PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

บิ๊กป้อม ลงพื้นที่ ลพบุรี ถกผู้ว่าฯ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี พบชาวบ้าน

บิ๊กป้อม ลงพื้นที่ ลพบุรี ถกผู้ว่าฯ ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี พบชาวบ้าน และติดตามงาน กำชับสำรวจคู คลองในพื้นที่แล้งน้ำ เร่งพัฒนาแหล่งนำ้ ติดตามงานแก้ภัยแล้ง ให้ มท. ก.ทรัพย์ฯ-ทหาร เร่งเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำ ยัน ต้องทำทุกอย่าง โปร่งใส ยึดธรรมาภิบาล
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อมคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.ลพบุรี เพื่อรับทราบปัญหาและกำกับติดตามขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน
โดยร่วมประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท สิงหบุรี อ่างทองและ ลพบุรี ณ ศาลากลางจังหวัดลพบุรี เพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและความคืบหน้าในการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่สำคัญ อันประกอบด้วย การแก้ปัญหาภัยแล้ง การแก้ปัญหาการกำจัดขยะ ปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ปัญหาผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นและยาเสพติด
พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกห. เปิดเผยว่า โดยภาพรวมพบว่า การขับเคลื่อนงานของจังหวัดต่างๆ มีความคืบหน้าในลักษณะของการบูรณาการการทำงานร่วมกัน โดยมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมและมุ่งตอบสนองกับความต้องการของประชาชนมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล
พลเอกประวิตร ได้กำชับและให้ความสำคัญกับกลไกบริหารงานระดับพื้นที่ ซึ่งถือเป็นกลไกหลัก ที่จะต้องขับเคลื่อนงานร่วมกับทุกส่วนราชการและภาคประชาชนให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และมอบเป็นนโยบาย ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ บริหารขับเคลื่อนงานในลักษณะบูรณาการร่วมกับทุกส่วนราชการในพื้นที่และภาคประชาสังคมให้มากขึ้น
รวมทั้งเร่งรัดบริหารจัดการงบประมาณตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยยึดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใส มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนในภาคการเกษตร ด้วยการเร่งรัดพัฒนาแหล่งนำ้ในพื้นที่ โดยให้ มท.และทส. ร่วมกับทหาร เร่งรัดดำเนินการสำรวจและขุดลอกคูคลอง หนองบึงในชุมชนพื้นที่แล้งน้ำให้กว้างและลึกขึ้น เพื่อรองรับน้ำในฤดูฝนอันใกล้ พร้อมกับบริหารจัดการเชื่อมโยงแหล่งนำ้ในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
พร้อมกับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดจัดทำแผนงานโครงการเร่งด่วน ในการพัฒนาแหล่งนำ้แบบบูรณาการในพื้นที่ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี ซึ่งครอบคลุมในพื้นที่ 6 ตำบล ในแนวทางประชารัฐให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อรักษาป่าต้นนำ้ พื้นที่ป่าจำปีสิรินธร และบริหารจัดการนำ้ในแอ่งเก็บนำ้ใกล้เคียง ด้วยการกระจายนำ้เข้าพื้นที่การเกษตรให้ครอบคลุมในพื้นที่ต่างๆของทุกตำบล เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตนำ้แล้ง
พลเอก ประวิตร ได้กล่าวย้ำในตอนท้ายว่า การดำเนินการทั้งหมดนี้ เป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ ตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้ร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาในทุกระดับ เพื่อให้โครงสร้างระดับหมู่บ้าน ชุมชนมีความเข้มแข็งและยั่งยืนอย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการขุดเจาะบ่อบาดาล ฝายนำ้ล้นด้านบนของป่าจำปีสิรินธรและรับทราบการแก้ปัญหาของป่าจำปีสิรินธร รวมทั้งปัญหาของประชาชนในพื้นที่ ต.ซับจำปา อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี

คสช. เผยผลปราบมาเฟีย ทั่วประเทศ แจง ปราบผู้มีอิทธิพล ตามการข่าว-ปชช.ร้องเรียน


คสช. เผยผลปราบมาเฟีย ทั่วประเทศ แจง ปราบผู้มีอิทธิพล ตามการข่าว-ปชช.ร้องเรียน ยันทหาร-ตำรวจ ตรวจสอบรอบคอบแล้ว เดินหน้าปฏิบัติการร่วม 3 ฝ่าย ทหาร ตำรวจ ปกครอง กวาดล้างผู้มีอิทธิพล อาชญากรรม สิ่งผิดกฎหมาย ดูแลสุจริตชนให้ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพล
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวว่า คสช.ยังคงเดินหน้างานรักษาความสงบเรียบร้อย จัดระเบียบสังคม และป้องปรามอาชญากรรมและสิ่งผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้ได้เข้มงวดในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล โดยเป็นการทำงานร่วมกันของฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2559เรื่อง “การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดบางประการที่เป็นภยันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือบ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ”
โดยได้ปฏิบัติการกวาดล้างผู้มีอิทธิพลมาแล้วในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดนครปฐม สระแก้ว ลำพูน
สำหรับในช่วง 9-12พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาค ได้จัดกำลังร่วม 3 ฝ่ายกวาดล้างอาชญากรรมและสิ่งผิดกฎหมาย ตามแนวทางดังกล่าวในหลายพื้นที่ ได้แก่
กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 1
เข้าปฏิบัติการ 7 ครั้ง ในพื้นที่ 5 อำเภอ ใน จ.กาญจนบุรี และ อ.แหลมงอบ จ.ตราด จับผู้ต้องหาได้ 8คน ยึดยาบ้า ยาไอซ์ อาวุธปืน ไม้ผิดกฎหมายได้จำนวนหนึ่ง
กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 2 เข้าปฏิบัติการ 7 ครั้ง ในอำเภอ อ.สว่างแดนดิน อ.คำตากล้า
จ.สกลนคร, อ.หนองสูง อ.เมือง จ.มหาสารคาม, อ.ท่าลี่ จ.เลย, อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู, และ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ จับผู้ต้องหาได้ 7 คน ของกลางเป็นยาบ้า ไม้พะยูงและไม้หวงห้ามอื่นๆ จำนวนหนึ่ง
กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 3 เข้าปฏิบัติการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน และยาบ้าจำนวนหนึ่ง
กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 4 เข้าปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมและสิ่งผิดกฎหมาย 5ครั้ง ใน อ.เมือง อ.โมถ่าย และ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี และ อ.เมือง จ.พัทลุง จับผู้ต้องหา 4 คน ยึดพืชกระท่อมและอาวุธปืน พร้อมเครื่องกระสุนได้จำนวนหนึ่ง
และล่าสุด เมื่อ 12พฤษภาคม 2559
กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยกองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้ากวาดล้างอาชญากรรมและสิ่งผิดกฎหมายใน จ.สมุทรปราการ ยึดอาวุธปืน และเครื่องกระสุนได้จำนวนหนึ่งตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ซึ่งของกลางและผู้ต้องหาที่ยึดได้จากปฏิบัติการกวาดล้างผู้มีอิทธิพล เจ้าหน้าที่ได้ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมกับจะนำข้อมูลไปขยายผลในงานด้านความมั่นคงต่อไป
"คสช.ขอเรียนว่า ปฏิบัติการตรวจค้นในพื้นที่ต่างๆ ดังกล่าว เป็นการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง ซึ่งปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อมูลที่ได้ผ่านการกลั่นกรองอย่างรอบด้าน โดยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง และส่วนหนึ่งเป็นข้อมูลที่ได้รับจากการร้องเรียนของประชาชนที่เดือดร้อน ที่ถูกข่มขู่ และที่ได้รับผลกระทบจากพฤติการณ์ของ
ผู้มีอิทธิพล "
ทั้งนี้ คสช. มุ่งหวังให้ปฏิบัติการนี้สร้างความปลอดภัยและดูแลสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือถูกกดดันจากผู้มีอิทธิพลใดๆ และที่ผ่านมาปฏิบัติการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากสุจริตชน ซึ่ง คสช.
โดยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจะยังคงเดินหน้าปราบปรามผู้มีอิทธิพลและสิ่งผิดกฎหมายในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องต่อไป

ทูตสวีเดน คนใหม่ พบ"นายกฯ" ห่วง สิทธิเสรีภาพ ในการแสดงออกของคนไทย


ทูตสวีเดน คนใหม่ พบ"นายกฯ" ห่วง สิทธิเสรีภาพ ในการแสดงออกของคนไทย "บิ๊กตู่"แจงยาว เหตุที่เข้ามา ยันไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย ก็เพื่อให้สงบ ปลอดภัย
ที่ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้การต้อนรับ. H.E. Mr. Staffan Herrström เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรสวีเดน ประจำประเทศไทย ในโอกาสมาดำรงตำแหน่ง ใหม่
พลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกฯ เผยว่า นายกฯได้กล่าวว่า รัฐบาลไทยยินดีที่จะร่วมมือในการสานต่อและสนับสนุนความร่วมมือกับสวีเดนต่อไป พร้อมเน้นย้ำความสัมพันธ์ไทยกับสวีเดนที่มีความแน่นแฟ้นและมีความร่วมมือใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับพระราชวงศ์ ความสัมพันธ์ระดับประชาชน และการทหารจากการจัดซื้อเครื่องบินรบ Gripen
ด้าน เอกอัครราชทูตสวีเดน กล่าวว่า มีความภาคภูมิใจที่ได้มาปฏิบัติหน้าที่ในไทย และพร้อมให้ความร่วมมือในทุกๆด้าน โดยเฉพาะการค้าและการลงทุน จึงขอให้ฝ่ายไทยช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องการค้าและการลงทุนของสวีเดน
แต่ในส่วนของสถานการณ์ทางการเมืองไทยนั้น สวีเดนมีความห่วงใยในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ในเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
โดย พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงว่า รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศไทย เพื่อให้เกิดความสงบสุขและเพื่อให้ความร่วมมือกับประเทศต่างๆดำเนินต่อไปได้โดยไม่ติดขัด รัฐบาลได้วางรากฐานประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพ โดยการดำเนินการตามโรดแมป
ทั้งนึ้ มีการดำเนินคดีแก่ผู้ที่กระทำผิดโดยยึดหลักตามกฎหมายและปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เข้ามาแก้ไขปัญหาในเรื่องที่คั่งค้างมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน เช่น การแก้ไขปัญหา IUU และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมประมง การแก้ไขปัญหาการทุจริตและดำเนินคดีแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กและสตรีโดยการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องตามหลักสากล
พลเอกประยุทธ์ ย้ำให้สวีเดนมั่นใจว่า รัฐบาลไม่ได้ประสงค์ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนใดๆ หากแต่มีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย ก็เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชนในสังคม
เอกอัครราชทูตสวีเดน. ได้แสดงความยินดีที่ทราบว่า รัฐบาลไทยได้มีการแก้ไขปัญหา IUU และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมประมง รวมถึงการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กและสตรี ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลสวีเดนให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน

นายกฯ พบเพื่อนครู

นายกฯ พบเพื่อนครู บอก"ไม่ต้องฟังสัญญาณ ที่จะให้ปรบมือให้ผม หรือบอกให้สู้ๆเพราะผมไม่ต้องสู้กับใคร แต่สู้กับตัวเอง สู้กับปัญหา"....และช่วยกันคืนความสุข ให้ประเทศ ....ครูแห่จับมือ ขอถ่ายรูป นายกฯตลอดทาง ที่เดินผ่าน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู "คืนความสุขให้ครู คืนครูให้นักเรียน" โดยมีครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษา มาร่วมงานกว่า2หมื่น คน ที่เมืองทองธานี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบาย เรื่องการศึกษาถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการต้องจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ครอบคลุม เป็นธรรม และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
โดยเวลาที่เหลืออีกปีกว่าจนถึง ปี 2560 ต้องปฏิรูปการศึกษาระยะแรก ให้เสร็จ ครูจึงต้องทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติและเพื่อศักดิ์ศรีของความเป็นครู ขณะนี้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษายังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ
"ไม่ต้องฟังสัญญาณที่จะให้ปรบมือให้ผม หรือบอกให้สู้ๆ เพราะผมไม่ต้องสู้กับใครแต่สู้กับตัวเอง สู้กับปัญหา" นายกฯ กล่าวในตอนหนึ่ง หลังให้ยกเลิก สคริปต์ ปรบมือ และ ตะโกน นายกฯสู้ๆ
"แต่ขอให้ครูช่วยคืนความสุขให้ คสช. และประเทศไทย ต้องคืนความสุขให้ได้"
นายกฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหาการศึกษาใช้การเมือง ทำไม่ได้ ต้องช่วยกันทุกด้าน และ อยากให้ครู มีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่อยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ไม่เป็นเรื่อง สอนให้ลองคิดลองทำในสิ่งใหม่ มีการปรับตัวเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีเหตุ มีผล รู้จักคิดวิเคราะห์ เป็นกระบวนการ รู้จักนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ สอนวิธีการแก้ปัญหา มีไหวพริบ มีหลักการ และ เหตุผล ไม่ใช่ทำตามความรู้สึก
(ภาพนี้ จาก เนชั่น.....ประหนึ่ง "จุงกิ เมืองไทย" เลยเชียว)

หายนะทางการทูตของไทย ในละครตบ-จูบ รมว.ดอน-ทูตเดวีส์


  1. เรื่องของเรื่อง สืบเนื่องมาตั้งแต่หลังการประชุมเวที UPR หรือการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทยโดยชาติสมาชิก UN สหรัฐฯเป็นหนึ่งใน 105 ประเทศที่ยื่นขอซักถามปัญหาเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย โดยทวงถามทั้งเรื่องการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 และการละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนด้านอื่นๆ การนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร การจำกัดสิทธิประชาชนในการวิพากวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ ทำให้ไทยเรียกนายกลิน ที เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ เข้าพบที่กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งการเรียกพบเช่นนี้เป็นท่าทีปกติมาตรฐานในวงการทูต เพื่อแสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลไทยมีต่อท่าทีของสหรัฐฯ
  2. แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อทูตเดวีส์เข้าพบนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย "วงใน" กลับบอกว่าอดีตทูตดอนโดนทูตเดวีส์ "จัดหนัก" แทนที่จะเป็นฝ่ายทางการไทยจัดหนักตามที่ควรจะเป็น ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะสหรัฐฯอยู่ในฐานะมหาอำนาจ ไทยจะเรียกไปต่อว่าแบบจริงจังก็เกรงใจ แต่จะไม่ทำก็ถือเป็นการเสียเกียรติประเทศ และอาจทำให้รัฐบาลขุ่นเคืองค้อนควักรัฐมนตรีต่างประเทศขึ้นมาอีกได้
  3. เท่านั้นยังไม่พอ หลังการพบกันเป็นการส่วนตัว ทูตเดวีส์และนายดอนได้ออกมาแถลงข่าวร่วมกัน ซึ่งท่าทีนี้จริงๆแล้วถือเป็นการเดินเกมที่ฉลาดของทั้งสองฝ่าย การต่อว่าต่อขานกันทำกันเป็นการลับเฉพาะตัว ถึงจะมีวงในแพร่ข่าวออกมาว่าใครโดนต่อว่ายังไง ก็ไม่ปรากฏหลักฐานให้เสียหน้า แต่การแถลงข่าวร่วมหลังการพบกัน เป็นการยืนยันว่าไม่ว่าจะอย่างไร ไทยและสหรัฐฯก็ยังเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกันเสมอ
  4. แต่เหตุการณ์กลับดาลปัตรซ้ำสอง และเป็นการกลับตาลปัตรที่ร้ายแรงหนักขึ้น เพราะเกิดต่อหน้าสื่อมวลชนทั้งไทยและเทศหลายสิบชีวิต เมื่อทูตเดวีส์ถูกนักข่าวถามถึงอีกกรณีร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ นั่นก็คือการที่เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะการณ์เดียนของอังกฤษ รายงานข่าวที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ "ประณาม" การที่ไทยริดรอนเสรีภาพของประชาชน จากกรณีดำเนินคดีแม่จ่านิวในข้อหา 112 แล้วกระทรวงต่างประเทศของไทยออกแถลงการณ์ตอบโต้ โดยยืนยันว่า
  5. 1. กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มิได้ออกแถลงการณ์ใด ๆ ในประเด็นดังกล่าว

  6. 2. ข้อความที่สื่อรายงานเป็นเพียงการตอบคำถามโดยเจ้าหน้าที่เวรข่าวของกรมเอเชียตะวันออกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มิใช่การตอบคำถามโดยโฆษกระดับกรมอย่างที่มีการรายงาน อีกทั้ง มิได้ใช้ถ้อยคำว่า “ประณาม” (condemn)

  7. 3. รัฐบาลขอยืนยันว่า ประเทศไทยเคารพหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น อย่างไรก็ดี ต้องคำนึงถึงการรักษาความสงบเรียบร้อย การป้องกันความแตกแยกในสังคม เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงของการปฏิรูปประเทศเพื่อนำสู่ประชาธิปไตยที่มั่นคงและความสามัคคีภายในชาติ
  8. ทูตเดวีส์ดูเหมือนจะเตรียมตัวตอบเรื่องนี้มาแล้วอย่างดี เนื่องจากทันทีที่นักข่าวสอบถามว่าตกลงแคทรีนา อดัมส์ ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทย เป็นโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯจริงหรือไม่ ทูตเดวีส์ก็ควักเอกสารออกมาแจกนักข่าวได้ทันที แถมยังส่งให้นายดอนด้วย 1 ฉบับ พร้อมกับอ่านแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯในประเด็นนี้อย่างชัดเจน ได้ใจความว่าสหรัฐฯกังวลกรณีการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรัฐบาลไทยอย่างมาก ไม่ต่างจากที่เดอะ การ์เดียนรายงาน และแคทรีนา อดัมส์ ก็เป็นโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ แต่ยังทิ้งท้ายว่า สหรัฐฯไม่ได้เอ่ยคำว่า "ประณาม" จริงตามที่กระทรวงต่างประเทศของไทยปฏิเสธ
  9. เรื่องเล่าเช้านี้ กต.หารือทูตมะกัน โต้สหรัฐฯประณามไทยละเมิดสิทธิฯ (13 พ.ค.59)
  10. สิ่งที่ทูตเดวีส์ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็คือ แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศไทยนั้น มีเรื่องจริงเพียงประการเดียว ก็คือสหรัฐฯไม่ได้เอ่ยคำว่า "ประณาม" หรือ "condemn" ออกมา เพราะคำนี้ถือว่ามีระดับรุนแรง แม้แต่กับเกาหลีเหนือ สหรัฐฯก็ไม่ได้ใช้บ่อยๆ แต่ข้อความส่วนที่เหลือล้วนเป็นความเท็จ การส่งแถลงการณ์ที่กระทรวงต่างประเทศไทยปฏิเสธว่าไม่มี ให้กับนายดอน และอ่านแถลงการณ์นั้นต่อสื่อมวลชนแบบสดๆ จึงไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าทั้งนายดอนและประเทศไทยแบบ "เน้นๆ"
  11. นี่ถือว่าเป็นการหักหน้ากันทางการทูตต่อหน้าธารกำนัลที่เกือบจะร้ายแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะคนที่ยืนอยู่กับทูตเดวีส์คือรัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่ใช่ระดับปลัดกระทรวงหรืออธิบดี และนายดอนเองก็เป็นอดีตทูต เพราะฉะนั้นย่อมทราบดีว่าละครการทูตฉากนี้ของสหรัฐฯตั้งใจจะทำอะไร ส่วนความร้ายแรงนั้น ไม่ต้องดูจากไหน สีหน้าของนายดอนเองย่อมเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดีว่า "เจ็บนี้อีกนาน" แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากย้ำว่าสหรัฐฯไม่ได้พูดคำว่าประณามจริงๆนะจ๊ะ
  12. ก่อนหน้านี้ ทูตเดวีส์ถูกมองว่ามีท่าทีระมัดระวัง ไม่แทรกแซงประเด็นอ่อนไหวในไทยเท่าที่หลายฝ่ายคาดหวัง เพราะสหรัฐฯกลัวว่าหากกดดันไทยมากเกินไป จะกลายเป็นการเสียผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะสหรัฐฯกำลังต้องการกลับมามีอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อคานกับจีน
  13. แต่ในขณะเดียวกัน อย่าลืมว่าสหรัฐฯก็จำเป็นต้องยังรักษาภาพลักษณ์ในด้านการพิทักษ์สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย นี่คือสาเหตุที่สหรัฐฯเลือกแสดงบทบาทหนักหน่วงในเวที UPR และยิ่งเมื่อกระทรวงต่างประเทศของไทยโจมตีสหรัฐฯในลักษณะดูหมิ่นด้วยการบิดเบือนว่าโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯไม่ได้พูดเรื่องแม่จ่านิว ทูตเดวีส์ยิ่งมีเหตุสมควรและจำเป็นที่จะต้องปกป้องจุดยืนและศักดิ์ศรีของประเทศ
  14. อันที่จริงแล้ว ก็ถือว่าน่าเห็นใจกระทรวงต่างประเทศของไทย ที่ต้องเป็นหนังหน้าไฟ รับหน้าเสื่อทั้งการวิจารณ์จากต่างชาติ และรับหน้าที่ทำภาพลักษณ์ไทยให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ในสายตาชาวโลก ซึ่งไม่ใช่งานที่ง่ายเลย แต่หายนะทางการทูตที่ฉีกหน้ารัฐมนตรีเป็นชิ้นๆงานนี้ ก็น่าจะเป็นบทเรียนว่าภารกิจรักษาหน้ารัฐบาลไทยทั้งในสายตาคนไทยและชาวโลก ไม่อาจทำแบบง่ายๆ เพียงการให้ข้อมูลข้างเดียว คนไทยอาจไม่รู้จะทำอย่างไร หรือไม่กล้าทำอะไรกับข้อมูลด้านเดียวแบบนี้ แต่ต่างชาติ "รู้" และ "กล้าทำ" แน่นอน