ความเป็นมาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
นโยบายการแทรกแซงกลไกราคาน้ำมันในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.
2516
เนื่องจากในขณะนั้นเกิดวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันขึ้นทั่วโลกราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้น และเกิดการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น
รัฐบาลจึงได้ดำเนินการการออกพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวการณ์ขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. 2516 เพื่อให้อำนาจแก่นายกรัฐมนตรีในการออกมาตรการต่างๆ
เพื่อป้องกันและแก้ไขสภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
จนกระทั่งในปี
2520 กลุ่มประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียม
(Organization of the Petroleum Exporting Countries : OPEC) ได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันดิบ
แต่รัฐบาลได้ขึ้นราคาขายปลีกในสัดส่วนที่น้อยกว่าราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลโดยใช้มาตรการลดอัตราภาษีผลิตภัณฑ์น้ำมันลงตามส่วนของต้นทุนน้ำมันดิบ แต่ในกรณีน้ำมันเตาการลดอัตราภาษีไม่พอเพียงกับต้นทุนราคาน้ำมันดิบ รัฐบาลจึงได้ใช้วิธีลดภาษีที่เก็บจากน้ำมันเบนซินมากกว่าต้นทุนที่เพิ่ม และกันเงินส่วนนี้ไว้ในกองทุน โดยได้อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. 2516
เรื่องการกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันส่งเงินเข้ากองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน เพื่อจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยให้โรงกลั่นน้ำมัน และผู้นำเข้าส่งเงินเข้ากองทุน
และเงินกองทุนนี้นำไปชดเชยให้ผู้ค้าน้ำมันเตา
ในปี
พ.ศ. 2521 รัฐบาลได้ประกาศเพิ่มค่าเงินบาท
ทำให้ผู้นำเข้าน้ำมันได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
รัฐบาลเห็นว่ากำไรที่เกิดขึ้นไม่ใช่กำไรจากการดำเนินงาน
จึงได้มีคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 206/2521 ลงวันที่ 29 ธันวาคม
2521 จัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
(เงินตราต่างประเทศ)
และกำหนดให้ผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงนำส่งกำไรที่เกิดจากการเพิ่มค่าเงินบาทเข้ากองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
(เงินตราต่างประเทศ) เพื่อเก็บไว้ใช้ทดแทนเมื่อราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น
ในปี
พ.ศ. 2522 ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนมากขึ้นเพราะ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกปิโตรเลียมได้ประกาศขึ้นราคาน้ำมันดิบ
4 ครั้ง
ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ
ไม่ให้ผันผวนไปตามการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และรัฐบาลต้องการรวมกองทุนต่างๆ
ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นกองทุนเดียว
จึงได้จัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ สร. 0201/9
ลงวันที่ 27 มีนาคม 2522 โดยรวมกองทุนรักษาระดับน้ำมันเชื้อเพลิง
กับ กองทุนรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เงินตราต่างประเทศ) เข้าด้วยกัน
ปี 2546
เกิดความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกขึ้นมาอีกครั้งโดยมีสาเหตุสำคัญมาจากเหตุการณ์ต่างๆดังนี้
1.การทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในประเทศอิรักซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่
2.ปัญหาทางการเมืองในประเทศเวเนซุเอลาซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลกจากปัญหาดังกล่าวทำให้เวเนซุเอลาไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบได้
3.น้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกาลดระดับลง
รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะนั้น ไม่ต้องการให้ความผันผวนของราคาน้ำมันส่งผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจ จึงกำหนดมาตรการตรึงราคาน้ำมัน
เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจซึ่งมาตรการครั้งนี้มีประสิทธิภาพเพราะความผันผวนมีระยะสั้นราคาน้ำมันก็กลับสู่ภาวะปกติ
ในปี 2547
ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง รัฐบาลจึงออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่
4/2547 เรื่อง
กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2547)
เป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
พ.ศ. 2516 เพื่อดำเนินมาตรการแทรกแซงราคาน้ำมันโดยการตรึงราคาน้ำมัน
การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของกองทุนเชื้อเพลิงมีดังนี้
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทําหน้าที่ เสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของ ประเทศต่อคณะรัฐมนตรี
กําหนดหลั กเกณฑ์และเงื่อนไขในการกําหนด ราคาพลังงานให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนา
พลังงานของประเทศ รวมทั้งติดตาม ดูแล ประสาน สนับสนุ นและเร่งรั ด
การดําเนินการของคณะกรรมการทั้ งหลายที่ มีอํานาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับ พลังงาน
ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เพื่อให้มีการดําเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการบริหารและ
พัฒนาพลังงานของประเทศ
คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทําหน้าที่กําหนดหลักเกณฑ์
ในการคํานวณราคา กําหนดราคาน้ำมัน เชื้อเพลิง
และกําหนดนโยบายอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือ อัตราเงินชดเชยของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงาน จะพิจารณาเฉพาะในส่วนของนโยบายของกองทุน
เท่านั้น
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อพลิง ทําหน้าที่พิจารณาเรื่องการใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ได้รับ
มอบหมายจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ทําหน้าที่ พิจารณาปรับอัตราเงินส่ง เขัากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราเงินชดเชย ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ค่าเก็บรักษาก๊าซ และค่า ขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซส่วนภูมิภาคตามที่ได้รับมอบหมาย
กรมสรรพสามิต รับผิดชอบในการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและจ่ายเงินชดเชย
จากกองทุนน้ำมั นเชื้อเพลิง ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิต ภายในประเทศ
กรมศุลกากรรับผิดชอบในการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและจ่ายเงินชดเชย จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ในส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงที่นําเข้า
กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ รับผิดชอบในการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและจ่ายเงินชดเชย จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ในส่ วนของก๊าซที่ซื้อหรือได้มาจากผู้รับสัมปทานตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียม
(ถ้ามี)
สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน(องค์การมหาชน)
รับผิดชอบในการบริหารจัดการด้านการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีสภาพคล่องเพียงพอกับรายรั
บและรายจ่ายที่เกิดขึ้น รวมทั้งจัดหา เงินทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการดําเนินงานต่างๆ
(ทั้งนี้ ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์ การมหาชน) พ.ศ.
2546)
รายรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รายรับที่เป็นรายได้หลักของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจากภาษีสรรพสามิตที่กรมสรรพสามิตเรียกเก็บจากผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ และมาจากภาษีศุลกากรที่กรมศุลกากรเรียกเก็บจากผู้นำเข้าน้ำมันโดยทั้ง
2 หน่วยงานดังกล่าวจะนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของกองทุนเชื้อเพลิง ขณะที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีหน้าที่เก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับผู้ที่ได้รับสัมปทานก๊าซแต่เนื่องจากราคาที่แท้จริงของก๊าซหุงต้มสูงกว่าที่รัฐกำหนดมาเป็นเวลานานทำให้ไม่มีการเก็บเงินส่วนนี้จากผู้รับสัมปทาน
โดยสถาบันบริหารกองทุนพลังงานจะนำรายได้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาจ่ายชําระดอกเบี้ยและไถ่ถอนพันธบัตร
ซึ่งรายได้ของกองทุนจะขึ้นอยู่กับ อัตราเงินส่ง
เข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่กําหนดโดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานและ
ปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับอัตราเงินส่ง เข้ากองทุน โดยกำหนดอัตราสูงสุดที่สามารถเรียกเก็บได้ไว้ที่
1.50 บาทต่อลิตรซึ่งการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนจะขึ้นอยู่กับนโยบายของภาครัฐ
และสถานการณ์ราคาน้ำมันในแต่ละช่วงเวลาเป็นหลัก

รายจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกผันผวนโดยมีราคาสูงขึ้นก็จะกระทบกับราคาขายปลีกของน้ำมันในประเทศให้สูงขึ้นตามดังนั้นกองทุนน้ำมันจะทำการแทรกแซงราคาให้ราคาน้ำมันต่ำกว่าที่ควรจะเป็นโดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะเป็นผู้รับผิดชอบจ่าย
ค่าชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาที่ควรจะเป็นและราคาที่กําหนดให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงขาย
เพื่อช่วยรักษาระดับราคาขายปลีกเพื่อบรรเทาความผันผวนของราคาน้ำมันไม่ให้มากเกินไป
โดยผู้ขอรับเงินชดเชยจะแจ้งผ่านมายังกรมสรรพสามิต และ/หรือ กรมศุลกากร แล้วแต่กรณี ซึ่ง ทั้งหน่วยงานจะรายงานไปยังสถาบันบริหารกองทุนพลังงานและเป็นตัวกลางในการเบิกจ่ายเงินให้กับผู้ขอรับเงินชดเชยซึ่ง
เงินชดเชยสำหรับผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงและผู้นําเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจัดเป็นรายจ่ายหลักของกองทุนโดยในปีงบประมาณ
2544-2546 เงินชดเชยดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ
95-98 ของรายจ่ายรวมของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ส่วนรายจ่ายอื่นๆของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประกอบด้วย
(1) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(2) ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(3) ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(4) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานหรือคณะอนุกรรมการบริหาร
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เห็นชอบ
(1) ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(2) ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
(3) ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหรือการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ
(4) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานหรือคณะอนุกรรมการบริหาร

การประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง

การลำดับเหตุการณ์การแทรกแซงราคาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เดือน
|
เหตุการณ์
|
|
10 ม.ค.2547
|
รัฐบาลกําหนดมาตรการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยกำหนดเพดานราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95
อยู่ที่ระดับ 16.99 บาทต่อลิตร
เบนซินออกเทน 91 อยู่ที่ระดับ
16.19 บาทต่อลิตร
และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ
14.59 บาทต่อลิตรโดยวิธีการที่รัฐนำมาใช้เพื่อตรึงราคาน้ำมัน
จะใช้หลักการเดียวกับเมื่อครั้งเกิดสงคราม คือ
การนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชยราคาให้แก่ผู้ค้าน้ำมัน
เพื่อรักษาเพดานราคาตามที่รัฐกำหนด จนกระทั่งเมื่อราคาน้ำมันกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
และต่ำกว่าเพดาน รัฐจึงจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมัน
|
|
16 เมษ 47
|
ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มียอดคงเหลือประมาณ
1,000 ล้านบาท และมีการขอเปิดวงเงินกู้อีกประมาณ 8,000 ล้านบาท (OD) ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในการตรึงราคาน้ำมันต่อไป
|
|
พ.ค.47
|
น้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับขึ้น
60สตางค์
|
|
ก.ค.47
|
น้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับขึ้น
60สตางค์
|
|
ส.ค.47
|
มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินทุกชนิดขึ้น
4 ครั้งๆละ 40 สตางค์/ลิตร( วันที่ 6 11 17 24)
|
|
20 ต.ค.47
|
มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 60
สตางค์
|
|
21 ต.ค.47
|
รัฐบาลจึงได้ยกเลิก นโยบายตรึงราคาน้ำมันเบนซินในขณะที่ยังคงการตรึงราคาน้ำมันดีเซลและราคาก๊าซหุงต้มไว้ต่อไป
|
|
พ.ย.47
|
มีการปรับลดราคาน้ำมันเบนซิน
3 ครั้ง ๆ 40 สตางค์/ลิตร ( วันที่ 4 12
14)
|
|
ธ.ค.
47
|
น้ำมันเบนซินปรับลดลง 5 ครั้ง รวม
1.90 บาท/ลิตร (วันที่ 4 8 10 14 และ 17 ธ.ค.)
|
|
21 ก.พ.48
|
เพื่อเป็นการลดภาระการชดเชยราคาน้ำมันให้กับประเทศได้มีการปรับราคาขึ้นอีก
60 สตางค์ต่อลิตร ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 15.19 บาทต่อลิตร
|
|
4 มี.ค.48
|
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระเงินชดเชยตามมาตรการตรึงราคาที่ได้จ่ายไปนับตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม
2547
เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้น 68,616 ล้านบาท
แบ่งเป็น ดีเซล ประมาณ 61,641 ล้านบาท เบนซินออกเทน 95
ประมาณ 2,673 ล้านบาท และเบนซินออกเทน 91
ประมาณ 4,302 ล้านบาท แม้ว่าจะช่วยลดภาระการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลลงอีก
60 สตางค์/ลิตร แต่รัฐยังคงต้องชดเชยดีเซลอีกกว่า 3 บาทต่อลิตร หรือประมาณวันละ 180 ล้านบาท
ซึ่งหากไม่มีการปรับราคาน้ำมัน รัฐจะมีหนี้ในการตรึงราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งมีหนี้รวมกันแล้วกว่า 70,000 ล้านบาท
|
|
มี.ค.48
|
น้ำมันเบนซินปรับขึ้น 3 ครั้งๆละ 40
สตางค์/ลิตร ( วันที่ 1 5 และ 11)
|
|
8 พ.ค. 48
|
แม้จะมีการลอยตัวน้ำมันเบนซินแล้ว (
เมื่อวันที่ 21
ตุลาคม 2547 )
กองทุนน้ำมันยังคงมีหนี้ในการตรึงค่าน้ำมันรวมทั้งสิ้นประมาณ 47,285
ล้านบาท แยกเป็นเบนซิน จำนวน 6,975 ล้านบาท
และดีเซล จำนวน 40,310 ล้านบาท
|
|
พ.ค.48
|
มีการปรับราคาเบนซินลง
2 ครั้งๆละ 40 สตางค์/ลิตร ( วันที่ 5
17 พ.ค.)
|
|
1 มิ.ย.48
|
สํานักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ประกาศให้ยกเลิ
กการตรึงราคาน้ำมันดีเซล โดยผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถกําหนดราคาขายน้ำมันดีเซลให้เป็นไปตามกลไกตลาดและการแข่งขัน
แต่จัดว่าเป็นการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล
ในรูปแบบ "การบริหารจัดการของรัฐ (Manage Float)"
โดย รูปแบบบริหารจัดการ คือ
การทำให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลกทันที เพราะปัจจุบัน
กองทุนน้ำมัน ต้องจ่ายชดเชยราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2.86 บาทต่อลิตร แต่เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ที่ระดับเท่าเดิม
รัฐได้ปรับลดภาษีน้ำมันดีเซลจำนวน 1.10 บาทต่อลิตร
แบ่งเป็นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จำนวน 1 บาทต่อลิตร
และภาษีเทศบาลจำนวน 10 สตางค์ต่อลิตร
ทำให้เหลือการชดเชยจำนวน 1.76 บาทต่อลิตรส่วนดีเซลหมุนช้าอยู่ที่
1.96 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นอัตราเงินชดเชยสูงสุดที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะรับภาระจ่ายชดเชยราคาน้ำมัน
ดีเซลให้แก่ผู้ผลิตน้ำมันดีเซลและนําเข้าน้ำมันดีเซล ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีประมาณ
14,000 ล้านบาท
|
|
20 มิ.ย. 48
|
ที่ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง
และสํานักงบประมาณได้กําหนดให้สถาบันฯ ดำเนินการขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เมื่อสถาบันฯ ออกพันธบัตรครบ 85,000 ล้านบาทแล้ว แต่ภาระการชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สิ้นสุด
และให้สถาบันฯ ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในวงเงิ นไม่ เกิน 12,000 ล้านบาท ในรูปเงินยืมไม่มีดอกเบี้ย
ทยอยเบิกจ่ายเงินตามความจําเป็นในช่วงที่ สถาบันฯ มี ภาระในการชําระคืนหนี้
พันธบัตร และให้สถาบันฯ ชําระคื นเงินยืมนี้ให้แก่รัฐบาลเมื่อสถาบันฯ ไถ่ถอนพั
นธบัตรครบถ้วนแล้ว โดยให้สถาบันฯ ตั้งเรื่องขอใน งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2550
แต่หากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่องในช่วงก่อนปีงบประมาณ 2550
ให้สถาบันฯ นําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับเงินอุดหนุนในรูปเงินยืมจากงบกลาง
|
|
25 มิ.ย.48
|
คณะกรรมการบริหาร นโยบายพลังงานได้ลดอั
ตราเงินชดเชยสูงสุดสําหรับน้ำมันดี เซลหมุนเร็วไว้ที่ 1.36 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนช้าไว้ที่ 1.56 บาทต่อลิตร
|
|
มิ.ย.48
|
น้ำมันเบนซินปรับราคาขึ้น
7 ครั้ง รวม 2.8 บาท/ลิตร และปรับขึ้นราคาดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 8 ครั้ง รวม 3.20
บาท/ลิตร
|
|
13
ก.ค.48
|
รัฐบาลได้ประกาศให้มีการลอยตัวน้ำมันดีเซลกลับไปเหมือนเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ
โดยได้ยกเลิกการชดเชยน้ำมันดีเซลจาก 1.36 สตางค์ต่อลิตร
(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)ให้เป็น 0 ทําให้ภาระการจ่ายเงินชดเชยของ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสําหรับน้ำมันดีเซลหมดไปในที่สุด
และได้สรุปภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เกิดจากการตรึงน้ำมันเบนซินและดีเซลไว้ที่ระดับ
92,070 ล้านบาท
รัฐบาลจึงจัดหาเงินกู้จากสถาบันการเงินเข้ามาช่วยเหลือถึง 71,000 ล้านบาท
และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินรายได้จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เรียกเก็บจากผู้ใช้น้ำมัน
|
|
ก.ค.48
|
น้ำมันเบนซินปรับราคาขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.8
บาท/ลิตร และปรับขึ้นราคาดีเซลหมุนเร็ว ขึ้น 4 ครั้ง และ ลง 2 ครั้ง รวม 1.20 บาท/ลิตร
ปตท. ปรับขึ้นดีเซลหมุนเร็วขึ้น 4 ครั้ง ลง 1 ครั้ง รวมเป็น 1.6 บาท/ลิตร
และสิ้นสุดการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อวันที่ 13 ก.ค.48
|
|
20 ก.ย.48
|
มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้
สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) หรือ สบพ.
สามารถจัดหาเงินกู้โดยการออกตราสารหนี้เสนอขายให้แก่นักลงทุนประเภทสถาบัน
และหรือประชาชนทั่วไป และให้ สบพ. สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้
เพื่อนำไปชำระหนี้เดิม จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวนรวมทั้งหมดไม่เกิน 85,000 ล้านบาท และให้ชำระหนี้ทั้งหมดให้ครบถ้วนภายในปี 2554 ทั้งนี้สบพ. ประมาณการแล้วพบว่า
กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีความต้องการเงินประมาณ 74,000 ล้านบาท
|
|
|
|
|
|
|