PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

"ในหลวง-พระราชินี" เสด็จฯ จาก รพ.ศิริราชประทับวังไกลกังวล

ปชป.ปลุกม็อบริมถนน ชู "อียิปต์โมเดล" ค้านรัฐบาล


Prev
1 of 1
Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 01 ส.ค. 2556 เวลา 13:06:15 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เพราะรู้ว่าสถานะตกเป็นรองฝ่ายตรงข้าม พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะเสียงข้างน้อยจึงต้องดึงแนวรบร่วมต่อสู้ริมถนนแบบคู่ขนานกับบทฝ่ายค้านในรัฐสภา
เปลี่ยนบรรยากาศบน "เวทีผ่าความจริง" จากที่เคยใช้เป็นพื้นที่ชี้แจง-อธิบายท่าทีของรัฐบาลในทุกจังหวะก้าว สู่เวทีไฮด์ปาร์กเพื่อปลุกขวัญกำลังใจผู้รักความเป็นธรรมให้ร่วมต่อสู้

"เวทีผ่าความจริง" จากที่เคยจัดเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จึงเพิ่มปริมาณความถี่ เพื่อคัดค้านอย่างต่อเนื่องในศึกที่คาดว่าจะยืดเยื้อในสภาตามแนวคิดของ "สาธิต วงศ์หนองเตย" ส.ส.ตรัง

วินาทีหลังจากนี้การเมืองริมถนนของฝ่าย ปชป. จะเข้มข้นดุเดือดแปรผันตรงกับการเคลื่อนไหวของร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจากฝ่ายรัฐบาล 31 ก.ค. ก่อนสภาเปิดสมัยประชุมหนึ่งวัน จะเอาฤกษ์เอาชัย ณ พื้นที่สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี และต่อเนื่องในวันที่ 4-6 ส.ค. จัดเวทีกระจายตามหัวเมืองหลัก โหมโรงก่อนที่สภาจะเริ่มพิจารณาระเบียบวาระที่ 1 เรื่องนิรโทษกรรมในวันที่ 7 ส.ค.

"ต่อจากนี้ขอนัดหมายให้พี่น้องผู้รักความเป็นธรรม รักความจริง พี่น้องที่อยู่ต่างจังหวัดจัดกระเป๋าเข้าเมืองมาได้แล้ว" เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของ "สาธิต" บนเวทีผ่าความจริงเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

2 ยุทธศาสตร์ที่ถูกเลือกใช้ในการต่อต้านครั้งนี้ถูกคัดกรอง-คัดลอกตาม "อียิปต์โมเดล" ที่เพิ่งผ่านพ้นความสำเร็จในการปฏิวัติอำนาจเผด็จการ หลังจากมวลชนเคลื่อนไหวผ่าน "อาหรับสปริง" สู่การเมืองเมื่อ 2 ปีก่อน

หนึ่ง ปลุกระดมประชาชน โพสต์รูปผ่านโลกออนไลน์ เขียนป้ายประท้วง ระบุข้อความ "เราไม่เอากฎหมายล้างผิดคนโกง"

สอง นัดรวมพลกันริมถนน ยืนประท้วงแบบอารยะขัดขืน เพื่อแสดงพลังของประชาชนในการต่อต้านกระบวนการทั้งปวง

"สถานการณ์ไทยวันนี้มันคล้ายกัน พ.ต.ท.ทักษิณและพวก ใช้เครือข่ายอำนาจรัฐ นักวิชาการ สื่อ และนักการเมืองที่เป็นขี้ข้า ข่มขู่เราทุกวัน ถ้าวันที่ 4-7 ส.ค.ไม่มีคนออกมาร่วมต่อต้าน จำไว้เลยนั่นคือจุดหายนะของคนไทยทั้งประเทศ"

สอดคล้องกับแนวคิดของหัวหน้าพรรค-ผู้นำฝ่ายค้านอย่าง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"ที่เล็งเห็นแต่แรกว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ค้างอยู่ในสภา ไม่ว่าจะฉบับไหน ต่างก็มีจุดหมายปลายทางเพื่อช่วย "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" กลับบ้านเช่นเดียวกัน

"ผมยังยืนยันว่า จะทำอะไรหลังจากนี้ต้องไม่เสียหลักการของบ้านเมือง ต้องอดทน สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการยั่วยุให้เกิดความสูญเสีย เราต้องตั้งสติให้ดี แต่จุดยืนพวกผมยังชัดเจนว่า จะไม่สร้างความวุ่นวาย ไม่ได้มาไล่รัฐบาลหรือนายกฯ แต่เราจัดต่อต้านการกระทำที่ไม่ชอบธรรม"

"ผมเคารพความคิดของกลุ่มอิสระทุกกลุ่ม แต่เราต้องเคารพความเป็นเอกภาพงานถึงจะสำเร็จ พวกผมจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ขอให้เริ่มต้นขบวนการอย่างเป็นเอกภาพ และเดินไปข้างหน้าอย่างมีพลัง"

"เราไม่ต้องการสร้างความรุนแรง นี่ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ แต่นี่เป็นเรื่องการแสดงออกถึงพลังพี่น้องประชาชนที่รักชาติ ว่าเราพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ ในเมื่อสถานการณ์บีบให้เราทำเช่นนั้น"

เช่นเดียวกันกับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ส.ส.สุราษฎร์ธานี ที่ประกาศลั่นว่า ทันทีที่เสียงนกหวีดของประชาชนดังขึ้น เขาจะออกมายืนอยู่แถวหน้า เพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชน

"ตอนนี้ไม่มีที่ตรงกลางให้ยืน มีแต่จะเลือกว่าจะยืนอยู่ข้างนี้ หรือจะไปยืนอยู่อีกข้างเท่านั้น ไม่มีที่ไหนในโลกที่อาชญากรฆ่าคน คนวางเพลิง ลักทรัพย์คนอื่น แล้วไม่ต้องรับผิด แต่มันกำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยด้วยกฎหมายล้างผิดที่รัฐบาลกำลังจะเข็นให้ผ่านสภาให้ได้"

"สุเทพ" บอกว่า จากประสบการณ์การเมือง 35 ปี ยังเคารพหลักประชาธิปไตย และไม่มีความคิดล้มล้างรัฐบาล แต่ครั้งนี้คือการต่อสู้เพื่อปกป้องไม่ให้อำนาจของประชาชนถูกใช้ในทางที่ผิด

"เราต้องลุกขึ้นมาแสดงพลังเพื่อให้รัฐบาลได้คิด แต่ถ้ายังดื้อยังจะออกกฎหมายล้างผิดพวกตัวเอง ยืนยันว่าจะสู้ จะต่อต้าน แต่เราจะใช้สมองใช้หัวใจ ไม่ใช่พวกอันธพาล ไม่ใช่อาชญากรอย่างพวกมัน แต่เราจะลุกขึ้นมาแสดงพลังของเรา"

"นี่คือสิ่งที่กราบเรียนให้ชัดเจน บอกกับพี่น้องว่า ประเทศไทยไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของตระกูลชินวัตร การที่ลุกขึ้นต่อสู้ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เราจะต่อสู้เพื่อประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา"

ทั้งคำพูดของ "อภิสิทธิ์" ทั้งคำพูดของ "สุเทพ" และคำพูดของ "สาธิต"ล้วนเป็นการปลุก "พลพรรคสีฟ้า" ขึ้นมาต่อต้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม

ทั้งหมดเป็นแผนรบเพื่อรุกต้านรัฐบาล ที่พรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมั่นว่าจะสามารถฉุดร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้สะดุด

คำเตือนที่ ควรฟัง กรณีน้ำมันดิบรั่ว งานเก็บกู้ อาสาสมัคร งานนี้อาจไม่ใช่ที่ของคุณ!!!

กรณีน้ำมันดิบรั่ว งานเก็บกู้ อาสาสมัคร งานนี้ไม่ใช่ที่ของคุณ!!!

1 สิงหาคม 2013 เวลา 11:53 น.
           “ถ้าเพื่อนๆคิดจะลงไปเป็นอาสาสมัคร ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการเก็บกู้น้ำมันดิบขึ้นจากทะเลและชายฝั่ง หรืออยากมีความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องการรับมือกับกรณีน้ำมันดิบรั่วไหล  จำเป็นอย่างยิ่งต้องอ่านเอาความรู้ในบทความข้างล่างนี้ก่อนครับ บทความนี้เขียนโดยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในด้านการกำจัดและบำบัดการปนเปื้อนของน้ำมันและสารประกอบอื่นที่มีน้ำมัน  ซึ่งเขียนบทความนี้มาด้วยความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของทุกๆคนโดยเฉพาะคนที่กำลังจะอาสาไปช่วย เจ้าหน้าที่ทหารเรือ ทุกท่านที่กำลังปฎิบัติงานอยู่ในพื้นที่ครับ”  Noppakun Dibakomuda


 


          ด้วยความเคารพในจิตอาสาของทุกคน ครั้งนี้ไม่เหมือนกับภัยต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นมา เช่น สึนามิ น้ำท่วม ที่เราแค่ มีใจ มีแรง มีรองเท้าบูท มีเรือ พร้อมของบริจาค ช่วยเหลือก็เข้าไปช่วยเหลือได้แล้ว  แต่ครั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นน้ำมันดิบที่รั่วไหล     และยังคงไม่สามารถจัดการกับน้ำมันที่รั่วไหลในทะเลได้  ลองมาสำรวจตัวเราเองก่อนไหมว่าเรามีสิ่งพื้นเหล่านี้แล้วหรือยัง

           1. รู้ถึงอันตรายของสิ่งที่เราจะไปเจอหรือยัง  น้ำมัน ดิบ หากเราการสัมผัสตรง โดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ซึ่ง องค์ประกอบทางเคมี โลหะหนัก ที่อยู่ในน้ำมันดิบ มีความสามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังได้ ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าความไวของการรับรู้และการต้านทานสารพิษของแต่ละคน อาจจะไม่เท่ากัน บางคน อาจเริ่มต้น มีอาการคัน แสบผิว หรือไม่แสดงอาการอะไร แต่ถ้าสัมผัสโดยตรงสารเคมีซึมเข้าไปสะสมครับ ปริมาณน้อยก็อาจจะไม่แสดงอาการ หรือแสดงอาการไม่ร้ายแรง แต่ปริมาณมากหน่อย คำถามว่ามากแค่ไหน ก็บอกได้ว่าแล้วแต่บุคคลเลยครับ แต่โดยส่วนตัว แค่ใช้มือเปล่าหรือใส่ถุงมือแล้วไปตักน้ำมันดิบที่มันมาเกยฝั่ง อยู่ซัก 2-3 ชั่วโมง แล้วมันกระเด็น โดนแขน โดนหน้าบ้าง ผมก็ว่ามันเยอะมากแล้วหล่ะครับจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต !!! ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดมะเร็งกับเราได้ ที่ไหนในร่างกายหรอครับ ก็แล้วแต่ว่า อวัยวะ เครื่องใน ของแต่ละคนอันไหน มีความแข็งแรง อันไหน อ่อนแอ   การสูดดมเอาไอระเหยเข้าไปในร่างกาย เชื่อว่า ไม่มีใครอยากดมกลิ่นน้ำมันหรอกครับ แต่ไปอยู่ในที่แบบนั้นอาจเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่เราจะรับรู้ได้ง่ายมากถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สั้น โดยที่เราไม่มีเครื่องป้องกัน อาการมึน กลิ่นติดจมูก บางคนอาจจะแสบตา แสบจมูก หากสูดดมเป็นเวลานานไม่ได้มีการป้องกัน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ ปอด รวมถึงอาจจะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งตามมาในอนาคต อย่างที่กล่าวไปว่าระดับความไวต่อการรับรู้และการต้านทานของสารพิษแต่ละคน ไม่เหมือนกันนะครับ


          2. คุณผ่านการอบรมการจัดการของเสียแบบนี้มาหรือเปล่า...?  ซึ่งสรุปแบบง่ายว่า การผ่านการอบรมจะทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรทำในการกำจัด  วิธีการใช้งานสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล การอ่าน Material Safety Data Sheet (MSDS)ของสารรั่วไหล หรือปนเปื้อน เช่น ตรวจสอบว่าอะไรรั่วไหล หรือปนเปื้อน มีองค์ประกอบทางเคมี ผสมอะไรบ้าง ต้องเจ้าของผลิตภัณฑ์โดยตรงหรือเปล่า ควรมีประเมินความเสี่ยงในวิธีการกำจัด ควรจัดทำแผนการ การเลือกใช้กำจัดที่ถูกวิธี การใช้สารเคมีที่ระงับ หรือบำบัด ให้ตรงกับสิ่งที่ปนเปื้อน รวมถึงแผนและวิธีการกำจัดอุปกรณ์ และดินหรือน้ำที่ปนเปื้อน แผนฉุกเฉินสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยอื่นที่อาจเกิดขึ้น เช่น ไฟไหม้ การปนเปื้อนที่อื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น





          3.อุปกรณ์ ป้องกันภัยส่วนบุคคล ที่เหมาะสมกับระดับความเข้มข้น และสารเคมีที่ต้องปฎิบัติงานด้วยเรามีพร้อมแล้วหรือหรือไม่ อย่างไร...?
ในกรณีที่มีความรุนแรงประมาณที่หาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด สิ่งที่ต้องมี คือ 
          a.       หน้ากากกรองไอน้ำมันได้ หน้ากาก รวมชุดกรอง (Haft face resperator) ราคาประมาณ 900-1000 บาท 
          b.      ชุดหมีป้องกันน้ำมัน สารเคมีแบบใช้แล้วทิ้ง ที่บ้านเราเรียกกันว่า Tyvek suitราคาประมาณ 200-300 บาท  การใช้แล้วทิ้ง ไม่นำมาใช้ใหม่ เพราะอาจจะทำให้เราสัมผัสน้ำมัน หรือเคมีโดยตรงได้
          c.       ถุงมือไนไตรแบบหนา ที่เคยใช้เป็นสีเขียว หนาประมาณ 18 mil คู่ละประมาณ40 บาท  ใช้แล้วทิ้งแล้วเปลี่ยนคู่ใหม่นะครับ ถ้าหากว่าน้ำมันเปื้อนถุงมือมาก  การสวมใส่ที่ถูกต้องคือต้องใส่หลังจากใส่ชุดหมีแล้วต้องมีผู้ช่วยใช้เทปกาวพันรอบถุงมือเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันสามารถเข้าไปในภายในถุงมือได้
          d.      รองเท้าบูทยางสูงเลยหน้าแข้ง ที่ ป้องกันสารเคมี น้ำมันตามมาตรฐานEN345ได้ ราคาประมาณคู่ละ 600-700 บาท การสวมใส่ที่ถูกต้องคล้ายกับถุงมือ คือสวมรองเท้าหลังจากใส่ชุดหมีแล้ว และต้องมีเทปกาวพันรอบของรองเท้าบูทด้านบนเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำมันสามารถเข้าไปในรองเท้าได้
          e.      แว่นตานริภัย ป้องกันไอระเหยเข้าตา ป้องกันน้ำมันดิบกระเด็นเข้าตาแบบไม่ได้ตั้งใจ ราคาประมาณ 80 – 300 บาท
          f.        อุปกรณ์ทำความสะอาดอื่นๆ กระดาษทิชชู่ ถุงขยะหนาเพื่อใส่ ชุด หรืออุปกรณ์ที่ถูกเปลี่ยนเพราะปนเปื้อนอย่างมาก เพื่อที่จะนำขยะอันตรายนี้ไปกำจัดอยากถูกวิธี
ประมาณราคาโดยประมาณ ต่อคนก็ก็ประมาณ 1700-2500 บาท จำได้ใช่ไหมครับ บางอย่างใช้แล้วต้องทิ้ง




          สรุปนะครับ เมื่อเราตั้งใจดีไปช่วยแบบไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ก็จะเป็นเพียงแค่การย้ายของเสีย จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจ  ซึ่งเราก็คงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นใช่ไหมครับ คิดต่ออีกนะครับ  เราจะเอาตัวเราไปเสี่ยงเพราะไม่รู้อะไรในการจัดเรื่องนี้ที่ต้องอาศัยเจ้าที่ที่ชำนาญการ เราเองก็จะเป็นภาระให้กับเจ้าหน้าที่ปฎิบัติหน้าที่ กลับต้องดูแลเรา หรือมาเสียเวลา ต้องมาทำให้เราเข้าใจ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอธิบายกันพอสมควร ว่าตรงนี้ปลอดภัย ไม่ปลอดภัย อยู่ได้ อยู่ไม่ได้ ช่วยได้ไหม หรือช่วยไม่ได้ เพราะเราไปแบบไม่พื้นฐาน ไม่มีความชำนาญ ไม่มีความรู้ ที่จะแย่ไปกว่านั้นอีก ถ้าหากมีคนเข้าไปเยอะแยะแต่ช่วยอะไรได้ไม่มาก หรือที่แย่คือช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะด้วยการประเมินขั้นต้นทั้ง 3 ข้อ ได้  แค่ไปนั่งดูเจ้าหน้าที่ทำงาน เราก็จะไปเพิ่มมลพิษ ขยะขึ้นจากเดิมที่มีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำได้จริงๆ คิดดูนะครับ กล่องโฟมหรือถุงพลาสติกที่ใส่อาหารมาให้เรากิน  ขวดน้ำดื่มพลาสติกที่เพิ่มขึ้น เปลืองเงินที่ต้องซื้ออาหาร น้ำดื่มเพิ่มขึ้น ทำให้ไปเบียดเรื่องเงินสำหรับอุปกรณ์เก็บกู้ อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ต้องใช้แล้วทิ้งและต้องเปลี่ยนใหม่เสมอ ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการให้เร็ว ต้องรีบทำ สุดท้ายก็ทำแบบขอไปที อันนี้ต้องเผื่องบประมาณสำหรับสารเคมี หรือแบคทีเรีย ที่ต้องซื้อมากินสารเคมี กรดอีกกว่า 700ชนิดจากน้ำมันดิบที่สามารถละลายอยู่ในน้ำทะเล ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าต้องซื้อมาเยอะแค่ไหน และต้องบำบัดและติดตามวัดผล เก็บตัวอย่างน้ำไปอีกนานเท่าไร แต่ต้องไม่น่าต่ำกว่า 2 ปี สุดท้ายจริง ระบบนิเวศก็จะไม่ได้รับการช่วยบำบัดอย่างถูกต้องและตลอดลอดฝั่ง เพราะความตั้งใจดีและจิตอาสาของเราหรือเปล่า ผมว่า “เก็บพลังและความตั้งใจไว้ช่วยฟื้นฟูขั้นต่อไป ซึ่งอาสาสมัครอย่างพวกเราน่าจะช่วยได้และดีกว่าแน่นอนครับ”  บทความโดย Mr. A.V. อดีตเจ้าหน้าที่ชำนาญด้านการกำจัดและบำบัดการปนเปื้อนของน้ำมันและสารประกอบอื่นที่มีน้ำมัน (ไม่ประสงค์ออกนาม) 

          


           “ผมเห็นภาพข่าวในโทรทัศน์ เห็นอาสาสมัครในชุดที่อาจจะเรียกได้ว่า เปลือย สำหรับสารพัดสารพิษ รองเท้าเอาถุงพพลาสติกห่อไว้ ถุงมือซื้อจากตลาดนัด บางคนใส่เสื้อกันฝน หน้ากากกรองสารพิษที่กันอะไรไม่ได้เลย แว่นตาแทบไม่มีใส่ กำลังเอาถังพลาสติกจ้วงตักน้ำมันดิบจากชายฝั่ง...ภาพนี้หลายคนคงเคยเห็น ผมรู้อย่างหนึ่งว่า อาสาสมัครเหล่านั้น ไม่มีความรู้ในสาระข้างบนนี่เลย...เป็นห่วงครับ แชร์และส่งต่อกันให้มากที่สุด มากกว่า ที่คุณแชร์เรื่องดารากับยาไอซ์นะครับ ขอขอบคุณ Mr. A.V. ที่เอื้อเฟื้อบทความข้างบนด้วยเจตนาดีบนความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมครับ”  Noppakun Dibakomuda

เมืองหัวหินพร้อมรับเสด็จในหลวง-ราชินีแล้ว

ข่าวภูมิภาค วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2556 12:30น.
469571
นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน เผย การเตรียมการรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว
สำหรับบรรยากาศล่าสุด ที่บริเวณหน้าวังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้มีการเตรียมความพร้อม สำหรับรอรับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ  ที่มีหมายกำหนดการจากสำนักพระราชวังว่า ทั้ง 2 พระองค์ จะเสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพ ในช่วงเย็นของวันนี้ เวลา 16.00 น. เพื่อแปรพระราชฐานมาประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ สร้างความปลื้มปีติให้กับประชาชนชาวประจวบคีรีขันธ์ และประชาชนทุกหมู่เหล่า ที่ทราบข่าวดีว่า ทั้ง 2 พระองค์ ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์แล้ว
ล่าสุด นายนพพร  วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหินและคณะ ได้เดินทางมาตรวจความพร้อมในทุกด้านที่บริเวณหน้าวังไกลกังวล โดยได้ให้เจ้าหน้าที่ เร่งฉีดน้ำทำความสะอาด ถนนเพชรเกษม ที่ผ่านหน้าวังไกลกังวลทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจความพร้อมเรื่องไฟส่องสว่างด้วย เนื่องจากคาดการณ์ว่า รถพระที่นั่งจะถึงหน้าวังไกลกังวล ราว 18.00 น. ซึ่งเป็นช่วงใกล้ค่ำ จะต้องมีการเปิดไฟส่องสว่างให้สวยงามตลอดเส้นทางเสด็จด้วย  โดยขณะนี้ในภาพรวมของการเตรียมการรับเสด็จถือว่ามีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ แล้ว

อุทัย ยื่นจดหมายเปิดผนึก จี้สภายุติพิจารณา นิรโทษกรรม – ปรองดอง

อุทัย ยื่นจดหมายเปิดผนึก จี้สภายุติพิจารณา นิรโทษกรรม – ปรองดอง ขออย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า เตือนสมาชิกไตร่ตรองให้ดีว่าทำให้เกิดการปรองดองหรือไม่

นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเรียกร้องให้ถอนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่างพ.ร.บ.ปรองดอง ที่ค้างการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยมองว่าสังคมส่วนรวมของประเทศขณะนี้อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ได้มีความขัดแย้งรุนแรง แต่หากมีความพยายามผลักดันในสองเรื่องนี้ ก็จะเป็นหักด้ามพร้าด้วยเข่า โหมกระแสความแตกแยกในสังคมมากขึ้น ไม่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ จึงไม่ควรเอาคนทั้งประเทศมาเป็นตัวประกัน และในส่วนบุคคลที่มีคดีความถูกคุมขังเนื่องจากละเมิดกฎหมายควบคุมการชุมนุมทุกสีเสื้อ ศาลก็ควรให้ประกันตัวโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ หากไม่เข้าข่ายหลบหนีการจับกุม และคนที่กระทำผิดกฎหมายจะต้องดำเนินคดีความรับผิดตามกฎหมาย

ทั้งนี้ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายพิจารณาให้ดีว่าการผลักดันกฎหมายปรองดองและนิรโทษกรรม จะทำให้เกิดความปรองดองจริงหรือไม่ อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องการออกกฎหมายช่วยคนๆเดียว


พสกนิกรรอรับเสด็จคึกคัก ปลื้มปิติ"ในหลวง -ราชินี"เสด็จหัวหิน 4 โมงเย็นวันนี้

วันที่ 01 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 11:49:56 น.


เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จังหวัดได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช ในเวลา 16.00 น. วันที่ 1 สิงหาคม เพื่อเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับ ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

นายวีระกล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมของจังหวัด ได้สั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ ประดับธงชาติ ธงตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ทั้ง 2 พระองค์ บริเวณเกาะกลางถนนเพชรเกษม ตั้งแต่ท่าอากาศยานหัวหินถึงบริเวณหน้าวังไกลกังวล และขอให้ทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางมารอเฝ้ารับเสด็จ ที่อำเภอหัวหินจำนวนหลายหมื่นคน
 ทางด้านจังหวัดราชบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนและส่วนราชการ ตลอดจนภาคเอกชนที่อยู่ในเส้นทางเสด็จฯได้ตั้งซุ้ม ติดตั้งธงชาติ และธงตราสัญลักษณ์ของ 2 พระองค์ เพื่อร่วมรับเสด็จ บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก
    

ด้าน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า โดยรวมแล้วพระอาการดีขึ้นมาก มีพระราชประสงค์เสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน เพื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถให้ทรงมีพระวรกายที่แข็งแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งให้ทรงพระสำราญ ส่วนพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นั้น โดยรวมแล้วพระอาการดีขึ้น ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สามารถทรงพระดำเนินได้ดี ทั้งนี้ โรงพยาบาลศิริราชได้จัดทีมแพทย์และพยาบาลที่ถวายการรักษาทั้งหมดติดตามไปถวายการดูแล พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ที่วังไกลกังวล และที่โรงพยาบาลหัวหินไว้พร้อมแล้ว