PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

'วัฒนา'มอบตัวคดีอาวุธสงคราม ลังเลส่งศาลทหาร-พลเรือน

'วัฒนา'มอบตัวคดีอาวุธสงคราม ลังเลส่งศาลทหาร-พลเรือน
“วัฒนา” ดอดมอบตัวทหาร หลัง “ศรีวราห์” ระบุพบเบาะแส ประเด็นครอบครองอาวุธสงครามล็อตใหญ่ทิ้งที่แปดริ้ว ทหารควบคุมตัวเข้ามทบ.11 เตรียมฝากขังผัดแรก 7 ธ.ค.นี้ ไม่ชัดส่งศาลทหารหรือพลเรือน
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ออกมาระบุว่าทราบเบาะแสผู้นำอาวุธสงครามมาทิ้งไว้ที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ. ฉะเชิงเทรา และเตรียมออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ปรากฏกว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร ซึ่งเป็นเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ และมีชื่อเป็นเครือข่ายคดีอาวุธสงครามที่ตำรวจได้ออกหมายจับปี 57 นั้น ได้เดินทางเข้ามาติดต่อขอมอบตัวกับทหารในพื้นที่รับผิดชอบของกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อย ศูนย์ป้องกันภัยทางอากาศ ทบ.1 (ศปภอ.ทบ.1) ที่ดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และจ.ปทุมธานี
จากนั้นทหารได้นำตัวมาควบคุมไว้ภายในมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11 ) กทม. โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 เนื่องจากมีฐานความผิดคือมีอาวุธสงครามในครอบครอง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะนำตัวนายวัฒนา ไปขออนุมัติศาลเพื่อฝากขังผัดแรกในวันที่ 7 ธ.ค. หลังจากครบกำหนดควบคุมตัวครบ 7 วัน โดยกำลังพิจารณาว่าจะส่งศาลทหารกรุงเทพหรือศาลพลเรือน อย่างไรก็ตามจากการซักถามและตรวจสอบประวัติอาชญากรรม พบว่านายวัฒนามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ และเคยต้องคดีมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองมาแล้ว และขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ต้องสงสัยเพิ่มเติมอีก 1 รายด้วย
# เดลินิวส์
อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับภายในวันที่ 6 ธันวาคม นี้
ภาพ fm91

ชำแหละสารพัดสูตร สู่... วิกฤตตั้งรัฐบาลไม่ได้

ชำแหละสารพัดสูตร สู่... วิกฤตตั้งรัฐบาลไม่ได้

  • 03 ธันวาคม 2560 เวลา 10:47 น.

ชำแหละสารพัดสูตร สู่... วิกฤตตั้งรัฐบาลไม่ได้
โดย...ธนพล บางยี่ขัน 

แรงกระเพื่อมก่อตัวทันทีหลังแกนนำ “เพื่อไทย” และ “ประชาธิปัตย์” ออกมาจุดประเด็นการจับมือของพรรคการเมืองเพื่อสกัด “นายกรัฐมนตรีคนนอก”​ จากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ​

กระแสตอบรับจาก “กองเชียร์” เป็น “ก้อนหิน” มากกว่า “ดอกไม้”

ผู้หลักผู้ใหญ่ของทั้งสองพรรครีบออกมา “ตัดตอน” โยนให้เป็นเรื่องของความคิดความเห็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้อง​กับการตัดสินใจ หรือจุดยืนของพรรค​ ในวันที่ยังต้องสงบนิ่งตามคำสั่ง คสช.

นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ ชี้แจงถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ว่า หนึ่ง ไม่ใช่เรื่องความเห็นของพรรค และสอง ในวันนั้นไม่มีใครพูดถึงเรื่องการจับมือกันตั้งรัฐบาล ทั้งประชาธิปัตย์และเพื่อไทย เป็นเพียงแค่การพูดถึงสูตรเรื่องตัวเลขทางการเมือง

“ในเวทีเสวนาที่สมาคมนักข่าวฯ วันนั้นผมยังบอกว่าเป็นเรื่องยากมาก ​​เพราะความขัดแย้งมีรวม 10 ปี ตกผลึกฝังราก ดังนั้นโอกาสจับมือนี่ยากมาก พรรคเพื่อไทยก็บอกยาก ถ้าเริ่มต้นบอกยากก็ไม่มีนัยส่อไปถึงว่าต่อไปจะจับมือกันเลย”

เพียงแต่วันนั้นเป็นการอธิบายสูตรการเมือง ​คือ คนไม่สนใจ ไม่อ่าน หรืออ่านรัฐธรรมนูญแล้วไม่สนใจ ว่าการที่จะได้นายกรัฐมนตรี ต้องมีเสียง 375 เสียง จะมาจากพรรคไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้บอกว่าจะต้องมาจากไหน ​ส่วนจะมาจากประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ชาติไทย ภูมิใจไทย ​ก็ว่ากันไป

ประเด็นคือหากจะไม่เอานายกฯ คนนอก ก็ต้องรวมเสียงให้ได้ 375 เสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขียนในรัฐธรรมนูญ ​แต่การจะให้พรรคการเมืองจับมือกัน 375 เสียง ก็เป็นเรื่องยากมาก ให้ สส. 375 เสียง จาก 500 เสียง คิดเห็นไปในทางเดียวกัน

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อธิบายว่า หากพิจารณาจากผลการเลือกตั้งในอดีต ใช้ระบบเลือกตั้งแบบเดิม โอกาสที่จะรวมเสียง สส. 375 เสียง ก็พอเป็นไปได้ แต่ปัจจุบันระบบเลือกตั้งใหม่ตามรัฐธรรมนูญ 2560 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บอกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่าระบบเลือกตั้งโอกาสที่พรรคใดพรรคหนึ่งจะได้เสียงข้างมากเป็นไปได้ยาก

“เดิมระบบเลือกตั้งมีสองบัตร ​เลือกพรรค เลือกตั้งบุคคล ไม่พอใจบุคคลก็ยังเลือกพรรคได้ เดียวนี้มีบัตรเดียว สส.เขต ระบบนี้ไม่น่าจะมีใครได้คะแนนโด่งเกิน 250 เสียง ดังนั้น ​เมื่อพรรคการเมืองจับมือกันจะได้ 375 เสียงไหม เมื่อไม่ได้ โอกาสนายกฯ คนนอกก็สูง แต่ไม่กล้าพูดเพราะพูดไปเดี๋ยวชาวบ้านมาด่าผมอีก
ในกรณีที่ ​สมมติเพื่อไทยได้ 260 เสียง ถือว่าเกินกึ่งหนึ่ง 250 เสียง ในสภาผู้แทนราษฎร เดิมตามรัฐธรรมนูญ 2550 สามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งไม่ได้เพราะต้องใช้ 375 เสียง เพราะใช้เสียง 250 เสียง สว.มาร่วมเลือกด้วย

ทั้งนี้ หากเพื่อไทยได้ 260 เสียง แต่ไม่มีใครจับมือเขา และ 240 เสียงที่เหลือไปจับมือกับ 250 สว.ได้ 490 เกินครึ่งตั้งรัฐบาลได้แต่ก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพื่อไทย​ 260 เสียง ก็เป็นฝ่ายค้านเสียงข้างมาก ส่วน 240 เสียงที่เหลือตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้ แต่ทำงานไม่รู้ถึง 4 เดือน​หรือเปล่า เพราะกฎหมายฉบับแรกคืองบประมาณที่วาระแรกถ้าถูกคว่ำต้องยุบสภาหรือลาออก

ที่สำคัญยุบสภาแล้ว 250 สว.ก็ยังอยู่ ปัญหาไม่ได้หมดไป ​ทุกอย่างต้องวนกลับมาที่เดิม ​นี่คือสิ่งที่ผมต้องการสะท้อนในวงเสวนา ว่าไม่เห็นทางออกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร

นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ไม่กล้าปรามาสเขา แต่เชื่อว่า 250 สว.ที่เข้ามาสู่ในระบบนั้นโดยหลักควรคำนึงถึงคนที่เลือกเขามา หากโบกมือไปทางไหนน่าจะไปทางนั้น แต่พูดลำบากเดี๋ยวถูกด่าอีก ​ความจริงเราควรมานั่งคุยกันแบบเป็นเหตุเป็นผล

ดูแล้วไม่มีทางออก สมมติให้ประชาธิปัตย์จับมือ สว. เลือกนายกฯ คนนอกต้องดูก่อนว่า เพื่อไทยได้กี่เสียง หากเขาได้ 260 เสียง ประชาธิปัตย์จะกล้าตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือ เพราะรู้อยู่แล้วว่าอยู่ได้ไม่เกิน 4 เดือน เป็นรัฐบาลไปก็ทำอะไรไม่ได้

อีกกรณี สมมติประชาธิปัตย์ได้ 260 เสียง แล้วไปรวมเสียง 250 สว. เลือกนายกฯ คนนอก วันดีคืนดี นายกฯ คนนอกไปหงุดหงิดอะไรมาแล้วยุบสภา ประชาธิปัตย์เจ๊งพอดี เลือกตั้งใหม่กลับมาไม่รู้จะถึงร้อยหรือเปล่า ​เกิดนายกฯ คนนอกซึ่งไม่แน่จะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ หรือเปล่า อาจเป็นคนอื่นแล้วไปด่าชาวบ้าน เขาจะมาบอกว่าไม่เลือกคุณแล้วเพราะคุณไปเลือกนายกฯ ที่ไม่เห็นหัวชาวบ้าน อย่างนี้แย่เลยนะ
ถามย้ำว่า “ยาก” แต่หากถึงเวลาจะมีความเป็นไปได้ไหมในการจับมือกันของพรรคใหญ่ นิพิฏฐ์ กล่าวว่า ยาก เพราะความขัดแย้งมันตกผลึก ประการสำคัญ กองเชียร์ของแต่ละฝ่ายเขาไม่ยอมหรอก ต้องการให้สู้กันไปอย่างนี้ ต้องสู้กันไปไม่มีทางเป็นอื่น

“โอกาสที่จะเป็นนายกฯ คนนอก นายกฯ คนนอกที่มาจากทหาร​มีแนวโน้มเป็นยาวอีก 8 ปีคนบอกว่า 4 ปี แต่เอาเข้าจริง 4 ปี เมื่อไหร่ เพราะกำหนดให้ สว.เลือกนายกฯ ได้ 5 ปี สองสมัย ดังนั้นอาจได้นายกฯ เป็นทหารไปอีก 8 ปี”

นิพิฏฐ์ กล่าวว่า เราไม่พูดความจริงกับประชาชน ที่ผ่านมา คสช.ไม่ได้ทำเรื่องปรองดอง ตั้งแต่ยึดอำนาจ คนเกลียดกันยังไงก็ยังเกลียดกันอยู่อย่างนั้น เผลอๆ ตอนนี้อาจเกลียดกันมากขึ้นกว่าเดิมเพราะโลกโซเชียลนั่งอ่าน นั่งด่ากันอยู่ในบ้านได้ ไม่ต้องออกไปกลางถนนแล้ว

ถามว่าตอนนี้แต่ละพรรคมีท่าทีเดียวกันคือไม่เอานายกฯ คนนอกจากทหาร จะเป็น “จุดร่วม” ให้เกิดการผนึกกำลังของพรรคการเมืองได้ไหม นิพิฏฐ์ มองว่า ต้องไปบอกกองเชียร์ก่อน ชาวบ้านต้องเข้าใจตัวเลข 250 เสียง 375 เสียง ก่อนว่าคืออะไรเวลานี้ชาวบ้านไม่เข้าใจ

สถานการณ์เวลานี้เปลี่ยนไป เดิมมีกลุ่มที่ไม่พอใจเพื่อไทย ไม่พอใจประชาธิปัตย์ เวลานี้เริ่มมีกลุ่มไม่พอใจทหารอีก จากสองกลุ่มใหญ่เวลานี้กำลังจะกลายเป็น 3 กลุ่ม การที่ทหารจะอยู่ต่อจึงทำให้คู่ขัดแย้งเพิ่มขึ้น ​ต่อไปก็จะมีคู่ขัดแย้งฝ่ายที่ 4 คือ พรรคใหม่ที่ประกาศ ไม่เอาประชาธิปัตย์ ไม่เอาเพื่อไทย ไม่เอาทหาร ที่คงจะเปิดตัวเร็วๆ นี้

“ผมถึงบอกว่าประชาชนต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไง จะให้มันขัดแย้งต่อไปก็ไม่มีปัญหา แต่ตัวเลขหนึ่งที่ไม่ได้พูดถึงคือขณะที่ประชาชนขัดแย้ง กลุ่มทุนใหญ่อันดับที่ 1-10 ของประเทศ ปีที่แล้วเขารวยขึ้น 17% ประชาชนกำลังตกเป็นเหยื่อท่ามกลางที่เราทะเลาะกัน คนรวยยิ่งรวย เรามีความสุขกับการทะเลาะกันแล้วทนได้กับความจนก็ไม่เป็นไร ทะเลาะกันไปไม่มีปัญหา ชาวบ้านต้องตัดสินใจเอง ว่าเราจะเอาประเทศไปแนวไหน”​

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์​ กล่าวว่า ปัญหาอยู่ตรงที่เราไม่ได้คุยกันเรื่องปรองดองตั้งแต่แรก ถ้าวินาทีแรกยึดอำนาจ วินาทีที่สองทำปรองดอง อย่าไปทำอะไรที่เพิ่มความเกลียดทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่ที่ผ่านมา ความเกลียด ความไม่พอใจของแต่ละฝ่ายยังอยู่เหมือนเดิมไม่ลดลง

“ถึงบอกว่าวิกฤตหลังเลือกตั้งคือวิกฤตที่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ สูตรนั้นก็จับไม่ได้ รวมเสียงไม่ได้ ก็น่าจะเป็นวิกฤต และก็จะกลายเป็นความชอบธรรมของคนที่จะหาเหตุผลอยู่ต่อ บอกว่าเมื่อให้เลือกตั้ง แล้วคุณเลือกนายกฯ ไม่ได้นายกฯ คนนอกก็ไม่เอา เหตุผลนี้ชอบธรรมเลยนะ”

นิพิฏฐ์ ออกตัวว่า ด้วยระบบเลือกตั้งใหม่ยังประเมินไม่ออกว่าพรรคจะได้คะแนนมากน้อยกว่าเดิม แต่หากดูตัวเลขแล้ว อาจเกิดปรากฏการณ์พรรคใหญ่แตกไปเป็นพรรคลูกลงสมัคร เช่น ภาคอีสาน เขาแตกไปลง 10 จังหวัด พรรคแม่ก็ไม่ลงแข่ง จะทำให้คะแนนเพิ่มถล่มทลาย

เนื่องจากคิดระบบสัดส่วนผสม พรรคใหญ่ที่ได้ สส.เขตเยอะไปแล้ว สส.ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อต้องลุ้นว่าตัวเองจะได้ไหม เพราะ สส.เขตได้ไปเยอะเกือบเต็มสัดส่วนแล้ว แต่หากไปลงพรรคใหม่จะทำให้ได้คะแนนทั้งเขตและบัญชีรายชื่อมากขึ้นเมื่อรวมพรรคแม่พรรคลูกจะชนะถล่มทลาย

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนประชาธิปัตย์คงไม่ใช่สูตรนี้เพราะทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่ทำให้คนสับสน ดีไม่ดีไปทำแบบนี้คนด่าตาย เผลอๆ สอบตกหมด พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีแรงจูงใจที่จะต้องใช้สูตรนี้ แต่พรรคอื่นไม่แน่​

ส่วนคำถามที่คนสงสัยว่าจะมีพรรค กปปส.เกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคตนั้น นิพิฏฐ์ ​กล่าวว่า หากเขาคิดจะตั้งจริงคงจะหา สส.เขตยาก และในพื้นที่ภาคใต้คงจะเอาชนะประชาธิปัตย์ยาก อาจจะได้เป็นที่สอง สมมติ ประชาธิปัตย์ 7 หมื่น เขาอาจจะได้ 4-5 หมื่น รวมแล้วก็อาจจะได้ สส.บัญชีรายชื่อแทน

“ตรงนี้ไม่มีผลต่อเพื่อไทย แต่จะมีผลต่อประชาธิปัตย์ ดังนั้นสูตรที่มองกันว่าจะแยกกันไปตีเพื่อไทย คงไม่ได้เป็นอย่างนั้น”นิพิฏฐ์ กล่าว

ปัด คสช. ร้าว

ปัด คสช. ร้าว
"บิ๊กป้อม"ยัน "บิ๊กเจี๊ยบ-บิ๊กเข้" เปล่า น้อยใจ ไม่มาประชุม คสช. เผย ลาไปต่างประเทศ ....ส่วน "นายกฯ บิ๊กตู่" ปัดข่าว คสช.ร้าว หลังหลุด ครม. โดยบอกว่า อย่า พูดไปเรื่อย เขาลาไปต่างประเทศ ..."มีแค่นี้ เขาก็ประชุมได้"
หลังจากการที่ บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกธนศักดิ์ ปฏิมาประกร และ บิ๊กเข้ พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศรัย อดีตรองนายกฯ และรองหน.คสช. ไม่มาประชุม คสช. วันนี้ เพราะลาไปต่างประเทศ หลังหลุดครม... ท่ามกลาง ข่าว น้อยใจ ครม.

คสช.มาไม่ครบ

ต้องจับตา...เมื่อ"บิ๊กเจี๊ยบ-บิ๊กเข้"ไม่มาประชุม คสช.หลังหลุด ครม... เผย ลาไปต่างประเทศ
ประชุม คสช. วันนี้ ...บิ๊กเจี๊ยบ พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และ บิ๊กเข้ พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย อดีตรองนายกฯ ไม่มา หลังหลุดครม. แต่ยังเป็น รองหัวหน้า คสช. แต่วันนี้ ไม่มาประชุม.... ให้เหตุผลว่า ลาไปต่างประเทศ
ส่วน พลเอกอุดมเดช สีตบุตร อดีตรมช.กลาโหม ที่หลุดครม. แต่ยังเป็น คาช. อยู่ ก็มาร่วมประชุม ตามที่ได้บอกไว้
ท่ามกลางการจับตามองว่า. บิ๊กเจี้ยบ และบิ๊กเข้ คสช.ที่หลุด ครม. ครั้งนี้ hurt น้อยใจนายกฯ และขอเวลาพัก สักระยะ

"บิ๊กตู่"ไม่ได้อิจฉา"ตูน"!!

"บิ๊กตู่"ไม่ได้อิจฉา"ตูน"!!
"บิ๊กตู่" ยก "ตูน บอดี้สแลม" เป็นขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศ ยัน ไม่ได้อิจฉาตูน /ได้ทีโหน ทำตรงนโยบายรัฐบาล ถือเป็นคนในศตวรรษใหม่ เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคน4.0 คิดแบบ 4.0/ฝาก "ก้อย รัชวิน" คอยดูแล"ตูน"ด้วย และ ขอให้รักกันมากๆ อย่าหึง !/"ตูน" เผย "เราอยากได้เงินจำนวนน้อยๆ จากคนจำนวนเยอะๆ มากกว่าจะได้เงินจำนวนเยอะๆ จากคนจำนวนน้อยนิดเดียว"

นาย อาทิวราห์ คงมาลัย หรือ "ตูน บอดี้สแลม"เข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมด้วย พ่อแม่ และ ก้อย รัชวิน

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมและขอบคุณ ตูน ครอบครัวและทีมงาน ที่ได้เสียสละและตั้งใจทำความดีครั้งนี้ และทำให้คนไทยมีความสุข

พร้อมระบุว่า ดีใจที่ได้มาพบกัน ซึ่งวันนี้เป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีใหม่นัดแรกด้วย หรือ ประยุทธ์ 5
ซึ่งที่ผ่านมาได้ติดตามมาโดยตลอด ตั้งแต่เริ่มวิ่ง และเคยได้บริจาคเงินด้วยไปแล้วครั้งนึง เมื่อครั้งที่วิ่งที่บางสะพาน

ส่วนครั้งนี้ระยะทางวิ่งไกลกว่าเดิม หากไม่มีจิตมุ่งมั่นตั้งใจ คงไม่มีใครวิ่งได้ขนาดนี้
ทั้งได้ขอบคุณตูนและทุกคน ที่ได้ประสานกับทุกฝ่ายทั้งกระทรวงสาธารณสุข และ โรงพยายาลทั้ง 11 แห่งว่าจะทำอะไรล่วงหน้าอย่างไร มีการตรวจสอบเส้นทาง คณะทำงาน ถือเป็นสิ่งที่ร่วมมือกันทำทั้งประเทศของเรา

สิ่งที่ตูนทำวันนี้ ถือว่าไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียงของตัวเองตั้งแต่แรก แต่ปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนจำนวนมาก

ถือว่าสอดคล้องกับแนวนโยบายรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องมีหลายภาคส่วนช่วยกันทำงาน และ ถือได้ว่า "ตูน"เป็นพลเมืองที่มีความมุ่งมั่น ทำเพื่อประโยชน์ชาติ และ ประชาชน เพื่อการสาธารณสุข
“ วันนี้ถือว่าตูน ถือว่าเป็นขวัญใจของคนไทยทั้งประเทศไปแล้ว การเป็นก็ว่ายากแล้ว แต่การจะรักษาต่อไปนั้น มันยากกว่า ยากเหมือนกัน เหมือนกับการได้แชมป์มาแล้ว การรักษาแชมป์จะยากกว่า
แต่จากพื้นฐานของตูน ผมมีความเชื่อมั่น ทั้งจากการเรียนหนังสือที่จบคณะนิติศาสตร์จุฬาฯ ได้รับเกียรตินิยมด้วย และมีความสามารถพิเศษในด้านดนตรี เป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่

ถือเป็นคนในศตวรรษใหม่ เป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคน4.0 คิดแบบ 4.0 แต่ไม่ได้หมายความว่า ตูนจะต้องไปปฎิรูป 4.0 ด้านเศรษฐกิจ มันเป็นคนละเรื่องกัน

สิ่งที่ผมชื่นใจแทนตูน คือ สามารถได้ร่วมกับคนไทยทั้ง70 ล้านคน ทำงานซึ่งเป็นไปตามแนวทางของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องของจิตอาสา ที่ทำงานเพื่อสังคม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องถวายแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ คือสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หน้าที่ของพวกเราทุกคนคือประชาชน ในส่วนที่สองรัฐบาลพยายามใช้กลไกในการขับเคลื่อนทุกอย่างของประเทศในเรื่องกลไกประชารัฐ “

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศมีปัญหามาก ซึ่งตูน ก็ได้เข้ามาช่วยลดปัญหาตรงนี้ โดยโรงพยาบาลทั้ง 11 แห่งในโครงการ รัฐบาลก็ดูแลในส่วนหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่างบประมาณส่วนใหญ่ก็ต้องไปดูแล เรื่องประกันสุขภาพก็มีปัญหามากพอสมควร เพราะเรายังมีรายได้ไม่มาก ถ้าให้มากไปทั้งหมดก็จะมีผลกระทบกับการพัฒนา

แต่กระทรวงสาธารณสุขก็เร่งดำเนินการในส่วนต่างๆ ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงรัฐบาลนี้อนุมัติงบประมาณไปยังโรงพยาบาลต่างๆ จำนวนหนึ่งแล้ว แต่โรงพยาบาลศูนย์ส่วนใหญ่ก็นำไปปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การจัดหาอุปกรณ์ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ขาดความทันสมัย เพราะมีราคาแพง สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ถ้าเราใช้จ่ายในเรื่องของคนมาก และ ยังไม่สามารถหาเงินได้มากพอรัฐบาลก็จะมีปัญหา

ซึ่งวันนี้ตนเองดีใจที่เห็นตูนวิ่งมาได้เกินครึ่งทาง 1,288 กิโลเมตร ที่ผ่านมาก็มีเป็นห่วงตลอด โดยให้ทหารช่วยดูแลทั้งเรื่องเส้นทาง และ การรักษาความปลอดภัย พร้อมขอทำความเข้าใจกับประชาชน ที่อยากเข้ามาใกล้ชิดถ่ายรูปกับตูน แต่จะทำให้จังหวะการวิ่งมีปัญหา และ อาจเกิดอันตรายได้ สิ่งที่ทุกคนทำวันนี้ทำด้วยใจ อันเป็นกุศลทำให้คนอื่นมีความสุข แต่เราอาจจะทุกข์บ้าง เพราะอาจมีคนบ่นว่า ซึ่งถือเป็นความทุกข์ของเรา แต่เราก็ยึดมั่นและทุกอย่างก็จะสำเร็จ

เหมือนนายกรัฐมนตรี ที่คิดว่าทำงานเพื่อคนอื่นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็ยอมรับอยู่แล้ว บ่นเสียดายหากอายุน้อยกว่านี้จะไปร่วมวิ่งกับตูนด้วย สมัยก่อนก็วิ่งอยู่ทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้วิ่งแล้ว เพราะอายุย่างเข้า64แล้ว

พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า การตั้งความหวังในการวิ่งรวมทั้งระยะทางต่างๆ ถือเป็นการตั้งเอง หากมีอุปสรรคทางร่างกายก็ไม่มีใครว่าอะไร ขออย่าฝืน เพราะหากฝืนอาจทำไม่ได้ต่อไป

“ผมอ่านข่าวว่ามีการวิ่งข้ามทะเลทราย 250 กิโลเมตร ว่าจะส่งตูนไปลงแข่งขันด้วย ถือเป็นการวิ่งระดับโลก วันนี้วิ่งได้แล้ว1,288 กิโลเมตร คนอื่นน่าจะสู้ ตูนไม่ได้ ”

พร้อมฝากให้"ก้อย รัชวิน"แฟนสาว คอยดูแลตูนด้วย และ ขอให้รักกันมากๆ

ขณะที่ตูน ขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้โอกาส และ ให้เกียรติเข้าพบ พร้อมกล่าวว่าการวิ่งยังล่าช้ากว่ากำหนด 2 วัน เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ และ ต้องพักตามที่แพทย์แนะนำ ซึ่งการเริ่มต้นโครงการถือเป็นความตั้งใจที่จะช่วยเหลือแพทย์และพยาบาล และ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะมีคนออกมาร่วมกันมากมายเช่นนี้ เราเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่พวกเราทั้งหมดอยากจะทำ โดยจะทำให้เต็มที่มากที่สุดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ และสุดท้ายมันจะเล็กหรือใหญ่ก็ให้เป็นเรื่องธรรมชาติ

“ ผมดีใจมาก ในการวิ่งครั้งนี้ ตลอดเส้นทางเริ่มจากเบตงวิ่งขึ้นมา มีแต่รอยยิ้มของคนไทย และ เห็นความสุขของคนไทย เด็กบางคนนำกระปุกออมสินที่หยอดมาทั้งปีมาช่วย

ผมว่ามันสวยงามและยิ่งใหญ่ ขอบคุณที่เห็นผมเป็นแรงบันดาลใจ สิ่งที่ได้มามันมากกว่าการช่วยเหลือโรงพยาบาลด้วยซ้ำ เพราะสามารถรวมจิตใจในการให้ของคนไทย ถือเป็นความงดงามที่หาไม่ได้

ขอบคุณนายกฯ ที่ให้โอกาสเข้าพบในครั้งนี้ ผมและทีมงานขอฝากนายกฯ กราบขอบคุณคนไทยทุกคนที่ออกมาช่วยกัน ซึ่งทั้งหมดได้ตั้งเป้าไว้ 700ล้านบาท เดิมเราตั้งเป้าไว้ว่า เราอยากได้เงินจำนวนน้อยๆ จากคนจำนวนเยอะๆ มากกว่าจะได้เงินจำนวนเยอะๆ จากคนจำนวนน้อยนิดเดียว ”

ตูน กล่าวต่อว่า ความจริงจะพักวันนี้เพียงวันเดียว แต่คณะแพทย์ขอร้องให้พัก 2 วัน

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี ได้ให้กำลังใจแพทย์หญิงสมิตตา สังขะโพธิ์ หรือ หมอเมย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระราม9 ที่ร่วมวิ่งในคณะ พร้อมสอบถามถึงการทำงาน
โดยระบุว่า อย่าน้อยใจ การทำอะไรใหม่ๆ ดีๆ ปัญหาจะมีมาก มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ แต่หมอเมย์ก็เป็นคนที่มีความตั้งใจอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อไปคนก็จะรักเราเอง

มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ทำดีอย่าเด่นจะเป็นภัย วันนี้ทำดีไม่ต้องทำเด่น และจะไม่เป็นภัย ทำแบบตูนและทีมงาน

พร้อมกระเซ้าว่า ถ้าไม่มีงานทำจะฝากให้ทำงานที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้นำเงินส่วนตัวใส่ซองปิดผนึกโดยไม่เปิดเผยจำนวน รวมทั้งเงินบริจาคของทำเนียบรัฐบาล และ ของที่ระลึก มอบให้ตูน ครอบครัว และ ทีมงาน

ก่อนจะเดินจูงมือออกมาส่งตูนด้วยตนเอง และ ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า คนที่ทำเนียบรัฐบาลรอตูนมากว่าตนเองอีก โดยเฉพาะสาวๆ

"ก้อย อย่าหึงนะ ซึ่ง ผม ก็ไม่ได้อิจฉาตูน ที่มีคนรักจำนวนมาก ใครอยากจะมา อยากจะรักได้เชิญ ขอเพียงอย่างเดียว อย่าเหยียบเท้าตูน"

ยังไม่เหมาะการเมือง

"เวลานี้ไม่เหมาะเคลื่อนไหวทางการเมือง"

"บิ๊กเจี๊ยบ" ยัน ไม่ได้มั่ว พบอาวุธ ฉะเชิงเทรา  ยันโยง "โก๋ตี๋" โยง Hardcore ปี2557 ชี้ปลดล๊อคพรรคการเมือง ต้อง พิจารณาหลายปัจจัย แม้เข้าใจความรู้สึกของการเมือง

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.และ เลขาธิการคสช.กล่าวถึง อาวุธสงคราม ที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว  จ.ฉะเชิงเทรา ว่า เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม เร่งรัด ให้ฝ่ายความมั่นคงกวาดล้างอาวุธสงคราม และปราบปรามมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล จึงตรวจค้นหลายพื้นที่ 

ซึ่งคาดว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธเกิดความกลัวว่า จะมีความผิด จึงนำอาวุธมาทิ้งในพื้นที่  

ส่วนที่เป็นปัญหา คือ อาวุธที่เรายึดได้ครั้งนี้มีหมายเลขประจำเครื่องที่ตรงกับการใช้ในปี2557 และดำเนินคดีกับผู้ต้องหาชัดเจน โดยปัจจุบันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลอยู่

เมื่อถามว่า มีการนำเข้าอาวุธสงคราม ต่างประเทศ หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า อาวุธนี้ไม่ได้ผลิตในประเทศไทย คาดว่านำเข้าจากต่างประเทศนานแล้ว และนำมาใช้หมุนเวียนนอกระบบภายในพื้นที่ เมื่อเราตรวจค้นก็เกิดความกลัว จึงนำมาทิ้ง

แต่ที่น่ากังวลคือ มีปริมาณเป็นจำนวนมาก และทางเจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถสืบค้นได้หมดว่า ยังมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังขยายผลต่อไป

ส่วนที่เชื่อมโยงกับ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ  หรือ โกตี๋ นั้น  กำลังรอผลการดำเนินการ แต่คนที่เคยถูกจับกุมเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ ที่มีตัวตนชัดเจน และกำลังถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ไม่ได้มั่ว ตอนนี้เรากำลังกวาดล้างอาวุธสงครามตลอดเวลา ตามนโยบายของพล.อ.ประวิตร โดยเร่งรัด เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรง หรือนำอาวุธสงครามไปใช้ในอนาคต

 
ส่วนกรณี พล.อ.ประวิตร  ระบุว่า ยังไม่ปลดล็อคการเมือง เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สงบ พล.อ.เฉลิมชัย  กล่าวว่า การปลดล็อคพรรคการเมือง ทางคสช.จะพิจารณาร่วมกันในภาพรวมทุกประเด็น ไม่ใช่เฉพาะอาวุธสงครามอย่างเดียว แต่ยังมีเรื่องกฎหมาย สถานการณ์และความเคลื่อนไหวต่างๆ 

ดังนั้นขอสรุปโดยรวมช่วงนี้ยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหวทางการเมือง  เพราะอาจจะมีปัญหาอื่นๆตามมาได้ อย่างไรก็ตาม ทาง คสช.ได้ประชุมทุกเช้าวันอังคาร เพื่อประเมินสถานการณ์   
    
เมื่อถามว่าได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกฯ และหัวหน้า คสช. เรื่องปลดล็อคให้พรรคการเมือง หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า เราคุยกันทุกสัปดาห์ โดยฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ให้นายกฯ ทราบ และที่ประชุมจะเป็นผู้ตกลงใจว่าจะปลดล็อคให้เมื่อใด  ถ้าพร้อมเราก็ดำเนินการทันที แต่ถ้าติดขัดในแง่กฎหมาย และมีผลกระทบต่อพรรคการเมืองก็จะออกมาตรการผ่อนปรน ตนเชื่อว่าไม่มีผลกระทบใดๆทั้งสิ้น

เมื่อถามอีกว่า จะฝากอะไรให้นักการเมือง หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า คงไม่  แต่ละเรื่องเป็นคนละประเด็น เวลาพิจารณาอะไร คนรับผิดชอบต้องพิจารณาในภาพรวม 

"ผมเข้าใจความรู้สึกของการเมือง การเมืองเป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างการ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ตามความคิด แต่ถ้าความเห็นแตกต่าง กลายเป็นความขัดแย้ง ฝ่ายความมั่นคงต้องพยายามตีกรอบความขัดแย้งให้อยู่ในกรอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งผมกำลังทำตรงนั้นอยู่ 

ดังนั้นบางเรื่องที่เราไม่มั่นใจ เราก็ยังไม่ปล่อย เพื่อไปสู่จุดหมายเดียวกันคือ การเลือกตั้ง ตามแนวทางที่กำหนดไว้ "

สองพรรคใหญ่จับมือฟื้นฟูประชาธิปไตย : เซ็ตซีโร่ "ขัดแย้ง"

สองพรรคใหญ่จับมือฟื้นฟูประชาธิปไตย : เซ็ตซีโร่ "ขัดแย้ง"


เซ็ตซีโร่ระบบ คสช.สกัดนายกฯคนนอก โอกาสเป็นไปได้ “ริบหรี่”
แต่ประตูบานนี้ยังแง้มเอาไว้ เพราะเสน่ห์ของการเมืองไทย “ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร”
และนักการเมืองสองพรรคใหญ่ย่อมรู้ทันกลไกกติกาใหม่ เปิดทางสืบทอดอำนาจอย่างน้อย 8 ปี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คสช.มีอำนาจตั้ง 250 ส.ว. ในจำนวนนี้มีปลัดกระทรวงกลาโหม-ผบ.ทหารสูงสุด-ผบ.ทบ.-ผบ.ทร.- ผบ.ทอ.-ผบ.ตร. เป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง มีอำนาจเลือก “นายกฯคนนอก” ร่วมกับ ส.ส.ได้ 5 ปีนับจากมีรัฐสภาชุดแรก
เพียงได้ ส.ส.อีก 126 เสียง รวมเป็น 376 เสียง ก็เกินครึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา นายกฯคนนอกอยู่ในกำมือ
กระบวนการปลุกพลังประชาชนให้ต่อต้านการสืบทอดอำนาจจึงค่อยๆอุบัติขึ้น
“ถ้าพรรคเพื่อไทยจับมือพรรคประชาธิปัตย์ได้ ย่อมเป็นผลดีในระยะยาวต่อระบอบประชาธิปไตย”
นายไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถูกเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 5 ปี หลังคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง 2 เม.ย.49 ศาลฎีกาพิพากษา 4 ธ.ค.57 จำคุก 2 เดือน โทษจำคุกรอลงอาญา ปรับ 2,000 บาท และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค.62 แย้มมุมคิดผ่านการให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง
พร้อมชี้ให้เห็นถึงข้อดีของสองพรรคใหญ่จับมือกันตั้งรัฐบาล จะได้นายกรัฐมนตรีที่นักการเมืองเสนอชื่อไม่เกิน 3 รายต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่แรก เปิดหน้าให้ประชาชนได้รับทราบก่อนรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
หลังการเลือกตั้งจะได้นายกฯจากคนที่สองพรรคใหญ่เสนอชื่อต่อ กกต.เอาไว้ มีข้อดีทั้งระยะสั้นและระยะยาว คือรักษาการเมืองระบอบรัฐสภาไว้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
แต่ขณะนี้ไม่แน่ใจว่าประชาชนจะเห็นความสำคัญในเรื่องนี้แค่ไหน ถ้าคิดแค่ความรู้สึกเฉพาะหน้า ไม่เอานายกฯคนในบัญชีรายชื่อหรือไม่เคลียร์ให้สองพรรคใหญ่จับมือกันได้ มันอาจจะได้ความรู้สึกถูกใจในช่วงนั้น ได้นายกฯคนนอก ซึ่งจะอยู่ 4 ปีหรือ 5 ปี หลังจากนั้นเราก็มานั่งคิดไปสู่นายกฯคนในอยู่ดี
ฉะนั้นมีนายกฯคนในหลังการเลือกตั้งเลยไม่ดีกว่าหรือ เพื่อป้องกันสังคมเคยชินกับนายกฯคนนอก
เพราะทุกวันนี้เราเคยชินกับอำนาจสั่งการเด็ดขาด มันก็จะไม่ได้ปรับตัวเข้ากับอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งหรือจากประชาชนจริงๆ
ก่อนเดินไปถึงจุดปลายทางสองพรรคใหญ่จับมือกัน จะต้องมีการปรับตัวและปฏิรูปพรรค จากเดิมเป็นพรรคคู่แข่งชนิดเอาเป็นเอาตายมานานกว่า 20 ปี ก็ลดทิฐิลงบ้าง พรรคเพื่อไทยอย่างน้อยจะต้องบริหารพรรคโดยอิสระ ปราศจากใต้ร่มเงาคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เชื่อว่าประชาชนยอมรับได้ เพราะเท่าที่สำรวจข้อมูลพี่น้องเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แน่นอนเมื่อพ้นเงาของคุณทักษิณอาจจะต้องเสียฐานเสียงจำนวนหนึ่งไปได้อย่างเสียอย่าง
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องปรับตัว เป็นไปได้หรือไม่ว่านับจากวันนี้ไปจนถึงวันสมัครรับเลือกตั้งจะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค แม้คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนเก่ง มีความรู้ ความสามารถ คงยากที่จะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค
ยกเว้น คสช.ปลดล็อกให้ทำกิจกรรมทางการเมือง เปิดทางให้ประชุมพรรค เพื่อถกเถียงประเด็นการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค ถ้าที่ประชุมพรรคยังยืนยันไม่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะยอมรับจับมือตั้งรัฐบาลร่วมกันได้หรือไม่ คุณอภิสิทธิ์เคยพูดชัดเจนว่าถ้าอุดมการณ์ตรงกันก็จับมือกันได้
ในแง่อุดมคติถ้าพรรคเพื่อไทยสลัดหลุดจากคุณทักษิณ พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค น่าจะทำให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยยอมรับได้ ต่างฝ่ายต่างสูญเสียและปรับตัวเพื่อรักษาเกียรติคุณของสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ต้องพึ่งพานายกฯคนนอก
ขอย้ำว่าการลดทิฐิและการลดประเด็นที่แต่ละฝ่ายตั้งแง่เกี่ยงงอนกันก็สามารถจับมือกันได้
ตัวเลขจำนวน ส.ส.หลังการเลือกตั้งก็เป็นอีกปัจจัยที่ทั้งสองฝ่ายรอดู แต่ตัวเลขหลังการเลือกตั้งจะมีผลออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับการปรับตัวของแต่ละพรรคในช่วงนี้
แค่พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค และพรรคเพื่อไทยไม่อยู่ภายใต้ร่มเงาของคุณทักษิณ ก็สามารถจับมือกันได้แล้ว นายไชยันต์ บอกว่า...
...ถ้าหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่เป็น นอมินี มีความเป็นอิสระ จะได้เจรจาต่อรองใน ทางการเมืองได้
และพรรคเพื่อไทยไม่อยู่ใต้ร่มเงาตระกูล “ชินวัตร-ดามาพงศ์-วงศ์สวัสดิ์”
จำนวน ส.ส. อาจจะเสียไปบ้าง แต่อาจจะได้ใจคนที่พอใจต่อนโยบาย คะแนนถัวเฉลี่ยบวกลบ
เงื่อนไขของ กปปส.ก็คลี่คลายตัว อาจจะผนึกกำลังกับพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน มากกว่าที่จะตั้งแง่ไปเคลียร์กับกองทัพอะไรหรือไม่
ในส่วนของคุณอภิสิทธิ์จะต้องยอมลงจากหัวหน้าพรรค เพื่อให้การเมืองเดินหน้าได้ง่ายขึ้น อย่าลืมว่าคุณอภิสิทธิ์จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทจากประเทศอังกฤษ วัฒนธรรมการเมืองของอังกฤษเวลาหัวหน้าพรรคแพ้การเลือกตั้งจะต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรค ที่ผ่านมาคุณอภิสิทธิ์ก็นำทัพแพ้การเลือกตั้งมาโดยตลอด
พรรคประชาธิปัตย์จะบอกว่าไม่มีตัว ตอนนี้อาจจะมองไม่เห็นใครโดดเด่น
แต่เมื่อถึงเวลาก็ปล่อยให้กลไกของพรรคเดินไป จะได้บุคคลที่เหมาะสมขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค
จริงๆแล้วหลายกรณีเมื่อมีปัญหาทางการเมือง เขาจะเปลี่ยนจากการยุบสภาเป็นการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สถิติการเมืองไทยนายกรัฐมนตรีลาออกน้อยมาก ที่ลาออกกลับกลายเป็นนายทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรี เช่น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
เมื่อเจอปัญหาการเมืองแล้วลาออก มันก็ทำให้สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เคยถามว่าเราต้องการนักการเมืองหน้าใหม่ เลือดใหม่ บางทีมันก็จะเกิดปรากฏการณ์นี้เร็วขึ้น แต่ถ้าแช่ตำแหน่งอยู่ทั้งการเมืองระดับประเทศ การเมืองระดับท้องถิ่น สิ่งที่เราคาดหวังมีนักการเมืองหน้าใหม่ก็ยากที่จะเกิดขึ้น
ขอให้คุณอภิสิทธิ์เข้าใจตรงนี้ ถอยสักก้าวและในอนาคตก็ยังกลับมาได้อีก
แต่ปกติหัวหน้าพรรคที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วลาออกจากหัวหน้าพรรคจะไม่กลับมาอีก
ส่วนนโยบายของทั้งสองพรรคใหญ่ต่างโดดเด่นด้วยกัน ถ้าเป็นรัฐบาลผสมก็ควรเอาจุดแข็งของทั้งสองฝ่ายมาช่วยกันขับเคลื่อนประเทศ จะสร้างความงดงาม สร้างความหวังให้กับคนไทย มากกว่าที่จะไปพึ่งนายกฯคนนอกที่มาคนเดียว แล้วมาเชื่อมต่อกับพรรคการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง มันไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันตลอด
ยกเว้น พล.อ.ประยุทธ์ยอมให้พรรคใดพรรคหนึ่งเอาชื่อไปเสนอตอนรับสมัครรับเลือกตั้งที่ กกต. รูปแบบนี้ก็เป็นอีกโจทย์หนึ่ง
ทีมข่าวการเมือง ถาม ว่า จะปฏิรูปประเทศด้านต่างๆได้รวดเร็วกว่าหากสองพรรคใหญ่จับมือตั้งรัฐบาล นายไชยันต์ บอกว่า แทนที่จะรอให้ พล.อ.ประยุทธ์ หรือคนของ พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเป็นนายกฯคนนอก ซึ่งจะทำให้การเมืองกลับเข้าสู่ระบบปกติช้า
เราจะต้องพยายามข้ามขั้นตอนให้ได้นายกฯคนในตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก เพื่อกลับมาโดดเด่นในด้านเสรีภาพความเป็นประชาธิปไตย ปกติการเมืองไทยโดดเด่นในภูมิภาคนี้อยู่แล้ว แม้มีรัฐประหารบ่อย ถ้าเราไม่มีการรัฐประหารบ่อยก็ต้องลงเอยเป็นประเทศที่มีผู้นำอำนาจนิยมยาวนาน เผด็จการยาวนาน หรือเผด็จการรัฐสภายาวนาน
ผลการรัฐประหารปี 57 ไม่เสียของ เพราะทำให้บ้านเมืองสงบก็พอแล้ว อย่าทะเยอทะยานสร้างอย่างอื่น และรัฐบาลเริ่มทำให้เห็นภาพนักการเมืองสองพรรคใหญ่จูบปากกัน เป็นไปตามโครงสร้างของรัฐธรรมนูญ ซึ่งถูกออกแบบให้สองพรรคใหญ่รักกัน
ถ้าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ไม่รักกันก็เจ๊งทั้งคู่
แม้ปัจจุบันจะมีการตั้งพรรคทหาร มันก็มีความเสี่ยงสูง 50-50 ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ยอมให้เป็น 1 ใน 3 ชื่อให้พรรคทหารเสนอชื่อเป็นนายกฯ กล้าได้กล้าเสีย
ถ้าไม่ได้รับเลือกก็เจ๊ง แต่ถ้ามีประชาชนเทคะแนนให้ก็น่าสนใจ
สุดท้ายขอแนะนำว่าอย่าตั้งพรรคทหาร จะอยู่ไม่ยาวนาน
ปล่อยให้สองพรรคใหญ่จูบปากกัน เพื่อสร้างความปรองดองและขับเคลื่อนประเทศ
แต่ถ้าจูบปากกันไม่ได้ ก็เปิดช่องให้นายกฯคนนอกเข้ามา.
ทีมการเมือง

2พรรคใหญ่อย่าแค่ปาหี่ : เหลี่ยมจุดพลุเลือกตั้ง“ยุ”ประชาชนสกัด คสช.

2พรรคใหญ่อย่าแค่ปาหี่ : เหลี่ยมจุดพลุเลือกตั้ง“ยุ”ประชาชนสกัด คสช.


ย่างเดือนธันวาคมเข้าสู่ห้วงสุดท้ายปลายปี

บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่เริ่มนับถอยหลัง ในจังหวะเริ่มต้นของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
“ประยุทธ์ 5” ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. นำรัฐมนตรีที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน

มีรัฐมนตรีหน้าใหม่ 10 คน รัฐมนตรีชุดเดิมพ้นตำแหน่ง 7 คน เปลี่ยนแปลงจำนวน 11 ตำแหน่ง

แน่นอน จุดมุ่งหมายของผู้นำรัฐบาลต้องอยู่ที่การเสริมความแกร่งของทีมบริหาร

และเท่าที่หยั่งกระแส ประเมินผลตอบรับกับโฉมหน้าการปรับเปลี่ยน ครม.ชุดใหม่ของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจุดโฟกัสกรณีของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม กับ “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย

“บิ๊กตู่” ยังไว้ใจใครไม่ได้มากกว่าพี่ๆในการคุมความมั่นคงในกองทัพและฝ่ายพลเรือน

และก็เหมือนผู้นำรัฐบาล คสช.ฟังกระแสสังคมตลอดเวลา กับการยอมลดโควตารัฐมนตรีสายทหาร มีการปรับออกมากกว่าแต่งตั้งเข้ามาใหม่

หลีกทางให้มือบริหารอาชีพที่คุณสมบัติตรงตามเนื้องาน

นั่นจึงทำให้ภาพออกมาก็เป็นบวก โดยเฉพาะในสายตาของกลุ่มทุน นักธุรกิจ ที่ขานรับการจัดวางตัวบุคคลใน “ครม.ประยุทธ์ 5” โดยเฉพาะกระทรวงด้านเศรษฐกิจ

เน้นไปที่กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีการปรับเปลี่ยนแบบยกเครื่องทั้ง 2 กระทรวง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ขยับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จาก รมช.พาณิชย์ มานั่งว่าการ ว่ากันว่ามาจากผลงานการบริหารโครงการบัตรสวัสดิการประชารัฐหรือบัตรคนจน และตลาดนัดธงฟ้า

ทำงานแบบรู้ทิศทางและเข้าถึงชาวบ้านร้านตลาด

นั่นก็สอดรับการดึงคนจากสายมหาดไทย คือนายกฤษฎา บุญราช อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย มานั่งแท่น รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อใช้ความถนัดในงานมหาดไทย ประสานกับท้องถิ่นและขุมข่ายข้าราชการ มาช่วยเสริมมาตรการอัดฉีดเศรษฐกิจฐานราก

ข้ามฟากมาจูนกันได้ลงล็อกลงตัว

ยังมีอีก 2 รมช.เกษตรฯที่เป็น “มืองาน” ตรง สเปกกับภารกิจ ทั้งนายลักษณ์ วจนานวัช อดีตผู้บริหารธ.ก.ส. ที่มีประสบการณ์ด้านการอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลือเกษตรกร ขณะที่นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์พระราชา มาขยายฐานแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อความยั่งยืน

เกษตร–พาณิชย์ ผ่าตัดกันแบบตรงจุด

แก้ปมปัญหาเรื่องการประสานงานที่ติดๆขัดๆ เติมการทำงานแบบครบวงจรในการบริหารสถานการณ์ราคาพืชผลเกษตร ทั้งข้าว ยางพารา ข้าวโพด มันสำปะหลัง พืชผักผลไม้

โยงถึงสภาพเศรษฐกิจฐานราก สภาวะปากท้องของประชาชน

ต้องปิดจุดบอดที่นักการเมืองยั่วม็อบให้ขย่มรัฐบาล คสช.

นี่คือตัวอย่างชัดๆ และยังมีอีกหลายจุดในกระทรวงเศรษฐกิจ เช่น ชื่อของนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ที่มานั่งเก้าอี้ รมช.คมนาคม ด้วยความเด่นในการบริหารงบประมาณ ตรงกับภารกิจงานที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ด้านคมนาคมที่ใช้เม็ดเงินลงทุนมหาศาล

การตั้งนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล มานั่ง รมต. สำนักนายกฯ สลับกับนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ไปนั่ง รมว.วิทยาศาสตร์ฯ โดยที่คนเดิมยังอยู่ครบ ทั้งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นายอุตตม สาวนายน
รมว.อุตสาหกรรม นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลฯ

มือบริหารอาชีพเข้าประจำการตามจุดยุทธศาสตร์

แน่นอน โฟกัสรายชื่อส่วนใหญ่ล้วนแล้ว แต่เป็นทีมงานสายตรง หรือไม่ก็คนที่รู้จักคุ้นเคยกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ยกระดับความไหลลื่นในการประสานงานไปในทิศทางเดียวกัน

และนั่นก็ชัดเจนทางยุทธศาสตร์เลยว่า “บิ๊กตู่” เปิดพื้นที่ให้ “จอมยุทธ์กวงแห่งเยาวราช” ได้เดินหน้าบริหารเศรษฐกิจ กระตุ้นฐานราก ต่อเนื่องจากสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจในภาพรวม

คุมภารกิจ “เรือธง” ของรัฐบาล คสช. ทั้งเมกะโปรเจกต์รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้า มอเตอร์เวย์ ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ตลอดจนการใช้เม็ดเงินองค์กรปกครองท้องถิ่นนับแสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ต่อยอดกับโครงการบัตรคนจนที่ครอบคลุมฐานประชาชนผู้มีรายได้น้อย 14 ล้านคนทั่วประเทศ

ปฏิเสธไม่ได้ มันคือภารกิจเดิมพันกระตุกคะแนนนิยมให้ “ลุงตู่”

ประกอบกับการตั้งนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ยังมีสถานะของนักการเมืองอาชีพ เข้ามานั่งเป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ดูแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ นอกเสียจาก “บิ๊กดีล” ทางการเมือง

เรื่องของออปชั่นที่ตกลงกันในทางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง

ทั้งหมดทั้งปวง ฉายภาพการปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5” ที่ออกมา มันสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ทำการ “ทิ้งไพ่” แต้มสำคัญ

สัญญาณชัดเจนว่า ผู้นำ คสช.กรุยทางเดินหน้าไปต่อ

สอดรับกับ “คำถาม 6 ข้อ” ที่ “นายกฯลุงตู่” โยนออกมาให้แกะรอยจับไต๋ได้ว่า จะประกาศหนุนพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้ง ไม่ให้บ้านเมืองกลับไปวังวนเก่า เดินหน้าไปสู่เป้าหมายการปฏิรูป
ล้อกับเงื่อนไขการสู่อำนาจที่ถูกออกแบบไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ ที่เอื้อให้ผู้นำ คสช.ต้องคุมอำนาจผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

นั่งเก้าอี้ผู้นำคุมเกมช่วงเปลี่ยนผ่านไปอีกอย่างน้อย 5 ปี

มาถึงตรงนี้ นักการเมืองก็อ่านไต๋ออก นั่นก็ทำให้มวยเก๋าอย่างนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย กับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ หัวแถวพรรคประชาธิปัตย์ นั่งเฉยอยู่ไม่ได้

ต้องจุดพลุ ยุชาวบ้านให้ช่วยกันสกัดเส้นทาง “ลุงตู่” เซ็ตซีโร่ คสช.

ตีปี๊บ กระตุกกระแสต้านทหาร

ถึงขั้นแบะท่า “กอดคอ” กันจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ ปิดทางนายกรัฐมนตรีคนนอกเลยทีเดียว

เจอไพ่ปรับ ครม.ของ “บิ๊กตู่” นักเลือกตั้งอาชีพ “หงายไพ่เล่น” กันหมดเลย

ถือเป็นการเฉลยคำตอบสุดท้าย โอกาสเดียวที่เหลืออยู่ของนักการเมืองป้อมค่ายใหญ่ที่จะสกัดรัฐบาล คสช. ปิดทาง “ลุงตู่” ไม่ให้เดินหน้าต่อ ตามโปรแกรมที่ล็อกไว้ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ

ต้องเอาต้นทุนหน้าตักมากองรวมกัน

ประเมินจากฐานตัวเลขเดิมของเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ที่รวมกันเกินครึ่งสภาผู้แทนราษฎร ก็มีความเป็นไปได้ โอกาสที่จะทำให้เกิดสภาวะฝ่ายค้านเสียงข้างมากในสภาฯ

ไม่เป็นไปตามสมการที่ฝ่ายคุมเกมอำนาจล็อกไว้ แม้มี 250 ส.ว.ในกำมือ

ปรากฏการณ์นี้จะทำให้ “ลุงตู่” ไปต่อลำบากทันที

มุกนี้ พวกเบื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เซ็ง คสช.ลุ้นกันตัวโก่ง สูตรเดียวที่จะล้มโปรเจกต์ทหารได้

และถ้าจะว่ากันแบบจริงๆจังๆ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยควรประกาศชัดเจนก่อนลงสนามเลือกตั้งไปเลย ถ้าเลือก 2 พรรคใหญ่ จะได้นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง อีกทั้งยังถือเป็นมิติใหม่ของการปรองดอง

ถ้าประชาชนเอาด้วย อะไรก็ขวางไม่ได้

แต่ก็อีกนั่นแหละ ในทางทฤษฎีก็เพ้อฝัน มโนกันไปได้ ปัญหาในทางปฏิบัติ พวกที่เคยฟัดกันมา สู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย จนกลายเป็นชนวนเหตุให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะเกือบรัฐล่มสลาย

เปิดทางให้ทหาร คสช.เข้ามายึดอำนาจการบริหาร

อยู่ๆจะมาจูบปากกัน มันยากที่จะทำให้มวลชนผู้สนับสนุนทำใจรับได้

แบบที่แค่ไม่ทันไร นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็บอกปัดในเชิงกัดจิก คงร่วมกับพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ถ้ายังคบพวกเผาบ้านเผาเมือง ที่สำคัญถ้าผู้นำพรรคคนต่อไปชื่อ “พานทองแท้ ชินวัตร” ขณะที่ฝ่ายเพื่อไทยก็อัดกลับ ไม่คบกับพวกที่จ้องรับใช้เผด็จการ

รัฐบาล 2 พรรคใหญ่ ส่อเค้าเป็นหมันตั้งแต่ยังไม่เริ่มปฏิสนธิ

ความเป็นไปได้แทบไม่มี สุดท้ายก็แค่มุกของนักเลือกตั้งอาชีพที่คิดแต่เอาการเมืองนำ

“ปาหี่” ยุให้ประชาชนต้านทหาร เพื่อโอกาสลุ้นของพรรคใครพรรคมันเท่านั้น.

“ทีมการเมือง”

ระแวงสัญญาณขาลง!

ระแวงสัญญาณขาลง!


ใส่เกียร์เดินหน้าพร้อมทำงานเต็มตัว

ภายหลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. นำทีม ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำหน้าที่อย่างเป็นทางการ

รัฐมนตรีหลายคนเข้าประจำการในหน่วยงานใหม่ กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เอาฤกษ์เอาชัยเพื่อความเป็นสิริมงคลในการทำงานวันแรก

ได้เวลาดรีมทีม “ประยุทธ์ 5” พิสูจน์ฝีมือ ในคิวที่มีปรากฏการณ์ร้อนๆหลายเรื่องจ่อคิวอยู่

อย่างที่เห็นๆกับด่านทดสอบเฉพาะหน้า เรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้หลายจังหวัด

ที่ขณะนี้ยังอยู่ในภาวะวิกฤติจากฝนตกหนักต่อเนื่อง เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทีมงานชุดใหม่ต้องเร่งให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย

ยังไม่รวมถึงปมยืดเยื้ออย่างปัญหาราคายางพาราตกต่ำที่เรื้อรังมานาน มีแนวโน้มคุกรุ่นในอนาคต

เป็นปมร้อนที่ “บิ๊กตู่” ลงมากำกับบท แก้ปัญหาด้วยตัวเอง เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระบายยางพาราไปใช้สร้างถนน คอสะพานและผลิตภัณฑ์ต่างๆในภาวะที่ยางกำลังล้นตลาด

โจทย์ยากประเดิมต้อนรับทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ ทั้ง นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ป้ายแดง และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ต้องเร่งหาทางเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศ

ดันราคายางทุกวิถีทาง ช่วยชีวิตเกษตรกรชาวสวนยางพาราพ้นวิกฤติ เบรกม็อบไม่ให้ ขยับเข้ามาเคลื่อนไหวชุมนุมในเมืองกรุง

อุดช่องโหว่กันเต็มที่ ป้องกันไม่ให้ลามไปถึงม็อบเกษตรกรอื่นๆ อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ขยับผสมโรงร่วมสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลตามมาอีกทาง

บรรยากาศไม่ชวนให้น่าแฮปปี้ เพราะมีสารพันเรื่องที่รอให้ถอดสลัก ทั้งราคายางพารา โรงไฟฟ้าถ่านหิน ปัญหาประมง และค่าครองชีพปากท้องชาวบ้าน

รุมเร้ากดดันผู้นำ คสช.จนเสียศูนย์ เผลอตัวตวาดตัวแทนประมงที่มาเรียกร้องขอความช่วยเหลือ ระหว่างการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี และประชุม ครม.สัญจร จ.สงขลา

ฉุดภาพลักษณ์ทหารติดลบในสายตาประชาชน ต่อเนื่องจากช็อตที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พูดกระทบกระเทือนจิตใจครอบครัวนักเรียนเตรียมทหารที่เสียชีวิต

นั่นย่อมไม่เป็นผลดี ลดเครดิตฝ่ายอำนาจพิเศษ จน “พี่ใหญ่-น้องเล็ก” ต้องออกมาขอโทษและแสดงความเสียใจกับสิ่งที่แสดงออกไป

สลัดภาพแข็งกร้าวสไตล์กองทัพ ทหารรู้จักขอโทษประชาชน ผ่อนคลายกระแสความไม่พอใจของสังคม ไม่ให้ผูกขาดภาพเผด็จการอำนาจนิยม

ในยามที่หน้าตักท็อปบูตลดทอนลงไปตามกาลเวลา ไม่ได้แน่นปึ้กเหมือนเดิม

ตามสถานการณ์พักหลังๆที่ชักมีคนกล้าลองของแหย่หนวดเสือมากขึ้น

ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามผลโพล 4 คำถามของนายกรัฐมนตรีที่เพจ “ไทยคู่ฟ้า” ของสำนักโฆษก สำนักนายกรัฐมนตรี ระบุประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนให้ “บิ๊กตู่” อยู่ในตำแหน่งต่อไป จนกว่าการปฏิรูปประเทศจะแล้วเสร็จ

สภาพความเป็นจริงในปัจจุบันสวนทางกับคำตอบในโพล ไม่สามารถใช้เป็นบรรทัดฐานวัดความนิยมและความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลได้

ยิ่งเส้นทางกว่าจะไปถึงสนามเลือกตั้งปลายปีหน้า อำนาจพิเศษยังมีอุปสรรครออีกหลายด่าน ไม่ได้มีเพียงแค่แรงเสียดทานจากกลุ่มเกษตรกรเพียงอย่างเดียว

แต่ยังต้องเจอแรงต้านฝ่ายการเมืองที่จะกดดันรัฐบาลเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตามรูปการณ์ล่าสุดที่ “บิ๊กป้อม” บอกอาจจะปลดล็อกให้นักการเมืองเคลื่อนไหวได้ช่วงใกล้เลือกตั้ง

หลังจากโยงเงื่อนปมการตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากที่ จ.ฉะเชิงเทรา มีส่วนเชื่อมโยงกับ “โกตี๋” นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดง โดยยกการข่าวพบว่า เริ่มมีกลุ่มคนเคลื่อนไหว และถ้าเหตุการณ์ยังเป็นเช่นนี้อยู่ คงปลดล็อกการเมืองยาก เพราะหากรีบปลดล็อกจะทำให้หน่วยงานความมั่นคงทำงานกันหนักขึ้น

“พี่ใหญ่” ส่งสัญญาณชัดเจนคลายล็อกกฎเหล็กต้องรอกันอีกยาว

ยังจำเป็นต้องยกการ์ดสูง ไม่ไว้วางใจสถานการณ์ขณะนี้ ในห้วงที่ยังไม่สามารถเคลียร์ใจกับสารพัดม็อบที่ตั้งแท่นกดดันรัฐบาลอยู่

ตามห้วงอารมณ์ที่ยังสลัดอาการระแวงนักการเมืองไม่หลุด ขืนชิงปล่อยผีพรรคการเมือง ก็มีความเสี่ยงเปิดช่องให้ฝ่ายการเมืองปลุกระดมกลุ่มม็อบต่างๆได้ง่ายขึ้น

ท็อปบูตก็จะกลายเป็นฝ่ายลำบากเอง!!!

ทีมข่าวการเมือง

ขืนสูตรล็อก ‘ของตาย’


ไม่แปลกใจที่พลุ “2 ขั้วการเมืองจับมือ” เซ็ตซีโร่ คสช. ล้างท็อปบูต ไม่ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.หวั่นไหว “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ไม่ไหวหวั่น
และคงไม่ใช่แค่เหตุผลที่ “อำนาจคู่ คสช.” ประสานเสียง “ไม่สนใจเพราะ ไม่ใช่นักการเมือง”
แต่ที่มากกว่า น่าจะเป็นเพราะแผนต่างๆเริ่มลงล็อก บันไดสู่เก้าอี้ “ผู้นำคนนอก” กำลังคืบหน้า
ณ จุดจุดนี้ “คนคู่ คสช.” เลยไม่แหยงเกมสกัดกั้นใดๆ
แต่กับโปรแกรมเลือกตั้งที่อย่างน้อยก็ราวๆอีก 1 ปีจากนี้ จึงเป็นอย่างที่เห็น เวลานี้คนการเมืองก็อ่านทางออก “บิ๊กตู่” เล่นเกมยาว “ต่อตั๋ว” อำนาจพิเศษเฟส 2 แน่ๆ
แล้วจะให้นิ่งรับสภาพ ก็คงไม่ใช่พันธุ์พิเศษ “นักการเมือง”
แน่นอนกับพรรคเพื่อไทย มวยหมัดหนัก “เดอะอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคออกมายิงอาวุธ จุดพลุ 2 ขั้ว เพื่อไทยบวกประชาธิปัตย์จับมือสกัดแผน คสช.
“เดอะอ๋อย” น่าจะถอดรหัสสูตรคณิตศาสตร์การเมืองมาถี่ถ้วน ทางเดียวที่จะบล็อก “อำนาจท็อปบูต” ออกจากระบบ ต้อง 2 ป้อมค่ายใหญ่ที่ตามสถิติตัวเลขที่ผ่านมา รวมเสียงแล้วจะมีพลัง
สูตรนี้คลิก แรงเหวี่ยงเปลี่ยนทาง เกมพลิกกันได้
ขณะที่คนพรรคประชาธิปัตย์ วันนี้แยก 2 ทางเดิน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค ปชป. ออกมาเล่นลูกตามเพื่อไทย แน่นอนอาจเป็นมุมมองสังคม อุดมคติที่หลายคนก็คงอยากเห็น
ภาพ 2 ค่ายใหญ่ที่เป็นขั้วขัดแย้งจูนกันติด ร่วมไม้ร่วมมือทำงาน
ให้ ท.ทหารพลังสูงแค่ไหน ก็คงจะมายุ่มย่ามลำบาก
อีกด้านหนึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อาจมองคิวพิเศษ “2 ขั้วจับมือ” เสี่ยงสะเทือนแต้ม ฐานเสียงจะช็อกกับเกมเปลี่ยน ถึงได้ออกฤทธิ์ใส่รัฐบาล คสช.รายวัน
ถึงแม้ประเมินทิศทางอำนาจท็อปบูตชัด แต่หากจะยอมไหลตามรูปเกมโดยดี
นั่นก็ง่ายเกินไป ไม่ใช่สไตล์เขี้ยวๆคน ปชป.
โดยเฉพาะเมื่อประเมินตามสูตรตัวเลข แผน “นายกฯคนนอก” ลำพังแค่ขั้นตอนการโหวตเพื่อเดินไปสู่ช็อตในฝันของท็อปบูตก็คงไม่ยาก กับแต้ม 250 ส.ว. ตุนไว้แล้ว แต่ในการทำงานหลังจากนั้น
สำหรับ “รัฐบาลผสม” อย่างน้อยต้องมีเสียง ส.ส.หนุนเกินครึ่ง จาก 500 เสียง ต้องมี “250 บวกๆ” ในมือ
“อภิสิทธิ์” น่าจะอ่านขาด ถึงมีพรรคใหม่เกิดขึ้น เติมด้วยค่ายเล็กค่ายน้อยอีกกี่สำนักก็ตามที
ถ้าขาดขั้วใหญ่ประชาธิปัตย์ “รัฐบาลผสม” ก็บริหารงานยาก
โดยไม่ต้องพูดถึงอีกขั้วอย่างเพื่อไทย “นายใหญ่” ยังหาช่องเชื่อมต่อสัญญาณเหนื่อย
ในรูปการณ์นี้ ปชป.เลยได้ทีเล่นบทเฮี้ยวกันสนุก
เลี่ยงติดยี่ห้อ “พรรคของตาย”
ในความคิดที่ไม่แตกต่างกัน กับการออกแอ็กชั่นร้อนๆของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดูจะมั่นใจเต็มพิกัด หลังยัน “ศึกเจ้าสัว” สกัดแผน “ยึดพรรค” สำเร็จ
ช่วงหลังเริ่มขยับขยายเครือข่าย สร้างคอนเน็กชั่น “ขั้วอำนาจเก่าแก่” ไว้เป็นแบ็ก
ถึงเวลาขับเคลื่อนภูมิใจไทย “เสี่ยหนู” เลยมาเต็ม กระตุกจังหวะของภาพ“แต้มชัวร์”
ขัดขืน ไม่ให้ถูกต้อนเป็น “นั่งร้าน” แต่โดยดี
เรียกว่าตามรูปเกมเวลานี้ ทั้ง ปชป.-ภูมิใจไทย จัดว่าเขี้ยวพอตัว
บางครั้งต้องใส่ลูกอิดออด โหวกเหวกเสียงดัง
เพิ่มดีกรีน้ำหนักต่อรองเหมือนกัน.
ทีมข่าวการเมือง

มอบหมายงานให้รองนายกรัฐมนตรี

คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับที่ 322, 323, 324, 325 เรื่องการมอบหมายงานให้รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายงานให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ...... กระทรวงกลาโหม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาดไทย แรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกฯ และรมว.ยุติธรรม ....... กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พลังงาน ศึกษาธิการ ยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้(องค์การมหาชน) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ..... กระทรวงการคลัง การต่างประเทศ การท่องเที่ยวและกีฬา เกษตรและสหกรณ์ คมนาคม พาณิชย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อุตสาหกรรม สภาพัฒน์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน( BOI ) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ(องค์การมหาชน)

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กระทรวงวัฒนธรรม กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานราชบัณฑิตยสถาน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กพ. ก.พร. ปปง. ป.ป.ท. สลค. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน)

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก .... อำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทน ในกรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสถาน บริษัท อสมท. จำกัด (มหาชน) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี .... สภาพัฒน์ BOI สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

4 ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย

4 ธันวาคม วันสิ่งแวดล้อมไทย การปล้นสะดมทรัพยากรไปจากชุมชนรุนแรงมากขึ้น
เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทยปีนี้ ผมมองว่า โดยรวมแล้ว คนที่ครอบครองทรัพยากรของประเทศนี้เป็นเพียงคนส่วนน้อยซึ่งก็คือ กลุ่มผนึกอำนาจที่ประกอบด้วยองค์กรวิสาหกิจที่หันมาเป็นทุนเต็มรูปแบบ ชนชั้นนำ ทุนข้ามชาติ และทุนต่างชาติ ภายใต้การอำนวยความสะดวกของราชการ ทำให้ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมยังคงรุดหน้าต่อไป ขณะที่คนจนต้องแบกรับภาระจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมที่เลวร้ายลงทุกวัน
นอกจากนั้น รัฐและทุนไทยยังสบายปีกเข้าไปปล้นสะดมภ์ทรัพยากรจากเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้ทั้งพม่า ลาว และกัมพูชา และสร้างความทุกข์ระทมให้กับคนท้องถิ่นชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ปัญหาดังกล่าวข้างต้นมาจากเงื่อนไขสำคัญคือ การที่รัฐไทยไม่เป็นประชาธิปไตยและยึดการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางเสรีนิยมใหม่ที่เอื้อประโยชน์ให้กับการสะสมทุนของทุน นำไปสู่การเข้าปล้นสะดมทรัพยากรของชุมชน
แม้ว่ามีการประกาศนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ยึดหลักมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน และการประกาศว่าสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติแต่รัฐไม่ได้กระจายความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมแล้ว และไม่เห็นว่าจะมีความยั่ยงยืน ดังจเห็นได้จากมีการบิดเบือนเจตนารมณ์กฎหมายสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะกระบวนการตัดสินใจที่ปฏิเสธสิทธิของชุมชนและคนท้องถิ่น การทำ EIA และ EHIA แบบปลิ้นปล้น การให้สิทธิแก่เอกชนในการลงทุนและครอบครองที่ดิน การปฏิเสธกรรมสิทธิ์ส่วนรวม และการปฏิเสธความยุติธรรมทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น หากท้องถิ่นลุกขึ้นมาต่อสู้ ก็ถูกจับกุมคุมขังและดำเนินคดี ภายใต้ พรบ.คอมพ์ และ พรบ.การชุมนุมในที่สาธารณะ หรือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ขอบคุณเจ้าของภาพ กรณีการจับกุมพี่น้องเทพาและล่ามโซ่ไปขึ้นศาล