PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำตาตลก"เท่ง"ลงบันทึกปจว.ถูกโยงการเมือง

“เท่ง เถิดเทิง” ขอลงบันทึกประจำวันที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมเกี่ยวกับเทคโนโลยี(ปอท.) หลังมีภาพไม่เหมาะสมลงเฟซบุ๊ก แจงเป็นช็อตพริบตาเดียว ตอนแสดงเป็นนักเรียนญี่ปุ่น ยันจงรักภักดี ถูกสอนให้เคารพสถาบันมาแต่ปู่ย่าตายาย วอนการเมืองอย่าเอาตนเข้าไปเกี่ยว ที่ผ่านมาขอโทษแล้ว ขอยืนตรงกลาง ไม่อยู่ข้างไหน

วันนี้(10 มิ.ย.) นายพงษ์ศักดิ์ พงษ์สุวรรณ หรือเท่ง เถิดเทิง ดาราตลก พร้อมทนายความ เข้าพบ พล.ต.ต.พิสิษฏ์ เปาอินทร์ ผบก.ปอท.เพื่อขอลงวันทึกประจำวัน กรณีที่มีผู้นำภาพจากละครตลกในรายการชิงร้อยชิงล้าน เมื่อวันที่ 17 ก.พ.56 ไปโพสต์พร้อมส่งต่อในเฟซบุ๊กกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นเบื้องสูง โดยนำหลักฐานภาพที่โดนตัดไปโพสต์ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน

เท่ง เถิดเทิง ซึ่งมีอาการเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา กล่าวว่า ตนมาในฐานะคนไทย มาปกป้องสถาบันที่คนไทยเคารพเชิดชู ตนเกิดมาพ่อแม่ปู่ย่าตายายสอนให้เคารพเทิดทูนสถาบัน ตนมีลูกก็สอนให้เคารพรักสถาบันไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ที่ผ่านมาตนมีโอกาสดีที่สุดในชีวิตได้บวชถวายสมเด็จย่า เมื่อสึกออกมาก็มีโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตเมื่อได้มาอยู่กับพี่หม่ำ จ๊กมก และมีโอกาสเข้าวงการทีวี แต่ปัจจุบันมีคนมาทำร้ายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงต้องมาขอลงบันทึกประจำวัน ยังไม่ขอแจ้งความดำเนินคดี ตนอยากให้คนที่ทำหยุดการกระทำดังกล่าว เพราะมีศิลปินดาราหลายคนที่โดนแบบนี้ ตนเป็นตลกตัวเล็กๆ ขอให้ตนทำมาหากินต่อไป

"ส่วนภาพที่ถูกคนไม่ประสงค์ดีนำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กเป็นภาพช็อตแค่กระพริบตาครั้งเดียวตอนผมแสดงในรายการชิงร้อยชิงล้านเป็นนักเรียนญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 ก.พ.แต่มีการตัดภาพเสี้ยววินาทีนั้นไปโพสต์ในลักษณะไม่เหมาะสม ขณะนี้ผมรู้สึกเป็นห่วงเรื่องการเมือง จะให้ผมไปอยู่ข้างไหน ผมไม่เลือก ผมขออยู่ตรงกลาง ขอร้องอย่าเอาผมไปยุ่งกับการเมือง ผมไม่เป็นเรื่องการเมือง ผมเติบโตมาใครจะเป็นนายกฯ ก็ช่าง ผมหากินของผม เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย สิ่งที่ผ่านมาผมก็ขอโทษไปแล้ว มันเป็นความไม่ได้ตั้งใจ ที่นักแสดงไม่สามารถหลีกเลียงได้"

เท่ง เถิดเทิง กล่าวอีกว่า แต่มาถึงตอนนี้เรื่องไม่ได้หยุดแค่นี้ อย่าเอาตนไปยุ่งเลย เพราะมันไกลเกินฝัน และตนก็ไม่ได้ฝันในเรื่องนี้ และไม่มีความรู้เรื่องนี้ ขอทุกฝ่าย เราแตกต่างกันทางความคิดได้ เราอย่าแตกแยกกันเลย ตนก็เหมือนคนกลางทั่วไป บ้านเมืองเราไม่มีสงคราม ตราบใดที่มีสงครามตนว่า ข้างไหนก็ช่างเราก็ต้องรวมตัวกัน มาสู้เพื่อปกป้องประเทศชาติ แต่วันนี้สงครามไม่มีแต่เรามาทะเลาะกันเอง อย่าเอาชีวิตของเด็กบ้านนอกคนหนึ่งอย่างตนมาหากินใน กทม.รอดปากเหยี่ยวปากกาให้พ่อแม่ทุกคนมีความสุขได้

"ทุกวันนี้เครียดมากนอนไม่หลับ คิดไปต่างๆ นานาว่าจะมีคนบุกบ้าน ปืน 20 ปีไม่เคยจับตั้งแต่ซื้อ ทุกวันนี้ต้องเอามาวางข้างตัวตอนนอน ผมเป็นห่วงลูกและครอบครัวมาก"

# มันมีเส้นคั่นบางๆ ระหว่างคำแก้ตัว กับความไม่ตั้งใจ...จริงเท็จอย่างไรคนไทยจะเป็นผู้ตัดสิน
# บทเรียนอีกครั้งของบุคคลสาธารณะ จะพูดอะไร จะทำอะไรคิดให้ดีๆ ตราบเท่าที่คุณยังมีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนในสังคม

CR manageronline
ถูกใจ ·  ·  · 5 นาทีที่แล้ว · 

“แจ๊ด” โชว์เงินสด 20 ล้าน นำจับมือเผาเซ็นทรัลเวิลด์ที่ได้รับจาก “โอ๊ค พานทองแท้”

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
10 มิถุนายน 2556 17:42 น.

ตำรวจนครบาลประชุมคลี่คลายคดีเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ “แจ๊ด” นำเงินสด 20 ล้าน รางวัลนำจับมือเผาที่ได้รับจาก “โอ๊ค พานทองแท้” โชว์สื่อ ลั่นจ่ายทันที หากใครแจ้งเบาะแสจนลากคอคนร้ายตัวจริงมาได้
     
       วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เรียกประชุมคณะทำงานสอบสวนนครบาลคลี่คลายคดีวางเพลิงเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง พร้อมกล่าวภายหลังการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาทำคดีหลังมีผู้มาร้องทุกข์เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา ให้ตำรวจนครบาลสืบสวนหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุวางเพลิงห้างเซ็นทรัลเวิลด์ในเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 มาลงโทษให้ได้ โดยล่าสุดนายพานทองแท้ ชินวัตร ได้นำเงินสดจำนวน 20 ล้านบาทมามอบให้ตำรวจนครบาล เพื่อใช้เป็นรางวัลสินบนนำจับผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ 2 คนตามภาพที่เคยปรากฏออกไป และหากประชาชนแจ้งเบาะแสเข้ามาและนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาได้ก็จ่ายเงินรางวัลรายละ 10 ล้านบาทให้ทันที ทั้งนี้ ตนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเงินสินบนนำจับที่ได้รับครั้งนี้และให้มีการเบิกจ่ายเป็นไปตามกฎหมายทุกอย่าง
     
       พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้นขณะนี้มีผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเกี่ยวข้องซึ่งต้องเรียกมาสอบสวนรวม 39 คน ซึ่งตำรวจต้องติดตามตัวต่อไป อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นบุคคลต้องสงสัยที่น่าจะเกี่ยวข้องก็สามารถแจ้งตำรวจได้ที่หมายเลข 0-2354-5990 และ 0-2354-8226 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
     
       ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานด้านสอบสวน กล่าวว่า เงินสินบนนำจับจะส่งไปเก็บไว้ที่กรมบัญชีกลาง และให้มีการเบิกจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวอย่างเคร่งครัดและให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไปหากใครแจ้งเบาะแสนำไปสู่การจับกุมก็จะมีการจ่ายเงินรางวัลนำจับดังกล่าวตามที่จำนวนที่แจ้งประกาศไว้ทันทีซึ่งเงินสดดังกล่าวนี้มีการดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ

"ธีระชัย":วิธีประกัน รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาก็ได้ประโยชน์เท่านั้นเต็มๆ

จากเฟซบุ้คคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล

วิธีประกัน รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาก็ได้ประโยชน์เท่านั้น เต็มๆ

- แต่วิธีจำนำ รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาได้ประโยชน์เพียงบางส่วน ที่เหลือ จะตกหล่น เบี้ยบ้ายรายทาง แถมบางส่วนออกไปนอกประเทศ

- ผมขอให้ความเห็นทางวิชาการ เปรียบเทียบจำนำข้าวกับประกันราคา ว่านโยบายไหนดีกว่ากัน

- ขอเริ่มต้นว่า ผมไม่ขัดข้องที่จะมีการช่วยเหลือชาวนา แต่ที่ผ่านมา การถกเถียงเรื่องนี้มีการปะปนประเด็นกันไปมา จนทำให้เข้าใจเรื่องได้ยาก พูดกันที่ไร ก็อารมณ์เสีย ด่ากันไปๆ มาๆ ทำให้มองประเด็นวิชาการไม่ชัด

- เรื่องนี้มี 2 มิติซ้อนกันอยู่

- มิติที่หนึ่ง คือการช่วยเหลือชาวนา ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่ทุกคนเห็นด้วยนั้น วิธีการที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการประกัน หรือการจำนำ คำถามคือ วิธีนั้นก่อภาระต่อรัฐเป็นเงินเท่าใด และรัฐจะเอาเงินจากไหมมาใช้เพื่อช่วยเหลือชาวนา

- เงินที่จะใช้ช่วยเหลือชาวนานั้น จะใช้เงินจากการเก็บภาษีต่างๆ เพิ่มขึ้น หรือจะใช้เงินจากการเพิ่มหนี้สาธารณะ

- ในมิตินี้ ถ้าใช้เงินจากการเก็บภาษี ก็จะไม่กระทบเครดิตของประเทศ แต่ถ้าใช้เงินจากหนี้ อาจจะกระทบเครดิตของประเทศอย่างแรง

- ประเด็นหลักในมติที่หนึ่ง ก็คือ จะต้องมีการประเมินตัวเลขขาดทุน และประเมินภาระต่อรัฐ ให้ถูกต้องน่าเชื่อถือ และต้องชี้แจงให้ชัดว่าภาระดังกล่าว รัฐบาลจะหาเงินจากไหนมาใช้รองรับโครงการนี้

- ถ้าไม่เปิดเผยตัวเลข หรือให้ตัวเลขที่ไม่น่าเชื่อถือ บริษัทจัดอันดับเครดิตและนักเศรษฐศาสตร์ ก็จะประเมินกันเอง และหากขาดทุนถึงขั้นที่ประเทศถูกเตือนหนักๆ หรือถูกลดเครดิต ก็จะไม่ต่างอะไรกับสถาบันระดับโลก เขาให้ vote of no confidence แก่รัฐบาล

- ดังนั้น ในมิติที่หนึ่งนี้ ไม่ว่าวิธีจำนำข้าวหรือประกันราคา ต้องมีคำตอบเรื่องภาระของรัฐ และต้องมีการเปิดเผยข้อมูลเหมือนๆกัน

- มิติที่สอง คือถามว่าวิธีการช่วยเหลือชาวนา วิธีใดที่ทำให้เงินผ่านไปถึงมือชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่ากัน ในมิติที่สองนี้ ผมต้องอธิบายอย่างระมัดระวังมาก เพราะมิฉะนั้น ผู้อ่านจะคิดว่าผมเอนเอียงในด้านการเมือง

- ผมได้เข้าอบรมหลักสูตร ปปร. รุ่นที่ 12 ที่สถาบันพระปกเกล้าในปี 2551/2552 และได้พบ ดร ธีรพงษ์ ตั้งธีระสุนันท์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการ ธกส. เราปรึกษากันแล้ว เห็นว่าโครงการจำนำข้าวที่ดำเนินการไปหลายครั้งในอดีตนั้น ทำให้เกิดภาะต่อรัฐอย่างมาก ไม่คุ้มกับผลดีที่ตกแก่ชาวนา

- เราสองคนจึงได้ร่วมกันทำเอกสารวิชาการขึ้น ร่วมกันเสนอแนวคิด ให้รัฐบาลในอนาคต ควรจะใช้วิธีประกันราคา แทนการจำนำ เอกสารดังกล่าวเผยแพร่ต่อสื่อในปี 2552 และมีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้นำไปอ้างอิงด้วย

- ดังนั้น ในวันนี้ ที่ผมพูดถึงวิธีประกันราคา จึงยืนยันได้ว่าไม่ใช่การพูดเพื่อเข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์

- ทั้งนี้ ภายหลังที่ได้มีการเผยแพร่เอกสารวิชาการดังกล่าว ต่อมาเมื่อ ปชป. เข้ามาเป็นรัฐบาล ปชป. ก็ได้เปลี่ยนไปใช้นโยบายประกันรายได้ ซึ่งมีหลักคิดคล้ายคลึงกับที่เราเสนอในเอกสารวิชาการ

- แต่ผมขอยืนยันว่า ปชป. ไม่เคยติดต่อสอบถามหรือพูดคุยกับผม ไม่ว่าในเรื่องเอกสารวิชาการ หรือในเรื่องโครงการประกันรายได้ของ ปชป. แต่อย่างใด และผมไม่ทราบว่า ปชป. ได้อ่านเอกสารวิชาการของผมหรือไม่ด้วยซ้ำ

- กลับมาในประเด็นว่าวิธีการใด (ก) เม็ดเงินจะผ่านไปถึงมือชาวนามากกว่ากัน และ (ข) วิธีใดจะก่อภาระแก่รัฐน้อยกว่ากัน

- ในเรื่อง (ก) เม็ดเงินน้้น ทั้งสองวิธี เงินผ่านไปถึงมือชาวนา

- ในการเปรียบเทียบ ผู้อ่านต้องทำใจเป็นธรรมเสียก่อนนะครับ ท่านต้องยกเอาความรักเกลียดชอบชังทางการเมืองออกไปเสียก่อนชั่วคราว จึงจะเข้าใจแง่มุมทางวิชาการ

- การเปรียบเทียบ ต้องเริ่มต้น ด้วยสมมุติฐาน ว่ามีการตั้งระดับการช่วยเหลือที่เท่ากันเสียก่อน คือ กรณีรับจำนำ ก็รับในราคา 15,000 บาทต่อตัน กรณีประกันราคา ก็ประกันในราคา 15,000 บาทต่อตัน

- ถ้าคิดแบบง่ายๆ โดยยังไม่ต้องดูองค์ประกอบอื่นๆ มากมาย การประกันย่อมมีโอกาสทำให้เม็ดเงิน ผ่านไปถึงมือชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่าแน่นอน

- เพราะวิธีการประกันนั้น ทำได้ง่ายกว่า ขั้นตอนน้อยกว่า

- (1) ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่ำกว่า (2) ไม่ปวดหัวเรื่องหาสถานที่เก็บข้าว (3) ไม่กังวลเรื่องข้าวหาย (4) ไม่ต้องเสียเงินให้แก่ชาวนาเขมร ชาวนาลาว และต่อไปชาวนาพม่า (5) ไม่มีการเวียนเทียนข้าว (6) ไม่มีสต๊อกลม (7) ไม่มีข้าวเสื่อมสภาพ (8) โรงสีไม่สามารถกดราคาแก่ชาวนาโดยอ้างว่าข้าวมีคุณภาพต่ำ (9) โรงสีไม่สามารถขยักเงินแก่ชาวนาโดยอ้างว่าข้าวมีความชื้นสูง (10) ไม่มีข้อครหาว่ารัฐขายข้าวในราคาถูกเกินไป หรือ (11) ขายแบบ G to G ทั้งที่ไม่ใช่ หรือ (12) ขายให้แก่พรรคพวกโดยเลี่ยงไม่มีการประมูลแข่งราคากันตามระเบียบราชการ

- ถ้าหากวิธีจำนำจะเหนือว่าวิธีประกัน ก็เฉพาะในเรื่อง (ข) ในประเด็นว่าวิธีจำนำ อาจจะก่อภาระแก่รัฐน้อยกว่าก็ได้

- ถามว่าจะก่อภาระต่อรัฐน้อยกว่าได้อย่างไร

- แนวคิดของผู้ที่สนับสนุนเรื่องนี้ คือหวังว่า การที่รัฐกักตุนเก็บข้าวเอาไว้แต่ผู้เดียว จะทำให้ราคาตลาดโลกสูงขึ้น จึงเท่ากับ จะเอากำไรของผู้ส่งออกมาเป็นของรัฐ และบีบให้ประชากรโลกต้องยอมซื้อข้าวในราคาที่แพงขึ้น เพื่อลดภาระของรัฐ

- ความหวังดังกล่าวจะเป็นจริง ก็ต่อเมื่อปริมาณข้าวในตลาดโลกจากแหล่งอื่นมีไม่มากนัก

- แต่ในขณะนี้ การปลูกข้าวเพื่อส่งออกได้ขยายวงไปหลายประเทศแล้ว ไม่ว่าเวียดนาม อินเดีย และต่อไป พม่าก็จะเป็นแหล่งที่สำคัญ

- นอกจากนี้ เนื่องจากโกดังเก็บข้าวในไทย ไม่ได้มีการลงทุนแบบมาตรฐานโลก ข้าวที่เก็บจึงเสื่อมสภาพเร็ว ยิ่งเก็บนาน ก็ยิ่งขายได้ราคาต่ำลงๆ

- และถึงแม้การกักตุนสต๊อกเอาไว้ สมมุติอาจจะมีผลทำให้ราคาตลาดโลกสูงขึ้นก็ตาม ราคาที่สูงขึ้น จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว ตราบที่รัฐบาลไทยยังกักตุนข้าวเอาไว้เท่านั้น แต่เนื่องจากสต๊อกข้าวไทยมีปริมาณมหาศาล ดังนั้น เมื่อใดที่รัฐบาลไทยนำข้าวออกขาย ราคาในตลาดโลกก็จะลดลง

- ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมจึงเห็นว่าการประกันจะทำให้เม็ดเงิน ผ่านลงไปถึงมือชาวนา เต็มเม็ดเต็มหน่วย กว่าการจำนำมาก

- วิธีประกัน รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาก็ได้ประโยชน์เท่านั้น เต็มๆ

- แต่วิธีจำนำ รัฐขาดทุนเท่าไหร่ ชาวนาได้ประโยชน์เพียงบางส่วน ที่เหลือ จะตกหล่น เบี้ยบ้ายรายทาง แถมบางส่วนออกไปนอกประเทศ

- ส่วนที่ตกหล่นไปนี้ นอกจากจะสร้างภาระแก่ผู้เสียภาษีโดยไม่จำเป็นแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดี ให้เกิดขึ้นในแวดวงบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ประโยชน์ที่ไม่ควรได้จากขบวนการจำนำอีกด้วยครับ

สงครามไซเบอร์ขย่มเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ

งานเข้าโอบามา สงครามไซเบอร์ ขย่มเก้าอี้ ปธน.

พระพุทธเจ้า สารคดีระดับโลกจาก BBC

สารคดี จากBBC พระพทุธเจ้า

ด่วน!! พระมิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขา ??

ด่วน!! พระมิตซูโอะ คเวสโก ลาสิกขา ??

วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 15:15:32 น.
  

พระมิตซูโอะ คเวสโก

10 มิ.ย.2556 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่าผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปที่มูลนิธิมายาโคตมี วัดสุนันทวนาราม ถึงกรณีมีข่าวลือหลวงพ่อมิตซูโอะ คเวสโก ได้ลาสิกขาหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าลาสิกขาจริงเรียบร้อยแล้ว แต่ลาสิกขาเมื่อไหร่ ที่ไหน วัดไหน ยังไม่ได้รับรายละเอียด ซึ่งมูลนิธิจะประชุมกันเย็นนี้ และก็จะมีความชัดเจนถึงรายละเอียดในวันพรุ่งนี้


สำหรับประวัติของพระอาจารย์มิตซูโอะคเวสโกข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า เป็นพระภิกษุชาวญี่ปุ่น บวชในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท คณะมหานิกาย ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของพระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท)
 
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก มีชื่อเดิมว่า "มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ" เป็นชาวจังหวัดอิวะเตะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 สำเร็จการศึกษาในระดับไฮสคูล (เทียบเท่าระดับ ปวช. หรือ มศ.5 ตามระบบการศึกษาไทย) สาขาเคมี ณ เมืองโมะริโอะกะ จังหวัดอิวะเตะ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจึงทำงานจนสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง และออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อแสวงหาความหมายของชีวิตตั้งแต่ พ.ศ. 2514
 
พระอาจารย์มิตซูโอะ ได้เดินทางมาสู่ประเทศไทย หลังจากได้เดินทางแสวงหาธรรมะที่แท้จริงมาแล้วจากหลายประเทศทั่วโลกทั้งอินเดีย, เนปาล, อิหร่าน, ยุโรป แล้วเปลี่ยนความตั้งใจที่เดิมจะไปยังแอฟริกา ไปเป็นที่อินเดียอีกครั้งในปี พ.ศ. 2517 แต่ได้เปลี่ยนใจเมื่อระลึกได้ถึงพุทธคยา เห็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ก็ระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าและประจักษ์ต่อใจตนเองว่า แท้จริงแล้วความสุขที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจภายในตนเอง จึงหยุดการแสวงหาจากภายนอก มาสู่การแสวงหาจากภายใน
 
ในชั้นแรกท่านไปฝึกโยคะอยู่ที่สำนักโยคีแห่งหนึ่งในประเทศอินเดียและเกิดความพอใจที่จะเป็นโยคีอยู่ที่อินเดียตลอดชีวิตแต่ต่อมาเกิดปัญหาว่าวีซ่าของท่านหมดอายุ ท่านจึงเดินทางมาประเทศไทยอีกครั้งเพราะมีผู้แนะนำให้ท่านไปศึกษาพุทธศาสนาที่ประเทศไทย เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้วท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ หลังจากนั้นเมื่อท่านบรรพชาได้ 3 เดือน ท่านได้แสวงหาสถานที่ปฏิบัติธรรม มีผู้แนะนำท่านให้ไปกราบหลวงพ่อชา สุภทฺโท ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งท่านก็ได้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อตั้งแต่บัดนั้น และได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2518 ได้รับฉายา "คเวสโก" หมายถึง "ผู้แสวงหาซึ่งฝั่ง"
 
พระอาจารย์มิตซูโอะเป็นผู้บุกเบิกวัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นวัดป่านานาชาติ และปัจจุบันดำรงสถานะเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งนับเป็นสาขาที่ 117 ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนี้แล้วในปี พ.ศ. 2533 ยังเป็นผู้ริเริมมูลนิธิมายา โคตมี ที่ให้การช่วยเหลือด้านการให้ทุนการศึกษาแก่เด็ก ๆ ที่ขาดโอกาส ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ตั้งของวัดหนองป่าพง ที่ท่านได้อุปสมบทมาก่อน

3 10 54 ข่าวเที่ยงDNN กิตติรัตน์ มั่นใจจำนำข้าวใช้เงินน้อยกว่าประกัน

คลิปที่ กิตติรัตน์ เคย ให้สัมภาษณ์ ว่าจะรับผิดชอบ หาก โครงการจำนำข้าวของรัฐบาล ขาดทุนเกินหกหมื่นล้าน รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ตัวเองในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ...

บทความสุดท้ายก่อนถูกอุ้มหายของ"เอกยุทธ"

ซุบซิบ อินไซเดอร์ บทความสุดท้ายที่พาดพิงเรื่องลับลับใต้เตียงของผู้มีอำนาจ โดย"เอกยุทธ อัญชันบุตร"ก่อน ญาติพี่น้องออกมาแจ้งว่า "ถูกอุ้ม"หายตัวไป ยังไม่ทราบเป็นตายร้ายดีประการใด
///////////

นเสาร์ที่ 08 มิถุนายน 2013 เวลา 08:17 น.   พิมพ์อีเมล
ดีแต่แหลแถมแถตลอด! น้ำกระฉอก-สึนามิถล่ม เกมวัดใจใครอึดกว่ากัน บทพิสูจน์อยู่ที่ผู้คุมเกม
ถือได้ว่า...วีคที่ผ่านมา...มีแต่เรื่อง "ร้อนแรง" ทั้งสิ้น...โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง "ปากทำพิษ" ล้วนๆ ไล่ตั้งแต่"ปลอดเป็นศพ" มาสู่ "เป็ดเมาไวน์" จนมาถึง "ร่างทรงเจ๊แดง + อำมาตย์วัวลืมตัว" นั่นเอง
จะเห็นกันว่า..."พิษจากปาก" ทำเอา "เรตติ้ง"...ของ "นังหน้าโง่" ร่อยหรอ-หายวับ...จากที่เคยทำตัว "ดีแต่แหล-ตีนลอย..แถตลอด" ตอนนี้ต้องหันกลับมาล้างตีน...ตัวเอง...เพื่อเตรียมเดินสายชี้แจงกับ "บรรดาควายๆ" ที่หลงเชื่อ...เพื่อสร้าง "เรตติ้ง" ใหม่อีกหน
โดยเฉพาะกับ "ปากปลอดเป็นศพ" ที่เที่ยวดูถูก "คนคิดต่าง" ทั้งยังพุ่งตรงไปที่ "คนภูเก็ต" ที่ว่ากันว่า...เสียภาษีให้กับประเทศติดอันดับทีเดียวเชียว...ก็คิดดู "ผู้ประสานงานแดงพะเยา" ยังอดรนทนไม่ได้...เพราะมี "ความคิด" พอที่จะรู้ว่า "อะไรควร-อะไรไม่ควร" ยังต้องออกโรงมากระตุกเตือนเลยว่า...
"คำเตือนใดๆ ของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ไม่ควรมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่ควรมองว่า เป็นสิ่งดีที่ประชาชนเป็นห่วงและเตือนด้วยความหวังดี เพราะเม็ดเงินทุกบาทมีที่มาและที่ไป รัฐบาลจะบริหารงานได้ดีเพียงใด หากไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่เกิดความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของ ก็ย่อมมีระยะห่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และความชอบธรรมก็จะไม่เกิด ดังนั้นอย่าให้คำพูดเพียงประโยคหรือคำกล่าวใดๆ ของผู้นำบางคน กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลง"
เรียกได้ว่า...เป็นการตบหน้าคนระดับ "เสนาบดี" ที่ "ปากปีจอ" แบบไม่ต้องให้ "ขั้วตรงข้าม" มาคอยเตือนให้เสียเวลา
และ "ปากปลอดเป็นศพ" นี้...ก็ทำให้เห็นอากัปกริยา...ของ "คนภูเก็ต" ที่นัดรวมพลขับไล่ว่า..."มะ-รึง-อย่า-คิด-มา-ใต้" เป็นอันขาด
...และไม่แน่ว่า "ปรากฏการณ์ต้านปลอด" อาจขยายวงกว้างไปทั่วภาคใต้...ภาคที่ไม่ได้เลือก "พรรคเผาเมือง" จนกลายเป็น "ปรากฏการณ์พิเศษ" ที่อาจทำให้ "นังหน้าโง่"...จำต้อง "ตัดเนื้อร้าย" ก็เป็นได้
เหมือนที่ "เสนาบดีบ้านกรกฎ"...กำลังโดนรุมสกรัม...จากแรงต้ายของ "ข้า-รา-ชะ" ในกระทรวงวิทย์ฯ...ที่เรียกได้ว่า "หน้าชา" กันไปเลย...ทำให้ "เก้าอี้สั่นคลอน"...ถึงขนาดต้องเดินตาม "เจ๊ซาลาเปาแดง" หัวหน้าก๊วน...ตามไปดูแล "นายใหญ่นักโทษเหลี่ยมจัด" ถึงถิ่นเมืองผู้ดี
โดยเสาร์ที่ผ่านมา...ที่ร้านอาหาร Royal China ย่าน Baker Street กลางกรุงลอนดอน..."นักโทษเหลี่ยมจัด" มีนัดเจอะเจอกับ "น้องสาวซาลาเปาแดง" และ "เสนาบดีบ้านกรกฏ" พ่วงด้วย..."เจ้าแม่รักเด็ก"...โดยมี "สมุนทาส"...อีกจำนวนหนึ่ง...คอยไปเสนอหน้า "เอาใจนาย"
เพราะเป็นการเดินทางไปเคลียร์เรื่อง "โผปรับคอรอมอ" กัน...ที่ "เสนาบดีบ้านปู" กลัวตัวเองต้องกระเด็นกระดอน...จึงต้องขอติดสอยห้อยตาม "เจ๊ซาลาเปาแดง" เพื่อไปค้ำประกันเก้าอี้ตัวเอง
ขณะที่ "เจ้าแม่รักเด็ก"...ก็ต้องไปเกาะติดสถานการณ์...เพื่อรักษาเก้าอี้ "มีวันนี้เพราะพี่ให้"...ให้กับ "กิ๊กตัวดำ-ปากปีจอ"...ให้เป็น "เจ้าพ่อเมืองหลวง"ต่อไป...หลังจากมีข่าวว่า "เก้าอี้สั่นคลอน"
งานนี้แว่วมาว่า..."เกมปรับคอรอมอ" คือแผนยื้อ...สู้กับ "ขั้วตรงข้าม" ที่มีกองกำลังพิเศษ...ที่ไม่อาจทะลวงได้...ก็เท่านั้น
และงานนี้...ต้องจำยอมมอบเก้าอี้ให้กับ "โจกแดง" ที่เคยรับปากแต่ "กินแห้ว" ในรอบที่แล้ว...ที่
1)มีชื่อ "นายพันโรมานอฟ" ติดโผ...นั่ง "ว่าการฯ" ที่ใดที่หนึ่ง...แต่หากไม่ได้จริงๆ อาจปรับให้ไปนั่งเก้าอี้ "ท่านประธานฯ" ให้รู้แล้วรู้แร่ดไปเลย
2)มีชื่อ "คางคกขึ้นวอ" ที่เวลานี้กำลัง "ป่วยใจ" มากกว่า "ป่วยกาย"...เพื่ออาศัยเป็นข้ออ้างในการไปเลี้ยง "ลูกเจี๊ยบ" ทิ้งเมียคนสวยให้เฝ้าอยู่บ้าน
ทั้งนี้เพื่อ "หวัง" จะ "หลอกเสื้อแดง" อีกหน...หลังจากที่เคยพลาด "ถีบหัวส่ง" ขอเดินขึ้นเขา...แต่มาถูก "ขั้วอำมาตย์แท้"...หลอก...จนทำให้ "แค้นฝังใจ" และต้องหันกลับมาพึ่งบริการ "แดง" อีกรอบ
และที่แน่ๆ การไปเมืองผู้ดี...คือการเคลียร์ใจเก้าอี้ "เสนาบดีพ่อค้า" ของ "ร่างทรงซาลาเปาแดง" นั่นเอง...เพราะนี่คือ "จุดตาย" ของ "รัฐบาลนังหน้าโง่" ขนานแท้
ไม่ต้องคิดอะไรมาก...ขนาดคนกันเอง...ยังออกปากเตือนเลยว่า รัฐบาลจะพังก็เพราะคอรัปชั่น...และ "จำนำข้าว" คือสิ่งที่ "ตอกย้ำ" เพราะหาคำตอบที่ทำให้ "ผู้คน" หายสงสัยไม่ได้
ยิ่งวันสุกดิบที่ผ่านมา..."เสนาบดีร่างทรงซาลาเปาแดง" นัดแถลงข่าวโดยหนีบ "อำมาตย์มือใหม่หัดขับ" ที่หวังใช้ "คารมนักโต้วาทีเก่า" มาเป็นตัวหลอกล่อ "หมาเฝ้าบ้าน"
แต่กลายเป็นว่า งานนี้ "ไปกันไม่เป็น"...เจ๊งกันทั้งหน้ากระดาน...และยิ่งเป็นเรื่องตอกย้ำความล้มเหลวว่า...ทั้งชุ่ย-ทั้งมั่ว"...เหมือน "ถามม้า-ควาย(แดง)ตอบ"...ยังไงยังงั้น
ไม่แปลกหรอก...หากจะเห็น "ทีมงานนังหน้าโง่" จำต้องปรับแผนการเดินสายใหม่...จากเดิมที่เน้นแต่ "จ้อต่างแดน"...และกลายเป็น "เปิดช่อง" ให้ "ขั้วตรงข้าม" จุดติด...จาก "ปากแปลตอหลู" ที่ "อูลันบาตอแหล"
และรู้ดีว่า..."มาพลาดซ้ำ" เรื่อง "น้ำกระเพื่อม" ที่ดันไป "เมาดิบ"...ณ เกาะสวาท-หาดสวรรค์...ที่ตอนแรกทำเนียน...พา "ลูกสุดรัก" ไปด้วย...เพื่อหวังกลบข่าวฉาว...แต่กลายเป็นว่า ถูกสึนามิเข้าถล่ม...โดนคลื่นซัดจนรีสอร์ทหรูสั่นสะเทือนไปทั้งเกาะ...ทำเอา "ผัวของหมอ" ถึงกับ "น้ำกระฉอก" ร้อง...yes กลาง "บ้านแสนรัก"...ทีเดียวเชียว
จึงจำต้องปรับเกมใหม่...เน้น เดินสายในประเทศ แทน เพื่อมิให้ "น่าเกลียดเกิน" และหวังอาศัย "หน้าโง่ๆ" เป็นตัวหลอกล่อให้ชาวบ้านเชื่ออีกว่า..."พี่น้องคร๊า...จะกระชากค่าครองชีพให้ถูกคร๊า"...โดยไม่สนว่า "เท็จ" หรือ "จริง"
เหตุผลหลักคือ...เริ่มเห็น "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" V for Thailand ที่เวลานี้ "ลามไปทั่ว" ทุกจังหวัดแล้ว...และนี่คือ "สัญญาณบ่งบอก" ว่า...จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว...เพราะ "กลุ่มเป้าหมาย" ต่างกัน...จึงจำต้องอาศัย "พวกจูงจมูกง่าย" มาชนกับ "พวกมีความคิด"
จะเห็นว่า "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" นี้...ที่นัดหมายกันแล้วจุดติดอย่างรวดเร็วนั้น...ล้วนเกิดจาก "โลกสังคมออนไลน์" ที่ "คนมีความคิด-คนมีความรู้-คนรู้ผิด-คนรู้ชั่ว" ต่างนัดรวมตัวกันโดยนัดหมาย...แต่ทำให้ "สมุนหน้าโง่" จับทิศทางไม่ถูก
เพราะมีข้อจำกัดเรื่อง "การบอกรับเป็นเพื่อน"...ในเฟซบุ๊คนั่นเอง...ทำให้ "ประเมินผิดพลาด" มาตลอด
จากเดิมที่ "พรรคเก่าแก่" เล่นบทนวดทุกวันเสาร์ในเวที "ผ่าความจริง" ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งเวลานี้ก็ปาเข้าไป 50 กว่าจังหวัดแล้ว...พอมาเจอ "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" เล่นบทนวดทุกวันอาทิตย์...ที่ลามกันไปหลายจังหวัด ตามสถานที่ต่างๆ ก็เป็นการบ่งบอกได้ดีว่า"การทวงคืนความยุติธรรม" กำลังกลับคืนมา
เพื่อมิให้ "คนตระกูลหนึ่ง" กินรวบประเทศไทย...อีกต่อไป
และสัญญาณจาก "ปรากฏการณ์คนไม่เปลี่ยนสี" ก็เป็นเครื่องกระตุกเตือนไปยัง "ข้าราชการทั้งหลาย"ได้ดีว่า...จะเป็น "ทาสรับใช้" หรือจะเป็น "ข้า" ของ "ราชะ"...เพราะผลลัพธ์ในบั้นปลายมันเห็นกันอยู่ว่า"จุดจบ" จะเป็นอย่างไร???
ยิ่งมาเห็นอาการจ้อของ “เป็ดเมาไวน์” เรื่องออกมาแฉสารพัดตัวย่อ...จ้องล้มรัฐบาลนังหน้าโง่นั้น...บอกได้เลยว่า ทั้งพลาด-ทั้งพล่าน...และอาการแบบนี้ “คอการเมือง” เชื่อสนิทใจว่า...ย่ำแย่แล้ว เพราะ “เรียกแขก” แบบไม่ได้นัดหมาย ถึงขนาด “ปิศาจคาบไปป์” ออกโรงโต้เองว่า “มือไม่สั่น แต่เท้าสั่น” อยากเตะปาก...555
เกมของ "นักโทษเหลี่ยมจัด" ที่หวังจะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่...หลังงบ 2 ล้านล้านผ่าน...แบบเบิกมาใช้จ่ายได้จริงๆ ไม่ใช่แค่ "ตัวเลข" (เพราะรู้ดีว่า เลือกกี่ครั้งก็ชนะ และชิงปิดเกม "ขั้วตรงข้าม" ไม่ให้ก่อตัวลุกลาม)...คิดหรือว่า "อำมาตย์แท้" จะไม่รู้...และไม่คิดวางแผนแก้และตลบหลัง
งานนี้ "ผู้คุมเกมฝั่งอำมาตย์แท้" แอบกระซิบ "ไต่กอ" ว่า...ศึกรอบนี้วัดกันที่ "ใครอึดกว่ากัน"...ถ้าอยากอยู่นานๆ ก็อยู่ไป...แต่ถ้าคิดว่า จะชิงความได้เปรียบจากเรื่องเงิน ก็คอยดูกัน...ว่า "ผลลัพธ์" จะเป็นอย่างไร???
"ไต่กอ" ได้ฟังเช่นนี้...บอกได้คำเดียวว่า "ผู้คุมเกมฝ่ายไหน" อึดกว่ากัน...มีความได้เปรียบสูง...แต่ดูเหมือนว่า "นักโทษเหลี่ยมจัด" คงไม่ชอบความอึด...เพราะเห็นน้องๆ สาวๆ แอบบ่นให้ฟังว่า "ไม่อึด-น้ำกระฉอกเร็ว"...555
..................................
คอลัมน์ "ซุบซิบไทยอินไซเดอร์"
โดย "ไต่กอ"