PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ลาแผงอีกราย “เนชั่นสุดสัปดาห์” วางแผงฉบับสุดท้าย2มิ.ย.

ลาแผงอีกราย “เนชั่นสุดสัปดาห์” วางแผงฉบับสุดท้าย2มิ.ย.

On May 24, 2017
333
รายงานข่าวแจ้งว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจรวมทั้งจำนวนผู้บริโภคลดลง ทำให้เกิดปรากฎการณ์รัดเข็มขัดแก่ค่ายสื่ออย่างต่อเนื่อง ล่าสุดรายงานข่าวแจ้งว่า นิตยสาร “เนชั่นสุดสัปดาห์” ซึ่งเป็นนิตยสารวิเคราะห์ข่าวรายสัปดาห์ ขณะนี้อยู่ในการดูแลของบริษัท คมชัดลึก มีเดีย จำกัด เตรียมที่จะยุติการผลิต โดยจะตีพิมพ์ฉบับที่ 1305 ในวันที่ 2 มิ.ย. เป็นฉบับสุดท้าย หลังจากจำหน่ายฉบับแรกเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2535 หรือเมื่อ 25 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานข่าวถึงการเลิกจ้างพนักงานแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในปัจจุบันนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ มีนายบัณฑิต จันทศรีคำ เจ้าของนามปากกา แคน สาริกา เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา และมีนายไพศาล สังโวลี เป็นบรรณาธิการข่าว เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าที่จะปิดตัวลง เนชั่นสุดสัปดาห์ได้มีการลดจำนวนหน้ากระดาษลง ปัจจุบันเหลือเพียง 52 หน้าเท่านั้น เมื่อเทียบกับนิตยสารที่เป็นคู่แข่ง อย่างมติชนสุดสัปดาห์ ของเครือมติชน มีจำนวน 116 หน้า และสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ มีจำนวน 84 หน้า

ไทยรัฐทีวี มีนโยบายดำเนินโครงการลาออกด้วยความสมัครใจ

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 24 พ.ค. 2560 บริษัท ทริปเปิลวีบรอดคาสต์ จำกัด เจ้าของสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี มีนโยบายดำเนินโครงการลาออกด้วยความสมัครใจ โดยได้รับความช่วยเหลือ
โดยผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ นั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจเป็นผู้พิจารณาอนุมัติการเข้าร่วมโครงการของพนักงาน ทั้งนี้ ผลการพิจารณาของประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจถือเป็นที่สิ้นสุด และเป็นข้อยุติพนักงาน ไม่สามารถขออุทธรณ์ หรือขอให้ทบทวนผลการพิจารณา ซึ่งพนักงานที่ได้รับการอนุมัติจากประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจให้ออกตามโครงการแล้ว และถอนเรื่องคืนหรือยกเลิกไม่ได้
สำหรับพนักงานที่ได้รับอนุมัติให้ออกตามโครงการจะได้รับเงินช่วยเหลือตามอายุงาน โดยให้นับอายุงานตั้งแต่วันที่เข้าทำงานกับบริษัทฯ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2560 
อายุงานไม่ครบ 1 ปี ได้รับเงินช่วยเหลือเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน, อายุงาน 1 ปีขึ้นไป แต่ไม่ครบ 3 ปี ได้รับเงินช่วยเหลือเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน, อายุงาน 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่ครบ 6 ปี ได้รับเงินช่วยเหลือเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน, อายุงาน 6 ปีขึ้นไป แต่ไม่ครบ 10 ปี ได้รับเงินช่วยเหลือเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน และอายุงาน 10 ปีขึ้นไป ได้รับเงินช่วยเหลือเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
ทั้งนี้ พนักงานที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการสามารถยื่นความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2560 ซึ่งหากได้รับการอนุมัติจะมีผลให้ออกตามโครงการในวันที่ 1 กรกฎาคม  2560
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับการยืนยันจากเเหล่งข่าวว่า โครงการลาออกด้วยความสมัครใจตั้งเป้าลดพนักงานร้อยละ 15 จากจำนวนพนักงานทั้งหมดประมาณ 700 คน
ขณะที่ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (ไทยรัฐทีวี) จดทะเบียนจัดตั้ง 9 พฤษภาคม 2556 ทุน 1,000 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 1 อาคาร12 ชั้น 11 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจ รับ-ส่งวิทยุและโทรทัศน์เพื่อแพร์ภาพและเสียง รายได้อื่น
ปรากฏชื่อ นาง ยิ่งลักษณ์ วัชรพล นาย สราวุธ วัชรพล นาย วัชร วัชรพล และน.ส. จิตสุภา วัชรพล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท วัชรพล จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 92% มูลค่า 920,000,000 บาท
นำส่งงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจล่าสุด ณ 31 ธันวาคม 2558 แจ้งว่า มีรายได้รวม 495,550,436.41 บาท รวมรายจ่าย 1,564,941,747.13 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,148,093,092.09 บาท
ส่วน บริษัท วัชรพล จำกัด จดทะเบียนจัดตั้ง 18 เมษายน 2518 ทุน 4,000 ล้านบาท ตั้งอยู่เลขที่ 1 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร แจ้งประกอบธุรกิจขายหนังสือพิมพ์ และให้บริการโฆษณา คุณหญิง ประณีตศิลป์ วัชรพล นาง ยิ่งลักษณ์ วัชรพล นาย สราวุธ วัชรพล นาย วัชร วัชรพล เป็นกรรมการ นาง ยิ่งลักษณ์ วัชรพล ถือหุ้นใหญ่สุด 42.1138% มูลค่า 1,684,553,000 บาท
นำส่งข้อมูลงบการเงินแสดงผลประกอบการธุรกิจ ณ 31 ธันวาคม 2558 แจ้งว่ามีรายได้รวม 3,904,466,471.75 บาท รวมรายจ่าย 2,080,318,545.31 บาท กำไรสุทธิ1,456,098,724.05 บาท
ขณะที่ด้านสื่อสิ่งพิมพ์มีกระเเสข่าวซบเซามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ กำลังจะปิดตัวลง โดยคาดว่าจะวางเเผงฉบับสุดท้าย ในวันที่ 2 มิ.ย.2560 

S 474343022222222
S 4743431111111

4องค์กรใต้ ร่อนแถลงการณ์เมินบิ๊กตู่ปาฐกถา ซัด อวดไทยแลนด์4.0 แต่พฤติกรรม0.4

4องค์กรใต้ ร่อนแถลงการณ์เมินบิ๊กตู่ปาฐกถา ซัด อวดไทยแลนด์4.0 แต่พฤติกรรม0.4

วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายภาคประชาชน 14 องค์กรภาคใต้ตอนล่าง ได้ออก แถลงการณ์“ ทำไมพี่น้องหลายกลุ่มปัญหาในภาคใต้ จึงเมินปาฐกถานายกรัฐมนตรีในวันนี้” ระบุว่า
เรียน พี่น้องประชาชน สื่อมวลชน หน่วยข่าวของรัฐและรัฐบาล มีคำถามที่น่าสนใจมากจากหน่วยงานของรัฐและสื่อมวลชนว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมาพูดเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2560 นี้ เครือข่ายภาคประชาชนในสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง จะสนใจมาฟังหรือไม่ หรือจะมาเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ ทางเครือข่ายภาคประชาชนในภาคใต้ตอนล่างขอชี้แจงว่า การปาฐกถาเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ของนายกรัฐมนตรีนั้น “ไม่มีอะไรน่าสนใจที่จะมาฟังอยู่แล้ว เพราะนโยบายอวดโม้ว่ายุค 4.0 แต่พฤติกรรมยังเป็นยุค 0.4 ยังหนุนถ่านหิน เน้นสร้างท่าเรือ ชอบอนุมัติเปิดเหมือง ผนวกกับทุนในนามประชารัฐยึดกุมประเทศ ควบคุมสื่อ จำกัดสิทธิประชาชน สารพัดวิธีคิดแบบเผด็จการอำนาจนิยม จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปฟัง”
การมาภาคใต้ของนายกรัฐมนตรีและคณะในครั้งนี้ มีปรากฏกฏการณ์ใหม่คือ ภาคประชาชนนิ่งมาก ไม่มีใครสนใจจะไปยื่นหนังสือหรือชูป้ายประท้วงใดๆด้วยซ้ำ เพราะต่างได้ข้อสรุปตรงกันว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะไปแสดงออก ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเรียกร้อง เพราะเรายื่นหนังสือมาเป็นร้อยฉบับแล้ว เราแสดงออกในทั้งรูปแบบการประท้วง การรณรงค์ การจัดเวทีวิชาการ หรือกิจกรรมมากมาย ที่อุดมไปด้วยเหตุผลและจุดยืนในการขอมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตตนเองมาตลอด ซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับนายกรัฐมนตรีหากมีจิตใจที่พร้อมรับฟังภาคประชาชน”
รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมหรือความน่าเชื่อถือใดๆแล้วสำหรับภาคประชาชน นายกรัฐมนตรีเองก็ไร้ซึ่งจุดยืนที่จะยืนข้างภาคประชาชน เป็นคนหูตึงเวลาฟังปัญหาและข้อเสนอของภาคประชาชน เป็นคนตามัวใกล้บอดไม่เห็นความทุกข์ยากของผู้คน การพูดทุกวันศุกร์นั้นยิ่งชัดเจนว่า มีโลกทัศน์ที่เอาตนเองหรือกลุ่มลิ่วล้อใกล้ชิดเป็นศูนย์กลาง คอยแต่เทศนาสั่งสอนประชาชน ละเลยการพัฒนาประชาธิปไตยฐานรากอันหมายถึงการฟังเสียงประชาชนและให้ประชาชนร่วมกำหนดอนาคตของตนเอง (ลืมไปว่าจะไปคาดหวังอะไรกับเผด็จการให้มาพัฒนาประชาธิปไตย)
วันนี้ภาคประชาชนไม่ได้หวังอะไรจากรัฐบาลและ คสช.แล้ว ไม่หวังแม้การปฏิรูปใดๆจาก คสช. ภาคประชาชนกำลังกลับมาสร้างฐานประชาชนให้เข้มแข็ง ปกป้องพื้นที่จากการรุกรานของรัฐและทุน สร้างฐานประชาธิปไตยทางตรง และรอการเลือกตั้งใหม่(ซึ่งหวังว่าจะมีจริง) ที่อาจพอจะเป็นความหวังสำหรับการหยุดภาวะชงักงันทางประชาธิปไตยและการที่ประชาชนจะร่วมกำหนดอนาคตตนเอง
“การลงมาเยี่ยมพื้นที่ภาคใต้ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีจึงไร้ประโยชน์ในการไปแสดงออก ภาคประชาชนเอาเวลาไปทำมาหากินและเอาพลังไปทำงานฐานรากให้เข้มแข็งเพื่อรับมือการรุกรานของรัฐและทุนยังดีกว่า จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน” แถลงการณ์ดังกล่าวระบุ

‘บิ๊กป้อม’ชี้ หากนายกฯไม่เสียสละยึดอำนาจ เราคงไม่อาจมีความสุขได้เลย ยันไทยศก.ดี

‘บิ๊กป้อม’ชี้ หากนายกฯไม่เสียสละยึดอำนาจ เราคงไม่อาจมีความสุขได้เลย ยันไทยศก.ดี

“ประวิตร” แจงการทำงานด้านความมั่นคง ชมนายกฯคือผู้เสียสละ ระบุแม้เข้ามาด้วยวิธีไม่ถูก แต่ความตั้งใจทำเพื่อประเทศเต็มเปี่ยม ในทางปฏิบัติพยายามทำ ปท.ให้เป็น ปชต.
วันที่ 23 พฤษภาคม เวลา 11.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวบรรยายหัวข้อ “การขับเคลื่อนและปฏิรูปประเทศไทยด้วยรากฐานความมั่นคง” ว่าทุกท่านคงเห็นแล้วว่างานด้านความมั่นคงที่ คสช.ได้ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมานั้นทำให้เกิดความสงบ และทำให้งานด้านอื่นๆ เดินไปได้ ตนคงไม่พูดว่าในห้วงที่ผ่านมาเรามีผลงานอย่างไร แต่จะพูดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเกิดความสงบอย่างแท้จริง และทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้ ถ้าประชาชนและต่างชาติเกิดความเชื่อมั่น เราก็สามารถทำทุกอย่างได้ ซึ่งความมั่นคงนี้รวมถึงภัยธรรมชาติด้วย ประชาชนต้องมีความปลอดภัย อยู่ดีกินดี มีที่อยู่อาศัย ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ บ้านเมืองเราจึงจะมีความมั่นคง นอกจากนี้ หน่วยงานด้านความมั่นคงต้องสร้างความสัมพันธ์กับมิตรประเทศโดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน 4 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เมียนมา และมาเลเซียด้วย ต้องมีการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน การปฏิบัติงานร่วมกันตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมือง แรงงานด่างด้าว ฯลฯ
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ส่วนการรักษาความมั่นคงในประเทศ กลไกฝ่ายปกครองต้องดูแลประชาชนโดยทำงานร่วมกับ อปท. ผ่านศูนย์ดำรงธรรม นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายด้วยความยุติธรรม ไม่สร้างความเหลื่อมล้ำก็มีความสำคัญ เท่าที่ผ่านมาในห้วงเวลา 2 ปี ตนได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงทุกฝ่ายว่าเราต้องบูรณาการกันทุกฝ่ายให้ได้ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ และต่างชาติมั่นใจว่าเราปกครองประเทศโดยการทำให้ประชาชนเชื่อมั่น เขาจะได้มีความมั่นใจในการเข้ามาลงทุน ส่วนความมั่นคงในระดับประเทศ มีการร่วมมือกันทางทหาร เพื่อสร้างบรรยากาศในการพัฒนาเศรษฐกิจ มีการใช้ทูตทหาร ในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา เช่น ยาเสพติด การลักลอบเข้าเมือง ฯลฯ ทั้งนี้ เรายังมีการประชุมทางการทหารร่วมกันเพื่อประสานงานด้วย ดังนั้น ข้าราชการทางทหารไม่ได้มีหน้าที่ป้องกันอธิปไตยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีหน้าที่สร้างความสัมพันธ์กับมิตรประเทศ เช่น การแลกเปลี่ยนทางการทหาร การฝึกร่วมกัน เป็นต้น
พล.อ.ประวิตรกล่าวต่อว่า ส่วนการปฏิรูปด้านความมั่นคง เราดำเนินการก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ด้วยการออกกฎหมาย ฯลฯ สำหรับประชาคมอาเซียน เรามีการประชุมร่วมกับผู้นำทางการทหารของอาเซียน ตนยืนยันว่าภาพความมั่นคงในอาเซียนนั้นค่อนข้างมีการบูรณาการกัน จากการประชุมเราเห็นตรงกันว่า ในอนาคตเราจะจับอาวุธมาสู้กันจนเกิดการล้มตายอีกไม่ได้ และที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียนแห่งความล้มเหลว นอกจากนี้ สภาความมั่นคงแห่งชาติจะต้องจัดทำแผนการดำเนินงาน โดยอันดับแรกจะเริ่มจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ถ้าเราจะทำให้เกิดความมั่นคง ประชาชนมั่นใจ เราจะต้องทำให้แนวชายแดนของเราเกิดการพูดคุย วางแผน วางระเบียบจนเกิดเป็นการไปมาหาสู่ร่วมกัน นี่คือความมั่นคงทางบก โดยต้องบูรณาการกับทุกหน่วยงานด้วย ต่อมาคือความมั่นคงทางทะเล ต้องดูแลทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ต้องมีกฎหมายมาดำเนินการในเรื่องความมั่นคงทางทะเลโดยร่วมมือกับเพื่อนบ้าน เป็นต้น
พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า สำหรับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาความมั่นคงแห่งชาติได้มีการจัดทำแผนงานโครงการความมั่นคงและการพัฒนาใหม่ ระหว่างปี 58-60 และ ศอบต.จะต้องจัดทำแผนทำงานบูรณาการร่วมกับคนในพื้นที่ เราต้องการให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เห็นว่า รัฐบาลนี้ดูแลคนไทยไม่ว่าจะศาสนาใดให้อยู่ดีกินดี และลดความเหลื่อมล้ำ โดยเราจะขับเคลื่อน 3 ระดับ คือ ระดับนโยบาย คือนายกฯ ลงมาสู่ระดับปฏิบัติ ซึ่งคือรองนายกฯ และระดับปฏิบัติในพื้นที่ มี กอ.รมน. ศอบต. แม่ทัพภาค 4 เป็นผู้ขับเคลื่อนร่วมกับคนในพื้นที่ ทั้งนี้ ในระหว่าง 2 ปีที่ผ่านมา ยืนยันว่าทุกอย่างดำเนินการไปได้อย่างดี ไม่ได้หมายความว่าปัญหาหมดไป แต่ปัญหาลดลง 50-60% ส่วนเรื่องการข่าว เรามุ่งเน้นการบูรณาการด้านการข่าวเพื่อประสิทธิภาพ โดยเราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าการข่าวไม่ดีเราก็ไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นได้ แม้เราจะมีกำลังมาแค่ไหนแต่ไม่รู้ว่าข้าศึกเป็นใครก็ทำอะไรไม่ได้ เรื่องความขัดแย้งก็เช่นกัน การข่าวต้องลงไปดูว่าเราเกิดความขัดแย้งอะไรบ้าง และใครทำให้เกิด
“ขณะนี้เรายอมรับว่าประเทศของเราไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ในทางปฏิบัตินั้นเราพยายามทำให้เป็น ถ้าวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตัดสินใจเข้ามาเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ วันนี้ก็ไม่รู้ว่าประเทศของเราจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราต้องยอมรับว่านายกฯท่านเป็นผู้เสียสละ ถ้าท่านไม่เข้ามา เราจะไม่สามารถมีความสุขได้เลย ทั้งนี้ แม้ว่าพวกเรามาอย่างไม่ถูก แต่ความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้านั้นมีมากมายมหาศาล ตนไม่ได้อวยให้ฟัง แค่พูด มีคนบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ตนก็เห็นตัวเลขเขียวอยู่ และเขียวอยู่ประเทศเดียวด้วย” พล.อ.ประวิตรกล่าว

เข้ม! ใช้ทหารรบพิเศษหมวกแดงจากลพบุรี สับเปลี่ยนกำลัง รปภ.ทำเนียบ

เข้ม! ใช้ทหารรบพิเศษหมวกแดงจากลพบุรี สับเปลี่ยนกำลัง รปภ.ทำเนียบ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในวันนี้ (24 พ.ค.) ทางกองพันจู่โจม กรมรบพิเศษที่ 3 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หรือเบเรต์แดง จังหวัดลพบุรี ประมาณ 20 นาย ได้มาตรวจความเรียบร้อยในการรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล โดยได้เดินตรวจบริเวณโดยรอบพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลโดยเฉพาะในจุดสูงข่ม เพื่อเตรียมสับเปลี่ยนกำลังในการรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล หลังเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อย่างไรก็ตาม พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก เคยเป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หรือเบเรต์แดง เมื่อปี 2556 ก่อนที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเมื่อปี 2558
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การที่ทหารจากกองพันจู่โจม กว่า 20 นาย สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ(นสศ.) ลพบุรี เข้ามาในทำเนียบรัฐบาลนั้น เป็นไปเพื่อสับเปลี่ยนกำลังรักษาความปลอดภัยตามปกติ โดยก่อนหน้านี้ก็ได้มีการสับเปลี่ยนกำลังกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทหารจากหน่วยรบพิเศษกับตำรวจสันติบาลต่างทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยในทำเนียบฯมาโดยตลอด แต่ทหารจะเน้นไปที่การสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวในพื้นที่โดยรอบ และภายในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม รวมถึงเฝ้าระวังเหตุในวิกาล ส่วนพื้นที่ภายในจะมีตำรวจสันติบาลเฝ้าระวังอยู่ แต่การสับเปลี่ยนกำลังในครั้งนี้ ทหารจากกองพันจู่โจม ได้เพิ่มภารกิจในการเข้ามาดูแลพื้นที่ภายในทำเนียบฯด้วย โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคารสถานที่ทำเนียบฯ ได้พาเจ้าหน้าที่ทหารเดินชมอาคารต่างๆ ภายในทำเนียบฯ เพื่อความคุ้นเคย พร้อมกับฟังข้อมูลที่จะวางกำลัง ทั้งบนตึกสูง พื้นที่สูงข่ม เพื่อจะดูแลพื้นที่ทั้งในและนอกทำเนียบ ร่วมกับตำรวจสันติบาล ตามคำสั่งของพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ.ในฐานะเลขาธิการคสช. ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหาร ได้มีการจัดกำลังทหารรบพิเศษ จำนวน 1 หมวด เข้ามาดูแลพื้นที่รอบนอกทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับตำรวจสันติบาล โดยทุกวันอังคาร ที่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ มาร่วมปฏิบัติหน้าที่กับทหารและตำรวจสันติบาลด้วย

ไอซิดยึดเมือง Marawi ในฟิลิปปินส์: บทเรียนที่บังอาจริจะปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ

ไอซิดยึดเมือง Marawi ในฟิลิปปินส์: บทเรียนที่บังอาจริจะปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐและหันไปขอความช่วยเหลือกจากรัสเซียและจีน ไอซิสบุกเผาวิทยาลัยและคุกและโจมตีโรงพยาบาล ปะทะเดือนกับทหารและตำรวจท้องถิ่น ที่เมือง Marawi ในมินดาเนา ฟิลิปปินส์
------------
หลังจากที่ปธน.ดูเตอร์เต้ประกาศว่าจะขับไล่กองทัพสหรัฐออกไปจากฟิลิปปินส์และฟิลิปปินส์ไม่ใช่เมืองขึ้นของสหรัฐ ดูเตอร์เตเดินทางไปเยือนรัสเซีย 5 วันเพื่อเจรจาการจัดซื้ออาวุธรัสเซียไปปราบพวกไอซิส วันนี้ไอซิสบึกเผาวิทยาลัยและคุกที่เมือง Marawi ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารฟิลิปปินส์
วันที่ 23 พ.ค.60 เวลา 10:52 PM สำนักข่าว ABS-CBN News รายงานว่ากองทัพและเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลยิงปะทะอย่างดุเดือดกับกลุ่มชายติดอาวุธซึ่งปกป้องพวกขบวนการก่อการร้ายไอซิสในเมืองทางใต้ของฟิลิปปินส์ในวันอังคาร
มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตหนึ่งนายในการไล่ล่านาย Isnilon Hapilon หัวหน้ากลุ่มก่อการร้าย Abu Sayyaf ซึ่งเป็นเครือข่ายของขบวนการก่อการร้ายรัฐอิสลาม (ไอเอส/ไอซิส/ไอซิล/ดาอิช) ซึ่งนิยมการลักพาตัวและจับชาวต่างชาติเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่ กองทัพฟิลิปปินส์กล่าว
การต่อสู้กันเกิดขึ้นในเมือง Marawi ซึ่งมีประชากรทั้งหมด 200,000 คนและส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมในพื้นที่ทางใต้ของเกาะมินดาเนา (Mindanao) กลุ่มก่อการร้ายได้โจมตีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ระหว่างการปะทะกัน CNN Philippines รายงาน ทางการแจ้งให้ประชาชนในพื้นที่อยู่แต่ภายในบ้านเรือนของตัวเอง
พล.อ. Eduardo Ano เสนาธิการกองทัพฟิลิปปินส์กล่าวว่าการต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อตำรวจและกองทัพเข้าไปกวาดล้างบ้านหลังหนึ่งในช่วงกลางวัน (ประมาณบ่ายสองกว่า) ของวันอังคารนี้ซึ่งเป็นสถานที่ที่เชื่อว่านาย Hapilon ซึ่งทางการสหรัฐตั้งค่าหัวเอาไว้ $5 ล้าน หลบซ่อนตัว
การกวาดล้างในครั้งนี้ก่อให้เกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดตลอดช่วงกลางวันจนถึงตอนเย็น กองทัพคาดว่ามีกลุ่มติดอาวุธ (ผู้ก่อการร้าย) ร่วมต่อสู้ประมาณ 50 คน
หญิงไม่ประสงค์ออกนามส่งข้อความแจ้งสำนักข่าว AFP ว่ามีชายติดอาวุธประมาณ 10 คนเข้าไปประจำตำแหน่งที่หน้าประตูโรงพยาบาลของรัฐ เจ้าหน้าที่ตำรวจปะทะกับกลุ่มก่อการร้ายใกล้โรงพยาบาล ทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและคาดว่าเสียชีวิตหนึ่งนาย
ทางกองทัพกล่าวว่ายังไม่สามารถยืนยันการเสียชีวิตของพวกผู้ก่อการร้ายได้ พล.อ. Ano กล่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้รับบาดเจ็บ 8 นายจากการปะทะกันในครั้งนี้
ในวันเดียวกันนี้เวลา 11:14 PM ABS-CBN News รายงานอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติของฟิลิปปินส์ (PNP) กล่าวในตอนกลางคืนวันอังคารนี้ว่า วิทยาลัย Dansalan และเรือนจำ Marawi City ถูกไฟไหม้ แต่ไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องก้บการปะทะกันระหว่างผู้ก่อการร้ายและกองทัพของฝ่ายรัฐบาลหรือไม่
ปัจจุบันนี้ประธานาธิบดีโรดิโก้ ดูเตอร์เต้อยู่ในระหว่างการไปเยือนรัสเซียเป็นเวลา 5 วัน เพิ่งจะไปถึงรัสเซียเมื่อวันจันทร์นี้ มีกำหนดการพบกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ เพื่อลงนามในข้อตกลงร่วมกันหลายประการทั้งด้านการค้าและด้านอาวุธและความมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศด้วย
ก่อนหน้านี้ดูเตอร์เต้ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการแทรกแซงกิจการภายในของฟิลิปปินส์ และบอกว่าอย่าปฏิบัติต่อฟิลิปปินส์เหมือนกับว่าเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีอธิปไตยของตนเอง ฟิลิปินส์ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัสเซียและจีนให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และจะหันไปใช้อาวุธของจีนและรัสเซียด้วย ท่าทีแบบนี้ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐเป็นอย่างมาก เพราะว่าจะทำให้ยอดการขายอาวุธของตนเองในฟิลิปปินส์ลดลง และจะถูกจำกัดบทบาทของตนเองในฟิลิปปินส์ด้วย และแล้วไอซิสก็อาละวาดในเมือง Marawi ที่มินดาเนารังใหญ่ของพวกไอซิสและกบฏแบ่งแยกดินแดนในย่านมุสลิม นี่คือการส่งสัญญาณว่า "อย่าแตกแถว! กลับมาเป็นขี้ข้าของอเมริกาต่อไปซะโดยดี เสรีภาพที่อยู่ใต้ตีนอเมริกาคือเสรีภาพอย่างแท้จริง"
ป.ล. พวกไอซิสและกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้มันได้รับการฝึกมาโดยมิสเตอร์ C ถ้าจะปราบก็ต้องใช้กองทัพที่ฝึกโดย FSB อดีต KGB ของค่ายรัสเซีย ถึงจะแก้ลำได้ ไม่ใช่ด้วยกองทัพหรือตำรวจที่ฝึกโดยกองทัพและ CIA ของสหรัฐ เพราะว่าข้อมุลพวกนั้นมันจะถึงกันหมด บทพิสูจน์ว่าดูเตอร์เต้กลัาที่จะประกาศเอกราชและอิสรภาพจากการเป็นเมืองขึ้นใต้อาณัติของสหรัฐจริงหรือไม่? สู้ต่อไปครับลุงเต้ ปูตินและเฮียสีคอยช่วยอยู่