PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

หมวดเจี๊ยบ ปูด กปปส. มีแผนการลับ 10 ประการ

หมวดเจี๊ยบ ปูด กปปส. มีแผนการลับ 10 ประการ ลือ มีการให้ฤกษ์ปฏิวัติ 14 มกราคมนี้ จี้ อภิสิทธิ์ ตอบคำถาม พร้อมชี้แจงจุดยืน หากไม่เห็นด้วยให้ออกมาปรามม็อบ

ที่พรรคเพื่อไทย วันนี้ (6 มกราคม 2556) ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้รับข้อมูลจากผู้หวังดีแจ้งเข้ามาว่าทางแกนนำ กปปส. กำลังมีแผนการลับ 10 ประการ ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่ จึงอยากให้พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเนื้อเดียวกับ กปปส. ออกมาตอบคำถามเหล่านี้ เพราะคนในสังคมกำลังกังวลกันอยู่ ดังนี้

1. จริงหรือไม่ ที่มีการจูงใจให้ทหารออกมาปฏิวัติ โดยหลอกทหารว่า ปฏิวัติคราวนี้แล้วทหารจะเป็นพระเอก

2. จริงหรือไม่ ที่มีการกล่อมทหารว่าการปฏิวัติจะไม่ถูกต่อต้านจากต่างชาติ เพราะจะมีการจัดฉากให้มวลมหาประชาชนไปมอบดอกไม้ให้ทหาร เพื่อสร้างภาพว่าเป็นการปฏิวัติที่ประชาชนเป็นผู้เรียกร้อง

3. จริงหรือไม่ ที่หมอดูให้ฤกษ์ปฏิวัติมาเป็นวันอังคารที่ 14 มกราคม เพราะเป็นวันโลกาวินาศ

4. จริงหรือไม่ ที่มีการวางแผนสร้างเงื่อนไขปฏิวัติ โดยให้มือที่สามยิงผู้ชุมนุม กปปส. เพื่อจะทำให้บาดเจ็บเฉย ๆ แต่หากพลาดทำให้คนเสียชีวิต ก็จะจ่ายเงินเยียวยาให้ไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาท

5. จริงหรือไม่ ที่มีการเสนอโควต้าให้มวลชนกลุ่มต่าง ๆ ที่มาร่วมเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลให้เข้ามาเป็นสภาประชาชน หลังจากปฏิวัติและมีรัฐบาลคนกลางแล้ว เช่น โควตานักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ นายทุน และนักการเมืองรวมทั้งหัวคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์

6. จริงหรือไม่ ที่มีข้อเสนอว่าโควต้านายกฯ จะเป็นของทหาร

7. จริงหรือไม่ ที่ภายหลังการปฏิวัติ เป้าหมายของรัฐบาลคนกลาง คือการใช้อำนาจรัฐทำลายความชอบธรรมและยัดข้อหาต่าง ๆ ให้ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

8. จริงหรือไม่ ที่ภายหลังการปฏิวัติจะมีการทำลายชื่อเสียงและทำลายความชอบธรรมของกลุ่มประชาชนที่คิดต่างกับพรรคประชาธิปัตย์ และ กปปส. โดยการยัดเยียดข้อหาล้มเจ้า หรือกล่าวหาว่ารับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

9. จริงหรือไม่ ที่มีใบสั่งให้รัฐบาลคนกลางอยู่ในอำนาจได้ 1 ปี หากทำลายความชอบธรรมฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองสำเร็จ และทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง แต่ถ้ายังทำไม่สำเร็จตามแผน ก็จะยังอยู่ในอำนาจต่อไปเรื่อย ๆ

10. จริงหรือไม่ ที่มีการตั้งธงไว้ว่า หากเกิดการยึดอำนาจขึ้น และประเทศอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลคนกลาง ถ้ามีประชาชนออกมาต่อต้านก็จะสั่งสลายการชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง เพื่อปิดปากผู้ที่คิดต่าง"

สำหรับคำถามทั้ง 10 ข้อนี้ ร.ท.หญิง สุณิสา ได้เรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาชี้แจง พร้อมแสดงจุดยืน โดยหากนายอภิสิทธิ์ไม่เห็นด้วยก็ขอให้ห้ามปรามการกระทำของ กปปส. เพราะยังได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แม้วันนี้จะเป็นเบี้ยล่างของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ตาม ทั้งนี้ หากนายอภิสิทธิ์ไม่ออกมาห้ามปราม กปปส. เลย ถือว่าเป็นคนอำมหิตต่อประเทศชาติและคนไทยเป็นอย่างมาก

ย้อนภาพในสถานการณ์คล้ายเหตุการณ์ รัฐประหาร 19 กันยา

ในสถานการณ์ความคล้ายเหมือนกับปรากฎการณ์ทางการเมืองและการทหาร..ลองนำข้อมูลเก่าในเหตุการณ์ก่อนวันรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เมื่อ7 ปีก่อนมาลองพิเคราะห์กัน..

////

ย้อนรอย 11 วัน หลังจากที่ "ทักษิณ"ก้าวย่างออกจากแผ่นดินสยาม ก่อนจะพบจุดจบเป็น "นายกฯ เร่ร่อน" และลำดับเหตุการณ์ การรัฐประหาร 19 กันยายน 25499 กันยายน 2549
ขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เชื่อถือในเรื่องโชคลางอาจลืมไปว่า การเลือกเดินทางไปเยือนประเทศทากิจกีสถานในวันนี้ถือเอาฤกษ์กบฎ 9 กันยา เข้าพอดิบพอดี เพราะเมื่อ 21 ปีก่อนพล.ต.มนูญ รูปขจรและคณะนำรถถังออกมาโค่นรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่ล้มเหลว และในวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มโปรแกรมทัวร์ถอยหลังสู่ภาวะซัดเซพเนจรครั้งนี้ ยังเป็นวันที่คณะนักวิชาการไปยื่นหนังสือถึงพล.อ.เปรม ที่บ้านสี่เสาเพื่อประกาศเจตนารมณ์หยุดระบอบทักษิณ พร้อมชู"ป๋าเปรม"เป็นแบบอย่างของคนไทยอีกด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ไปขึ้นเครื่องที่บน.6 ท่ามกลางการอารักขาของหน่วยทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์สงครามครบมือเพื่อยัง กลิ่นของคาร์บอมบ์และรัฐประหารยังไม่จาง

10 กันยายน 2549
กลิ่นปฏิวัติเริ่มโชยหนักขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเดินทางไปถึงกรุงเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ เพื่อเข้าร่วมประชุมอาเซ็มได้พูดกับนักข่าวว่า ไม่ได้เป็นผู้พูดเรื่องปฏิวัติด้วยตัวเอง ถือเป็นเรื่องของข่าวลือและการปล่อยข่าว แต่ที่เมือง ไทย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน รองปลัดกระทรวงกลาโหมปฏิบัติการดับเครื่องชน รัฐบาลและพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ฐานยุ่มย่ามโผย้ายทหาร โดยที่พล.อ.ธรรมรักษ์ประกาศจะเล่นงานตามกฎหมาย ขณะที่จ่ายักษ์ ตัวละครสำคัญคดีคาร์บอมบ์ระบุว่า มีนายพล 3 นายแห่งกองทัพบก เข้าร่วมขบวนการลอบสังหารนายกฯ

11 กันยายน 2549
เสร็จสิ้นการประชุมอาเซ็มที่ประเทศฟินแลนด์ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดเป็นไข้ขึ้นมากะทันหัน จึงพาคณะเดิน ทางไปพักผ่อนที่ประเทศอังกฤษ เพื่อเตรียมเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดที่ประเทศคิวบา พ.ต.ท.ทักษิณ พูดติดตลกกับนักข่าวว่า ที่ยังไม่กลับประเทศไทยนั้น "ไม่ใช่ เพราะขอลี้ภัย"

12 กันยายน 2549
อุณหภูมิการเมืองในเมืองไทยร้อนระอุขึ้นเป็นลำดับ ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณเสร็จภารกิจที่ฟินแลนด์ แล้วมาพำนักอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยกลุ่มอาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวว่าจะนัดชุมนุมกันในวันที่ 14 กันยายน เพื่อกดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยุติบทบาททางการเมือง ขณะที่ตัวแทน อาจารย์จุฬา และ เครือข่ายด้านสุขภาพเข้าพบ พล.อ.เปรม ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยที่หนังสือพิมพ์เริ่มเปิดประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณพูดผ่านรายการสถานีสนามเป้าว่า อาจจะเว้นวรรคการเมือง

13 กันยายน 2549
พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาระหว่างอยู่ที่อังกฤษ เขียนจดหมายจากต่างประเทศถึงสมาชิกพรรคไทยรักไทย และประชาชน ขณะที่เทปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มออกอากาศทางช่อง 5 เป็นตอนแรก ในวันเดียวกันนี้ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกให้สัมภาษณ์ว่า ทหารไม่คิดปฏิวัติ กระแสที่ออกมาเป็นการปล่อยข่าวเพื่อกันไม่ให้ทหารปฏิวัติมากกว่า

14 กันยายน 2549
เครือข่ายจุฬาเชิดชูคุณธรรมชุมนุมภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกดดันให้พ.ต.ท.ทักษิณยุติบทบาททางการเมือง พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า ทหารไม่คิดปฏิวัติ ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลประกาศว่าจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 22 กันยายนเพื่อกดดันไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศ

15 กันยายน 2549
พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์นักข่าวระหว่างเดิทางไปประชุมกลุ่มนามที่ประเทศคิวบาว่า อาจจะเว้นวรรคทางการเมือง โดยอาจจะประกาศในวันรับสมัครเลือกตั้ง สอดคล้องกับเทปรายการที่ออกอากาศทางช่อง 5 ว่าด้วยเรื่องอาจเว้นวรรคพอดิบพอดี พ.ต.ท.ทักษิณ ยังพูดเลยไปด้วยว่า เขานั้นเปรียบเหมือนพล.อ.เปรม ที่เคยถูกประชาชนขับไล่เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ทำให้ทหารคนสนิทพล.อ.เปรม และหลายฝ่ายไม่พอใจ ในวันเดียวกันนี้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีมติชุมนุมยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนเป็นต้นไปเพื่อกดดันไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศจะเรียกฝันร้ายในคิวบา ของ พ.ต.ท.ทักษิณก็คงไม่ผิดนัก

16 กันยายน 2549
เกิดเหตุระเบิดขึ้นในย่านการค้าและ ชุมชนอำเภอหาดใหญ่ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ
ไม่เพียงเท่านั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงยืนยันจัดชุมนุมยืดเยื้อถึงวันที่ 20 กันยายน ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มมีการเกณฑ์ประชาชนในอีสานหลายหมื่นคนเพื่อจุดหมายให้ เผชิญหน้ากับกลุ่มพันธมิตรประชาชน

17 กันยายน 2549
สนธิ ลิ้มทองกุล แถลงยืนยันมติไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณเขียนจดหมายถึงประชาชนฉบับที่ 2 พ.ต.ท.ทักษิณบอกกับนักข่าวว่าได้สั่งการให้ ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร.ให้ลงไปดูแลแก้ไขปัญหาภาคใต้แล้ว

18 กันยายน 2549
พ.ต.ท.ทักษิณแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาคใต้ออกทางสีหน้า ระหว่างเดินทางจากคิวบามาแวะพักที่แคนคูน เม็กซิโก ก่อนจะต่อไปยังนิวยอร์ค และวาระสุดท้ายในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 สมัยที่ 2 ก็มาถึง

19 กันยายน 2549
08.00 น. มีคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เรียกผู้นำทุกเหล่าทัพเข้าประชุมร่วมกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่มีผู้นำเหล่าทัพคนใดเข้าร่วม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. อ้างว่ากระชั้นชิดเกินไป ทำให้ต่อมามีกระแสข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหาร แพร่สะพัดไปทั่วทำเนียบรัฐบาลและเริ่มกระจายสู่ภายนอก โดยเฉพาะตลาดหลักทรัพย์09.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยใช้ web camera จากห้องพักที่โรงแรม Grand Hyatt นิวยอร์กมายังห้องประชุมครม. พ.ต.ท.ทักษิณ อาจไม่ทันได้สังเกตว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่จะต้องมาร่วมประชุมครม.นัดพิเศษเพื่อรับทราบแนวทาง แก้ปัญหาภาคใต้พากันหายหน้าไปหมด ส่งเพียงตัวแทนเข้ามาร่วม กระทั่งค่ำ วันนั้นตามเวลาในไทยหรือตอนสายๆวันที่ 18 ที่นิวยอร์ค พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเริ่มรู้ข่าวว่า ถูกคณะนายทหารก่อรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์ตัดหน้าประกาศคณะปฏิวัติ แต่ทุกอย่างก็สายไปหมดแล้ว และสายไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งจะเดินทางจากนิวยอร์ค ไปพำนักที่อังกฤษ ก็ยังต้องใช้เวลานานนับวัน

12.00 น. หลังการประชุมครม. โดยผ่านระบบweb camera รัฐมนตรีหลายรายได้สอบถามผู้สื่อข่าวถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้อย่างตื่นเต้น

18.30 น. มีข่าวกำลังทหารหน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ มีข่าวว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ข่าวระบุว่า เป็นเรื่องการทำบุญหม่อมหลวงบัว 
มีข่าวลือสะพัด กำลังทหารเตรียมเคลื่อนกำลังพล โดยมีรายงานว่าหน่วยรบพิเศษจากลพบุรีราว 1 กองพันเคลื่อนกำลังด่วนเข้ากรุงแล้ว18.55 น. สำนักข่าวไทยรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ประกาศเลื่อนเดินทางกลับประเทศไทยเร็วขึ้นจากวันที่ 22 กันยายน เป็น 05.00 น. วันที่ 21 กันยายนแทน
ช่วงค่ำ รัฐมนตรีหลายรายต่างโทรเช็คข่าว
19.00 น. ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ยืนยัน ไม่มีการเคลื่อนไหวกำลังพล

19.30 น. แม่ทัพภาค 3 ยืนยัน ไม่มีการเคลื่อนกำลัง ยังฝึกปกติ
20.00 น. 
ตำรวจ 191 เบิกอาวุธเอ็ม 16 ไปรอเตรียมพร้อมที่กองกำกับการ 2 (ป้องกันและปราบปรามจลาจล) ถ.วิภาวดีรังสิต 

21.00 น. กำลังทหารจากพลร่มป่าหวาย หน่วยสงครามพิเศษลพบุรี เข้ามาประจำการที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) สองคันรถบัส สั่งปิดไฟสลก. มีผู้โพสต์ข้อความถามถึงข่าวลือปฏิวัติในเวปพันทิป พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางกลับโรงแรมที่ นิวยอร์ค และได้เรียกกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ตามไปคุยเป็นการส่วนตัว โดยในการพูดคุยกับนักข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบกระแสข่าาวรัฐประหารในประเทศไทย พร้อมทั้งมีการติดต่อกับผู้บริหารของ ช่อง 9 อสมท. เพื่อจะขอถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เนต เพื่อชี้แจง ในเวลา 23.00 น.

21.10 น. รถถ่ายทอดสด (โอบี) สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) เข้า บก.ทบ. 


21.20 น. มีทหารเฝ้าประตูวังสุโขทัย มากกว่า 20 นายกฯ สั่งช่อง 11 เตรียมการถ่ายทอดสดทางโทรศัพท์ จากนิวยอร์ค
21.30 น. สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ตัดรายการปกติ เปิดเพลงที่มีเนื้อหาสรรเสริญพระบารมี กลุ่มผู้สื่อข่าวได้เข้าไปยังทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ตำรวจยังคงรักษาทำเนียบรัฐบาลเป็นปกติ ท่ามกลางข่าวลือว่ามีการนำกำลังเข้าควบคุมตัว พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รักษาการ รมว.กลาโหม ขณะที่มีอีกกระแสข่าวว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปประเทศอังกฤษตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทำเนียบรัฐบาลมีคำสั่งห้ามคนนอกเข้าไปเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ได้เชิญผู้สื่อข่าวบางส่วนออกมา ทำให้ผู้สื่อข่าวต้องไปรอจับกลุ่มออกันอยู่บริเวณหน้าทำเนียบเป็นจำนวนมาก น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาลด้านหลังตึกไทย ไล่เลี่ยกัน พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรม ได้เดินทางตามเข้ามาแต่ไม่ได้ลงจากรถ ก่อนที่น.พ.พรหมินทร์ จะหอบเอกสารปึกใหญ่เดินขึ้นรถ พล.ต.อ.ชิดชัย และเคลื่อนออกไปจากทำเนียบด้วยกัน กำลังคอมมานโดตำรวจกองปราบปรามได้เดินทางไปรักษาความปลอดภัยที่บ้านจันทร์ส่องหล้า มีนายทหารกลุ่มที่รัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ายึดช่องการสื่อสารดาวเทียมทางสถานีไทยคมแล้ว นอกจากนี้ นายทหารอีกกลุ่มก็ได้เข้ายึดช่อง 11 ด้วยเช่นกัน22.00 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาลสั่งปิดประตู พร้อมวางกำลังเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือประจำการประมาณ ขบวนรถถังเคลื่อนเข้าคุมเชิงที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และ ถ.ราชดำเนิน สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นรายงานสด (เบรกกิ่งนิวส์) สถานการณ์ในเมืองไทย หลังมีผู้เห็นกองกำลังทหารออกคุมกำลังตามสถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ 

22.10 น. ทหารเตรียมเคลื่อนกำลังออกจากม.พัน 4
22.13 น. ยานหุ้มเกราะ 20 คันเคลื่อนจากเกียกกายสู่ลานพระรูป ขณะที่รถถัง 3-4 คันเคลื่อนไปทำเนีย 
สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท พ.ต.ท.ทักษิณ ออกประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควบคุมพื้นที่กรุงเทพฯ ระบุอยู่ในขั้นรุนแรง และให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานตัวต่อ พล.ต.อ.ชิดชัย และตั้ง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.สส. คุมอำนาจแก้สถานการณ์ฉุกเฉิน ทหารเคลื่อนพลปิดล้อมทำเนียบ รัฐบาลแล้ว รถถัง 3 คันประจำการแยกเกียกกาย บ้านสี่เสาเทเวศน์ รถถังสองคันพร้อมรถบรรทุกกำลังพล 5 คันเคลื่อนออกจากกองพันทหารปืนใหญ่ มีทหารจำนวนมาก ออกมาตรึงกำลังตามถนนต่างๆ ตั้งแต่แยกเกียกกาย ผ่านมาถึง ถ.ราชสีมา บริเวณสวนรื่นฤดี สี่แยกราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) โดยมีทหารแต่งกายลายพรางเต็มยศเป็นผู้ควบคุมกำลัง พ.ต.ท.ทักษิณ รักษาการนายกฯ ได้โทรศัพท์สั่งการไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เตรียมการถ่ายทอดสดเสียงตนเองผ่านทางโทรศัพท์จากนิวยอร์ก แต่ขณะที่กำลังรอสาย ทหารได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในช่อง 11 ได้ก่อน โดยได้นำเจ้าหน้าที่ช่อง 11 ทั้งหมดไปควบคุมไว้ยังห้องโถง ตั้งแต่เวลา 22.00 น. จนถึงเวลา 00.30 น. จึงปล่อยตัวออกจากสถานี

22.17 น. สัญญาณช่อง 9 อสมท ถูกตัดลง หน้าจอโทรทัศน์ดับสนิทชั่วครู่ โดยมีรายงานว่า เพราะทหารตัดไฟสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ขณะ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก่อนจะตัดเข้าโฆษณาสินค้าประมาณ 2 ตัว ก่อนจะตัดเข้าสู่รายการปกติ โดยมีรายงานข่าวว่ากำลังทหารบุกเข้าควบคุมที่ห้องส่งสัญญาณออกอากาศ พร้อมควบคุมตัวนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ กก.ผอ.ใหญ่ บมจ.อสมท
22.20 น. วิทยุและโทรทัศน์ทหารเปิดเพลงมาร์ชกระหึ่ม ทหารยึดอสมท.
22.24 น. ทหารเคลื่อนกำลังพลปิดบ้านนายกฯ ขณะที่นายกฯประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินต้านทันควัน พร้อมสั่งย้าย ผบ.ทบ.เข้ารายงานตัวกับชิดชัย ตั้งผบ.สส.เป็นผู้มีอำนาจสั่งการตามพรก.
22.25 น. สถานีโทรทัศน์เกือบทุกช่องตัดเข้ารายการเพลง เปิดเพลงที่มีเนื้อหาสรรเสริญพระบารมี ยกเว้นช่อง 9 และช่อง 3 ที่นำเสนอรายการปกติ โดยมีรายงานข่าวว่า มีกำลังทหารเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง โดยเฉพาะช่อง 9 อสมท และไอทีวี ทหารสั่งตัดไฟสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ขณะนายกฯกำลังประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน
22.30 น. สถานีโทรทัศน์ทุกช่องเริ่มเชื่อมสัญญาณกับ ททบ.5 และเปิดเพลงที่มีเนื้อหาสรรเสริญพระบารมี แม้แต่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่างเอเอสทีวี ยกเว้นเนชั่นแชนนัล ทางสถานีโทรทัศน์ไททีวี ช่อง 1 ที่ยังคงรายงานสถานการณ์ได้ตามปกติ มีรายงานข่าวว่า มีรถถ่ายทอดสดไปที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์เพื่อเตรียมถ่ายทอดสด และ กำลังทหารส่วนหนึ่งได้เข้าควบคุมตัว พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.กองปราบปรามและ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต (เสธ.ไอซ์) ที่ปรึกษากองทัพบก

22.35 น. เนชั่นแชนนัลถูกเชื่อมสัญญาณเหมือนทุกช่อง

22.40 น. มีการตัดสัญญาณ ฟรีทีวีทุกช่อง
 CNN รายงานสถานีวิทยุและโทรทัศน์ไทย ถูกปิดหมดแล้ว และมีรายงานการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน
22.44 น. ทหารสั่งกักบริเวณ ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล
22.54 น. สถานีโทรทัศน์ทุกช่องได้ขึ้นโลโก้สถานีรวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย พร้อมขึ้นคำประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมขออภัยในความไม่สะดวก พร้อมเปิดเพลง "ความฝันอันสูงสุด"22.55 น. ทหารปล่อยให้สื่อมวลชนกลับบ้านแล้ว
22.57 น. สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นแพร่รถถังและกำลังทหารควบคุมสถานการณ์ภายใน กทม. ช่วงหนึ่งได้แพร่ภาพกลุ่มชาวบ้านใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปกำลังทหารเหล่า นั้น โดยไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด23.00 น. ทหารควบคุมตัวพลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว
23.05 น. มีประกาศจากคณะปฏิรูปการเมืองซึ่งประกอบด้วยสี่เหล่าทัพขอความร่วมมือจาก ประชาชนหลัง ควบคุมสถานการณ์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลไว้ได้โดยไม่มีการต่อต้าน
23.10 น. เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารสั่งสถานีวิทยุ ในเครือกองทัพ( ๑๐๑ ) เตรียมรับสัญญาณถ่ายทอดสดจากสถานีวิทยุ ๙๙.๕

23.15 น. พล.ต.ประพาส ศกุนตนาถ อดีตโฆษก ททบ.5 อ่านแถลงการณ์คณะปฏิรูปการปกครองฯ ที่แสดงไว้ในหน้าจอก่อนหน้านี้ซ้ำถึงสองครั้ง ทหารสั่งปลดอาวุธเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล และกักบริเวณไว้หน้าตึกไทยคู่ฟ้า
23.30 น. เอเอสทีวีออกอากาศได้ตามปกติอีกครั้ง ขณะที่สถานีโทรทัศน์ทุกช่องยังคงเชื่อมสัญญาณกับ ททบ. 5 ขณะเดียวกันทหารจาก ป.พัน 21 สังกัด ร.21 ประมาณ 30 นาย พร้อมอาวุธครบมือเดินทางมายังอาคารเนชั่นทาวเวอร์ ที่สถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนนัล โดยยืนยันว่า มาดูแลความสงบเรียบร้อยทั่วไป ขณะที่เนชั่นแชนนัล เริ่มออกอากาศได้อีกครั้งในเวลา 23.44 น. มีข้อความแพร่ไปทางมือถืออ้างพลเอกเปรมปฏิวัติแต่ในหลวงไม่เอาด้วย
23.31 น. ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเป็นศัตรูกับรัฐบาลที่ทำการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
23.40 น. มีการสั่งปลดอาวุธ ตำรวจหน่วยอรินทราชและคอมมานโดทั้งหมด
23.50 น. มีประกาศจากคณะปฏิรูปการเมืองครั้งที่ ๒ แจงก่อเหตุเพราะมีการบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง องค์กรอิสระถูกครอบงำไม่เป็นไปตามเจตนารมย์รัฐธรรมนูญ การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมีอุปสรรค หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์อยู่หลายครั้ง คณะปฏิรูปไม่ประสงค์จะยึดอำนาจเพื่อบริหารเอง แต่จะคืนอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุขให้ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด

23.55 น. มีการตัดสัญญาณโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก ( ยูบีซี ) ช่อง ๕๓ ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น
23.59 น. ผู้บัญชาทหารทุกเหล่าทัพเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชวังดุสิต
00.24 น. มีรายงานการปะทะกันที่บริเวณกองพันทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์บางเขน

00.28 น. พลตรี ประพาส สกุนตนารถ ที่ปรึกษาททบ.๕ อ่านแถลงการประกาศกฎอัยการศึกบังคบใช้ทั่วประเทศตั้งแต่ ๒๑.๐๕ น.ของวันที่ ๑๙ กันยายน ๔๙ โดยมีพลเอก สนธิบุญรัตนกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ

00.30 น. มีประกาศคณะปฎิรูป การปกครองฯฉบับที่ ๒ สั่งห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหาร โดยไม่ได้รับคำสั่งจากคณะปฏิรูป


อ้างอิง : กรุงเทพธุรกิจ, คม-ชัด-ลึก, INN
http://www.parliament.go.th/news/news_detail.php?prid=30312
http://www.komchadluek.com/2006/09/20/a001_49076_report.php?news_id=49076

-----------------------------------------------------------------------

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางช่อง 9 พื้นที่ กทม.หลังกระแสข่าวพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ประกาศปฏิวัติ-รัฐประหารแล้วทางช่อง 5 และโชยสะพัดทั้งวัน ทหารภาค 1-ภาค 3 จับมือทหารม้าดำเนินการ ขณะที่ ทบ.สั่งกำลังพลเตรียมพร้อม ข "ทักษิณ" พลิกแผนร่นกลับไทยเร็วขึ้น หน่วยคอมมานโดอารักขาแน่น บน.6

เมื่อเวลา 22.15น.ออกข่าวทหารปฏิวัติทางสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินทางช่อง 9 พื้นที่ กทม.โดยย้ายพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี หลังจากพ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศเสร็จ สัญญาณทางช่อง 9 ก็ถูกตัดทันที

ทั้งนี้เพราะมีกระแสข่าวว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประกาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ถึงความจำเป็นที่ทหารจะต้องปฏิวัติแล้ว เมื่อเวลา 22.00 น. ของวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 หลังจากตลอดทั้งวันที่ 19 กันยายน ได้เกิดกระแสข่าวสะพัดตลอดทั้งวันว่าจะมีการ "ปฏิวัติ-รัฐประหาร" เกิดขึ้น เพื่อยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย โดยเฉพาะการเคลื่อนกำลังพลของกองทัพบกในพื้นที่ จ.ลพบุรี และกองทัพภาคที่ 3

ผู้ สื่อข่าวรายงานก่อนที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นำคณะทหารดำเนินการปฏิวัติครั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันที่ 19 กันยายน ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เมื่อจบข่าวพระราชสำนัก เวลา 20.15น.แล้ว ได้มีรายการสามัคคี 4 เหล่า จากนั้นเวลา 21.20 น.เป็นรายการเมืองไทยวาไรตี้ เป็นการออกอากาศสด แต่ถูกยกเลิกรายการโดยสถานีได้เปิดเพลงเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวแทน

จับ"ชิดชัย-ตท.10"รวมพลังบ้านธรรมรักษ์

ขณะที่ บริเวณทำเนียบรัฐบาลเมื่อเวลาประมาณ 21.30 น. ได้มีคำสั่งห้ามคนนอกเข้าไปเด็ดขาด เจ้าหน้าที่ได้เชิญผู้สื่อข่าวบางส่วนออกมา จึงทำให้ผู้สื่อข่าวที่รอไปทำข่าวต่างจับกลุ่มออกันอยู่บริเวณหน้าทำหน้า ทำเนียบเป็นจำนวนมาก

น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาลด้านหลังตึกไทยในเวลา 21.30 น.ในเวลาไล่เลี่ยกัน พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม ได้เดินทางตามเข้ามาแต่ไม่ได้ลงจากรถก่อนที่ นพ.พรหมินทร์ จะหอบเอกสารปึกใหญ่เดินขึ้นรถพล.ต.อ.ชิดชัยและเคลื่อนออกไปจากทำเนียบด้วย กัน

ขณะเดียวกัน ที่บริเวณสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 มีการเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก มีรายงานข่าวว่า นายทหารระดับสูงจากหลายเหล่าทัพได้เดินทางเข้ามาที่ททบ.5อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ตรงข้ามกับขั้วรัฐบาล คาดว่าจะมีการแถลงข่าวถึงการยึดอำนาจ

ส่วนอีกกระแสข่าวหนึ่งระบุว่า ในเวลา 23.00น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี จะออกอากาศข้ามทวีปเพื่อชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า นายทหารคุมกำลังตท.10 ได้มีการรวมตัวกันที่บ้านของพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ล่าสุดมีข่าวสะพัดออกมาว่า พล.อ.ชิดชัย ได้ถูกควบคุมตัวภายหลังออกจากทำเนียบรัฐบาล

รถถังเคลื่อนพลมุ่งหน้า ไปอนุสาวรีย์ปธต.

ขณะที่บริเวณสวนรื่นฤดีว่า ได้มีรถยนต์เข้าออกเป็นระยะๆ ขณะเดียวกันบริเวณเกียกกายก็มีการเคลื่อนขบวนของรถถัง รถฮัมวี่ จำนวนหนึ่งขับมาตามถนนมุ่งหน้าไปถนนราชดำเนิน ท่ามกลางความแปลกใจของประชาชนซึ่งหลายคนเริ่มจะเอีะใจว่ามีการเปลี่ยนแปลง การปกครองเป็นแน่

ฝ่ายรัฐประหาร"ยึด"ไทยคม-ช่อง11"

และมี รายงานจาก สถานีดาวเทียมไทยคม ที่แคราย เมื่อเวลา 21.30 น. มีนายทหารกลุ่มที่รัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เข้ายึดช่องการสื่อสารดาวเทียมทางสถานีไทยคมแล้ว นอกจากนี้ นายทหารอีกกลุ่มก็ได้เข้ายึดช่อง 11 ด้วยเช่นกัน

"ทักษิณ"ดิ้นขอช่อง 9แถลงสู้"รัฐประหาร"

รายงานข่าวว่า เมื่อ เวลาประมาณ 21.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางกลับโรงแรมที่ นิวยอร์ค และได้เรียกกลุ่มผู้สื่อข่าวที่ตามไปคุยเป็นการส่วนตัว โดยในการพูดคุยกับนักข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบกระแสข่าาวรัฐประหารในประเทศไทย พร้อมทั้งมีการติดต่อกับผู้บริหารของ ช่อง 9 อสมท. เพื่อจะขอถ่ายทอดสดทางอินเตอร์เนต เพื่อชี้แจง ในเวลา 23.00 น.

ลือ เตรียมทักษิณร่อนลงฟิลิปปินส์

ภายหลังจากมีข่าวลือในช่วงหัวค่ำที่ ผ่านมาว่าคณะผู้ทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กระทำการรัฐประหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับจับตัวรัฐมนตรีคนสำคัญไว้ แหล่งข่าวกล่าวว่านพ.พรหมินทร์ ได้ประสานผ่านทางวิทยุการบินให้เครื่องบินที่พ.ต.ท.ทักษิณกำลังนั่งเพื่อ กลับมาคืนนี้ตามเวลาในประเทศไทยประมาณตี 1 ของวันที่ 20 กันยายน ให้บินไปลงเครื่องที่ประเทศฟิลิปปินส์แทน

รายงานข่าวจาก หน่วยงานความมั่นคงแจ้งว่า ข่าวปฏิวัติดังกล่าวเป็นการสนธิกำลังระหว่างกองทัพทัพภาคที่ 1 และ 3 รวมทั้งกองอำนวยการรักษาความั่นคงภายใน (กอ.รมน.) หน่วยสงครามพิเศษ และกองทัพเรือบางส่วน โดยจะทำการยึดทำเนียบรัฐบาลและกองบินน้อยที่ 6 (บน.6) ในช่วงเช้ามืดวันที่ 20 กันยายน

จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นไป ยังต้นสังกัด ปรากฏว่า มีการเคลื่อนกำลังทหารจำนวน 4 กองพัน จากกองทัพภาคที่ 3 และอีก 5 กองพันของกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จากกองทัพภาคที่ 1 จริง โดยเป็นการเคลื่อนกำลังเพื่อไปผลัดเปลี่ยนกำลังพลที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามวงรอบงบประมาณปี 2550

นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนกำลังพลจากกองพันทหารม้าที่ 23 และกองพันทหารม้าที่ 24 จากกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ เพื่อเตรียมจัดกำลังบางส่วนที่จะไปปฏิบัติงานสนับสนุนกองกำลังผาเมือง ที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันอธิปไตยตามแนวชายแดนที่ จ.เพชรบูรณ์ โดยมีการฝึกกองร้อยบรรเทาสาธารณภัยและฝึกซ้อมกำลังพล ที่จะลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ในส่วนของกองพล ทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือ ให้มีการเตรียมความพร้อมในการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน หากเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น โดยให้รอรับคำสั่งจากหน่วยเหนือ

ผบ.ทบ. สั่งกำลังพลอยู่ในที่ตั้ง

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบกติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยที่อยู่ใน กทม.ดูแลที่ตั้งของหน่วยตัวเอง ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงใช้แผน "ปฐพี 149" 2 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ให้กำลังพลอยู่ประจำฐานที่ตั้งตามปกติ และขั้นที่ 2 ให้กำลังพลออกไปปฏิบัติภารกิจภายนอกที่ตั้งของหน่วย กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ หรือกลุ่มผู้ชุมนุมมีการพัฒนาใช้กำลังรุนแรง ด้วยการทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ

มี รายงานจากนายทหารระดับสูงด้วยว่า ทบ.มีการเตรียมกำลังความพร้อมจริง รอเพียงคำสั่งที่ชัดเจนจากผู้บังคับบัญชาถึงกำหนดวันเวลาที่ชัดเจน หรือวัน "ว" เวลา "น"

รายงานข่าวแจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน เป็นต้นมา ได้มีคำสั่งจากหน่วยเหนือในกองทัพภาคที่ 3 ให้กำลังพลในกองพลทหารม้าที่ 1 ซึ่งมีหน่วยที่ตั้งอยู่ จ.เพชรบูรณ์ เช็คความพร้อมยานลำเลียง รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธยุทโธปกรณ์ ให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ทันที โดยตลอดทั้งวัน ยานพาหนะของกองพลทหารม้าที่ 1 ทั้งหมด ถูกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและเติมเชื้อเพลิง อยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติงานทุกคัน

สำหรับกองพลทหารม้าที่ 1 มี พล.ต.วรรณทิศ ว่องไว นายทหารคนสนิท พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นผู้บัญชาการ และมี พ.อ.วิเชษฐ์ สุขพงษ์พิสิฐ เป็นรองผู้บัญชาการ และมีรายงานขณะนี้ พล.ท.สพรั่ง ที่ปกติจะทำงานที่ จ.พิษณุโลก และ จ.เชียงใหม่ ได้มาประจำที่กองพลทหารม้าที่ 1 จ.เพชรบูรณ์

เวลา 21.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รถบัสนับสิบคันขนกำลังพลจากศูนย์สงครามพิเศษ จ.ลพบุรี จำนวนประมาณ 3 กองร้อย สวมชุดพรางพร้อมอาวุธ เข้ามายังกองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน

จากนั้นเวลา 21.10 น. ได้มีรถถ่ายทอดสดของ ททบ.5 วิ่งเข้ามาที่ บก.ทบ.1 คัน และเวลาไล่เลี่ยกันมีรถตู้อีกเกือบ 10 คัน วิ่งออกจาก บก.ทบ. โดยไม่ทราบว่ามุ่งหน้าไปที่ใด

ตท.10-รมต.เช็คข่าววุ่น

กระแส ข่าวปฏิวัติ-รัฐประหาร ได้แพร่สะพัดไปทั่วทำเนียบรัฐบาล ตลอดวันที่ 19 กันยายน ท่ามกลางข่าวการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะชุมนุมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ในวันรุ่งขึ้น

ข่าว ดังกล่าวส่งผลให้หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ที่รักษาการนายกรัฐมนตรีร่วมประชุมจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐมนตรีหลายรายได้สอบถามมายังผู้สื่อข่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่าง ตื่นเต้น

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวออกมาว่า แท้จริงแล้วข่าวที่ออกมาเป็นการปล่อยมาจากนิวยอร์ก ซึ่งรักษาการนายกรัฐมนตรีจะกลับได้เร็วขึ้นอีก 1 วัน เป็นเวลาตี 1 ของวันที่ 20 กันยายน ท่ามกลางกองกำลังของทั้ง ทอ.และคอมมานโด อารักขาเต็ม บน.6

ขณะเดียวกัน ข่าวของกลุ่มปฏิวัติ-รัฐประหารได้ถูกแพร่ออกมา จนทำให้ทหาร ตท.10 ที่คุมกองกำลัง ทั้ง พล.9 และ พล.ม.2 เคลื่อนกำลังเข้ามาเพื่ออารักขาบริเวณทำเนียบรัฐบาลตัดหน้าเสียก่อน

เมื่อ เป็นเช่นนี้ กระแสข่าวกลุ่มก่อการปฏิวัติ-รัฐประหาร ซึ่งได้รวมพลที่ พล.ม.1 จึงถูกยกเลิกไปก่อน และกำลังพลของแต่ละฝ่ายก็กลับเข้าที่ตั้ง เพื่อรอดูท่าทีกันอีกครั้งหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคไทยรักไทย ว่า ภายหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ครม. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมประชุมทางไกลมาจากนครนิวยอร์ก สหรัฐ พร้อมกับกำชับรัฐมนตรีตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศนั้น ปรากฏว่า ตลอดช่วงบ่ายของวันนี้มีกระแสข่าวลือเข้าหูรัฐมนตรีหลายคนว่าจะมีการทำรัฐ ประหารในค่ำคืนนี้ จนทำให้รัฐมนตรีหลายคนต่างโทรเช็คข่าวกันวุ่น เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

รัฐมนตรีรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนได้รับทราบกระแสข่าวนี้มาตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงหรือไม่ และใครจะเป็นคนทำ และทำให้ใคร ตอนนี้งงไปหมด อย่างไรก็ตาม ตกช่วงหัวค่ำตนก็ได้รับข่าวมาหลายกระแส บางกระแสก็ว่าทำแน่ บางกระแสก็ว่ายกเลิกภารกิจ เลยไม่รู้ว่าตกลงเป็นยังไงแน่

เหล่าทัพเมินประชุมครม.ร่วมทักษิณ

ขณะ เดียวกัน มีรายงานว่า พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ได้เชิญ ผบ.เหล่าทัพ เข้าร่วมประชุม ครม.นัดพิเศษอย่างกะทันหัน โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมประชุมผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยมีการแจ้งกำหนดการมายัง ผบ.เหล่าทัพ ในช่วงเช้าวันที่ 19 กันยายน

แต่ปรากฏว่า ผบ.เหล่าทัพ อ้างว่าติดภารกิจสำคัญ จึงไม่ได้เดินทางเข้าร่วมประชุม โดยในส่วนของกองทัพบก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ได้มอบหมายให้ พล.อ.โสภณ ศีลพิพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เข้าร่วมประชุมแทน

แหล่งข่าว เปิดเผยว่า รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้โทรศัพท์มาแจ้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เมื่อเวลา 08.00 น. ซึ่ง พล.อ.สนธิ ติดภารกิจในการพบปะกับนายทหารเกษียณอายุ ที่สนามกอล์ฟ ย่านลำลูกกา

ใน ขณะที่ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ติดภารกิจในการรับคณะของ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ที่มาร่วมพิธีอำลากองทัพอากาศ เนื่องจากเกษียณอายุราชการ

รายงาน ข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังมีกระแสข่าวการปฏิวัติเกิดขึ้น พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการรองนายกฯ และ รมว.ยุติธรรม ได้ยกเลิกภารกิจออกรายการ "กรองสถานการณ์" เรื่องระเบิดที่ อ.หาดใหญ่ ที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 คืนวันที่ 19 กันยายน โดยคนใกล้ชิดคาดว่า พล.ต.อ.ชิดชัย จะเก็บตัววิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด ส่วนรายการกรองสถานการณ์ยังดำเนินรายการต่อไป โดยมี นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รักษาการ รมช.มหาดไทย ไปร่วมรายการแทน

"ทักษิณ"ร่นกลับไทย เร็วขึ้นอีก1วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เดิม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันที่ 20 กันยายน เวลา 23.15 น.ตามเวลาในนครนิวยอร์ก ซึ่งจะมาถึงประเทศไทยในเวลาประมาณ 00.30 น. วันที่ 22 กันยายน ตามเวลาในประเทศไทย

ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งให้เลื่อนการเดินทางกลับประเทศไทยเร็วขึ้นอีก 1 วัน โดยจะเดินทางมาถึงไทยในเวลา 05.30 น. ของวันที่ 21 กันยายน 2549

ขณะ เดียวกัน มีรายงานจากฝ่ายทหารว่า อาจเลื่อนกำหนดกลับเร็วขึ้นกว่าเดิมอีก

บน.6ทหาร พรึ่บ-ซ้อมแผนรปภ.ทักษิณ

น.อ.มณฑล สัชฌุกร รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าวถึงการเตรียมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับจากต่างประเทศว่า ทางกองทัพอากาศได้มีการประชุมเพื่อเตรียมการรักษาความปลอดภัยให้กับคณะของ รักษาการนายกรัฐมนตรี โดยกรมทหารอากาศเป็นประธานในการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยตามที่กำหนดไว้ในแผน ซึ่งมีลักษณะเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไป

ทั้งนี้ ผู้ที่จะมายังท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) จะต้องเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่มารับส่ง ครม.และนายทหารผู้ใหญ่ สำหรับสื่อมวลชนที่จะเข้ามาต้องแลกบัตรและอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดให้เหมือน กับวันที่ส่งนายกรัฐมนตรีไปต่างประเทศ

"ส่วนที่มีคนเห็นทหารที่ บน.6 เต็มไปหมดนั้น อาจจะเป็นการเตรียมการซ้อมปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยให้กับรักษาการนายก รัฐมนตรี ในวันที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ" รองโฆษกกองทัพอากาศ กล่าว

พันธมิตร นิวยอร์กรวมพลังไล่ทักษิณ

ขณะเดียวกัน เวบไซต์ www.thainewyork.com รายงานว่า วันที่ 18 กันยายน ตามเวลาท้องถิ่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนิวยอร์ก มีการรวบรวมผู้ประท้วงและจัดกลุ่มต่างๆ กระจายไปทั่วนิวยอร์ก ตามจุดที่คาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี จะเดินทางผ่าน โดยผู้ประท้วงกลุ่มใหญ่จะชุมนุมอยู่ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ ถึงแม้จะรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่เข้า

---------------------------------------------------------------------------

สังคมไทยแตกแยก-ไร้สามัคคี พล.อ.สนธิชี้แจงจำต้องปฏิวัติ

พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะประกาศแถลงการณ์ฉบับที่ 1 แจงเหตุผลต้องดำเนินการปฏิวัติในนามคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งสังคมแตกแยกไม่มีความสามัคคีกันอย่างไม่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่มีเจตนาเข้ามาเป็นผู้บริหาร จะคืนอำนาจเลือกตั้งโดยเร็ว

เมื่อ เวลา 23.28 น.วันที่ 19 กันยายน พล.ต.ประพาส ศกุนตนาถ อดีตโฆษกช่อง 5 อ่านแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า เนื่องด้วยขณะนี้คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ เข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไว้ได้แล้วและไม่มี การขัดขวาง เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงขอความร่วมมือประชาชนในการให้ความร่วมมือและขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย

โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง

พี่น้องประชาชนที่เคารพ ด้วยขณะนี้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ เข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไว้ได้แล้วและไม่มี การขัดขวาง เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงขอความร่วมมือประชาชนในการให้ความร่วมมือและขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย

และเมื่อเวลา 23.43 น. พล.ต.ประพาส ได้อ่านแถลงการณ์ข้อความเช่นเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากนั้น เมื่อเวลา 23.57 น. ก็ได้อ่านแถลงการณ์อีกครั้งหนึ่งว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ด้วยเป็นที่ปรากฎการณ์แน่ชัดว่า การบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐบาลรักษาการปัจจุบัน ได้ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งแบ่งฝ่าย สลายความรู้รักสามัคคีของชนในชาติอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ ชาติไทย ต่างฝ่ายต่างมุ่งหวังเอาชนะด้วยวิธีการหลากหลายรูปแบบ และมีแนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่เคลือบแคลงการบริหาร

ตลอดจนหมิ่นเหม่.... ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูน อยู่บ่อยครั้ง แม้หลายภาคส่วนของสังคมจะได้พยายามประนีประนอม คลี่คลายสถานการณ์ไปโดยต่อเนื่องแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้ ดังนั้น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการ จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

โดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ขอยืนยันว่า ไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินเสียเอง แต่จะได้คืนอำนาจการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่ง ความสงบสุขและความมั่นคงของชาติ รวมทั้งเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่งของคนไทยทุก คน

ประกาศ ณ วันที่ 19 ก.ย. เวลา 23.50 น.

ลงชื่อ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน หัวหน้าคณะประกาศแถลงการณ์ฉบับที่ 1

จาก เนชั่นชาแนล

-------------------------------------------------------------------

เปิดรายละเอียดแถลงการณ์ "ทักษิณ" สู้คณะปฏิรูปฯ
วันที่ 20 ก.ย. 2549

หลังจากที่มีความเคลื่อนไหวของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งประกอบด้วย ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลไว้เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อเวลา 22.15 น. วันที่ 19 กันยายน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์ผ่านดาวเทียมจากประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ออกโทรทัศน์ช่อง 9 แต่เมื่ออ่านแถลงการณ์ได้ 3 ฉบับก็ถูกตัดสัญญาณ เนื่องจากมีกำลังทหารพร้อมอาวุธบุกเข้าไปช่อง 9 พร้อมตะโกนสั่งให้หยุดพูดเดี๋ยวนี้ ทางเจ้าหน้าที่ช่อง 9 จึงได้ตัดสัญญาณ

สำหรับ แถลงการณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ทั้ง 3 ฉบับมีดังนี้

แถลงการณ์ฉบับที่ 1

ในภาวะความสับสน วุ่นวายที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างร้ายแรง รวมทั้งกระทบอย่างร้ายแรงต่อการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรและจำเป็นที่จะต้องเร่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้ยุติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทันท่วงที อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5,6,11 วรรค 1 แห่ง พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิ และเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 31 และ 35,36,37,39,44,48,50 และ 51 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบท บัญญัติแห่งกฎหมาย นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เวลา 21.15 น.



แถลงการณ์ ฉบับที่ 2

ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงใน เขตท้องที่กรุงเทพมหานครแล้วนั้น เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ กรุงเทพมหานครเป็นไปอย่างฉุกเฉินและทันท่วงที อาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (4) แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ประกอบมาตรา 11 (2) แห่ง พ.ร.ก.การกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และให้รายงานตัวต่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการนายกรัฐมนตรี ณ บัดนี้ ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 19 กันยายน 2549


แถลงการณ์ ฉบับที่ 3

คำสั่งผู้กำกับการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องแต่งตั้งหัวหน้าผู้รับผิดชอบ และมอบอำนาจการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครแล้วนั้น อาศัยอำนาจตามมาตรา 7 วรรค 4 และ 6 และมาตรา 10 ของ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯ ผู้กำกับการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงมีคำสั่ง ดังนี้ ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน มีอำนาจในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนี้ 1.บังคับบัญชา และสั่งการส่วนราชการ และข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด 2.ดำเนินการอื่นๆ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการกำกับปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุก เฉินกำหนดหรือมอบหมาย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

จาก มติชน

-------------------------------------------------------------------------
คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 1
เรื่อง ให้ข้าราชการมารายงานตัว


ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการปกครองไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดีน จึงให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง อธิบดีทุกรม หัวหน้าหน่วยงานระดับกรม หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือ หน่งยงานอื่นของรัฐ รวมตลอดทั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัย ที่ตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และ จังหวัดไกล้เคียง ไปรายงานตัวต่อ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่กองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 20 กันยายน 2549 เวลา 09.00 น.

สั่ง ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549
พลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 2 เรื่อง ให้วันพุธที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 เป็นวันหยุดราชการ

เพื่อ ให้การรักษาความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด หัวหน้าหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงสั่งให้วันพุธที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 เป็นวันหยุดราชการ และ วันหยุดธนาคาร โดยให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหยุดทำการในวันดังกล่าวด้วย

สั่ง ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549
พลเอกสนธิ บุญรัตนกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
------------------------------------------------------------------------

เมื่อเวลา 24.00 น. ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ ผู้บัญชาการทหารบก และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อกราบบังคมทูลถวายรายงาน สถานการณ์บ้านเมือง และการเข้ามาปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

เมื่อ เสร็จสิ้นคณะได้เข้าสู่กองบัญชาการทหารบกอีกครั้ง เพื่อมารวมตัวกัน โดยมีประชาชนเฝ้าติดตามกันอย่างใกล้ชิด รวมทั้งกองทัพสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ที่เฝ้ารอทำข่าววินาทีสำคัญต่อการปฏิรูปการปกครองของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงเป็นไปอย่างเรียบร้อย ปราศจากการกระทบกระทั่ง หรือเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ
http://suannonweb.com/board/viewtopic.php?id=1376

-----------------------------------------------------------------------------

โดย: ศูนย์สารสนเทศ ยก.ทอ. 

เมื่อ : 20 กันยายน 2006 
ลำดับเหตุการณ์ยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙
ทหารจาก นพศ.เข้าควบคุมพื้นที่
ช่วงเวลาประมาณ 21.00 ทหารจากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ลพบุรี ได้เดินทางเข้าควบคุมพื้นที่สำคัญใน กทม. ได้แก่ สถานีดาวเทียมไทยคม, อาคารไอทีวี, อาคารชินวัตร,ทำเนียบรัฐบาล, บ้านจันทร์ส่องหล้า ฯลฯ
“ทักษิณ” ประกาศภาวะฉุกเฉิน 
เวลา 22.20 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกอากาศด้วยระบบทางไกลจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 โดยอ่านประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร โดยอ้างว่าได้มีกลุ่มบุคคลที่จะก่อการปฏิวัติรัฐประหาร
ย้าย ผบ.ทบ.ช่วยราชการสำนักนายกฯ 
อาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ประกอบกับมาตรา 11 วรรคสอง (6) แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จึงให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และให้รายงานตัวต่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการนายกรัฐมนตรี และให้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีอำนาจในการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉิน ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ดังนี้
1.บังคับบัญชาและสั่งการส่วนราชการและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
2.ดำเนินการอื่นๆตามที่รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ที่มี อำนาจในการกำกับการปฏิบัติงานตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน กำหนดหรือมอบหมาย
คณะปฏิรูปประกาศปฏิวัติ
เวลา 23.00 น. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจได้เผยแพร่ข้อความผ่านโทรทัศน์ทุกช่อง และถ่ายทอดเสียงทางวิทยุ ระบุว่า “เนื่องด้วยขณะนี้คณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์เป็นประมุข อันประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าควบคุมสถานการณ์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไว้ได้แล้ว และไม่มีการขัดขวางเพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงขอความร่วมมือจากประชาชนในการให้ความร่วมมือ และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้”
โฆษก ททบ.5 อ่านประกาศคณะปฏิวัติ
พล.ต.ประพาศ ศกุนตนาค ที่ปรึกษา ททบ.5 ซึ่งเป็นผู้อ่านประกาศของคณะปฏิวัติหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมา นั่งอ่านข้อความ โดยมีใจความว่า
“เนื่องด้วย ขณะนี้คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระ ประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เข้าควบคุมพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลไว้ได้แล้ว และไม่มีการขัดขวาง เพื่อเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบและขอความร่วมมือประชาชนในการให้ความร่วมมือและ ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ด้วย”
ประกาศแถลงการณ์ฉบับที่ 1
ด้วยเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่าการบริหารราชการแผ่นดินก่อให้เกิดความประพฤติมิ ชอบอย่างกว้างขวาง หน่วยงานองค์กรอิสระถูกครอบงำทางการเมือง ไม่สามารถสนองต่อเจตนารมณ์ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองเกิดปัญหาและอุปสรรคหลายประการ ตลอดจนหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนชาวไทยอยู่บ่อยครั้ง แม้ หลายภาคส่วนของสังคมจะได้พยายามประนีประนอมคลี่คลายสถานการณ์มาโดยต่อเนื่อง แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถ ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งยุติลงได้ ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุข ซึ่งประกอบด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงมีความจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาเข้ามาเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดิน แต่จะได้คืนอำนาจการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข กลับคืนสู่ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อธำรงรักษาซึ่งความสงบสุข รวมทั้งเทิดทูนไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพยิ่งของปวงชนชาว ไทยทุกคน
ประกาศ ณ วันที่ 19 ก.ย. 2549 เวลา 23.50 น.
ลงชื่อ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 2
เรื่องห้ามการคลื่อนย้ายกำลังทหาร
ให้ทหารทุกนายไปรายงานตัว ณ ต้นสังและห้ามเคลื่อนย้ายกำลังออกจากที่ตั้งปกติโดยเด็ดขาดถ้าไม่ได้รับคำ สั่งจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข

ประกาศ ณ วันที่ 19 ก.ย. 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 3
ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองของประเทศไว้เรียบร้อบแล้วนั้นเพื่อความสงบเรียบ ร้อยในการปกครองประเทศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงให้
  1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอณาจักรไทย พ.ศ.2540 สิ้นสุดลง
  2. วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญ
  3. องคมนตรีคงดำรงตำแหน่งและปฎิบัติหน้าที่ต่อไป
  4. ศาลทั้งหลาย นอกจากศาลรัฐธรรมนูญ คงมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาอัตถคดี ตามบทกฎหมายและตามประกาศคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประกาศ ณ วันที่ 19 ก.ย. 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัว หน้าคณะการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 4 เรื่อง อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน
ตามได้ที่มี กฎหมายบางฉบับ ได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ของ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีในอันที่จะปฎิบัติตามกฎหมายได้ และเพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติตามกฏหมายดังกล่าว

หัวหน้าคณะปฎิ รูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ใน ระหว่างที่ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีให้ บรรดาอำนาจหน้าที่ ที่กฎหมายได้บัญญัติว่าเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีหรือ คณะรัฐมนตรีให้เป็น อำนาจหน้าที่ของ หัวหน้าคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข หรือ ผู้ซึ่งหัวหน้าคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มอบหมาย


ข้อ 2 ระหว่างที่ยังไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีให้บรรดาอำนาจหน้าที่ที่กฏหมายบัญญัติว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของ รัฐมนตรีกระทรวงใด ก็ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของปลัดกระทรวงนั้น
เว้นแต่ หัวหน้าคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระ ประมุข จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ประกาศ ณ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฎิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 1 เรื่องให้ข้าราชการมารายงานตัว
ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ได้ทำการยึดอำนาจปกครองประเทศไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบนโยบายการบริหาราชการแผ่นดิน จึงให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง อธิบดีทุกกรม หัวหน้าหน่วยงานระดับกรม หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมตลอดทั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดใกล้ เคียงไปรายงานตัวต่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่กองบัญการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 เวลา 09.00 น.

สั่ง ณ วันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549

พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน
หัว หน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 2เรื่อง ให้วันพุธที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 เป็นวันหยุดราชการ
เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด หน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงสั่งให้วันพุธที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 เป็นวันหยุดราชการ และวันหยุดธนาคาร โดยให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หยุดทำการในวันดังกล่าวด้วย

สั่ง ณ วันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549

พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน
หัว หน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 5 เรื่อง การให้นิสิต นักศึกษา มีส่วนร่วมในทางการเมือง
ด้วยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้เห็นความสำคัญของนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นพลังบริสุทธิ์ ดังนั้นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เห็นควรที่จะให้นิสิต นักศึกษา ได้มีส่วนร่วมในทางการเมืองในวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีขึ้นในเร็ววันนี้ เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการซื้อเสียงและอิทธิพลใดๆ และหากนิสิต นักศึกษาท่านใด มีแนวความคิดในการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นแล้ว ขอให้ส่งความเห็นไปที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พล เอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 6เรื่อง การแก้ไขความเดือดร้อนของบรรดาพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ชาวไร่
ด้วยทราบว่า บรรดาพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ชาวไร่ทั้งหลาย ได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับปัญหาการครองชีพ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้รับทราบความเดือดร้อนของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ชาวไร่ดังกล่าว ด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง และกำลังพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าวอยู่แล้ว แต่เนื่องจากขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหาความสงบเรียบร้อยของ ประเทศให้คืนสู่ภาวะปกติ จึงขอให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ชาวไร่ทั้งหลาย อยู่ในความสงบ อย่าได้เคลื่อนไหวเรียกร้องใดๆ ในขณะนี้ เพราะอาจจะเปิดโอกาสให้บุคคลผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติบ้านเมืองกระทำการก่อ ความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น

สำหรับปัญหาความเดือดร้อนของบรรดาพี่น้อง ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ชาวไร่ดังกล่าว คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะได้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของบรรดาพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ชาวนา ชาวไร่ทั้งหลาย โดยเร็วต่อไป

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 7
เรื่องการห้ามชุมนุมทางการ เมือง

ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 เวลา 21.05 น.เป็นต้นไป แล้วนั้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดินในระหว่างประกาศกฎ อัยการศึก จึงห้ามมิให้มั่วสุมประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องละวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัว หน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 8เรื่องห้ามกักตุนสินค้า
เนื่องด้วยในการที่หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองในครั้งนี้มุ่งหวังให้บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย มีความเจริญรุ่งเรือง และประชาชนได้รับความเป็นธรรมในการซื้อขายสินค้าเป็นสำคัญ จึงห้ามมิให้ผู้ใดกักตุนสินค้า หรือขึ้นราคาสินค้าทุกประเภท หากผู้ใดฝ่าฝืนถือว่าเป็นความผิด ต้องละวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 9
เรื่องนโยบาย ต่างประเทศ
ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดและควบคุมอำนาจการปกครองประเทศไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2549 นั้น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะยึดมั่นในหลักกฎบัตรสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของชาติ จะรักษาไว้ซึ่งสิทธิ และจะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญา หรือข้อตกลงที่ทำไว้กับนานาประเทศ ภายใต้หลักเกณฑ์แห่งความเสมอภาคโดยเคร่งครัด จะส่งเสริมและรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีที่มีอยู่สำหรับชาวต่างประเทศ คณะทูตานุทูต กงสุล สถานเอกอัครราชทูต และองค์การระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยจะได้รับการคุ้มครองจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 10เรื่องขอความร่วมมือใน การเสนอข่าวสาร
ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการปกครองไว้เรียบร้อยแล้วนั้น เพื่อให้เกิดความสามัคคีภายในชาติ อันจะเป็นรากฐานในการแก้ไขวิกฤติและฟื้นฟูประเทศชาติให้ลุล่วงไปโดยเร็ว คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงขอความร่วมมือร่วมใจมายังสื่อมวลชนทุกสำนัก ทุกประเภท ทุกแขนง ตลอดจนผู้ประกอบการสื่อมวลชนทุกราย และสื่อมวลชนทุกคน ได้โปรดร่วมกันเสนอข่าวสารตามความเป็นจริง และเป็นไปในทางสร้างสรรค์ เพื่อฟื้นฟูความสามัคคีภายในชาติ ทำให้ประเทศชาติกลับสู่ความสงบสุขโดยเร็วที่สุด ประเทศชาติของเราได้บอบช้ำเพราะความแตกแยก แตกความสามัคคีมากพอแล้ว จึงจำเป็นที่พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนจะได้ร่วมแรงร่วมใจกันฟื้นฟูชาติบ้าน เมือง ฟื้นฟูความสามัคคี นำความสงบสุขกลับคืนประเทศชาติ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยเร็วที่สุด

คณะ ปฏิรูปการปกรองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความหวังอย่างแรงกล้าที่จะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านอย่างพร้อมเพรียง กัน จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฏิรูปการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คำสั่งคณะปฏิรูป ฯ ที่ 4 (11.25 : 20/09/06)
เชิญ คณะทูตานุทูตมารับฟังคำชี้แจง
ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแล้ว เพื่อเป็นการทำความเข้าใจถึงสถานการณ์ภายในประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแก่ รัฐบาลของนานาประเทศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานและเชิญคณะผู้แทนทางการทูตของสถานเอกอัคร ราชทูต สถานอัครราชทูต สถานกงสุล และสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร ของต่างประเทศประจำประเทศไทย เข้ารับฟังคำชี้แจงจากคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในวันพุธที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549 เวลา 13.30 น. ณ หอประชุมกิตติขจร ภายในกองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนินนอก และจัดล่ามภาษาไทย - อังกฤษ แปลในระหว่างการชี้แจงด้วย พร้อมกันนี้ ขอให้ส่งรายชื่อคณะผู้แทนทางการทูต ที่จะเข้ารับฟังคำชี้แจงดังกล่าว ให้แก่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายในเวลา 11.00 น.

สั่ง ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คำสั่งคณะปฏิรูป ฯ ที่ 5 (11.25 : 20/09/06)
กระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองแล้วนั้น จึงให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดำเนินการควบคุม ยับยั้ง สกัดกั้น และทำลายการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในระบบสารสนเทศ ผ่านระบบเครือข่ายการสื่อสารทั้งปวง ที่มีบทความ ข้อความ คำพูด หรืออื่นใด อันอาจจะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้มีประกาศในเบื้องต้นแล้ว

สั่ง ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2549

พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน
หัว หน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 11เรื่องแต่งตั้งบุคคล สำคัญดำรงตำแหน่งในคณะปฏิรูปฯ
เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และควบคุมสถานการณ์ทั้งปวงอันอาจเกิดขึ้นจากผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด จึงให้แต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในกองบัญชาการคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนี้
  1. พลเอก เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานที่ปรึกษาคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประช่ธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
  2. พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
  3. พลเรือเอก สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นรองหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข คนที่ 1
  4. พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นรองหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คนที่ 2
  5. พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นรองหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คนที่ 3
  6. พลเอก วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นเลขาธิการคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549

พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ 12การดำเนินการเกี่ยวกับ การตรวจเงินแผ่นดิน
เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สมควรปรับปรุง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 และให้มีผลใช้บังคับต่อไป คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศดังต่อไปนี้
1.ให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มีผลใช้บังคับต่อไป โดยให้งดการบังคับใช้บทบัญญัติในส่วนที่ 1 หมวด 1 จนกว่าจะมีการประกาศเป็นอย่างอื่น และให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 18 ก.ย. พ.ศ. 2549 พ้นจากตำแหน่ง
2.ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ 18 ก.ย.พ.ศ. 2549 คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะมีการประกาศเป็นอย่างอื่น
3.การใดที่กำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
สั่ง ณ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ.2549
ลงชื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

http://www.do.rtaf.mi.th/news/detail.asp?id=161

-------------------------------------------------------------------------


มทภ.3เผยวางแผนยึดอำนาจ มานาน7-8 เดือนเตือนยังเมิน

แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดใจวางแผนปฏิรูปนาน 7-8 เดือน รับเคยส่งสัญญาณเตือนแล้วแต่ยังเมิน ยืนยันปฏิรูปเพื่อชาติ พร้อมสั่งระงับคลื่นวิทยุชุมชน 17 จว.ภาคเหนือชั่วคราว
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 22 กันยายน ที่สโมรสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อ.เมือง จ. พิษณุโลก พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยใน พื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ได้เรียกประชาสัมพันธ์จังหวัด และสื่อมวลชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวม 27 คน เข้ารายงานตัวและร่วมประชุมเพื่อชี้แจงนโยบายและสั่งการของคณะปฏิรูปการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวล ชนในพื้นที่ภาคเหนือ
มทภ. 3 รับวางแผนปฏิรูป 7-8 เดือน
โอกาสนี้ พล.ท.สพรั่ง กล่าวว่า ได้มีการวางแผนปฏิรูปการปกครองมาแล้ว 7-8 เดือน ไม่ใช่เพิ่งคิดจะทำกันแค่วันหรือสองวัน แต่มีการกำหนดไว้หลังจากเห็นว่า สถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในประเทศเริ่มสั่นคลอน ประเทศชาติขาดคนมีภาวะผู้นำ มีแต่คนเก่งที่ขี้โกง แต่งตั้งข้าราชการที่เป็นพวกพ้องขึ้นมาบริหารงาน รักษาประโยชน์และอำนาจให้แก่ตัวเอง ปรับและโยกย้ายคนที่ไม่ใช่พวกพ้องออกไป กองทัพภาคที่ 3 จึงได้เตรียมความพร้อมมาตลอดเพื่อการปฏิรูปในวันนี้
"กองทัพจำเป็นต้องทำการปฏิรูปเพื่อชาติ เนื่องจากบ้านเมืองหรือแม้แต่กองทัพได้รับความบอบช้ำมานานแล้ว และทหารทุกคนไม่ได้ต้องการอำนาจหรืออยากเป็นใหญ่ แต่ต้องการให้บ้านเมืองได้สงบสุขเสียที เมื่อเก็บกวาดบ้านเรือนสะอาดแล้ว ทหารจะรีบคืนอำนาจให้กลับสู่ประชาชนโดยเร็วที่สุด" แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวและว่า
เผยถูกดักฟังโทรศัพท์ เหตุยกเครื่องข่าวกรองฯ
ช่วงที่ตนเองได้ออกมาแสดงความเคลื่อนไหวและประกาศเจตนารมย์ว่า ทหารทุกเหล่าทัพโดยเฉพาะกองทัพภาคที่ 3 ขอทำหน้าที่เพื่อรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ประเทศชาติและประชาชน จะไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยเฉพาะนักการเมือง ทำให้ตนเองถูกแท็ปหรือดักฟังทางโทรศัพท์จากตำรวจสันติบาลมาโดยตลอด เพื่อรายงานให้รัฐบาลรักษาการได้ทราบว่า ตนเองกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหนหรือกระทั่งกำลังติดต่อหรือพูดคุยอยู่กับใคร
"ที่ผ่านมาเคยไปสอบถามเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติว่า หน้าที่หลักของสำนักงานข่าวกรอง ฯ คืออะไร คำตอบที่ได้คือ หน้าที่ในข้อ 10 ข้อสุดท้ายคือ ติดตามตรวจสอบบุคคลที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐบาล ทั้งที่ภารกิจหลักคือ การตรวจสอบหาข่าว การก่อการร้าย การค้ายาเสพติด ต่อไปต้องดำเนินการการยกเครื่องการทำงานของหน่วยงานดังกล่าวใหม่ทั้งหมด" พล.ท.สพรั่ง กล่าวและว่า
สพรั่งเปิดใจส่งสัญญาณ เตือนแล้ว
ผ่านมาตนเองได้ส่งสัญญาณเตือนไปยังข้าราชการและนักการเมืองผ่านทางสื่อมวลชน มาแล้ว 2-3 เดือน เพื่อให้กลับตัวกลับใจบริหารประเทศชาติให้มีความสงบสุข แต่ก็ยังไม่มีใครสำนึกหรือคิดทำ ยิ่งกลับทำให้ประเทศชาติเสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก นับวันประชาชนในชาติยิ่งเกิดความแตกแยกแบ่งเป็นกลุ่มเป็นพวก เกิดการทะเลาะเบาะแว้งจนทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมืองขึ้นมา แม้แต่ทหารที่ถูกนักการเมืองเลวบางคน ยุยงจนเกิดการแตกแยกกันออกเป็นกลุ่ม ยุยงให้บ้าในรุ่น บ้าเหล่า จึงจำเป็นต้องออกมาทำการปฏิรูปการปกครองใหม่
วอนสื่อเสนอข่าวที่สร้าง สรรค์
พลโทสพรั่ง ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ได้กล่าวในที่ประชุมดังกล่าวว่า ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการปกครองไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้เกิดความสามัคคีภายในชาติ อันเป็นรากฐานในการแก้ไขวิกฤติและฟื้นฟูประเทศชาติให้ลุล่วงโดยเร็ว
ดังนั้นจึงขอความร่วมมือร่วมใจไปยังสื่อมวลชนทุกสำนัก ทุกประเภท ทุกแขนง ตลอดจนผู้ประกอบการสื่อมวลชนทุกราย สื่อมวลชนทุกคน ได้ร่วมกันเสนอข่าวตามความเป็นจริงและเป็นไปในทางสร้างสรรค์ เพื่อฟื้นฟูความสามัคคีภายในชาติ และนำความสงบสุขกลับคืนประเทศชาติ ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ โดยเร็วที่สุด หากมีการละเมิดหรือฝ่าฝืนจะต้องถูกดำเนินการตามประกาศที่ได้กำหนดไว้ภายใต้ อำนาจของกฎอัยการศึกอย่างสูงสุดทันที
สั่งปิดชั่วคราววิทยุ ชุมชนเหนือ
พลโทสพรั่ง กล่าวต่อว่า ปัญหาของการออกอากาศกระจายเสียงของวิทยุชุมชนในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ นับตั้งแต่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ยึดอำนาจการปกครองไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ยังปรากฎว่ามีวิทยุชุมชนหลายแห่งยังคงออกอากาศโจมตีการปฏิบัติหน้าที่ของคณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยุยงประชาชนให้เกลียดทหาร และเสนอข่าวที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง จึงได้ขอให้วิทยุชุมชนทุกแห่งในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ที่มีอยู่เกือบ 1 พันสถานี ได้ยุติการกระจายเสียงเป็น การชั่วคราว จนกว่าสถานกรณ์ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองดีขึ้น
พร้อมให้ประชาสัมพันธ์ จังหวัดทั้ง 17 จังหวัดในภาคเหนือ ได้ตรวจสอบให้เป็นไปตามที่ร้องขอด้วย ส่วนสถานีวิทยุหลักให้เพิ่มความ ระวังในการแสดงความคิดเห็นผ่านทางโทรศัพท์เข้าไปในรายการ ให้ระงับการแสดงความคิดเห็นผ่านทาง เอสเอ็มเอส. สำหรับสถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ และเคเบิ้ลทีวีในท้องถิ่นด้วย
นอกจากนี้ยังได้รับรายงานว่า มีสถานีวิทยุชุมชนอีกหลายแห่งซึ่งเป็นของนายทุนและนักการเมืองที่เสียผล ประโยชน์ ได้ใช้เป็นช่องทางในการโฆษณาชวนเชื่อและปล่อยข่าวลือ เช่น ในเขต อ.ฝาง และ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และมีรายงานว่าบางแห่ง ได้เคลื่อนย้ายสถานีไปตั้งยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ทางฝ่ายทหารจะได้ติดต่อประสานงานเพื่อดำเนิน การปิดสถานีดังกล่าวต่อไป

ข้อมูลจาก คม-ชัด-ลึก

http://hilight.kapook.com/view/2424

-------------------------------------------------------------

« เมื่อ: ตุลาคม 27, 2009, 12:42:21 PM »



เปรม ติณสูลานนท์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

.....พลเอกเปรมเข้าร่วมการรัฐประหารในประเทศไทย 2 ครั้ง ซึ่งนำโดยพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ล้มรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 ล้มรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร.....

บทบาทใน วิกฤตการณ์การเมืองและการรัฐประหาร พ.ศ. 2549
หลังการทำรัฐประหาร พ.ศ. 2549 มีนักวิชาการกล่าวหาพลเอกเปรมว่ามีความเกี่ยวข้องกับ วิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 ที่นำไปสู่รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549[4] ซึ่งในเวลาพลบค่ำวันที่ 19 กันยายน ช่วงเดียวกับที่กำลังทหารหน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี ได้เคลื่อนกำลังเข้ากรุงเทพฯ พลเอกเปรม ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัà[6]
ในเวลา ต่อมา ยังเป็นที่กล่าวหาอีกว่า พลเอกเปรม อาจมีบทบาทสำคัญ ในการเชิญ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตลูกน้อง มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง การแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ อีกด้วย จนกระทั่ง นักวิจารณ์ บางคน ถึงกับกล่าวว่า สภาฯ ชุดนี้ เต็มไปด้วย "ลูกป๋า" [7http://www.theaustralian.news.com.au/story/0,20867,20550793-23109,00.html ][8 http://www.nationmultimedia.com/2006/10/13/headlines/headlines_30016076.php][9http://www.nationmultimedia.com/2006/10/13/headlines/headlines_30016078.php]
ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมือง ในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549[10] และมีบทวิเคราะห์จากสำนักข่าว XFN-ASIA ระบุในเว็บไซต์ นิตยสารฟอร์บ ว่า พลเอกเปรมเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเมืองไทย พร้อมทั้งได้สนับสนุนให้ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน จากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตแต่ข่าวจาก"คมชัดลึก"บันทึกเป็นประวัติศาสตร์จากปาก ของ ผบ.เหล่าทัพว่า

"เผยป๋าเปรมเห็นชอบกับการปฏิวัติครั้งนี้ "
การทำรัฐประหารครั้งนี้ เป็นความพร้อมใจกันของ 4 เหล่าทัพ คือ กองทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ และตำรวจ โดยทั้งหมดได้ไปหารือกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และพล.อ.เปรมรับปากว่าจะเป็นหัวคณะรัฐประหารให้ เอง เมื่อเวลา 22.00 น.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการประกาศทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 เวลา 23.00 น.ที่ผ่านมา" (http://www.komchadluek.net/2006/09/19/a001_49001.php?news_id=49001

[ 6 ] สุริยะใส" ย้ำ"ป๋าเปรม" อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ..

ที่มา - คำสัมภาษณ์ของ "สุริยะใส กตะศิลา" ในนิตยสาร IMAGE ฉบับเดือนธันวาคม 2549 ที่กลุ่มพีทีวี อ้างว่า เป็นต้นตอของคำกล่าวอ้างที่ว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ..นี่คือบางส่วนที่นำมาเสนอ

การต่อสู้ของพันธมิตร มันมีกระบวนการหลังพิงวัง ตรงนี้สร้างความอึดอัดให้ฝ่ายซ้ายจำนวนมากในพันธมิตรหรือไม่

ปัญหาในเรื่องปรากฏการณ์หลังพิงวังมีมาตลอด และมีความอึดอัดเพราะเป็นกระแสที่เรา ก็ต่อต้านมาตลอด ถึงขนาดฝ่ายซ้ายมาขอคุยให้ ครป.ถอยออกมา แต่เราต้องยอมรับว่า การสู้กับระบอบทักษิณ เมื่อภาคประชาชนเห็นว่าระบอบทักษิณเป็นตัว ปัญหา แต่ภาคประชาชนเองไม่มีกำลังพอที่จะโค่นล้มคุณทักษิณได้ ฉะนั้นก็ต้องเชื่อมประสานกับพลังอื่น ไม่ว่าจะพลังชนชั้นกลาง พลังทุนนิยมในชาติ พลังศักดินา ก็ต้องร่วมกันเพื่อจัดการคุณทักษิณ เพราะพลังศักดินาโดดๆ ก็จัดการคุณทักษิณไม่ได้ ต้องมาเชื่อมประสานกับพลังของภาคประชาชน ดังนั้นก็เลยเกิดธงหลายผืนในที่ชุมนุมประเด็นจึงอยู่ที่ว่าเราจะจัดลำดับ ความสำคัญอย่างไร เราอาจจะไม่ได้ทั้งร้อยในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เมื่อต่อสู้แล้วไม่มีใครอยากแพ้ จึงเป็นเหตุให้เราไม่ถอย

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เหมือนพลังศักดินาสามารถยืมมือพลังประชาชนในการจัดการ และดึงอำนาจคืนจากคุณทักษิณ พลังศักดินาอาจจะยืมมือเรา แต่ที่แน่ๆ คือเราไม่ได้รับธงเขามาเคลื่อน

ผมไม่ปฏิเสธว่า หลังการรัฐประหาร พลังศักดินาเกิดใหม่ ระบอบอำมาตยาธิปไตยสามารถเห็นได้ ชัดเจนภายใต้โครงสร้างรัฐบาลใหม่ ตรงนี้เราต้องสรุปบทเรียนว่า จะจัดการกับการเกิดใหม่ของพลังศักดินาหรือระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างไร และที่ทางของประชาชนหรือการเมืองแบบใหม่ที่สู้กันมาทั้งชีวิตจะอยู่ตรงไหน เราจะทำอย่างไร เพื่อสร้างพื้นที่ขึ้นมาในการกำหนดให้วาระของประชาชนเข้าไปอยู่ในรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่และต้องผลักดันให้ก้าวหน้ากว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2540

ส่วนหนึ่งที่ต้องยอมรับในสังคมไทยคือ องค์อำนาจในสังคมไทยมีหลายองค์อำนาจ ไม่ใช่แค่กลุ่มทุนใหม่กับฝ่ายประชาชนเท่านั้น พลังศักดินาระบอบอำมาตยาธิปไตยมีอยู่จริง มีอำนาจที่เป็นจริง มีการเคลื่อนไหวปฏิบัติการในตัว และมีการปรากฏตัวออกเป็นช่วงๆ ดังนั้นจึงไม่ควรมองข้ามองค์อำนาจส่วนนี้ 

อีกทั้ง ระบบอำนาจนิยมยังเข้ามาแทนที่ระบบความคิดใหม่ๆ ในสังคมไทยได้อย่างง่ายดาย เห็นได้จากการที่มีคนชื่นชมการรัฐประหารและเห็นด้วยกับรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ตรงนี้เป็นการบ้านที่ท้าทายบทใหม่

ผมยังไม่อยากไปสรุปว่า นี่เป็นระบอบใหม่ เพราะการทำรัฐประหารครั้งนี้อาจนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ พูดแบบนี้ฝ่ายซ้ายบางคนอาจจะหมั่นไส้ แต่ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสใหม่ ที่จะได้ทบทวนเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้มข้น ถ้าไม่มีรัฐประหารครั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงไม่มีทางเกิด เพียงแต่ว่า เศรษฐกิจพอเพียงในแนวทางอำมาตยาธิปไตย จะกล้าพูดเรื่องการกระจายอำนาจไหม จะกล้าพูดเรื่องการปฏิรูปที่ดินไหม แต่ถึงที่สุด อย่างน้อยก็ได้ทบทวนว่าเรามีเศรษฐกิจทางเลือก


มองบทบาท ของพลเอกเปรมอย่างไรบ้าง

พลเอกเปรม เป็นสัญลักษณ์ของระบอบอำมาตยาธิปไตย จริงๆ ระบอบนี้ไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แม้จะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ก็ตาม ถ้าเราดูบทบาทของพลเอกเปรม ก็จะเห็นชัด เพียงแต่พื้นที่ของระบอบนี้คับแคบลงในระดับหนึ่ง เพราะการเติบโตของพื้นที่ภาคประชาชนที่มากขึ้น ซึ่งเป็นการท้าทายระบอบนี้โดยตรง ขณะเดียวกันระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็ถูกท้าทายจากทุนใหม่ ซึ่งเป็นพลังที่พาคุณทักษิณขึ้นสู่อำนาจ

เราอาจจะพูดว่าระบอบศักดินายืมพลังจากประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณหรือทุนใหม่ก็ เป็นไปได้ แต่ผมคิดว่าพลเอกเปรม ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการคงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีพลเอกเปรมแล้วระบอบประชาธิปไตยจะเต็มใบ แต่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายอำนาจนิยมหรือระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ยังมีพื้นที่ที่ แน่นนอนในสังคมการเมืองไทย

วันนี้ ก็เห็นโดยพฤตินัยได้อย่างชัดเจน ว่า พลเอกเปรม ใช้อำนาจนั้นผ่าน คปค. ท่านนั่งบัญชาการอยู่ที่บ้านสี่เสาฯ และไม่มีใครคิดว่าท่านจะกล้าทำ หรือไม่มีใครคิดตอนที่นั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ว่าการรัฐประหารครั้งนี้ องคมนตรีจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเปิดเผยขนาดนี้ 



หลังจากข่าวที่ออกมานี้ก็ยังไม่เคยมีการออกมาชี้ แจงเลยว่า"ไม่จริง"อย่างที่ปรากฏในข่าว การให้สัมภาษณ์ของทั้ง"ผบ.เหล่าทัพและนายสุริยะ ส"ดังกล่าวจาก พล.อ.เปรม เลยแม้แต่ครั้งเดียว ความที่เคยเป็นนายทหารใหญ่เคยกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้า"ธงชัยเฉลิมพล"ที่ถือเป็น ความศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านายทหารต่อหน้าพระพักตร์พระมหากษัตริย์ ที่ว่า

คำปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพล

ข้าพเจ้า (ยศ นาย นามสกุล) ขอกระทำสัตย์ปฏิญาณว่า
ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบแห่งประเทศชาติ
ข้าพเจ้า จักรักษาไว้ ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ข้าพเจ้า จักอยู่ในศีลธรรมของศาสนา
ข้าพเจ้า จะเชิดชูและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า
ข้าพเจ้า จักเชื่อถือผู้บังคับบัญชา และปฏิบัติตนตามคำสั่งโดยเคร่งครัด ทั้งจักปกครองแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาโดยยุติธรรม
ข้าพเจ้า จะไม่แพร่งพรายความลับของราชการเป็นอันขาด

ที่นำมาเสนอนี้เพื่อย้ำ ให้เห็นว่า ทหาร (คมช.) ได้รักษาคำสัตย์ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระ ราชินี หรือไม่? โดยเฉพาะขณะนี้พระองค์ทั้งสองกำลังกังวลพระทัยหลายเรื่อง เช่นปัญหาภาคใต้ ปัญหาคนไทยแตกความสามัคคี ปัญหา คมช.ยึดอำนาจ รื้อนโยบายรัฐบาลเก่าซึ่งก่อให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม 

อยากจะถามว่าทหารเหล่านั้นมีความสำนึกรับผิดชอบ อะไรอย่างไรบ้างไหม?หรือว่าท่านไม่เห็นว่าการกล่าวคำปฏิญาณต่อ หน้า"ธงชัยเฉลิมพล"และต่อหน้าพระพักตร์ พระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญยิ่ง หรือไม่?
เหล่าข้าราชการทหารทั้งหลายที่รับเงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชนที่ได้รับรู้ ข้อมูลดังกล่าวแล้วมีความรู้สึกเป็นเช่นไร? พวกท่านนั้นยังให้ความเคารพยำเกรงต่อผู้ที่ตระบัดสัตย์และยังอ้างว่า"ทำไปด้วยความจงรักภักดี"อยู่ อย่างนั้นหรือ?แล้วพวกเหล่านั้นยังจะมีความ"จงรักภักดี"ต่อพระมหากษัตริย์อยู่กระนั้นหรือ?

ยังจะมีเรื่องตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งตำแหน่งที่น่าจะคู่ควรต่อบุคคลคนนั้นอยู่ หรือไม่?ก็คือตำแหน่ง"รัฐบุรุษ"ที่มีความหมายว่า"เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อสัตย์สุจริตมาโดยตลอด อันเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีความด่างพร้อย และเป็นที่ยอมรับของประชาชน" ทั้งๆที่ควบกับตำแหน่ง"ประธานองคมนตรี"และ"รัฐบุรุษ"ที่รับ เงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชนถึง ๒ ตำแหน่งรวมกันทั้งสิ้นเดือนละ 121,990 + 121,990 = 243,980 บาท (พระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งขององคมนตรีและรัฐบุรุษพ.ศ. ๒๕๕๑http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2551/A/022/58.PDF ) 

สิ่งที่สื่อมวลชลทั้งในและนอกประเทศได้เผยแพร่ไปว่า พล.อ.เปรม เป็นผู้มีบทบาทมากในทางการเมือง ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔ "องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กรรมการตรวจเงินแผ่นดินข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด ๆ" แต่ที่ปรากฏเป็นข่าวไปเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๕๒ ที่ผ่านมากลับเป็นการออกมาพูดตรงๆเกี่ยวกับพรรคการเมืองที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าเป็นสมาชิก ว่า "จะเป็นการกระทำที่เป็น การทรยศต่อชาติ"และอีกวาทะหนึ่งคือ "วาทะ" พล.อ.เปรม ที่เอื้อนเอ่ยเอาไว้เมื่อครั้ง ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ""..รัฐบาลนี้ดี และผมก็เคยพูดว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ดี ดังนั้น เราคงจะหวังได้ว่า ท่านจะเป็นผู้นำที่ดี และจะทำให้ประเทศดีขึ้น"แต่ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวซักถามต่อว่า นายกฯอภิสิทธิ์จะสามารถนำประชาชนฝ่าวิกฤตของประเทศได้หรือไม่ พล.อ.เปรม ตอบสั้นๆ และชัดเจนว่า "..ผมเชียร์.." (ปรากฏการณ์ "บิ๊กจิ๋ว" วาทะ "ป๋าเปรม" แสงสว่างปลายอุโมงค์http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01col01191052&sectionid=0116&day=2009-10-19)

จากข้อมูลข้างต้นนั้น มีคำถามว่า คุณสมบัติเหมาะสมไม่มีความด่างพร้อยเลยใช่หรือไม่?สำหรับ ตำแหน่ง"รัฐบุรุษ" นี่เป้นข้อสงสัย!

อีกประเด็นที่ เคลือบแคลงแฝงเร้นกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่นับว่าเป็นอันตรายล่อแหลมยิ่ง ก็คือการเขียนรัฐธรรมนูญที่"ซ่อนเร้น"สิ่ง ที่ไม่บังควรไว้ในกรณีของตำแหน่ง"ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน"ที่ นักกฏหมายทั้งหลายสงสัยว่า"ไม่ว่าจะมองมุมใด"ก็ตาม ประธานองคมนตรีจะต้องเข้าดำรงตำแหน่งนั้นโดย "อัตโนมัติ" ซึ่งผิดวิสัยความบริสุทธิ์ใจทั้งคนเขียนกฏหมายและคนที่ได้รับประโยชน์จากการ เขียนกฏหมายนั้น หรือไม่?(จะ มีใครนึกบ้างหรือไม่ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ กำลังสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง! http://konthaiuk.com/forum/index.php?topic=4635.0)

...

http://74.125.153.132/search?q=cache:kBdUySlbX_EJ:konthaiuk.com/forum/index.php%3Ftopic%3D4968.0+สุริยะ+ใส+ป๋า+เห็นชอบ+รัฐประหาร&cd=9&hl=th&ct=clnk&gl=th

-------------------------------------------------------------

พัลลภ แฉ ปีย์ เคยถาม ทักษิณ หายได้ไหม

จากกรณีที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ออกมาเปิดโปงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี กับบุคคลสำคัญหลายคน ได้ประชุมวางแผนโค่นรัฐบาลทักษิณกันที่บ้านของ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ในซอยสุขุมวิท จนกระทั่งนายปีย์ ออกมาตอบโต้ว่า พล.อ.พัลลภ ออกมาเปิดเผยข้อเท็จจริงเพราะไม่ได้รับตำแหน่งใดๆ นั้น 

วันนี้ (30 มีนาคม) พล.อ.พัลลภ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวไทยรัฐว่า การที่ นายปีย์ ระบุว่า ตนออกมาโวยวายเพราะไม่ได้รับตำแหน่ง ขอยืนยันว่าตนเป็นคนที่รักษาสัจจะเมื่อตกลงกันว่าการทำครั้งนี้ทุกคนต้องไม่ หวังตำแหน่งและลาภยศใดๆ ตนก็ถือตามนี้ สำหรับเรื่องนี้ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าตนต้องการตำแหน่งตนก็ออกมาโวยวายในช่วงนั้นแล้วจะปล่อยให้เนินนานมาถึง 3 ปีได้อย่างไร และถ้ามาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร

"ผมเป็นชายชาติทหาร ผมรักษาสัจจะรักษาคำพูดเสมอ ว่าถ้าใครไม่พูดพาดพิงถึงผม ผมจะหลีกเลี่ยงในการพูดถึงบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าผมจะไม่เคยพูดถึงชื่อ นายปีย์ มาลากุล เจ้าของบ้านแม้แต่คำเดียว" พล.อ.พัลลภ กล่าว 

พล.อ.พัลลภ กล่าวอีกว่า ครั้งหนึ่งก่อนการประชุมหารือกันที่บ้านสุขุมวิท ซึ่งมีตนกับพล.อ.สุรยุทธ์และนายปีย์ นั่งอยูที่โต๊ะรับแขกภายในบ้าน ปรากฏ ว่า นายปีย์ ได้ถามตนว่า ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หายไปได้ไหม ตนก็เลยตอบไปว่าเป็นการยาก ทำไม่ได้ เพราะมีรปภ.จำนวนมากคงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สามารถทำให้ตายได้ ทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร ซึ่งขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งเฉยๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไร

เมื่อถามว่าขณะนี้ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธ แต่มีการหารือในการล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ จริงใช่หรือไม่ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ตนจะมาพูดเล่นๆ ได้อย่างไร เพราะมีการกินข้าวหารือกันถึง 7 คน มีการพูดกันว่าจะต้องเล่น พ.ต.ท.ทักษิณ ทางกฎหมาย โดยมีนักกฏหมายเข้ามาร่วมประชุมด้วยในเรื่องของกกต. ซึ่งเมื่อกกต. ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็มีการพูดถึงการรัฐประหาร มิเช่นนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาพูดได้อย่างไรว่า การทำครั้งนี้เราทำเพื่อประเทศชาติและสถาบัน คนที่มีตำแหน่งเป็นองคมนตรีจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะตัวเองมีตำแหน่งองคมนตรี โดยเฉพาะไปล๊อบบี้ให้ กกต.ลาออก

และเมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโฟนอินเปิดเผยข้อเท็จจริง พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท แต่การปฏิเสธของ พล.อ.สุรยุทธ์ ขัดกันโดยตลอดจากการประมวลข่าวอะไรต่างๆ ทกุคนก็รู้ดีว่าเป็นข้อเท็จจริง ดังนั้นคนที่มีความคิดทุกคนสามารถคิดได้

"การที่นายปีย์ บอกว่ามีการประชุมครั้งเดียวก็ไม่จริง ซึ่งจริงๆ แล้วประชุมกัน 4 ครั้งและกินข้าวร่วมกันทุกครั้ง ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาถึงก่อนเสมอมานั่งรอ จากนั้นก็มานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว ในลักษณะกินข้าวไปคุยกันไป ตอนแรกเห็นปฏิเสธว่าไม่ได้ประชุม ก็ใช่เป็นการพูดกันไปกินกับไป เพราะการประชุมต้องมีวาระประชุม ตนพยายามไม่พูดถึงใครแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพูดพาดพิงก่อน และวันนี้ นายปีย์ มาพูดถึงทำให้เสียหายจึงต้องพูดบ้างว่า นายปีย์ คิดอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังมีเรื่องอีกเยอะ ที่ตนจะนำมาเปิดเผย ทุกอย่างที่เขาทำนั้นเป็นลักษณะเจ้ากี้เจ้าการเชิญ คนนั้นคนนี้ไปกินข้าว ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ พูดถูกว่าไม่ได้เชิญตนไปกินข้าว แต่นายปีย์ เป็นคนเชิญในฐานะเจ้าของบ้าน แม้แต่พ ล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปีย์ก็เป็นคนเชิญมา" พล.อ.พัลลภ กล่าว 

เมื่อ 12.00 น. พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เดินทางมายังบริเวณหลังเวทีของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อมาประสานรอยร้าวระหว่าง ทหาร ตำรวจ และกลุ่มคนเสื้อแดง ภายหลังเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีชายลึกลับคนหนึ่ง ที่คาดว่าจะได้รับคำสั่งมาจากรัฐบาล ให้ขึ้นไปประกาศบนยอดตึกทำเนียบรัฐบาลว่าจะทำการสลายการชุมนุม ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของรัฐบาล อาจจะนำไปสู่เหตุนองเลือดซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ ส่วนการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกพูดผ่านวิดีโอลิงค์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ก็จะเป็นการนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดได้ด้วยเช่นกัน ตนจึงต้องออกมาประสาน 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ
http://hilight.kapook.com/view/35383

-------------------------------------------------------------
VDOลิงค์ฉบับเต็ม : เวลา 20.00 น. วันที่ 22 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านวีดีโอลิงค์ มายังสนามกีฬากลางสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี แฉเบื้องหลังการปฎิวัติ-แผนลอบสังหาร" align="absmiddle" border="0"> 
VDOลิงค์ฉบับเต็ม : เวลา 20.00 น. วันที่ 22 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านวีดีโอลิงค์ มายังสนามกีฬากลางสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี แฉเบื้องหลังการปฎิวัติ-แผนลอบสังหาร

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552 เวลา 16:50:56 น. มติชนออนไลน์ คลิ๊กเพื่อรับชมวีดีโอ 

"ทักษิณ"สาดโคลน ฟัด"3บิ๊กตุลาการ-2องคมนตรี" เบื้องหลังรัฐประหาร-วางแผนล้ม

"ทักษิณ"จี้"กล้าทำต้องกล้ารับ"ยันพูด เรื่องจริง โจมตี "องคมนตรี"ไม่เกี่ยว "จงรักภักดี" พูดผ่านวิดีโอลิงก์เสื้อแดงเชียงใหม่ แฉเบื้องหลังถูกปฏิวัติ-มุ่งจัดการข้อหาไม่จงรักภักดี ซัด4นักกฎหมายรุมเล่นงาน นัด26มี.ค.แฉต่ออีกยก 


คลิกดูVDO 1 - "ทักษิณ"วิดีโอลิงค์เสื้อแดงที่เชียงใหม่ (ฉบับเต็ม) ชนแหลก"2ผู้ใหญ่"เบื้องหลังโค่นจากนายกฯ
คลิกดูVDO 2 - "ทักษิณ"วิดีโอลิงค์เสื้อแดงที่เชียงใหม่ (ฉบับเต็ม) ชนแหลก"2ผู้ใหญ่"เบื้องหลังโค่นจากนายกฯ
----------------

"ทักษิณ"จี้"กล้าทำต้องกล้ารับ"ยันพูด เรื่องจริง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง แถลงที่พรรคเพื่อไทย อาคารบีบีดี บิ้วดิ้ง ย่านพระราม 4 ถึงปฏิกิริยาจากหลายฝ่ายต่อการปราศรัยกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จ.เชียงใหม่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่พาดพิงองคมนตรี นายทหารและกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรงว่า ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณถึง เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว โดยพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยืนยันในข้อเท็จจริงทุกประการที่พูดในเวทีเสื้อแดง ส่วนปฏิกิริยาหลายคนที่ปฏิเสธว่าไม่ยอมรับต่อสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูด โดย พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ยืนยันในข้อเท็จจริงทุกประการและคนเราเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดอีกครั้ง ในวันที่ 27 มีนาคม เวลา 19.30-20.00 น. ระหว่างการชุมนุมใหญ่เสื้อแดง โดยเนื้อหาจะเป็นการเสนอทางออกของประเทศไทย ที่จะพ้นวิกฤติเศรษฐกิจและสังคมในขณะนี้ไปได้

"ณัฐวุฒิ"ชี้"สุรยุทธ์"ดิ้นไม่ เกี่ยวข้องยังไม่เข้าใจกฎแห่งกรรม

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่าสำหรับปฏิกิริยาของบางคนที่ออกมาแสดงท่าทีต่อคำพูดของ พ.ต.ทักษิณ โดยเฉพาะกรณีของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีที่ออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วยังพูด เรื่องกฎแห่งกรรม ในฐานะคนไทยที่เป็นพุทธศาสนิกชนทุกคนเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม และเชื่อมั่นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จึงไม่รู้ว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะเชื่อมั่นกฎแห่งกรรมจริงหรือไม่ เพราะบางคนเป็นนายกฯ แล้วเซ็นชื่อให้ภรรยาไปซื้อที่ดินตามกฎหมายแต่ต้องกลายเป็นผู้ต้องโทษก็มี แต่บางคนครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนกลับไม่ถูกดำเนินคดี แถมยังได้เป็นนายกฯ อีก จึงอาจจะยังไม่เข้าใจคำว่ากฎแห่งกรรม

"ลูกพี่"โอด แบกรับความเจ็บช้ำคนเดียว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิและเสรีภาพ ที่จะสื่อสารข้อมูลและเรื่องราวที่เป็นความจริง และยิ่งเป็นสถานการณ์เริ่มต้นของวิกฤติประเทศไทย จึงไม่เป็นธรรมเลยหาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องแบกรับความจริงและความเสียหายทั้งหมด อย่างเจ็บปวด และการนำข้อมูลเหล่านี้มานำเสนอ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้คิดจะตอบโต้หรือรุกรานใคร เพียงแต่คิดว่าสังคมไทยขณะนี้จำเป็นจะต้องรัทราบสาเหตุของปัญหา จึงยืนยันมาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดความจริง ในสิ่งที่คนไทยยังไม่มีโอกาสรับรู้ เป็นระยะๆ เพื่อให้คนไทยได้รับรู้สาเหตุของปัญหาแลช่วยหาทางออกร่วมกัน สำหรับพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ที่ปฏิเสธการพูดเรื่องการลอบสังหารย์นั้นเราก็เข้าใจในสถานะและความจำเป็น ของพล.อ.พัลลภด้วย แต่ยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่ตนเคยได้ยินจากปากพ.ต.ท.ทักษิณ มาแล้วครั้งหนึ่ง

อ้างโจมตี “องคมนตรี” ไม่เกี่ยว “จงรักภักดี”

“การพูดความจริงไม่ได้หมายความว่าจะนำพาไปสู่ความขัดแย้ง แต่เป็นการพูดความจริงเพื่อหันหน้าเข้ามาหากันและหาทางออก ซึ่งที่ผ่านมาวิกฤติการเมืองของประเทศไทย ต่อเนื่องมา 3-4 ปีแล้วยังแก้ไขไม่ได้นั้น เพราะมันขาดความจริงที่พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดออกมา” นายณัฐวุฒิ กล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า การโจมตีสถาบันองคมนตรีอาจจะมีปัญหาเรื่องความจงรักภักดี นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนยันในความจงรักภักดีและแสดงท่าทีที่ชัดเจนมาโดยตลอด แต่การพูดถึงบุคคลบางคนที่อยู่ในสถานะองคมนตรีนั้นไม่ได้ต้องการให้กระทบ สถาบันองคมนตรี แต่เป็นการป้องกันคนบางคนไปกระทำอะไรให้กระทบกับสถาบันองคมนตรีต่างหาก
“สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดออกมานั้นตนคิดว่าประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลทั้งหมด และต่อจากนี้จะมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน ซึ่งการดำเนินการของคนกลุ่มนี้จะไม่ใช่หน้าที่ของเคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ขอเรียกร้องให้คนไทยทั้งประเทศพิจารณาการกระทำของคนกลุ่มดังกล่าวว่าได้ สร้างผลกระทบต่างๆเอาไว้มากมาย ” นายณัฐวุฒิ กล่าว

“เสื้อแดง” เตรียมกันพื้นที่ไม่ให้กระทบงานกาชาด

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงวันที่ 26 มีนาคมว่า จะเป็นการชุมนุมยืดเยื้อ แต่จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน และเรายังคงยืนยันจะไม่บุกยึดทำเนียบรัฐบาล แต่จะเป็นการปิดล้อมทำเนียบฯ เพื่อขับไล่รัฐบาล โดยจะมีการเปิดทางให้สามารถเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบฯได้ แต่หาก ครม.ชุดนี้เข้ามาทำงานก็จะต้อบงพบกับการขับไล่ โดยการชุมนุมครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ข้อครหาที่ว่าเสื้อแดงแผ่ว เพราะหลังการชุมนุมครั้งก่อน ตนและนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้รับประทานอาหารร่วมกับ พล. ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบ.ชน. และได้ประเมินร่วมกันว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงเริ่มมีรถยนต์ส่วนตัวมาร่วมมากขึ้น แสดงว่าคน กทม. ออกมามาก เราจึงพร้อมที่จะพิสูจน์อีกครั้งในการชุมนุมใหญ่ครั้งนี้ โดยแกนนำจะกันพื้นที่ไม่ให้กระทบกับงานกาชาดที่กำลังจะจัดขึ้นที่สวนอัมพร โดยเสื้อแดงจะใช้พื้นที่บริเวณทำเนียบฯ นอกจากนี้ยังเรียกร้องไปยังกระทรวงคมนาคม ให้ไปดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกคำสั่งไม่ให้ผู้ประกอบการณ์รถโดยสาร สาธารณะไม่ให้ให้บริการกับคนเสื้อแดงต่างจังหวัดที่จะมาร่วมชุมนุมในพื้นที่ กทม.

จี้ “มาร์ค” เปิด “แผนตากสิน”

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีระบุว่าได้เห็นเอกสารแผนตากสินเพื่อล้มรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ว่าขอเรียกร้องให้นำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะพวกตนไม่เคยพูดและไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้แม้แต่ครั้งเดียว แต่เป็นเพียงการพูดจาเพื่อตีกินไปวันๆ เท่านั้นของคนจากฟากรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งสุดท้ายจะยิ่งทำให้คนในรัฐบาลเสียหาย โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ ที่จะต้องกล้าเอามาเปิดเผยต่อสาธารณะ

"ทักษิณ"วิดีโอลิงก์ซัด"งูเห่า"

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 22 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ใช้วิดีโอลิงก์มายังผู้ชุมนุมที่เวทีสนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ว่า วันนี้ขออนุญาตพูดถึงพี่สาว เพราะต้องใส่เสื้อสูทสีดำเพื่อเคารพศพพี่สาว ซึ่งอีกไม่นานตนจะตามไป แต่พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ควรคิดอะไรเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด ตนฝากอุดมการณ์ถึงผู้ชุมนุมให้เรียกร้องประชาธิปไตย อย่าทะเลาะ อย่าแตกแยก ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
"นับแต่ยุบพรรคพลังประชาชนเกิดงูเห่าแยกตัวไปตั้ง พรรคใหม่ก็ไม่เสียใจ แต่การอภิปรายเมื่อ 2 วันที่ผ่านมายังมีการใช้เงินซื้อเสียงโหวต ส.ส. หลายคนรับสารภาพว่าได้เงิน 2 แสนบาท และงบฯพัฒนาท้องถิ่นคนะ 20 ล้านบาท เบื้องหลังจะลงในหนังสือของหมวดเจี๊ยบเล่มใหม่ ชื่อ"ทักษิณ อาร์ยู โอเค" สำหรับทางออกของประเทศจะพูดทั้งหมดในการชุมนุมใหญ่วันที่ 26 มีนาคมนี้"

แฉ"ผู้ใหญ่"อยู่เบื้องหลังปฏิวัติ

ต่อมาพ.ต.ท.ทักษิณได้เปิดประเด็นปัญหาทางการ เมืองที่นำมาสู่ความวุ่นวายในปัจจุบันใจความว่า หลังจากผลเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 ที่พรรคไทยรักไทยได้ 377 เสียง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มาเตือนว่าจากนี้ให้ระวัง สื่อจะประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านซึ่งตนได้หาข้อมูลและพบว่ามี"ผู้ใหญ่"บางคน เริ่มส่งสัญญาณผ่านสื่อว่าในวังไม่เอาตนแล้ว และจากการที่พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผอ.กอ.รมน.ไปพบตนที่จีนเมื่อเร็วๆ นี้ ได้เล่าให้ฟังว่า ต้นปี 2549 ถูกเรียกไปพบพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่บ้านหลังหนึ่งในซอยถนนสุขุมวิท ได้รับแจ้งว่าไปพบองคมนตรี 2 ท่านกล่าวหาตนไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ซึ่งพล.อ.พัลลภรับทราบมาแต่ยังไม่ได้ทำอะไร
"ต่อมาก็ได้มีการลงมือเอาชีวิตผม 2 ครั้ง แต่คลาดแคล้วไม่เป็นอะไร จนในที่สุดมาถึงกรณีคาร์บอมบ์ที่พล.อ.พัลลภยืนยันไม่เกี่ยวข้องแต่รับว่ามี การใช้คนของกอ.รมน. ซึ่งหากจำได้ จ่ายักษ์ที่ถูกจับได้ให้การว่า หากคาร์บอมบ์ไปสำเร็จ จะมีการปฏิวัติและผมฟันธงว่า คนที่จะเป็นนายกฯเป็นชื่อ สุรยุทธ์

อ้าง 3 บิ๊กตุลาการประชุมกล่าวหาไม่จงรักภักดี

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวอีกว่าา ขอเล่าอีกเรื่อง มีคนเกี่ยวข้อง 4 คน คนแรก นายปราโมทย์ นาครทรรพ แต่งนิยายเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ขึ้นศาลอยู่ตอนนี้ ไม่เคยมีเลยเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ นาย ปราโมทย์ก็อยู่ในที่ประชุมสี่คน อีกสามคนคือ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครอง นายจรัญ ภักดีธนากุล นายชาญชัย มีคนเล่าให้ผมฟังครับว่า ทั้ง 4 คนต่างคนต่างรับหน้าที่มาดำเนินการกับตน โดยอ้างว่า ไม่จงรักภักดี ดาบทุกเล่มหันมาทิ่มตนในเรื่องไม่จงรักภักดี ตอนปฏิวัติปล่อยข่าวว่า ตนอยู่เบื้องหลัง ทำหนังสือพ็อกเกตบุ๊ก The king Never Smiles. ที่เขียนโดยฝรั่ง ตนรู้เรื่องว่า หนังสือจะออกมาก็รีบสั่งการให้สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศรีบไปพบพ่อจอร์จ บุช ที่ใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยเยลที่พิมพ์หนังสือ ขอร้องเขาว่า อย่าได้ออกหนังสือเพราะตอนนั้นใกล้พระราชพิธี ก็ขอร้องว่าอย่าให้หนังสือออกมา เขาก็ยอม แค่นั้นไม่พอผมก็สั่งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ตอนเป็น ผบ.ตร. ให้ตำรวจกวดขันอย่าให้เอาหนังสือเข้ามา ไอ้พวกนี้ไปปล่อยข่าวว่าตนสนับสนุนการออกหนังสือเล่มนี้

มุ่งจัดการ ข้อหาไม่จงรักภักดี

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวด้วยว่า นอกจากนั้นมีการกดดันให้ กกต.คนหนึ่งลาออก(พล.อ.จารุภัทร์ เรืองสุวรรณ) จนเหลือ 3 คน ซึ่งต่อมาผู้ที่ลาออกได้มาเล่าให้ตนฟังว่า มีผู้มากดดันให้ออกคือพล.ต. จำลอง ศรีเมือง และ พล.อ. สุรยุทธ์ ตนจึงบุกไปที่ทำงานของพล.อ.สุรยุทธ์ถามว่า เกิดอะไรขึ้น แต่ก็ได้คำตอบว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป็นทหารพลร่ม ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยโกรธเคืองพล.อ.สุรยุทธ์ แต่มีปัญหาจากกรณีที่ตนเชิญ"หม่องเอ"มาเยือนไทย แต่แล้วจากนั้นไม่นานวันที่ 25 เมษายน 2545 ก็มีการเคลื่อนไหวของทหารปะทะกันชายแดนพม่าจนมีผู้เสียชีวิตกว่า 35 คน ทั้งที่กำลังเจรจาเรื่องยาเสพติดอยู่ แต่แล้วคนเหล่านี้ก็มามุ่งจัดการตนด้วยข้อกล่าวหาไม่จงรักภักดี ทั้งที่ตนจงรักภักดีล้านเปอร์เซ็นต์ และกลายเป็นข้ออ้างในการมุ่งล้มล้างรัฐบาลที่มีอำนาจเยอะจากผลพวงรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่ตนไม่ได้ร่าง แต่นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นผู้นำร่างและมีนพ.ประเวศ วะสี เป็นเจ้าของแนวคิดในการปฏิรูปการเมืองและร่างรัฐธรรมนูญที่สามารถแก้ปัญหา การเมืองและรัฐบาลอ่อนแอได้

นัด26มี.ค.แฉต่อลึกกว่านี้

พ.ต.ท.ทักษิณยังกล่าวว่า ขณะนี้ล่าสุดมีการปล่อยข่าวเรื่องแผนตากสินเพื่อล้มสถาบัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. รับลูก ซึ่งขอยืนยันว่าตนมีแต่หัวใจที่ทุ่มเทให้กับการทำงานจนทำให้ประชาชนเข้าใจ ว่าประชาธิปไตยกินได้จริงๆ แต่จะขอพูดถึงต้นตอของปัญหาและหนทางแก้ไขเพิ่มเติมในวันที่ 26 มีนาคมนี้
"คนที่เกี่ยวข้องที่ผมพูดถึงจะโกรธอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทุกฝ่ายก็มีวันตาย เราเอาชาติรอดดีกว่า เอาประเทศให้ผาสุขดีกว่า เอาความสบายพระราชหฤทัยของในหลวงดีกว่า แต่หาการเมืองไม่จบก็จะพูดต่อไปเรื่อยๆ พูดลึกขึ้นทุกวันว่าใครทำอะไร จะแฉทั้งหมด และยืนยันว่าเป็นความจริง ไม่ใช่โกหกรายวัน คนอย่างผมคุยรู้เรื่อง หากไม่อยากคุยรู้เรื่องผมก็ไม่รู้เรื่องด้วย ตอนนี้ผมมองข้ามช็อตนายอภิสิทธิ์ไปแล้ว ต้องตามล้างคนที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้ประชาธิปไตยกลับคืนมา สำหรับเศรษฐกิจไม่รู้จะแก้อย่างไรแล้ว แต่หากประชาชนพร้อมผมก็พร้อมที่จะมาแก้ปัญหาให้"
...

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1237730397&grpid=10&catid=01

--------------------------------------------------------------------

พัลลภแฉสุรยุทธ์ให้ล้มทักษิณพื่อชาติ

คมชัดลึก :“พัลลภ”แฉ“สุรยุทธ์”ให้วางแผนล้ม รัฐบาลทักษิณเพื่อชาติ จี้แสดงสปิริต “ลาออก”จากองคมนตรีเพื่อปกป้องสถาบัน จวกยับไม่มีสัจจะรับตำแหน่งนายกฯ ปฏิเสธไม่เคยรับเงินแม้ว อ้างได้แค่รองเท้าคู่เดียว 


พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รอง ผอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โฟนอินพาดพิง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังร่วมวางแผนโค่นล้มระบอบทักษิณ เมื่อ 19 ก.ย.2549 ว่า เป็นเรื่องจริง แต่ว่าเขาไม่เคยเชิญผมเข้าร่วมประชุม แต่เจ้าของบ้านที่สุขุมวิทเชิญผมและประชุมร่วมกัน ซึ่งไม่ได้ประชุมแค่ครั้งเดียว แต่มีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง ซึ่งมีการพูดคุยปัญหาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะให้รัฐบาลล้มไปอย่างไร โดยมี 2 แนวทาง คือ ทางด้านรัฐธรรมนูญหรือทางด้านกฎหมาย ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จก็จะทำรัฐประหาร
ถามว่า การทำรัฐประหารมีการพูดหรือไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึง เพียงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ เสนอขึ้นมาว่า การทำครั้งนี้ทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนจะต้องไม่หวังตำแหน่งใดๆ ซึ่งทุกคนศรัทธาในตัวท่าน ทั้งนี้การหารือเป็นลักษณะโต๊ะกลม ซึ่งไม่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.นั่งอยู่ด้วย
ถามว่า พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคนที่เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลเป็นใคร
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อันนี้ผมบอกไม่ได้ เพราะว่าผมไม่อยากพาดพิงถึงคนอื่น แต่เมื่อ พล.อ.สุรยุทธ์ มาพาดพิงถึงผม ผมก็จะพูดถึง พล.อ.สุรยุทธ์ เท่านั้น การประชุม 3-4 ครั้ง ก็จะมีการพูดถึงแนวทางเรื่องการล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตลอด อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นคนเสนอในที่ประชุมเองว่า การทำงานครั้งนี้ เราทำเพื่อประเทศชาติ ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งลาภยศใด ๆ
หลังจากที่ปฏิวัติรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้พูดง่าย ๆ พวกเราผิดหวังมากและผมก็ผิดหวัง ตอนแรกก็ชื่นชม พล.อ.สุรยุทธ์ มากเกี่ยวกับแนวความคิดดังกล่าว พูดง่าย ๆ พล.อ.สุรยุทธ์ เสียสัจจะกลายเป็นคนไม่มีสัจจะและผิดมติในที่ประชุม แต่ท่านอ้างว่าได้ประชุม ได้คุยกัน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดมติในที่ประชุม ซึ่งในการพูดคุยในวันนั้นมีประมาณ 7 คน ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น หลังจากนั้นผมไม่ได้พูดจากับ พล.อ.สุรยุทธ์ อีกเลย เจอหน้ากันก็ทำเหมือนคนไม่รู้จักทั้งๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผม และเป็นนายทหารรุ่นน้องสมัยที่ผมเป็น ผบ.ค่ายสฤษดิ์เสนา ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นผู้บังคับหมวด
ถามว่า ในการพูดคุยมีการวางแผนอย่างไร
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า อย่างแรกคือการวางแผนทางด้านกฎหมาย และการทำรัฐประหารว่าจะทำอย่างไร ซึ่งการที่ผมไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่านทราบหมดแล้ว แต่ท่านถามผมในลักษณะใช่หรือไม่ใช่ ยกตัวอย่างเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เล่าให้ผมฟังคือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับ พล.อ.สุรยุทธ์ มีครั้งหนึ่งที่เชิญ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีต กกต. ไปพบที่บ้าน พล.ต.จำลอง แถวราชวัตร และล็อบบี้ให้ พล.อ.จารุภัทร ถอนตัวออกจาก กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 ซึ่ง พล.อ.จารุภัทรรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับทราบ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ไปหา พล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ ปฏิเสธ
เรื่องแบบนี้ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต.เคยได้รับเชิญไปที่บ้านสุขุมวิท เพื่อไปพบ พล.อ.สุรยุทธ์ และล็อบบี้ให้ลาออกออกจากตำแหน่งและล้มการเลือกตั้ง ดังนั้น เรื่องนี้ไม่เป็นความลับ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีตั้งแต่ต้นว่าจะมีการล้มรัฐบาล เพราะมีแหล่งข่าวที่ติดตามพวกที่เคลื่อนไหวทั้งหมด เพียงแต่มาสอบถามผมว่า เรื่องที่รู้มาจริงหรือไม่ เมื่อตอนที่ผมเดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จีน
ถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตลอดเวลาว่าจะถูกปฏิวัติใช่หรือไม่
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ท่านรู้มาตลอดทุกเรื่อง แม้แต่แผนการปฏิวัติ ซึ่งไม่รู้ว่า ปฏิวัติเมื่อไร แต่ท่านประมาทเพราะไว้ใจคนใกล้ตัวและเพื่อน ตท.10 ที่คุมกำลังอยู่ในกองทัพ
ส่วนการลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มี ซึ่งการรัฐประหารโดยปกติจะต้องล็อกตัวนายกฯ ซึ่งคนละเรื่องกับการลอบสังหาร ขอยืนยันว่า ไม่มีการลอบสังหาร แต่อาจเป็นการเข้าชาร์จหรือ ล็อกตัวนายกฯ
ถามว่า จนถึงขณะนี้ประเทศชาติจะมีทางออกอย่างไร เมื่อมีกลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม
ที่ผมตัดสินใจไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ คือเรื่องความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากัน เกิดสงครามการเมือง มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้สัมภาษณ์ว่า คนที่จะแก้ไขปัญหาได้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ผมอยากพบ พ.ต.ท.ทักษิณ วันนี้เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไป คือ รัฐบาลตั้งขึ้นมาโดยไม่มีความชอบธรรม เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตย เพราะต้องให้เสียงข้างมากเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล แต่นี่เป็นการล็อบบี้กันแบบงูเห่า ผมมองว่า ไม่ถูกต้อง เพราะควรให้เสียงข้างมากตั้งก่อน หากเขาตั้งไม่ได้ ตัวเองจึงจะค่อยตั้ง แต่เป็นการชิงตั้งก่อน
ถามว่า ในฐานะอดีตทหารเก่ามองภาพผู้นำกองทัพตอนนี้อย่างไร
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ผมเป็นทหารรุ่นพี่ของเขา ผมไม่อยากวิจารณ์ เพราะคนที่เป็นผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ก็เป็นลูกศิษย์ผมทั้งนั้น ผมเหมือนกับ “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทหารสูงสุด ที่ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน ผมยึดถือตรงนี้เพราะผมเคารพท่านมาก ผมคิดว่าทหารจะต้องยืนอยู่เคียงข้างประชาชน คือยึดถือความมั่นคงของประเทศชาติ และความสันติของประชาชนเป็นหลัก
ผมอยากฝากไปถึง พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าเพื่อรักษาสถาบันอันมีเกียรติแห่งนี้ท่านควรจะลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี เพราะองคมนตรีต้องไม่ยุ่งกับการเมือง แต่ท่านเป็นคนที่เข้ามายุ่งกับการเมือง ดังนั้นเพื่อรักษาสถาบันอันสำคัญยิ่งไว้ ผมคิดว่าท่านควรจะต้องลาออกในฐานะที่ผมเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และรุ่นพี่ ผมไม่มีอะไรกับท่านเลย
บางคนกล่าวหาว่าผมไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ 3,000 – 4,000 ล้านบาท ผมยืนยันได้ว่า ที่ผมไปครั้งนี้ได้รองเท้ากอล์ฟมาเพียงคู่เดียว ผมจะไปซื้อรองเท้ามาเล่นกอล์ฟ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่าไม่ต้องออกเงิน ท่านจะออกให้ รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จ่ายเงินค่าแคดดี้ และค่าที่พักให้เท่านั้น ตกเป็นเงินไทยไม่ถึง 5,000 บาท ผมยืนยันว่าไม่ได้ไปรับเงิน เพราะผมไม่ได้ไปคนเดียว แต่ไปถึง 4 คน และเวลาคุยก็คุยด้วยกันทั้งหมด หากรับเงินจริงวันนี้ซื้อรถเบนซ์แล้ว
ถามว่า ได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่
พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า โทรคุยเมื่อสองวันที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถามว่าผมสบายดีหรือไม่ ผมก็บอกว่าสบายดี ตอนนี้กำลังเล่นกอล์ฟอยู่ ไม่ได้คุยอะไรกันมาก พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวขอโทษที่อ้างชื่อผม

http://www.komchadluek.net/detail/20090327/7205/พัลลภแฉสุรยุทธ์ให้ล้มทักษิณพื่อชาติ.html

----------------------------------------------------------

เนชั่นทันข่าว
22:02 น. ณัฐวุฒิเปิดคลิปเสียงแฉ "สุรยุทธ์" อยากนั่งนายกฯ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ต้องการเป็นนายกฯตั้งแต่แรก และมีการเตรียมแผนไว้แล้ว พร้อมกับเปิดคลิปเสียงของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯซึ่งไปปราศรัยที่อเมริกา ซึ่งมีใจความว่า ภายหลังการรัฐประหาร นายสนธิได้ไปพบกับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคมช. และพล.อ.สุรยุทธ์ โดยหารือเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายนายตำรวจ และมีการระบุว่า พล.อ.สุรยุทธ์ต้องการจะเข้ามาเป็นนายกฯ นายณัฐวุฒิ จึงระบุว่าหลักฐานขนาดนี้ชัดพอหรือยังว่าพล.อ.สุรยุทธ์อยู่เบื้องหลัง เพราะคนกล่าวอย่างนี้ก็เป็นนายสนธิ นั่นเอง ที่เป็นคนโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ 

http://www.thaihvac.com/forums/showthread.php?t=16626

----------------------------------------------------------


<<< ประกาศ คปค. ทั้งหมด >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/05/blog-post_4886.html


<<< ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ เรื่อง จากคาร์บอมบ์เป็นคาร์บ็องส์ สุดท้ายของจริง >>>
http://maha-arai.blogspot.com/2009/08/blog-post_1547.html