PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ตู่พรรคเพื่อชาติ

จตุพร" ยัน ไม่จริง จับมือ "สนธิ-พุทธะอิสระ" ตั้ง "เพื่อชาติ" ชี้ พรรคประชาธิปไตย ซัด ยุทธศาสตร์ กปปส. รวมกันแพ้แยกกันชนะ เตรียมประชุมใหญ่เลือก หน.กลาง พ.ย.นี้

               10 ต.ค. 61  เมื่อเวลา 12.00 น. ที่ ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว  นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงว่า ก่อนการตั้งพรรคเพื่อชาติ ไม่ได้มีการหารือกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ พระพุทธะอิสระ แต่เป็นการพูดคุยในช่วงที่อยู่จุดต่ำสุดในชีวิต อยู่ในคุกที่เหมือนเป็นสุสานคนเป็น ก็มีการหารือถึงทางออกของบ้านเมือง ไม่ใช่พูดคุยการตั้งพรรค

 

 

 

               ทั้งนี้ เกิดจากนายยงยุทธ ติยะไพรัตน์ ให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่ง พูดถึงความประทับใจที่ไปเยี่ยมตน ก็ได้เล่าถึงการพูดคุยนายสนธิ อดีตพระพุทธะอิสระให้ฟัง แต่มีการไปแปลความอีกแบบหนึ่ง ขอยืนยันว่าเป็นความเท็จ 100 เปอร์เซ็นต์ จนทำให้ลูกชายนายสนธิ ออกมาชี้แจง ตนก็เห็นใจและเข้าใจ ขณะนี้นายสนธิ ยังอยู่ในคุก อาจต้องติดถึง 20 ปี ถ้าไม่มีการอภัยโทษ หากจะตั้งพรรคกับตนได้ คงมีอายุร่วม 100 ปี และขออโหสิกรรมให้กับข้อความทั้งหลายและคนที่กุข่าว ที่มาบอกตนจะร่วมตั้งพรรคกับนายสนธิ

               นายจตุพร กล่าวว่า สำหรับเรื่องพรรคเพื่อชาติ ยืนยันว่า นปช. ไม่เคยมีความคิดจะตั้งพรรค และยังยืนยันจุดยืนเดิม ซึ่งพรรคเพื่อชาติ ตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 ในวันนี้ตนก็อยู่ในสถานะ ไม่มีสิทธิ์ทางการเมือง ทำได้เพียงแค่เป็นกองเชียร์ จะไปบงการอะไรใครไม่ได้ รัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน กรธ. ออกแบบให้เกิดปัญหาได้ตลอดเวลา ฝ่าย กปปส. เขาคิดได้ก่อนเรา มีการตั้งพรรคฝ่ายเขาถึงมา 5 พรรค พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลังธรรมใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาชนปฏิรูป

               "พวกผมคิดได้หลังเขา เราไม่ต้องการชนะแล้ว ปกครองไม่ได้ รัฐธรรมนูญถูกออกแบบให้เกิดวิกฤติได้ตลอดเวลา เป็นการทำให้ รวมกันแล้วแพ้ แต่แยกกันแล้วชนะ คนในซีก นปช. อยู่นอกสภา กปปส. อยู่ในสภา ความสมดุลจะไม่เกิด แนวคิดพรรคเพื่อชาติ เป็นแนวคิดเก่าที่เปิดประตูกว้าง สนับสนุนเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ไม่มีที่ในพรรคเพื่อไทย ถ้าถามว่าแตกแยกหรือไม่ คนใน กปปส. แยกไป ทำพรรค ก็ไม่เห็นเขาจะมาพูดถึงเรื่องนี้  รัฐธรรมนูญนายมีชัย เพราะแยกกันแล้วชนะ รวมกันแล้วแพ้ คนอยู่ในสภาก็เจรจากัน นอกสภาก็เจรจา แก้ไขวิกฤติของชาติไปถ้าคิดมุมเดียวไม่เข้าใจรัฐธรรมนูญ นายมีชัยออกแบบ นายสุเทพ เขาเข้าใจ ฝ่ายเราเข้าใจช้า ผมต้องการสร้างความสมดุลในเขตสภาเป็นเรื่องของพรรคการเมืองก็ว่าไป ข้างนอกก็ว่ากันไป" นายจตุพร กล่าว

 

 

 

               เมื่อถามว่า สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางคนกังวลว่าพรรคเพื่อชาติตั้งมา จะเป็นการดึงคะแนนจากพรรคเพื่อไทยไป นายจตุพร กล่าวว่า ในซีก 5 พรรคฝ่าย กปปส. เขาไม่ได้อธิบายความว่าจะมีการดึงคะแนน พรรคการเมืองควรเป็นทางเลือกให้ประชาชน ไม่ควรเห็นแก่ตัว ถ้าคิดว่าจะดึง คงเป็นความคิดเห็นที่เห็นแก่ตัว ในอีกซีก ยังไม่เคยหรือได้ยินเขาจะมาบอกจะมาดึงคะแนนกัน ทั้งที่มาจาก กปปส. เหมือนกัน แต่ต่างคนต่างทำหน้าที่ เช่นเดียวกับซีกเรา ต่างคนต่างทำหน้าที่ ประชาชนจะตัดสินใจเอง ข้างนอกก็มาหาทางออกให้ประเทศร่วมกัน

               เมื่อถามอีกว่า แนวคิดพรรคเพื่อไทยหวังจะเก็บ ส.ส. จากระบบเขตอย่างเดียว นายจตุพร กล่าวว่า ในทางปฏิบัติทำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าฮั้วกัน พรรคการเมืองที่ส่งลงแข่งขัน ส่งครบ 350 เขต เป็นนอมินีกันไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ซีกไหน อย่าไปกลัวว่าจะแบ่งคะแนนกัน ถ้าประชาชนเชื่อมั่น ศรัทธาพรรค ก็อย่าไปหวั่นวิตก

               เมื่อถามว่า จะเป็นพรรคอะไหล่ให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย กำหนดอนาคตเอง แต่พรรคเพื่อชาติ เป็นพรรคที่สมบูรณ์ เปิดพื้นที่ ให้คนที่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตย วันข้างหน้า ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น หลังจากออกจากคุกมา ก็เริ่มหาทางออก วันนี้ถ้าไม่หาความสมดุลระหว่างในและนอกสภาการเจรจาจะยิ่งยาก ต้องสร้างความสมดุลทุกพื้นที่ในสภาฯก็ว่ากันไป ในเรื่องของนอกสภาทั้งตนและนายสุเทพ ก็จัดการกันเองได้

 

 

 

               นายจตุพร กล่าวว่า ในวันที่ 14 ต.ค. เวลา 08.30 น. ที่ อิมพีเรียลสำโรง พรรคเพื่อชาติจะมีการประชุมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับ ประกาศแนวทางอุดมการณ์ ปรับเปลี่ยนสัญลักษณ์พรรค ซึ่งเป็นรูปมือประสานกันเป็นรูปหัวใจ คาดสีแดง สลับน้ำเงิน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง ความพร้อมในการประสานใจร่วมกัน

               สำหรับวันประชุมใหญ่ของพรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือน พ.ย. ที่ยิมเนเซียม 1 ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต คาดว่าจะมีสมาชิกนับหมื่นคนเดินทางมาร่วมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ส่วนเรื่องหัวหน้าพรรค ยังไม่มีการระบุถึงชื่อใด เป็นเพียงแค่ข่าวอยู่ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นแบบนี้ เราจึงต้องออกแบบใหม่ ถ้าไม่เปลี่ยนสนามเล่น จะไม่มีทางเข้าไปในรัฐสภาฯ อย่างแน่นอน ความขัดแย้งที่มีความพยายามจะบอก สมาชิกพรรคเพื่อชาติกับเพื่อไทยขัดแย้งกันนั้น ก็ไม่รู้จะขัดแย้งเรื่องอะไร คนที่มีพื้นที่ในพรรคเพื่อไทยก็ไปอยู่ คนไม่มี ก็มาพรรคเพื่อชาติ ก็ไม่รู้จะขัดแย้งเรื่องอะไร

แนวรบ เลือกตั้ง “เพื่อ” VS “พลัง” เด่นชัด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

รายงาน : แนวรบ เลือกตั้ง “เพื่อ” VS “พลัง” เด่นชัด ตาต่อตา ฟันต่อฟัน



มีความเชื่อตั้งแต่แรกปรากฏชื่อ “พรรคประชาชาติ” แล้วว่า นั่นคือมือไม้ 1 อันแยกออกมาจากพรรคเพื่อไทยต้องการเน้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยเฉพาะ
นั่นก็มองจาก 1 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
เพราะว่านับแต่เข้ามาร่วมกับพรรคไทยรักไทยพร้อมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ก็ไม่เคยไปไหน
นั่นก็มองจาก 1 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
จุดสำคัญก็คือ เส้นทางราชการของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ไม่ว่าเมื่ออยู่ในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ว่าเมื่อไปเป็นเลขาธิการ ศอ.บต.สัมพันธ์กับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย อย่างต่อเนื่อง
นั่นก็มองจาก 1 ท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อพรรคประชาชาติ
ไม่ว่า นายภูมิธรรม เวชชชัย ไม่ว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง ไม่ว่า นายชูศักดิ์ ศิรินิล มองการเกิดขึ้นของพรรคชาติไทยด้วยความเป็นมิตร
สายตาอันทอดมองอบอุ่นอย่างยิ่ง
อุบัติแห่งพรรคประชาชาติในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นกระบวนการ 1 ของยุทธวิธี แยกกันเดินของพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรอยู่แล้ว
แต่นี่กลับปรากฏนาม “พรรคเพื่อธรรม” ขึ้นมาอีก
ในเบื้องต้นก็นินทากันว่าเป็นพรรคที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะเข้าไปมีบทบาทยิ่งมีการเปิดตัวโดยประเด็นที่เชียงใหม่ ยิ่งเด่นชัด
เมื่อมี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ มาเป็นหัวหน้าพรรคก็ไม่มีอะไรกังขา
มีพรรคประชาชาติ มีพรรคเพื่อธรรม รองรังอยู่แล้ว น่าจะเพียงพอ แต่ที่ไหนได้ ได้ปรากฏชื่อ “พรรคเพื่อชาติ” เติมเข้ามาอีกพรรคหนึ่ง
ร่ำลือกันว่า นายยงยุทธ ติยะไพรัช นายสงคราม เลิศกิจไพโรจน์ เป็นหัวเรือใหญ่

ไว้ใจได้จริงซักกี่คน


ไล่หวดกันแรงๆตั้งแต่หัววัน กระตุกพวก “ลอยชาย”
กับบทเฮี้ยบๆอาการดุๆของ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ เดินสายตรวจการบ้านกระทรวงคมนาคม ด้วยอารมณ์เข้มๆ
ไล่กวดไล่บี้เนื้องาน เร่งความคืบหน้าเมกะโปรเจกต์
สั่งเร่งประมูลรถไฟฟ้าในเมืองกรุงเพิ่ม 2 สาย ขู่ฉีกสัญญาผู้รับเหมาก่อสร้างทางรถไฟไฮสปีดเทรนโครงการร่วมทุนไทย–จีน ล่าช้า คาดโทษโละบอร์ดการบินไทยหากจัดซื้อเครื่องบินไม่ทัน
ขันนอตพวก “เกียร์ว่าง” ไม่ให้เกิดสุญญากาศช่วงเลือกตั้ง
“สมคิด” รู้แกวอยู่แล้ว ไม่ปล่อยพวกเขี้ยวตีกรรเชียงรอแบ่งเค้กรัฐบาลใหม่
เพราะถ้าตกอยู่ในสภาพนั้น นั่นหมายถึงรัฐบาล “ลุงตู่” จะอยู่ในอาการอัมพาต
หน่วยงานรัฐแขนขาไม่ทำงาน สารพัดโปรเจกต์ที่ตอกเสาเข็ม เข็นกันเหนื่อยมา 3–4 ปี ก็ไม่มีอะไรคืบเป็นชิ้นเป็นอัน
เข้าเหลี่ยมเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ประจานผลงานตัดแต้มเลือกตั้ง
เซียนการเมืองเขี้ยวระดับ “สมคิด” เร่งอุดรอยรั่วทุกทาง
ท่ามกลางสถานการณ์ “เปราะบาง” เข้าสู่โหมดโรมรันพันตู แบบที่นักการเมืองรู้ แต่ทหารอาจไม่ทัน
อย่างที่มาเป็นซีรีส์ ส่อลากเป็นหนังเรื่องยาว จากช็อต “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม โดนโห่ที่สนามแข่งโมโตจีพี บุรีรัมย์ ที่ลาม ต่อเนื่อง ล่าสุดเพจเฟซบุ๊กลูกข่าย “ทักษิณ” ขยายผลโจมตีปม “พี่ใหญ่” ใช้เครื่องบินของราชการบินไปเปิดงานแข่งรถที่บุรีรัมย์ เอามาใช้ส่วนตัวได้อย่างไร ใครจ่ายค่าน้ำมันเครื่องบิน
ฝ่ายจ้องตีกินได้จังหวะเขี่ยแผลซ้ำ ย้ำกระแสต้านทหาร
“บิ๊กป้อม” เข้าเนื้อ เจ็บลึกอีกตามฟอร์ม
ไปๆมาๆเจ้าถิ่นอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” ผู้มีบารมีนอกพรรค และ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลากพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ไปโดนเชือดที่สนามบุรีรัมย์
งานนี้ใครได้ ใครเสีย ใครเขี่ยลูกเข้าทางใคร
ที่สำคัญตามคิวถ้าเป็น “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ไปเอง
แรงสะท้อนทางการเมืองคงรุนแรงกว่านี้แน่ๆ
และเสียงโห่ไล่จะเป็นปมที่นักการเมืองรุม “ขยี้” ประทับรอยด่างได้เลย
เรื่องของเรื่อง โดยสถานการณ์เดิมพันมาถึงจุดอ่อนไหวในการตีตั๋วต่อขบวนอำนาจเปลี่ยนผ่าน การขยับแต่ละช็อตของทีม “นายกฯลุงตู่” ต้องละเอียด ประเมินทิศทางลมให้ดี
เพราะมันมีขบวนการดักเจาะยางอยู่เต็มสองข้างทาง
อย่างแรกเลยต้องท่องจำให้ขึ้นใจ ไม่มีความปลอดภัยในหมู่นักการเมืองอาชีพ
โดยเฉพาะพวกคั่วไพ่สองหน้า
นาทีนี้ดูจะมีแค่ “หนุ่มท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา ว่าที่แม่ทัพค่ายชาติไทยพัฒนาเท่านั้น ที่จุดยืนคงเส้นคงวาสุด ในการมองโลกมุมบวกกับทีม “นายกฯลุงตู่”
แบบที่สวนกระแสนักการเมืองอาชีพด้วยกัน สนับสนุนให้ 4 รัฐมนตรีทีมพลังประชารัฐ อยู่สานงานต่อ เพราะถ้าเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ก็เหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน หากลาออก ปรับ ครม. รัฐมนตรีใหม่ก็มีเวลาทำงานแค่ 3 เดือน ไม่สามารถสานงานต่อได้ อยู่สานงานต่อเนื่องดีกว่า
ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ลงสนามแข่งขันกันแฟร์ๆ ว่าที่บอสใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนาก็มองว่า คนเป็นนายกรัฐมนตรีมา 4 ปี ถ้าไม่สนใจการเมืองคงเป็นเรื่องแปลก
ขอให้รอวันที่ “ลุงตู่” ประกาศตัวชัดเจน ค่อยมาตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถามกันดีกว่า
“หนุ่มท็อป” ยึดเหตุผลเป็นตัวตั้ง มากกว่า “วาระแฝง” เกมอำนาจ
โดยบทบาทที่สะท้อนออกมา นายวราวุธเป็นคนรุ่นใหม่
คาบเกี่ยวการเมืองรุ่นเก่า โดยไม่ได้หนีจากแนว “สัจจะ กตัญญู”
ถอดแบบมาจาก “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับ
ไม่เน้นแห่กระแส แต่ยึดหลักการ
ที่สำคัญเมื่อรับปากแล้ว ไม่หักหลังใคร
มันก็ไม่แปลก ถ้าการเลือกตั้งรอบนี้ พรรคชาติไทยพัฒนา
ภายใต้การนำของ “หนุ่มท็อป” ประเดิมบทแม่ทัพคนใหม่ จะได้รับสิทธิพิเศษจากฝ่ายคุมเกมอำนาจ
เสริมภูมิคุ้มกัน ให้โอกาสเติบโตทางการเมืองแทนพ่อ.

ทีมข่าวการเมือง