PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

น.2สถานีคิด : เร่งความชัดเจน : โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข

น.2สถานีคิด : เร่งความชัดเจน : โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข



วันเกิดมติชนเข้าสู่ปีที่ 42 ผ่านไปในบรรยากาศมิตรภาพ
มิตรสหายแขกเหรื่อ ทยอยมาที่สำนักงานมติชน ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงบ่ายๆ
มาร่วมยินดี ทักทาย สนทนา และรับประทานอาหารง่ายๆ กัน
เป็นน้ำจิตน้ำใจอันน่าซาบซึ้ง ที่มีให้กับเครือมติชนทุกปี
คำถามที่แว่วจากหลายๆ วง ก็คือเรื่องของวันเลือกตั้ง ว่าจะไปลงตัวที่วันไหนกันแน่
ตัวเลือกเท่าที่ปรากฏในขณะนี้ คือวันอาทิตย์ใดอาทิตย์หนึ่งของเดือน มี.ค.
ได้แก่ 10-17-24 หรือ 31 มี.ค.
วันที่ 10 มี.ค. ผู้ส่งเข้าประกวดคือ กกต. เพราะอยู่ในเซฟตี้โซน กล่าวคือ เลือกตั้งเสร็จ มีเวลารับรองผลการเลือกตั้งใน 60 วัน พอดีๆ
โดยถือว่า ข้อกำหนดในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญให้จัดเลือกตั้งใน 150 วันหลังจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีผลบังคับใช้
ความหมายของคำว่า “เลือกตั้ง” หมายถึง การหย่อนบัตรและประกาศผลการเลือกตั้ง
ไม่ใช่แค่หย่อนบัตรลงคะแนน
ถ้าตีความง่ายๆ ว่าการเลือกตั้ง หมายถึงการลงคะแนนเลือกตั้ง ไม่รวมประกาศผลด้วย แล้วจัดเลือกตั้งโดยรับรองผลเลือกตั้ง เลยกำหนด 150 วันออกไป หรือไม่อยู่ใน 150 วัน
อาจมีมือดีไปยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ จะยุ่งไปกันใหญ่

ส่วน 17 มี.ค. จะไปตรงกับวันสอบทีแคส หากเลือกวันนี้ ก็ต้องเปิดศึกกับนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองทั่วประเทศ ไม่สนุกอีกเหมือนกัน
ถ้าเป็น 24 มี.ค. เป็นวันที่รัฐบาลและ คสช.เล็งมาแต่เดิมว่า น่าจะเป็นไปได้ แต่ กกต.จะต้องทำงานด้วยความกระชับฉับไวมากหน่อย
ส่วน 31 มี.ค.มีการกล่าวถึงเป็นตัวเลือก
กรอบ 150 วันที่กล่าวถึงข้างต้น เริ่มจาก 11 ธ.ค.2561 ไปถึง 9 พ.ค.2562
จะฟันธงวันไหน ยังไม่มีผู้มีอำนาจ ออกมาสรุปให้ชัดเจน
กกต.เอง บอกว่า จะต้องรอให้รัฐบาลประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งก่อน แล้ว กกต.จะกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 5 วัน ตาม พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ มาตรา 12
ส่วนรัฐบาลเอง รอบหลังนี้ ยังไม่ยืนยันชัดเจนว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาเมื่อไหร่ จากเดิมที่อาจารย์วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อตัวแทนพรรคการเมือง ไว้เมื่่อ 7 ธ.ค.ว่า จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งในวันที่ 2 ม.ค.2562
กลายเป็นสภาพเหมือนโยนกันไปมาระหว่าง กกต.กับรัฐบาล
ความไม่ชัดเจนตรงนี้ มีผลไม่น้อย สังเกตจากข่าวที่แกนนำพรรคต่างๆ ไปเดินสายพบปะประชาชน แล้วมาสะท้อนผ่านสื่อ เป็นเสียงเดียวกันว่า ชาวบ้านถามกันมากว่า จะเลือกตั้งวันไหนแน่
คำถามเหล่านี้ พุ่งเป้าไปที่รัฐบาล ไม่ใช่ กกต. เพราะรู้กันว่า การกำหนดเรื่องสำคัญ ระดับเป็นวาระของประเทศอย่างนี้ จะต้องผ่านการตกลงในระดับผู้กุมอำนาจ
ความชัดเจนที่จะเกิดขึ้นนี้ จะต้องเริ่มต้นที่รัฐบาล ควรเร่งดำเนินการ จะผ่อนคลายความหวั่นไหววิตกได้มาก
แต่ถ้าอึมครึมไปเรื่อยๆ รัฐบาลก็จะโดนวิพากษ์วิจารณ์หนักต่อไป
วรศักดิ์ ประยูรศุข

มติกกต. ฟัน “สุวิทย์-หมอธี-ไพรินทร์-ม.ล.ปนัดดาปมถือครองหุ้น สัมปทานรัฐ ขัดรธน.

ด่วน! มติกกต. ฟัน “สุวิทย์-หมอธี-ไพรินทร์-ม.ล.ปนัดดาปมถือครองหุ้น สัมปทานรัฐ ขัดรธน. เตรียมส่งศาลรธน.วินิจฉัยพ้นเก้าอี้รัฐมนตรี



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมกกต.เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมาที่ประชุมกกต. ได้มีการประชุมลับพิจารณารายงานผลการตรวจสอบของคณะกรรมการไต่สวน กรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทยร้องขอให้ตรวจสอบ รัฐมนตรี 4 รายคือ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ถือครองหุ้นสัมปทานของรัฐเข้าข่ายกระทำการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญ มาตรา 186 ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง(2) มาตรา 170 วรรคหนึ่ง(5 )หรือไม่

โดยที่ประชุมมีมติเห็นว่าการถือครองหุ้นของทั้ง 4 รัฐมนตรีเข้าข่ายทำให้ขาดคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง เห็นควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 และขณะนี้อยู่ระหว่างให้สำนักงานกกต.ดำเนินการยกร่างคำร้อง ก่อนที่จะเสนอให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาและประธานกกต.ลงนาม เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ

เล่นเองพลาดเอง?


ไม่ผิดคิวก็ผิดคาด เพราะคนลืมยุทธศาสตร์แห่ “ประชาธิปไตย” สู้กับ “เผด็จการ” ไปเลย
กลายเป็นกระแสแห่ “ทักษิณ” กลับบ้าน กลับมาอื้ออึง
เรื่องของเรื่อง รัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. รวมถึงทีมงานพรรคพลังประชารัฐ แทบไม่ต้องออกแรงอะไร
กลายเป็นฝั่ง “ทักษิณ” ที่ชงเอง เล่นเอง ทั้งนั้น
ตามเกมเปิดทาง “อุ้มนายใหญ่” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศรอบที่ 4 หัวเชื้อชนวนนำมาซึ่ง “ยุทธหัตถี” ระหว่าง “นายใหญ่” กับ “พี่ใหญ่” แบบที่เห็นอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เปิดฉากฟัดกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม
ถึงขั้นขึ้น “ไอ้” ใส่กัน จบข่าวเกาะโต๊ะ ปิดประตูดีลทุกช่องทาง
นั่นก็เป็นนายยงยุทธ ติยะไพรัช กองเชียร์พรรคเพื่อชาติ “สายตรงดูไบ” เปิดฟลอร์ออกมาเอง
ต่อเนื่องกับปมแปร่งๆที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งท่าล่อเป้านายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม เจาะยาง “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งสุดในปฐพี”
ก็เป็น “รายงานข่าว” ที่ไม่ระบุ “ตัวตน” คนให้ข่าว
แต่พอ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ออกบอกปัดข่าวลือ ยืนยัน ป.ป.ช.ไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ใคร
นายชัชชาติสบช่องเคลมทันที ขอบคุณ ป.ป.ช.ที่ไม่เป็นเครื่องมือทุบตัวเอง
หรือแม้แต่การโกอินเตอร์ของ “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งได้งานใหม่ นั่งแท่นเป็นประธานบอร์ดท่าเรือ เมืองซัวเถา ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่
ก็เป็นความตั้งใจของทีม “นายใหญ่” ที่ประโคมข่าวมาถึงเมืองไทย
เบิ้ลบลัฟโชว์เพาเวอร์ข่มรัฐบาล คสช.
สรุปมันก็คือเหลี่ยมของโคตรเซียนการตลาด ชิงเป็นฝ่าย “กำหนดกระแส”
แห่เกม “ต้อน” ฝ่ายท็อปบูตเข้าอยู่ในวงล้อมตะลุมบอน
แต่บังเอิญเขี้ยวมันทันกันแล้ว ตามรูปเกมที่ฝั่งรัฐบาล คสช.ก็ “จำกัดวงปะทะ” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “บิ๊กป้อม” ที่เป็นด่านหน้าโซ้ยกับเกมชวนทะเลาะของ “ทักษิณ”
ทำให้ “นายใหญ่” ตีกินได้แค่แห่กระแสเบิ้ลบลัฟ “พี่ใหญ่”
กับสภาพ “เป้าล่อ” ที่ “แผลสด” ของ “บิ๊กป้อม” กลายเป็น “แผลเป็น”
ไม่มี “บอบช้ำ” ไปกว่านี้อีกแล้ว
ในขณะที่ “เป้าจริง” อย่าง “นายกฯลุงตู่” คุมตัวเองอยู่ในโซน “ปลอดภัย” ในโหมดของการเน้นเนื้อหาสาระ “เนื้องาน” มากกว่าตะลุมบอนเกมการเมือง
กับฉากตามท้องเรื่อง นายกฯปีนหลังคาซ่อมบ้านเหยื่อพายุโซนร้อนปาบึก ลงเยี่ยมประชาชนปักษ์ใต้ ในสถานการณ์ที่สะท้อนมาตรฐานการบริหารจัดการภาวะภัยพิบัติทางธรรมชาติได้เป็นอย่างดี จำกัดวงความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้น้อยที่สุด
นับเป็นจุดที่เพิ่มคะแนนบวกให้รัฐบาล “ลุงตู่” ตามเนื้อผ้า
และที่คุยกัน 3 วัน 3 คืนไม่จบ นั่นคือผลงานโบแดงที่สหภาพยุโรป (อียู) ปลด “ใบเหลือง” การทำประมงไอยูยู หรือการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมของไทย
เป็นเพียงประเทศเดียวที่ได้รับการพิจารณาในรอบนี้
ถือเป็นเรื่องที่พวกหมั่นไส้ยังเหน็บแนมไม่ออก ต้องยอมยกเครดิตให้กับความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล “ลุงตู่” ที่กอบกู้ปมหมักหมมมาหลายรัฐบาลจนโดนแบน โดยเฉพาะการสางปัญหาค้ามนุษย์อย่างจริงๆจังๆมาตลอด 2–3 ปี
มันคือ “เนื้องาน” ที่สัมผัสจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรม
หักล้างกับคำติฉินนินทาของนักการเมืองที่ตีปี๊บปลุกอุปาทานหมู่ รัฐบาล คสช.ไร้ผลงาน
สถานการณ์เทียบเคียงกันได้ชัดๆ ระหว่างรัฐบาล “ลุงตู่” ที่เน้นเนื้องานตามภารกิจประคองประเทศห้วงเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตในทางยาวๆ กับนักการเมืองที่จ้องชิงเหลี่ยมพลิกขั้วอำนาจในเกมเลือกตั้ง
คะแนนความตั้งใจของ “นายกฯลุงตู่” เริ่มส่งผลตามเนื้อผ้า
นั่นยังไม่นับรายการเดินหน้าสะสมต้นทุนหน้าตัก ตามโปรแกรมครม.สัญจรนัดประเดิมศักราช 2562 “นายกฯลุงตู่” ขนคณะชุดใหญ่ขึ้นเหนือไปประชุมที่จังหวัดเชียงใหม่–ลำปาง
บุกทะลวงฐานที่มั่นตระกูล “ชินวัตร”
จัดคิวบริหารราชการเนียนไปกับบริหารแต้มการเมือง ตุนคะแนนไม่หยุด.
ทีมข่าวการเมือง

‘ไทกร’รู้! เปิดทางสามแพร่ง‘ท่านผู้นำ’ ม็อบเลือกตั้งขยายความร้อนแรง ปชช.เตรียมเฮ

10 ม.ค.62 นายไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อ “ท่านผู้นำบนทางสามแพร่ง” ระบุว่า ท่านผู้นำกำลังอยู่บนสามทางเลือก
(1) หากมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ท่านผู้นำก็ลอยตัว เพราะ กกต. สามารถจัดให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไปได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562
(2) หากถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 ยังไม่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไป ท่านผู้นำก็จะใช้ ม.44 ประกาศยกเลิกการบังคับใช้ มาตรา 171 ในบทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และใช้ ม.44 หรือใช้อำนาจฝ่ายบริหาร คือ ออกพระราชกฤษฎีกา งดเว้นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราเป็นการชั่วคราว ซึ่งเคยทำมาแล้วในสมัยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปออกไปหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
(3) หากถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 ยังไม่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไป ท่านผู้นำก็จำใจแสดงความรับผิดชอบโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เปิดทางให้เลขาธิการ คสช. ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้า คสช. ทำการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน ซึ่งจะมีหน้าที่อำนวยการให้การเลือกตั้งทั่วไป เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย หรือให้รัฐบาลชุดใหม่มาปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศ ให้สำเร็จก่อน จึงจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ตามหลักการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
ในระหว่างนี้จะมีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และหลากหลายกลุ่ม ซึ่งสถานการณ์จะขยายความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆตามความอึมครึมทางการเมือง ส่วนประชาชนทั่วไปก็เตรียม เฮ..! ทั้งประเทศ
(1) เฮ...ที่หนึ่ง คือ ได้มีโอกาสไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2562
(2) เฮ...ที่สอง(เฮ..ดังลั่นทั่วประเทศ) คือ เฮ..ด้วยความดีใจที่ท่านผู้นำลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
สถานการณ์การเมืองของไทยในอนาคตอันใกล้ หนีไม่พ้นเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น ไม่เหตุการณ์ใดก็เหตุการณ์หนึ่ง เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมพร้อม กันได้เลย

ผีทักษิณ vs ผีรัฐประหาร


ระหว่าง ผีทักษิณ กับ ผีรัฐประหาร ที่ชักจะกลับมาเป็น ไฮไลต์ ทางการเมืองในช่วงนี้ หรือกลับมาประเด็นที่เอาไว้ใช้ด่ากันไป ด่ากันมา ถ้าลองหยิบมาเปรียบเทียบ วัดช่วงชกกันดูแล้ว ก็คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ผีทักษิณ นั้นออกจะน่าเกลียด น่ากลัว มากกว่า ประมาณ 5 เท่า 10 เท่า เป็นอย่างน้อย...
                                  -----------------------------------------------
        คืออาจด้วยเหตุเพราะ ผีรัฐประหาร นั้น...ถือเป็นผีที่อยู่เคียงคู่กับสังคมไทยมาโดยตลอด คล้ายๆ ประเภท แม่นาคพระโขนงหรือ พี่มากพระโขนง อะไรประมาณนั้น หนักไปทางผีโบราณ โดยลักษณะลีลาของการหลอก การหลอน เลยมักออกไปทางเชยซ์ซ์ซ์ๆ เช่น ยืดมือ ยืดแขน ระหว่างตำน้ำพริกอยู่นอกชาน ผ่านร่อง ผ่านกระดาน ลงไปเก็บมะนาวที่ตกอยู่ใต้ถุน ทำนองนั้น ไม่ก็ห้อยหัว ห้อยหาง ลงมาจากขื่อ จากหลังคา ซึ่งไม่ถึงกับน่าเกลียด น่ากลัว มากมายซักเท่าไหร่ แถมบางครั้ง บางครา อาจได้ผ่อนคลายบรรยากาศความน่าขนลุก ขนพอง น่าสยดสยอง ด้วยการ วิ่งหนีผีลงตุ่ม อีกต่างหาก ชนิดเล่นเอา ฮา ขี้แตก ขี้แตน กันไปเป็นรายๆ...
                                    ------------------------------------------------
        อีกทั้งเมื่อไหร่ที่ต้องเจอกับ หลวงตา เจอกับ พระ ที่เคร่งครัดในศีล ในธรรม...แม่นาค ก็พร้อมที่จะ ลงหม้อ โดยไม่ได้คิดจะหือรือ คิดจะดื้อๆ ด้านๆ อะไรกันมากมาย นอกซะจากเมื่อดันมาเจอกับ หมอผี กระจอกๆ ประเภท ล้อต๊อก หรือ สีเทา เป็นต้น ก็อาจต้องแลบลิ้น ปลิ้นตา แหกอก แหกทวาร ให้ใครต่อใครได้กรี๊ดๆ กร๊าดๆ เกิดอาการขนหัวลุก ขนคอตั้ง ไปตามสภาพ ต่างไปจาก ผีทักษิณ ที่หลังๆ นี้...ไม่ใช่มีแค่ตัวเดียว แต่ปาเข้าไปถึง 3 ตัวเข้าไปแล้ว หรือชักหนักไปทาง ซอมบี้ ชนิดมากันเป็นฝูงๆ มีทั้งตัวพี่ ตัวน้อง ที่ฆ่าไม่ตาย-ขายไม่ขาด กันได้ง่ายๆ...
                                     ---------------------------------------------------
        เรียกว่า...ออกไปทางผีรุ่นใหม่ ที่มากับความก้าวล้ำ นำสมัย มาเพราะการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัส เลยเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าผีรุ่นเก่าๆ อย่างเช่น ผีแวมไพร์ ที่แค่คว้าไม้กางเขนติดไม้ ติดมือ หรือกินกระเทียมให้เยอะๆ เข้าไว้ ก็อาจพอคุ้มครอง ป้องกัน ได้พอประมาณ แต่สำหรับ ซอมบี้ แล้ว อาจต้องคว้าปืนกล ปืนเอ็ม 16 หรือลูกซอง มายิงกันชนิดหมดแม็กนั่นแหละ แล้วต้องยิงที่หัว ยิงให้เจาะกลางลูกตา เพราะถ้าแค่ยิงแขน ยิงขา ยังสามารถลุกขึ้นมาโซซัด โซเซ เดินทื่อๆ เข้าหา คว้าใครต่อใครไปกินเนื้อ กินสมอง ดูดสมอง ได้สบายๆ...
                                     ---------------------------------------------------
        ดังนั้น...ระหว่างที่ ผีรัฐประหาร โดนหยิบเอามาเป็นประเด็น ด่าว่า ด่าทอ สร้างความน่าเกลียด น่ากลัว ท่ามกลางบรรยากาศเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง แต่จู่ๆ...ดันมี ผีซอมบี้ โผล่ขึ้นมาจากหลุมไหน ต่อหลุมไหน ก็ไม่รู้ เดินกางแขน กางขา เรียงหน้ากันมาเป็นฝูงๆ เลยส่งผลให้แทนที่ใครต่อใครจะหันไปกลัว ผีรัฐประหาร กลับต้องมาหวาดผวา ไหวหวั่น สั่นประสาทกับ ผีซอมบี้ กันแทนที่ ยิ่งเกิดการลุกขึ้นมาทั้งตัวพี่ ตัวน้อง สร้างกิจกรรม กิจการ ไม่เว้นในแต่ละวัน เดี๋ยวโพสต์โน่น โพสต์นี่ ก็เลยยิ่งส่งผลให้ ผีรัฐประหารกลายสภาพเป็น เอ็ดดี้ ผีน่ารัก ไปโดยปริยาย...
                                  ------------------------------------------------------
        อันนี้...จะไปโทษใครก็คงมิได้ คงต้องหันไปโทษผู้สร้าง ผู้กำกับ นั่นแหละทั่น ที่ไม่สามารถกำหนดฉาก กำหนดซีน ไม่สามารถควบคุมตัวแสดง ให้เล่นไปตามบท ตามสคริปต์ ที่วางเอาไว้ได้เลย ทั้งที่ ผีรัฐประหาร กำลังออกอาการย่ำแย่มิใช่น้อย เรียกว่า แม้ไม่ถึงกับน่าเกลียด น่ากลัว แต่ออกไปในทางน่าเบื่อ น่ารำคาญ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อ ผีซอมบี้ ดันผุดๆ โผล่ๆ ขึ้นมาแค่ไม่กี่ฉาก ไม่กี่ซีนเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ใคร...ที่กลัวว่าจะโดนกินเลือด กินเนื้อ ดูดสมอง เลยต้องหันไปกู่ร้อง ปองรัก หันไปเชียร์ ผีรัฐประหาร กันไปเป็นรายๆ...
                                ----------------------------------------------------------
        ก็เอาเป็นว่า...สุดท้ายแล้ว ฝ่าย ซอมบี้ จะกวาดเก้าอี้มาได้ถึง 200-300 ตามที่ สารวัตรเหลิม นินจา ท่านพ่นแมงโม้เอาไว้หรือไม่ ประการใด หรือว่าฝ่าย แม่นาคพระโขนง จะกลายเป็นฝ่าย หักปากกาเซียน ตามที่ กุมารสนธิรัตน์ ท่านได้ปลุกจิต ปลุกใจ บรรดาพี่มาก เอาไว้ก่อนหน้านี้ ว่าอาจคว้าเก้าอี้กันถึงระดับ 300 เก้าอี้เป็นอย่างน้อย อันนี้...ก็คงขึ้นอยู่กับ รสนิยม ของบรรดา แฟนหนังผีทั้งหลาย ว่าจะรักใคร ชอบใคร เกลียดใคร หรือกลัวใคร ไปถึงระดับไหนกันแน่!!!
                               -----------------------------------------------------------
        แต่ก็ด้วยเหตุที่ ความกลัวผี มันดันกลายเป็น ไฮไลต์ หรือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกใคร ไม่เลือกใคร สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน กี่เดือนข้างหน้า การหวนกลับไปสู่ประชาธิปไตย มันจึงชักแทบไม่ต่างอะไรไปจากการหวนกลับไปสู่บรรยากาศ ผีหลอกวิญญาณหลอน ยิ่งขึ้นทุกที เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะน่าขนลุก ขนพอง ไปได้ถึงเพียงนี้...

 ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Ruth E. Renkel ... “Never fear shadows. They simply mean there is a light shining somewhere nearby. - อย่ากลัวเงา...เพราะเงานั้น หมายถึงยังมีแสงสว่างอยู่ใกล้ๆ...”

ปัดให้พาสปอร์ต'ปู' กัมพูชาโบ้ยไม่รู้เอกสารจริง-ปลอม'ป้อม'หงุดหงิด



 “ป้อม” ปัดตอบ “ปู” ถือพาสปอร์ตกัมพูชา โบ้ยให้ไปถามกัมพูชาเอง ขณะที่รัฐบาลกัมพูชายืนกรานปฏิเสธไม่ได้ออกพาสปอร์ตให้ "ยิ่งลักษณ์" อ้างไม่รู้เอกสารจริงหรือปลอม ชี้กฎหมายกัมพูชาไม่อนุญาตให้ออกหนังสือเดินทางแก่คนต่างชาติ เว้นแต่จะมีพระราชกฤษฎีกาที่กษัตริย์นโรดม สีหมุนี ทรงลงพระปรมาภิไธยเอง อัยการแจ้ง อคส.-อ.ต.ก.ส่งเอกสารฟ้องเอกชนชดใช้โครงการจำนำข้าวเพิ่ม 16 ม.ค.นี้ นัดฟ้อง "มานพ ทิวารี" พ่อ "ศิธา" คดีฟอกเงิน ธ.กรุงไทย 30 ม.ค. ส่วน "โอ๊ค" ต้องมารายงานตัวต่อศาลภายใน 26 มี.ค.
    เมื่อวันพฤหัสบดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชา จดทะเบียนตั้งบริษัทในฮ่องกง โดยตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ให้ไปถามกัมพูชาเอง” 
    ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีดังกล่าวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศหรือไม่ พล.อ.ประวิตรไม่ตอบคำถามดังกล่าว พร้อมเดินขึ้นรถออกไปทันที
    ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกง รายงานว่า เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัทในฮ่องกงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเธอยื่นขอเป็นผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียวของบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน ที่เปิดดำเนินกิจการในฮ่องกงเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2561 น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุในช่องหนังสือเดินทางว่า "ราชอาณาจักรกัมพูชา" 
    ขณะที่เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ของกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 ม.ค.2562 รายงานข่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาปฏิเสธว่ากัมพูชาไม่ได้ออกหนังสือเดินทางกัมพูชาให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามที่มีรายงานในหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกง ที่อ้างอิงเอกสารการขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชัน จำกัด ในฮ่องกง ลงวันที่ 24 ส.ค.2561 
    ในเอกสารซึ่งยื่นขอในเวลาเกือบ 1 ปี หลังจากการหลบหนีคำพิพากษาจำคุกคดีรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์กรอกข้อมูลว่าถือหนังสือเดินทางของราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อใช้ยื่นขอเป็นผู้อำนวยการแต่เพียงผู้เดียวของบริษัทนี้ และหลังจากจัดตั้งบริษัทนี้ได้ 4 เดือน ก็มีรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นประธานของบริษัท ซัวเถาอินเตอร์เนชันแนลคอนเทนเนอร์เทอร์มินัล (เอสไอซีที) ผู้ดำเนินกิจการท่าเรือในมณฑลกวางตุ้ง รายงานของพนมเปญโพสต์กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ติดต่อไปที่เอสไอซีที แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
    อย่างไรก็ดี พนมเปญโพสต์ได้สอบถามพลเอกเหมา จันดารา อธิบดีกรมทะเบียนราษฎร สังกัดกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ในขณะนั้น ได้รับคำตอบว่า กัมพูชาไม่เคยออกหนังสือเดินทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 
    "เราไม่รู้ว่ามันเป็นของปลอมหรือไม่ แต่เราไม่เคยออกหนังสือเดินทางให้แก่คนต่างชาติ" เขากล่าวกับพนมเปญโพสต์เมื่อวันพฤหัสบดี พร้อมกับชี้แจงด้วยว่า การออกพาสปอร์ตกัมพูชาให้คนต่างชาตินั้นขัดต่อกฎหมายของกัมพูชา แต่การจะออกพาสปอร์ตให้คนต่างชาตินั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อบุคคลผู้นั้นได้รับสัญชาติกัมพูชาแล้ว ผ่านการตราพระราชกฤษฎีกาที่พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ทรงลงพระปรมาภิไธยเท่านั้น
    "มีใครในโลกนี้ไม่รู้บ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนไทย และเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เธอจะใช้หนังสือเดินทางของกัมพูชาไปจดทะเบียนบริษัทในฐานะพลเมืองกัมพูชาได้อย่างไร เราไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับรายงานข่าวเรื่องนี้" 
    ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้โพสต์อินสตาแกรมภาพนายทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย ที่กำลังรับประทานขนมจีนน้ำยาปูและแกงเขียวหวาน พร้อมข้อความว่า “ชื่อทักษิณก็ต้องกินอาหารใต้ วันนี้เลยได้ชิมขนมจีนน้ำยาปูและแกงเขียวหวานปักษ์ใต้กันค่ะ”
อสส.ขอข้อมูลจำนำข้าวเพิ่ม
    ที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษก อสส. ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการจำนำข้าว และการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ทั้งนักการเมือง, เจ้าหน้าที่รัฐ และเอกชน ภายหลังที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาตัดสินจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ รวมทั้งนักการเมืองในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ กับเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐสังกัดกรมการค้าต่างประเทศ และกลุ่มเอกชนไปเมื่อปี 2560 ว่า เมื่อมีการดำเนินคดีอาญาโดยฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการจำนำข้าวและระบายข้าวจนศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาแล้ว ภายหลังก็ได้มีการดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทน ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน
    ส่วนแรกคือที่กระทรวงการคลังมีคำสั่งทางปกครองบังคับคดีให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์, นายบุญทรง,  นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์, นายมนัส สร้อย พลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ, นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็น ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ, นายอัครพงศ์ (หรืออัฐฐิติพงศ์) ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีต ผอ.สำนักการค้าข้าวต่างประเทศ ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ มูลค่านับแสนล้านบาท ต่อมาผู้ได้รับคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางละเมิดทั้ง 6 รายดังกล่าวก็ได้ยื่นฟ้อง รมว.คลัง และกระทรวงการคลัง เป็นคดีปกครองต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวพร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี 
    "ซึ่งส่วนนี้พนักงานอัยการสำนักงานคดีปกครองได้ดำเนินการแก้ต่างให้ รมว.คลังและหน่วยงานรัฐคือกระทรวงการคลังแล้ว สำหรับคำขอทุเลาการบังคับคดี ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งยกคำร้องทั้งหมด แต่บางรายขอยื่นทุเลาการบังคับคดีเข้ามาอีก ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล ส่วนคำฟ้องที่ฟ้องขอให้เพิก ถอนคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าสินไหนทดแทนนั้น ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นพิจารณาของศาลปกครองกลาง"
    ส่วนกรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ได้ส่งคดีให้พนักงานอัยการ สำนักงานคดีปกครอง เพื่อให้ดำเนินการพิจารณาฟ้องเอกชนที่เป็นคู่สัญญากับ อคส. และ อ.ต.ก. ที่ผิดสัญญาฝากเก็บรักษาข้าวสารและสัญญาตรวจสอบคุณภาพข้าวสาร รวมมูลค่าหลายแสนล้านบาทนั้น โดยคดีในส่วนนี้ทางสำนักงานอัยการคดีปกครองได้รับสำนวนคดีจาก อคส. จำนวน 246 คดี และจาก  อ.ต.ก. จำนวน 89 คดี ทั้งหมดเป็นเรื่องต่อเนื่องจากโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว ซึ่งนายเทพสิทธิ์ รักไตรรงค์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีปกครอง ได้ตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา ซึ่งได้พิจารณาเบื้องต้นแล้วเห็นว่าทางคดียังขาดเอกสารและพยานหลักฐาน โดยคดีมีเอกสารและพยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ คณะทำงานจึงมีมติให้ อคส.และ อ.ต.ก.รวบรวมเอกสารและพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้พนักงานอัยการ โดยนายเทพสิทธิ์ได้มีคำสั่งแจ้งทั้ง 2 หน่วยงานไปเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2561 ว่าให้ส่งเอกสารเพิ่มเติมมาภายใน 16 ม.ค.นี้ ทั้งนี้ หากเอกสารครบถ้วนแล้ว คณะทำงานอัยการคดีปกครองจะพิจารณามีความเห็นและคำสั่งต่อไป
    เมื่อถามว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายให้กับ อคส. และ อ.ต.ก.นี้ จะไม่มีปัญหาเรื่องอายุความดำเนินคดีใช่หรือไม่ อย่างไร นายประยุทธกล่าวว่า ประเด็นข้อนี้ทางคณะทำงานถือเป็นเรื่องสำคัญ และได้ตระหนักอยู่แล้ว ขอให้สบายใจได้ว่าไม่เกิดความเสียหายเพราะเรื่องนี้ในชั้นพนักงานอัยการแน่นอน
นัดฟ้อง'พ่อศิธา'ฟอกเงิน
    นอกจากนี้ นายประยุทธ เพชรคุณ เปิดเผยถึงการรอส่งตัวฟ้องนายมานพ ทิวารี บิดาของ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน รับโอนเงินที่ได้จากการอนุมัติสินเชื่อระหว่าง ธ.กรุงไทยกับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบว่า หลังจากที่คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษมีความเห็นสั่งฟ้องนายมานพ พร้อมกับนางกาญจนาภา หงษ์เหิน (เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร ) และนายวันชัย หงษ์เหิน (สามีของนางกาญจนาภา)
     ในส่วนของนายมานพนั้น ให้มาพบกับอัยการในวันที่ 29 พ.ย.2561 เพื่อจะยื่นฟ้อง แต่ขณะเดียวกันนั้น นายมานพก็ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้บริหารสำนักงานอัยการสูงสุด แต่คณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วก็มีความเห็นยืนยันสั่งฟ้อง โดยอัยการกำหนดนัดให้นายมานพมาพบในวันที่ 30 ม.ค.2562 เวลา 10.00 น. เพื่อจะนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งอัยการได้แจ้งด้วยว่าหากไม่มาพบตามเวลาที่นัดหมายก็จะพิจารณาให้พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตามขั้นตอนขอออกหมายจับที่จะติดตามตัวมาฟ้อง
    สำหรับนางกาญจนาภาและนายวันชัย (อัยการมีคำสั่งให้ฟ้องข้อหาร่วมฟอกเงินและสมคบฟอกเงินในการรับโอนเช็คจำนวน 26 ล้านบาท) ก่อนหน้านี้ คณะทำงานอัยการฯ แจ้งให้ดีเอสไอติดตามตัวทั้งสองมาฟ้องแล้ว ซึ่งมีการให้ออกหมายจับทั้งสองแล้วต้องรอการติดตามหาตัวผู้ต้องหาทั้งสองมาส่งฟ้องศาลภายในอายุความต่อไป
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีสมคบฟอกเงินที่เกี่ยวกับการโอนและรับโอนเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องการทุจริตปล่อยกู้ของ ธ.กรุงไทยกับเครือข่ายธุรกิจกฤษดามหานครนั้น ก่อนหน้านี้อัยการได้ยื่นฟ้องไปแล้ว 2 สำนวน สำนวนแรกส่วนของผู้โอนคือกลุ่มธุรกิจกฤษดามหานคร ซึ่งได้ยื่นฟ้องนายวิชัย กฤษดาธานนท์ อายุ 79 ปี ผู้บริหารกฤษดามหานคร กับพวกรวม 6 คนต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2561 
    สำนวนที่ 2 กลุ่มรับโอนเงิน ที่ยื่นฟ้องนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ชินวัตร (บุตรชายนายทักษิณ) ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5, 9, 60 ฐานสมคบฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินรับโอนเช็ค 10 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2561 ซึ่งศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.245/2561 และได้นัดตรวจเอกสารหลักฐานต่อเนื่องในเดือน ม.ค.2562-เม.ย.2562 โดยจะนัดตรวจหลักฐานทั้งหมดให้เสร็จสิ้นในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ขณะที่นายพานทองแท้ได้ประกันตัวไปด้วยหลักทรัพย์เงินสด 1 ล้านบาท ซึ่งศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
     ส่วนที่มีข่าวว่านายพานทองแท้เตรียมจะเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของน้องสาวคนเล็ก น.ส.แพทองธาร หรืออุ๊งอิ๊ง ที่ต่างประเทศในเดือน มี.ค.2562 นี้ ทีมทนายความก็ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลางแล้วเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้นายพานทองแท้ จำเลย เดินทางออกนอกประเทศ โดยนายพานทองแท้มีกำหนดที่จะต้องเดินทางกลับมารายงานตัวต่อศาลภายในวันที่ 26 มี.ค.นี้ หลังจากเดินทางไปร่วมงานแต่งงานดังกล่าว.

วิษณุลั่นมี.ค.ได้เลือกตั้ง

วิษณุลั่นมี.ค.ได้เลือกตั้ง

 “วิษณุ” กางปฏิทิน ระบุพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งประกาศแน่ในเดือนนี้ ส่วนวันหย่อนบัตรไม่เกินมีนาคมแน่ “รองเลขาธิการ กกต.” รับโอกาสริบหรี่ที่ 24 ก.พ.เข้าคูหา “เนติบริกร-กรธ.”  ประสานเสียงชัด 150 วันแค่จัดเลือกตั้ง 60 วันประกาศผลแยกต่างหาก “อิทธิพร” ยังกระต่ายขาเดียวบอกจะทำให้เบ็ดเสร็จใน 150 วัน นโยบายที่ดินทองคำของ พปชร.ส่อเค้าแห้ว “ประยุทธ์” ซัดขายฝัน เกินจริงยิ่งกว่าซื้อลอตเตอรี่ พื้นที่ภาคเหนือระอุ “หญิงหน่อย” เดือดถูก อบจ.พะเยายกเลิกให้ใช้สนามกีฬาปราศรัย เพื่อไทยประเมินเข้มหวั่นเชียงใหม่ถูกเจาะเก้าอี้
    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างเป็นประธานในงานมหกรรมการแสดงผลการดำเนินงานโครงการตามแนวทางประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ว่าการเลือกตั้งต้องดำเนินการให้สงบเรียบร้อยที่สุด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดินนี้ บ้านเมืองนี้ เป็นจารีตประเพณีทุกคนต้องช่วยกัน อย่าเอาอะไรมาพันกันทั้งสิ้น เป็นเรื่องการทำงานที่ต้องทำให้ได้เพื่อความสงบเรียบร้อย ทั้งการเลือกตั้ง และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกต้องไปด้วยกันได้ 
    “อะไรที่มีปัญหาให้ปรับแก้กันไป ไม่ใช่มันจะเป็นจะตายกันหมด และผมไม่ได้ต้องการจะยืดเยื้อ เพราะผมก็เหนื่อยเต็มทีที่ต้องมาพูดแบบนี้ เราต้องทำวันนี้เพื่อลูกหลาน ทุกอย่างต้องรักษาสืบไปให้เขาด้วย ถ้าเราไม่ห่วงเขาแบบนี้จะหายไปทั้งหมดในสมัยเรา และวันหน้าเขาจะลำบากยิ่งกว่าเรา" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวหลังประชุมเพื่อเตรียมการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร  เนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถึงการกำหนดวันเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าได้รายงานหมายกำหนดการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้ กกต.ทราบเป็นระยะแล้ว และจะรายงานให้ทราบเพิ่มเติมด้วย เชื่อว่า กกต.จะนำไปประกอบการพิจารณาได้มาก จากนี้คงไม่ต้องพูดอะไรกับ กกต. เขาดูหมายกำหนดการก็คงคิดเองได้
    เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระราชกฤษฎีกาจัดให้มีการเลือกตั้งจะประกาศก่อนวันที่ 26 ม.ค.นี้ นายวิษณุตอบว่า เอาเป็นว่าประกาศในเดือนมกราคม และการเลือกตั้งไม่เกินเดือนมีนาคม กกต.จะเป็นผู้กำหนด และเชื่อว่า กกต.จะตัดสินใจก่อนวันที่ 26 ม.ค. ส่วนจะพูดได้หรือไม่ว่า 24 ก.พ.2562 จะไม่มีการเลือกตั้ง ไม่ทราบ ไม่กล้าพูด สื่อฟังก็ไปสรุปเอาเองได้
    ซักต่อว่าจะรู้วันเลือกตั้งเมื่อใด นายวิษณุกล่าวว่า อยากรู้เช่นกัน เพราะไม่รู้เรื่องนี้ ถามที่ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ ต้องไปถามที่อื่น ส่วนการประกาศ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งจะมีเมื่อใดนั้น รัฐบาลไม่อยู่ในฐานะที่จะประกาศได้ ไม่ใช่เก็บเอาไว้ไม่ประกาศ และขณะนี้ พ.ร.ฎ.เลือกตั้งยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา 
150 วันไม่รวมประกาศผล
    นายวิษณุยังชี้แจงถึงข้อถกเถียงการจัดเลือกตั้งภายใน 150 วัน ต้องรวม 60 วันที่ กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งด้วยหรือไม่ ว่าการจัดเลือกตั้ง 150 วันเป็นเรื่องหนึ่ง การประกาศผล 60 วันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกฎหมายคนละมาตรา ไม่ใช่เอาสองมาตรามารวมกัน ต้องเลือกตั้งให้เสร็จก่อน จากนั้นถึงนับระยะเวลาการประกาศผลต่อไป อีก 60 วัน โดยในส่วนนี้คิดว่า กกต.ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะคาดว่าผู้ชนะเลือกตั้งอาจร้องผู้แพ้เพื่อตัดคะแนนไม่ให้นำไปรวมในปาร์ตี้ลิสต์ แต่หากประกาศผลก่อนเพื่อสอยทีหลังไม่ควร เพราะอันตราย กระทบการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อถามว่า จะไม่มีการใช้มาตรา 44 เพื่อขยายกรอบ 150 วันใช่หรือไม่ นายวิษณุยืนยันว่า ไม่มี เพราะใช้ไม่ได้ ที่เขาพูดกันไม่ใช่การเรียกร้อง แต่อยากดูว่าจะกล้าใช้หรือไม่ ที่ผ่านมา คสช.ไม่เคยใช้ ม.44 ขัดกับรัฐธรรมนูญ หรือแก้รัฐธรรมนูญ 
    ด้านนายอุดม รัฐอมฤต อดีตโฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่าให้ กรธ.เป็นผู้ชี้ขาดกรณีกรอบเวลา 150 วันรวมประกาศผลเลือกตั้งด้วยหรือไม่ ว่ายืนยันเจตนารมณ์ของ กรธ.ตั้งแต่ต้น คือกรอบเวลา 150 วันไม่นับรวมถึงการประกาศผลการเลือกตั้ง ซึ่งเรื่องนี้ได้ชี้แจงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไปแล้ว จึงได้บัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลมาตรา 171 ของกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น กกต.สามารถกำหนดวันเลือกตั้งได้ตั้งแต่กฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ครบ 4 ฉบับไปอีก 150 วันได้ก็คือภายในวันที่ 9 พ.ค. โดยไม่ต้องนับรวมเวลาในการประกาศผล ทั้งนี้ เห็นว่าคนที่พยายามตีความให้รวมวันประกาศผล น่าจะตีความเพื่อต้องการอยากเลือกตั้งโดยเร็ว
    “ผมว่าคนที่ตีความ เขาหาเรื่อง ต้องการเลือกตั้งโดยเร็ว แต่เรายืนยันเจตนารมณ์ของ กรธ. และไม่ใช่เพิ่งมาตีความตอนนี้ เราตีความตั้งแต่ต้น โดยก่อนมีกฎหมายลูก มีการพูดกันถึงเรื่องพวกนี้ กกต.ก็ถาม พอถามมาเราก็ตอบไปว่า เราไม่ได้เป็นคนตีความเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ความตั้งใจของ กรธ.เป็นอย่างนี้” นายอุดมกล่าว
    ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงกรณีนายกฯ ให้ กรธ.ชี้ขาดเรื่อง 150 ว่าเป็นความเห็นเชิงแนะนำของนายกฯ เพราะ กรธ.เป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญก็สามารถสอบถามความเห็นได้ แต่เบื้องต้น กกต.ยังไม่มีการพูดคุยหรือประสานไปยัง กรธ. และเคยให้สัมภาษณ์มาก่อนหน้านี้ว่ากรอบการเลือกตั้ง 150 วันได้พูดคุยในชั้นของคณะกรรมการ กกต.แล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นว่าจะตัดสินใจอย่างใดว่า 150 วันหมายถึงอะไรกันแน่ ซึ่งเรายังไม่ก้าวล่วงว่าศาลรัฐธรรมนูญ กรธ. หรือคณะกรรมการกฤษฎีกาจะคิดอย่างไร รวมทั้ง กกต. และยังไม่ตัดสินใจว่าจะไปปรึกษาฝ่ายใด เพราะเราตั้งใจจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จรวมถึงประกาศผลเลือกตั้งภายใน 150 วัน
    เมื่อถามว่า วันเลือกตั้งยังสามารถจัดในวันที่ 24 ก.พ.ได้หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ต้องรอให้มี พ.ร.ฎ.ออกมาเสียก่อน เมื่อออกมาเมื่อใด กกต.ต้องประชุมเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 5 วัน จะเลย 5 วันไม่ได้
24 ก.พ.โอกาสริบหรี่
    นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. กล่าวตอนหนึ่งระหว่างประชุมชี้แจงการดำเนินกิจกรรมให้แก่พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ 8 พรรคการเมือง ซึ่งมีการสอบถามความชัดเจนว่าจะยังมีการเลือกตั้งวันที่ 24 ก.พ.หรือไม่ว่า อย่าให้ตอบเลย ซึ่งตามกฎหมายให้ กกต.ประกาศกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 5 วัน หลังมี พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งประกาศในราชกิจจานุเบกษา  ตอนนี้ พ.ร.ฎ.ยังไม่ประกาศ เวลามันก็กินมาเรื่อย วันนี้ก็วันที่ 10 ม.ค. พ.ร.ฎ.ยังไม่ประกาศ ความเป็นไปได้มันก็น้อยลงไปเรื่อยๆ 
    ทั้งนี้ ในการประชุม 8 พรรคการเมืองทั้งหมดอยากให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพื่อไม่ให้กระทบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยอยากให้มีขึ้นหลังพระราชพิธี เพื่อพรรคจะได้มีความพร้อมในการส่งผู้สมัคร รวมทั้งสมาชิกพรรคจะได้สังกัดพรรคครบ 90 วัน 
    ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ส่งหนังสือถึงหัวหน้าพรรคการเมืองทุกพรรคเมื่อวันที่ 8 ม.ค.2562 เพื่อแจ้งให้ดำเนินการในกรณีที่พรรคจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ว่าต้องดำเนินการใน 4 เรื่องสำคัญ คือ 1.พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ถ้าจะส่งผู้สมัครต้องจัดให้มีเงินทุนประเดิม 1 ล้านบาท และแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ 2.จัดให้มีสมาชิกซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 24 จำนวนไม่น้อยกว่า 500 คน ชำระค่าบำรุง พรรคการเมืองและให้พรรคการเมืองแจ้งให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบ 3.จัดประชุมใหญ่เพื่อแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อบังคับ คำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง และนโยบายพรรค ให้สอดคล้องกับกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.และแจ้งการเปลี่ยนให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ และ 4.จัดประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค เหรัญญิก นายทะเบียนสมาชิก และกรรมการบริหารของพรรคการเมือง ตามข้อบังคับพรรคการเมือง โดยหากพรรคการเมืองไม่สามารถดำเนินการทั้ง 4 ข้อได้ครบถ้วน จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้   
    สำหรับความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองในการลงพื้นที่นั้น เริ่มมีความร้อนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยในเวลา 21.00 น. วันที่ 9 ม.ค. หลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรค พท. ลงพื้นที่พบปะประชาชนที่ จ.เชียงรายหลายจุด ก่อนจะแวะรับประทานอาหารที่ร้านภูแล ได้มีเจ้าหน้าที่ 2 นายติดตามบันทึกภาพตลอดเวลา จวบจนมาถึงที่ร้านอาหาร ทำให้คุณหญิงสุดารัตน์เดินไปสอบถามว่า มาจากหน่วยงานใด มีบัตรไหม เอามาดู มีวัตถุประสงค์อะไรในการมาติดตามการลงพื้นที่ มาถูกต้องหรือไม่ ใครเป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย ตอบว่าสืบกองเมือง จากนั้นคุณหญิงสุดารัตน์ได้ให้นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ตรวจสอบว่าถูกต้องจริงหรือไม่
    ต่อมาในช่วงเช้า ที่หน้าสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา อ.ดอกคำใต้ บรรยากาศโดยรอบสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา เจ้าหน้าที่ได้นำป้ายห้ามเข้าและขึงเชือกโดยรอบพื้นที่ ทำให้พรรค พท.ไม่สามารถปราศรัยบนเวทีได้ ทั้งที่เตรียมการล่วงหน้าไว้แล้ว ทำให้ประชาชนที่เดินทางมารอรับฟังการปราศรัยต้องปักหลักอยู่บริเวณริมถนนหน้าสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา เพื่อฟังการชี้แจงแทน  
พท.โวยกลั่นแกล้ง    
    นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรค พท. ในฐานะอดีต ส.ส.พะเยา กล่าวว่า ตั้งแต่เป็นผู้แทนราษฎร ไม่เคยพบเหตุการณ์ลักษณะนี้ ซึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง เป็นการทำร้ายความรู้สึกของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้สนับสนุนพรรคเท่านั้น แต่เป็นการทำร้ายความรู้สึกของคนทั้งประเทศ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองหรือไม่ จึงอยากสื่อสารไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ว่า พรรคและประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไร รวมทั้งอยากสื่อสารไปถึงผู้ว่าฯ และต้องการคำตอบจากนายก อบจ.พะเยา ว่าเหตุใดจึงไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่
    สำหรับเหตุการณ์นี้นั้น นายสวัสดิ์ หอมนาน รองนายก อบจ.พะเยา รักษาราชการแทนนายก อบจ.พะเยา ส่งหนังสือด่วนที่สุด ถึงนายไพโรจน์ ตันบรรจง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เรื่องขอยกเลิกการอนุญาตให้ใช้สถานที่ โดยอ้างว่าตามที่ อบจ.พะเยาได้อนุญาตใช้สนามกีฬา อบจ.พะเยา วันที่ 10 ม.ค. เพื่อใช้ปราศรัยของพรรค พท.เพื่อไทยนั้น นายกฯ อบจ.พะเยาได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การใช้สถานที่ราชการเพื่อจัดกิจกรรมทางการเมือง อาจมีการได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมืองระหว่างพรรคการเมือง ประกอบกับเป็นการไม่เหมาะสมที่จะใช้สถานที่ราชการเพื่อจัดกิจกรรมทางการเมือง ดังนั้น อบจ.พะเยาจึงขอยกเลิกหนังสือขออนุญาตให้ใช้สนามกีฬา อบจ.พะเยา        
    ต่อมาเวลา 10.43 น. คุณหญิงสุดารัตน์ขึ้นรถกระบะปราศรัยกับประชาชนที่หน้าสนามกีฬา อบจ.พะเยา โดยได้ยกมือไหว้ขอโทษพร้อมกล่าวว่า ประชาชนที่มารอและไม่สามารถเข้าไปภายในสนามกีฬาที่จัดเตรียมไว้ให้ ต้องมาพบกันในสภาพที่นั่งริมถนน ตากแดด เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง มีการใช้ชายฉกรรจ์นอกเครื่องแบบไม่ปรากฏสังกัดเดินตาม มาถ่ายรูป การติดตามในลักษณะนี้อย่าคิดว่าคนชื่อสุดารัตน์จะกลัว เพราะถ้ามาดีเราก็ขอบคุณ
    คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวต่อว่า วันนี้ก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีกระหว่างที่เดินทางมาพะเยา ได้รับข่าวจากข้าราชการผู้ใหญ่ของจังหวัด ว่ามีคำสั่งจากผู้มีอำนาจที่ใหญ่โตจากกรุงเทพฯ สั่งการโดยตรงมาที่จังหวัด ให้นายก อบจ.พะเยาทำหนังสือยกเลิกไม่ให้พรรคและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ใช้สถานที่ปราศรัย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พท.ได้ทำหนังสือขออนุญาตถูกต้องตามขั้นตอน และได้อนุญาตเรียบร้อยแล้ว
    "ผู้สมัครและพรรคไม่อยากให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการในจังหวัดต้องเดือดร้อน จึงไม่เข้าไปในสถานที่ที่มีคำสั่งห้าม เพราะทราบดีว่าอำนาจยิ่งใหญ่ของเขาคนนั้นจะไม่ยอมลงจากอำนาจ และอยากอยู่ต่อ จึงทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งเขียนกติกาที่เอารัดเอาเปรียบ แต่สิ่งที่จะชนะอำนาจล้นฟ้า คือหัวใจประชาชนหัวใจประชาชนที่มีต่อระบอบประชาธิปไตย"   คุณหญิงสุดารัตน์กล่าว
    มีรายงานว่า การตั้งเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยนั้น ห่างออกไปไม่ถึง 1 กิโลเมตร เป็นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง ภาคเหนือ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 3 เขตเข้าร่วม โดยใช้สถานที่วิทยาลัยเทคโนโลยีวงศ์กาญจนา ทั้งนี้ เวทีการปราศรัยของ พปชร.ก็มีเจ้าหน้าที่จาก อบจ.และตำรวจมาคอยอำนวยความสะดวก ซึ่งมีประชาชนมาร่วมฟังปราศรัยกว่า 5,000 คน
    โดย ร.อ.ธรรมนัสกล่าวตอนหนึ่งว่า ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของภาคเหนือมีทั้งสิ้น 64 เขต 17 จังหวัด และคาดว่าจะได้จำนวน ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 40 คน รวมทั้ง จ.พะเยาที่จะชนะแบบยกจังหวัดทั้ง 3 เขต
    ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงประเด็น อบจ.พะเยายกเลิกให้พรรคเพื่อไทยใช้พื้นที่สนามกีฬา อบจ.พะเยาปราศรัย ว่า แล้วมันใช้ได้หรือไม่ แต่ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าเจ้าหน้าที่เขาทำตามกฎหมายที่ไม่ให้ใช้สถานที่ราชการ และทุกพรรคต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน
บิ๊กป้อมสวนจะเอาอะไร
    เมื่อถามถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามคุณหญิงสุดารัตน์ที่ลงพื้นที่ จ.เชียงราย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่ต้องดูแลความสงบในพื้นที่ของเขา มาถามตนเองได้อย่างไร คุณหญิงสุดารัตน์ไปถาม เขาก็บอกว่าเป็นคนในพื้นที่ จะเอาอะไรอีก และจะไม่สบายใจเรื่องอะไร
    ส่วนนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค พท. กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องที่น่าตกใจ ที่ปล่อยให้เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น เพราะได้ขออนุญาตล่วงหน้ามาเป็นเวลานานแล้ว และได้ชี้แจงวัตถุประสงค์ ว่าจะแลกเปลี่ยนนโยบายกับประชาชน แต่ช่วงดึกวันที่ 10 ม.ค. กลับมีหนังสือเพิ่งลงนามโดยรองนายก อบจ. ส่งถึงนายไพโรจน์ ในเวลาประมาณ 21.00 น. โดยอ้างว่าจะเกิดความไม่เป็นธรรม
    “ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ไม่อาจปล่อยให้เรื่องดังกล่าวผ่านไปได้ เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวอาจไม่ใช่คำสั่งการของนายก อบจ.พะเยา แต่น่าจะมีบุคคลที่อยู่เหนือนายก อบจ. ที่สามารถสั่งการนายก อบจ.ได้ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่าต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจเกี่ยวพันในทางการเมือง ซึ่งอาจเป็นนักการเมือง และนักการเมืองในที่นี้อาจเป็นรัฐบาลหรือไม่ เพราะระดับอธิบดีหรือระดับปลัดจะไม่พูดเรื่องการเมือง” นายปลอดประสพกล่าว และย้ำว่า พรรคจะไม่นิ่งเฉย เพราะหากเรื่องนี้เกิดขึ้น โดยผู้มีอิทธิพลทางการเมือง ถ้าทำครั้งนี้ได้ต่อไปก็ทำได้เรื่อยๆ วิธีการแบบนี้ต้องการสื่อสารว่าจะไม่ให้พรรคร่วมในกระบวนการเลือกตั้งแบบใช่หรือไม่ และหากปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเท่ากับบังคับให้พรรคถอยออกจากการเลือกตั้ง ดังนั้น อบจ.ต้องเตรียมตอบพรรคเพื่อไทยว่าท่านคิดอย่างไรในเรื่องนี้ และพรรคจะแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ให้ฟ้องละเมิด เพราะได้อนุญาตและปล่อยให้ดำเนินการมาแล้ว และมาสั่งการให้ยกเลิกแบบฉุกเฉิน
    นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า กว่า 10 ปีที่ผ่านมาเมื่อมีการเลือกตั้ง การกระทำดังกล่าวถือเป็นประเพณีที่ทุกพรรคปฏิบัติได้ และส่วนราชการควรต้องสนับสนุน หากพรรคการเมืองใดขอใช้สถานที่ในการปราศรัย จะต้องให้ ไม่ใช่การใช้หลักเกณฑ์ที่อ้างว่าจะไม่เป็นธรรมต่อพรรคอื่นที่ไม่ได้มาจัดปราศรัย การกล่าวอ้างดังกล่าวน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งกันมากกว่า และเรื่องดังกล่าวคงไม่ใช่การตัดสินใจของ อบจ.พะเยาฝ่ายเดียว แต่น่าจะมีการหนุนหลังพรรคการเมืองอื่นและเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจแน่นอน 
“เป็นที่ทราบมาเป็นตลอดว่าในพื้นที่ภาคเหนือมีการใช้อิทธิพลข่มขู่ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ถึงขั้นเอาชีวิต เรื่องแบบนี้ต้องพูดคุยกันให้รู้ว่าการใช้อำนาจรัฐการใช้อิทธิพลของคนที่มีกำลังพลในพื้นที่ ประสานกับผู้มีอำนาจแล้วมากกลั่นแกล้ง สกัดกั้น ขัดขวางการหาเสียงของพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ขอให้หยุดการกระทำเช่นนี้” นายจาตุรนต์กล่าว
    ส่วนบรรยากาศการหาเสียงของพรรคต่างๆ นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำผู้ก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) พร้อมด้วยคณะได้นำทีมงานเดินเท้าเพื่อคารวะแผ่นดินใน จ.เชียงใหม่ทั้ง 9 เขต ซึ่งนายสุเทพระบุว่า ได้รับการต้อนรับอย่างดีเกินคาด แม้บางช่วงอาจมีผู้ไม่สนใจบ้าง และยอมรับว่าผู้สมัคร ส.ส.พรรคต้องเหนื่อยหน่อย แต่ก็ให้เดินหน้าเต็มที่ ยังเชื่อมั่นว่าพรรคจะปักธงในพื้นที่ภาคเหนือและทุกภาค รวมทั้งกรุงเทพฯ ด้วย
พท.ประเมินพื้นที่เชียงใหม่
    มีรายงานข่าวจากพรรค พท.แจ้งว่า แม้วันเลือกตั้งจะยังไม่ถูกกำหนดออกมาชัดเจน แต่พรรคได้เตรียมความพร้อมทั้งเรื่องนโยบาย ทิศทางการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงผู้สมัครเกือบครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว โดยจะส่งผู้สมัครประมาณ 250 เขตบวกลบ แต่ในจังหวัดที่เป็นฐานคะแนนหลัก เป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง อาทิ จ.เชียงใหม่, อุดรธานี และขอนแก่น พรรคจะรักษาพื้นที่เดิมเอาไว้ให้ได้และส่งผู้สมัครครบทุกเขต โดยเฉพาะในเชียงใหม่ 9 เขต ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอดีตนายกฯ และมีความสำคัญเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง ขณะที่คู่แข่งขันเองก็พยายามเจาะเก้าอี้ทุกรูปแบบ แต่พรรคได้วางกลยุทธ์ตั้งรับ พร้อมประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ และล่าสุดแกนนำพรรคได้ประเมินถึงสถานการณ์ในจังหวัดเชียงใหม่ แยกเป็นรายเขตทั้ง 9 เขตโดยเฉพาะ
    โดยในเขตเลือกตั้งที่ 1 จะส่ง น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ลงสมัคร และคาดว่า น.ส.ทัศนีย์จะชนะได้รับคะแนนเสียงประมาณ 4 หมื่นคะแนน, เขต 2 ส่งนายนพคุณ รัฐผไท ลง และคาดว่าจะชนะได้คะแนน 3.5 หมื่นคะแนน, เขต 3 ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ของตระกูลวงศ์สวัสดิ์นั้น ได้ให้นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม บุตรชายนายสุรินทร์ ตั้งสุทธิธรรม นักธุรกิจชื่อดังและเจ้าของตลาดต้นพะยอมลง ส่วนคู่แข่งขันคาดว่านายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายนายสมชายและนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะลงในนาม ทษช. ทำให้การแข่งขันในเขตนี้สูสี โดยคาดว่าผู้ชนะจะได้คะแนนเสียงประมาณ 3.4 หมื่นคะแนน 
    เขต 4 พรรคจะส่งนายวิทยา ทรงคำ ลงสมัคร โดยคู่แข่งสำคัญคือ นางกิ่งกาญจน์ ณ เชียงใหม่ จาก พปชร. โดยคนที่ชนะจะได้คะแนนเสียง 3.5 หมื่นคะแนน, เขต 5 ส่งนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อธรรม ซึ่งกลับมาร่วมงาน พท.ลง และคาดว่าจะชนะ ร.อ.หญิงเดือนเต็มดวง ณ เชียงใหม่ จาก พปชร. โดยได้คะแนนมากถึง 6 หมื่นคะแนน, เขต 6 ส่งนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ บุตรชายนายสมพงษ์ลงสมัคร ซึ่งคู่แข่งคนสำคัญคือ นายสันติ ตันสุหัช จาก พปชร. แม้ว่านายสันติเป็นอดีต ส.ส.หลายสมัย แต่เชื่อว่านายจุลพันธ์น่าจะชนะแบบสูสี, เขต 7 ส่งนายประสิทธิ์ วุฒินันชัย ลงสมัคร มีฐานเสียงจากกลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่เป็นหลัก คู่แข่งคนสำคัญคือ นพ.ไกร ดาบธรรม จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ซึ่งทั้ง 2 คนมีโอกาสได้รับเลือกตั้งพอๆ กัน โดยคนที่ชนะจะได้คะแนนเสียงประมาณ 3.8 หมื่นคะแนน, เขต 8 จะให้นายสุรพล เกียรติไชยากร ลงสมัคร แต่ต้องเจอทั้งนายสุทัศน์ สุทัศนรักษ์ จาก ภท. และนายนเรศ ธำรงค์ทิพยกุล จาก พปชร. แต่เชื่อว่า พท.จะชนะได้ และเขต 9 ส่งนายศรีเรศ โกฏิคำลือ ลงสมัคร ซึ่งถือเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ และเชื่อว่าจะชนะคู่แข่งสำคัญคือนายนรพล ตันติมนตรี พปชร. โดยคะแนนเสียง 3.5 หมื่นคะแนน
บิ๊กตู่เมินนโยบาย สปก.
    วันเดียวกัน พรรคการเมืองยังคงมีเสนอนโยบายต่างๆ รวมถึงการวิเคราะห์นโยบายที่เปิดตัวมาแล้ว โดยเฉพาะกรณีปรับ สปก.4-01 เป็นใบสลักสิทธิ์ให้ซื้อขายถ่ายโอนได้ โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่ง ระหว่างเป็นประธานในงานมหกรรมการแสดงผลการดำเนินงานโครงการตามแนวทางประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ว่าที่ดินของ ส.ป.ก. หรือที่ดินที่จัดสรรให้เป็นที่ดินส่วนกลางของประเทศ จำเป็นต้องสงวนไว้ให้กับลูกหลาน และเป็นพื้นที่ที่จัดไว้เพื่อทำการเกษตร หากวันหน้าพื้นที่เหล่านี้หายไปจะทำอย่างไร เพราะบางพื้นที่ก็เป็นที่ของเอกชน ซึ่งหากเขาขายไป การเกษตรก็จะหายไปแล้วใครหรือพื้นที่ไหนทำการเกษตรได้อีก 
    “เข้าใจว่าทุกคนอยากได้ แต่ถ้าทุกอย่างถูกขายไปทั้งหมดลูกหลานจะทำอย่างไร ที่พูดวันนี้ไม่ใช่จะไปคัดค้านกับใคร แต่เราต้องสร้างหลักคิดที่ถูกต้องให้กับประชาชน วันนี้เราเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง การหาเสียงต้องเป็นเรื่องของการหาเสียง ไม่ใช่การขายฝัน และฝันยังไม่เป็นจริง เพราะการซื้อลอตเตอรี่ก็ยังไม่ถูก ดังนั้นเมื่อฝันแล้วก็ต้องทำด้วย จะได้เป็นไปตามฝัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางทำได้ ฉะนั้นต้องทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
    นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า นายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำ พปชร. พูด 2 วันไม่เหมือนกัน วันแรกนายสุชาติพูดชัดว่าจะแก้กฎหมาย ส.ป.ก.ให้เปลี่ยนวัตถุประสงค์จากเพื่อการเกษตรอย่างเดียวไปทำอย่างอื่นได้ด้วย แต่พอพรรคออกมาแย้งว่าสุดท้ายจะไปอยู่ในมือนายทุน นายสุชาติก็กลับมาว่าคล้ายนโยบายโฉนดสีฟ้าของ ปชป. ว่าต้องพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในที่ดิน แต่โฉนดสีฟ้าไปไกลกว่า คือนำไปเป็นหลักประกันในทุกธนาคารได้ และประกันตัวในศาลได้ และรองโฆษก พปชร.ก็ออกมายอมรับว่าความคิดนี้ยังไม่ตกผลึก
    "ขณะนี้ที่พูดเรื่องแปลง ส.ป.ก.เป็นโฉนด มีนายทุนไปกว้านซื้อที่ ส.ป.ก.ที่ไหนบ้าง มีจำนวนเท่าไหร่ เป็นของใคร ส่วนนี้รัฐต้องยึดกลับคืนมา ผมเชื่อว่ามีการกว้านซื้อกันอยู่ โดยเฉพาะที่ดินในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)” นายสาทิตย์กล่าว
    นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษก พปชร. กล่าวถึงกรณีแนวคิดเปลี่ยน สปก.4-01 เป็นโฉนดว่า พรรคได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาและประชาชนต้องการ พรรคเลยให้ทีมนโยบายนำข้อหารือเพื่อกำหนดเป็นนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งนโยบายใกล้ตกผลึกแล้ว โดยจะคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับ และจะปิดทุกช่องทางในการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนเข้ามาฮุบที่ 
    "สิ่งที่พรรคเสนอ เพราะต้องช่วยเหลือเกษตรกร ชาวบ้านด้วยใจบริสุทธิ์ การที่เราเสนอ ส.ป.ก.เป็นโฉนด ต้องขอย้ำว่าเพื่อเกษตรกรเท่านั้น” นายธนกรกล่าว
พปชร.เอาแน่ที่ดินทองคำ
    นายจำลอง ครุฑขุนทด อดีต รมช.ศึกษาธิการ และอดีตแกนนำกลุ่ม 16  แกนนำ พปชร. กล่าวในประเด็นนี้ว่า ประชาชนจะมีความหวัง โดยเฉพาะเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ส่วนจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไรนั้น ก็อยู่ที่เสียงข้างมาก ถ้าพรรคเป็นเสียงข้างมาก และเป็นรัฐบาล ก็จะบรรจุไว้ในนโยบายแล้ว เหมือนสมัยรัฐบาลอื่นๆ ก่อนเป็นรัฐบาล ไม่ว่า 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ฉะนั้นทำนองเดียวกัน รัฐบาลนี้รับปากอะไรไว้ ถ้า พปชร.เป็นรัฐบาลก็ต้องทำตามที่ประกาศเอาไว้ 
    นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต รมช.มหาดไทย แกนนำ พปชร. ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 จ.นครราชสีมากล่าวว่า นโยบาย สปก.4-01 เป็นโฉนดมีความเป็นไปได้ เพราะทุกนโยบายของพรรคเกิดจากการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และประชาชนที่ถือ ส.ป.ก.อยากได้เยอะมาก ซึ่งพรรคจะผลักดันให้เป็นนโยบายแน่นอน
    ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท.โพสต์คลิปวิดีโอความยาว 2.45 นาที ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อลูกชาวนาภาคอีสานที่ขายข้าวได้กำไรเล็กน้อย แต่ก็ต้องกลับมาซื้อข้าวสารกิน  พร้อมทั้งตีแผ่วงจรการค้าขายข้าวของไทยว่าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ด้วยระบบกำไรแบ่งปัน หรือ Profit Sharing มาใช้
    น.ส.พรพรหม พรหมชาติ รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ (พ.พ.ช.) กล่าวถึงนโยบายพรรคเพื่อลดความเหลื่อมล้ำว่า จากประสบการณ์ของนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ที่เคยจนมาก่อน และสร้างเนื้อสร้างตัว จนมีฐานะที่ดีขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ซึ่งพรรคเห็นความสำคัญเรื่องนี้ จึงได้กำหนดนโยบายลดการผูกขาดทางการค้า เพิ่มโอกาสสร้างความมั่งคั่งให้ประชาชน โดยจะสนับสนุนหน่วยงานของรัฐให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการผูกขาดอย่างเคร่งครัด 
    ส่วนที่รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นายจาตุรนต์ พร้อมนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ในฐานะสมาชิกพรรค ทษช. ลงพื้นที่ โดยกล่าวว่า หากเป็นรัฐบาลจะเข้ามาดูแลเรื่องค่าโดยสารให้ถูกลง รวมถึงบัตรเดินทางที่จะทำให้เป็นบัตรเดียว
    น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ร่วมเวทีเสวนาในหัวข้อ พรรคการเมืองกับทิศทางการจัดสวัสดิการชุมชน โดยตอนหนึ่งกล่าวว่า พรรคจะเน้นเก็บภาษีจากคนรวย ยกเลิกผลประโยชน์จากกฎหมายของรัฐที่เอื้อให้คนรวยมีเงินมากขึ้น โดยนโยบายสวัสดิการของพรรคจะให้รัฐส่วนกลางสร้างหลักประกันชีวิตให้กับประชาชน ให้เงินอุดหนุนครอบครัวเด็กเล็ก 0-6 ปี 1,200 บาท เงินสนับสนุนเยาวชน 18-22 ปี จำนวน 2,200 บาทต่อเดือน และเบี้ยคนชราจะปรับเป็น 1,800 บาทต่อเดือน 
    ที่ จ.ปทุมธานี พรรคพลังไทสร้างชาติ ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1/2562 โดยมีนายณภัคธร ชัยสงคราม หัวหน้าพรรค พร้อมกรรมการบริหารพรรคแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับพรรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยนายณภัคธรกล่าวว่า การก่อตั้งพรรคเกิดขึ้นจากแนวความคิดของเกษตรกรและบุคคลภาคส่วนต่างๆ ที่มีแนวความคิดเป็นอิสระทางการเมือง โดยพรรคมีนโยบายหลักๆ จะเน้นในเรื่องยางพารา ถนนลาดยางทุกเส้นในประเทศ ปาล์มน้ำมัน จะผลักดันให้ปาล์มน้ำมันไม่ต่ำกว่าบี 10 และโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากปาล์มน้ำมัน. 

เลือกตั้งแน่มีนาคม


เลือกตั้งแน่มีนาคม


เดินทางสายกลาง
    จะพอใจ หรือขัดข้องใจ ยกเอาไว้ก่อน 
    แต่มีความชัดเจนให้เห็น 
    หลังนายกฯ ประยุทธ์ โยนไปให้ อดีตคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ชี้ขาดว่าเจตนารมณ์ของ กรธ. ต่อกรอบเวลา ๑๕๐ วัน ในการจัดการเลือกตั้งนั้น
    รวมการประกาศผลการเลือกตั้งด้วยหรือไม่ 
    แล้ว กรธ.ก็แจกแจงให้เห็นถึงเจตนารมณ์
    "อุดม รัฐอมฤต" อดีตโฆษก กรธ. พูดเอาไว้แบบนี้ 
    ...เจตนารมณ์ของ กรธ.ตั้งแต่ต้น คือ กรอบเวลา ๑๕๐ วัน ไม่นับรวมถึงการประกาศผลการเลือกตั้ง 
    เรื่องนี้ได้ชี้แจงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไปแล้ว 
    จึงได้มีการบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลมาตรา ๑๗๑ ของกฎหมายดังกล่าว 
    ดังนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถกำหนดวันเลือกตั้งได้ตั้งแต่กฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งมีผลบังคับใช้ครบ ๔ ฉบับ ไปอีก ๑๕๐ วันได้
    ก็คือภายในวันที่ ๙ พฤษภาคม โดยไม่ต้องนับรวมเวลาในการประกาศผล...
    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา ๑๗๑ บัญญัติเอาไว้ว่า
    ....ในวาระเริ่มแรก ให้ตราพระราชกฤษฎีกากําหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภามีผลใช้บังคับ และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกําหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลใช้บังคับ....
    ถามว่าฟังขึ้นหรือไม่? 
    ถ้าบัญญัติในบทถาวรคงจะมีปัญหาให้ตีความมากกว่านี้ 
    แต่มาตรา ๑๗๑ อยู่ในบทเฉพาะกาล 
    และใช้เฉพาะการเลือกตั้งครั้งแรกเท่านั้น 
    ส่วนสาเหตุที่ต้องบัญญัติเช่นนี้ คำตอบก็อยู่ที่ตัวบทกฎหมายนั่นเอง 
    รัฐธรรมนูญใหม่ กฎหมายเลือกตั้งใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด 
    การเลือกตั้งครั้งแรกจึงต้องยึดเอามาตรา ๑๗๑ เป็นหลัก 
    และมาตรา ๑๗๑ ระบุเอาไว้ชัดเจน 
    ...ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกําหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่ช้ากว่าหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลใช้บังคับ...
    หมายความว่า ให้ กกต.กำหนดวันเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วันนับแต่กฎหมายลูกบังคับใช้
    แค่ "กำหนดวันเลือกตั้ง" เท่านั้น
    ไม่ใช่เลือกตั้งให้เสร็จภายใน ๑๕๐ วัน 
    ส่วนการประกาศผลการเลือกตั้งบัญญัติเอาไว้ในมาตรา ๑๒๗ 
    .....ในการเลือกตั้งทั่วไป ให้คณะกรรมการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้เมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้วมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง
    ในการตรวจสอบเบื้องต้นตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการต้องรับฟังรายงานของผู้ตรวจการเลือกตั้งและข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากแหล่งต่างๆ มาประกอบการพิจารณาด้วย
    ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่การประกาศผลการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างด้วยโดยอนุโลม
    ในกรณีที่มีการเลือกตั้งใหม่ กำหนดเวลาการประกาศผลการเลือกตั้งตามวรรคหนึ่ง ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการเลือกตั้งใหม่.....
    สรุปคือ ประกาศผลการเลือกตั้งภายใน ๖๐ วันนับจากวันเลือกตั้ง
    แต่....เจตนารมณ์ของ กรธ.ไม่ใช่การวินิจฉัยที่มีผลตามกฎหมาย
    และเสียดายที่ กรธ.ไม่พูดถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘ เอาไว้ด้วย
    มาตรา ๒๖๘ อยู่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ บัญญัติว่า
    ...ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวัน นับแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓) และ (๔) มีผลใช้บังคับแล้ว
    เพราะรัฐธรรมนูญมีศักดิ์เหนือกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.
    และไม่มีการอธิบายว่า "เลือกตั้งแล้วเสร็จ" นั้นให้รวมถึงการประกาศผลการเลือกตั้งด้วยหรือไม่ 
    หากมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เจตนารมณ์ของ กรธ.จะเป็นเหตุผลลำดับต้นๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนำไปพิจารณา
    ผลจะออกมาเช่นไร อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ 
    และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรในรัฐธรรมนูญ 
    แต่อย่างน้อยก็เป็นอันชัดเจน ไม่มีใครดิ้นได้อีก 
    การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ ๙ พฤษภาคมแน่นอน 
    การเลื่อนไปหลังวันที่ ๙ พฤษภาคม ไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ 
    และถ้าฟัง "วิษณุ เครืองาม" แล้วน่าจะมีความยุ่งยากน้อยลง 
    “เอาเป็นว่าประกาศในเดือนมกราคม และการเลือกตั้งไม่เกินเดือนมีนาคม กกต.จะเป็นผู้กำหนด”
    หมายถึงการประกาศพระราชกฤษฎีประกาศเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร!
    ที่จริงการให้สัมภาษณ์ของ "วิษณุ เครืองาม" วานนี้ (๑๐ มกราคม) มีการถามตอบได้ประเด็นเป็นน้ำเป็นเนื้อพอสมควร 
    เช่น.....
    ขณะนี้ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้งยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ลงมาใช่หรือไม่? 
    คำตอบคือ "ยัง"
    กกต.สามารถตัดสินใจเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งได้ก่อนวันที่ ๒๖ มกราคมนี้หรือไม่?
    คำตอบคือ "น่าจะเป็นเช่นนั้น"
    ข้อถกเถียงการจัดเลือกตั้งภายใน ๑๕๐ วัน ต้องรวม ๖๐ วันที่ กกต.จะประกาศผลเลือกตั้งด้วยหรือไม่? คำตอบคือ "การจัดเลือกตั้ง ๑๕๐ วันเป็นเรื่องหนึ่ง การประกาศผล ๖๐ วันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกฎหมายคนละมาตรา ไม่ใช่เอาสองมาตรามารวมกัน ต้องเลือกตั้งให้เสร็จก่อน จากนั้นถึงจะนับระยะเวลาการประกาศผลต่อไป อีก ๖๐ วัน โดยในส่วนนี้คิดว่า กกต.ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะคาดว่าผู้ชนะเลือกตั้งอาจร้องผู้แพ้เพื่อตัดคะแนนไม่ให้นำไปรวมในปาร์ตี้ลิสต์ ทั้งนี้ หากจะประกาศผลก่อนเพื่อสอยทีหลังก็ไม่ควร เพราะอันตราย จะกระทบการจัดตั้งรัฐบาล"
    การเอา ๒ มาตรา คือ มาตรา ๑๒๗ และ ๑๗๑ ในกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.มารวมกัน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ 
    หากจำกันได้ กลุ่มแรกๆ ที่พูดเรื่องนี้คือทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย 
    ย้อนกลับไปที่ถ้อยแถลงของ "อุดม รัฐอมฤต" 
    “ผมว่าคนที่ตีความ เขาหาเรื่อง ต้องการจะเลือกตั้งโดยเร็ว แต่เรายืนยันเจตนารมณ์ของ กรธ. และไม่ใช่เพิ่งมาตีความตอนนี้ แต่เราตีความตั้งแต่ต้น โดยก่อนที่จะมีกฎหมายลูก มีการพูดกันถึงเรื่องพวกนี้ กกต.ก็ถาม พอถามมาเราก็ตอบไปว่า เราไม่ได้เป็นคนตีความเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่โดยความตั้งใจของ กรธ.เป็นอย่างนี้”
    ก็คงจะเช่นนั้น 
    เพราะการเคลื่อนไหวทางการเมืองในขณะนี้มันบ่งบอก 
    การประท้วงต่อต้าน เลื่อนการเลือกตั้ง เป็นสีสันทางการเมืองในยุครัฐบาลที่ถูกด่าว่าเป็นเผด็จการทหาร 
    วันนี้สามารถใช้เสรีภาพในการแสดงความเห็นกันได้อย่างเต็มที่ 
    แต่มวลชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเริ่มกลายเป็นเนื้อเดียวกับพรรคการเมืองไปเสียแล้ว  
    บุคคลระดับแกนนำนอนเตียงเดียวกัน 
    แล้วมาบอกต่างคนต่างเคลื่อนไหว ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน 
    ใครจะเชื่อ
    สุดท้ายก็ต้องไปดูที่ปลายทาง 
    มีใครรับตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ 
    เพราะในอดีตมันเป็นเช่นนั้น 
    นั่นคือผลประโยชน์ทับซ้อนทางการเมือง 
    สิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นแค่ฉากบังหน้า 
    นิยามประชาธิปไตยก็เริ่มจะสับสน
    บางคนยิ่งพูดก็ยิ่งเลอะ 
    ใช้ตรรกะแปลกๆ ในการอธิบายสิ่งที่ตัวเองคิด
    เช่น "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ บอกว่า
    “รัฐประหารในประเทศนี้ที่เกิดซ้ำซาก 
    ไม่ได้เกิดจากประชาชนโง่
    ไม่ได้มาจากประชาชนไม่รู้จักประชาธิปไตย 
    ไม่ได้มาจากนักการเมืองโง่ 
    นักการเมืองไม่ดีมีแต่คอร์รัปชัน 
    ไม่ได้มาจากนักการเมืองสกปรก 
    แต่รัฐประหารทุกครั้ง เกิดขึ้นเพราะประชาชนฉลาดเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้”
    เป็นคำอธิบายที่ย้อนแย้งในตัวเอง
    คิดในมุมกลับ ประชาชนฉลาด ทหารไม่มีโอกาสทำรัฐประหารแน่นอน 
    เพราะประชาชนที่ฉลาด จะรีบจัดการกับคนโกงเสียก่อนที่ทหารจะนำไปเป็นข้ออ้างเพื่อทำการรัฐประหาร
    ตบตูด...ลืมไปว่า สถานะของ "โอ๊ค" วันนี้คือจำเลยที่ได้ประกันตัวจากคดี ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินรับโอนเงินที่ได้จากการอนุมัติสินเชื่อระหว่าง ธ.กรุงไทย กับกลุ่มกฤษดามหานครโดยมิชอบ 
    ศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
    มีข่าวว่า ทีมทนายความยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลางช่วงก่อนปีใหม่ ให้โอ๊คไปร่วมงานแต่งน้องสาว อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ที่ฮ่องกง ช่วงเดือนมีนาคมนี้ 
    และศาลมีคำสั่งอนุญาต    
    แต่มีเงื่อนไขคือ โอ๊คต้องเดินทางกลับมารายงานตัวต่อศาล ภายในวันที่ ๒๖ มีนาคม 
    รอดูว่า "โอ๊ค" จะกลับมาเข้าคูหากาพรรคตระกูลเพื่อหรือไม่ ถ้าการเลือกตั้งมีขึ้นวันที่ ๓๑ มีนาคม
    หรือออกไปนานแล้ว.
                                ผักกาดหอม