PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปปช.เร่งไต่สวนคดี"โต้ง"จีทูจีข้าวอินโดฯเอื้อ"สยามอินดิก้า"


วันนี้( 19 กรกฎาคม) นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวก เปิดประมูลให้เอกชนดำเนินการปรับปรุงข้าวเพื่อส่งมอบให้แก่ประเทศอินโดนีเซีย (BULOG) ตามสัญญาการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จำนวน 3 แสนตัน ว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการไต่สวนอยู่ โดยคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้เชิญพยานเข้ามาให้ถ้อยคำจำนวนหนึ่งแล้ว และปัจจุบันจะเชิญพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้ามาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วย ซึ่งหลังจากนี้คงมีการรวบรวมพยานหลักฐาน และดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกรณีนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ให้ตรวจสอบนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.พาณิชย์ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ว่ามีพฤติกรรมละเลยต่อหน้าที่หรือไม่ กรณีที่เอื้อประโยชน์ให้บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลตัวแทนปรับปรุงข้าว เพื่อส่งมอบให้แก่ประเทศอินโดนีเซีย (BULOG) ตามสัญญาการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) จำนวน 3 แสนตัน เมื่อเดือนธันวาคม 2554 ทั้งนี้ ช่วงเดือน ก.ย. 2557 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้เข้าให้ถ้อยคำกับคณะอนุกรรมการไต่สวน ในฐานะพยานเรียบร้อยแล้วด้วย.

เฮโลหนุน "ประยุทธ์" ปรับ ครม.โละทีมเศรษฐกิจ


เฮโลหนุน "ประยุทธ์" ปรับ ครม.โละทีมเศรษฐกิจ "วันชัย" เตือนความนิยมและศรัทธาเริ่มถดถอยต้องปรับ ครม.สร้างความเชื่อมั่น "พิชัย" ระบุดึง "สมคิด" ร่วมทีมช่วยฟื้น ศก.ได้ "อรรถวิชช์" แนะให้ปรับใหญ่ "สุริยะใส" ลั่นต้องเปลี่ยนวิธีคิดตอบโจทย์ปากท้อง-ปฏิรูปประเทศ-การปรองดอง ขณะที่นักวิชาการอ้างไม่แก้ปัญหา แนะปรับโครงสร้างระยะยาว โพลระบุอยากให้นักการเมืองซื่อสัตย์ให้ความร่วมมือรัฐบาล ไม่ใส่ร้ายปลุกปั่น
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมการประสานงานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิป สปช.) กล่าวว่า กรณีที่มีกระแสข่าวให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หรือเรียกร้องให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) สะท้อนว่า 1.ความนิยมชมชอบในรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์เริ่มจะลดน้อยถอยลง ประกอบกับโพลในสำนักต่างๆ ก็ชี้ชัดว่าคะแนนนิยมเริ่มลดจากวันแรกๆ มาถึงวันนี้มีมากขึ้นๆ 2.การทำงานของรัฐบาลยังไม่สามารถสนองความต้องการและความรู้สึกของประชาชนที่คาดหวังไว้ได้ โดยประชาชนคาดหวังกับรัฐบาลชุดนี้มากว่าจะแก้ปัญหาของประเทศได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวดเร็วดีกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่วันนี้ประชาชนเริ่มจะมีความผิดหวังจากเล็กๆ และจะใหญ่ขึ้นๆ จนกระทั่งอาจจะเสียความรู้สึก 3.ประชาชนให้โอกาสในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง ถึงเวลานี้ประชาชนชักจะเริ่มมีความรู้สึกว่าให้โอกาสมาเพียงพอแล้วแต่ยังไม่ได้ดังใจ ชักจะไม่อยากให้โอกาสอีกต่อไปแล้ว
4.มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนที่กระทบอยู่ทุกวี่ทุกวัน เป็นตัวเร่งเร้าและเรียกร้องว่าชักจะให้โอกาสและรอต่อไปไม่ไหวแล้ว ทั้งๆ ที่อยากให้รัฐบาลนี้อยู่ต่อ 5.ฝ่ายตรงข้ามก็ปลุกกระแส ขยายผลโจมตี เคลื่อนไหวทำลาย ดิสเครดิต แรกๆ ก็ไม่เอาด้วย แต่นานวันเข้ากับปัญหาที่ปรากฏ ก็ชักจะอยากร่วมด้วยช่วยกันเขย่า รุกเร้าให้มีการเปลี่ยนแปลง 6.น่าจะเป็นที่มาของคนที่มีความปรารถนาดี รวมทั้งประสงค์เอออวยจะช่วยรัฐบาลจะต้องรีบแก้ความรู้สึกของประชาชน กระชากศรัทธากลับมา ดึงความไว้วางใจให้โอกาสให้เวลากับรัฐบาลต่อไป โดยจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองคาพยพในการทำงาน
"ทั้งนายกฯ และภาพรวมทั้งหมดตกลงในการปรับเปลี่ยน ครม.แก้ทำงานไม่ได้ทั้งหมด แต่เป็นเรื่องการบริหารความรู้สึก และทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น เพราะขณะนี้ลดน้อยถอยลง ตราบใดที่ประชาชนหมดความเชื่อมั่นและความเชื่อถือในตัวรัฐบาล แม้ว่าเก่งก็อยู่ยาก ยิ่งมีปัญหารุมเร้าแก้ไม่ได้ยิ่งกระทบต่อรัฐบาลมากขึ้น แต่ถ้าปรับเปลี่ยนก็จะปรับความรู้สึกให้ประชาชนเพื่อให้ทีมงานมีความกระฉับกระเฉง เป็นการสนองความต้องการหรือความรู้สึกของประชาชน แม้ว่าปืนและอำนาจจะมีพลังขนาดไหน ถ้าประชาชนหมดความศรัทธาเสียแล้วก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงควรเปลี่ยนแปลงเรื่องคนทำงานเศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลไม่เพิกเฉยต่อการเรียกร้องของประชาชน ซึ่งไม่ได้หมายความว่ารัฐมนตรีเหล่านั้นทำผิด แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยศรัทธาประชาชนจะลดน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้เกิดปัญหาทุกส่วน โรดแม็พก็จะเดินไปไม่ถึงเพราะศรัทธาประชาชนไม่เอาด้วย" นายวันชัยกล่าว
หนุนโละทีมเศรษฐกิจ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวปรับ ครม.ว่า ส่วนตัวอยากให้เร่งปรับ ครม. และได้เสนอให้ปรับ ครม.มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เพราะเห็นว่าแนวทางที่ทีมเศรษฐกิจทำอยู่ยังไม่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จึงอยากให้ปรับเพื่อนำคนที่มีความรู้ความสามารถดีกว่าเดิมเข้ามา และถ้าเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีคงจะดี เพราะนายสมคิดเคยพิสูจน์ตัวเองว่ามีแนวคิดที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
"หากปรับ ครม.ตอนนี้แล้วรัฐบาลได้คนเก่งเข้ามาก็จะช่วยได้มาก ปัญหาหลักที่ต้องเร่งแก้คือ การช่วยเหลือประชาชนที่กำลังลำบาก โดยเฉพาะเกษตรกรที่รายได้ลดลงมาก แถมเจอภาวะภัยแล้งอีก การส่งออกที่ตกต่ำ การลงทุนจากต่างประเทศที่หดหาย และการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มจะลดลง" นายพิชัย กล่าว
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม.และทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เห็นด้วยว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม.แล้ว โดยเฉพาะ ครม.เศรษฐกิจ เพราะไม่มีนวัตกรรมใหม่ให้เห็น ยังเป็นการทำตามนโยบายและแผนงานเก่าที่ทำมา ดังนั้นหากจะเปรียบเป็นอาการไข้ของผู้ป่วย ถ้ารัฐบาลจะรักษาประคองอาการก็ไม่ต้องปรับ แต่ถ้าจะรักษาจริงจังก็ต้องผ่าตัดใหญ่ คือปรับ ครม.ใหญ่ เพราะที่ปฏิบัติอยู่นี้ยังไม่เข้าขั้นที่เรียกว่าการปฏิรูป ตามที่รัฐบาลประกาศไว้ว่าเป็นยุคปฏิรูปการเมือง อยู่อย่างนี้ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
"น่าเห็นใจรัฐบาล คสช.ที่เข้ามารับไม้ต่อจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีหนี้สาธารณะอยู่แล้ว 5.4 ล้านล้านบาท เพราะใช้นโยบายเสพติดประชานิยม รัฐบาลนี้เข้ามาบริหาร 1 ปี ก่อหนี้เพิ่มขึ้นราวแสนล้านบาทเศษ วันนี้หนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 5.5-5.6 ล้านล้านบาท ถือว่ายังดีกว่าให้มีการใช้ประชานิยมมอม" นายอรรถวิชช์กล่าว
นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต ในฐานะ ผอ.สถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่นายกฯ จะปรับ ครม.ในเร็วๆ นี้ เพราะต้องยอมรับว่ารัฐมนตรีหลายกระทรวงสอบไม่ผ่าน ทำให้ปัญหาพุ่งตรงและกดดันไปที่ตัว พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว และควรระวังผลการสำรวจความนิยมของรัฐบาล ที่แม้ยังอยู่ในระดับที่ดีคนส่วนใหญ่ยังให้โอกาส แต่ถ้าดูกันอย่างละเอียดต้องยอมรับว่าคนยังผวากับความแตกแยกทางการเมือง จึงยังพึงพอใจในรัฐบาล คสช. แต่ในระยะยาวจะมีปัจจัยชี้วัดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล
เปลี่ยนวิธีคิดตอบโจทย์ 3 ข้อ
"ที่สำคัญการปรับ ครม.ต้องไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวคน แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการมองปัญหาและการแก้ปัญหา และต้องไม่ใช่เอาโควตา ครม.ไปแก้ปัญหาการโยกย้ายในกองทัพเท่านั้น นายกฯ จะต้องกล้าหาญในทางที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์กับส่วนรวม เพื่อลบข้อครหาเสียของที่สังคมเริ่มส่งสัญญาณดังขึ้น"
นายสุริยะใสกล่าวว่า นอกจากนี้การปรับ ครม.ต้องตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของบ้านเมือง 3 ข้อ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง, การปฏิรูปประเทศ และการปรองดองสมานฉันท์ เพราะยังไงเสียหลังจากนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฉะนั้นหาก ครม.ใหม่มี รมต.ที่เข้าใจปัญหา กล้าแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง ก็จะสามารถวางรากฐานที่ดีและแข็งแกร่งให้กับบ้านเมืองในระยะยาวได้ ไม่เช่นนั้นหลังเลือกตั้งปัญหาอาจจะวนกลับมาที่เดิมได้อีก
นายสมหมาย ภาษี รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวปรับ ครม.เศรษฐกิจว่า กระแสดังกล่าวไม่ได้สร้างความกดดันใดๆ กับตนเลย ตนทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดและไม่มีพัก เหมือนเดิมทุกอย่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าเหมือนมีคนพยายามปล่อยข่าวออกมาหรือไม่ นายสมหมายตอบว่า "ช่างมัน เพราะผมวางเฉยอยู่แล้วในเรื่องพวกนี้ และยืนยันว่าข่าวนี้ไม่มีผลต่อการทำงานของผม ไม่มีผลต่อจิตใจเลย"
ด้านนายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง เปิดเผยว่า การปรับรัฐมนตรีเศรษฐกิจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะรัฐบาลเหลือเวลาการทำงานไม่นานก็ต้องเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า รวมถึงการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี โดยเฉพาะตำแหน่ง รมว.การคลังต้องหาคนที่ดีกว่าเดิม หากได้คนที่แย่กว่า เศรษฐกิจจะแย่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ทำได้แค่เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของรัฐบาลให้ดูมีความหวังมากขึ้นเท่านั้น และอาจต้องการหาคนเข้ามาทำเรื่องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว เพราะปัจจุบันรัฐบาลทำแต่เรื่องระยะสั้น
"ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ตอนนี้ ส่วนใหญ่มาจากปัญหาผลกระทบภายนอกและปัญหาที่สะสมมานานก่อนหน้านี้ ทั้งการส่งออกที่ขยายตัวติดลบก็เพราะเศรษฐกิจโลกไม่ดี โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศจีนขยายตัวชะลอลง และรัฐบาลที่ผ่านมาของไทยไม่ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพสินค้า ก็เป็นปัญหาสะสมที่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งสิ้น" นายสมชายกล่าว
มีรายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทยว่า มีความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขณะนี้ได้มาพักผ่อนที่ประเทศสิงคโปร์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปทำบุญที่แคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีน และฮ่องกง คาดว่าหลังจากพักผ่อนที่ฮ่องกงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางกลับดูไบ และจะไม่จัดงานวันเกิดครบรอบ 66 ปี ในวันที่ 26 กรกฎาคมนี้แต่อย่างใด จะมีก็เพียงรับประทานอาหารกับคนใกล้ชิดเท่านั้น
วอนนักการเมืองอย่าป่วน
วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,261 คน ระหว่างวันที่ 13-18 ก.ค.58 เรื่อง "ประชาชนคิดอย่างไรต่อนักการเมืองไทยในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์" พบว่าประชาชนร้อยละ 72.88 อยากให้นักการเมืองปฏิบัติต่อรัฐบาล ด้วยการเป็นพลเมืองดี ซื่อสัตย์ จริงใจ และตรงไปตรงมา ร้อยละ 67.03 ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลและปฏิบัติตามกฎหมาย ร้อยละ 62.57 ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ชี้แนะในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ร้อยละ 57.34 มีความสามัคคี ช่วยกันพัฒนาบ้านเมือง ร้อยละ 46.23 อยากให้นักการเมืองอยู่อย่างสงบ ใช้ชีวิตตามปกติ
ส่วนสิ่งที่ประชาชนไม่อยากให้นักการเมืองปฏิบัติต่อรัฐบาล พบว่า ร้อยละ 71.69 ใส่ร้ายโจมตี ปลุกปั่น สร้างกระแส ร้อยละ 65.74 การทุจริต คอร์รัปชัน มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ ร้อยละ 63.52 การเคลื่อนไหวเรียกร้อง สร้างสถานการณ์ที่นำไปสู่ความวุ่นวาย ส่วนร้อยละ 56.3 มีอคติ ทะเลาะเบาะแว้ง ขาดความสามัคคี ร้อยละ 53.37 ต่อต้าน ขัดขวางการทำงานของรัฐบาล
สำหรับสิ่งที่ประชาชนอยากให้นักการเมืองทำเพื่อประชาชน พบว่า ร้อยละ 79.7 ซื่อสัตย์ จริงใจ เป็นนักการเมืองที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชน ร้อยละ 78.83 มีความสามัคคี ร่วมใจกันทำงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ร้อยละ 71.37 ทำตามสัญญาเหมือนกับที่ตอนหาเสียง ร้อยละ 69.79 ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชน และร้อยละ 64.63 เป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน สะท้อนปัญหาในพื้นที่
สิ่งที่ประชาชนไม่อยากให้นักการเมืองทำต่อประชาชน พบว่า ร้อยละ 83.51 โกหก หลอกลวง ร้อยละ 80.57 ทุจริตคอร์รัปชัน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ร้อยละ 77 ใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในเรื่องต่างๆ ร้อยละ 75.89 ยุยง ปลุกปั่นประชาชนออกมาชุมนุม และร้อยละ 69.55 ใช้อำนาจเอาเปรียบหรือข่มเหงประชาชน
เมื่อถามถึงในยุครัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ นักการเมืองมีความจำเป็นต่อสังคมไทยมากน้อยเพียงใด พบว่าร้อยละ 31.02 เห็นว่าค่อนข้างจำเป็น เพราะมีนักการเมืองไทยหลายคนที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ทางการเมือง เข้าใจปัญหาในพื้นที่ได้ดี เป็นที่พึ่งของประชาชน ช่วยรัฐบาลบริหารบ้านเมือง ส่วนร้อยละ 27.9 ระบุว่ายังจำเป็นมาก เพราะบ้านเมืองจะเป็นประชาธิปไตยได้ต้องมีการเลือกตั้ง มีนักการเมืองมาทำงาน เป็นการถ่วงดุลอำนาจ ร้อยละ 22.36 เห็นว่าไม่ค่อยจำเป็นเพราะมี คสช.และรัฐบาลทหารดูแล บ้านเมืองก็สงบเรียบร้อยดี ไม่มีการทะเลาะในรัฐบาล รอจนกว่าจะเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 18.72 เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีนักการเมือง เพราะการแก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์ของนักการเมืองทำให้บ้านเมืองต้องอยู่ในสภาวะย่ำแย่ เศรษฐกิจและประเทศเกิดความเสียหายอย่างมาก หรือประชาชนเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของนักการเมือง.

ยกเลิกแล้ว! มาตรการ"เข้ม"สนามบินดอนเมือง

    ท่าอากาศยานดอนเมืองประกาศ"ยกเลิก"มาตรการตรวจกระเป๋าทุกใบหน้าเคาน์เตอร์เช็คอินแล้ว หลังผู้โดยสารจำนวนมากเข้าคิวแน่นขนัด เพื่อรอเอ็กซ์เรย์สัมภาระและกระเป๋าทั้งหมด โดยจะใช้วิธีเดิมคือตรวจเฉพาะกระเป๋าโหลด
    หลังจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยการตรวจค้นและเอ็กซเรย์กระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารทุกชิ้นที่นำเข้าในพื้นที่เช็กอิน ตามคำสั่งของกรมการบินพลเรือน (บพ.) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งมาตรการดังกล่าว ทำให้โดยสารจำนวนมากเข้าคิวรอตรวจแน่นขนัด ส่งผลให้การเดินทางล่าช้าออกไป จนเกิดภาวะล้นสนามบินดอนเมืองนั้น ผู้โดยสารมีท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด อยากให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าวทันที

    ล่าสุด ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ได้ประกาศเพิ่มเติม โดยระบุว่า ตามที่ท่าอากาศยานดอนเมืองมีการปรับเปลี่ยนมาตรการรักษาความปลอดภัยเนื่องจากเป็นไปตามคำแนะนำจากการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยการบินจากหน่วยงานตรวจสอบของรัฐ โดยการปรับมาตรการดังกล่าวส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกในการเดินทางของผู้โดยสาร

    ท่าอากาศยานดอนเมือง พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของผู้โดยสารให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความคับคั่งของผู้โดยสารในท่าอากาศยานในปัจจุบันโดยอยู่บนพื้นฐานของมาตรการรักษาความปลอดภัยด้านการบินของรัฐ และมาตรฐานสากล ท่าอากาศยานดอนเมืองจะดำเนินปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยดังนี้

    1.ท่าอากาศยานดอนเมืองจะทำการ X ray เฉพาะกระเป๋าที่ทำการโหลดขึ้นเครื่อง ส่วนกระเป๋าที่ติดตัวขึ้นเครื่องจะทำการ X ray ที่จุดตรวจค้นผู้โดยสาร

    2.เพิ่มเจ้าหน้าที่ของท่าอากาศยานเข้าควบคุมการปฎิบัติงานในการตรวจค้นสัมภาระของผู้โดยสาร

    3.ท่าอากาศยานดอนเมืองขอความร่วมมือผู้โดยสารไม่ให้เปิดกระเป๋าที่ผ่านการ X ray และติดสติ๊กเกอร์ หารสติ๊กเกอร์ที่ติดกระเป๋ามีชำรุดจะต้องทำการ X ray กระเป๋าใหม่

    4.ท่าอากาศยานดอนเมืองขอเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่เช็กอินของสายการบิน เข้มงวดในการตรวจสอบกระเป๋าและสติ๊กเกอร์ก่อน Check in และ โหลดขึ้นเครื่องทุกครั้ง

    ก่อนหน้านี้ ทางทอท.ได้ประกาศมาตรการตรวจสัมภาระผู้โดยสารของท่าอากาศยานดอนเมืองใหม่ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยปรับเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัยด้วยการตรวจค้นและเอ็กซ์เรย์กระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารทุกชิ้นที่นำเข้าไปในพื้นที่เช็คอิน ทำให้ผู้โดยสารภายในประเทศควรมาถึงภายในสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 2 ชั่วโมงครึ่ง และผู้โดยสารขาออกต่างประเทศควรมาถึงภายในสนามบินล่วงหน้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมง

    เมื่อเวลา 12.00 น. วันเดียวกัน ผู้บริหารการท่าอากาศยานดอนเมือง มีการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว และในเวลา 17.00 น. พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง (กลาง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จะเดินทางไปตรวจสอบสถานการณ์ที่สนามบินดอนเมืองด้วย




    ศาลฎีกาฯประทับฟ้อง"หมอเลี๊ยบ"ตั้งบอร์ดแบงก์ชาติขัดพรบ.ธปท.


    วันนี้(16 กรกฎาคม2558) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ องค์คณะผู้พิพากษา 9 คน คดีหมายเลขดำ อม.39/2558 มีคำสั่ง ให้ประทับรับฟ้อง คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) เป็น โจทก์ ยื่นฟ้อง นพ.สุรพงษ์ หรือ หมอเลี๊ยบ สืบวงศ์ลี อายุ 58 ปี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
    ทั้งนี้จากกรณีเมื่อปี 2551 ระหว่าง นพ.สุรพงษ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ได้มีการแต่งตั้งประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธปท. โดยมิชอบ ซึ่งภายหลังมีการร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ได้วินิจฉัยว่าการคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการธปท.เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกรรมการ ในคณะกรรมการคัดเลือก บางคน มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย(ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551 มาตรา 28/1 และได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรี พิจารณาดำเนินการระงับการทูลเกล้าฯ เพื่อทรงแต่งตั้งประธานกรรมการ ธปท. และให้ รมว.คลัง ดำเนินการยกเลิกการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ ธปท.
    โดยองค์คณะฯ ได้ประชุมปรึกษาหารือกันและพิจารณาคำฟ้องของ ป.ป.ช. แล้ว เห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9(1) และคำฟ้องถูกต้องตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2543 ข้อ 8 องค์คณะ ฯ จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องคดีไว้เพื่อพิจารณาและมีคำพิพากษาต่อไป โดยองค์คณะ ฯ นัดพิจารณาครั้งแรกเพื่อสอบคำให้การจำเลย ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ เวลา 09.30 น.
    ขณะเดียวกันวันนี้ องค์คณะ ฯ ทั้ง 9 คน ก็ได้มีมติด้วยการลงคะแนนลับ เลือก นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา ให้เป็นผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนนี้ด้วย
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช. ได้ยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลฎีกา ฯ เมื่อเดือน มิถุนายน2558 ที่ผ่านมา หลังจากมีการชี้มูลความผิด นพ.สุรพงษ์ เมื่อเดือนมีนาคม2554 ขณะที่ นพ.สุรพงษ์ จำเลย จะต้องเดินทางมาศาลเพื่อแสดงตัวต่อองค์คณะ ฯ เป็นครั้งแรก ในวันที่ 8 ตุลาคมนี้ เพื่อสอบคำให้การจำเลย ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.

    ตอกฝาโลงยิ่งลักษณ์ ร่างรธน.ตัดสิทธิ์ตลอดชีพ ‘บวรศักดิ์’ฝันฉบับสุดท้าย


    "ไม่ผ่านก็ตัวใครตัวมัน" บวรศักดิ์ย้ำ พ้อไม่ใช่ร่างในฝัน หลังหั่น-แก้-รื้อจากร่างแรกเพียบ กมธ.ยกร่าง รธน.แจง ตัดสิทธิ์การเมืองลง ส.ส.-ส.ว. เป็นรัฐมนตรี ทั้งตลอดชีวิต-ห้าปี ให้มีผลย้อนหลังได้หมด ไม่ขัดนิติธรรม เหตุไม่ใช่คดีอาญา ตอกหมุดฝัง "ยิ่งลักษณ์" ตลอดอายุขัย รธน. กลุ่ม 111-109 เฮ ไม่ได้รับผลกระทบ สปช.ขยับตั้งป้อมโหวตไม่เห็นชอบ
    เมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา นายคำนูณ สิทธิสมาน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า การเพิ่มบทบัญญัติลักษณะบุคคลต้องห้ามสมัคร ส.ส. อันจะพ่วงเป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับการเป็น ส.ว. รัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีด้วย ขึ้นมาอีก 2 อนุมาตรา โดยมีคำว่า 'เคย' นำหน้า อันจะหมายความรวมถึงบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้นอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ด้วย คือ
    "เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรม..."
    "เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งเพราะเหตุที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม..."
    ไม่ขัดกับหลักนิติธรรม เพราะเป็นเพียงการคัดกรองคนที่ไม่เหมาะสมให้เข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น ไม่ได้ไปลงโทษทางอาญาย้อนหลังใคร จึงไม่ถือว่าเป็นการบังคับใช้รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายย้อนหลังเป็นโทษทางอาญา
    การบัญญัติลักษณะต้องห้ามบางประการให้มีผลย้อนไปในอดีตด้วยเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยทำหรือไม่มีบทบัญญัติเช่นนี้มาก่อน เพราะเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับไหนก็ไม่ต่างกันตรงที่ต้องการคัดกรองคนที่เหมาะสมให้เข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง
    บทบัญญัติเนื้อหาทำนองเดียวกันเช่นนี้ของรัฐธรรมนูญ 2550 และ 2540 ที่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ยังคงไว้ เช่น "เคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต...", "เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยพ้นโทษมายังไม่ถึงห้าปีในวันเลือกตั้ง...", "เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่...", "เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน..."
    3 ใน 4 กรณีที่ยกตัวอย่างมานี้ ถือเป็นบุคคลต้องห้ามตลอดไป และหมายความรวมไปถึงบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้นอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ มีผลบังคับใช้ด้วยอยู่แล้ว เท่าที่ทราบ ก็ไม่เคยมีการคัดค้านกัน
    ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ อธิบายถึงกรณีการตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิตกับบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือกระทำการอันทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมว่า กรณีดังกล่าวจะไม่มีผลใดๆ กับอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่เคยโดนตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสิทธิการเมืองห้าปี หรือกลุ่ม 111 ไทยรักไทย รวมถึงอดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาฯ โดยกลุ่ม 111 และกลุ่ม 109 จะไม่ถูกตัดสิทธิใดๆ จากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเว้นแต่บุคคลที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดกรณีการยุบพรรคหรือบุคคลที่กระทำความผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดการยุบพรรคเท่านั้น
    "พวก 111 กับ 109 ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดโดยตรง แต่ไปโดนเหมาเข่ง กรณีตัดสิทธิตรงนี้จะให้ถึงเฉพาะผู้กระทำที่ถูกใบแดงแล้วทำให้เกิดคดียุบพรรคเท่านั้น พวกนี้จึงไม่อยู่ในข่าย เขาก็สามารถลงสมัคร ส.ส.หรือไปรับตำแหน่งอะไรได้ตามปกติ" นายไพบูลย์กล่าว
    เมื่อถามถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติถอดถอน จะเข้าข่ายกรณีไหน นายไพบูลย์กล่าวว่า กรณีอดีตนายกรัฐมนตรีถูก ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้ สนช.ถอดถอนกรณีกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เมื่อเป็นกรณีนี้ก็ต้องถูกตัดสิทธิการเมืองตลอด ไม่ใช่แค่ 5 ปีตามที่ร่างรธน.ฉบับใหม่ได้แยกการถอดถอนออกเป็น 2 กรณี คือตัดสิทธิ 5 ปี กับตลอดช่วงที่ รธน.มีผลบังคับใช้
    "เมื่อเป็นกรณีแบบนี้ อดีตนายกฯ ก็คือต้องถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดที่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้" นายไพบูลย์กล่าว
    สำหรับสำนวนที่ ป.ป.ช.ส่งให้ สนช.ถอดถอน น.ส. ยิ่งลักษณ์ในคดีรับจำนำข้าว ระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีมูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 178 และส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 11 (1) อันเป็นมูลเหตุให้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 270 ประกอบ พ.ร.บ.ป.ป.ช.ฯ
    ขณะที่คดียุบพรรคต่างๆ ก่อนหน้านี้ มีผู้ถูกโดนใบแดงและทำให้เกิดคดียุบพรรค ประกอบด้วย นายยงยุทธ ติยะไพรัช ในคดียุบพรรคพลังประชาชน, นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ในคดียุบพรรคชาติไทย, พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ในคดียุบพรรคไทยรักไทย เป็นต้น
    โดยผู้เคยถูกถอดถอนพบว่าล้วนเกิดในยุค สนช.ชุดปัจจุบันทั้งสิ้น เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์, นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ส่วนคดีถอดถอนที่เกิดจากการแก้ไข รธน.ไม่เคยมีการถอดถอน อาทิ คดีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์, คดีนายนิคม ไวยรัชพานิช และเวลานี้ สนช.กำลังพิจารณาคดีถอดถอน 248 อดีต ส.ส.อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมีอดีตส.ส.จากพรรคอื่นด้วย เช่น พรรคชาติไทยพัฒนา แต่ก็มีแนวโน้ม สนช.จะลงมติไม่ถอดถอน
    บวรศักดิ์ไม่มั่นใจผ่าน-ไม่ผ่าน
    นายบวรศักดิ์ อุวรรณโน ประธาน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า คณะ กมธ.ยกร่างฯ จะประชุมกันเพื่อมีมติในวันที่ 21 ก.ค. ในเวลา 13.30 น. ว่าจะมีมติขยายเวลาการทำงานของ กมธ.ออกไปอีก 30 วันหรือไม่ ซึ่งหากถามว่าพอใจกับ รธน.ฉบับนี้แค่ไหน คงพอใจเท่าที่จะพอใจได้ เพราะไม่มี รธน.ฉบับไหนดีที่สุดในโลก และร่างดังกล่าวก็ยังไม่ใช่ร่างในฝัน เพราะเข้าใจว่ายังมีข้อจำกัดหลายประการ
    นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ข้อจำกัดแรก มีข้อจำกัดเรื่องเนื้อหา เพราะรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 มาตรา 35 ได้กำหนดแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญไว้หลายประการ เช่น การตัดสิทธิผู้ถูกพิพากษาว่าได้ทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมให้ออกไปจากวงการเมืองตลอดไป เป็นต้น และข้อจำกัดที่สองคือเรื่องเวลา ซึ่งบางเรื่องหากมีเวลามากกว่านี้ อาจะทำให้สมบูรณ์มากขึ้น ข้อจำกัดที่สาม เป็นเรื่องของกระบวนการ ซึ่ง กมธ.ยกร่างฯ ไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยให้สิทธิ สปช. 8 คำข้อ ครม. 1 คำขอ และจากการฟังเสียงประชาชน
    ผู้สื่อข่าวถามว่า แผนในการเผยแพร่รัฐธรรมนูญได้วางไว้อย่างไรบ้าง นายบวรศักดิ์กล่าวว่า มีคิดไว้ในใจ แต่ยังไม่สามารถพูดได้ เพราะยังไม่รู้ว่า รธน.ฉบับดังกล่าวจะผ่าน สปช.หรือไม่ หากมีการลงมติแล้ว กมธ.ยกร่างฯ จะมีการพูดคุยกันอีกที ส่วน สปช.จะลงมติอย่างไรก็เป็นเอกสิทธิ์ของ สปช. ไม่ขอก้าวล่วง และไม่ไปเดาว่าผ่านหรือไม่ผ่าน
    “การลงมติของ สปช. ต้องยึดหลักการ 4 ประการ คือ ทำพลเมืองให้เป็นใหญ่ ทำให้การเมืองใสสะอาดและสมดุล หนุนสังคมให้เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข ไม่สามารถตอบได้ว่า รธน.ฉบับนี้จะอยู่กับประเทศไทยอีกนานแค่ไหน เพราะผมอยู่กับปัจจุบัน พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า คนที่ไปคิดถึงอดีตมันไม่มีประโยชน์ เพราะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คนที่คิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน ดังนั้น ผมตอบได้ว่าปัจจุบันถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ของประเทศ จะอยู่ได้นานแค่ไหนผมไม่รู้ แต่ผมตั้งใจในตัวผมเองว่าคงจะเป็นฉบับสุดท้ายที่ผมจะมีส่วนในการทำแล้ว" นายบวรศักดิ์กล่าว
    ถามต่อว่า หากเหตุการณ์ที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ผ่าน ส่วนตัวจะกลับมาเข้ามาเป็นหนึ่งในกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายบวรศักดิ์กล่าวว่า อย่าถามเรื่องอนาคต อนาคตมันยังไม่เกิด ปี 2540 ร่างรัฐธรรมนูญในบรรยากาศประชาธิปไตย ปี 2550 เกิดความขัดแย้งที่ยังสุกงอม มาปีนี้ความขัดแย้งก็ยังไม่หมด ขนาดตนพูดเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม ยังเอาไปพูดเป็นเรื่องแบ่งชนชั้นเลอะเทอะไปโน่น
    "เรื่องกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 21 คน อย่ามาคิดถึงผมเลย ตัวใครตัวมันก็แล้วกันถ้าไม่ผ่าน ผมก็กลับไปนอนบ้าน เท่านั้นเอง" นายบวรศักดิ์กล่าว
    นางกาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์ เลขานุการ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ไขวิกฤติต่างๆ ที่ผ่านมา และนำประเทศไปสู่ความสงบโดยพริบตา แต่เป็นแนวทางที่คาดว่าจะเป็นช่องทางให้บ้านเมืองไปสู่สันติสุขและเจริญก้าวหน้าได้อย่างน่าชื่นชม รัฐธรรมนูญร่างแรกที่ออกมานั้น หลายคนคิดว่าเป็นกลไกที่สร้างขึ้นมาแล้วสามารถแก้ไขปัญหาและนำประเทศไปสู่ความสงบสุขได้ แต่เมื่อรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ และเสียงประชาชนแล้ว ต้องนำความเห็นนั้นมาปรับเพื่อให้เกิดความสมดุลและได้รับการยอมรับมากขึ้น แม้จะไม่ใช่โจทย์ที่ต้องการ แต่สุดท้ายต้องไม่ลืมเป้าหมายสูงสุดที่เพื่อแก้ปัญหาให้บ้านเมือง และให้บ้านเมืองสงบสุข
    นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ รองประธาน กมธ.ยกร่าง รธน.และอดีต กมธ.ยกร่าง รธน.ปี 50 กล่าวว่า ตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 50 กับสถานการณ์วันนี้ มันต่างกับวันนั้นมาก เพราะร่างในสถานการณ์กดดัน โดยคนแบกรับมากที่สุดคือประธาน
    "ส่วนตัวเชื่อว่าร่าง รธน.จะผ่าน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา 6-7 เดือน สปช.ทราบถึงความเป็นเจ้าของร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเราทำงานร่วมกันด้วยความรู้สึกการเป็นเจ้าของร่วม นอกจากนี้ คำถามที่ว่าจะผ่านประชามติหรือไม่ ผมมั่นใจผ่าน เพราะมีประโยชน์กับผู้คน นำพา ชาติบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่คาดหวัง" นพ.ชูชัยกล่าว
    สปช.จ่อโหวตไม่รับคาใจปม สว.
    ด้านความเห็นจาก สปช.ที่จะต้องลงมติรับ-ไม่รับร่าง รธน.ฉบับใหม่นั้น นายดิเรก ถึงฝั่ง สปช. กล่าวย้ำว่า ไม่เห็นด้วยกับการให้มี ส.ว.มาจากการเลือกทางอ้อม เพราะยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่รับ ส.ว.ที่มาจากสรรหาทั้งหมด ไม่ว่าจะมีการคัดเลือกด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะภารกิจหน้าที่ของ ส.ว.ตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้กมธ.ยกร่างฯ จะตัดออกไปแล้ว แต่ยังไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิชาการหรือหลักการกฎหมาย อาทิ การให้อำนาจรัฐสภาที่ประกอบด้วย ส.ส.และ ส.ว.มีอำนาจในการถอดถอนนักการเมืองได้ แต่ที่มา ส.ว.ซึ่งเป็นองค์ประกอบของรัฐสภามาจากการแต่งตั้งที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับประชาชน จึงเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้จะสามารถใช้อำนาจอย่างชอบธรรม เพื่อไปถอดถอนนักการเมืองที่ประชาชนเลือกตั้งมาได้ อีกทั้งการให้อำนาจ ส.ว.ในการถอดถอนบุคคลตามที่วุฒิสภาเป็นผู้ตั้งขึ้น อย่างองค์กรกรอิสระต่างๆ ซึ่ง ส.ว.ที่จะใช้อำนาจในการถอดถอนกลับมีที่มาจากการสรรหา แล้วการถอดถอนในกรณีนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะไม่ขอวิจารณ์วิธีการได้มาของ ส.ว.สรรหาทั้ง 4 แนวทางของ กมธ.ยกร่างฯ เพราะไม่รับแนวทางดังกล่าวตั้งแต่ต้น
    "ประเด็นที่มาของ ส.ว.ตามร่างรัฐธรรมนูญที่ กมธ.ยกร่างฯ กำหนดนั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะการให้อำนาจไว้เช่นนี้ ส.ว.จะต้องมีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด"
    พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย สปช. กล่าวในประเด็นตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตสำหรับคนที่เคยถูกถอดถอน ซึ่งจะรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วยว่า เป็นการตัดสิทธิ์ที่รุนแรงเกินไป มองว่าความชอบธรรมในเวลานี้ไม่ได้เกิดจากจุดที่เป็นกลาง ที่ผ่านมาบางพรรคการเมืองไม่เคยเจอในกรณีเดียวกัน ความเป็นกลางในการบังคับใช้กฎหมายหลักนิติธรรมห่างจากหลักการใหญ่ ดังนั้น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญควรบัญญัติว่า ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องห้ามนอกลู่นอกทาง ไม่กระทำการทุจริต ไม่ใช่ป้องกันไม่ให้นายกฯ คนหนึ่งได้กลับมาเป็นนายกฯ อีก เพราะการที่ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญบัญญัติแบบนี้เหมือนมองย้อนอดีต ไม่ป้องกันปัจจุบัน ทั้งที่ไม่จำเป็นที่ต้องทำขนาดนั้น ทำไมต้องไปขุดคุ้ยกันจนตาย กมธ.ยกร่างฯ และคณะกรรมการ ป.ป.ช.แน่ใจหรือว่าที่ผ่านมาไม่เคยกระทำความผิด
    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญให้ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตแก่ผู้ที่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งกรณีการทุจริตว่า ตนยังไม่ทราบเรื่อง เห็นจากข่าวเท่านั้น
    ส่วนที่นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษก กมธ.ยกร่างฯ ชี้แจงว่า ในอนุมาตรามีคำว่า “เคย” นำหน้า อันจะหมายความรวมถึงบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้นอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ด้วย นายวิษณุกล่าวว่า ถ้ามีคำว่า “เคย” บัญญัติไว้ ก็จะต้องรวมหมด แต่ตนยังไม่รู้ว่า เขาลงมติอย่างไร และเอาอย่างไร เมื่อถามย้ำว่าหากมีผลย้อนหลังไปยังบุคคลที่เคยถูกถอดถอนก่อนหน้านี้ จะขัดต่อหลักนิติธรรมหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า จะว่าขัดก็ขัด แต่ว่ามันไม่ใช่เป็นการย้อนหลังไปลงโทษอาญา แต่เขาถือว่าเป็นโทษตัดสิทธิ์ธรรมดาเท่านั้น จะเป็นในแง่ของคุณสมบัติ อย่างไรก็ตาม ตนขอรอความชัดเจนจาก กมธ.ยกร่างฯ ก่อน เพราะอีกหน่อยคงจะออกมาเป็นเอกสาร ตอนนี้ยังไม่เห็น เห็นแต่จากข่าว
    นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีร่างรัฐธรรมนูญให้ตัดสิทธิ์ผู้ที่เคยถูกถอดถอน หรือถูกตัดสินว่าผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบว่า โดยหลักกฎหมายแล้วก็หมายจะมีผลย้อนหลังไม่ได้หากผลนั้นเป็นลบ แต่ถ้าผลเป็นบวกนั้น สามารถให้ผลย้อนหลังได้ ดังนั้นถ้าออกกฎหมายมาในวันนี้ เพื่อจะเอาผิด ก็ต้องว่ากันในเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคต
    "วันนี้ หลักนิติรัฐนิติธรรมของไทยบิดเบี้ยว ฟั่นเฟือน และเละเทะไปหมดแล้ว ทั้งร่างรัฐธรรมนูญก็เขียนโดยกลุ่มคนที่ไม่ได้มาจากประชาชน หรือจะพูดว่าไม่สามารถเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรมได้เลย เขียนขึ้นมาโดยมีวาระซ่อนเร้น ก็รอดูว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะผ่านความเห็นชอบของประชาชนไปได้อย่างไร วันนี้อำนาจเป็นของพวกท่าน เอาประเทศให้รอดก็แล้วกัน เพราะถ้าหากเกิดความเสียหายจากการบริหารประเทศของรัฐบาลชุดนี้ ท่านก็ต้องรับผิดชอบ" นายสุรพงษ์กล่าว.
    ที่มา : ไทยโพสต์

    คลังยวบ ! 9 เดือนเก็บภาษีต่ำเป้า 6.5 หมื่นล.-สรรพากรหนักสุด 1.38แสนล.

    วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 06:00:15 น.

    แฟ้มภาพ

    http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14372805051437280640l.jpg


    นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงผลการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 (ต.ค.57-มิ.ย.58) ว่าสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ 1.63 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 6.55 หมื่นล้านบาท หรือ 3.9%

    เป็นผลมาจากการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม และภาษีสรรพสามิตรถยนต์ได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ขณะที่การจัดเก็บภาษีน้ำมัน การจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่น และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจยังสูงกว่าเป้าหมาย
            
    "การจัดเก็บรายได้รัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาต่ำกว่าประมาณการเนื่องจากยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในช่วงก่อนหน้านี้และจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงเป็นอย่างมาก"

    นายกฤษฎากล่าวอีกว่า ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร ในช่วง 9 เดือนแรก จัดเก็บรายได้รวมอยู่ที่ 1.25 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 1.38 แสนล้านบาท ภาษีที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่สำคัญ ได้แก่ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเก็บได้ 3.49 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 6.05 หมื่นล้านบาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม(แวต) จัดเก็บได้ 5.34 แสนล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 4.22 หมื่นล้านบาท

    กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวมที่ 3.31 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1.38 หมื่นล้านบาท การจัดเก็บภาษีน้ำมันทำได้สูงกว่าเป้าหมาย 4.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราภาษีน้ำมันดีเซลและราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ปริมาณใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น

    ส่วนภาษีสรรพสามิตรถยนต์จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 1.77 หมื่นล้านบาท เนื่องจากความต้องการซื้อรถยนต์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ภาษีเบียร์ จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 6.28 พันล้านบาท และภาษีสุราจัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ 5.89 พันล้านบาท

    สำหรับกรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 8.62 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 5.43 พันล้านบาท อย่างไรก็ดี รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้รวม 1.1 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1.58 หมื่นล้านบาท ขณะที่หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 1.38 แสนล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 2.53 หมื่นล้านบาท 

    วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยจากผู้ว่าแบงค์ชาติ

    น่าสนใจ ! วิเคราะห์เศรษฐกิจไทย ย้ำไม่ควรดิสเครดิตคนทำงาน ... .เฮียจิว ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ ว่าเจอโรครุมเร้า 3 โรค การจะรักษาที่ต้นเหตุของโรคนั้น จำเป็นต้องอาศัยบทบาทภาครัฐ ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ อย่างจริงจัง รัฐบาลปัจจุบันแสดงความตั้งใจ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน จึงเป็นนิมิตหมายอันดีต่อเศรษฐกิจไทย เชื่อว่า วันหนึ่งปัญหาคลี่คลาย และเศรษฐกิจไทย จะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในที่สุด ส่วนการปรับ ครม.เศรษฐกิจ ไม่ควรพูด บั่นทอนกำลังใจคนทำงาน
    "ไข้หวัดใหญ่" ที่ได้รับเชื้อจากความผันผวน ของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังเปราะบางอยู่ ส่วน EU จำเป็นต้องได้รับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ขณะที่เศรษฐกิจจีน ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้มาก อีกทั้งไทยยังสูญเสีย GSP กับประเทศคู่ค้าหลักของไทย ตั้งแต่ต้นปี 2558 ดังนั้นความหวังที่จะให้การส่งออกของไทย เป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจ จึงอาจทำไม่ได้มากนัก
    “ข้อเข่าเสื่อม” จากการไม่ได้ปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจ การผลิต และการลงทุนประเทศ ช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความสามารถในการแข่งขัน ในการส่งออกเสื่อมสมรรถภาพลง จนเป็นปัญหา เรื้อรัง และโรคสุดท้าย
    “ขาดความมั่นใจ” เพราะผู้ประกอบการ ไม่มั่นใจว่าเปลี่ยนเข่าแล้ว จะเดินได้เหมือนเดิมหรือจะ ยิ่งทำให้แย่ลง
    บทบาทที่ ธปท.สามารถเข้ามาช่วยรักษาได้ คือใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน ซึ่งเสมือนจ่าย “ยารักษาโรค” เข้าระบบเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดูแลความผันผวน ของอัตราแลกเปลี่ยน และควบคุมเงินทุน ไหลเข้าไหลออก ซึ่งช่วยดูแลเสถียรภาพทางการเงิน เพื่อให้เกิดบรรยากาศทางเศรษฐกิจ ที่เหมาะสม และเอื้อต่อการบริโภค และการลงทุน ของภาคเอกชน แต่การให้ยานี้บรรเทาอาการของโรคทั้ง 3 และเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้บางส่วนเท่านั้น เนื่องจากการรักษาโรคจำเป็น ต้องอาศัยบทบาทภาครัฐ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นใน ส่วนที่เหลือกลับมา


    ได้เวลาพวกเจ้าหนี้รวมกินโต๊ะกรีซ เหล่าเซเลบฯ ดาราฮอลลิวูด มหาเศรษฐี ต่างพากันแย่งซื้อเกาะกรีซ

    -------------
    วันที่ 19 ก.ค.58 ที่ผ่านมา Sputnik news พาดหัวข่าวว่า "Your Piece of Greece: Warren Buffett Reportedly Buys Greek Island" แปลว่า "ส่วนแบ่งของคุณในกรีซ: รายงานข่าวบอกว่ามหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟฟเฟตต์ซื้อเกาะของกรีซ"
    Sputnik news สรุปให้โดยย่อว่า Warren Buffett หนึ่งในมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ได้ซื้อเกาะ Agios Thomas ของกรีซมูลค่า 15 ล้านยูโร (ประมาณ 563,454,000 บาท) ตามรายงานข่าวในเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ Proto Thema ของกรีซ และได้กลายเป็นอีกหนึ่งคนในบรรดาเหล่าเซเลบทั้งหลายที่มีเกาะส่วนตัวในกรีซ
    รายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ดังกล่าวว่าบอกว่า ข้อตกลงในการซื้อเกาะในครั้งนี้กระทำร่วมกันกับมหาเศรษฐีธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ชาวอิตาเลี่ยนชื่อ Alessandro Proto โดยทั้งสองคน (Warren Buffett และ Alessandro Proto) ตกลงกันที่จะซื้อขายเกาะ Agios Thomas ในราคา 15 ล้านยูโรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มหาเศรษฐีทั้งสองคนได้เปิดเผยแถลงการณ์ร่วมกันโดยกล่าวว่าพวกเขาต้องการที่จะลงทุนในเกาะ Agios Thomas และยังอ้างถึงเกาะ St. Thomas (ปัจจุบันเว็บไซต์ Private Islands Inc. ที่เป็นนายหน้าค้าเกาะของกรีซในครั้งนี้กำหนดราคาที่ EUR 15,000,000 มีเนื้อที่ราว 300 เอเคอร์ (acres) ราคาเท่ากันกับเกาะ Agios Thomas) ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ Egina ในอ่าว Saronic อีกด้วย มหาเศรษฐีเหล่านี้อ้างว่าต้องการที่จะสร้างทรัพย์สินขึ้นมาเพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาภูมิภาคนี้ให้ขยายออกไป (ตอนอยากจะได้สมบัติของเขาก็บอกว่าเพื่อพัฒนา แต่เขาไม่ได้บอกเอาไว้นะว่าพัฒนาเพื่อใคร? พัฒนาเพื่อประชาชนชาวกรีซหรือเพื่อพวกเขาเอง?)
    หากมีการยืนยัน นี่ก็จะเป็นอีกเกาะหนึ่งที่กรีซที่เซเลบต่างชาติคนนี้ (foreign celebrity) จะเข้าไปครอบครอง ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Johnny Depp ดาราฮอลลิวูตได้ซื้อเกาะที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยของกรีซชื่อ Stroggilo ไปเรียบร้อยแล้วด้วยจำนวนเงิน 4.2 ล้านยูโร (ประมาณ 157,767,120 บาท) ซึ่งมีพื้นที่เพียง 54 เอเคอร์
    การซื้อเกาะเล็กๆนี้ได้รับความช่วยเหลือ (เป็นนายหน้าวิ่งงาน) จากบริษัท Proto Organization Ltd ซึ่งตั้งอยู่ที่อังกฤษ เป็นบริษัทที่ดำเนินกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์และการเงินบริหารงานโดย Alessandro Proto รายงานข่าวจากเว็บไซต์ Elite Daily ยังบอกด้วยว่า Alessandro Proto กำลังจีบให้ E.L. James เจ้าของนวนิยาย "Fifty Shades of Grey" ที่โด่งดังให้เข้าไปซื้อเกาะกรีซด้วย
    Steven Taylor โฆษกของ Proto Organization กล่าวว่าบรรดาเหล่าเซเลบต่างก็พากันแสดงความสนใจที่จะซื้อเกาะต่างๆของกรีซ รายงานข่าวยังบอกอีกว่าเมื่อเร็วๆนี้ Angelina Jolie และ Brad Pitt ได้ซื้อเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ Gaia Sogia ไปเรียบร้อยแล้ว
    ปัจจุบันนี้ที่เว็บไซต์ privateislandsonline ประกาศขายเกาะกรีซประมาณ 15 แห่ง ส่วนเว็บไซต์ thejournal.ie ก็ลงข่าว 11 เกาะของกรีซที่ขายราคาถูกที่สุดในตอนนี้ เริ่มตั้งแต่ 50 ล้านยูโรลงมาถึงประมาณ 3 ล้านยูโรต่อเกาะ ปัจจุบันนี้กรีซมีเกาะอยู่ในอาณาเขตของตนประมาณ 1,200 - 6,000 แห่ง ไม่มีจำนวนที่แน่ชัดว่ารัฐบาลกรีซเป็นเจ้าของอยู่กี่แห่ง ข้อมูลเบื้องต้นจาก wiki บอกว่ามีเกาะที่มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 166-227 แห่ง
    เป็นไงครับ แผนกินรวบกรีซของพวกเจ้าหนี้ทรอยก้า? นี่ต้องบอกว่าพวกเจ้าหนี้บีบให้กรีซขายแผ่นดินใช้หนี้กันเลยก็ว่าได้ ปล่อยกู้ออกไปเยอะๆ ให้พวกนักการเมืองเสพติดเงินกู้ให้มากๆ พอหนี้ทั่วหัวเดือดร้อนทั้งประเทศก็จำเป็นต้องแก้กฎหมายเพื่อขายที่ดิน เกาะ และอื่นๆ ให้กับพวกเจ้าหนี้ที่ฉากหน้ากระทำในนามของบรรดาเหล่ามหาเศรษฐีและเซเลบทั้งหลาย เพื่อลดแรงกดกันจากนานาชาติว่ารัฐบาลต่างประเทศเข้าไปฮุบเกาะของกรีซ ด้วยการทำให้เป็นเกาะเอกชนซะก่อน แม้จะมีการแก้กฎหมายหรือขายจากของรัฐให้เป็นเอกชนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นั่นแหละหนึ่งในยุทธการส่วนแบ่งกรีซของพวกเจ้าหนี้ทั้งหลาย ของฟรีไม่มีในโลก การให้เงินช่วยเหลือก้อนใหม่แก่กรีซก็เป็นการลงทุนทำธุรกิจอีกแบบหนึ่ง และเพื่อความอยู่รอดของอียูด้วย
    The Eyes
    20/07/2558
    -----------


    “บิ๊กตู่" โวย รัฐบาลประชาธิปไตย ต้นตอ ป่าต้นน้ำหาย-ภัยแล้ง

    “บิ๊กตู่" โวย รัฐบาลประชาธิปไตย ต้นตอ ป่าต้นน้ำหาย-ภัยแล้ง ถามรัฐบาลที่ผ่านมา ทำไมไม่ทำ "ในหลวง"ทรงรับสั่งมานานแล้ว แต่ทำไมที่ผ่านมาไม่ทำกัน จนวันนี้ผมต้องมาคลี่ทุกอย่าง รื้อทั้งหมด อาจจะใช้งบประมาณถึง 3.5 แสนล้านบาท ลั่น นี่ถ้าเป็นรัฐบาลอื่นทุกอย่างอาจเจ๊ง ไปแล้วก็ได้ ฉะรัฐบาลประชาธิปไตยทำพื้นที่ป่าต้นน้ำหายเพียบ เผยกังวลแผนจัดการน้ำที่ต้องรื้อทำใหม่เป็นระยะยาว รับรู้ปัญหาล่วงหน้า แจงฝนตกใต้เขื่อนเก็บน้ำไม่ได้ ย้ำปีหน้าทั่วไทยต้องมีประปาใช้ หวังให้มีเกษตรแปรรูป-Smart Farmer ย้ำ ให้ปลูก หมามุ่ย เล็งขุดน้ำบาดาลใช้ต่อพื้นที่เกษตรล้านไร่ เผยเจอพิษเศรษฐกิจ ย้ำประหยัดน้ำเพื่อคนรุ่นต่อไป เตือนสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ไม่ได้ ค่าไฟพุ่งแน่

    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวที่จ.ระยอง ถึงการบริหารจัดการน้ำในขณะนี้ว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งอาหารของโลก ปัญหาคือเราจะทำอย่างไรกับปัญหาสินค้าการเกษตรที่ตกต่ำ เพราะวันนี้ฝนไม่ตก ตามฤดูกาลเนื่องจากโลกเปลี่ยนแปลง
    สิ่งที่ผมกังวลคือเรื่องของแผนการบริหารจัดการน้ำโดยรัฐบาลได้วางแผนตั้งแต่ปี 2557 ที่รื้อมาทำใหม่ โดยเป็นแผนระยะยาวถึงปี 2569

    "ที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าทำ วันนี้เรามีปัญหาฝนแล้ง ฝนตกใต้เขื่อนจึงไม่สามารถเก็บน้ำได้ แต่ไม่ใช่รัฐบาลไม่ทำอะไร ซึ่งการขาดแคลนน้ำรัฐบาลได้มีแผนดำเนินการตรงนี้ตั้งแต่ปี2557 ทั่วประเทศจะต้องมีน้ำประปาภายในปี 2560 ใน 7,400 หมู่บ้าน และให้มีแหล่งน้ำการเกษตรชลประทาน 732 แห่ง รวมถึงแก้แหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน 2,157 แห่งให้เสร็จในปี 2558
    ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทานต้องมาพิจารณาว่าจะช่วยเหลืออย่างไร รัฐบาลไม่ได้บอกว่าให้เลิกสูบทั้งหมด และอยากให้มีการเกษตรแบบอุตสาหกรรม ไม่ใช่ปลูกอย่างเดียวแต่ต้องแปรรูป โดยกำนันผู้ใหญ่บ้าน ต้องเป็นผู้นำเกษตรแนวใหม่ หรือSmart Farmer ในการเข้าถึงแอปพลิเคชัน

    นอกจากนี้ยังต้องขุดน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรให้ได้กว่า 1,000 แห่ง เพื่อใช้สำหรับพื้นที่ 1 ล้านไร่ โดยขณะนี้ มีการขัดน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรได้แล้ว 6.6 หมื่นไร่

    "ทุกคนต้องเข้าใจว่าที่มาของต้นทุนน้ำเพราะที่ผ่านมารัฐบาลประชาธิปไตยทำพื้นที่ป่าต้นน้ำหายไปถึง 8.6 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาคเหนือและอีสานที่ปัจจุบันเป็นเขาหัวโล้นทั้งสิ้น แล้วเราจะเอาน้ำมาจากไหน และการทำฝนหลวงก็ไม่มีผล เพราะทำให้ฝนตกเพียงเล็กน้อย"

    สำหรับน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร รัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อใช้สำหรับพื้นที่การเกษตร 1 ล้านไร่โดยขณะนี้ได้ทำไปแล้ว 6.6 หมื่นไร่ แต่จำทำต่อไป ขณะที่การขุดลอกแม่น้ำสายหลัก เป็นเพราะน้ำตื้น จึงต้องขุดให้ลึกกว่าเดิม แต่ก็ต้องดูว่าจะไปทำลายระบบนิเวศน์หรือไม่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลคิดไว้นานแล้ว โดยต้องมีการทำเป็นแก้มลิงด้วยเพื่อเป็นที่พักน้ำ โดยประชาชนต้องร่วมมือกันเป็นกลุ่ม เช่น หมู่บ้านเพื่อช่วยกันทำแก้มลิง
    "ยืนยันว่าถ้าเกิดฝนตกตามปกติประเทศไทยจะไม่มีการขาดน้ำ แต่ทุกวันนี้ปัญหาอยู่ที่การกักเก็บน้ำ สิ่งเหล่านี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับสั่งมานานแล้ว แต่ทำไมที่ผ่านมาไม่ทำกัน จนวันนี้ผมต้องมาคลี่ทุกอย่าง รื้อทั้งหมด อาจจะใช้งบประมาณถึง 3.5 แสนล้านบาทต่อ ปีนี้เก็บภาษีไม่ได้มากพอ เศรษฐกิจโลกก็ไม่กระเตื้อง
    "ถ้าเป็นรัฐบาลอื่นทุกอย่างอาจเจ๊ง ไปแล้วก็ได้ เราต้องดูแลประชาชนทั่งหมด ไม่ใช่ขึ้นมาก็ดูแลแต่ 10ล้าน ฝั่งนี้ขึ้นมา ก็ดูแลกลุ่มของตัวเอง แล้วอีก 50-60 ล้านคนไปไหน ไม่ดูแล ผมต้องมาดูแล
    วันนี้ทุกคนต้องอย่าคิดว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ เพราะรัฐบาลรู้มาล่วงหน้าว่าจะไม่มีฝน ถึงได้เขียนแผนบริหารจัดการน้ำขึ้นมาตั้งแต่ปี 2557 แต่เมื่อฝนไม่ตกจึงส่งผลกระทบหมดตั้งแต่น้ำอุปโภคบริโภค รวมถึงการเกษตร"
    "อยากขอให้ทุกคนช่วยกันประหยัดน้ำ ไม่ใช่ประหยัดเพื่อตัวเอง แต่เป็นการประหยัดเพื่อคนรุ่นต่อไป โดยต้องร่วมมือกัน มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพ"

    ที่ผ่านมา พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกรัฐบาลได้พูดเพื่อชี้แจงเกือบทุกวัน จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันรับฟังด้วย วันนี้ในเมื่อปลูกข้าวแล้วตาย 2 ถึง 3 รอบเพราะไม่มีน้ำ แล้วเราจะมาปลูกกันทำไม ตอนนี้ต้องดูว่าเราจะปลูกอะไรได้บ้าง ผมไม่ได้บังคับอย่างก่อนหน้านี้ที่ผมยกตัวอย่างเรื่องของการปลูกหมามุ่ย ก็เพราะอยากว่ามันสร้างรายได้เป็นจำนวนมาก เกษตรกรสามารถอย่างอื่นได้ ทั้งผัก หญ้า เกษตรออแกนิก และอยากให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยเอง เพราะการซื้อปุ๋ยเคมีนั้นมีราคาแพง ได้ไม่คุ้มเสีย มีอันตราย และยังไม่เกิดประโยชน์

    ส่วนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าว่า ขอเตือนว่าหากภายใน 1-2 ปีนี้ ไม่สามารถสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ ค่าไฟจะสูงขึ้น เพราะขณะนี้ใช้น้ำมันและก๊าซเป็นต้นทุนผลิตไฟฟ้า จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจ อย่าคิดเอาเอง เพราะบางอย่างที่เดินหน้าไม่ได้เพราะไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ EIA, HIA หรือผลกระทบสิ่งแวดล้อม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปประเทศเราจะอยู่กันอย่างไร ผมอยากให้รวมกลุ่มกันให้ได้เพื่อจะได้ฟังว่าเรากำลังทำอะไร


    อย่าให้คนเลวมีอำนาจ! บิ๊กตู่ กรีด ที่ผ่านมาคือปชต.จอมปลอม พร้อมเป็นมหาอำนาจอาเซียน

    นายกฯระบุ ประชาธิปไตยที่ผ่านมาเป็นสิ่งจอมปลอม ขอประชาชนช่วยกันกำหนดอนาคตประเทศและอย่าให้คนเลวมีอำนาจ ยันไทยพร้อมเป็นมหาอำนาจในอาเซียน
    http://www.matichon.co.th/online/2015/07/14373786251437379009l.jpg

    20 ก.ค. - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.พร้อมคณะ เดินทางมาถึงโรงเรียนกำเนิดวิทย์ อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยองแล้ว โดยมีคณะครู-อาจารย์ นักเรียนและเจ้าหน้าที่ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมให้การต้อนรับและถ่ายรูปหมู่ ก่อนจะรับฟังการบรรยายสรุปและมอบนโยบายให้กับคณะครู-อาจารย์ รวมถึงนักเรียน

    โดยนายกรัฐมนตรี ระบุตอนหนึ่งว่า โรงเรียนกำเนิดวิทย์ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล (มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน) โดยจะต้องทำให้ประเทศไทยมีตัวตน แต่ไม่ใช่ในเรื่องของความขัดแย้งหรือประชาธิปไตยซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นสิ่งที่จอมปลอม แต่ต้องสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งหลังตนออกไปแล้ว ขึ้นอยู่กับทุกคนในการกำหนดอนาคตประเทศ ขณะเดียวกันสิ่งสำคัญที่ต้องเกิดคือความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อกำหนดตัวตนให้ชัดเจน

    ส่วนการศึกษาจะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการของแรงงาน รวมถึงการกำหนดเป้าหมายของประเทศ เช่น เกษตรอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าการวิจัยให้สอดคล้องกับอนาคต ส่วนการส่งออกไม่ใช่รัฐบาลทำไม่ได้ แต่มันตกต่ำมานานแล้วขออย่าไปเปรียบเทียบกับประเทศบ้าน รัฐบาลพยายามแก้ไขสิทธิประโยชน์เพื่อให้คนมาลงทุนในไทย เพื่อให้ไทยพร้อมเป็นมหาอำนาจในอาเซียน โดยไม่ทิ้งประวัติศาสตร์และนำเอาอดีตมาเป็นบทเรียน แต่อย่างไรก็ตามยังต้องคิดถึงเด็กทั้งประเทศนอกจากนักเรียนโรงเรียนกำเนิดวิทย์ที่ต้องการการพัฒนาเช่นกัน

    ขณะเดียวกันประชาธิปไตยไม่ใช่ความขัดแย้งแต่เป็นการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายซึ่งต้องอยู่ให้อยู่ในกรอบ เปรียบเทียบกับการประชุมที่ทั้งเห็นชอบและไม่เห็นชอบ ซึ่งคนส่วนใหญ่ต้องเรียนรู้แม้จะไม่เห็นชอบ

    พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมโรงเรียนกำเนิดวิทย์และสถาบันวิทยสิริเมธีก่อนเดินทางกลับท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยโดยรอบพื้นที่โรงเรียนกำเนิดวิทย์ที่เป็นไปด้วยความเข้มงวด

    อย่าให้คนเลวมีอำนาจพูดแล้วอารมณ์เสียเราไม่ใช่ศัตรูกับใคร เป็นมิตรกับทุกประเทศ ประเทศต่างๆเลยเวลานี้มาแล้ว เคยมีความขัดแย้งล้มตายกันมาแล้ว แต่ไม่ใช่ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กฎหมายไปไม่ได้เพราะช้ากว่าประเทศอีกมานานแล้ว ยืนยันจะไม่ใช้กฎหมายรังแกคนจน เพราะกฎหมายใช้เพื่อให้เกิดความสงบสุขให้แก่ประเทศชาติและทำให้ทุกคนเกิดความเท่าเทียมกัน

    ทั้งนี้ โรงเรียนกำเนิดวิทย์และสถาบันวิทยสิริเมธี เน้นการเรียนการสอนและการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพระดับโลกขึ้นในประเทศไทย โดยโรงเรียนกำเนิดวิทย์เป็นโรงเรียนมัธยมปลายเน้นการพัฒนาศักยภาพรายบุคคล มีนักเรียน 18 คนต่อห้อง ทั้งหมด 4 ห้อง สอนเป็นภาษาอังกฤษ เป็นโรงเรียนประจำและมีครูที่มีคุณภาพทั้งการสอนและวิชาการไม่มีค่าใช้จ่าย ในขณะที่สถาบันวิทยสิริเมธี รับนักศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เกาะกลุ่มเรียนกันเป็นทีม 3 ปี หรือ 5 ปี ริเริ่มวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับแนวหน้าที่จะเน้นในการนำผลมาสู่การปฏิบัติ โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จเปิดโรงเรียนกำเนิดวิทย์ในวันที่ 6 สิงหาคมนี้

    เลือกตั้งแบบเผด็จการเกาหลีเหนือ

    เกาหลีเหนือจัดเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศในวันนี้ เลือกตั้งผู้ว่าฯ นายกเทศมนตรี และสท. ดูเหมือนก้าวหน้า แต่มีผู้สมัครคนเดียวในแต่ละตำแหน่ง พรรคเป็นคนคัดสรรมาให้ กฎหมายกำหนดว่า คนที่ไม่มาใช้สิทธิหรือ vote no จะถูกลงโทษข้อหาขบถในราชอาณาจักร เขาตามไม่ยากหรอก เพราะถ้าจะ vote no เขามีกล่องให้หยอดบัตรแยกต่างหากออกมา การลงคะแนนทำกันเปิดเผย ไม่มีความลับในคูหา รู้หมดว่าใครลงยังไง ฯพณฯ คิมจองอึลก็ลงเลือกตั้งนะครับ เดาสิครับว่าท่านได้คะแนนเสียงในเขตเลือกตั้งของท่านเท่าไร?
    เลือกตั้งคราวที่แล้วมีคนมาใช้สิทธิ 99.7% เขาว่า 0.3% อยู่ต่างประเทศหรือกำลังหลบหนีเป็นมนุษย์เรืออยู่กลางทะเล ตามกฎหมายทุกคนที่อายุ 17 ขึ้นไปต้องไปเลือกตั้ง เขาว่าทางการเกาหลีเหนือใช้ช่วงเลือกตั้งเพื่อ “เช็คแถว” ตรวจดูว่าใคร “ทรยศ” หนีออกนอกประเทศไปบ้าง สมควรที่กกต. สปช. และ คสช. จะส่งคนไปศึกษาดูงาน และนำมาปรับใช้กับการเลือกตั้งบ้านเรานะครับ ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปทุกวัน ๆ
    ปล. ป้ายเลือกตั้งคราวที่แล้วมีข้อความบอกให้ทุกคนโหวต yes (แหงล่ะ)


    James McClean 24 ปี นักเตะ WBA ในลีกอังกฤษ ยืนหันหลังให้ธงชาติอังกฤษ ในพิธีเชิญธง

    เมื่อวาน James McClean 24 ปี นักเตะ WBA ในลีกอังกฤษ ยืนหันหลังให้ธงชาติอังกฤษ ในพิธีเชิญธงก่อนเกมปรีซีซันในสหรัฐฯ เรียกเสียงฮือฮาจากแฟน ๆ แบ็กกี้มาก หาว่าเขาไม่รักชาติ หาว่าเขาไม่เคารพชาติอังกฤษ เหยียดเชื้อชาติ ฯลฯ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนแข่งให้ Wigan เขาไม่ยอมติดดอกป็อปปี้ที่จัดทำเพื่อระลึกทหารผ่านศึกของอังกฤษที่พลีชีพในสงครามโลก โดยมีการคุยและทำจดหมายถึงประธานสโมสร เพื่ออธิบายเหตุผลล่วงหน้าด้วย
    ตอนนั้นเขาอธิบายให้แฟนบอลฟังว่า การไม่ติดดอกป็อปปี้ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่เคารพทหารอังกฤษที่ตายไป แต่ สำหรับตัวเขาที่มาจากเมือง Derry ซึ่งมีเหตุการณ์ Bloody Sunday เขามาจากไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเหตุการณ์ The Troubles คร่าชีวิตพี่น้องร่วมชาติเขาไปเป็นพัน ๆ คน ดอกป็อปปี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของทหารอังกฤษที่มีส่วนร่วมฆ่าพี่น้องชาวไอร์แลนด์เหนือ ถ้าเขาติดดอกป็อปปี้ ก็เท่ากับเขาทรยศน้ำใจและแสดงการดูถูกพี่น้องผู้บริสุทธิ์ที่ตายเพราะน้ำมือทหารอังกฤษด้วย
    เขาบอกว่าไม่ได้ต่อต้านชาวอังกฤษ เพียงแต่เขาเชื่อว่าทุกคนควรอยู่ร่วมกันได้ แม้มีความเห็นและความเชื่อแตกต่างกันไม่ว่าจะในเรื่องศาสนาหรือการเมือง “I believe everyone should live side by side, whatever their religious or political beliefs which I respect and ask for people to respect mine in return.” เป็นเหตุผลที่น่าฟังครับ แต่เชื่อว่าเขาคงถูกแฟน ๆ ค่อนแคะไปอีกนาน เพิ่งย้ายทีมมาด้วย ถ้าเป็นในเมืองไทย เจมส์อาจจะตายเป็น “ขยะ” คาสนามก็ได้นะเนี่ย