PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2561

“บิ๊กป้อม” เหนื่อย กับ Social Media นำเสนอไม่ตรง

“บิ๊กป้อม” เหนื่อย กับ Social Media นำเสนอไม่ตรง
วันเกิด74ปี “บิ๊กป้อม”ให้ผบ.เหล่าทัพ-5เสือเหล่าทัพ 40คน อวยพร ส่วนตัว ขอสื่อ อย่าเอาคำพูดผิดพลาด ไม่ตั้งใจ ไปจุดประเด็น เผย เหนื่อยเพราะsocial media ลงข่าวไม่ตรง ขอพรให้บ้านเมืองสงบ บอกอยากให้ประเทศปรองดองตามกรอบรธน./เผย อาหารป่วย “ติดเชื้อในกระแสเลือด” เชื้อแรง หมอต้องฉีดยาให้2 สัปดาห์ แต่ยังรีบออกมาทำงาน หลังนอน รพ.3วัน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เปิด มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร1รอ.) ให้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายทหารระดับสูง นายตำรวจระดับสูง เข้าอวยพรวันเกิด ล่วงหน้า ย่าง 74 ปี แต่เป็นส่วนตัว ไม่มีการรวมแถว แต่ได้ให้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพและ บิ๊กๆ5เสิอเหล่าทัพ 40 คนเท่านั้นที่ได้เข้าอวยพร

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ขอเป็นส่วนตัว จัดงานเล็ก ๆ โดยเปิดผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้ามาอวยพร และรับประทานอาหารเช้าเพียงเท่านั้น ไม่ได้งานอย่างเป็นทางการเหมือนทุกปีที่ผ่านมา
และยืนยันว่าสาเหตุที่จัดงานเล็ก และปิดบ้านในปีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ แต่อย่างใด
โดยมีการอวยพรเป็นการส่วนตัว ที่ชั้น 2 มูลนิธิป่ารอยต่อฯ โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมอวยพร ว่าขอบคุณทุกคนที่ได้ทำงานร่วมกันมาตลอดหนึ่งปีอย่างเต็มที่ ทำให้งานความมั่นคงประสบความสำเร็จด้วยดี แม้ทหาร ตำรวจจะเป็นเป้าใหญ่ แต่ก็ขอให้อดทน ทำงานต่อไปอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตำรวจเป็น เป้าใหญ่ ก็ต้องอดทน
ส่วน. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ยัง ไม่ได้เข้าร่วมอวยพรช่วงเช้า เพราะติดภารกิจ แจ่จะมาในช่วงเย็น

พล.อ.ประวิตร ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสายทหาร เข้าร่วมอวยพรพร้อมกล่าวกับผู้สื่อข่าวสายทหาร ว่าขอบคุณที่มาอวยพร หนักนิดเบาหน่อย ก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก บางคำพูด ผม ก็ไม่มีเจตนาที่จะพูดไปแบบนั้น แต่ไปแปลให้เป็นประเด็น ทำให้ประชาชนไม่เข้าใจ ขอฝากทุกคน เราก็ทำงานร่วมกันมาดีตลอด ผมไม่มีความขัดแย้งกับใคร ถูกใจด้วยกันทุกคน บางคำถามที่ไม่ถูกใจก็ไม่ตอบ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอบคุณมากที่มาอวยพรวันเกิดในปีที่ 74 ซึ่งอายุมากแล้ว สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ต้องการให้ประเทศชาติเดินหน้า ซึ่งทุกวันนี้ก็เดินไปข้างหน้าอยู่แล้ว
“ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เห็นนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ดำเนินการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมากขึ้น แม้ว่าจะไม่เต็มที่ก็ตาม แต่เราก็ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นทั้งเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ความสงบเรียบร้อย
และตลอดระยะเวลา 4 - 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย ก็ขอขอบคุณทุกคนด้วยความจริงใจ เรารักกัน อย่าเอาประเด็นนิดๆหน่อยๆไปทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
"ผมไม่คิดอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง ต้องการให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว”
ตอนนี้รถไฟรางคู่ต่างๆรถไฟฟ้าก่อสร้างจำนวนมากรัฐบาลพยายามทำทุกอย่างเพื่อประชาชนโดยแท้จริง
ส่วนปัญหาเรื่องสุขภาพนั้น “ก็อย่างที่เห็นอยู่ ผมติดเชื้อเข้ากระแสโลหิต หมอให้ยาวันนี้วันสุดท้ายแล้ว เชื้อมันแรง" พลเอก ประวิตร กล่าว
“ผมอยากขอพรให้ประเทศชาติมีความสำเร็จ ประชาชนอยู่ดีกินดีรักใคร่ปรองดองกันร่วมกันอยู่ภายใต้กฎระเบียบ รัฐธรรมนูญเดียวกัน
ถามว่า จะเข้าสู่ปีที่ 5 ของ คสช.และใกล้ถึงวันเลือกตั้งจะดูด้านความมั่นคงอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่างว่า ทำแบบเดิม ซึ่งก็เรียบร้อยดี ไม่มีอะไร เพราะมีทหารตำรวจและฝ่ายปกครองคอยดูแล ช่วยกัน ทุกฝ่ายร่วมมือกันรวมถึงประชาชน ส่วนการทำงานที่ผ่านมาหนักหรือไม่นั้น เราก็แก้ไขไปเรื่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ
“ก็ดีขึ้น แต่รู้สึกเหนื่อยกับ Social Media เพราะนำเสนอไม่ตรง”
///////////
ให้ประชาชนตัดสิน !!
“บิ๊กป้อม” ไม่ตอบโต้ “ทักษิณ” ถาม จะให้ทำยังไง “ทักษิณ”ยันสู้ต่อสงครามยังไม่จบ ชี้มีหลายพรรคการเมือง ก็ต่อสู้กันต่อไป ในทางประชาธิปไตย ให้ประชาชนตัดสิน ว่า ใครควรจะเป็น
ประวิตร"เชื่อสนช.แก้กม.กกต.โละผู้ตรวจการเลือกตั้งไม่กระทบโรดแม็พ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอแก้ไขพ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในส่วนของผู้ตรวจการเลือกตั้งว่า ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยกกต. ไม่ได้กำหนด ว่า ให้เป็นเรื่อง สนช.และ เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบโรดแม็พ
ส่วน กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศ ต่อสู้ สงครามยังไม่จบ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่าแล้วจะให้ทำยังไง พรรคการเมืองมีหลายพรรคก็ต้องสู้กันไปในทางประชาธิปไตยให้ประชาชน ตัดสินว่าใครสมควร ที่จะเป็น

ผู้พิพากษาจับกลุ่มเสนอก.ต.โดนร้องประพฤติตนไม่เหมาะ ให้ไขก๊อก เพื่อสง่างาม เชื่อถอดถอนยุติ

ผู้พิพากษาจับกลุ่มเสนอก.ต.โดนร้องประพฤติตนไม่เหมาะ ให้ไขก๊อก เพื่อสง่างาม เชื่อถอดถอนยุติ


เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เเหล่งข่าวระดับสูงในศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล อธิบดีผู้พิพากษาภาค2 ได้เวียนหนังสือนำส่งขอให้เข้าชื่อกันถอดถอนกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิ (ก.ต.) หลังพบว่า ก.ต.ดังกล่าวมีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมในศาลจังหวัดเเห่งหนึ่งเเถบภาคตะวันออก ว่า หลังจากได้มีการส่งหนังสือเวียนของนายสืบพงษ์ ได้มีการหารือกันในกลุ่มผู้พิพากษาถึงกรณีดังกล่าว โดยมีผู้พิพากษาหลายคนเสนอเเนวทางว่า ก.ต.ในชั้นศาลฎีกาดังกล่าว ควรที่จะลาออกจากตำเเหน่ง เนื่องจากปกติเเล้วผู้พิพากษาเราจะเคารพกัน ถ้า ก.ต.คนดังกล่าวรู้ตัวก็จะเเสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจะเป็นการสง่างามทั้งตนเองเเละกับศาลยุติธรรม เเละเป็นการเเสดงความรับผิดชอบด้วยตนเองจะถือว่าเป็นผู้ชนะ เเละเชื่อว่าการลงชื่อถอดถอนดังกล่าวก็จะยุติลงด้วยดี
เเหล่งข่าวยังกล่าวถึงการยื่นถอดถอน ก.ต.เทียบกับกับการการถอดถอนผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมืองว่า ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543 บัญญัติเรื่อง ก.ต.เเละกำหนดให้มีระบบตรวจสอบ ก.ต.ของผู้พิพากษาทั่วประเทศ ถ้าเปรียบเทียบกับสภาผู้เเทนราษฎร ซึ่งประชาชนเป็นผู้เลือก ซึ่งเมื่อผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมืองที่ประชาชนเลือกมาทำหน้าที่ไม่ถูกหรือผิดจริยธรรม ประชาชนก็มีสิทธิรวมตัวกันเข้าชื่อยื่นให้ประธานรัฐสภานำเข้าสภาเพื่อถอดถอนได้ ตรงนี้กฎหมายก็บัญญัติไว้ชัดว่านอกจากสภาจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาเเล้วผู้เลือกก็มีสิทธิยื่นคำร้องถอดถอนได้
ส่วนของศาลเราก็มีรูปเเบบที่ว่าผู้พิพากษาเป็นคนเลือก ก.ต.ถึงเเม้ผู้พิพากษาเเต่ละชั้นศาลจะมีสิทธิเลือกเฉพาะชั้นศาลตัวเอง เเต่ก็ถือว่า ก.ต.มาจากการเลือกของผู้พิพากษาทั่วประเทศ ซึ่ง ก.ต.จะมีหน้าที่ ที่จะดูเเลพิจารณาให้คุณให้โทษเลื่อนขั้นผู้พิพากษาทั้ง3ชั้นศาล ถ้า ก.ต.คนใดไม่ว่าจะเป็นชั้นศาลใดทำไม่ถูก ผิดจริยธรรมหรือวินัยอย่างร้ายเเรง ไม่สมควรที่จะเป็น ก.ต.ต่อไปผู้พิพากษาก็จะเข้าชื่อกัน1ใน5เผื่อเข้าสู่กระบวนการถอดถอนได้เช่นกัน

วิถี‘หม่อมเต่า’ ‘ตัวแปร’ทางการเมือง นายกรัฐมนตรี

วิถี‘หม่อมเต่า’ ‘ตัวแปร’ทางการเมือง นายกรัฐมนตรี


นับวันการตัดสินใจ “ถอน” ตัวจากตำแหน่งหัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทยของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ พร้อมกับร่วมผลักดัน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เข้าดำรงตำแหน่ง
จะยิ่งสะท้อนลักษณะในทาง “ยุทธศาสตร์” อย่างเด่นชัด
เฉพาะหน้าที่เห็นก็คือ ส่งผลให้แคนดิเดตในตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” มีเพิ่มขึ้นนอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ตรงนี้ต่างหากที่มากด้วยความแหลมคม
คิดหรือว่า การตัดสินใจเช่นนี้ของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ จะเป็นการตัดสินใจในเชิงปัจเจก โดยมิได้มีการหารือกัน “ภายใน”
อย่างน้อย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องรับรู้
ยิ่งเมื่อ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ โพสต์บอกเล่าความเป็นมาในทางความคิดที่ไม่เสนอตัวเข้าไปแข่งขันพร้อมกับชูภาพ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เข้าไปอยู่ในระนาบ
“พญาครุฑ” ตัวหาญ ก็ยิ่งมีความเด่นชัด
พลันที่ปฏิมาของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เท่ากับ “พญาครุฑ” ก็แทบไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องนำไปวางเรียงเคียงกับเงาร่างของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แค่ “ออกซ์ฟอร์ด”
ขณะที่รากฐานของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ดำเนินไปอย่างที่ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นิยามอย่างรวบรัด
นั่นก็คือ มาจากเคมบริดจ์แห่งอังกฤษ มาจากฮาร์วาร์ดแห่งสหรัฐ
ภายในชั่วข้ามคืนปฏิมาของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ก็อยู่ในระนาบเดียวกันและอาจจะเหลื่อมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยอัตโนมัติ
แม้จะระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยเป็น ผบ.ทบ.

แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เคยเป็นปลัดกระทรวงการคลัง และเคยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
คนหนึ่งเป็น “พลเอก” อีกคนหนึ่งเป็น “หม่อมราชวงศ์”
ในเบื้องต้นท่าทีของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อาจยังต้องระมัดระวังเมื่อประสบเข้ากับคำถามต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เหมือนกับยัง “หนุน” แต่ก็มี “เงื่อนไข”
นั่นก็คือ มิได้หนุนอย่างชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู ตรงกันข้าม เป็นการหนุนบนพื้นฐานที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเข้ามาอยู่ในกฎกติกา
มิใช่แหวกเมฆมาอย่างที่เคยมาดหมาย
ท่าทีเช่นนี้เป็นท่าทีเดียวกันกับที่พรรคภูมิใจไทยระบุ เป็นท่าทีเดียวกันกับที่พรรคชาติไทยระบุ เป็นท่าทีที่แม้กระทั่งพรรคพลังชลก็ระบุ
มิใช่ท่าทีแบบ “สามก๊ก” หากแต่เป็น “สามกั๊ก”
ด่านที่สำคัญอย่างที่สุดจึงอยู่ที่ผลของ “การเลือกตั้ง” ว่าจะออกมาอย่างไร พรรคที่หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มาเท่าไหร่
“จำนวน” ส.ส.ต่างหาก คือ ปัจจัย “ชี้ขาด”
อย่าว่าแต่นามของ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล จะค่อยๆ ขึ้นมาเป็น “ตัวแปร” ในฐานะตัวเลือก 1 หากแม้กระทั่ง 1 ใน “สาม ส.” ภายใน “กลุ่มสามมิตร” ก็มีโอกาส
นี่คือ ความเป็นจริงของ “การเมือง”
การเมืองมีลักษณะ “เปิด” และยิ่งเข้าสู่กระสวนของ “การเลือกตั้ง” ลักษณะเปิดยิ่งจะมีสถานะเข้าครอบงำ
ถึงตอนนั้นบรรดา “ตัวแปร” ก็จะสำแดง “บทบาท”

เสี่ยงไปได้ไม่คุ้มเสีย

เสี่ยงไปได้ไม่คุ้มเสีย



ได้โอกาสโชว์ช็อตแก้ไขคิวแทรกเร่งด่วน
ตามฉากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ลงพื้นที่ จ.เพชรบุรี เกาะติดแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำท่วม จ.เพชรบุรี
หยุดวิกฤติน้ำล้นเขื่อนแก่งกระจาน หลังจากเกิดเหตุฝนถล่มหนักพื้นที่ภาคตะวันตก
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ชาวบ้านต้องขนข้าวของหนีน้ำกันโกลาหล
โดยภาพรวมถือว่า “ได้แต้ม” ในการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายและเครื่องไม้เครื่องมือเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเร่งด่วน
สามารถวางแผนบริหารจัดการมวลน้ำได้เป็นระบบ เร่งผลักดันน้ำจากแม่น้ำเพชรบุรีออกสู่อ่าวไทย ประคองสถานการณ์ไม่ให้ทะลักเข้าตัวเมืองเพชรฯ บรรเทาความเสียหายในพื้นที่ได้ในระดับหนึ่ง
ตามคำการันตีหนักแน่นของ “ลุงตู่” รับมืออยู่ ขอให้คลายกังวล จะไม่มีเหตุการณ์น้ำท่วมหนักและนาน แต่จะให้ท่วมน้อยในระยะเวลาสั้นที่สุด
“บิ๊กตู่” ได้ใจชาวบ้าน แปรวิกฤติเป็นโอกาสมาเรียกคะแนนเพิ่มต้นทุนให้ตัวเอง
ในมุมที่เลี่ยงลำบาก ไม่ให้ถูกตีความเป็นประเด็นการเมือง แม้เจ้าตัวพูดปากเปียกปากแฉะเป็นเรื่องการบ้าน มาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน
อย่างที่เห็นจากซีนชาวบ้านมารุมล้อมต้อนรับ แจกยาหอมเชียร์ให้นั่งเก้าอี้ผู้นำตลอดชีวิต เพื่อแบกคน 70 ล้านคนต่อไป หยอดถามกันตรงๆ นายกฯจะไปอยู่พรรคไหน
เสียงเชียร์ “ลุงตู่” ให้เป็นนายกฯต่ออีกสมัยยังหนาแน่น นั่นย่อมเรียกแขก เรียกความหมั่นไส้จากฝ่ายตรงข้าม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถูกมองการลงพื้นที่เป็นการตุนแต้มหาเสียงล่วงหน้า
ในยามที่ “ลุงตู่” ไล่เก็บแต้มฝ่ายเดียว ผิดกับ 2 ขั้วใหญ่ทางการเมืองอย่าง “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์” ยังถูกคุมเข้ม ไม่มีการคลายล็อกให้ทำกิจกรรมในพื้นที่
นักการเมืองที่เคยใกล้ชิดเป็นที่พึ่งของชาวบ้านยังถูกแช่แข็ง กระดิกตัวลำบาก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ขณะที่โหมดการเลือกตั้งงวดเข้ามาเรื่อยๆ
ระดับหัวแถวตั้งแต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ยังเสียงแข็ง ออกลูกขึงขังปรามนักเลือกตั้ง
ไม่ให้เดินสายพบชาวบ้านตามอำเภอใจ
กระตุกเบรกใส่กองคาราวานหาเสียงของ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ห้ามเดินสาย หาเสียงปลุกเรตติ้งให้พรรครวมพลังประชาชาติไทยของตัวเอง
ทุกค่ายถูกกระชับพื้นที่ แม้แต่แบรนด์ของคนคุ้นเคยที่ร่วมต่อสู้กันมาก็ถูกสั่งห้ามออฟไซด์
ท็อปบูตขอควบคุมการเมืองให้นิ่งที่สุด สกัดปัจจัยเสี่ยงก่อแรงกระเพื่อม หากยังไม่ถึงช่วงปล่อยผีเดือน ก.ย.สามารถสยบนักเลือกตั้งให้อยู่ในความสงบได้
แต่ที่ต้องเพิ่มความระวังคือ กระแสความคุกรุ่นระหว่าง สนช.กับ กกต.ชุดปัจจุบัน กรณีที่ 36 สนช.เข้าชื่อขอแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ตั้งแท่นจ้องล้ม 616 ผู้ตรวจการเลือกตั้งที่อยู่ในอำนาจ กกต.ชุดปัจจุบันไปให้ กกต.ชุดใหม่คัดเลือกแทน
สุ่มเสี่ยงให้กระบวนการเฟ้นหาผู้ตรวจการเลือกตั้งต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ อาจส่งผลกระทบต่อโรดแม็ปเลือกตั้งเดือน ก.พ.2562
ถูกประจานเป็นเหลี่ยมยื้อเลือกตั้ง ใช้ปาฏิหาริย์ทางกฎหมายถ่วงการเข้าคูหากาบัตรลงคะแนนไม่จบสิ้น
นั่นย่อมไม่เป็นผลดีต่อเครดิตความเชื่อมั่นของ “ลุงตู่” ที่กำลังไปด้วยดี ต้องถูกบั่นทอนไปด้วย
ในคิวที่ พล.อ.ประยุทธ์เองก็อ่านเกมออก หาทางรอมชอมให้ กกต. ชุดเก่าและชุดใหม่ไปร่วมมือเฟ้นผู้ตรวจการเลือกตั้งให้เหมาะสม ประนีประนอมให้เกิดความลงตัว
ส่งสัญญาณผ่อนคันเร่ง เบรกเกมโละยกเข่งผู้ตรวจการเลือกตั้ง
เพราะในสถานะที่มีแต้มต่อเหนือทุกฝ่าย ได้เปรียบเรื่องกลไกอำนาจรัฐ หากต้องมาเข้าเนื้อถูกครหาแทรกแซงอำนาจองค์กรอิสระ ดูยังไงก็ไม่เป็นผลดีต่อ “ลุงตู่” แน่
แม้จะเป็นเรื่องงัดข้อระหว่าง สนช.กับ กกต. แต่ในฐานะที่ สนช. อยู่ในแม่น้ำร่วมสายกับ คสช. “บิ๊กตู่” ย่อมหนีไม่พ้นถูกเพ่งเล็งฐานรู้เห็นเป็นใจที่ได้อานิสงส์ต่อตั๋วอยู่ในอำนาจนานขึ้น
ต้นทุนที่สะสมไว้กำลังไปได้สวย คงไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงใช้กลไกผู้ตรวจการเลือกตั้งมาชิงความได้เปรียบเพิ่มเติม
ดูยังไงก็ได้ไม่คุ้มเสีย หากความเชื่อมั่นถูกทำลายโดยไม่จำเป็น.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน