รอง สมคิด บอกว่า ตปท สนใจ มาก หลายประเทศ และเรามีความพร้อม
ฝากเป็นผลงาน ให้ไทยทัดเทัยม ประเทศอื่น ไม่อย่างนั้นประเทศจะท้อถอย หมดกำลัง ลงทุกวันๆ
"ขอให้ ไว้วางใตผมซะอย่าง คุยกันรู้เรื่อง ไม่หวังอะไร ขอให้มั่นใจผม ผมจะทำ ชาติให้ปลอดภัย"
"24 มิ.ย.2475 วันขยะแผ่นดิน ผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติผู้นำตั้งแต่ยังเป็นเด็กนักเรียน ผมชื่นชอบนักต่อสู้ เช่น ดร.ซุน ยัด เซน , เช กูวาร่า , โฮ จิมินต์ ฯลฯ อย่าเพิ่งตกใจในตัวผมนะครับ แล้วผมก็พบว่าคุณลักษณะของผู้นำนักต่อสู้ทั้งหลายนี้ คือ "เสียสละ รักชาติ รักประชาชน ไม่ทอดทิ้งประชาชน" ซึ่งคือหัวใจสำคัญยิ่งของการเป็นผู้นำของประชาชน แต่เมื่อผมเห็นการโพสต์ปลูกฝังชุดความคิดที่ให้ร้ายสถาบันฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็น "คนละเรื่องกัน" แต่ถูกนำมาให้ร้ายสร้างความเข้าใจผิดให้กลายเป็น 'เรืองเดียวกัน' เพื่อ "แบ่งแยกประชาชนออกจากสถาบันฯ" ผมจึงขอโพสต์เป็นตอนๆ สั้นๆ เป็นซีรี่ย์ เช่น ตอนที่ 1 จะเล่าว่า "สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันของประชาชน" มันคนละเรื่องกันกับสถาบันพระมหากษัตริย์จีนก่อนการปฏิวัติ , ตอนที่ 2 ผมจะเล่าว่าผู้นำและผู้ร่วมขบวนการ ดร.ซุน ยัด เซ็น นั้นคนละสีกับขบวนการเปลี่ยนระบอบฯของไทย , ตอนที่ 3 จะพูดถึงหยวน ซี ไข่ กับ พระยาพหลฯ ฯลฯ ติดตามได้ตั้งแต่ทุกพักเที่ยง เริ่มตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.59 ครับ สุดท้าย อย่าลืม...24 มิ.ย.2475 วันขยะแผ่นดิน ครับ" นพ.เหรียญทอง โพสต์
เป้าหมายสำคัญของสหรัฐก็คือการกำจัดไม่ให้อิทธิพลของจีนทั้งด้านการทหาร,ภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ขยายมายังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เราจะเห็นได้หนักในการก่อกวนจีนก็คือการพยายามขยายความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ด้วยการอ้างว่าจีนฮุบหมู่เกาะสแปรทลี การสร้างกองทัพขึ้นในปะการังเทียม ฯลฯ จนกระทั่งจีนขู่เอาจริงใครล้ำน่านน้ำเข้ามาเป็นเจอดี
จากงานเขียนชื่อ “สหรัฐเข้าแทรกแซงประเทศไทยช่วยทำให้กรุงเทพฯ-มอสโคว กระชับสัมพันธ์กันแน่นขึ้น(US Meddling in Thailand Boosts Bangkok-Moscow Ties) โดยโทนี คาร์ตาลุซซี นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันที่ประจำอยู่กรุงเทพฯ โทนีเขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2016 แต่ เมื่อกลับไปอ่านแล้วยังทันสมัยอยู่ เพราะมีพฤติกรรมหลายประการที่เกิดขึ้นตามมาในเดือนมิถุนายน 2016
ข้อเขียนของโทนี เขาเริ่มไว้ว่า อิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคเอเชียมีดังนี้
1.ผู้ปกครองที่เป็นรัฐบาลหุ่นของสหรัฐในฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นครองอำนาจมายาวนาน ขณะที่เมียนมาร์ ก็เริ่มที่จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสหรัฐและยุโรป โดยเธอผู้นั้นคือออง ซาน ซูจี ที่มีอิทธิพลทางการเมืองเหนือเมียนมาร์ในปัจจุบัน
2.มาเลเซียและอินโดนีเซียเลือกที่จะเข้าสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมากกว่าสหรัฐ เพื่อว่า 2 ประเทศนี้จะได้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนด้านการสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน,การเข้ามาค้ำยันกับเขตการค้าเสรี (หมายเหตุผู้เขียน-อาทิเช่นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิก PTT เป็นต้น) รวมทั้งข้ออ้างว่าเป็น “หุ้นส่วนทางทหาร” ทั้งๆที่เรื่องทหารเป็นไปในด้านเดียวของสหรัฐมากกว่าอื่นใด
3.ประเทศไทยพบว่าตัวเองกลายเป็นจุดศูนย์กลางของการมุ่งสู่เอเชียของสหรัฐ มองทั้งจากแง่ของภูมิศาสตร์,ประวัติศาสตร์และภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายของไทยคือการหลีกเลี่ยงที่จะเป็นเมืองขึ้นของทั้งสหรัฐและยุโรป เพราะมีความพยายามที่จะสร้างความสมดุลย์ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะด้านกองกำลัง
ยิ่งไปกว่านั้นในห้วงเวลา 10 ปีที่การเมืองไทยไร้เสถียรภาพนั้น เกิดขึ้นจากทักษิณ ชินวัตร หุ่นของสหรัฐโดยตรงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่างปี 2001-2006 จากนั้นน้องเขยและน้องสาวเข้ามารับหน้าที่จนถึงปี 2014 ตัวเขาและพรรคการเมืองของเขาก็ถูกถอดออกจากอำนาจด้วยการทำรัฐประหารแบบสันติของทหาร
4.ในระหว่างที่ทักษิณ ชินวัตร อยู่ในอำนาจนั้นเขารับใช้ผลประโยชน์ของตะวันตกอย่างดีด้วยการส่งทหารไทยไปร่วมรบในสงครามที่ผิดกฎหมายที่สหรัฐส่งกองกำลังบุกเข้ายึดครองอิรักในปี 2003 , อนุญาตให้ CIA เข้ามาทำโครงการอันเลวร้ายในแผ่นดินของไทย (ไม่ทราบว่าโครงการทรมานนักโทษเหมือนกัวเตนาโมหรือไม่) รวมทั้งความพยายามที่จะเปิดให้มีเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหรัฐโดยปราศจากความเห็นชอบของรัฐสภา
สหรัฐต้องการให้ตระกูลชินวัตรกลับมามีอำนาจ
5.นับตั้งแต่ทักษิณ ชินวัตร ถูกถอดพ้นอำนาจในปี 2006 เขากลับได้รับการสนับสนุนจากบริษัทล้อบบี้ขนาดใหญ่ของวอชิงตัน รวมทั้งกลุ่มคาร์ลีล (Carlyle Group)ที่นายเจมส์ เบเกอร์อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐมีส่วนร่วม, Barbour Griffith & Rogers, Robert Amsterdam และกลุ่มอนุรักษ์นิยมใหม่เคนเนธ เอเดลแมน (Neo-Conservative Kenneth Adelman)
ประการนี้เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐต้องการที่จะผลักดันให้ตระกูลชินวัตรกลับเข้าสู่อำนาจไทยอีกหรืออย่างน้อยก็ใช้แนวร่วมของทักษิณทำให้ประเทศไทยอ่อนแอและแบ่งแยกเท่าที่จะเป็นไปได้ สหรัฐจะได้กลับเข้ามายืนในภูมิภาคนี้ได้มากขึ้น
ประเด็นนี้ให้มองดูการเคลื่อนไหวของ แนวร่วมทักษิณที่ “กำลังแยกกันเดินรวมกันตี” ดังนี้
1.อดีตผู้บริหารพรรคเพื่อไทยกว่า 10 คนดาหน้ากันออกมาชูป้ายไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะนำออกทำประชามติ วันที่ 7 สิงหาคม 2016
2.กลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดงดาหน้ากันออกมาเพื่อจัดตั้งศูนย์ปราบโกงประชามติ เพื่อสร้างกระแสการเมืองให้เกิดขึ้น เมื่อจัดตั้งไม่ได้ก็เข้าร้องเรียนองค์การสหประชาชาติกล่าวหาว่าคสช.และรัฐบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนพวกเขา
3.สหรัฐเข้าแทรกแซงประเทศไทยโดยตรงในเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 (เป็นกฎหมายว่าด้วยความมั่นคงของประเทศ) เริ่มตั้งแต่ปลายปี 2015 ที่นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้จนถูกกลุ่มคนไทยไปรวมตัวกันประท้วงถึงหน้าสถานทูต
เท่านั้นยังไม่พอเมื่อนายกลิน เดวีส์ เข้าพบนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีต่างประเทศเมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 12 พฤษภาคม 2016 ที่กระทรวงการต่าง ประเทศ ทั้งสองมีการหารือกันนานประมาณ 1.30 ชั่วโมง ต่อมานายดอนเปิดโอกาสให้นายเดวีส์ให้สัมภาษณ์และตอบคำถามของสื่อมวลชนก่อน
ในช่วงต้นนายเดวีส์พูดถึงประเด็นที่มีการหารือกับนายดอนคือเรื่องทะเลจีนใต้และเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมกับขอบคุณนายดอนที่ได้มีการพูดคุยหารือกันอย่างตรงไปตรงมา
สหรัฐเข้ามาจุ้นจ้านกิจการของไทย
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่สำนักข่าวเอเอฟพีเสนอข่าวว่าสหรัฐได้ประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทยว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ นายเดวีส์ตอบว่าสหรัฐห่วงกังวลอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับย้ำจุดยืนที่ได้พูดไปโดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐแล้วว่าสหรัฐห่วงกังวลกับการจับกุมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเห็นว่าควรต้องมีการเปิดพื้นที่ทางการเมือง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นขัดต่อพันธกรณีของไทยตามหลักสากล
หลังนายเดวีส์ให้สัมภาษณ์เช่นนั้น นายดอนเรียกเอกสารจากเจ้าหน้าที่มาดูก่อนที่จะสอบถามนายเดวีส์อีกครั้งซึ่งนายเดวีส์ยืนยันว่า แคทรีนา อดัมส์ คือโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งขัดกับการชี้แจงของกระทรวงการต่างประเทศไทยก่อนหน้านี้
จากนั้นนายเดวีส์หยิบเอกสารขึ้นมาอ่านต่อหน้าสื่อมวลชนและให้เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐแปลให้สื่อมวลชนฟังเป็นภาษาไทยว่า “สหรัฐรู้สึกไม่สบายใจกับเหตุการณ์จับกุมเมื่อเร็วๆ นี้ เกี่ยวข้องกับการโพสต์ข้อความออนไลน์ รวมถึงการจับกุมมารดาของนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งขัดแย้งกับพันธกิจของไทยต่อนานาชาติ ไม่เป็นการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างบรรยากาศของการข่มขู่ และทำให้เกิดการเซนเซอร์ตัวเอง”
นายเดวีส์กล่าวต่อว่า “การข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและครอบครัว ทำให้เกิดความวิตกกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อพันธกรณีของไทยที่ต้องเคารพเสรีภาพในการแสดงความเห็น สหรัฐยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น การจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐาน การจำกัดสิทธิในการแสดงความเห็น สิทธิในการชุมนุม รวมถึงการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร”
“สหรัฐเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยินยอมให้มีพูดคุยกันอย่างเปิดเผย และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในอนาคตทางการเมืองของประเทศ ซึ่งรวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญและการลงประชามติในเดือนสิงหาคม เราขอเรียกร้องและกระตุ้นให้ไทยยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้”นายเดวีส์กล่าว และว่า “นี่คือจุดยืนและท่าทีของสหรัฐในขณะนี้ พร้อมกับขอบคุณรัฐบาลไทยอีกครั้งที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนควาเห็นในเรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิมนุษยชนในไทย ทั้งยังขอบคุณสื่อมวลชนที่ทำงานเพื่อประชาชนและย้ำว่าสื่อมวลชนมีหน้าที่ในการสื่อความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ สหรัฐให้ความเคารพกับการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน”
นายดอนบอกนายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกตอนพูดคุยกัน
หลังนายเดวีส์อ่านเอกสารที่เตรียมมาจบ นายดอนย้ำว่า นายเดวีส์ไม่ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพูดคุยกับตนระหว่างการหารือกันแต่อย่างใด นายเดวีส์จึงพูดอีกครั้งว่า ยืนยันว่าตนไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นพูดกับนายดอน แต่พูดกับสื่อเพื่อแสดงจุดยืนของรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ในการหารือกับนายดอนก็ได้พูดคุยกันในหลายเรื่องรวมถึงเรื่องสิทธิพลเมืองและรับว่าสหรัฐไม่ได้ใช้คำว่าประณามไทย
สหรัฐไม่สนใจเรื่องเสียมารยาททางการทูต
กรณีของนายกลิน ที.เดวีส์จะเห็นได้ว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องมารยาททางการทูต เพราะเขาต้องรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐเช่นการเข้าไปคุยกันเรื่อง 1.ทะเลจีนใต้ฃ 2.เรื่องสิทธิพลเมืองต้องการเปิดทางให้กลุ่มที่นิยมชมชอบทักษิณ ชินวัตร มีพื้นที่แสดงออก ด้วยการอ้างพันธกรณีตามหลักสากล
ทางออกของประเทศไทยจะรับมืออย่างไร
เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าสหรัฐไม่ได้มีความหวังดีแท้จริงกับมิตรประเทศอย่างไทย แต่ ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ประเทศไทยก็สามารถใช้ศักยภาพที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียนดำเนินการตามที่ตนเห็นสมควร ดังนี้
1.การหันไปคบค้ากับประเทศจีนและรัสเซีย เป็นการเปิดกว้างหามิตรเพิ่มเติม ทั้ง 2 ประเทศก็เป็นชาติมหาอำนาจไม่น้อยกว่าสหรัฐ ตัวอย่างเช่นกรณีประเทศซีเรีย เมื่อรัสเซียได้รับเชิญเข้าไปจัดการกับกลุ่มไอซิส ประเทศสหรัฐก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ
เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2016 พลเอกมาร์ค มิลลีย์ เสนาธิการทหารบกสหรัฐยอมรับว่ามี 4 ประเทศที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงสหรัฐประกอบด้วยรัสเซีย,จีน,อิหร่านและเกาหลีเหนือ แม้ว่าจะไม่ได้มีการจัดอันดับ แต่เสนาธิการทหารบกสหรัฐยอมรับว่ารัสเซียหมายเลข 1 ในบรรดา 4 ประเทศ
พล.อ. Mark A. Milley เสนาธิการทหารบกสหรัฐ (US Army/Monica King)
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
2.ในกรณีจีนนั้นประเทศไทยลงนามในสัญญาการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ส่วนรัสเซียที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและคณะ เดินทางไปตอนต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีการติดต่อเรื่องสินค้าเกษตรและอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่รัสเซียต้องการ หลังจากรัสเซียถูกสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาประกาศแซงชั่นรัสเซียหลังจากรัสเซียบุกเข้าไปประเทศยูเครน
3.ประเทศไทยมีระบบกฎหมาย เมื่อใครทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดีอาทิเช่นทำผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 หากเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินคดีก็จะผิดมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นหากไม่ต้องหากไม่ต้องการถูกดำเนินคดีก็อย่าทำผิดกฎหมาย
จะต้องตั้งคำถามไปยังสหรัฐด้วยว่า ประเทศสหรัฐมีการใช้ปืนสังหารกันมากมายที่สุดในโลก ล่าสุดก็คือที่เกิดที่เมืองออร์แลนโด้ รัฐฟลอริด้า ถามกลับไปว่าสหรัฐสามารถที่จะแก้ไข The Second Amendment ในรัฐธรรมนูญของตัวเองได้หรือไม่เพื่อที่จะไม่ให้คนอเมริกันครอบครองอาวุธปืน,พกพาอาวุธปืน และให้ทูตกลิน เดวีส์ ตอบคำถามนี้ เพราะอยากมาวิจารณ์มาตรา 112 ดีนัก
3.คสช.และรัฐบาลจะต้องจัดหน่วยชี้แจง-ตอบโต้เหมือนหน่วยประชาสัมพันธ์ ด้วยการรวมเอา“มือฉมัง”ในกระทรวงการต่างประเทศมาร่วมกับ“มือฉมัง”ของคสช.ด้วย “มือฉมัง”ในที่นี้หมายถึงข้าราชการที่รักชาติพร้อมที่จะทำงานให้ประเทศชาติจริงๆ ไม่ใช่ทำงานแบบราชการให้พ้นไปวันๆ
ไม่ใช่เมื่อกลุ่มนปช. เดินทางไปร้องเรียนสหประชาชาติในประเทศไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องยกหูโทรศัพท์ไปหานายบัน คิ มูน เลขาธิการสหประชาชาติ วิธีการนี้นายกรัฐมนตรีต้องรับงานไปหมด ในห้วงเวลานี้และปัญหานี้ก็ถูกต้อง แต่ปัญหาอื่นๆนายกรัฐมนตรีต้องจัดเจ้าหน้าที่เข้ารับมือ การบริหารประเทศจึงจะถูกต้อง
4.ประชาชนคนไทยจะต้องใช้โซเชียล มีเดียให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อรายงานข่าวที่ไม่ชอบมาพากลรวมทั้งแนะนำทางออกให้ด้วย เพื่อประเทศชาติจะได้เดินไปถูกต้อง ไม่ให้ใครเข้ามา“วอแว”แบบไร้เหตุผลกับรัฐบาลหรือประเภท ชักใบให้เรือเสีย