ชำแหละ‘ขั้วการเมือง’ มองสูตรตั้ง‘รัฐบาล’
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.นเรศวร
นายอภิสิทธิ์จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อหาวิธีจับคู่ เช่นจาก 250 ส.ว.เพื่อจะได้แบ่งเสียงส่วนหนึ่งมาจัดตั้งรัฐบาล อาจจะไปจับมือกับพรรคเล็กหรือพรรคขนาดกลาง เช่น ภูมิใจไทย หรือชาติไทยพัฒนา แต่ที่แน่ๆ คือตัดเพื่อไทยออกจากตัวเลือก เนื่องจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาพูดชัดเจนแล้ว ส่วนโอกาสที่ประชาธิปัตย์จะจับกับอนาคตใหม่นั้น ถ้ามองจากอุดมการณ์ของพรรคการเมืองก็น่าจะยาก แต่ก็ยากน้อยกว่าที่จะจับกับเพื่อไทย
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองทางมีโอกาสน้อยมาก คิดว่าพรรคที่น่าจะจับมือกันได้จะเป็นพรรคที่เคยร่วมงานกันมาก่อนหน้านี้ เช่น ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ทั้ง 2 พรรคนี้น่าจะมีคะแนนเสียงรองลงมาจากประชาธิปัตย์ และจะเป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลที่นายอภิสิทธิ์มีโอกาสได้เป็นนายกฯ
ถ้าดูตามข้อเท็จจริงจะเห็นว่าตอนนี้ทุกพรรคการเมืองต่างไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ยกเว้นพลังประชารัฐ ประชาชนปฏิรูป และรวมพลังประชาชาติไทย หากอยากเป็นรัฐบาลก็ต้องจับมือกันเอง เมื่อมาดูแล้ว นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะจับกับเพื่อไทยได้หรือไม่ แล้วนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ จับกับเพื่อไทยได้หรือไม่ หรือนายอนุทินและนายสุวัจน์ จะจับมือกับนายอภิสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่เพื่อไทยจะถูกบีบมากกว่า ตกลงกันยากกว่า
เมื่อดูจากระบบการเลือกตั้งครั้งนี้ โอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลก็จะยากหากไม่มี ส.ว.ในมือ จากที่คนพูดกันว่า พลังประชารัฐมี 250 เสียงไว้ก็วินแล้ว คือต้องได้ทั้งหมด 375 เสียง ถามว่าจะมีพรรคการเมืองไหนที่มีเสียงข้างมากที่เด็ดขาดในสภาผู้แทนราษฎรบ้าง เนื่องจากมี 250 เสียง ก็ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หมายความว่า ถ้า ส.ว.ของพรรคการเมือง เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จริง ได้เสียงข้างมากในสภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฎร ก็ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
สำหรับนายอภิสิทธิ์มีแนวทางเดียวคือไปจับกับพรรคอื่นๆ แล้วไปแบ่งเสียง ส.ว.ให้ได้ แต่โอกาสที่จะจับกับพลังประชารัฐ นายอภิสิทธิ์ก็พูดค่อนข้างชัดว่าไม่เสนอแคนดิเดตเป็น พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นพลังประชารัฐก็ต้องไปง้อให้นายอภิสิทธิ์เสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตให้ได้ เว้นแต่พลังประชารัฐทิ้ง พล.อ.ประยุทธ์แล้วมาเอานายอภิสิทธิ์ ก็มีโอกาสที่จะจัดตั้งรัฐบาลกันได้ แต่จะขัดเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเสนอชื่อแคนดิเดตไปแล้วและนายอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ลิสต์รายชื่อนั้น
อาจารย์คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ ม.บูรพา
อาจไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นพรรคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ หรือพรรคแนวร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อที่จะต่อสู้กับเพื่อไทยและเครือข่าย
อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ต้องยอมรับว่า พรรคพลังประชารัฐลงทุนไปมาก กติกาต่างๆ ก็ออกมาเอื้อทุกอย่าง อีกทั้งยังเป็นพรรคที่ถืออำนาจรัฐอยู่ คงไม่มีทางที่จะอยากแพ้อยู่แล้ว แต่การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯ ด้วยเสียง ส.ส.เพียง 126 เสียงแล้วนำไปบวกกับ 250 ส.ว. บอกเลยว่า เสียว
การเป็นรัฐบาลด้วยเสียงข้างน้อยอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือนก็จบ แม้จะวัดใจให้จบโดยหวังว่าจะไปเลือกตั้งใหม่อีก แล้วให้เสียง 250 ส.ว.เลือกกลับมาอีกครั้ง ก็จะยิ่งยากกว่าเดิมมากวันนั้นมาถึง คนจะยิ่งเห็นเสถียรภาพของรัฐบาลว่ายิ่งฝืนยิ่งเจ๊ง แล้ววันนั้นจะเป็นการเลือกตั้งที่คนจะยิ่งเทให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิมอีกแน่นอน
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกฯต้องมีเสียง ส.ส.เกินครึ่งไปอีก 20-30 เสียง หรือ 280 ขึ้นไป ถึงจะอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ โดยไม่ต้องกลัวฝ่ายค้าน
ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตย หากดูบรรยากาศในช่วงโค้งสุดท้าย เป็นไปได้สูงที่ประชาชนจะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งกันสูงมาก หากวันที่ 24 มีนาคมนี้เป็นจริง โอกาสที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้เสียงเกินครึ่งหรือ 251 เสียงขึ้นก็มีสูงมากเช่นกัน แม้ว่าจุดอ่อนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยขณะนี้ คือการที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ แต่หากพรรคที่เหลือ อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ และเสรีรวมไทย ลงสนามแล้วได้เสียงรวมกันได้ถึง 251 เสียงก็จะเป็นจำนวนที่การันตีให้พรรคขนาดกลาง อาทิ พรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้านไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การมีเสียงปริ่มๆ 250 นิดๆ ต้องระวัง พวกชอบเข้าห้องน้ำบ่อยต่อรองแหกมติพรรคมีทุกยุคทุกสมัยเหมือนกัน ดังนั้น หากฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะ ประชาชนต้องออกมาใช้สิทธิเลือกฝ่ายประชาธิปไตยให้ถล่มทลายเหมือนดอกไม้บานยามเช้าถึงจะหยุดเผด็จการได้ เพราะการจะชนะแล้วการันตีเสถียรภาพด้วย พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องมีเสียงให้ได้ถึง 280 ขึ้นไปเพื่อรวมเสียงกับพรรคขนาดกลางอื่นๆ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ คิดหนักแล้วยอมแพ้ไปตั้งแต่ต้น