PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2560

DSIออกหมายเรียกโอ๊ค24ต.ค.

ดีเอสไอออกหมายเรียก "พานทองแท้" รับข้อหาฟอกเงิน-สมคบฟอกเงิน กรุงไทย ขีดเส้นให้เข้าพบพนักงานสอบสวน 24 ต.ค.นี้ 

 

          2 ต.ค. 60 - แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ภายหลังคณะพนักงานสอบสวนคดีฟอกเงินจากการทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มกฤษดาธานนท์ มีมติให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ส่งผู้แทนเข้าให้ปากคำเพิ่มเติม เพื่อออกหมายเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 4 คน เข้ารับทราบข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน โดยหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนได้ส่งหมายเรียกถึงนายพานทองแท้ นางเกศินี จิปิภพ นางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และนายวัยชัย หงส์เหิน โดยกำหนดให้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 24 ต.ค.นี้ หลังจากนั้นผู้ต้องหาในคดีมีสิทธิตามกฎหมายที่จะนำพยานหลักฐานเข้าโต้แย้งแก้ข้อกล่าวหาได้ในทุกประเด็น หรือจะไม่ให้การในชั้นสอบสวนก็ได้ ทั้งนี้เพื่อให้พนักงานสอบสวนนำไปประกอบการพิจารณาว่าจะสรุปความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ โดยคดีนี้ดีเอสไอต้องสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จและส่งให้อัยการพิจารณา ก่อนที่คดีจะครบอายุความ 15 ปี ภายในกลางปี 2561

          สำหรับการสอบสวนคดีนี้เป็นผลมาจากคำพิพากษาในคดีทุจริตอนุมัติเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งปรากฏหลักฐานในเส้นทางการเงินว่า นายพานทองแท้ นางเกศินี นางกาญจนาภา และนายวันชัย เข้าไปเกี่ยวข้องกับการรับเงินจำนวน 10 ล้านบาท และ 26 ล้านบาทจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ และนายรัชดา กฤษดาธานนท์ ผู้บริหารบริษัทกฤษดามหานคร โดยก่อนหน้านี้ ปปง.ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงินจำนวน 10 ล้านบาท และ 26 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มของนายพานทองแท้ได้เข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนในฐานะพยานไปแล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่เชื่อในหลักฐานที่พยานนำเข้าชี้แจง ประกอบกับพฤติการณ์แห่งคดีเข้าองค์ประกอบความผิดของกฎหมายฟอกเงิน จึงมีมติให้ออกหมายเรียกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีอาญา.

กรณียิ่งลักษณ์ 27 กันยายน “ไม่จบ” หากแต่ เริ่มต้น

กรณียิ่งลักษณ์ 27 กันยายน “ไม่จบ” หากแต่ เริ่มต้น


แม้ในทาง “รูปคดี” คณะเจ้าพนักงานสอบสวนจะไม่สามารถสรุปได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในประเทศ หรือว่าอยู่ต่างประเทศ

เนื่องจากไม่ปรากฏ “พยาน” และ “หลักฐาน”

แต่รายงานของกระทรวงการต่างประเทศอันส่งตรงไปยังนายกรัฐมนตรี ยืนยันอย่างเป็นทางการว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตรงนี้อาจถือว่าเป็น “หลักฐาน” สำคัญ 1

เพราะไม่เพียงแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเท่านั้นที่ออกมารับรอง

แต่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ก็เริ่มโอนเอียง

กระนั้น ก็ยังเป็นการโอนเอียงอย่างมีหลักการ นั่นก็คือ “มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไปอยู่ที่นครดูไบ”

“แต่ตำรวจกำลังตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง”

การตรวจสอบข้อมูลของตำรวจตามนัยซึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล แถลง น่าจะดำเนินไปผ่าน 2 กระบวนการ กล่าวคือ

1 ตรวจสอบผ่านรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน 1 ตรวจสอบผ่านการประสานตำรวจสากล 190 ประเทศ ให้ออก “หมายแดง” เพื่อติดตามตัว

หาก 2 ส่วนนี้ยืนยันก็เป็นอันยุติ

กระนั้น หากติดตามกระบวนการเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับแต่คืนวันที่ 23 สิงหาคมเป็นต้นมา กระทั่งวันที่ 27 กันยายน

ก็จะพบจุดอันกลายเป็น “ปัญหา” ตามมามากมาย

1 เป็นไปได้หรือไม่ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะบินออกจากประเทศไทยและตรงไปยังนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตอบได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้

1 นี่จึงเป็นคำถามที่ไม่เพียงแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้นที่อยากรู้ หากแม้ชาวบ้านทั่วไปก็ต้องการคำตอบเช่นเดียวกัน

สถานการณ์อันเนื่องแต่การหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงกำลังเป็นประเด็นที่เริ่มบานปลายอันนอกเหนือจากคดีความและคำพิพากษา

และดำเนินไปอย่างมีลักษณะในทาง “การเมือง”

เป็นการเมืองอันไม่เพียงแต่จะสัมพันธ์กับ “เส้นทาง” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำเนินไปในลักษณะ “ผ่านแดน”

เหตุใดจึงไม่มีใครให้ “คำตอบ” แก่ “รัฐบาลไทย”

ยิ่งหากข่าวลือจากสำนักข่าว CNN ที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้อยู่ที่นครดูไบ หากแต่ได้เดินทางมายังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน และกำลังยื่นเรื่องขอลี้ภัยต่อกระทรวงมหาดไทยเป็นจริง ยิ่งทำให้เกิด “คำถาม” ในทาง “การเมือง” ตามมาอีกมากมาย

คำถามทั้งหมดนี้จึงกดดันและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเป็นผู้ตอบ แทนที่จะเป็นเรื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้น

จากนี้จึงเห็นได้ว่า ที่มีคนมองและประเมินว่า การตัดสินใจหายตัวไปของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับแต่คืนวันที่ 23 สิงหาคมเป็นต้นมาจะเป็นบทจบ

ก็ไม่น่าจะเป็นไปเช่นนั้น

คำพิพากษาที่ออกมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน อาจเป็นบทจบ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของคดีความอันคาราคาซังนับแต่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

แต่ที่ต่อเนื่องอย่างไม่มีบทจบกลับเป็น “การเมือง”

09.00 INDEX “ลี้ภัย”ได้ หรือ “ลี้ภัย” ไม่ได้ ประเด็น”ร้อน” ทางการเมือง

09.00 INDEX “ลี้ภัย”ได้ หรือ “ลี้ภัย” ไม่ได้ ประเด็น”ร้อน” ทางการเมือง


พลันที่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ยกระดับไปสู่ปัญหาการ ขอ “ลี้ภัย”

ประเด็นอื่นๆก็กลายเป็น “เรื่องรอง”

ตำรวจก็ไม่น่าจะติดอยู่กับกรณีที่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ในประเทศ หรือต่างประเทศ

เพราะ “คำตอบ” มีความ “แจ่มชัด”

เป็นความแจ่มชัดที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานตรงถึงนายกรัฐมนตรีว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ที่ไหนและมีเป้าหมาย อย่างไร นั่นก็คือ ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ต่างประเทศ

เพียงแต่ว่าจะเป็นสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือว่าสหราชอาณาจักร ก็ต้องรอ

รอผลของ”การลี้ภัย”

หากติดตามจาก “ข้อมูล” ไม่ว่าจะมาจากสหราชอาณาจักร ไม่ว่าจะในประเทศไทยระบุตรงกัน

นั่นก็คือ เป็น”เรื่องส่วนตัว”

เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ กระทรวงมหาดไทยของประเทศนั้นๆ

เพียงแต่หากฟังจาก “ประเทศไทย”

ไม่ว่าจะเป็น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “เกจิด้านกฎหมาย”

เชื่อว่าไม่สามารถ “ลี้ภัย”ได้

เพราะว่ากรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเรื่องของคดีอาญา ไม่ใช่คดีทางการเมือง

จึงจำเป็นต้อง “รอ”

ถามว่าเหตุใดจึงยังไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะจาก นายทักษิณ ชินวัตร

เพราะว่า 2 คนนี้ไม่สามารถตอบได้

พลันที่มีการยื่นเรื่องเพื่อขอเป็น”ผู้ลี้ภัย”ก็เป็นเรื่องของประเทศนั้นๆจะพิจารณาและตัดสินใจ จึงมีความจำเป็นต้อง “เงียบ”

กระนั้น ความเงียบไม่ว่าจะมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ว่าจะมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นความเงียบอันน่าระทึกใจอย่างยิ่ง

เพราะว่าทั้งหมด คือ ประเด็นในทางการเมือง

กฎหมายน้ำที่ถูก 'ปั้นน้ำเป็นตัว'

ก็น่า "สมน้ำหน้า" รัฐบาล คสช. ......
เก่งแต่ขน "พวก-พ้อง-น้อง-พี่" มาเต็มทุกซอกหลืบรัฐบาล!
คงนึกละซีท่า..........
ขึ้นชื่อว่าทหาร "รู้ทุกทิศ-เก่งทุกทาง"?
ถูกสื่อประเภท "ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ" แปลงสาร-บิดประเด็น ในเรื่อง "พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ" เข้าหน่อย
เป็น "ปลาแถกดอน" ไปเลยมั้ยล่ะ?!
"นายวรศาสน์ อภัยพงษ์" อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงวันก่อน
ว่า "ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สนช.กำหนดการใช้น้ำไว้ ๓ ประเภท"
ประเภทที่ ๒..........
"ใช้น้ำเพื่อประกอบธุรกิจการเกษตร, เลี้ยงสัตว์ และเพื่อการพาณิชย์ เสียค่าน้ำอัตราลูกบาศก์เมตรละไม่เกิน ๕๐ สตางค์"
เท่านั้นแหละ "เข้าร่องแข้ง" นวัตกรรมสื่อสร้างสรรค์ ที่จ้อง "จวกทุกดอก"
ขยำเป็น "หยดคำคุณภาพ" แพร่สื่อทันที........
รัฐบาลออกกฎหมาย "เก็บภาษีน้ำ" คนทำไร่-ทำนา!?
เท่านั้น ไม่แค่ไฟไหม้ทุ่ง ไหม้เกือบถึงมุ้งนายกฯ ลุงตู่เลยทีเดียว
ประเทศไทย ด้วยประชากรกว่า ๖๕ ล้านคน
เป็นประเทศเกษตรกรรม มีพื้นที่การเกษตรเกือบ ๑๕๐ ล้านไร่
อยู่ในพื้นที่ชลประทานเพียง ๓๐ กว่าล้านไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ภาคตะวันออก
ที่เหลืออีก ๑๒๐ กว่าล้านไร่ ...........
เป็นพื้นที่ "นอกเขตชลประทาน" ส่วนใหญ่เป็นแถบอีสาน
ชาวบ้านทำเกษตรกันแบบ พึ่งฝนหลวงบ้าง พึ่งนางแมวบ้าง พึ่งแหล่งน้ำธรรมชาติบ้าง สุดแต่ฟ้าฝนจะบันดาลบ้าง
เมื่อรับรู้ข่าวสารบิดเบือน ใครบ้างล่ะที่ไม่เกลียด-ไม่โกรธ ไม่อยากไล่รัฐบาล
ที่เขาเกิดจากท้องพ่อ-ท้องแม่ เพิ่งมีรัฐบาลนี้แหละ เก็บภาษีน้ำจากชาวไร่-ชาวนา!
สื่อโทรทัศน์ สื่อโซเชียล สื่อหนังสือพิมพ์ เมื่อสดับ "ประเด็นแสร้ง" แทนที่จะศึกษาก่อนว่า
แท้จริงแล้ว............
ร่าง พ.ร.บ.แต่ละมาตรามีเนื้อหาอย่างไร แผนยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำของรัฐบาลเป็นอย่างไร? และกฎหมายฉบับนี้ ............
อยู่ในขั้นตอนแค่ปั้นดินเป็นเค้าโครง หรือเสร็จแล้ว เตรียมประกาศใช้ อย่างที่ปั่นข่าว-ปั่นกระแสกัน?
ผมดูอยู่หลายวัน ว่ารัฐบาลทหารเขาจะรีบ "ตัดไฟแต่ต้นลม" กันยังไง?
ก็เห็นแต่นายพลเฉย.........?
มาวัน-สองวันนี้ ดูฝ่ายแปลงสารจะ "จุดติด" กลุ่มเกษตรกร โดยเฉพาะชาวไร่-ชาวนา ชักขยุกขยิก
ยิ่งพวกอาชีพรับจ้างปลุกระดมนำเกษตรกรออกมาเรียกร้องด้วยแล้ว ถือว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็น "ส่งเสริมอาชีพ" เขาโดยตรง!
เรื่องนี้น่ะ พูดกันตรงๆ........
ถึงไม่ได้ศึกษาเรื่องราว เพียงทุกคนใช้ "สติตรอง" ด้วยสามัญสำนึก แทนฟังอะไรปุ๊บ แล้วเชื่อปั๊บ
ก็พอจะเบรกตัวเอง ไม่ให้ไหลตามไปทันทีได้ ว่า...........
"ไม่มีรัฐบาลไหนในโลก บ้าที่จะเก็บภาษีการใช้น้ำ ทำไร่-ทำนา-ทำสวน จากชาวบ้านหรอก"!
นี่ยังโชคดีนะ "นายพีระศักดิ์ พอจิต" รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
ยกคณะลงพื้นที่ พบปะรับฟังความคิดเห็นและการเสนอประเด็นปัญหาจากชาวบ้าน ที่ "มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์" วันก่อน
ท่านเซฟทีคัต "ตัดก่อนตาย" ให้ชาวบ้านได้เข้าใจในข้อเท็จจริง ว่า
ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำที่พูด-ที่เอะอะ โครมครามกันอยู่ขณะนี้ ยังอยู่ในขั้น "ฟักเป็นตัว"
คือยังอยู่ในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณา ประมาณต้นปี ๒๕๖๑ โน่นแหละ จะเสร็จ
หลักการและสาระสำคัญ คือ ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ "รวมอยู่ที่เดียวกัน"
สำหรับข่าวที่ออกมาว่า "จะเก็บภาษีน้ำจากเกษตรกร"
รองประธาน สนช. "ยืนยัน ๑๐๐%" ว่าไม่มีรัฐบาลไหนจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร
มีแต่จะลดค่าใช้จ่าย .........
เพื่อลดต้นทุนให้เกษตรกร จะได้มีกำไรในผลผลิต
ยกเว้น "เกษตรกรรายใหญ่" ที่มีพื้นที่เป็น "หลักพัน-หลักหมื่นไร่" ว่าสมควรเก็บหรือไม่ รวมทั้ง "โรงงานอุตสาหกรรม" ด้วย?
ซึ่งตามปกติ เขาก็เก็บอยู่แล้วตามกฎหมายน้ำบาดาล
แต่การเก็บค่าน้ำจากเกษตรกรรายย่อย ทั้งรัฐบาลและ กมธ.ไม่มีความคิดนี้
พูดจาหนักแน่นขนาดนี้แล้ว
แต่นายพีระศักดิ์ ยังเกรงชาวบ้านจะวางใจไม่สนิท ถึงขั้นประกาศไปเลยว่า.........
"ขณะนี้ มีการกระจายข่าวทั่วประเทศ ว่ารัฐบาลเสนอกฎหมายเก็บภาษีน้ำจากเกษตรกร
ขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะไม่มีรัฐบาลไหนอยากเพิ่มภาระให้เกษตรกร มีแต่จะช่วยลดภาระ
ผมขอเอาหัวเป็นประกัน........
ถ้ากฎหมายนี้ออกจาก สนช.แล้วมีการเก็บภาษีน้ำจากเกษตรกร ผมกับครูหยุย (วัลลภ ตังคณานุรักษ์) จะขอลาออกจาก สนช."
ครับ "ครูหยุย" ไปร่วมเวทีด้วยกัน
นอกจากหัวคุณพีระศักดิ์ เลยได้แถมมาอีกหัว เป็นเครื่องบัตรพลีซ้าย-ขวา "ค้ำประกัน"
ว่า "หัวเด็ด-ตีนขาด" สนช.ไม่ผลิตกฎหมายทำร้ายเกษตรกรอันเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแน่นอน
๙๙.๙๙% สรุปได้ว่า.............
ดรามา เรื่อง "เก็บภาษีน้ำเกษตรกร" ชัดเจน จบ!
เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ..........
วันนี้ (๒ ต.ค.๖๐) คอยฟัง "พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์" สมาชิก สนช.
ในฐานะ "ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ" ท่านแถลงแจงแจกชัดๆ อีกก็ได้
ความจริง กฎหมายฉบับนี้ จะๆ กันมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ก็แค่จะๆ ไม่ได้ลงมือทำซักที
มารัฐบาล คสช.นี่แหละ ทุกคนก็เห็นแล้ว บ้านเรา ทั้งแล้ง-ทั้งท่วม-ทั้งขาด-ทั้งเกิน เกิดทุกปี
สงครามแย่งน้ำทำนา สงครามผลักน้ำไปท่วมที่อื่น เห็นเป็นประจำ ถ้าไม่หาทาง "บริหาร-จัดการ" น้ำ
"สงครามน้ำ" จะเกิดเป็น "สงครามสังคม" แน่นอน!
อยากสรุปสาระหลักให้เข้าใจตรงกัน ใน พ.ร.บ.นี้ เขาแยกการใช้น้ำเป็น ๓ ประเภท
๑.ใช้น้ำเพื่อการดำรงชีพ คือประชาชนทั่วไป ไม่ต้องเสียค่าใช้น้ำ
๒.เพื่อธุรกิจการเกษตร, เลี้ยงสัตว์ และเพื่อการพาณิชย์ เสียค่าน้ำอัตราลูกบาศก์เมตรละไม่เกิน ๕๐ สต.
๓.กิจการขนาดใหญ่ สนามกอล์ฟ, โรงไฟฟ้า, นิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจขายน้ำดิบเชิงพาณิชย์ จะเก็บค่าน้ำลูกบาศก์เมตรละ ๓ บาท
ประเภท ๑ และ ๓ ไม่เป็นปัญหา เข้าใจกันอยู่แล้ว
ประเด็นปัญหาตรง "ประเภท ๒" ที่ว่า........
"ประกอบธุรกิจการเกษตร, เลี้ยงสัตว์.....เสียค่าน้ำลูกบาศก์เมตรละไม่เกิน ๕๐ สตางค์" นี่แหละ!
เป็นร่างที่ใช้คำ "ทำให้เกิดศรีธนญชัย" ขึ้นมากมาย!
อธิบายก็ยาว ขอบอกว่า เป็นแค่ "หุ่นขึ้นแบบ" เดี๋ยว กรธ.เขาไปตกแต่งขั้นสุดท้ายกันเอง
คือทำให้มีกรอบชัดเจนลงไป แค่ไหนคือการทำเกษตร และแค่ไหนเป็นธุรกิจการเกษตร ขืนใช้คำครอบจักรวาล ตีความกันไม่จบ
หลักสำคัญที่เกษตรกรต้องยึดในเรื่องนี้ คือ.......
เกษตรกรในประเภท ๒ แยกเป็น ๒ ส่วน คือ พื้นที่เกษตรกรรมในเขตชลประทาน และนอกเขตชลประทาน
ใครที่ทำเกษตรในเขตชลประทาน "ไม่เกี่ยวประเภท ๒" ใช้น้ำได้ฟรีเหมือนเดิม มีประมาณ ๑๒๐ ล้านไร่
ที่เหลือเป็น "พื้นที่นอกเขตชลประทาน" นั่นแหละ อยู่ในการใช้น้ำประเภท ๒
แต่ไม่ได้หมายความว่า กฎหมายนี้ออกมาเพื่อเก็บ "ภาษีน้ำ" คนทำเกษตรนอกเขตชลประทานนะ
เขาออกมาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิ์" คนทำเกษตรนอกเขตชลประทานต่างหาก!
งงกันละซี....?
คืออย่างนี้ นอกเขตชลประทาน จะเกิดการแย่งน้ำแหล่งธรรมชาติกันประจำ ชาวบ้านที่ทำเกษตรทั่วๆ ไปจะเสียเปรียบ "พวกขาใหญ่"
พวกทำเกษตรเป็นร้อยๆ พันๆ ไร่ ซึ่งนั่นเข้าข่ายธุรกิจ-อุตสาหกรรม
พวกนี้ จะแย่งน้ำชาวบ้านเอาไปใช้ มีหนอง-คลอง-บึง สาธารณะตรงไหน ชาวบ้านแค่ "วัก-ตัก-สูบ" ตามฐานานุรูป
แต่พวกร้อยๆ พันๆ ไร่ เล่นใช้เครื่องกล "ดูด" หรือขุดทางเบี่ยง เอาน้ำส่วนใหญ่ไปใช้เอง
จำได้มั้ยล่ะ คนจีนมาเช่าที่ดินแถวๆ ภาคเหนือปลูกกล้วยหอมเป็นร้อย-เป็นพันไร่
"ดูดน้ำ" จากแหล่งสาธารณะไปใช้เกลี้ยง!
หรืออย่างบึงบอระเพ็ด แทนที่เกษตรกรระดับ "ทำมาหากิน" จะได้ใช้น้ำบ้าง กลับถูกพวก "ธุรกิจการเกษตร" เป็นพญานาคดูดเรียบ
เนี่ย...แบบนี้แหละ.........
พวกธุรกิจการเกษตรที่ใช้น้ำธรรมชาตินอกเขตชลประทาน "ต้องจ่าย" บ้าง เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปสร้างสรรค์แหล่งน้ำเพื่อความเป็นธรรมต่อสังคมพื้นที่
พอเข้าใจกันกระมัง?
ทุกอย่างอยู่ในขั้น "ต้นร่าง" อย่าเพิ่งทึกทักจริงจัง ยิ่งเรื่องค่าน้ำด้วย ไม่มีหรอกในตัวกฎหมาย
เป็นเรื่อง ครม.ต้องออกกฎกระทรวงเมื่อกฎหมายใช้แล้ว ตัวเลขต้องผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการบริหารทรัพยากรน้ำ ที่นายกฯ ประยุทธ์เป็นประธานก่อน
และที่สำคัญ ก่อนเป็นกฎหมาย ต้องไปถามความเห็นประชาชนในพื้นที่ก่อนว่า "เอาแบบนี้หรือไม่เอา"
จบนะ....
เรื่อง "ปั้นน้ำเป็นตัว"!

เมื่อ 'พระยาเหยียบเมืองลุงแซม'

ผมจำไม่ได้ว่า..........
เคยมี "นายกรัฐมนตรี" ไทยคนไหน?
ที่สหรัฐฯ เคยเชิญไปเป็นแขกของทำเนียบขาวบ้าง?
เห็นแต่ที่ไปร่วมวงประชุมยูเอ็นหรือวงประชุมระดับผู้นำหลายๆ ประเทศ และมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมด้วย
โอกาสนั้น ..........
ก็มีการพบปะแบบหมู่บ้าง แบบสองต่อสองบ้าง จับไม้-จับมือกัน ให้ปรากฏเป็นภาพต่อสาธารณะ
แต่แบบที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เชิญเป็นทางการ ไปเป็นแขกทำเนียบขาว พูดคุยกันแบบทวิภาคี นั้น
ผมก็ว่า "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" นี่แหละ เป็นคนแรก
แรก-ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย
และ...........
แรก-ในฐานะ "นายกฯ รัฐบาลเผด็จการ" ที่ไปเหยียบทำเนียบขาว!
ทราบกันแล้วมิใช่หรือ?
ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ของสหรัฐฯ เชิญนายกฯ ประยุทธ์ไปพบปะที่ทำเนียบขาว
ในวันจันทร์ที่ ๒ ตุลาที่จะถึงนี้!
เดิมนัดพบกันวันอังคารที่ ๓ ตุลา แต่ด้วยเหตุผลของฝ่ายสหรัฐฯ ร่นขึ้นมาเป็นวันที่ ๒ ตุลา
"ผู้นำทั้งสองชาติจะหารือแนวทางในการสร้างความเข้มแข็ง และขยายความสัมพันธ์แบบทวิภาคี และพัฒนาความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก"
นี่เป็นเนื้อหาปรากฏในแถลงการณ์ "เป็นทางการ" ของสหรัฐฯ ล่าสุด
หมายความว่า วันนี้-พรุ่งนี้ นายกฯ ประยุทธ์กับคณะ ต้องออกเดินทางแล้ว
ดีซะอีก...........
ไปเร็ว ก็หนุ่มขึ้น ข้ามซีกโลกถึงสหรัฐฯ ปุ๊บ กำไรชีวิตปั๊บ ๑ วัน!
เท่าที่อ่านตามข่าว คณะที่จะไป เฉพาะทีม ครม.มี รองนายกฯ "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" รมว.ต่างประเทศ "ดอน ปรมัตถ์วินัย"
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ และพลเอก อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม
ส่วนฝ่ายพ่อค้า-นักธุรกิจ และนักอื่นๆ ผมไม่ทราบ
เท่าที่ดูรายชื่อ ก็พอเดาได้ "สหรัฐฯ-ไทย" จะคุยเรื่องอะไรกันบ้าง และด้านไหน เพื่อการตกลงกัน?
การที่สหรัฐฯ ซึ่งยกประเทศตัวเองเป็น "ต้นธง" ประชาธิปไตย ถึงขั้นตราเป็นกฎหมาย ไม่คบผู้นำเผด็จการ
แล้วจู่ๆ วันนี้ ..........
ประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดทำเนียบขาว เชิญนายกฯ เผด็จการ "พลเอกประยุทธ์" ไปเยือนเป็นทางการ
ท่านคิดว่า การที่ประเทศ "คบผลประโยชน์เป็นมิตร" อย่างสหรัฐฯ เป็นสำรวยลืมคำเช่นนี้
เพราะ รักพลเอกประยุทธ์...รักประเทศไทย
หรือ สหรัฐฯ ต้องการ "ผลประโยชน์" อันเขาหาจากที่อื่นไม่ได้ นอกจากประเทศไทย
ผ่านความเป็น "องค์รัฏฐาธิปัตย์" ของพลเอกประยุทธ์?
ทางการค้า-การลงทุน-การเป็นมิตรน่ะ สำหรับสหรัฐฯ ไทยแค่เกิบเก่าๆ ใส่ตอนเข้าห้องน้ำ
มีแต่ยุทธศาสตร์ "ทางการทหาร" เท่านั้น สหรัฐฯ จะนอนไม่หลับเลย
ถ้าไม่มีไทยเป็น "หมอน" หนุน!
ไทยเหมือน "ขาไพ่" ร่วมวง ก็ไม่เฉพาะเราหรอก ทั้งเอเชีย-อาเซียน ต่างก็รู้ ขึ้นชื่อว่าการพนัน "โกงทั้งนั้น" และไม่มีวันชนะเจ้ามือ
รู้-ทั้งรู้ แต่ก็ต้องเล่น ..........
สิ่งที่ทำได้ คือ จะใส่มาก-ใส่น้อย "ดูตามหน้าไพ่" ในแต่ละตา!
คนเลี้ยงหมูบ้านเราจ้องกันตาเขม็ง ทรัมป์บีบให้ซื้อเครื่องบิน ซื้ออาวุธพอว่า
แต่ถ้าทรัมป์ "บีบขายหมู" นายกฯ ตู่จะเล่นเกมนี้ยังไง?
ถ้ายอม คงต้องถูกคนเลี้ยงหมูสับเป็นบะฉ่อ ตั้งแต่ยังไม่ทันกลับถึงประเทศแน่!
แต่ผมว่านะ ทุกเรื่องแหละ ไม่ว่าระดับประเทศ ระดับบุคคล การจะ "เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว" ไม่มีใครยอมใครหรอก
ก็ต้อง "เขามั่ง-เรามั่ง"..........
ขึ้นชื่อว่า "แลกเปลี่ยน" อยู่ที่ว่าแต่ละฝ่าย "ยอมรับได้" ในจุดไหน ไม่มีหรอก ที่จะเสียหรือได้ฝ่ายเดียว!
เหนืออื่นใด แค่ "นายกฯ เผด็จการ" ได้ไปเหยียบศูนย์กลางจักรวาลอำนาจสหรัฐฯ ที่เรียก "ทำเนียบขาว"
ได้-เสีย อะไรบ้าง ผมไม่รู้...........
แต่ที่แน่ๆ ไทยได้ "ดุลการเมือง" ล้านเปอร์เซ็นต์!
นายกฯ ประยุทธ์ ไม่ใช่นักการเมืองประเภท "แปลงประเทศเป็นทุน" ของพรรค-ของพวก-ของโคตรเหง้าตัวเอง
ฉะนั้น ที่ว่าไปเที่ยวนี้จะเสียท่า-เสียประโยชน์ให้ทรัมป์ ก็พูดกันไปตามประสาสังคมไม่คิดมาก ค้านไว้ก่อน ด่าไว้ก่อน มันเท่!
การพบปะกันระหว่างทรัมป์-ประยุทธ์ ต้องเข้าใจ เป็นบุคคลในตำแหน่งผู้นำประเทศ
ดังนั้น การเจรจาทำความตกลงกันแต่ละเรื่อง ไม่ใช่ทรัมป์ตกลงกับประยุทธ์ หรือประยุทธ์ตกลงกับทรัมป์ เป็นการส่วนตัว
หากแต่ เรื่องที่ผู้นำทั้งสองตกลงกันนั้น เป็นข้อตกลง "ทางการ" อันมีผลผูกพันประเทศทั้งสอง
แม้ "ผู้นำ" ที่ลงนาม สิ้นอำนาจ หรือสูญหายตายจาก ข้อตกลงก็ยังมีผลอยู่!
นั่นคือ ทุกเรื่อง "ผู้นำลงนาม" แค่ฉาก
แต่เบื้องหลังฉาก "ฝ่ายปฏิบัติ" คือ ข้าราชการประจำ "ทั้งสองฝ่ายเถียง-ทะเลาะ-ต่อรอง" เรียกว่า "คัดท้าย" กันมาเรียบร้อยก่อนแล้วทั้งนั้น
พูดนี่ ไม่ใช่อะไรหรอก............
มีบางคนไม่ให้ราคาทรัมป์ ประมาณว่า ทั้งพูด-ทั้งทำ "ไม่น่าเชื่อถือ" ไม่มีใครอยากพบ-อยากคุยด้วยซักเท่าไหร่ แล้วเราจะไปทำไม?
เทน้ำหนักไปให้จีน-รัสเซียหมด!
พวก "ดูหนังตัวอย่าง" แล้วสรุปจบ ก็แบบนี้ ต้องเข้าใจให้ชัด คุยกะทรัมป์น่ะใช่
แต่ที่ตกลงอะไรกัน ตกลงกับประเทศสหรัฐฯ ไม่ใช่ตกลงกะทรัมป์
และอีกอย่าง อินกะข่าวโลกน่ะอินได้.........
แต่ที่จะเปลี่ยน "ขั้วโลก-ขั้วอำนาจ" จากเหนือเป็นใต้ จากตะวันตกเป็นตะวันออก นั่นน่ะ
เอาเป็นแค่น้ำจิ้ม "ชั่วมื้อ-ชั่วคราว" เหอะ อย่าให้ข่าวลากไปลงรูมิดหัว-มิดหูถึงขนาดนั้นเลย!
ไม่เถียง ประเทศโน้น-ประเทศนี้ ทั้งจีน-รัสเซีย-เกาหลีเหนือ-อิหร่าน มีอาวุธมหาประลัย ซดกับสหรัฐฯ ได้ทั้งนั้น
เรียกว่า "มีมือ-มีตีน" เหมือนกัน ต่อยกันเมื่อไหร่ก็ได้!
ขอถามคำ...อินเทอร์เน็ตของใคร?
ของ กระทรวงกลาโหม สหรัฐฯ
โลกยุคไอทีวันนี้ เมนเฟรมที่เก็บโปรแกรมผู้ใช้การสื่อสารทั้งโลกอยู่ไหน?
อยู่สหรัฐฯ
แค่ "เฟซบุ๊ก" ของ "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" ล่ม ยังจะเป็น-จะตายกันทั้งโลก
ฉะนั้น โลกใต้อำนาจไอที คือโลกใต้อำนาจสหรัฐฯ!
ใครทำอะไรในโลกนี้ แม้มดแอบยิ้ม สหรัฐฯ รู้หมด-เห็นหมด
สงครามน่ะ......
รบกันด้วยอาวุธก็จริง แต่ขับเคลื่อนด้วยไอที ใครแค่ขยับ สหรัฐฯ รู้เแล้ว เพราะสหรัฐฯ คือ "อาจารย์ใหญ่" ไอที
ที่คิดกันว่า "สหรัฐฯ หมดน้ำยา" อย่าเพิ่งเพ้อ!
ต้องไม่ลืม โลกยุคนี้ สื่อสารไอทีครองโลก และเจ้าไอทีคือสหรัฐฯ!
นายกฯ ลุงตู่ไปพบทรัมป์ ผมไม่หวั่นแทนลุงตู่
ถ้า "คุณชายปรีดิยาธร" ยังอยู่ ไปด้วยก็ดีซี เพราะเขาเรียนร่วมรุ่นกัน
คนที่ผมหวั่นแทนคือทรัมป์..........
เพราะดูท่ารัฐสภาเขา "ถอดถอน" ออกจากตำแหน่งแน่!
นายกฯ ตู่ อาจเป็น "ผู้นำเผด็จการ" คนแรกและคนสุดท้ายก็ได้ ที่ทรัมป์ในฐานะ "ประธานาธิบดี"
ได้เช็กแฮนด์.

“ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” สู้หรือหมอบตอบโจทย์ประเทศไทย : ตระกูลชินฯ บนทาง 2 แพร่ง

“ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” สู้หรือหมอบตอบโจทย์ประเทศไทย : ตระกูลชินฯ บนทาง 2 แพร่ง

8 ต่อ 1 มีความผิดจริง 9 ต่อ 0 ไม่รอลงอาญา

บันทึกไว้อีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ มติองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินลงโทษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ในความผิดมาตรา 157 ฐานไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

โทษจำคุก 5 ปี ให้ออกหมายบังคับคดี นำตัวมารับโทษตามคำพิพากษา

ทั้งนี้ ศาลชี้ว่า ในการดำเนินโครงการรับจำนำ ข้าวเปลือกทั้ง 5 ฤดูกาลผลิต แม้ว่าจะพบความเสียหายหลายประการ แต่เป็นความเสียหายที่เกิดจากฝ่ายปฏิบัติ จำเลยในฐานะประธาน กบข.ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อป้องกันความเสียหายไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มโครงการ ปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติเป็นระยะ

กรณีความเสียหายส่วนนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ

แต่ในประเด็นเรื่องการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ศาลชี้ชัดเลยว่า พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่าสัญญาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ระงับยับยั้งปล่อยให้มีการส่งมอบข้าวตามสัญญาให้รัฐวิสาหกิจจีนต่อไปอีก อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ลงโทษจำคุก 5 ปี

สรุปการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายไม่ผิด

แต่เจ๊งเพราะการระบายข้าวแบบจีทูจี

เป็นกรรมที่โยงต่อเนื่องกับความผิดของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ และพวก ที่ถูกศาลพิพากษาไปก่อนหน้านี้

ต้องโทษจำคุกอ่วมคนละหลายสิบปี

เป็นบรรทัดฐานที่แสดงถึงสิ่งที่นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบกับพฤติกรรมทุจริตของรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่ส่ง

ผลเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล

นโยบายดี แต่มีพวกแฝงเจตนาชั่ว ก็ต้องรับชะตากันไป

และตามรูปการณ์ที่ทุกอย่างเริ่มมีความชัดเจนขึ้นภายหลังรู้ผลคำพิพากษาคดีจำนำข้าว พร้อมๆกับกระแสข่าวของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ “ล่องหน” ไปนานนับเดือน

โดยการยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ระบุ ได้รับรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการ

ยืนยันว่า อดีตนายกฯหญิงพำนักอยู่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำทับด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ที่ยอมรับว่า ทางการดูไบยืนยันและขอความร่วมมือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่ยุ่งกับทางการเมืองอีก

รู้ผลคดี รู้แหล่งกบดาน

ตามสถานการณ์จากนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องของกระบวนการตามขั้นตอนกฎหมายที่บังคับไว้ ในส่วนของรัฐบาลไทยก็ต้องดำเนินการนำตัวอดีตนายกฯหญิงมารับโทษตามคำพิพากษา

แต่ปัญหาก็คือ ดูไบไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย

อย่างไรก็ตาม มันก็ยังมีประเด็นของการถอนหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่วันนี้ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาหลบหนีคดีศาลไทย

ทำให้เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้เหมือนปกติ

ในขณะที่ฝ่ายของอดีตนายกฯหญิงก็ต้องเดินหน้ากระบวนการขอลี้ภัยการเมือง ตามที่มีกระแสล่าสุดไปพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

ขอสิทธิพำนักถาวรในเมืองผู้ดี

แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ โดยเงื่อนสถานการณ์ที่แตกต่างจากพี่ชาย เพราะกรณีของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรนั้นโดนรัฐประหารยึดอำนาจในขณะบินไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ จึงเข้าเงื่อนไขการลี้ภัยทางการเมือง
แต่เรื่องของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น ภายหลังการโดนปฏิวัติก็ยังได้รับอนุญาตจากรัฐบาลทหาร
คสช.ในการใช้ชีวิตในฐานะพลเรือนได้อย่างปกติเสรีมีการเคลื่อนไหวสร้างกระแสทางการเมืองเป็นระยะมันจึงก้ำกึ่งว่าจะเข้าข่ายการลี้ภัยทางการเมืองหรือไม่

เรื่องของเรื่อง จุดนี้ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญ ถ้าประเทศอังกฤษปฏิเสธการลี้ภัย นั่นก็จะทำให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ตกอยู่ในสถานะลำบาก สูญเสียสถานะในประเทศไทย

และยังต้องสูญเสียความชอบธรรมในต่างประเทศ

แต่ตรงกันข้าม ถ้าประเทศอังกฤษยอมให้สิทธิในการลี้ภัยทางการเมืองกับอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทยที่มาจากการเลือกตั้ง

นั่นก็เท่ากับการไม่ยอมรับกระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นกับ “ยิ่งลักษณ์” ในประเทศไทย

หรืออีกนัยก็คือมองว่า เป็นแค่การกลั่นแกล้งทางการเมือง

นี่แหละเรื่องใหญ่ เพราะต้องไม่ลืมว่าอังกฤษคือดินแดนต้นแบบของโลกเสรีประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ในความหมายยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพของเผด็จการในเมืองไทย

“ยิ่งลักษณ์” จะได้สถานะความชอบธรรมในเวทีโลกทันที

จุดนี้เดาทางได้ ไฟต์บังคับฝ่ายต้าน “ทักษิณ” ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ต้องช่วยกันตีปี๊บประจานดักคอดักทาง กดดันไม่ให้อังกฤษยอมรับเงื่อนไขการขอลี้ภัย

ต้องไล่บี้พี่น้องตระกูลชินฯไม่ให้มีที่ยืน

แต่เรื่องของกฎหมาย เงื่อนไขการลี้ภัยก็ว่าไปตามขั้นตอนกระบวนการ ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่

สถานการณ์เบื้องหน้า ณ วันนี้ มันมีเครื่องหมายคำถาม ปรากฏการณ์จากการตัดสินจำคุก “ยิ่งลักษณ์” ในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

จะมีผลต่อแรงกระเพื่อมภายในประเทศรุนแรงระดับไหน

ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้น แต่สุดท้ายโดนรัฐประหารยึดอำนาจ

แล้วก็ต้องโทษถึงขั้นจำคุกเพราะความผิดพลาดในการบริหาร

แน่นอนว่า ผลในทางกฎหมายทุกฝ่ายต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรมขื่อแปบ้านเมือง แต่เรื่องของอารมณ์ความ รู้สึกของคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุน “ยิ่งลักษณ์”

มันไม่แน่ว่าจะลบล้างอาการ ค้างคาใจกันได้สักแค่ไหน

และจุดที่จะวัดกันได้ มันก็คือผลของการลงคะแนนเลือกตั้งในครั้งต่อไป

ตรงนี้เองที่นำมาซึ่งเครื่องหมายคำถาม ตระกูลชินวัตรจะเอายังไง จะสู้ต่อหรือไม่ หรือว่าจะวางมือยอมหมอบให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบ

ในมุมหาก “ทักษิณ” ยอมจบ รัฐบาล คสช.ก็เดินหน้าบริหารต่อตามโรดแม็ปไปสู่การปฏิรูป

แต่ถ้าลุยสู้ต่อ ก็ถือเป็น 2 แรงบวกของพี่น้อง “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

ด้วยสไตล์ของ “นายใหญ่” ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยเฉพาะงานนี้เป็นรายของ “น้องปู” ที่ต้องโดนชะตากรรมโหดเพื่อพี่ชาย การปล่อยให้น้องรับกรรมโดยไม่ทำอะไร

มันอธิบายข้อครหาใช้น้องตายแทนลำบาก

ตามยุทธการหนีไม่พ้นเหลี่ยมถนัด การปลุก

คะแนนสงสารอดีตนายกฯหญิงที่โดนกระทำทางการเมือง ได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทำเพื่อชาวนา
ทำสงครามชิงกระแสผ่านโซเชียลมีเดีย ปลุกเร้ามวลชน ดิสเครดิตรัฐบาล คสช.ในเวทีโลก

เปิดแนวรบจากนอกประเทศถล่มคนในเมืองไทย

และนั่นก็จะต้องเจอกับยุทธการย้อนศรจากฝ่ายคุมเกมอำนาจ การใช้กฎหมายจัดการกับสารพัดคดีของลูกข่าย “ทักษิณ” ที่ค้างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม

ที่สำคัญหนีไม่พ้นคิวของ “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “นายใหญ่” ที่จ่อโดนเอี่ยวคดีทุจริตการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยให้กลุ่มกฤษดามหานคร

โดยรูปการณ์มันก็น่าจับตาจาก “ทักษิณ” ถึง “ยิ่งลักษณ์” ตระกูลชินวัตรเสียขุนไปแล้ว 2 ตัว

แพ้ไปแล้วหลายกระดาน

ในสถานการณ์ที่ “เสี่ยโอ๊ค” เป็นตัวประกัน “ทักษิณ” จะยอมแลกขุนอีกหรือไม่

พร้อมจะไปอยู่ต่างประเทศกันหมดเลยหรือเปล่า.


“ทีมการเมือง”

เข้าจังหวะตอกฝาโลง

เข้าจังหวะตอกฝาโลง

ยังสับสนไม่ตรงกันเรื่องแหล่งกบดานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

คำตอบยังคงสวนทางกันระหว่างรัฐบาลไทยกับสื่อต่างประเทศ

โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เฉลยคำตอบตรงกัน “อดีตนายกฯปู” หนีไปอยู่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ยึดฐานที่มั่นใหม่ แหล่งเดียวกับพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร”

ไปคนละทางกับสื่อดังของต่างประเทศ “สำนักข่าวรอยเตอร์” ที่คอนเฟิร์ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ เผ่นออกจากดูไบ ไปอยู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มาพักใหญ่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา

ซ้ำด้วยสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ระบุ “ยิ่งลักษณ์” พำนักอยู่ในลอนดอน เตรียมขอลี้ภัยที่ประเทศอังกฤษ

แหล่งกบดานที่แท้จริงยังเป็นปริศนา ภายหลังหนีฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว

แต่ที่ตรงกันแน่ๆคือ การติดตามตัว “ยิ่งลักษณ์” เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทยไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างที่ “บิ๊กป้อม” ออกมายอมรับตรงๆ ไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ขณะที่ทางอังกฤษก็มีขั้นตอนเข้มงวด เรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน โดยเฉพาะถ้าเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมือง

มองมุมไหนโอกาสได้ตัวอดีตนายกฯหญิงกลับมาดำเนินคดีตามหมายจับค่อนข้างมืดมน ส่อแวววืดซ้ำรอยกรณีพี่ชายที่คว้าน้ำเหลวจนถึงทุกวันนี้

อย่างมากก็ทำได้แค่สร้างความลำบากในการเดินทางมากขึ้นจากการสั่งเพิกถอนหนังสือเดินทาง

นั่นเป็นไปตามเส้นทางที่ “ยิ่งลักษณ์” เลือกเองแล้วว่า ไม่คิดกลับแผ่นดินเกิด ขอหนีไปตลอดชีวิต ไม่ยอมกลับมาติดคุก 5 ปี

และคงไม่คิดจะยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อ เพราะเจ้าตัวจะต้องกลับมาเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์ด้วยตัวเอง ตามเงื่อนไข พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ไปสดๆร้อนๆ

ยอมถูกตราหน้าติดยี่ห้อ “คนหนีคดี” ยอมเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้า เพราะคงไตร่ตรองดีแล้วว่า ไม่ได้มีแค่คดีจำนำข้าวติดตัวเพียงแค่เรื่องเดียว

แต่ยังมีคดีอื่นๆรออยู่ในชั้น ป.ป.ช.เป็นชนักปักหลังรออยู่อีกร่วมสิบคดี อาทิ คดีจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบการชุมนุมทางการเมือง โดยไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ คดีออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท คดีประกาศพื้นที่ความมั่นคงในราชอาณาจักรช่วงชุมนุม กปปส.โดยมิชอบ

ติดแบล็กลิสต์คดียาวเป็นหางว่าว ทำไปทำมาอาจไม่หยุดแค่โทษจำคุก 5 ปี เฉพาะคดีจำนำข้าวเพียงอย่างเดียว แต่อาจสุ่มเสี่ยงเจอโทษมากกว่านั้น จากคดีอื่นๆที่จ่อคิวขึ้นเขียงอยู่

มีคดีให้รอวัดดวงอีกหลายด่าน

ยังไม่รวมถึงช็อตเสียวไส้ที่ตั้งแท่นไว้ก่อนหน้านี้อย่างการเรียกค่าเสียหาย 3.6 หมื่นล้านบาทจากโครงการรับจำนำข้าวของคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง กระทรวงคลัง

สบโอกาสใช้คำพิพากษาศาล เพิ่มความชอบธรรมในกระบวนการบังคับคดีเรียกค่าเสียหายให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ล้างคำครหาจงใจกลั่นแกล้งทางการเมือง

กระบวนการตามยึดทรัพย์ที่หยุดชะงักก่อนหน้านี้ ได้รับการปลดล็อกเดินหน้าต่อได้

ชะตากรรมนางสิงห์เจอทั้งคดีอาญาถึงขั้นให้ติดคุก และการไล่ยึดทรัพย์ จนกระดานทุกทาง บีบให้เหลือแค่เส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศอย่างเดียว

ตามจังหวะต่อเนื่องที่กระแทกไปถึง นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนายใหญ่ ที่ถูก ปปง. เตรียมส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีฟอกเงิน กรณีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย

ย่อมสะท้อนให้เห็นขั้วอำนาจพิเศษกุมความได้เปรียบระยะยาว มีคดีของตระกูลชินวัตรอยู่ในมือ กุมอำนาจต่อรองกับนายใหญ่ในอนาคต

สวนทางสถานการณ์พรรคเพื่อไทยตกที่นั่งระส่ำระสาย ยังไม่รู้ใครจะมานั่งเป็นเบอร์หนึ่งพรรคนำทีมลงเลือกตั้งสมัยหน้า และไม่รู้ว่า “ทักษิณ” จะถอดใจหรือไม่ จากการที่คนในครอบครัวถูกเช็กบิลร่วงระนาว
หากจะเปิดหน้าแลกส่งคนในตระกูลมาสืบทอดอำนาจการเมืองอีก ก็ต้องชั่งน้ำหนักคิดให้ดี เพราะไม่รู้ว่าจะมีจุดจบเหมือนตัวอย่างที่มีให้เห็นช่วงที่ผ่านมาหรือไม่

เกมอำนาจไหลเข้าทาง คสช. คอนโทรลทิศทางการเมืองได้เกือบทั้งหมด

เข้าจังหวะตอกฝาโลงตระกูลชินฯ ไม่ให้เสียของเหมือนที่ผ่านมา.

ทีมข่าวการเมือง

"พร้อมถวายชีวิต เป็นราชพลี"...."บิ๊กแดง" ประสานเสียง"แม่ทัพตู่" เทิดทูน รักษาสถาบัน ไว้ด้วยชีวิต

"พร้อมถวายชีวิต เป็นราชพลี"...."บิ๊กแดง" ประสานเสียง"แม่ทัพตู่" เทิดทูน รักษาสถาบัน ไว้ด้วยชีวิต
บิ๊กแดง พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ ขยับไปเป็น ผช.ผบทบ. ส่งมอบหน้าที่ แม่ทัพภาค1 ให้ บิ๊กตู่ พลโทกู้เกียรติ ศรีนาคา เพื่อนตท.20 เป็นแม่ทัพภาค 1 คนที่51
"ถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล และ ผมพร้อมถวายชีวิต เป็นราชพลี" พลเอกอภิรัชต์ ประกาศต่อหน้า ทหารทั้งกองทัพ
พลเอกอภิรัชต์ กล่าวขอบคุณ นายทหารทุกระดับ ทุกคน ยืนยันว่า ความรักความห่วงใย และความจริงใจ ของทุกคน จะยังอยู่ในความทรงจำ
พร้อมชื่นชม พลโทกู้เกียรติ แม่ทัพ1 คนใหม่ มีความเป็นผู้นำสูง และเชื่อมั่นว่า จะนำกองทัพภาค1 ให้เจริญก้าวหน้าทุกด้าน
ในการรักษาเอกราช ความ มั่นคงของประเทศ และราชบัลลังกฺ และปฏิบัติตามนโยบายของกำลังของรัฐบาลในการสร้างความผาสุขให้ประเทศชาติ ประชาชนโดยรวม
ด้าน พลโทกู้เกียรติ กล่าวว่า จะสานต่องานของ พลเอกอภิรัชต์ และ ปรับปรุงเสริมสร้างกองทัพภาค1 ให้เจริญ ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ให้เป็นที่เชื่อถือศรัทธาของผู้บังคับบัญชาและ ประชาชน
ยืนยันจะเทิดทูนสถาบันไว้ด้วยชีวิต และเป็นหลักในการรักษาความมั่นคง และปกป้อง ประเทศชาติ
พร้อมชื่นชม พลเอกอภิรัชต์ ว่าเป็นนายทหารที่มีความจงรักภักดี มุ่งมั่น ทุ่มเท ทำหน้าที่ ด้วยความรอบคอบ เด็เเดี่ยวกล้าหาญ มองการณ์ไกล
"พร้อมรบ ทันสมัย เป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน" พลโทกู้เกียรติ กล่าว

"บิ๊กป้อม " แฉมี "พวกไม่หวังดีต่อสถาบัน" จ้องป่วน ช่วงพระราชพิธีสำคัญ

หยุดซะ !!
"บิ๊กป้อม " แฉมี "พวกไม่หวังดีต่อสถาบัน" จ้องป่วน ช่วงพระราชพิธีสำคัญ สั่งทุกฝ่ายดูแลเต็มที่ จะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้น ชี้เป็นพิธี1ทีายิ่งใหญ่ของโลก ปูดพวกจะก่อเหตุ มาจากในและตปท. ขอสื่อช่วยประณาม
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม และรักษาการนายกฯเรียกประชุม ทุกส่วนราชการเตรียมการการรักษาความปลอดภัย และถวายความปลอดภัย พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ที่กลาโหม
จากนั้น พลเอกประวิตร ให้สัมภาษณ์ ว่า ทุกฝ่าย ต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ทั้งการ เตรียมการต้อนรับประชาชน กว่า 250,000 คน รวมทั้ง การอำนวยความสะดวก และการจราจรเส้นทาง รถยนต์ รถวีไอพี. เราต้องระมัดระวังเพราะคนเยอะ เรา ต้องไม่ให้เกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องก่อกวน หรือ ต่อต้านอะไร เราเพิ่มกำลังเต็มที่ และต้องทำให้เกิดความพร้อมทุกอย่าง เพิ้อให้ปลอดภัยทุกอย่าง
เมื่อถามว่า มีการข่าวแจ้งเตือนหรือไม่ว่า จะมีใครจะก่อเหตุในช่วงนั้น พลเอกประวิตรกล่าวว่า ก็มีข่าวออกมา แต่เราต้องทำไม่ให้มันเกิด เพราะมันมีพวกต่อต้าน มีกำหนดชัดเจน มีคนที่ไม่หวังดีต่อสถาบัน จะก่อเหตุ
"ถือเป็นงาน1 ในโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เลยนะ พวกเเราตัองทำ อย่างเต็มที่" พลเอกประวิตร กล่าว
พร้อมขอให้ สิ่อก็ตัองช่วยด้วย ให้เกิดความปลอดภัย ให้ปชช.ร่วมมือกัน ให้พระราลพิธี นี้ สมพระเกียรติ ที่ทรงงานให้พวกเรามาตลอด 70ปี ใครที่คิดอะไรไม่ดี ก็หยุดซะ
เมื่อถามว่า กลุ่มที่จะมาก่อเหตุ นั้น มาจากในหรือนอกประเทศ พลเอกประวิตร กล่าวว่า เพราะมีการข่าวมา ผมถึงได้พูดไง และ มาจากทั้ง ในประเทศ และนอกประเทศ
" เราต้องทำให้ได้ ทุกหน่วยงาน ตัอง ทำใหงานนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ด้วยความปลอดภัย ไม่ให้มีอะไรเกืดขึ้น"
พร้อมขอให้ สื่อ ช่วยประณามคนที่คิดจะก่อเหตุด้วย "สิ่อก็ประณามเอง สิ เพราะทุกคนรู้สึกเหมือนกัน"
เมื่อถามว่า ทำไมคนเหล่านั้น จะต้องคิดก่อเหตุ พลเอกประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ก็ต้องไปถามไอ้คนที่คิด มาถามอะไรผม