PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นายกฯ ยัน พร้อม เปิดใช้ สนามบินนานาชาติ แห่งที่3 อู่ตะเภา สค.นี้ ก่อนเปิดใช้อย่างเป็นทางการ ปีใหม่





นายกฯ ยัน พร้อม เปิดใช้ สนามบินนานาชาติ แห่งที่3 อู่ตะเภา สค.นี้ ก่อนเปิดใช้อย่างเป็นทางการ ปีใหม่ รับผู้โดยสาร 3.8 ล้านคน แนะ ตกแต่ง แสดงความเป็นไทย เน้นขั้นตอนที่รวดเร็ว/ ทำระบบเชื่อม ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา ทำ แอร์พอร์ต เรลลิ้ง ระบายคน /ใช้ ปย.ทั้ง ศก.-ความมั่นคง/ ยึดมาตรฐาน ICAO /คืด เมกกะโปรเจค ทำเรือชายฝั่ง วิ่งถึงใต้ 900กม. ยันคิดเพื่ออนาคต ขออย่าขัดแย้งกันอีกเลย/ เผย ตปท สนใจร่วมทุน อุตสาหกรรม ซ่อมอากาศยาน/ เล็ง นำเข้า ครม. อังคาร หน้า/แบ่งพื้นที่ เป็น U Tapao Naval Airbase. กันพื้นที่ความมั่นคง ทร.กันพื้นที่ 3,000ไร่ จากทั้งหมด 1.7หมื่นไร่ ให้ทำสนามบินนานาชาติ แห่งที่3 แบ่งเขต Military Zone สนามบินทหาร และพื้นที่ฝึก และที่ตั้งหน่วยทหาร/นายกฯ ยันเปิด สนามบินอู่ตะเภา สค.นี้ เปิดใหญ่ ปีใหม่ พร้อมระบบคมนาคม หวังเป็นการทำให้คนไทยมีความสุข รองรับร่วมทุนตปท.ขยายอุตสาหกรรม. รองรับสนามบิน ....ยัน จะทำอย่างโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ ...ขอเลิกขัดแย้ง มาร่วมพัฒนาประเทศ เศรษฐกิจ. นี่คือ สิ่งที่ผมกังวล. ขอคนไทย น่ารัก รับ ตปท. ตอนนี้เรา น่ารักน้อยลงไปหน่อย ไม่เป็นไร/นายกฯ ขอเลิกขัดแย้ง หวังเดินหน้าเศรษฐกิจ วางโครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน ถนน คมนาคม เรือ ท่าเรือ หวังคนไทยมีความสุข/ พนง.การบินไทย ให้กำลังใจ นายกฯสู้ๆ ให้อยู่ต่ออีก 10 ปี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางด้วยเครื่อง Embraer จาก ดอนเมือง ถึง สนามบินอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง โดยมี นายสมคืด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นาย อาคม เติมพืยาไพสิษฐ์ รมว.คมนาคม นาง อรรชถา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรมและคณะเดินทางลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์แห่งที่3
โดยมี พลเรือเอกณะ อารีนิจ ผบ.ทร. และคณะนายทหารเรือ ต้อนรับ และบรรยายสรุป

พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. รายงานการใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่เพิ่มเติมและก่อสร้างลานจอดเครื่องบินด้านหน้าอาคารผู้โดยสารเพื่อเพิ่มขีดความสามรถในการรองรับผู้โดยสารและรองรับการเติบโตของกิจการการบินในอนาคต
ทั้งนี้ทางทร.แบ่งพื้นที U Tapao Naval Airbase. กันพื้นที่ความมั่นคงแ ละทร.กันพื้นที่ 3,000ไร่ จากทั้งหมด 1.7หมื่นไร่ ให้ทำสนามบินนานาชาติ แห่งที่3 อีกกว่าหมื่นไร่ แบ่งเขต Military Zone สนามบินทหาร และพื้นที่ฝึก และที่ตั้งหน่วยทหาร

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดีใจที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งโดยขอให้สรุปความคืบหน้าที่เห็นเป็นรูปธรรมในปีนี้ซึ่งเรามีศักยภาพในประเทศอยู่มากจึงต้องใช้ให้เต็มที่โดยรองนายกฯด้านเศรษฐกิจกำลังขับเคลื่อนในการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้เต็มศักยภาพเพื่อให้ด้านการเกษตรอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวเติบโตไปพร้อมกัน
โดยเฉพาะจังหวัดระยองเป็นจังหวัดที่มีรายได้สูงสุดของประเทศเป็นอันดับ1ในจีดีพีต่อหัวและเชื่อว่าจะสามารถมีรายได้เพิ่มมากขึ้นหลังโครงการพัฒนาโลจิสติกเหล่านี้สำเร็จโดยบริบูรณ์จึงขอเป็นกำลังใจและขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพราะเป็นผลงานร่วมกันของทุกคนร่วมกันและอยากให้ประชาชนรู้ว่ากองทัพไทยและกองทัพเรือให้ความร่วมมือสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชน

จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยมศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งที่2 (อู่ตะเภา)ของบริษัทการบินไทยจำกัด(มหาชน)
โดยมีนายจรัมพรโชติกเสถียรกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทการบินไทยฯได้สรุปถึงศักยภาพและความคืบหน้าการพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานให้เป็นศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาลที่จะพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาเป็นนิคมอุตสาหกรรมการบินรองรับการบินทั้งในระดับประเทศและอาเซียน
ศูนย์นี้เปิดทำการตั้งแต่ปี2540มีพื้นที่กว่า150ไร่สามารถซ่อมเครื่องบินพร้อมกันได้3ลำโดยแบ่งเป็นเครื่องบินลำตัวกว้าง2ลำและลำตัวแคบ1ลำดำเนินการซ่อมอากาศยานเฉลี่ยปีละ20ลำใช้เวลาในการซ่อมเฉลี่ยลำละ37วัน
ในช่วงนี้ พนักงาน และช่างซ่อมเครื่อง การบินไทย ได้รุมเข้าถ่ายภาพกีบนายกฯ พร้อมตะโกน ให้นายกฯสู้ๆ และให้อยู่นาน 10ปี เลย
นายกฯกล่าวว่าให้ บอกสื่อ สิ เขาดูอยู่. แต่อย่าเชียร์ผมมาก เดี๋ยวมีปัญหา ให้อยู่ยาว
"เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น กำลังดี ต้องให้กำลังใจดวย"นายกฯ กล่าว
นายกฯ ตรวจ อาคารผู้โดยสารใหม่ สนามบินอู่ตะเภา สั่งตกแต่ง แสดงความเป็นไทย มีหน้าจั่ว มีเชิงชาย แสดง อัตลักษณ์ความเป็นไทย
นายก เผย Terminal ใหม่ นี้ รับ ผู้โดยสารได้ ปีละ 3 ล้านคน อาคารเก่า 8แสนคน รวมรับได้ กวา 3.8 ล้านคน
แนะ แม้สนามบินเล็ก แต่เน้นความรวดเร็ว ขั้นตอน การเชคอืน เดินทาง
นายกฯ ยืนยันว่า จะมี Soft openingสค.นี้ และจะGrand opening หลังปีใหม่
นายกฯกล่าวว่า วันนี้เราต้องอย่าคิดแบบเดิมๆ. ต้องคิดใหม่ แปลก แล้วทำให้เป็นจริงให้ได้ ฝันให้ไกลแล้วต้องไปให้ถึง
"วันนี้รัฐบาล นี้ จะพัฒนาโครงสร้่าง เศรษฐกิจใหม่ใหม่ ของประเทศ ในเมื่อเรามีสนามบินอยู่แล้ว กว้างขวาง กองทัพเรือ ก็ดูแลความมั่นคง ได้อย่างยอดเยี่ยม. แต่จากนั้นต้องทำควบคู่กันทั้ง เศรษฐกิจและความมั่นคง"
นายกฯกล่าวว่า สนามบืนอู่ตะเภา ก็จะทำให้ได้มาตรฐานของICAO และ รองรับเครื่อง บินใหญ่ ที่เรารองรับได้อยู่แล้ว
"ตอนนี้เราต้องเดินหน้าประเทศ สร้างแรงจูงใจ จากการลงทุน จาก ตปท. ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม"
นายกฯ กล่าวว่า ระยอง เป็นจังหวัดที่ม่ี รายได้มวลรวมประชาชาติ สูงสุด ในไทย
นายกฯกล่าวว่า. พร้อมๆกับการเปิดใช้สนามบิน อู้ตะเภา รัฐบาล จะสร้างระบบคมนาคมรองรับ ทั้ง ถนน ถนนข้าม. รถไฟความเร็วสูง. ถนนเส้นทางอากาศ บก ราง
รวมทั้งการ เชื่อมโยง สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ. อู่ตะเภา เข้าด้วยกัน เพื่อที่จะใช้ในการระบายผู้โดยสาร หากหนาแน่น เช่น แอร พอร์ต เรลลิ้งค์ เป็นระยะ 1-2-3 เพราะขึ้อยู่กับงบประมาณ
ส่วนท่าเรือ จุกเสม็ด แหลมฉบัง. สมุย ให้มีเรือเฟอร์รี่. ไป หัวหิน. และเรือชายฝั่ง ไปใต้ 900 กม.
รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมการบิน S curve อุตสหกรรมใหม่. เชื่อมโยง ทุกทาง ศุนย์ซ่อมอากาศยาน ที่ซ่อมทั้งขชองไทยและซ่อมของ ตปท ด้วย
"โดยจะนำเข้าครม.ในอังคารหน้าเพื่ออนุมัติหลักการ โครงการต่างๆ"
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ. และมี ตทป มาร่วมมือ เป็น Joint ลงทุน
รอง สมคิด บอกว่า ตปท สนใจ มาก หลายประเทศ และเรามีความพร้อม
"ผมขอบอกว่า วันนี้เรามีคความพร้อมในการรองรับการลงทุน จากตปท. และขอ
ฝากเป็นผลงาน ให้ไทยทัดเทัยม ประเทศอื่น ไม่อย่างนั้นประเทศจะท้อถอย หมดกำลัง ลงทุกวันๆ
นายกฯกล่าวว่า เรัฐบาลนี้ ไม่ได้มองเล็กๆ แต่ต้องมองอนาคต เราจะมัวมาทะเลาะขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมกังวล
"วันนี้ ผมถือว่าผมเปิดตัว โครงการนี้และเชื่อว่า จะทำให้คนไทยมีความสุขขึ้น
ขออย่าสร้างความขัดแย้ง กันอีกเลย ผมกังวล และขอให้แยกให้ออก ผมบังคับใครไม่ได้ แต่ต้องใช้ กม เท่าที่จำเป็น"
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เราต้องทำอย่างโปร่งใส แข่งขันเสรี เราระวังอย่างมาก
"ขอให้ ไว้วางใตผมซะอย่าง คุยกันรู้เรื่อง ไม่หวังอะไร ขอให้มั่นใจผม ผมจะทำ ชาติให้ปลอดภัย"
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้คนไทย น่ารัก น้อยลงไปนิด อย่าลดลงอีกลย ไม่เป็นไร
นายกฯ กล่าวว่า ขอสื่อ พูดสิ่งดีๆ ที่รัฐบาล ทำบ้าง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ไปตรวจเยี่ยมท่าเรือจุกเสม็ดการท่าเรือสัตหีบฐานทัพเรือสัตหีบเพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาท่าเรือเฟอร์รี่เชื่อมจังหวัดในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนรองรับการขนส่งระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก

ปมGT200 วิษณุ บอกรู้สึกไม่ดีเรียก 'ค่าโง่' ระบุเป็นค่าซื้อความรู้ แต่แพงไปหน่อย

Wed, 2016-06-22 16:10

22 มิ.ย.2559 จากกรณีเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลประเทศอังกฤษ ตัดสินยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 7.9 ล้านปอนด์ (ราว 395 ล้านบาท) จาก เจมส์ แมคคอร์มิค ผู้ต้องหาในคดีจำหน่ายเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดปลอม เพื่อนำเงินไปจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของแมคคอร์มิคและพรรคพวกซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์พร้อมทั้งแสวงหาผู้รับผิดชอบกรณี GT200 ในประเทศไทยจำนวนมาก
วันนี้ ผู้จัดการออนไลน์และมติชนออนไลน์ รายงานว่า วิษณุ เครืองาม กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มอบหมายให้รับผิดชอบการเรียกเงินเยียวยาจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดปลอม GT200 หลังจากศาลอังกฤษมีคำพิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์ประมาณ 400 ล้านบาท โดยให้นำเงินจำนวนนี้ไปชดเชยแก่ประเทศที่ได้รับความเสียหายจากการซื้อเครื่องมือที่ไม่สามารถใช้งานได้ว่า นายกฯ มอบหมายตนในที่ประชุม ครม.เมื่อวานนี้ (21 มิ.ย.) ให้ไปพิจารณาเรื่องดังกล่าวใน 2 ประเด็น 1. การเรียกร้องค่าเสียหายตามที่ศาลอังกฤษได้ยึดทรัพย์ไว้ เรื่องนี้ถือว่าใหม่สำหรับตน จึงสอบถามข้อมูลไปยังหน่วยงานที่ซื้อเครื่องดังกล่าว 7-8 หน่วยงานรวมถึงจะหารือว่าจะให้หน่วยงานใดเป็นตัวแทนรัฐในการเรียกเงินเยียวยา โดยคาดว่าจะเป็นสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) เพราะมีกฎหมายด้านความร่วมมือระหว่างประเทศอยู่
วิษณุ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่ 2 คือ ดูการรับผิดในส่วนของเรา เมื่อมีการซื้อเครื่องดังกล่าวมาแล้วแต่ประสิทธิภาพไม่ตรงกับที่คิด เราจึงเป็นผู้เสียหายที่สามารถเรียกเงินเยียวยาอย่างที่หลายประเทศได้ทำ ส่วนคำถามที่ว่าการจัดซื้อเป็นความผิดหรือไม่ เพราะมีสื่อมวลชนบางแห่งนำเสนอว่าผู้จัดซื้อมีความผิดด้วย ข้อเท็จจริง คนซื้อจะมีความผิดด้วยต่อเมื่อมีการทุจริต แต่จะมีจริงหรือไม่ ขณะนี้การตรวจสอบอยู่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งความรับผิดในส่วนของเรายังไม่มีอะไรต้องดูในตอนนี้ เพราะเป็นหน้าที่ ป.ป.ช. รัฐจะเข้าไปดูซ้อนไม่ได้ ส่วนที่เรื่องดังกล่าวเกิดความล่าช้านั้น ทาง ป.ป.ช.ชี้แจงว่าเรื่องอยู่ในกระบวนการ ส่วนรายละเอียดตนไม่ควรพูดตรงนี้ แม้ว่าคดีความที่ดำเนินการยังไม่แล้วเสร็จ ก็ไม่เป็นปัญหากับการดำเนินการเรียกเงินเยียวยา ที่สามารถดำเนินการคู่ขนานกันได้ เพราะ ป.ป.ช.ดูเฉพาะคดีอาญา แต่การขอเงินเยียวยาเราจะตั้งรูปคดีเป็นการฉ้อโกง หลอกลวง ผิดสัญญา ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่ง เมื่อสินค้าไม่ตรงตามที่โฆษณา และศาลอังกฤษมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐาน เราก็จะยึดแนวทางนั้น
      
วิษณุกล่าวว่า ความเสียหายของหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยที่ซื้อเครื่องดังกล่าวทั้งหมด รวมกันมีมูลค่าประมาณ 600-800 ล้านบาท มากกว่าทรัพย์สินของบริษัทผู้ผลิตที่ถูกศาลมีคำสั่งยึดราว 400 ล้านบาทเสียอีก นอกจากนั้นยังต้องมีการเฉลี่ยเงินก้อนดังกล่าวให้ประเทศที่ได้รับความเสียหายด้วย
      
ต่อกรณีคำถามถึงจำนวนเงินที่ศาลอังกฤษมีคำสั่งยึดนั้นมูลค่าน้อยกว่าความเสียหายของเรา วิษณุกล่าวว่า “ใครเป็นคนหลอกเรา เราก็ฟ้องคนนั้น หรือใครเป็นต้นเหตุในฝ่ายเราก็ต้องเรียกให้รับผิด ส่วนจะฟ้องศาลเราหรือศาลอังกฤษต้องใช้เวลาตรวจสอบ ต้องดูข้อกฎหมายของความได้เปรียบเสียเปรียบ โดยจะยึดผลประโยชน์ของรัฐเป็นตัวตั้ง เบื้องต้นเราจะดูเฉพาะกรณีนี้ให้มันได้ก่อน อย่าเพิ่งไปถึงสินค้าตัวอื่นที่บริษัทเดียวกันนี้จำหน่าย”
เมื่อถามว่า การดำเนินการเรื่องนี้เกรงว่าจะเจอตอหรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า ไม่เจอ เราต้องเดินหน้าตรวจสอบไป แม้จะเจอก็ไม่ใช่ว่าต้องผิด อย่าเพิ่งไปตั้งหลักแบบนั้น วันนี้ ป.ป.ช.คือคนที่ดูตอใหญ่ที่สุด รัฐไม่สามารถไปตรวจทุจริตได้ ถามว่าเรื่องนี้จะเรียกเป็นค่าโง่ได้หรือไม่นั้น คงต้องแล้วแต่สื่อ แต่มันไม่ดีเพราะทำให้เกิดความรู้สึกว่าอะไรที่ควักเงินซื้อดูจะเรียกเป็นค่าโง่ทั้งหมดได้อย่างไร ถ้าเรียกได้ก็เป็นค่าฉลาด ที่สำคัญถือเป็นค่าซื้อความรู้ แต่แพงไปหน่อย

'เหรียญทอง เก็บขยะแผ่นดิน' โพสต์ 24 มิ.ย.2475 วันขยะแผ่นดิน

'เหรียญทอง เก็บขยะแผ่นดิน' โพสต์ 24 มิ.ย.2475 วันขยะแผ่นดิน

22 มิ.ย. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'เหรียญทอง แน่นหนา' ของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ และประธานองค์กรเก็บขณะแผ่นดินโพสต์ภาพและข้อความ ถึง วันที่ 24 มิ.ย.2475 ซึ่งเป็นวันที่ซึ่งเป็นวันที่คณะราษฏร ทำการเปลี่ยนรูปแบบประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดย พล.ต.นพ.เหรียญทอง ระบุว่าวันดังกล่าวเป็น 'วันขยะแผ่นดิน'

ที่มา เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'เหรียญทอง แน่นหนา
 
"24 มิ.ย.2475 วันขยะแผ่นดิน ผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติผู้นำตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียน ผมชื่นชอบนักต่อสู้ เช่น ดร.ซุน ยัด เซน , เช กูวาร่า , โฮ จิมินต์ ฯลฯ อย่าเพิ่งตกใจในตัวผมนะครับ แล้วผมก็พบว่าคุณลักษณะของผู้นำนักต่อสู้ทั้งหลายนี้ คือ "เสียสละ รักชาติ รักประชาชน ไม่ทอดทิ้งประชาชน" ซึ่งคือหัวใจสำคัญยิ่งของการเป็นผู้นำของประชาชน แต่เมื่อผมเห็นการโพสต์ปลูกฝังชุดความคิดที่ให้ร้ายสถาบันฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น "คนละเรื่องกัน" แต่ถูกนำมาให้ร้ายสร้างความเข้าใจผิดให้กลายเป็น 'เรืองเดียวกัน' เพื่อ "แบ่งแยกประชาชนออกจากสถาบันฯ" ผมจึงขอโพสต์เป็นตอนๆ สั้นๆ เป็นซีรี่ย์ เช่น ตอนที่ 1 จะเล่าว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันของประชาชน" มันคนละเรื่องกันกับสถาบันพระมหากษัตริย์จีนก่อนการปฏิวัติ , ตอนที่ 2 ผมจะเล่าว่าผู้นำและผู้ร่วมขบวนการ ดร.ซุน ยัด เซ็น นั้นคนละสีกับขบวนการเปลี่ยนระบอบฯของไทย , ตอนที่ 3 จะพูดถึงหยวน ซี ไข่ กับ พระยาพหลฯ ฯลฯ ติดตามได้ตั้งแต่ทุกพักเที่ยง เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.59 ครับ สุดท้าย อย่าลืม...24 มิ.ย.2475 วันขยะแผ่นดิน ครับ" นพ.เหรียญทอง โพสต์

'ประยุทธ์'ตรวจอู่ตะเภา ยิ้มร่าถูกเชียร์ให้เป็นนายกฯ 10 ปี

'ประยุทธ์'ตรวจอู่ตะเภา ยิ้มร่าถูกเชียร์ให้เป็นนายกฯ 10 ปี
Cr:สำนักข่าวเจ้าพระยา
22มิ.ย.2559 “ประยุทธ์” ควง “สมคิด-อนุพงษ์” พร้อมคณะบินไประยอง ตามความคืบหน้าตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก พร้อมเยี่ยมชมพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา เสริมศักยภาพรองรับผู้โดยสาร…
ที่กองการบิน ศูนย์การเคลื่อนย้ายกองทัพบก (ขส.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เพื่อลงพื้นที่ติดตามผลการปฏิบัติราชการ จ.ระยอง ประชุมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องติดตามความก้าวหน้าการพัฒนาท่า อากาศยานอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานพาณิชย์แห่งที่ 3 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (จ.ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา) พร้อมกับเยี่ยมชมโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เพื่อการรองรับการลงทุนตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4.0
จากนั้น นายกฯ และคณะจะตรวจเยี่ยมโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยานแห่งที่ 2 (อู่ตะเภา) ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และตรวจเยี่ยมชมความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยาน อู่ตะเภา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมท่าเรือจุกเสม็ด การท่าเรือสัตหีบ ฐานทัพเรือสัตหีบ ก่อนจะเดินทางไปพบปะประชาชน และเยี่ยมชมโครงการก่อสร้างป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง (แนวกำแพงดินคอนกรีตเสริมเหล็ก) บริเวณหาดพยูน ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และลดความเสียหายต่อแหล่งท่องเที่ยว สร้างประโยชน์ต่อชุมชน ก่อนจะเดินทางกลับถึง ขส.ทบ.ในเวลา 17.15 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเดินทางตรวจเยี่ยมการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมคณะ ได้นั่งเครื่องบินแบบ แอมแบร์ โดยมีพล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร.ให้การต้อนรับ โดยสนามบินนานาชาติเตรียมเปิดใช้ในเดือนสิงหาคมนี้ และจะเปิดเป็นแบบทางการในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยกองทัพเรือส่งมอบพื้นที่จำนวน 3,000 ไร่ จากทั้งหมด 1.7 หมื่นไร่ ให้ทำสนามบินนานาชาติ แห่งที่ 3 โดยแบ่งเขตสนามบินทหาร พื้นที่ฝึก และที่ตั้งหน่วยทหาร
ขณะเดียวกันระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ตรวจโรงซ่อมอากาศยานการบินไทย ในสนามบินอู่ตะเภา บนพื้นที่ 150 ไร่ ที่ใช้งบประมาณก่อสร้าง และอุปกรณ์ รวม 3,400 ล้าน พื้นที่ใช้สอย 32,000 ตร.ม. ซ่อมได้ทีละ 3 ลำ ขนาด Boeing 777, 747 รองรับได้ปีละ 50 ลำ เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 2540 ได้พบปะช่างเครื่อง และ พนง.การบินไทย ภายในสนามบินอู่ตะเภา ก็ถูกรุมถ่ายภาพ พร้อมมีเสียงตะโกนบอกสู้ๆ ให้อยู่ต่อ 10 ปี.
ขอขอบคุณ ไทยรัฐ

ยาบ้า

22062559  'ยาเสพติด' ที่กระเดียด 'รุมสับ'     เปลว  สีเงิน
หมู่นี้ "ฆาตกรฆ่าตัดตอน" ทำสับสน-อลหม่านไปทั้งเมือง! 
ไม่ได้ฆ่าคน......... 
แต่ "ฆ่าคำ" ที่พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา พูด คือท่านไปประชุม UNGASS ที่นครนิวยอร์ก มา 
ที่ประชุมลงความเห็น การ "ปราบ-จับ" ยาเสพติด ที่ทำกันอยู่ทั้งโลก ไม่ใช่วิธีทำให้ยาลดหรือหมดไปได้ จึงพูดกันถึงแนวทางใหม่ 
เมื่อกลับมา ท่านก็ "จุดประเด็นคิด" โยนให้สังคมช่วยขบ แนวคิดหนึ่ง คือ....

"เตรียมหารือสาธารณสุข-ศาล-อัยการ-หน่วยงานเกี่ยวข้อง หาแนวทางยกเลิกเมทแอมเฟตามีน ที่ใช้เป็นส่วนประกอบยาบ้า ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๑ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒"

แค่นั้นแหละ........

"สังคมจับกระเดียด" บิดตะกูดไปโพสต์ -ไปวิพากษ์ เป็นว่า

"รัฐบาลจะให้ยาบ้าเป็นยาถูกกฎหมายบ้าง จะผลิตขายเองบ้าง!?"

เรื่องนี้ ใครคิดไง-พูดไง...ไม่ผิด 

แต่ทางควรเป็น ต้องยึดข้อมูล การศึกษา-วิจัย ทางวิชาการแพทย์ การวิทยาศาสตร์ การสังคม และอีกหลายๆ การ เขย่ารวม "สรุปเป็นแนวทางใหม่"

ใช้แทน "สงครามปราบยาเสพติด" ซึ่งปรากฏแล้ว "ยิ่งทำ-ยิ่งเพิ่ม" ทั้งคนผลิต คนขาย คนเสพ

และ......คนคอร์รัปชัน!

ผมอ่าน Kittitouch Chaiprasith | Facebook ท่านให้ข้อมูล "ครบด้าน" ไขความซับซ้อน สู่ความเข้าใจที่ไม่สับสนดีมาก

ท่านเขียนหลายตอน ขออนุญาตนำตอนนี้เผยแพร่ก่อน และทั้งขออนุญาต "ขลิบ" บางคำ เพื่อความกระชับพื้นที่

Kittitouch Chaiprasith | Facebook 

ตอนนี้มีความสับสนมาก หลายคนจำคำพูดหรือคำชี้แจงจากคนอื่นมา โดยขาดความเข้าใจข้อมูลเชิงลึกอย่างจริงจังในเรื่องของสารแอมเฟตามีนที่กำลังเป็นประเด็น

๑.ที่ พล.อ.ไพบูลย์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากงานวิจัยพบว่า #เหล้าและบุหรี่ นั้น ยังมีผลเสียมากกว่าสารเมทแอมเฟตามีนเสียอีก 

ทำให้คนหลายคนออกมารุมสับว่ามั่วซั่วเต็มไปหมด แต่จริงๆ สิ่งที่แกพูด แกไม่ได้นึกขึ้นมาเอง หรือพูดลอยๆ 

-มีผลวิจัยเป็นที่ยอมรับวงกว้าง คือผลวิจัยของ #Professor_David_John_Nutt แห่งมหาวิทยาลัย Bristol อดีตที่ปรึกษากรมสาธารณสุข กระทรวงความมั่นคงแห่งอังกฤษ

รวมถึงเป็นคณะกรรมการความปลอดภัยด้านยา (Committee on Safety of Medicines) ด้วย https://en.wikipedia.org/wiki/David_Nutt

- ผลงานวิจัยนี้ ตีพิมพ์และเผยแพร่ทั้ง BBC, The Economist, http://www.bbc.com/news/uk-11660210 

http://www.economist.com/…/da…/2010/11/drugs_cause_most_harm

รวมถึงมีการนำไปอ้างอิงในงานศึกษาวิจัยและเอกสารประกอบการใช้ยาจำนวนมาก https://en.wikipedia.org/wiki/Substance_abuse, http://www.pharmacology2000.com/…/Adrener…/Adrenergic-32.htm

- นอกจากงานวิจัยของ Professor David Nutt แล้ว ยังมีงานวิจัยของ Dr. Jurgen Rehm ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายด้านสุขภาพแห่งศูนย์สุขภาพและสารเสพติด รพ.เกี่ยวกับการใช้ยาที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา 

ทำวิจัยร่วมกับ Dr. Dirk W. Lachenmeier นักวิทยาศาสตร์สถาบันจิตเวช ม.Dresden เยอรมัน เป็นนักวิจัยที่มีผลงานกว่า 200 ชิ้นในวงการวิจัยระดับโลก

http://www.camh.ca/…/scientific…/Pages/J%C3%BCrgen-Rehm.aspx

http://www.camh.ca/…/scientific…/Pages/J%C3%BCrgen-Rehm.aspx

http://www.dirk-lachenmeier.de/

- ทั้งผลงานวิจัยของ Professor David Nutt และ Dr. Jurgen Rehm + Dr. Dirk W. Lachenmeier แสดงให้เห็นถึงอัตราความรุนแรงต่อสุขภาพของยา (drug) แต่ละประเภทที่คนเสพโดยทั่วไป

ซึ่งในตารางแสดงให้เห็นว่า Amphetamine เดิมชื่อ "ยาม้า" ในบ้านเรานั้น มีระดับความรุนแรงที่น้อยกว่าเหล้า (Alcohol) และบุหรี่ (Nicotin)

ส่วน Methamphetamine หรือ Crystal Meth นั้น มีความรุนแรงกว่า Amphetamine ทั่วไป

แต่ก็ยังน้อยกว่าแอลกอฮอล์เสียอีก!!!!! 

http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4311234/

http://keithsneuroblog.blogspot.com/…/the-drugs-ratings-don…

แน่นอนว่า ในงานวิจัยเช่นนี้ มีข้อมูลหลายประการที่ต้องทำความเข้าใจมากพอสมควร 

เช่น พฤติกรรมการเสพ การเข้าถึง และการควบคุมยาหรือสารดังกล่าว รวมถึง Dose ที่ใช้ในการเสพสารต่างๆ เหล่านั้น

แต่ทั้งนี้ สิ่งที่ พล.อ.ไพบูลย์ และบรรดาอาจารย์หมอหลายๆ ท่านที่ออกมาพูด #ไม่ได้เป็นการมั่วข้อมูลขึ้นมาเอง แต่เป็นงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับระดับโลก

(แต่เป็นเรื่องที่ต้องระวังก่อนจะนำมาพูด เพราะคนทั่วไปมักจะไม่เข้าใจหรอก ว่ามันมีเงื่อนไขอะไรบ้างในรายละเอียด)

๒.มีชาวโซเชียลบางคน ไปอ่านเพจบางเพจ โดยขาดความเข้าใจสิ่งที่เพจนั้นนำเสนออย่างครบถ้วน

พอได้ยินว่า แอมเฟตามีน มีการนำมาใช้ในวงการแพทย์อยู่ตั้งแต่เดิมแล้ว ก็เข้าใจผิด ว่าปัจจุบันแอมเฟตามีน รวมถึงเมทแอมเฟตามีน นั้น มีการนำมาใช้ได้อยู่แล้ว

แล้วก็ลามไปด่า ว่ารัฐบาลจะทำให้มันถูกกฎหมายทำไม?

-ต้องอธิบายก่อน ว่าสารทั้งสองตัวนี้ จัดอยู่ในสารเสพติดให้โทษร้ายแรง ประเภท ๑

เป็นสารที่ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์ และห้ามมีไว้ในครอบครอง ปัจจุบัน ไม่มีการใช้ยาที่มีสารทั้งสองตัวนี้ผสมอยู่ในประเทศไทย

http://www.thailaws.com/aboutthailaw/knowledge_62.htm

- ที่มีใช้กันจะเป็นยาที่มี #อนุพันธุ์ของแอมเฟตามีน ที่มีผลคล้ายคลึงกัน (แต่มีรายละเอียดต่างกันออกไป) 

เช่น N-Ethylamphetamine /เอ็น-เอทิลแอมเฟตามีน หรือ Methylphenidate 

ซึ่งเป็นส่วนผสมในยา Ritalin ที่ใช้ในกระบวนการรักษาทางจิตเวชอยู่แล้ว โดยเป็นยาที่จัดอยู่ในวัตถุออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท "ประเภทที่สอง"

ซึ่งมีประโยชน์ทางการแพทย์ และอนุญาตให้นำมาใช้งานได้ โดยได้รับการควบคุม

http://www.pha.nu.ac.th/…/…/extend/Psychotropic%20drugs.html

- ถ้าเข้าไปดูที่ฐานข้อมูลบัญชียาของมูลนิธิเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบยา (วพย.) จัดทำโดย NECTEC จะทราบว่า

ไม่มียาอย่าง Adderall XR หรือ Vyvanse ที่ใช้ Amphetamine

แต่จะมียา Ritalin ที่ใช้ Methylphenidate ประกอบอยู่ในบัญชีรายชื่อยาในประเทศไทย

http://www.yaandyou.net/index.php

(สรุปคือ มีใช้ทางการแพทย์จริง แต่ไม่ใช่สารสองตัวนั้น เพจนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรผิด ถูกต้องตามนั้นทุกอย่าง เพียงแต่บางคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็ตีความไปเองแบบนั้น)

- บางคนอาจคิดว่า แล้วมันจะต่างอะไรกัน ในเมื่อมันให้ผลคล้ายๆ กัน คำตอบคือ ต่างแน่นอน!!

 #ในทางกฎหมาย ทุกคำ ทุกรายละเอียด มีความต่าง จะเหมารวมว่า "ก็สารกลุ่มเดียวกัน มันก็เหมือนกัน" ไม่ได้เด็ดขาด

เพราะตัวหนึ่ง ใช้ได้ทางการแพทย์

อีกตัว เป็นสารเสพติด ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์เลย!

(กฎหมายระบุไว้หมดในนั้น) ซึ่งไม่อนุญาตให้นำไปใช้งานใดๆ ได้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจาก รมต.ก่อน

- ในกรณียังไม่นับเรื่องการเปลี่ยนโทษต่อผู้เสพทั้งหลาย ซึ่งถ้าต้องการเปลี่ยนท่าทีต่อผู้เสพเสียใหม่ ก็ #จำเป็นต้องปรับสารตั้งต้นเหล่านั้น ให้ไปอยู่ในประเภทที่สอง

เพื่อให้เข้ากับเจตนารมณ์กฎหมาย ที่มองว่าสารเหล่านั้น สามารถนำมาใช้และอยู่ในความควบคุมทางการแพทย์

ประเด็นนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะเข้าใจกันง่ายๆ

แต่ก็นั่นแหละ คนที่ทำงานด้านสาธารณสุขและด้านยุติธรรม เขาทำงานกันมานานแล้ว 

และประเด็นนี้ ก็พูดถึงกันในเวทีสากลระดับนานาชาติหลายครั้งแล้ว คนไทยควรหันกลับมา "เปิดใจ" และเรียนรู้บ้าง 

ไม่ใช่เอาแต่โวยวาย และคิดเอง-เออเอง โดยไม่มีข้อมูล หรือไม่เข้าใจ แล้วก็คิดไปเอง ว่าตัวเองรู้ดี แล้วก็ด่ากราด

ถ้าคนในสังคมไทยยังเป็นแบบนี้อยู่ อย่าไปหวังเลยว่า บ้านเมืองของเราจะพัฒนาไปได้

ในสังคมประชาธิปไตย ที่ประชาชนมีส่วนตัดสินใจ ถ้าประชาชนยังขาดสติ ที่จะเข้าใจเรื่องการบริหารงานรัฐให้ดี ก่อนที่จะเชื่อหรือจะดำเนินการอะไร 

สังคมก็จะมีแต่ความวุ่นวาย ซึ่งเกิดจากคิดไปเอง "ด้วยอคติของตน" โดยไม่ยืนอยู่บนหลักฐานสังคมวิทยาศาสตร์และหลักฐานเชิงประจักษ์ ดังเช่นที่เป็นทุกวันนี้

ครับ...จบตอน สนใจเพิ่มเติม คลิกที่ Kittitouch Chaiprasith.

สหรัฐอยากให้ทักษิณกลับมา


สหรัฐยังอยากให้ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามามีอำนาจในไทย เพื่อสานต่อนโยบายการกลับเข้าสู่เอเชีย (Pivot to Asia)ของสหรัฐ ให้ประสบผลสำเร็จโดย...ประพันธ์ สานแสงทอง

ความสัมพันธ์ ไทย-สหรัฐฯ
สหรัฐยังอยากให้ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามามีอำนาจในไทย เพื่อสานต่อนโยบายการกลับเข้าสู่เอเชีย (Pivot to Asia)ของสหรัฐ ให้ประสบผลสำเร็จโดย...ประพันธ์ สานแสงทอง 
สหรัฐยังอยากให้ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามามีอำนาจในไทย เพื่อสานต่อนโยบายการกลับเข้าสู่เอเชีย (Pivot to Asia)ของสหรัฐ ให้ประสบผลสำเร็จโดย...ประพันธ์ สานแสงทอง
นายกลิน ที.เดวีส์(ซ้าย)เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยเข้าพบนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2016 ที่กระทรวงการต่างประเทศ
Last updated: 21 June 2016 | 20:31
หากติดตามนโยบายต่างประเทศสหรัฐนับตั้งแต่นายแอช คาร์เตอร์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมจะพบว่าสหรัฐมีเข็มมุ่งหันมายังเอเชีย (Pivot to Asia) หลังจากไปถล่มตะวันออกกลางให้เห็นซากตึกในประเทศต่างๆมาแบบย่อยยับแล้ว 

เป้าหมายสำคัญของสหรัฐก็คือการกำจัดไม่ให้อิทธิพลของจีนทั้งด้านการทหาร,ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ขยายมายังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

เราจะเห็นได้หนักในการก่อกวนจีนก็คือการพยายามขยายความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ด้วยการอ้างว่าจีนฮุบหมู่เกาะสแปรทลี การสร้างกองทัพขึ้นในปะการังเทียม ฯลฯ จนกระทั่งจีนขู่เอาจริงใครล้ำน่านน้ำเข้ามาเป็นเจอดี 

จากงานเขียนชื่อ สหรัฐเข้าแทรกแซงประเทศไทยช่วยทำให้กรุงเทพฯ-มอสโคว กระชับสัมพันธ์กันแน่นขึ้น(US Meddling in Thailand Boosts Bangkok-Moscow Ties) โดยโทนี คาร์ตาลุซซี นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันที่ประจำอยู่กรุงเทพฯ โทนีเขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2016 แต่ เมื่อกลับไปอ่านแล้วยังทันสมัยอยู่ เพราะมีพฤติกรรมหลายประการที่เกิดขึ้นตามมาในเดือนมิถุนายน 2016

ข้อเขียนของโทนี เขาเริ่มไว้ว่า  อิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียมีดังนี้

1.ผู้ปกครองที่เป็นรัฐบาลหุ่นของสหรัฐในฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นครองอำนาจมายาวนาน ขณะที่เมียนมาร์ ก็เริ่มที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐและยุโรป โดยเธอผู้นั้นคือออง ซาน ซูจี  ที่มีอิทธิพลทางการเมืองเหนือเมียนมาร์ในปัจจุบัน 

2.มาเลเซียและอินโดนีเซียเลือกที่จะเข้าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากกว่าสหรัฐ เพื่อว่า 2 ประเทศนี้จะได้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนด้านการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน,การเข้ามาค้ำยันกับเขตการค้าเสรี (หมายเหตุผู้เขียน-อาทิเช่นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิก PTT  เป็นต้น) รวมทั้งข้ออ้างว่าเป็น หุ้นส่วนทางทหาร ทั้งๆที่เรื่องทหารเป็นไปในด้านเดียวของสหรัฐมากกว่าอื่นใด

3.ประเทศไทยพบว่าตัวเองกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการมุ่งสู่เอเชียของสหรัฐ มองทั้งจากแง่ของภูมิศาสตร์,ประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์  นโยบายของไทยคือการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นเมืองขึ้นของทั้งสหรัฐและยุโรป เพราะมีความพยายามที่จะสร้างความสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะด้านกองกำลัง   

ยิ่งไปกว่านั้นในห้วงเวลา 10 ปีที่การเมืองไทยไร้เสถียรภาพนั้น เกิดขึ้นจากทักษิณ ชินวัตร หุ่นของสหรัฐโดยตรงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2001-2006 จากนั้นน้องเขยและน้องสาวเข้ามารับหน้าที่จนถึงปี 2014 ตัวเขาและพรรคการเมืองของเขาก็ถูกถอดออกจากอำนาจด้วยการทำรัฐประหารแบบสันติของทหาร

4.ในระหว่างที่ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอำนาจนั้นเขารับใช้ผลประโยชน์ของตะวันตกอย่างดีด้วยการส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามที่ผิดกฎหมายที่สหรัฐส่งกองกำลังบุกเข้ายึดครองอิรักในปี 2003 , อนุญาตให้ CIA เข้ามาทำโครงการอันเลวร้ายในแผ่นดินของไทย (ไม่ทราบว่าโครงการทรมานนักโทษเหมือนกัวเตนาโมหรือไม่) รวมทั้งความพยายามที่จะเปิดให้มีเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหรัฐโดยปราศจากความเห็นชอบของรัฐสภา

สหรัฐต้องการให้ตระกูลชินวัตรกลับมามีอำนาจ

5.นับตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร ถูกถอดพ้นอำนาจในปี 2006 เขากลับได้รับการสนับสนุนจากบริษัทล้อบบี้ขนาดใหญ่ของวอชิงตัน รวมทั้งกลุ่มคาร์ลีล (Carlyle Group)ที่นายเจมส์ เบเกอร์อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐมีส่วนร่วม, Barbour Griffith & Rogers, Robert Amsterdam และกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่เคนเนธ เอเดลแมน (Neo-Conservative Kenneth Adelman)

ประการนี้เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐต้องการที่จะผลักดันให้ตระกูลชินวัตรกลับเข้าสู่อำนาจไทยอีกหรืออย่างน้อยก็ใช้แนวร่วมของทักษิณทำให้ประเทศไทยอ่อนแอและแบ่งแยกเท่าที่จะเป็นไปได้ สหรัฐจะได้กลับเข้ามายืนในภูมิภาคนี้ได้มากขึ้น  

ประเด็นนี้ให้มองดูการเคลื่อนไหวของ แนวร่วมทักษิณที่ กำลังแยกกันเดินรวมกันตี ดังนี้

1.อดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทยกว่า 10 คนดาหน้ากันออกมาชูป้ายไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะนำออกทำประชามติ วันที่ 7 สิงหาคม 2016

2.กลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดงดาหน้ากันออกมาเพื่อจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ เพื่อสร้างกระแสการเมืองให้เกิดขึ้น  เมื่อจัดตั้งไม่ได้ก็เข้าร้องเรียนองค์การสหประชาชาติกล่าวหาว่าคสช.และรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนพวกเขา

3.สหรัฐเข้าแทรกแซงประเทศไทยโดยตรงในเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 (เป็นกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของประเทศ) เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2015 ที่นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้จนถูกกลุ่มคนไทยไปรวมตัวกันประท้วงถึงหน้าสถานทูต 

เท่านั้นยังไม่พอเมื่อนายกลิน เดวีส์ เข้าพบนายดอน ปรมัตถ์วินัย  รัฐมนตรีต่างประเทศเมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 12 พฤษภาคม 2016 ที่กระทรวงการต่าง ประเทศ ทั้งสองมีการหารือกันนานประมาณ 1.30 ชั่วโมง  ต่อมานายดอนเปิดโอกาสให้นายเดวีส์ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามของสื่อมวลชนก่อน 

ในช่วงต้นนายเดวีส์พูดถึงประเด็นที่มีการหารือกับนายดอนคือเรื่องทะเลจีนใต้และเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมกับขอบคุณนายดอนที่ได้มีการพูดคุยหารือกันอย่างตรงไปตรงมา

สหรัฐเข้ามาจุ้นจ้านกิจการของไทย

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่สำนักข่าวเอเอฟพีเสนอข่าวว่าสหรัฐได้ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ นายเดวีส์ตอบว่าสหรัฐห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับย้ำจุดยืนที่ได้พูดไปโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแล้วว่าสหรัฐห่วงกังวลกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเห็นว่าควรต้องมีการเปิดพื้นที่ทางการเมือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขัดต่อพันธกรณีของไทยตามหลักสากล 

หลังนายเดวีส์ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น นายดอนเรียกเอกสารจากเจ้าหน้าที่มาดูก่อนที่จะสอบถามนายเดวีส์อีกครั้งซึ่งนายเดวีส์ยืนยันว่า แคทรีนา อดัมส์ คือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งขัดกับการชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศไทยก่อนหน้านี้ 

จากนั้นนายเดวีส์หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อหน้าสื่อมวลชนและให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐแปลให้สื่อมวลชนฟังเป็นภาษาไทยว่า สหรัฐรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์จับกุมเมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความออนไลน์ รวมถึงการจับกุมมารดาของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจของไทยต่อนานาชาติ ไม่เป็นการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างบรรยากาศของการข่มขู่ และทำให้เกิดการเซนเซอร์ตัวเอง

นายเดวีส์กล่าวต่อว่า การข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและครอบครัว ทำให้เกิดความวิตกกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อพันธกรณีของไทยที่ต้องเคารพเสรีภาพในการแสดงความเห็น สหรัฐยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น การจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การจำกัดสิทธิในการแสดงความเห็น สิทธิในการชุมนุม รวมถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร

สหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้มีพูดคุยกันอย่างเปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในอนาคตทางการเมืองของประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติในเดือนสิงหาคม เราขอเรียกร้องและกระตุ้นให้ไทยยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้นายเดวีส์กล่าว และว่า นี่คือจุดยืนและท่าทีของสหรัฐในขณะนี้ พร้อมกับขอบคุณรัฐบาลไทยอีกครั้งที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนควาเห็นในเรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิมนุษยชนในไทย ทั้งยังขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานเพื่อประชาชนและย้ำว่าสื่อมวลชนมีหน้าที่ในการสื่อความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ สหรัฐให้ความเคารพกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

นายดอนบอกนายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกตอนพูดคุยกัน

หลังนายเดวีส์อ่านเอกสารที่เตรียมมาจบ นายดอนย้ำว่า นายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยกับตนระหว่างการหารือกันแต่อย่างใด นายเดวีส์จึงพูดอีกครั้งว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพูดกับนายดอน แต่พูดกับสื่อเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ในการหารือกับนายดอนก็ได้พูดคุยกันในหลายเรื่องรวมถึงเรื่องสิทธิพลเมืองและรับว่าสหรัฐไม่ได้ใช้คำว่าประณามไทย

สหรัฐไม่สนใจเรื่องเสียมารยาททางการทูต

กรณีของนายกลิน ที.เดวีส์จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาททางการทูต เพราะเขาต้องรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐเช่นการเข้าไปคุยกันเรื่อง 1.ทะเลจีนใต้ฃ 2.เรื่องสิทธิพลเมืองต้องการเปิดทางให้กลุ่มที่นิยมชมชอบทักษิณ ชินวัตร มีพื้นที่แสดงออก ด้วยการอ้างพันธกรณีตามหลักสากล

ทางออกของประเทศไทยจะรับมืออย่างไร

เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าสหรัฐไม่ได้มีความหวังดีแท้จริงกับมิตรประเทศอย่างไทย แต่ ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง  ประเทศไทยก็สามารถใช้ศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียนดำเนินการตามที่ตนเห็นสมควร ดังนี้

1.การหันไปคบค้ากับประเทศจีนและรัสเซีย เป็นการเปิดกว้างหามิตรเพิ่มเติม ทั้ง 2 ประเทศก็เป็นชาติมหาอำนาจไม่น้อยกว่าสหรัฐ  ตัวอย่างเช่นกรณีประเทศซีเรีย เมื่อรัสเซียได้รับเชิญเข้าไปจัดการกับกลุ่มไอซิส  ประเทศสหรัฐก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2016 พลเอกมาร์ค มิลลีย์ เสนาธิการทหารบกสหรัฐยอมรับว่ามี 4 ประเทศที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงสหรัฐประกอบด้วยรัสเซีย,จีน,อิหร่านและเกาหลีเหนือ  แม้ว่าจะไม่ได้มีการจัดอันดับ แต่เสนาธิการทหารบกสหรัฐยอมรับว่ารัสเซียหมายเลข 1 ในบรรดา 4 ประเทศ 

พล.อ. Mark A. Milley เสนาธิการทหารบกสหรัฐ  (US Army/Monica King)

----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 

2.ในกรณีจีนนั้นประเทศไทยลงนามในสัญญาการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง  ส่วนรัสเซียที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะ เดินทางไปตอนต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีการติดต่อเรื่องสินค้าเกษตรและอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่รัสเซียต้องการ หลังจากรัสเซียถูกสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาประกาศแซงชั่นรัสเซียหลังจากรัสเซียบุกเข้าไปประเทศยูเครน

3.ประเทศไทยมีระบบกฎหมาย เมื่อใครทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีอาทิเช่นทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 หากเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินคดีก็จะผิดมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่  ดังนั้นหากไม่ต้องหากไม่ต้องการถูกดำเนินคดีก็อย่าทำผิดกฎหมาย

จะต้องตั้งคำถามไปยังสหรัฐด้วยว่า ประเทศสหรัฐมีการใช้ปืนสังหารกันมากมายที่สุดในโลก  ล่าสุดก็คือที่เกิดที่เมืองออร์แลนโด้ รัฐฟลอริด้า ถามกลับไปว่าสหรัฐสามารถที่จะแก้ไข The Second Amendment ในรัฐธรรมนูญของตัวเองได้หรือไม่เพื่อที่จะไม่ให้คนอเมริกันครอบครองอาวุธปืน,พกพาอาวุธปืน และให้ทูตกลิน เดวีส์ ตอบคำถามนี้ เพราะอยากมาวิจารณ์มาตรา 112 ดีนัก

3.คสช.และรัฐบาลจะต้องจัดหน่วยชี้แจง-ตอบโต้เหมือนหน่วยประชาสัมพันธ์ ด้วยการรวมเอามือฉมังในกระทรวงการต่างประเทศมาร่วมกับมือฉมังของคสช.ด้วย มือฉมังในที่นี้หมายถึงข้าราชการที่รักชาติพร้อมที่จะทำงานให้ประเทศชาติจริงๆ ไม่ใช่ทำงานแบบราชการให้พ้นไปวันๆ

ไม่ใช่เมื่อกลุ่มนปช. เดินทางไปร้องเรียนสหประชาชาติในประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยกหูโทรศัพท์ไปหานายบัน คิ มูน เลขาธิการสหประชาชาติ  วิธีการนี้นายกรัฐมนตรีต้องรับงานไปหมด ในห้วงเวลานี้และปัญหานี้ก็ถูกต้อง แต่ปัญหาอื่นๆนายกรัฐมนตรีต้องจัดเจ้าหน้าที่เข้ารับมือ การบริหารประเทศจึงจะถูกต้อง

4.ประชาชนคนไทยจะต้องใช้โซเชียล มีเดียให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อรายงานข่าวที่ไม่ชอบมาพากลรวมทั้งแนะนำทางออกให้ด้วย เพื่อประเทศชาติจะได้เดินไปถูกต้อง ไม่ให้ใครเข้ามาวอแว”แบบไร้เหตุผลกับรัฐบาลหรือประเภท ชักใบให้เรือเสีย

First posted: 21 June 2016 | 20:28

ที่มา:ไทยทริบูน

เกมสหรัฐกับทิศทางไทย

สหรัฐอเมริกา ยังอยากให้ ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามามีอำนาจในประเทศไทย เพื่อสานต่อนโยบายการกลับเข้าสู่เอเชีย (Pivot to Asia) ของสหรัฐอเมริกา ให้ประสบผลสำเร็จโดยเร็ว

หากติดตามนโยบายต่างประเทศสหรัฐนับตั้งแต่นายแอช คาร์เตอร์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมจะพบว่าสหรัฐมีเข็มมุ่งหันมายังเอเชีย (Pivot to Asia) หลังจากไปถล่มตะวันออกกลางให้เห็นซากตึกในประเทศต่างๆมาแบบย่อยยับแล้ว

เป้าหมายสำคัญของสหรัฐก็คือการกำจัดไม่ให้อิทธิพลของจีนทั้งด้านการทหาร,ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ขยายมายังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เราจะเห็นได้หนักในการก่อกวนจีนก็คือการพยายามขยายความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ด้วยการอ้างว่าจีนฮุบหมู่เกาะสแปรทลี การสร้างกองทัพขึ้นในปะการังเทียม ฯลฯ จนกระทั่งจีนขู่เอาจริงใครล้ำน่านน้ำเข้ามาเป็นเจอดี

จากงานเขียนชื่อ “สหรัฐเข้าแทรกแซงประเทศไทยช่วยทำให้กรุงเทพฯ-มอสโคว กระชับสัมพันธ์กันแน่นขึ้น(US Meddling in Thailand Boosts Bangkok-Moscow Ties) โดยโทนี คาร์ตาลุซซี นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันที่ประจำอยู่กรุงเทพฯ โทนีเขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2016 แต่ เมื่อกลับไปอ่านแล้วยังทันสมัยอยู่ เพราะมีพฤติกรรมหลายประการที่เกิดขึ้นตามมาในเดือนมิถุนายน 2016

ข้อเขียนของโทนี เขาเริ่มไว้ว่า  อิทธิพล
.... ของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียมีดังนี้ ....

1.ผู้ปกครองที่เป็นรัฐบาลหุ่นของสหรัฐในฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นครองอำนาจมายาวนาน ขณะที่เมียนมาร์ ก็เริ่มที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐและยุโรป โดยเธอผู้นั้นคือออง ซาน ซูจี  ที่มีอิทธิพลทางการเมืองเหนือเมียนมาร์ในปัจจุบัน

2.มาเลเซียและอินโดนีเซียเลือกที่จะเข้าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากกว่าสหรัฐ เพื่อว่า 2 ประเทศนี้จะได้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนด้านการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน,การเข้ามาค้ำยันกับเขตการค้าเสรี (หมายเหตุผู้เขียน-อาทิเช่นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิก PTT  เป็นต้น) รวมทั้งข้ออ้างว่าเป็น “หุ้นส่วนทางทหาร” ทั้งๆที่เรื่องทหารเป็นไปในด้านเดียวของสหรัฐมากกว่าอื่นใด

3.ประเทศไทยพบว่าตัวเองกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการมุ่งสู่เอเชียของสหรัฐ มองทั้งจากแง่ของภูมิศาสตร์,ประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์  นโยบายของไทยคือการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นเมืองขึ้นของทั้งสหรัฐและยุโรป เพราะมีความพยายามที่จะสร้างความสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะด้านกองกำลัง   

ยิ่งไปกว่านั้นในห้วงเวลา 10 ปีที่การเมืองไทยไร้เสถียรภาพนั้น เกิดขึ้นจากทักษิณ ชินวัตร หุ่นของสหรัฐโดยตรงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2001-2006 จากนั้นน้องเขยและน้องสาวเข้ามารับหน้าที่จนถึงปี 2014 ตัวเขาและพรรคการเมืองของเขาก็ถูกถอดออกจากอำนาจด้วยการทำรัฐประหารแบบสันติของทหาร

4.ในระหว่างที่ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอำนาจนั้นเขารับใช้ผลประโยชน์ของตะวันตกอย่างดีด้วยการส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามที่ผิดกฎหมายที่สหรัฐส่งกองกำลังบุกเข้ายึดครองอิรักในปี 2003 , อนุญาตให้ CIA เข้ามาทำโครงการอันเลวร้ายในแผ่นดินของไทย (ไม่ทราบว่าโครงการทรมานนักโทษเหมือนกัวเตนาโมหรือไม่) รวมทั้งความพยายามที่จะเปิดให้มีเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหรัฐโดยปราศจากความเห็นชอบของรัฐสภา

สหรัฐต้องการให้ตระกูลชินวัตรกลับมามีอำนาจ

5.นับตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร ถูกถอดพ้นอำนาจในปี 2006 เขากลับได้รับการสนับสนุนจากบริษัทล้อบบี้ขนาดใหญ่ของวอชิงตัน รวมทั้งกลุ่มคาร์ลีล (Carlyle Group)ที่นายเจมส์ เบเกอร์อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐมีส่วนร่วม, Barbour Griffith & Rogers, Robert Amsterdam และกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่เคนเนธ เอเดลแมน (Neo-Conservative Kenneth Adelman)

ประการนี้เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐต้องการที่จะผลักดันให้ตระกูลชินวัตรกลับเข้าสู่อำนาจไทยอีกหรืออย่างน้อยก็ใช้แนวร่วมของทักษิณทำให้ประเทศไทยอ่อนแอและแบ่งแยกเท่าที่จะเป็นไปได้ สหรัฐจะได้กลับเข้ามายืนในภูมิภาคนี้ได้มากขึ้น 

ประเด็นนี้ให้มองดูการเคลื่อนไหวของ แนวร่วมทักษิณที่ “กำลังแยกกันเดินรวมกันตี” ดังนี้

1.อดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทยกว่า 10 คนดาหน้ากันออกมาชูป้ายไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะนำออกทำประชามติ วันที่ 7 สิงหาคม 2016

2.กลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดงดาหน้ากันออกมาเพื่อจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ เพื่อสร้างกระแสการเมืองให้เกิดขึ้น  เมื่อจัดตั้งไม่ได้ก็เข้าร้องเรียนองค์การสหประชาชาติกล่าวหาว่าคสช.และรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนพวกเขา

3.สหรัฐเข้าแทรกแซงประเทศไทยโดยตรงในเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 (เป็นกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของประเทศ) เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2015 ที่นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้จนถูกกลุ่มคนไทยไปรวมตัวกันประท้วงถึงหน้าสถานทูต

เท่านั้นยังไม่พอเมื่อนายกลิน เดวีส์ เข้าพบนายดอน ปรมัตถ์วินัย  รัฐมนตรีต่างประเทศเมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 12 พฤษภาคม 2016 ที่กระทรวงการต่าง ประเทศ ทั้งสองมีการหารือกันนานประมาณ 1.30 ชั่วโมง  ต่อมานายดอนเปิดโอกาสให้นายเดวีส์ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามของสื่อมวลชนก่อน

ในช่วงต้นนายเดวีส์พูดถึงประเด็นที่มีการหารือกับนายดอนคือเรื่องทะเลจีนใต้และเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมกับขอบคุณนายดอนที่ได้มีการพูดคุยหารือกันอย่างตรงไปตรงมา

สหรัฐเข้ามาจุ้นจ้านกิจการของไทย

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่สำนักข่าวเอเอฟพีเสนอข่าวว่าสหรัฐได้ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ นายเดวีส์ตอบว่าสหรัฐห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับย้ำจุดยืนที่ได้พูดไปโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแล้วว่าสหรัฐห่วงกังวลกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเห็นว่าควรต้องมีการเปิดพื้นที่ทางการเมือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขัดต่อพันธกรณีของไทยตามหลักสากล

หลังนายเดวีส์ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น นายดอนเรียกเอกสารจากเจ้าหน้าที่มาดูก่อนที่จะสอบถามนายเดวีส์อีกครั้งซึ่งนายเดวีส์ยืนยันว่า แคทรีนา อดัมส์ คือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งขัดกับการชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศไทยก่อนหน้านี้

จากนั้นนายเดวีส์หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อหน้าสื่อมวลชนและให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐแปลให้สื่อมวลชนฟังเป็นภาษาไทยว่า “สหรัฐรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์จับกุมเมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความออนไลน์ รวมถึงการจับกุมมารดาของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจของไทยต่อนานาชาติ ไม่เป็นการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างบรรยากาศของการข่มขู่ และทำให้เกิดการเซนเซอร์ตัวเอง”

นายเดวีส์กล่าวต่อว่า “การข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและครอบครัว ทำให้เกิดความวิตกกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อพันธกรณีของไทยที่ต้องเคารพเสรีภาพในการแสดงความเห็น สหรัฐยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น การจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การจำกัดสิทธิในการแสดงความเห็น สิทธิในการชุมนุม รวมถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร”

“สหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้มีพูดคุยกันอย่างเปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในอนาคตทางการเมืองของประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติในเดือนสิงหาคม เราขอเรียกร้องและกระตุ้นให้ไทยยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้”นายเดวีส์กล่าว และว่า “นี่คือจุดยืนและท่าทีของสหรัฐในขณะนี้ พร้อมกับขอบคุณรัฐบาลไทยอีกครั้งที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนควาเห็นในเรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิมนุษยชนในไทย ทั้งยังขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานเพื่อประชาชนและย้ำว่าสื่อมวลชนมีหน้าที่ในการสื่อความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ สหรัฐให้ความเคารพกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน”

นายดอนบอกนายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกตอนพูดคุยกัน

หลังนายเดวีส์อ่านเอกสารที่เตรียมมาจบ นายดอนย้ำว่า นายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยกับตนระหว่างการหารือกันแต่อย่างใด นายเดวีส์จึงพูดอีกครั้งว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพูดกับนายดอน แต่พูดกับสื่อเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ในการหารือกับนายดอนก็ได้พูดคุยกันในหลายเรื่องรวมถึงเรื่องสิทธิพลเมืองและรับว่าสหรัฐไม่ได้ใช้คำว่าประณามไทย

สหรัฐไม่สนใจเรื่องเสียมารยาททางการทูต

กรณีของนายกลิน ที.เดวีส์จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาททางการทูต เพราะเขาต้องรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐเช่นการเข้าไปคุยกันเรื่อง 1.ทะเลจีนใต้ฃ 2.เรื่องสิทธิพลเมืองต้องการเปิดทางให้กลุ่มที่นิยมชมชอบทักษิณ ชินวัตร มีพื้นที่แสดงออก ด้วยการอ้างพันธกรณีตามหลักสากล

ทางออกของประเทศไทยจะรับมืออย่างไร

เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าสหรัฐไม่ได้มีความหวังดีแท้จริงกับมิตรประเทศอย่างไทย แต่ ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง  ประเทศไทยก็สามารถใช้ศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียนดำเนินการตามที่ตนเห็นสมควร ดังนี้

1.การหันไปคบค้ากับประเทศจีนและรัสเซีย เป็นการเปิดกว้างหามิตรเพิ่มเติม ทั้ง 2 ประเทศก็เป็นชาติมหาอำนาจไม่น้อยกว่าสหรัฐ  ตัวอย่างเช่นกรณีประเทศซีเรีย เมื่อรัสเซียได้รับเชิญเข้าไปจัดการกับกลุ่มไอซิส  ประเทศสหรัฐก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2016 พลเอกมาร์ค มิลลีย์ เสนาธิการทหารบกสหรัฐยอมรับว่ามี 4 ประเทศที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงสหรัฐประกอบด้วยรัสเซีย,จีน,อิหร่านและเกาหลีเหนือ  แม้ว่าจะไม่ได้มีการจัดอันดับ แต่เสนาธิการทหารบกสหรัฐยอมรับว่ารัสเซียหมายเลข 1 ในบรรดา 4 ประเทศ 

2.ในกรณีจีนนั้นประเทศไทยลงนามในสัญญาการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง  ส่วนรัสเซียที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะ เดินทางไปตอนต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีการติดต่อเรื่องสินค้าเกษตรและอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่รัสเซียต้องการ หลังจากรัสเซียถูกสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาประกาศแซงชั่นรัสเซียหลังจากรัสเซียบุกเข้าไปประเทศยูเครน

3.ประเทศไทยมีระบบกฎหมาย เมื่อใครทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีอาทิเช่นทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 หากเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินคดีก็จะผิดมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่  ดังนั้นหากไม่ต้องหากไม่ต้องการถูกดำเนินคดีก็อย่าทำผิดกฎหมาย

จะต้องตั้งคำถามไปยังสหรัฐด้วยว่า ประเทศสหรัฐมีการใช้ปืนสังหารกันมากมายที่สุดในโลก  ล่าสุดก็คือที่เกิดที่เมืองออร์แลนโด้ รัฐฟลอริด้า ถามกลับไปว่าสหรัฐสามารถที่จะแก้ไข The Second Amendment ในรัฐธรรมนูญของตัวเองได้หรือไม่เพื่อที่จะไม่ให้คนอเมริกันครอบครองอาวุธปืน,พกพาอาวุธปืน และให้ทูตกลิน เดวีส์ ตอบคำถามนี้ เพราะอยากมาวิจารณ์มาตรา 112 ดีนัก

3.คสช.และรัฐบาลจะต้องจัดหน่วยชี้แจง-ตอบโต้เหมือนหน่วยประชาสัมพันธ์ ด้วยการรวมเอา“มือฉมัง”ในกระทรวงการต่างประเทศมาร่วมกับ“มือฉมัง”ของคสช.ด้วย “มือฉมัง”ในที่นี้หมายถึงข้าราชการที่รักชาติพร้อมที่จะทำงานให้ประเทศชาติจริงๆ ไม่ใช่ทำงานแบบราชการให้พ้นไปวันๆ

ไม่ใช่เมื่อกลุ่มนปช. เดินทางไปร้องเรียนสหประชาชาติในประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยกหูโทรศัพท์ไปหานายบัน คิ มูน เลขาธิการสหประชาชาติ  วิธีการนี้นายกรัฐมนตรีต้องรับงานไปหมด ในห้วงเวลานี้และปัญหานี้ก็ถูกต้อง แต่ปัญหาอื่นๆนายกรัฐมนตรีต้องจัดเจ้าหน้าที่เข้ารับมือ การบริหารประเทศจึงจะถูกต้อง

4.ประชาชนคนไทยจะต้องใช้โซเชียล มีเดียให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อรายงานข่าวที่ไม่ชอบมาพากลรวมทั้งแนะนำทางออกให้ด้วย เพื่อประเทศชาติจะได้เดินไปถูกต้อง ไม่ให้ใครเข้ามา“วอแว”แบบไร้เหตุผลกับรัฐบาลหรือประเภท ชักใบให้เรือเสีย

ที่มา - http://www.thaitribune.org/contents/detail/310?content_id=20934&rand=1466520227