PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ไม่เกี่ยว...Single Gateway



ไม่เกี่ยว...Single Gateway
เสธ.ไก่อู ยันร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี 59 ไม่เชื่อมโยงแนวคิด Single Gateway ชี้มีกลุ่มคนต้องการบิดเบือน สร้างกระแสคัดค้าน ยันมุ่งปรับปรุงให้ทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป เพิ่มโทษให้เหมาะสม วอนประชาชนอย่าหลงเชื่อ
พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบุคคลบางกลุ่มพยายามปลุกกระแสคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... ที่ สนช.มีมติเห็นชอบให้ผ่านวาระที่ 2 ไปแล้วเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.59 และจะเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 3 ในวันพรุ่งนี้ (15 ธ.ค.59) โดยเชื่อมโยงสาระสำคัญของกฎหมายเข้ากับแนวคิดซิงเกิ้ลเกตเวย์ในทำนองว่า จะเป็นกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล
“เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง และรัฐบาลยืนยันมาตลอดว่าไม่มีแนวคิดที่จะดำเนินการซิงเกิ้ลเกตเวย์แต่อย่างใด
แต่คนกลุ่มนี้ก็พยายามสร้างกระแสต่อต้านโจมตีอย่างต่อเนื่อง "
โดยล่าสุดข่าวสดออนไลน์ได้นำเสนอข่าวว่าเครือข่ายพลเมืองเน็ตได้ล่ารายชื่อผ่านเว็บไซต์ change.org เพื่อคัดค้านกฎหมายดังกล่าวแล้วกว่า 20,000 รายชื่อ
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เป็นร่างแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ปี 2550 ให้มีความทันสมัย เหมาะสมกับเวลาและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยมีสาระสำคัญที่แท้จริงคือการเพิ่มฐานความผิดและบทลงโทษให้ครอบคลุมเรื่องต่างๆ เช่น การเจาะทำลายระบบความมั่นคงของประเทศ ความผิดฐานส่งสแปมหรือ ข้อความที่ผู้รับไม่ได้ร้องขอ การนำเข้าข้อมูลเท็จ การเผยแพร่เนื้อหาหรือภาพตัดต่อที่ผิดกฎหมาย การให้ผู้กระทำผิดรับโทษตามกฎหมายอาญาอื่น ๆ ไม่เฉพาะแต่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เพียงอย่างเดียว เป็นต้น
“รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า กฎหมายดังกล่าวจะช่วยคุ้มครองและสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ รวมทั้งรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ไม่ใช่การคุกคามสิทธิส่วนบุคคลตามที่มีการกล่าวอ้าง โดยขอให้กลุ่มผู้ไม่หวังดียุติพฤติกรรมบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือและสร้างความแตกแยกในทันที”

รองโฆษก ตร.เผย “ศานิตย์” นั่งที่ปรึกษาไทยเบฟ รับเงินเดือน 5 หมื่นไม่ผิด พ.ร.บ.ตำรวจ

วันนี้ (14 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เป็นที่ปรึกษาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี 2558 ได้รับค่าตอบแทน 50,000 บาทต่อเดือน ว่าตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 78 อนุ 17 ไม่ได้ห้ามตำรวจเป็นที่ปรึกษาบริษัทเอกชน เพียงแต่ห้ามไม่ให้ไปเป็นกรรมการผู้จัดการหรือผู้ที่มีอำนาจในการบริหารในองค์กรนั้นๆ ดังนั้น การดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในส่วนของตำรวจยังไม่พบว่ามีความผิด เพราะกฎหมายไม่ได้ห้ามไว้ เงินค่าตอบแทนที่ได้มาก็ไม่เกี่ยวข้องกันและไม่ขัดต่อกฎหมายตำรวจด้วย ส่วนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะตรวจสอบก็ดำเนินการไป
       

       ผู้สื่อข่าวถามว่าจะต้องพิจารณาเรื่องความเหมาะสมหรือไม่ เพราะตำรวจซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมายแต่ไปเป็นที่ปรึกษาบริษัทผลิตแอลกอฮอล์ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์กล่าวว่า เรื่องความเหมาะสมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตรงนี้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ อย่างไรก็ตาม หาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดจะส่งผลต่อตำแหน่งหรือไม่ เรื่องนั้นก็ว่ากันอีกที เพราะเป็นการวินิจฉัยของ ป.ป.ช.
       
       “เรื่องนี้ถือว่าเป็นของละเอียดอ่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะพิจารณาและยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ส่วนจะมองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ก็ต้องมาพิจารณาในรายละเอียด ในชั้นนี้ยังไม่มีใครมาร้องเรียนอะไร รอฟังทาง ป.ป.ช.ว่าจะพิจารณาอย่างไร เพราะ พล.ต.ท.ศานิตย์ก็ได้ไปยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินตามระเบียบอยู่แล้ว ในชั้นนี้ยังวินิจฉัยอะไรไม่ได้” รองโฆษก ตร.กล่าว และว่าตามระเบียบผู้ที่จะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาต้องแจ้งมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนกรณีดังกล่าวจะเป็นการส่งเสริมให้ตำรวจไปเป็นที่ปรึกษาหรือไม่นั้นต้องมาดูในรายละเอียดเช่นกัน ทุกอย่างมีระเบียบอยู่แล้ว อย่าเพิ่งวินิจฉัยล่วงหน้า 

รัฐบาลซีเรียประกาศ สงครามกลางเมืองอเลปโปจบลงแล้ว ท่ามกลางซากศพของประชาชน

HIGHLIGHTS:

  • เช้าวันที่ 14 ธันวาคม 2016 (ตามเวลาประเทศไทย) รัฐบาลซีเรียประกาศว่าสงครามกลางเมืองอเลปโปสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากสามารถยึดพื้นที่สุดท้ายของกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโปได้
  • ฝ่ายรัฐบาลของซีเรียดำเนินการโจมตีกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโปอย่างหนักหน่วง ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2016 เป็นต้นมา โดยมีรัสเซียเป็นผู้สนับสนุนสำคัญ
  • การโจมตีกลุ่มกบฏของรัฐบาลซีเรียส่งผลให้ประชาชนหลายร้อยคนเสียชีวิต และผู้คนอีกจำนวนมากบาดเจ็บ
  • ระบบสาธารณูปโภคถูกตัดขาด โรงพยาบาลถูกทำลาย และผู้คนในเมืองไม่มีอาหารเพียงพอตลอดช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมที่ผ่านมา
  • โลกตะวันตก รวมถึงองค์การสหประชาชาติออกมาบอกว่า รัฐบาลซีเรีย และรัสเซียต้องออกมารับผิดชอบต่อความโหดร้ายที่เกิดขึ้น
  • ขณะที่ประธานาธิบดีซีเรียโต้กลับว่า ที่ตะวันตกออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อชีวิตประชาชนนั้น แท้จริงแล้วต้องการปกป้องกลุ่มก่อการร้ายมากกว่า
  • แม้รัฐบาลซีเรียจะสามารถยึดพื้นที่สำคัญๆ จากกลุ่มกบฏได้แล้ว แต่ยังมีพื้นที่อื่นๆ ในซีเรียที่กลุ่มกบฏครอบครองได้อยู่
  • มีการวิเคราะห์ว่าสงครามจะเปลี่ยนรูปแบบไป เพราะกลุ่มกบฏอาจเปลี่ยนกลยุทธ์จากการสร้างดินแดน เป็นการก่อความไม่สงบแล้วหนีไป
  • ตัวละครภายนอกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ที่เข้ามาสนับสนุนกลุ่มกบฏและฝ่ายรัฐบาลด้วยแรงจูงใจที่ต่างกัน คืออีกปัจจัยที่จะกำหนดอนาคตของสงครามซีเรีย โดยมีประชาชนเป็นผู้เผชิญกับความโหดร้ายที่เกิดขึ้น
Photo: Khalil Ashawi, Reuters/profile
     คืนที่ผ่านมา คุณนอนหลับสนิทดีไหม?
     ผู้คนอีกฟากโลก ในเมืองอเลปโป ของซีเรียไม่สามารถหลับตาลงได้
     พวกเขากำลังเผชิญกับสงครามกลางเมือง ที่มีการใช้อาวุธสงครามและความรุนแรงไม่ละเว้นแม้กระทั่งสตรีและเยาวชน  
     เช้ามืดของวันนี้ตามเวลาในไทย (14 ธันวาคม 2016) รัสเซียผู้เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลซีเรียประกาศว่า กองกำลังของรัฐบาลซีเรียสามารถยึดพื้นที่สุดท้ายของกลุ่มกบฏในฝั่งตะวันออกของเมืองอเลปโปได้แล้ว เพื่อกดดันให้กลุ่มกบฏออกจากพื้นที่ ซึ่งกลุ่มกบฏได้ยอมออกจากพื้นที่แล้วด้วย
     การยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มกบฏของรัฐบาลซีเรียครั้งนี้ ‘สำคัญมาก’ จนสำนักข่าวทั่วโลกต้องรายงาน เพราะนี่อาจหมายถึงจุดจบของสงครามกลางเมืองอเลปโป ที่ดำเนินต่อเนื่องมามากกว่า 4  ปี
     แต่การสิ้นสุดของสงครามกลางเมืองครั้งนี้ ที่เป็นผลมาจากรัฐบาลซีเรียดำเนินการโจมตีกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโปอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2016 แลกมาด้วยการล้มตายของประชาชนหลายร้อยคน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก

Photo: Omar Sobhani, Reuters/profile
     ข้อความทวิตเตอร์จากชาวซีเรียที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งถูกเผยแพร่โดยสำนักข่าวบีบีซีมีทั้ง “โอ้พระเจ้า ปลุกให้พวกเราตื่นจากฝันร้ายนี้ที #Aleppo กำลังเลือนหายไป มากกว่า 50,000 คน กำลังถูกฆ่า และส่วนใหญ่คือผู้หญิงและเด็ก”
     หรือข้อความจากแม่ของ บานา อลาเบด (Bana Alabed) สาวน้อยชาวซีเรียที่เคยได้รับหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ จาก เจ. เค. โรว์ลิ่ง ที่ทวิตข้อความว่า “นี่คือข้อความสุดท้าย - ฉันรู้สึกเศร้ามากที่ในโลกนี้ไม่มีใครช่วยเหลือเราเลย พวกเราจะไม่อพยพไปไหน ฉันและลูกสาวของฉัน ลาก่อน” และอีกหลายข้อความที่ชาวซีเรียบางส่วนออกมาทวิตข้อความสั่งลาเมืองอเลปโปผ่านแฮชแท็ก #Aleppo
     ตลอด 4 ปี เราคนไทยได้เห็นข่าวสงครามในซีเรีย หรือความรุนแรงในอเลปโปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นข่าวที่เราเห็นบ่อยแต่ก็ไกลตัว หรือบางคนสนใจแต่ว่าเรื่องราวก็ซับซ้อนจนทำให้หมดความสนใจไป
     The Momentum จึงมาสรุปให้ฟังว่า อะไรเกิดขึ้นบ้างในเมืองอเลปโป? อเลปโปดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? และหลังจากวันนี้ อนาคตของสงครามซีเรียจะมีแนวโน้มไปในทางไหน?

Photo: Abdalrhman Ismail, Reuters/profile
เกิดอะไรขึ้นในเมืองอเลปโปของซีเรีย กลุ่มกบฏแพ้ต่อฝ่ายรัฐบาลได้อย่างไร
     เมืองอเลปโปตั้งอยู่ทางเหนือของประเทศซีเรีย ครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด และเป็นศูนย์กลางทางการเงินและอุตสาหกรรม จนกระทั่งกลายเป็นสนามรบระหว่างรัฐบาลซีเรียกับกลุ่มกบฏที่ต้องการล้มอำนาจของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ในเดือนกรกฎาคม 2012 จนเมืองอเลปโปมีสภาพแบ่งครึ่ง คือกลุ่มกบฏควบคุมพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมือง ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลควบคุมพื้นที่ฝั่งตะวันตก
     แต่อเลปโปไม่ได้เป็นสนามรบแค่ระหว่างฝ่ายรัฐบาลซีเรียและกลุ่มกบฏเท่านั้น หากยังกลายเป็นสนามรบที่มีตัวละครสำคัญจากทั่วโลกเข้ามาพัวพัน จนทำให้สงครามมีความซับซ้อนกว่าแค่สงครามกลางเมืองในประเทศ
     ฝ่ายรัฐบาลซีเรียมีรัสเซียสนับสนุนกองกำลังโจมตีทางอากาศ และมีกองกำลังภาคพื้นดินจาก อิหร่าน อิรัก อัฟกานิสถาน เลบานอน และปากีสถานเข้ามาช่วย
     ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลซีเรียนั้นประกอบไปด้วยกลุ่มกบฏหลายกลุ่ม ซึ่งสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เหล่ากลุ่มกบฏนั้นได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากฝ่ายที่ต้องการล้มอำนาจของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งมีสหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย และตุรกีหนุนหลัง
     เดือนสิงหาคม 2016 กลุ่มกบฏเริ่มเสียพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองอเลปโปที่เคยยึดครองได้ ให้กับฝ่ายรัฐบาลอย่างสำคัญ รัฐบาลซีเรียใช้กลยุทธ์ยึดถนนเส้นเดียวที่ตัดระหว่างโลกภายนอก กับพื้นที่ตะวันออกของกลุ่มกบฏ ทำให้ประชาชนกว่า 270,000 คน ที่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ ถูกล้อมอยู่ในเมืองไปด้วย

Photo: Omar Sobhani, Reuters/profile
     จนกระทั่งในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา รัฐบาลซีเรียสามารถยึดพื้นที่ฝั่งตะวันออกคืนจากกลุ่มกบฏได้ถึงหนึ่งในสาม และยังเพิ่มกองกำลังอย่างหนักหน่วงเข้าไปในพื้นที่ รวมถึงการโจมตีทางอากาศ ทำให้กลุ่มกบฏถูกบีบอยู่ในพื้นที่จำกัด
     ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ฝ่ายรัฐบาลสามารถยึดพื้นที่คืนได้ถึง 90% และเมื่อคืนที่ผ่านมาฝ่ายรัฐบาลประกาศว่า สามารถยึดพื้นที่สุดท้ายของกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโปได้แล้ว
 
ฉันอยู่ในสงครามซีเรียมาตลอด 5 ปี แต่ไม่มีครั้งไหนเหมือนเหตุการณ์นี้…
ประชาชนบางคนพิการ บางส่วนป่วยทางจิต และที่เหลือคืออยู่กับความสิ้นหวัง
เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน…
ไม่มียา ไม่มีเครื่องทำความอุ่น ไม่มีเชื้อเพลิงในการทำอาหาร
Photo: Abdalrhman Ismail, Reuters/profile
การล้มตายของประชาชนระหว่างการยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มกบฏ
     จากการที่ฝ่ายรัฐบาลเข้าไปล้อมพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกลุ่มกบฏ ทำให้ประชาชนที่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ถูกล้อมไปด้วย ซึ่งรัฐบาลซีเรียยืนยันว่า ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2016 รัฐบาลได้หยุดการโจมตีเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนและกลุ่มกบฏที่ไม่ต้องการสู้รบต่อออกจากพื้นที่ แต่กลุ่มกบฏส่วนใหญ่ยังยืนยันจะสู้รบกับกลุ่มรัฐบาล รวมถึงประชาชนบางส่วนที่ไม่กล้าออกจากพื้นที่เพราะกลัวการถูกใช้ความรุนแรงจากรัฐบาล แต่องค์การสหประชาชาติรายงานว่า กลุ่มกบฏต่างหากที่เป็นฝ่ายห้ามประชาชนออกจากพื้นที่
     มีประชาชนมากกว่า 100,000 คนติดอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองอเลปโป โดยประมาณ 1,500 คนเป็นกลุ่มกบฏ และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนอยู่ในขั้น ‘เลวร้าย’ และ ‘วิกฤติ’
     การโจมตีของฝ่ายรัฐบาลที่หนักหน่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2016 เป็นต้นมา ทำให้ประชาชนขาดอาหาร สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานถูกทำลายจนสิ้นซาก เลวร้ายที่สุดคือโรงพยาบาลทุกโรงไม่สามารถปฏิบัติการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ เพราะได้รับผลกระทบจากการโจมตีทางอากาศของฝ่ายรัฐบาล
     ความตอนหนึ่งของจดหมายที่เขียนโดยแพทย์ของสภากาชาดสากลถึงบีบีซีระบุว่า “ฉันอยู่ในสงครามซีเรียมาตลอด 5 ปี แต่ไม่มีครั้งไหนเหมือนเหตุการณ์นี้…ประชาชนบางคนพิการ บางส่วนป่วยทางจิต และที่เหลือคืออยู่กับความสิ้นหวัง เพราะไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน…ไม่มียา ไม่มีเครื่องทำความอุ่น ไม่มีเชื้อเพลิงในการทำอาหาร... การอพยพของประชาชนเป็นไปด้วยความยากลำบาก บางคนมีอาการป่วยทางจิต พวกเขาไม่อยากออกจากพื้นที่ พวกเขาสับสน และไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในพื้นที่สงคราม…เด็กๆ กลายเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ของพวกเขาถูกระเบิดสังหาร พวกเขาไม่เหลืออะไร ไม่เหลือใคร คุณจะพูดอะไรกับพวกเขา? คุณจะทำอะไรได้บ้าง?... พวกเขาต้องมาชดใช้กับสงครามที่พวกเขาไม่ได้ก่อ และไม่มีฝ่ายใดเข้ามาปกป้องพวกเขา… นี่ไม่เกี่ยวกับใครเป็นคนถูก หรือใครเป็นคนผิด ใครเป็นผู้ชนะ ใครคือผู้แพ้ นี่เกี่ยวกับประชาชนที่มีเลื้อดเนื้อ มนุษย์ที่บาดเจ็บ ล้มตาย และกลายเป็นเด็กพิการในทุกๆ วัน วันนี้ฉันรู้สึกเศร้ามาก ได้โปรด การทำสงครามครั้งนี้ต้องมีขีดจำกัด”

Photo: Omar Sobhani, Reuters/profile
Photo: Abdalrhman Ismail, Reuters/profile
     ขณะที่ บิลัล อับดุล คารีม (Bilal Abdul Kareem) ผู้สื่อข่าวของอัลจาซีรา อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอเลปโปว่าเป็น ‘สถานการณ์ที่สิ้นหวัง’ พื้นที่ที่ถูกล้อมให้บีบเล็กลงเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนต่างวิ่งเข้ามาหาที่หลบภัยในพื้นที่เพียงแค่ 10 ตารางกิโลเมตร พวกเขาต้องหลบซ่อนตัวตลอดเวลา เพราะการโจมตีทางอากาศนั้นไม่เว้นใครหน้าไหน โรงพยาบาลที่ถูกโจมตีจนหมด ทำให้หมอและพยาบาลต้องตั้งคลินิกเฉพาะกิจในพื้นที่ใต้ดินขึ้นมา แต่คลินิกก็กลายเป็นสถานที่อันตรายอีก เมื่อไหร่ที่สถานที่ใดๆ คนมารวมตัวกันเยอะ สถานที่นั้นจะกลายเป็นเป้าโจมตีทันที
     และแม้ว่ารัฐบาลซีเรียจะเปิดช่องทางให้ประชาชนออกจากพื้นที่ แต่ บิลัล อับดุล คารีม กล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็อาจจะสายเกินไปสำหรับพวกเขา” เพราะพวกเขาไม่อาจหลีกหนีความจริงที่ว่าในตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลของพวกเขาได้สังหารประชาชนไปกว่าครึ่งล้านคน ความจริงนี้ทำให้พวกเขาไม่ไว้ใจรัฐบาล และยอมที่จะเสี่ยงกับระเบิดมากกว่าที่จะออกไปจากพื้นที่ และเสี่ยงกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
 
ประชาชนหลายร้อยคนล้มตายจากการยึดพื้นที่ครั้งนี้
82 คนถูกฝ่ายรัฐบาลสังหาร โดย 11 คนเป็นผู้หญิง และ 13 คนเป็นเยาวชน
นี่คือ ‘ยุคมืดที่สุดขององค์การสหประชาชาติ’
ประชาชนซีเรียกลายเป็นเหยื่อจากการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย
     รัฐบาลซีเรีย และรัสเซียออกมาปฏิเสธว่าการโจมตีของพวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่พลเรือน แต่องค์การสหประชาชาติรายงานว่า ประชาชนหลายร้อยคนล้มตายจากการยึดพื้นที่ครั้งนี้ และมีหลักฐานว่าประชาชน 82 คนถูกฝ่ายรัฐบาลสังหาร โดย 11 คนเป็นผู้หญิง และ 13 คนเป็นเยาวชน ทำให้ทั้งองค์การสหประชาชาติ และสหรัฐอเมริกาออกมาประณามรัฐบาลซีเรีย และพันธมิตรอย่างรัสเซีย และอิหร่าน และกล่าวว่า พวกเขาต้องรับผิดชอบต่อความโหดร้ายทารุณที่เกิดขึ้น
     ด้านประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว RT ของรัสเซียว่า การกระทำเช่นนี้หมายถึง ตะวันตกดูจะใส่ใจกับการปกป้องกลุ่มก่อการร้าย และไม่ได้คิดถึงผลตรงข้ามหากเราปล่อยให้อเลปโปถูกควบคุมโดยกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้
     ขณะที่อังกฤษออกมาบอกว่า องค์การสหประชาชาติล้มเหลวในการแก้ไขความขัดแย้ง และความโหดร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองอเลปโป และนี่คือ ‘ยุคมืดที่สุดขององค์การสหประชาชาติ’ ทำให้สิ่งนี้เป็นความท้าทายที่รอ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติคนใหม่ ที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งแทน บัน คี-มูน ไปเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2016
 
สงครามกลางเมืองในอเลปโปอาจสิ้นสุดลง แต่แท้จริงแล้วกลุ่มญิฮัด
และเคิร์ดยังควบคุมพื้นที่ใหญ่ๆ ของประเทศได้อยู่
นั่นหมายถึงว่าสงครามในซีเรียยังอาจดำเนินต่อไปแต่มีความเป็นไปได้ว่า
สงครามอาจเปลี่ยนรูปแบบจากเดิม
Photo: Abdalrhman Ismail, Reuters/profile
Photo: Abdalrhman Ismail, Reuters/profile
อนาคตของสงครามซีเรีย
     การยึดพื้นที่ในเมืองอเลปโป ซึ่งเป็นเมืองสำคัญคืนได้จากกลุ่มกบฏ อาจหมายถึงชัยชนะของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย รัสเซีย รวมถึงอิหร่าน เพราะตอนนี้รัฐบาลซีเรียสามารถกลับมาควบคุมเมืองหลักๆ ของประเทศได้
     ความพ่ายแพ้ของกลุ่มกบฏในเมืองอเลปโป หมายถึงความแข็งแกร่งขึ้นของประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ซึ่งเป็นพันธมิตรคนสำคัญของรัสเซีย ก่อนหน้านี้กองทัพของเขาไร้ซึ่งกำลัง และอนาคตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย จนกระทั่งรัสเซียเข้ามาช่วยเมื่อปี 2015
     สงครามกลางเมืองในอเลปโปอาจสิ้นสุดลง แต่แท้จริงแล้วกลุ่มญิฮัด และเคิร์ดยังควบคุมพื้นที่ใหญ่ๆ ของประเทศได้อยู่ นั่นหมายถึงว่าสงครามในซีเรียยังอาจดำเนินต่อไป
     แต่มีความเป็นไปได้ว่า สงครามอาจเปลี่ยนรูปแบบจากเดิม เพราะกลุ่มกบฏอาจเปลี่ยนกลยุทธ์จากการพยายามเข้าควบคุมพื้นที่ เพื่อสร้างอาณาเขตของตัวเอง เป็นการก่อความไม่สงบแล้วชิงหนี และจะกระจายตัวตามพื้นที่ต่างๆ รูปแบบการต่อสู้ระหว่างกลุ่มกบฏและรัฐบาลจึงอาจเปลี่ยนไป
     นอกจากนี้อนาคตสงครามของรัสเซียยังไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวละครอย่างกลุ่มกบฏ และฝ่ายรัฐบาลซีเรียเท่านั้น แต่ตัวละครภายนอกที่เข้ามาพัวพัน และสนับสนุนแต่ละฝ่ายในสงครามซีเรียด้วยแรงจูงใจที่ต่างกัน จะเป็นผู้กำหนดอนาคตสงครามซีเรียว่าจะดำเนินไปในรูปแบบไหน และยาวนานเท่าไหร่ด้วย
     แต่ไม่ว่าอย่างไรประชาชนชาวซีเรียก็คือผู้ที่รับเคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์นี้มากที่สุด ที่ก็ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่

Photo: Abdalrhman Ismail, Reuters/profile
Photo: Khalil Ashawi, Reuters/profile
     และถึงแม้สงครามจะสิ้นสุด แผลที่พวกเขาได้รับจากสงครามที่กินเวลามากว่า 5 ปี ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ในการเยียวยา
     คืนนี้คุณอาจจะเข้านอนอย่างมีความสุข หลับสนิทภายใต้ผืนผ้าห่มอันอบอุ่น
     แต่อีกฟากโลก ยังมีคนอีกมากมายที่ข่มตาไม่ลง และเฝ้าบอกกับตัวเองว่า
     “โอ้พระเจ้า ปลุกให้พวกเราตื่นจากฝันร้ายนี้ที”

เชื่อใครดี"ช่างภาพทีนิวเส์"รับงานโกนหัวประท้วงเพราะร้อนเงิน ปัดจัดฉากโจมตี"ธรรมกาย"

เชื่อใครดี? “ช่างภาพทีนิวส์” รับงานโกนหัวประท้วงเพราะร้อนเงิน ปัดจัดฉากโจมตี “ธรรมกาย”

โดย MGR Online   
14 ธันวาคม 2559 00:55 น. (แก้ไขล่าสุด 14 ธันวาคม 2559 12:00 น.)
เชื่อใครดี? “ช่างภาพทีนิวส์” รับงานโกนหัวประท้วงเพราะร้อนเงิน ปัดจัดฉากโจมตี “ธรรมกาย”
        พบชายนิรนามให้สัมภาษณ์สื่อ อ้างว่า ถูกว่าจ้างไปโกนหัวไปร่วมกิจกรรมที่วัดพระธรรมกาย ได้มา 1 พันบาท เพราะร้อนเงิน แต่พูดจาวกไปวกมา โป๊ะแตกกลายเป็นช่างภาพสำนักข่าวทีนิวส์ นักข่าวร่วมสำนักปัดจัดฉาก แจงทราบเรื่องจากผู้บังคับบัญชา 
       
       เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เวลา 13.55 น. ได้มีชายรายหนึ่ง สวมหมวกปิดบังใบหน้า ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ระบุว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธ.ค. ตนได้รับว่าจ้างให้ไปโกนหัว เพราะไม่มีเงิน และคนรู้จักในพื้นที่ซึ่งตนพำนักอยู่ก็โทร.ตามกันมา ตนก็ไปหาคนรู้จัก เขาก็ถามว่าอยากได้ตังค์ไหม ตนก็ไป ซึ่งตนไม่รู้ว่าที่ผ่านมาจ้างกันเท่าไหร่ เพราะเพิ่งทำครั้งแรก แต่ตนได้เงินมาแค่ 1,000 บาท ให้มาโกนหัวแล้วก็แยกย้าย โดยตนไม่รู้ว่าจะต้องเข้าวัดหรือไม่ แต่ตนก็บอกว่าตนไม่เข้าวัด ทั้งนี้ชายคนดังกล่าวพูดจาวกไปวนมา พยายามหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามกับผู้สื่อข่าว เช่น ได้รับการชักชวนจากใคร และกล่าวว่าตนไม่รู้ตลอดเวลา
       
       

       

       ต่อมาเวลา 16.45 น. นายธราวุฒิ ฤทธิอักษร ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวทีนิวส์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ชายคนดังกล่าวเป็นช่างภาพของสำนักข่าวทีนิวส์ ซึ่งไปพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า ตนเองร้อนเงินและเพื่อปากท้อง จึงต้องรับจ้างโกนหัว เพื่อเข้าไปกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในวัดพระธรรมกาย โดยได้ค่าตอบแทน 1,000 บาท ซึ่งชายคนดังกล่าวยืนยันว่าสิ่งที่พูดออกมา และให้สัมภาษณ์นั้น ไม่มีการจัดฉากสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายวัดพระธรรมกายแต่ประการใด ทั้งนี้ ตนเองในฐานะที่เป็นนักข่าวสังกัดทีนิวส์ ที่ติดตามทำข่าวนี้ด้วยตัวเอง ทราบเรื่องราวดังกล่าวจากผู้บังคับบัญชา ตนและทีมข่าว รวมถึงเพื่อนสื่อมวลชนช่องอื่นๆ จึงติดตามทำข่าวอย่างใกล้ชิด ซึ่งสำนักข่าวทีนิวส์จะแถลงข่าวอีกครั้งในวันนี้ (14 ธ.ค.) เวลา 08.00 น. รวมทั้งจะลงพื้นที่ไปจุดที่มีการจ้างวานให้โกนหัวว่ามีอยู่จริงหรือไม่ 
เชื่อใครดี? “ช่างภาพทีนิวส์” รับงานโกนหัวประท้วงเพราะร้อนเงิน ปัดจัดฉากโจมตี “ธรรมกาย”
        
เชื่อใครดี? “ช่างภาพทีนิวส์” รับงานโกนหัวประท้วงเพราะร้อนเงิน ปัดจัดฉากโจมตี “ธรรมกาย”
       

       
       

ที่แท้!'เบสท์ริน-ซุปเปอร์ซาร่า'กลุ่มเดียวกัน-ไขปริศนายอมจ่ายภาษีรถเมล์NGV 370 ล.?

"...การที่ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีประวัติการถูกตรวจสอบภาษี ไม่นำเข้ารถมาเอง แต่ให้บริษัท ซุปเปอร์ซ่ารา ที่ยังไม่เคยมีประวัติการถูกตรวจสอบมาทำหน้าที่แทน ขณะที่รูปแบบวิธีการนำเข้ารถก็ถูกตรวจสอบพบว่า ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น .."
picnnhh0814 12 16
หากใครที่ติดตามการแถลงข่าว กรณีปัญหาการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีจำนวน 489 คัน ของกรมศุลกากร เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2559 ที่ผ่านมา คงจะได้รับทราบข้อมูลกันไปแล้ว วงเงินจำนวน 370 ล้านบาท คือ ตัวเลขภาษีพร้อมค่าปรับ ที่บริษัทซุปเปอร์ซาร่า จำกัด ในฐานะผู้นำเข้ารถเมล์ NGV เข้ามาในประเทศไทย ต้องจ่ายให้กับกรมศุลกากร หลังถูกสอบสวนพบว่า รถเมล์เอ็นจีวีจำนวน 100 คันแรก มีการสำแดงแหล่งกำเนิดเป็นเท็จอันเป็นความผิดตามกฎหมายศุลกากรตามมาตรา 99 และ 27 แห่งพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469  
โดย นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ระบุชัดเจนว่า  จากการตรวจสอบพบรถทั้งหมด 489 คัน ได้ดำเนินการประกอบมาจากประเทศจีน และถูกมาพักที่มาเลเซียก่อนส่งเข้ามายังประเทศไทย ซึ่งในจำนวน 100 คันแรก จะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวม 370 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าภาษีอากรนำเข้าประมาณ 118 ล้านบาท ค่าปรับจากการสำแดงเอกสารเป็นเท็จอีก 236 ล้านบาทและค่าปรับภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 16 ล้านบาท
"ส่วนรถอีก 389 คันจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกทั้งหมดประมาณ 571 ล้านบาท จากแบ่งเป็นค่าภาษีอากรนำเข้า 1.2 ล้านบาทต่อคัน และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 2.7 แสนต่อคัน และทางบริษัทซุปเปอร์ซาร่าจะถูกจัดลำดับอยู่กลุ่มบริษัทที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะมีการแสดงเอกสารเป็นเท็จ แม้จะเป็นการดำเนินการครั้งแรกก็ตาม และหากทางบริษัทซุปเปอร์ซาร่าต้องการนำรถ 100 คันแรกออกจากท่าเรือแหลมฉบังจะต้องดำเนินการวางเงินหลักประกันจำนวน 370 ล้านบาท ซึ่งจากการหารือพบว่าจะขอเวลาในการรวบรวมเงินอีกประมาณ 2-3 วัน" 

(อ่านประกอบ : อ่วม!กรมศุลฯ ชี้ซุปเปอร์ซาร่า นำเข้าเมล์เอ็นจีวี ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม370 ลบ.)

แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้ว บริษัทซุปเปอร์ซาร่า ในฐานะผู้นำเข้ารถเมล์ NGV เข้ามาในประเทศ เป็นบริษัทกลุ่มเดียวกับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ผู้ชนะการประกวดราคาจัดประมูลรถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน วงเงิน 4 พันกว่าล้านบาท ของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นั้นเอง 
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า เดิมที่มีชื่อว่า บริษัท เบสท์ลินเอ็นจิ้นเซอร์วิส จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2551 ทุน 2 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 44/1 อาคารรุ่งโรจน์ธนกุล ชั้น 16 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง
ปรากฎชื่อนางประจิตรา แสงฤทธิ์  เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ
รายชื่อผู้ก่อตั้งบริษัทมี 7 ราย ประกอบไปด้วย นายหลิน เข่อนั่ว นายปณิศา หลิน นายหวัง เจียง นายประจิตรา แสงฤทธิ์ นายจินดาสร แสงฤทธิ์ นายหวัง เหยี่ยวผง และนายจาง หงเจ๋อ 
โดยนายหลิน เข่อนั่ว นายปณิศา หลิน แจ้งที่อยู่เดียวกัน คือ 94/127 ถนนวัชรพล แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม.
ส่วนนายหวัง เจียง นายประจิตรา แสงฤทธิ์ นายจินดาสร แสงฤทธิ์ นายหวัง เหยี่ยวผง และนายจาง หงเจ๋อ แจ้งที่อยู่เดียวกัน คือ 100/364 หมู่ที่ 11 แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าวกทม.
นายหลิน เข่อนั่ว ปรากฎชื่อเป็นผู้จองชื่อนิติบุคคล (ดูเอกสารประกอบ)
picnnhh0714 12 16
picnnhh0614 12 16
ต่อมาในช่วงปี 2556 บริษัทฯ ได้แจ้งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า จำกัด พร้อมเพิ่มทุนเป็น 50 ล้านบาท และแจ้งเพิ่มวัตถุประสงค์การทำธุรกิจอีกหลายข้อ 
picnnhh0514 12 16
ส่วนนางประจิตรา แสงฤทธิ์ แจ้งเปลี่ยนนามสกุลใหม่ เป็น นางประจิตรา วรนาวิน และแจ้งย้ายที่อยู่ใหม่ เป็นเลขที่ 342/125 ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง กทม. 
ต่อมา 4 ก.ค.2559 บริษัท ฯ ได้แจ้งย้ายที่อยู่ใหม่ เป็น 429/22 ถนนลาดพร้าว-วังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. 
29 ก.ค.2559 นางประจิตรา วรนาวิน (นามสกุลเดิม แสงฤทธิ์) แจ้งลาออกจากกรรมการ นายจินดาสร แสงฤทธิ์ เข้ามาเป็นกรรมการแทน ที่อยู่ตามบัตรประชาชน คือ 94/127 ซ.วัชรพล 1/3 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กทม. 
สำหรับรายชื่อ ผู้ถือหุ้นบริษัท ณ 18 ต.ค.2559 นายจินดาสร แสงฤทธิ์ ถือหุ้นใหญ่สุด 255,000 หุ้น  นางประจิตรา วรนาวิน  222,000 หุ้น นายหวัง เหยี่ยวผง 25,000 หุ้น (ดูเอกสารประกอบ)
picnnhh0414 12 16
จากการตรวจสอบความเชื่อมโยงกับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด พบข้อมูลดังนี้ 
บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ชื่อเดิม บริษัท เดฟฟารีเทคโนโลยีแอนด์ดีเวลลอปเม้นท์ไทยแลนด์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 เมษายน 2546 ทุนปัจจุบัน 200 ล้านบาท ประกอบการขายส่งและการขายปลีกการซ่อมยานยนต์และจักรยานยนต์ ที่ตั้งเลขที่ 60/111 หมู่ที่ 1 ถนนบางนา-ตราด กม.12.5 ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 
ทั้งนี้ ในช่วงก่อตั้งบริษัทฯ นายหลิน เข่อนัว และนางประจิตรา แสงฤทธิ์ ปรากฎชื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้งด้วย  และรวมเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นบริษัทฯ  ด้วย  
โดย นางประจิตรา แสงฤทธิ์ ถือหุ้นใหญ่สุด 60,598 หุ้น (ทุนจดทะเบียนช่วงเริ่มต้น 125 ล้านบาท)
ขณะที่ นายหลิว เข่อนั่ว เป็นผู้มอบอำนาจให้ นางมาเรียม ทองประสิทธิ์ เป็นผู้ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท 
picnnhh0014 12 16
picnnhh14 12 16
ส่วนการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ จาก บริษัท เดฟฟารีเทคโนโลยีแอนด์ดีเวลลอปเม้นท์ไทยแลนด์ จำกัด เป็น บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2549 ซึ่งในช่วงนั้น นายหลิน เข่อนัว นางประจิตรา แสงฤทธิ์ และ นายจินดาสร แสงฤทธิ์ ปรากฎชื่อเข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจ ก่อนจะมีการแจ้งลดและเพิ่มทุนจดทะเบียนหลายครั้ง  รวมถึงที่ตั้งบริษัทฯ
ล่าสุดแจ้งอยู่ที่ 60/111 หมู่ที่ 1 ถนนบางนา-ตราด กม.12.5 ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 
ขณะที่ นายหลิน เข่อนัว แจ้งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น นายเค่อนั่ว หลิน และแจ้งย้ายที่อยู่ใหม่ เป็นเลขที่ 342/125 ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง กทม. ซึ่งเป็นที่อยู่เดียวกับ นางประจิตรา แสงฤทธิ์
picnnhh0114 12 16
จากนั้นวันที่ 18 ต.ค.2556 บริษัทฯ แจ้งเปลี่ยนตัวกรรมการใหม่ นายเค่อนั่ว หลิน เป็นกรรมการผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว หลังจากที่ นางประจิตรา แสงฤทธิ์ และ นายจินดาสร แสงฤทธิ์ แจ้งลาออกไป 
ก่อนที่ในวันที่ 17 มิ.ย.2557 บริษัทฯ จะแจ้งเปลี่ยนตัวกรรมการใหม่ นายเค่อนั่ว หลิน ลาออก นางสาวยิงชุน เชียว เข้ามาเป็นกรรมการผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว 
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ล่าสุด ณ วันที่ 30 เม.ย.2559 นายจินดาสร แสงฤทธิ์ ยังปรากฎชื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุด จำนวน 102,000 หุ้น ตามมาด้วย นายเค่อนั่ว หลิน 66,000 หุ้น ส่วนนายหวัง เจียง ถืออยู่ 20,000 หุ้น และ นางสาวยิงชุน เชียว ถืออยู่ 12,000 หุ้น (จากทุนจดทะเบียนล่าสุด 200 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นเมื่อ 23 มกราคม 2558) 
picnnhh0314 12 16
จากข้อมูลทั้งหมด ชี้ให้เห็นว่า บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ซุปเปอร์ซาร่า เป็นบริษัทกลุ่มเดียวกัน โดยเฉพาะการปรากฎชื่อ นายจินดาสร แสงฤทธิ์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองบริษัท 
เพราะฉะนั้น การที่บริษัท ซุปเปอร์ซาร่า ถูกเรียกภาษีและค่าปรับเป็นเงิน 370 ล้านบาท บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ก็อาจจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย 
แต่สิ่งสำคัญที่เป็นปริศนาและยังหาคำอธิบายที่ชัดเจนไม่ได้ คือ ในกระบวนการนำเข้ารถเมล์ NGV บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ที่เป็นผู้ชนะการประกวดราคารถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน จากขสมก. ถึงไม่ดำเนินการนำเข้ารถเมล์เอง
ทำไมต้องให้บริษัท ซุปเปอร์ซ่ารา เป็นผู้ดำเนินการแทน?
แต่มีข้อมูลชุดหนึ่ง ที่น่าสนใจ คือ ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า  สำนักกฎหมาย กรมศุลกากร ได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการสำนักบริการข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อขอทราบรายการจดทะเบียนของ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด อาทิ กรรมการผู้จัดการ สถานที่ตั้ง สำนักงานใหญ่ และขอให้ระงับการขีดชื่อออกจากทะเบียน โดยอ้างว่า เพื่อประกอบการพิจารณาในการฟ้องเรียกหนี้ค่าภาษีอากรจากบริษัทฯดังกล่าว นับตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี 2559 รวมจำนวน 11 ฉบับ 
ขณะที่ในการตรวจสอบข้อมูลการนำเข้ารถเมล์ NGV ครั้งนี้ หลักฐานสำคัญที่กรมศุลกากร ตรวจสอบพบ คือ รถเมล์ที่อยู่ที่ท่าเรือของมาเลเซีย ไม่ได้เป็นแค่ส่วนชิ้นที่นำมาประกอบ แต่มีสภาพเป็นรถทั้งคันที่ผ่านมาประกอบเรียบร้อยแล้ว ชี้ให้เห็นว่าชัดเจนว่ารถเมล์ ไม่ได้ประกอบที่มาเลเซีย แต่มีการนำเข้ามาจากประเทศจีน จึงทำให้บริษัทซุปเปอร์ซ่ารา ยอมจ่ายค่าปรับแต่โดยดี ไม่มีข้อแม้หรือโต้แย้งอะไร 
หากพิจารณาข้อมูลสองส่วนนี้ประกอบกัน จะมีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า การที่ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งมีประวัติการถูกตรวจสอบภาษี ไม่นำเข้ารถมาเอง แต่ให้บริษัท ซุปเปอร์ซ่ารา ที่ยังไม่เคยมีประวัติการถูกตรวจสอบมาทำหน้าที่แทน ขณะที่รูปแบบวิธีการนำเข้ารถก็ถูกตรวจสอบพบว่า ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย 
อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้น แต่เป็นการเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว? 
และถ้าพิจารณาในแง่มุม ความเป็นเจ้าของเดียวกันของบริษัททั้งสองแห่ง ความผิดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ อาจไม่นับเป็นความผิดครั้งแรกด้วยเช่นกัน?