็นรัฐบาล แต่ต้องไม่มี “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี

3, ไม่ร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย พรรคคู่กัดอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าเงื่อนไข 3 ข้อของ “นายอภิสิทธิ์” จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เดินไปติดซอยตัน

เพราะพรรคพลังประชารัฐ จะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์

ถ้าไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

พรรคเพื่อไทยจะไม่มีทางฆ่าตัวตายทางการเมืองด้วยการร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์

หรือยกมือให้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกรัฐมนตรี

และพรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่มีจำนวน ส.ส.มากเพียงพอที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการประกาศตัวเป็นขั้วที่ 3 ของพรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้การจับขั้วตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งยุ่งยากขึ้นอีกเท่าตัว

เพราะจะไม่มีขั้วไหนรวบรวม ส.ส.ได้เกินครึ่งสภาฯ

ยกเว้น...ถ้าผลเลือกตั้งใหญ่วันที่ 24 มีนาคม มีพรรคใดพรรคหนึ่งชนะเลือกตั้งถล่มทลาย กวาด ส.ส.ได้ถึง 200 คน

พรรคไหนจะอุ้ม ส.ส.เข้าสภาฯได้ถึง 200 คน??

เว่อร์ไปหน่อยมั้ยโยม.

“แม่ลูกจันทร์”


ชัวร์ล็อกสเปคกันแล้ว

กองแช่ง” โห่ฮา เซ็งไปตามๆกัน

ล่าสุด พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยผลการสอบสวนคำร้องเรื่องการจัดโต๊ะจีนระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ จากการตรวจสอบนิติบุคคล 40 ราย และบุคคล 84 คน ไม่พบการบริจาคจากต่างชาติ

จึงถือว่าไม่มีความผิดที่จะเข้าข่ายยุบพรรค โดยจะสรุปเรื่องดังกล่าวส่งให้ กกต.ต่อไป

“พลังประชารัฐ” รอด หนีไม่พ้นเสียงก่นด่า 2 มาตรฐาน

โดยอาการของทีมดูไบและพรรคการเมืองฝ่ายโหนประชาธิปไตยที่จ้องตัดแต้มต่อของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องช่วยกันตีปี๊บ รัวเกราะเคาะไม้

ประจานการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมของเผด็จการทหาร

แต่กฎหมายก็คือกฎหมาย ในเมื่อโดยท้องเรื่องพลังประชารัฐไม่ได้ผิดจะจะ แบบจงใจเล่นกับไฟเหมือน “บิ๊กเซอร์ไพรส์” พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)

จะให้ลากเป็นโทษหนัก “ตายตกตามกัน” มันก็ใช่ที่

และก็ไม่ยอมตายง่ายๆเหมือนกัน กับสถานการณ์ดิ้นหาช่องหายใจของทีมพรรคไทยรักษาชาติ

หาโอกาสฟื้นคืนชีพไม่ยอมสูญสลายหลังโดนศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค

ตามปรากฏการณ์สะท้อนจากยุทธศาสตร์ จังหวัดแพร่ “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล อดีตแกนนำและผู้สมัคร ส.ส.แพร่ พรรคไทยรักษาชาติ

จัดฉากชาวบ้านกองเชียร์รณรงค์ “โหวตโน” ล่วงหน้า

เป้าหมายเพื่อให้แต้มช่องประสงค์ไม่ลงคะแนน เหนือกว่าคนที่ได้ที่หนึ่ง ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ แล้วจะเป็นโอกาสให้ผู้สมัครคนอื่นของพรรคตระกูลเพื่อ ลงสมัครยึดพื้นที่ภายหลัง

หรือกับมุกแบบที่นางฐิติมา ฉายแสง ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคไทยรักษาชาติ ประกาศชัด พร้อมจัดรถหาเสียงวิ่งขอโอนคะแนนกองเชียร์ไปให้ผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่

โหนแนวร่วมประชาธิปไตยต้านทหารตามสูตรสำเร็จทีมดูไบ

“นายใหญ่” ไม่ยอมให้แต้มหาย ยุทธศาสตร์ทีม ทษช.แต่ละพื้นที่ “ขายผ้าเอาหน้ารอด” ตามวิธีที่คิดได้

สถานการณ์ต่อเนื่องกับการรุมทึ้งซากของ ทษช.

เสียงของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ประกาศโปรดฟังอีกครั้ง ไม่สนับสนุน “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สืบทอดอำนาจ

เป็นไพ่ใบสุดท้ายของคนที่แทบไม่เหลือโอกาสลุ้นเดิมพัน ไม่มีอะไรจะเสีย

หวัง “ฟลุก” ปลุกกระแสพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจ หันมาเทแต้มให้ประชาธิปัตย์พุ่ง สานฝัน “อภิสิทธิ์” กลับมาแก้ตัวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หรืออย่างน้อยก็ได้ “เบ่ง” ตัวเลขของประชาธิปัตย์ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในดีลร่วมรัฐบาล

โดยที่ “อภิสิทธิ์” จะได้เล่นบทพระเอกหล่อส่งท้าย โชว์สปิริตลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะนำทีมแพ้เลือกตั้ง โดยที่ประทับภาพอุดมการณ์ไม่หนุนการสืบทอดอำนาจผู้นำทหาร

“อภิสิทธิ์” ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน

และที่ได้เต็มๆก็คือ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รีบถีบ “อภิสิทธิ์” ไปอยู่กับ “ทักษิณ” ดึงคะแนนปักษ์ใต้ แฟนประชาธิปัตย์ ไหลกลับมาที่พรรครวมพลังประชาชาติไทย

แต่ทั้งหมดทั้งปวง โดยสถานการณ์มันสะท้อนว่าทุกอย่างอยู่ในมือ “ลุงตู่”

ล่าสุดวัดจากปรากฏการณ์ที่แฝงความมั่นใจว่าจะได้ตีตั๋วต่อ กับสิ่งที่ “นายกฯลุงตู่” ตอบคำถามนักข่าว ชัดถ้อยชัดคำเลยว่า ถ้าวันหน้ากลับมาเป็นนายกฯจะมีทีมที่คัดสรรมาอย่างดี อย่างที่พยายามบอกกับประชาชน ถ้าอยากทำต้องทำให้สำเร็จ ทีมที่จะมาทำงานต้องคัดสรรหา ไม่ใช่เอาทีมเดิมทั้งหมด

ต้องคัดสรรมาใหม่มาจากการเมือง ต้องเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจหน้าที่ในการขับเคลื่อน

นายกฯต้องมีแรงขับเคลื่อนและอยู่ในกรอบให้มากที่สุด

แน่นอนแปลความตามจุดนี้ มันคือพันธสัญญารัฐบาลต่อไป การทำความเข้าใจล่วงหน้ากับคนในทีมพรรคพลังประชารัฐ นักการเมืองขาใหญ่ จอมเก๋าทั้งหลายที่จ้องเข้ามาคุมกระทรวงปั่นโปรเจกต์

อย่าหวังอาศัยต้นทุนโปร่งใสของ “ลุงตู่” เป็นใบเบิกทางในการทำมาหากินแบบเก่าๆ

รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่มั่นใจได้เสียบเป็นตัวแปร ประเภทที่ไม่ทันไรก็มีขาใหญ่ประกาศผ่านข้าราชการ ขู่เป็นนัยจะเข้ามาคุมกระทรวงคมนาคม ล็อกเมกะโปรเจกต์เอื้อธุรกิจตัวเอง เล็งขุมทรัพย์บริษัทการท่าฯ ตั้งธงมาถอนทุนบวกกำไร ไม่มีทางได้ขี่คอนายกฯ กรรโชกกันได้ง่ายๆ

รัฐบาลเปลี่ยนผ่านห้วงเวลาพิเศษ มันต้องคัดพิเศษจริงๆ.

ทีมข่าวการเมือง