PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ยุทธวิธี เปลี่ยน ชูประยุทธ์ ตัดประวิตร ยุทธศาสตร์ เดิม

ยุทธวิธี เปลี่ยน ชูประยุทธ์ ตัดประวิตร ยุทธศาสตร์ เดิม


เป้าหมายยังอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะแสดงออกผ่านพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะแสดงออกจากรัฐมนตรีที่ร่วมอยู่ใน ครม.
การออกมา “ขอโทษ” เสมอเป็นเพียง “ซื้อเวลา”
แต่ในความเป็นจริง “เมล็ดพันธุ์” แห่งความต้องการดึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกจาก ครม.ยังคงดำรงอยู่
เพราะนี่เป็น “ยุทธศาสตร์”
การขยายเรื่องของ “นาฬิกาหรู” เสมอเป็นเพียง “ยุทธวิธี” 1 เหมือนกับการขยายเรื่อง “เงินยืม 300 ล้านบาท”
เหมือนกับการยอม “เสียมารยาท” จาก “ลอนดอน”
แม้ ณ วันนี้ จะลงเอยด้วยการ “ขอโทษ” แต่ความรู้สึกในเชิงปฏิเสธสถานะทางการเมืองต่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ฝังรากลงลึกเป็นลำดับ
รอแต่เพียงวัน “ร่วงหล่น” เท่านั้น
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เองก็ยอมรับว่ายุทธศาสตร์ทางการเมืองที่ต้องการปลดตนออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องที่เริ่มขึ้นอย่างเป็นระบบ
สัมผัสได้จากกรรมาธิการ “ตำรวจ” ใน “สปช.”
เหมือนกับจะต้องการสะสางและสร้างความเรียบร้อยภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ก็นำไปสู่การกระพือในเรื่องซื้อขายตำแหน่ง
เหมือนกับจะกระหน่ำไปยัง “ผบ.ตร.”
ไม่ว่าจะเป็น ผบ.ตร.ยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ไม่ว่าจะเป็น ผบ.ตร.ยุค พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา
แต่ก็เสมอเป็นเพียง “แคนนอน”
การโหมกระพือในเรื่องเงินยืม “300 ล้านบาท” คือ การขยายผลจากการบุกทลายสถานอาบอบนวดอื้อฉาว วิคตอเรีย ซีเครท

ถนนทุกสายล้วนพุ่งตรงเข้าใส่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ความนิ่งของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเฉพาะต่อกรณี “คลิปเสียง” จากกรุงลอนดอน จึงเป็นความนิ่งในลักษณะ “กลืนเลือด”
เพราะว่าเจ้าของ “เสียง” มิใช่จอมยุทธ์ไร้นาม
ตรงกันข้าม มีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเมื่ออยู่ขอนแก่น ไม่ว่าจะเมื่อได้รับการโปรโมตเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
นี่ย่อมสัมพันธ์ทั้ง “หน้าบ้าน” และ “หลังบ้าน”
การยอมกลืนน้ำลายตัวเองจากเจ้าของเสียงใน “คลิป” เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประสบมีความแตกต่างกัน
เพราะฝ่ายหลัง “กลืนเลือด” มิใช่ “น้ำลาย”
เพราะเพิ่งผ่านการปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5” เมื่อเดือนธันวาคม 2560 นี้เอง หากมี “ประยุทธ์ 6” ย่อมไม่สดสวยอย่างแน่นอน ทุกอย่างจึงเท่ากับเป็นการยื้อและซื้อเวลา
ขณะเดียวกัน เป้าหมายยังเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เหมือนเดิม
จากยุค สปช.ต่อเนื่องมายังยุค สปท.ยาวนานมายัง ครม. “ประยุทธ์ 5” แต่ยุทธศาสตร์ยังต้องการแยก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ออกมา
ยังคงชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยังคงเน้นอย่างหนักแน่นในสถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงแต่ไม่ต้องการให้มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่ด้วยเท่านั้น ทุกอย่างยังเป็นการยื้อระหว่าง 2 ฝ่าย
บนหลักการตัด “ประวิตร” เพื่อรักษา “ประยุทธ์”
คนวางแผนยังเป็น “นักฆ่า” คนเดิม คนเคยเป็น “กองหนุน”

อุ้มคนจน

อุ้มคนจน


เป้าใหญ่ของรัฐบาล คสช.คือ การอุ้มคนยากจน 5.3 ล้านคนที่อยู่ตํ่ากว่าเส้นแบ่งความยากจน ให้กระเด้งขึ้นมาอยู่เหนือเส้นแบ่งความยากจน
คือมีรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี!!
หากรัฐบาลทำสำเร็จจะเป็นผลงานชิ้นโบแดง ช่วยให้การสืบทอดอำนาจสะดวกโยธินขึ้นอีกเท่าตัว
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า “โครงการฝึกอาชีพพัฒนาคุณภาพชีวิตคนจนเฟส 2” เป็นบริการเสริมเพิ่มจากโครงการอัดฉีดเงินสดผ่านบัตรเครดิตคนจนเฟสแรกของรัฐบาล
โดยให้ผู้ที่มีรายได้ตํ่ากว่า 3 หมื่นบาทต่อปี จำนวน 5.3 ล้านคน สมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรฝึกอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน
ผู้เข้าร่วมโครงการฝึกอาชีพของรัฐบาลจะได้รับอัดฉีดเงินสดผ่านบัตรเครดิตคนจนเป็นแรงจูงใจเพิ่มอีกคนละ 200 บาทต่อเดือนไปจนถึงสิ้นปี
ล่าสุด มีชาวบ้านแห่ไปสมัครเข้าคอร์สติวเข้มฝึกอาชีพคนจนของรัฐบาลแล้วกว่า 2 ล้านคน
หรือมีผู้สมัครทั่วประเทศเฉลี่ยกว่าวันละ 1 แสนคน
คาดว่าหลังปิดรับสมัครวันที่ 28 เดือนนี้ จะมียอดผู้สมัครทะลุเป้ากว่า 4 ล้านคนอย่างแน่นอน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าถ้าหากโครงการฝึกอาชีพคนจนของรัฐบาลสามารถทำให้คนไทยหลุดพ้นความยากจนเพียง “ครึ่งเดียว” ของผู้เข้าฝึกอาชีพ 4 ล้านคน
ประชากรคนจนในเมืองไทยจะลดลงไป 2 ล้านคนทันที!!
แต่อย่าเพิ่งมั่นใจว่าจะเกิดผลสำเร็จ ...อย่างที่ฉายหนังโฆษณา
เพราะหลายโครงการของรัฐบาลที่วางแผนไว้สวยหรู
แต่ทำแล้วพลาดเป้าไปบานตะไท
ตัวอย่างล่าสุดโครงการแจกเบี้ยยังชีพคนชรากว่า 8 ล้านคน เป็นภาระหนักที่รัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ ต้องหาเงินอัดฉีดกว่า 6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี
ปัญหาคือ ผู้ใช้สิทธิรับเบี้ยยังชีพคนชรากว่า 8 ล้านคน เป็นผู้มีฐานะยากจนจริงๆเพียง 3 ล้านคน
ส่วนที่เหลืออีก 5 ล้านคน ไม่ใช่คนยากคนจน แต่ขอใช้สิทธิรับเบี้ยยังชีพคนชราจากรัฐบาลเดือนละ 600 บาทถึงเดือนละ 1,000 บาทฟรีๆ
ทำให้เม็ดเงินที่ควรอัดฉีดช่วยคนชราที่ยากจนจริงๆ 3 ล้านคน ต้องถูกแบ่งไปแจกให้คนไม่จนจริงอีก 5 ล้านคน
นี่คือเหตุผลที่รัฐบาล คสช.ต้องจัดโปรโมชั่นขอความร่วมมือผู้ที่ไม่ยากจนจริงๆ แสดงสปิริตขอสละสิทธิ์ไม่รับเบี้ยยังชีพคนจนจากรัฐบาลอีกต่อไป
เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำเงินจากคนแก่ใจบุญไปเฉลี่ยเพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราให้ผู้ที่มีฐานะยากจนขัดสนจริงๆ
โดยรัฐบาลจะมอบเหรียญเชิดชูเกียรติให้ผู้สละสิทธิทุกคนเป็นการตอบแทนคุณงามความดี
โครงการนี้รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะมีคนแก่ใจบุญยอมสละสิทธิไม่รับเบี้ยคนชราไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน และจะมีงบเหลืออีกกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ที่จะนำไปเพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราที่ยากจนอย่างพอเพียง
บัดนี้เวลาผ่านไปเกือบ 3 เดือน ปรากฏว่ามีผู้แสดงสปิริตขอสละสิทธิไม่ถึงพันคน
ต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ 5 แสนคน ไกลลิบเลย
สรุปว่าเมื่อคนไม่จน ไม่ยอมสละสิทธิให้คนจน
คนยากจนจริงๆก็หมดโอกาสที่จะได้เพิ่มเบี้ยยังชีพจากรัฐบาล
ใครคิดว่าคนไทยใจบุญ ยินดีเสียสละเพื่อส่วนรวม คิดผิดคิดใหม่ได้นะโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

‘ตัวเบา’เหนือคิวร้อนๆ

‘ตัวเบา’เหนือคิวร้อนๆ


ถ้าเปรียบเทียบกระถางอ่างบัวที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. สั่งเองให้ทีมงานจัดหามาปรับภูมิทัศน์หน้าตึกไทยคู่ฟ้าและตึกบัญชาการ ภายในทำเนียบฯ กว่า 10 ใบ
อาจเรียกเป็นของรักของหวงของทั่นผู้นำได้เหมือนกัน
แต่ต้องมาเสียหายเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ เมื่อรถยนต์เจ้าหน้าที่ตำรวจภายนอกเข้ามาส่งเอกสาร ก่อนกลับถอยไปชนร่วงกระจายไป 1 ใบ
“นายกฯลุงตู่” อาจเฉยๆกับสิ่งของนอกกาย อย่างมากก็แค่เคือง และคงไม่มองไปถึงลางร้ายวันไหว้ตรุษจีน
ถึงสั่งติดโคมแดง 6 คู่ ป้องกันปิศาจร้ายรอบทำเนียบฯ ตามความเชื่อก็เถอะ
ผู้นำอำนาจพิเศษที่มักยกกรรมดีกรรมร้าย การปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาพูดเสมอ คงไม่หวั่นไหวอยู่แล้ว ถ้าไม่บังเอิญ มีการจับโยงไปถึงสถานะของรัฐบาล ในช่วงที่ถูกมองว่ากำลังระส่ำภายใน
แม้ว่าคนต้นเรื่อง “คุณหมอธี” นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ จะเข้าพบ “นายกฯลุงตู่” และขอโทษขอโพยที่เสียมารยาท ต่อหน้าผู้ที่พาดพิงอย่าง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เหตุผ่านมา 2–3 วันแล้ว
คิวหลุดกระแทกชิ่ง กระทบปมนาฬิกาหรูของรองนายกฯ น่าจะเคลียร์จบต่อหน้า
แต่ใครๆก็ยังมองไปลึกถึงสภาวะ “คาใจ”
และถ้าถึงขั้นหยิบยกรอยร้าวใน ครม.โยงไปถึงคิวอ่างบัวแตก ว่าเป็น “ลางร้าย”
ปมนี้แหละถ้าเอาไปถาม “บิ๊กตู่” น่าจะมีฉุนแน่
ในห้วงที่ “บิ๊กตู่” กำลังเพ่งสมาธิกับการทำงาน แต่ก็มีสารพัดเรื่องที่แหย่กวนใจ นอกจากปัญหาภายในรัฐบาล ยังมีเหตุขยับของอดีตผู้นำ พี่–น้อง ชินวัตร เคลื่อนฐานมาใกล้ประเทศไทย มีลูกข่ายขยับตามวงโคจร ล้อสถานการณ์ภายในที่เริ่มมีการก่อหวอดจุด “ม็อบ” ปลุกกระแสต้านเกมยืดโรดแม็ปเลือกตั้ง
ด้วยภาวะกดดัน ผู้นำเสี่ยง “ตบะแตก” ได้ทุกเมื่อ
แต่ทางกลับกัน ถ้ามองอีกมุม “บิ๊กตู่” ก็ไม่ใช่จะอยู่ในจุดโดนรุกไล่จนหลังพิงฝาอย่างที่ประเมิน เพราะเอาเข้าจริง ที่ดูสถานการณ์เสี่ยงจะไหลลามเข้าสู่วิกฤติ บางครั้งกลายเป็น “เพิ่มโอกาส”
เติมน้ำหนักดุลอำนาจของ “บิ๊กตู่” ได้เหมือนกัน
ทั้งซีนร้อนของ “หมอธี” หลุดคิวกระทบ “พี่ใหญ่” โยงปมนาฬิกาหรู จนตอนนี้ทำให้ “บิ๊กป้อม” ถูกโฟกัส
ทุกย่างก้าวจนชักกระดิกตัวลำบาก ยี่ห้อ “บังเกอร์ผู้นำ” ที่คอยปกป้อง รับหน้าแทนน้องรัก แต่ชักจะรับเละขึ้นทุกที
โดยมีแรงกระตุ้นจากเครือข่ายขั้วอำนาจเก่าแก่โบราณขยับเกมถี่ พุ่งเป้าที่ “ถล่มพี่–แยกน้อง”
ดุลน้ำหนัก “อำนาจคู่ คสช.” เลยผ่องมาที่ “บิ๊กตู่” มากขึ้น
ขณะที่แรงต้านภายนอก “นายใหญ่” และ “น้องสาว” กับปรากฏการณ์ผลุบโผล่โชว์ตัว ก็แค่รักษาฐานตรึงแต้ม ที่แสดงตัวแสดงตนก็แค่ขู่นิ่มๆเบรกเกมแรงชนักคดีคนตระกูลชินฯ
เปิดเกมหนักก็อาจเจอปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ยิ่งสู้ยิ่งเจ็บ
เช่นเดียวกับแนวรบด้านมวลชน แค่เปิดหัวม็อบก็ยังเสี่ยงคิวแทรกจากศึกขั้วอำนาจ 3 ก๊ก ที่เริ่มแรงในทางลึก แต่เมื่อยังไม่มีสัญญาณเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงยังไม่มีฝ่ายใดถึงขั้นเร่งโหมไฟ
เพราะหากสถานการณ์ไหลไปถึงขั้นชุลมุน นอกจากคอนโทรลเป้าหมายไม่ได้แล้ว ยังเพิ่มความชอบธรรมให้รัฐบาลท็อปบูตยืดเวลาอำนาจพิเศษ “ลากยาว”
ด้วยเหตุผลรองรับ คุมความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
สรุปยิ่งมีสารพัดปมร้อน สถานการณ์บ้านเมืองไม่นิ่ง “บิ๊กตู่” ยิ่งใช้เคล็ดวิชาตัวเบา–ลอยตัว
รอลุ้นถือสิทธิ์ “ต่อตั๋ว” กันสบายเลย.
ทีมข่าวการเมือง

บี้ "บิ๊กป้อม"ลาออก จี้"ปปช." อย่าฟอกขาว!

บี้ "บิ๊กป้อม"ลาออก
จี้"ปปช." อย่าฟอกขาว!
"ทิชา ณ นคร" มาข้างทำเนียบฯยื่น กว่า8หมื่นรายชื่อ ให้"บิ๊กตู่" บี้"บิ๊กป้อม" ลาออก จากปม นาฬิกาหรู จี้ ปปช. อย่าเป็น "ผงฟอกขาว" ให้"บิ๊กป้อม"/ขณะ "บิ๊กป้อม"กำลังประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตึกสมช.ในทำเนียบฯ

ที่ศูนย์บริการประชาชน(1111) ภายในสำนักงาน ก.พ. นางทิชา ณ นคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและเยาวชน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) พร้อมสมาชิก 6 คน ได้เดินทางมายื่นรายชื่อ ที่รวบรวมผ่านทางเว็บไซต์ CHANGE ประมาณ 80,000 รายชื่อ ถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พ ลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แสดงสปิริตด้วย การลาออกจากตำแหน่ง ตามที่ได้เคยลั่นวาจาไว้ต่อสาธารณะ
โดยได้ยื่นหนังสือผ่านนายสาธิต สุทธิเสริม หน.ฝ่ายประสานมวลชน เพื่อให้ดำเนินการต่อไป
พร้อมทั้งเรียกร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)เพื่อให้รักษาความเที่ยงตรง ในกรณี พลเอกประวิตร ที่ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินนาฬิกาหรู ราคากว่า 30 ล้านบาท ต่อ ปปช.ตามกฎหมาย ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่อาจยอมรับได้
จึงร่วมกันลงชื่อผ่านทาง www. Change ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม -15 กุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งสามารถรวบรวมได้ทั้งหมดกว่า 8 หมื่นรายชื่อ และเป็นการลงชื่อที่มีจำนวน
มากกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายการลงประชามติ ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่ง
ทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญปี 40 ที่กำหนดไว้เพียง 50,000 ชื่อ
รวมทั้ง เรียกร้องให้สำนักงาน
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)ที่เป็นองค์กรตรวจสอบการทุจริต
ของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง ที่กำลังตีความโน้มเอียง ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นเสมือน"ผงฟอกขาว"ให้ พลเอกประวิตร ทำให้ประชาชนไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาได้
ขณะที่ในเวลาเดียวกัน "บิ๊กป้อม"กำลังประชุม คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตึกสมช.ในทำเนียบฯ
แต่นั่งรถลงชั้นใต้ดิน สิ่อไม่มีโอกาสสัมภาษณ์

ปลด "เบตง"พ้น พื้นที่สีแดง

ปลด "เบตง"พ้น พื้นที่สีแดง
"บิ๊กป้อม" เตรียมเสนอครม.ปลด "เบตง" ยะลา จากพื้นที่ร้ายแรง สถานการณ์ฉุกเฉินให้ใช้พ.ร.บ.มั่นคง แทน/เผยยืด เวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต่อใต้ 3 เดือน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตึกสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)
โดยมี บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการ สมช. และตัวแทนเหล่าทัพเข้าร่วมประชุม
โดยเมื่อมาถึง ขบวนรถของ พล.อ.ประวิตร ไดลงไปที่ชั้นใต้ดิน ก่อนขึ้นลิฟท์ไปที่ห้องประชุม โดยไม่ได้สัมภาษณ์ เพราะไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
โดยนายทหารใกล้ชิดระบุ่าพล.อ.ประวิตร ยังมีอาการเจ็บคออยู่
พล.อ.วัลลภ กล่าวถึงผลการประชุมว่า ที่ประชุมเห็นชอบขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จ.นราธิวาส ยะลา และปัตตานี ยกเว้น อ.แม่ลาน ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. - 19 มิ.ย.2561 เพื่อเป็นเครื่องมือรักษาความสงบเรียบร้อยและดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ถือเป็นการขยายเวลาเป็นครั้งที่51
นอกจากนี้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้เสนอที่ประชุมให้ปรับลดพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา ออกจากพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยจะนำมาตรการตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาบังคับใช้แทน
เนื่องจากเห็นว่าพื้นที่ อ.เบตง ผ่านเกณฑ์การประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพื่อส่งเสริมการดำเนินงาน "เมืองต้นแบบ มันคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ของนายกรัฐมนตรี
โดยจะนำเรื่องนี้เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ต่อไป