PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2557

(ข้อมูล)ประมณฑ์ สุธีวงศ์

ประธานสภาอุตฯสปอนเซอร์พธม. ประธานสภาหอฯคนสายวัง นำทีมสลายขั้วรัฐบาล หนุนมาร์คนายกฯหุ่นเชิด 

พูด แบบชาวบ้านก็ต้องบอกว่า"ซื้อหวยทำไมไม่แม่นอย่างนี้" เพราะคล้อยหลังดร.สมศักดิ์พูดไปไม่กี่ชั่วโมง "ภาคธุรกิจเอกชน"ก็ออกโรงในทันควันว่า พรรครัฐบาลมีนายกฯมา2คนแล้ว บ้านเมืองมีแต่แย่ลง ต้องเปลี่ยนขั้วให้ประชาธิปัตย์ได้ตั้งรัฐบาลบ้าง
และ เป็นกระแสที่จุดติดขยายวงอย่างรวดเร็ว ใครต่อใครก็แห่ขานรับกระแสนี้ โดยที่ไม่มีใครฉุกคิดว่าผู้แทนองค์กรเอกชนที่ออกมาแสดงหน้าโรงในตอนนี้ ที่แท้แล้วก็คือองค์กรซ่อนเงื่อน ที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการลับลวงพราง ที่วางกับดักให้ประเทศชาติหล่นลงไปในหลุมพรางแห่งหายนะของประชาธิปไตยนั่น เอง!
เตือนอย่าตกหลุมพรางข้อเสนอภาคธุรกิจเอกชนให้สลายขั้ว เปิดช่องประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ชี้ฉากหน้าเป็นการสร้างกระแสอยากให้ชาติสงบจะได้ทำมาหากินเป็นสุข เพื่อให้สาธารณชนเฮโลเอาด้วย แต่เจาะลึกลงไปเป็นองค์กรลับลวงพราง พบประธานสภาอุตสาหกรรมเป็นบิ๊กเครือสหพัฒน์ ที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ให้กับพันธมิตร ส่วนประธานสภาอุตฯเป็นลูกหม้อเครือซิเมนต์ไทย มีบทบาทเป็นตัวเชื่อมทุนศักดินา+ทุนข้ามชาติ+อำนาจปืนเป็นอำมาตยาซ่อนรูป พบมีพฤติการณ์ต่อต้านประชาธิปไตยรับใช้เผด็จการมาตลอด
ข้อเสนอ ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3สถาบัน ที่เสนออย่างฟันธงว่าต้องมีการเปลี่ยนขั้ว เปิดทางให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลบ้าง กลายเป็นกระแสใหญ่ที่กำลังชี้นำกระแสการเมืองในเวลานี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ผิดไปจากคาดหมายนัก นักวิชาการที่สังเกตการณ์การเมืองอย่างแหลมคมบางคนถึงกับฟันธงนับแต่วินาที ที่ศาลสั่งยุบ3พรรคแล้วว่า"ภาคธุรกิจ"จะออกมาเคลื่อนไหวกดดัน กระทั่งสร้างกระแสในเรื่องนี้
ภาพภายนอกนั้นมีกระแสเสมือนว่าพ่อค้า ภาคเอกชนอยากให้เรื่องสงบซะที จะได้ทำมาหากินกัน ซึ่งกระแสนี้นับว่าสาธารณชนรับได้ง่ายมาก กระแสใหญ่จึงโหมมากดดันขั้วรัฐบาลว่าต้องสลายขั้ว แล้วเปิดช่องให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สมหวังกับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
ภาคเอกชนพากันบอกว่า ขั้วรัฐบาลเป็นนายกฯมา2คนแล้วคือนายสมัครกับนายสมชาย แต่ก็ไปไม่รอด ควรเปลี่ยนขั้วให้ประชาธิปัตย์บ้าง
แต่ มีใครเคยตั้งคำถามกลับไปหรือไม่ว่า ทำไมภาคเอกชน สถาบันจึงมองขั้วรัฐบาลที่ถูกกระทำเป็น"จำเลย" ในขณะที่ละเลยไม่ไปกดดันพันธมิตรที่เป็นฝ่ายกระทำ ให้หยุดประท้วง หรือไม่ก่อเหตุขึ้นใหม่...ซึ่งนี่เป็นคำถามง่ายๆ และคำตอบง่ายๆคือหากพันธมิตรไม่ก่อเหตุ มีหรือที่รัฐบาลนายสมัคร หรือนายสมชายจะคว่ำลง..มีหรือที่ขั้วรัฐบาลจะตั้งรัฐบาลไม่ได้ ในเมื่อเป็นเจตจำนงของประชาชนส่วนใมหญ่ของประเทศ
คำตอบอาจจะอยู่ที่ ว่า หากเราไปดูที่มาที่ไป ดูเบื้องหลังของแต่ละคนที่บอกว่าเป็นตัวแทนพ่อค้านักธุรกิจนั้น เขาเป็นตัวแทนของพ่อค้าทั้งหมดของประเทศไทย หรือแท้จริงแล้วผูกพันอยู่กับใครเป็นพิเศษ และมีแรงจูงใจแอบแฝงซ่อนเงื่อนไว้
สันติ วิลาสศักดานนท์ คนสหพัฒน์ สปอนเซอร์หลักพันธมิตร นาย สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีสำคัญในเรื่องนี้เป็นใครแน่นอนว่าเขาไม่ได้กินตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เฉยๆ แต่ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง(SPI)บริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล ยักษ์ใหญ่ที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคขายคนไทยมานานหลายทศวรรษเป็นสหพัฒน์ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากมาหลายปีจากการถูกพวกโมเดิร์นเทรด อย่างคาร์ฟู โลตัสเล่นงาน วงจรธุรกิจที่ขายสินค้าป้อนโชห่วยที่ เป็นขุมสมบัติมาแต่ยุคเจ้าสัวเทียม โชควัฒนา กำลังยอบแยบ จนกระทั่งณรงค์ โชควัฒนา ลูกชายเจ้าสัวเทียมคนที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในการต่อต้านการขยายตัวของห้างโมเดิร์นเทรด เป็นการเคลื่อนไหวที่แนบแน่นอย่างยิ่งกับพันธมิตรของสนธิ ลิ้มทองกุล และว่ากันว่าสหพัฒน์เป็นสปอนเซอร์หลักของพันธมิตร
  
ทั้งสันติ และณรงค์ยังมีสายสัมพันธ์ในลักษณะเอาเงินไปเชื่อมกับปืนและเป็นอำนาจอำมา ตยาฯของสังคมไทย จึงไม่แปลกที่ทั้งสองได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในยุคที่คมช .ทำรัฐประหารสำเร็จในปี2549
ประมนต์ สุธีวงศ์ ลูกหม้อเครือซิเมนต์ไทย เงิน+ปืน+ทุนต่างชาติ
 
ส่วน นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานหอการค้าไทย ก็ย่อมไม่ใช่แค่นั้น เขาเป็นประธานคณะกรรมการโตโยต้าประเทศไทยและเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นประธานโตโยต้า เขาเก่งกล้าสามารถมาจากไหน คำตอบคือจากเครือซิเมนต์ไทย นายประมณฑ์เป็นลูกหม้ออยู่ที่เครือซิเมนต์ไทยมาแต่หนุ่มยันเกษียณในปี2542 ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย..ปูนซิเมนต์ไทยที่มีสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ถือหุ้นใหญ่นั่นเอง
เครือซิเมนต์ไทยถือหุ้นใหญ่ในโตโยต้า ประเทศไทย 10% เช่นเดียวกับบริษัทจากต่างประเทศที่มาลงทุนในไทยโดยทั่วไปที่เครือสำนักงาน ทรัพย์สินฯจะได้รับเกียรติให้เข้าไปร่วมถือหุ้นด้วยในฐานะเจ้าบ้านที่ดี
นาย ประมณฑ์ก็เช่นเดียวกับพ่อค้าใหญ่ของไทยทั่วไปคือมีลักษณะของการนำเงินไปผนวก กับปืนแล้วกลายเป็นอำนาจอันยากจะท้าทาย ในการรัฐประหาร19กันยายน เขาได้ตำแหน่ง สนช.อย่างที่ไม่ต้องเดาให้ยาก
ใขณะที่ต่อต้านขับไส รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง นายประมณฑ์เคยเชียร์องคมนตรีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาเป็นนายกฯหลังการรัฐประหาร19กันยาฯว่า "ท่านเป็นคนดี เป็นที่เคารพนับถือ มีผลงานในอดีตเป็นที่ยอมรับ จึงเหมาะสมกับตำแหน่งนายกฯ"
นักวิชาการฟันธงไว้ไม่มีผิดจะมีภาคธุรกิจออกแรงกดดันให้ปชป.ได้ตั้งรัฐบาล
เมื่อ วานนี้พอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินฉับประหาร3พรรคให้ยุบลงไป ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งโฟกัสประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยระดับแถวหน้าของประเทศ ก็ออกคาดการณ์ทันทีว่า ผมคิดว่า จังหวะก้าวต่อไป ของ "พลังเทวดา" จะเป็นดังนี้"สร้างแรงกดดันให้ อดีตพรรคชาติไทย มัชฌิมา ที่เหลือ "เปลี่ยนข้าง" ไปหนุน ปชป.ทั้งอาศัยแรงกดดันจากพันธมิตร และอาศัยแรงบีบจาก "ภาคธุรกิจ" ต่างๆ ประสานเสียง พวก "นักวิชาการ" ฯลฯ
ถ้าสำเร็จ ตั้ง รัฐบาลปชป. แล้ว ประกาศยุบสภาทันที จัดการเลือกตั้ง โดย รัฐบาลปชป. ซึงจะทำให้ได้เปรียบ ขณะเดียวกัน ระหว่างเลือกตั้ง ก็เน้นประเด็นว่า มีแต่เปลี่ยนใจเลือก ฝ่าย ปชป. (และพรรคอื่น มีแต่เปลี่ยนใจ หันมาหนุน ปชป.เท่านั้น) จึงจะเกิดความสงบ
พูดแบบชาวบ้านก็ต้องบอกว่า"ซื้อหวย ทำไมไม่แม่นอย่างนี้" เพราะคล้อยหลังดร.สมศักดิ์พูดไปไม่กี่ชั่วโมง "ภาคธุรกิจเอกชน"ก็ออกโรงในทันควันว่า พรรครัฐบาลมีนายกฯมา2คนมีแต่แย่ลง ต้องเปลี่ยนขั้วให้ประชาธิปัตย์ได้ตั้งรัฐบาลบ้าง
และเป็นกระแสที่ จุดติดขยายวงอย่างรวดเร็ว ใครต่อใครก็แห่ขานรับกระแสนี้ โดยที่ไม่มีใครฉุกคิดว่าผู้แทนองค์กรเอกชนที่ออกมาแสดงหน้าโรงในตอนนี้ ที่แท้แล้วก็คือองค์กรซ่อนเงื่อน ที่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการลับลวงพราง ที่วางกับดักให้ประเทศชาติหล่นลงไปในหลุมพรางแห่งหายนะของประชาธิปไตยนั่น เอง!

เปิดสเปก!ประธานสปช.



เปิดสเปก!ประธานสปช.

เปิดสเปก 'ประธาน สปช.' ต้องใจกว้าง รู้ยุทธศาสตร์การปฏิรูป บริหารความหลากหลาย

 
                           6 ต.ค. 57  น.ส.รสนา โตสิตระกูล สปช. กล่าวถึงผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธาน สปช. ว่า ตามที่ติดตามจากสื่อ พบว่า มีคนที่ได้รับการคาดการณ์ คือ นายเทียนฉาย กีระนันท์ และนายชัยอนันต์ สมุทรวณิช ซึ่งตนไม่ขอออกความเห็น แต่ในส่วนของคุณสมบัติภาพรวม ที่ประธาน และรองประธาน ควรจะมี อันดับแรก คือ มีความใจกว้าง และมีวิสัยทัศน์ต่อกระบวนการปฏิรูป รวมถึงการบริหารความขัดแย้ง และแตกต่างของ สปช.ทั้ง 250 คน รวมถึงการรับฟังเสียงของประชาชนภายนอก ที่จะเข้ามาสู่สภาปฏิรูป เพราะตนมองว่า กระบวนการที่จะเกิด สปช. เป็นแค่ตัวแทนที่จะมาทำหน้าที่ และจะมีการรับฟังความเห็นของประชาชนด้วย นอกจากนี้ ประเด็นที่สำคัญ ตนให้ความสำคัญด้นการปฏิรูปเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ คนที่จะเป็นผู้นำทิศทางปฏิรูป ต้องเข้าใจทิศทางภาพรวมการปฏิรูป และต้องควบคุมความหลากหลายให้ได้
 
                           ขณะที่ นายพลเดช ปิ่นประทีป สปช. กล่าวว่า คุณสมบัติของคนที่จะเข้ามาเป็นประธาน และรองประธาน อย่างน้อยต้องเข้าใจ มีความรู้เกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปในภาพรวม และมียุทธศาสตร์ในการทำงาน ต้องมีมิติด้านการบริหารจัดการเรื่องเวลา เพราะระยะการทำงานของ สปช. มีกรอบเวลากำกับ ดังนั้น หากระยะเวลาทำงาน สปช. ไม่สามารถทำประเด็นปฏิรูปให้เป็นชิ้นเป็นอัน จะกระทบได้ ส่วนประเด็นเรื่องของความใจกว้าง และรับฟัง ตนมองว่า คนที่จะมีบทบาทสำคัญ คือ ประธานกรรมาธิการด้านต่างๆ 11 ด้าน นอกจากนั้น ในส่วนของการปฏิรูปที่ตนมอง ต้องให้ความสำคัญกับผลที่ออกมาเป็นสำคัญ และจำเป็นที่ต้องกำหนดแผนการทำงานในระยะสั้น เพื่อเป็นกลไกการปฏิรูปอย่างยั่งยืนต่อไป
 
                           "ส่วนที่มีชื่อของนายเทียนฉาย และนายชัยอนันต์ ก็ถือว่า เป็นคนอาวุโสที่สามารถเข้ามาดูแลการประชุม และการจัดการการปฏิรูปโดย สปช.ได้"
 
                           ด้านนายวุฒิสาร ตันไชย กล่าวว่า ตอนนี้ยังระบุไม่ได้ว่าใครจะเหมาะสมเข้ามาเป็นประธาน และรองประธาน ดังนั้นขอคิดดูก่อน ส่วนแนวทางการทำงาน ตนจะนำผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า มานำเสนอให้สมาชิกไปพิจารณา เชื่อว่าทุกคนมีแนวทางในใจ ดังนั้น เมื่อนำเสนอผลการทำงานไป ก็ต้องรับฟังจากคนอื่นด้วย เพื่อให้เกิดการผสมผสาน และให้เกิดเป็นทิศทางการปฏิรูปที่เหมาะสม ทำให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับของสังคม
 
 
อดีตส.ว.นั่งสปช. เพียบ เผยแก๊ง40 ส.ว.มาเกือบหมด   

                          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายชื่อสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จำนวน 250 คน ปรากฏว่า สามารถแยกได้เป็นกลุ่มต่างๆ อาทิ กลุ่มอดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ตั้งแต่ปี 2543-2557 จำนวน 22 คน โดยเฉพาะอดีตกลุ่ม 40 ส.ว. เกือบทั้งกลุ่ม เช่น นายคำนูณ สิทธิสมาน, นางตรึงใจ บูรณสมภพ,  นายประสาร มฤคพิทักษ์,  นายไพบูลย์ นิติตะวัน, น.ส.รสนา โตสิตระกูล, นายวันชัย สอนศิริ ,นางพรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ , นางทัศนา บุญทอง นอกจากนี้มีอดีตส.ว.เลือกตั้งและสรรหาปี2543-2551 อาทิ พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ อดีตส.ว.มุกดาหาร นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีตส.ว.นนทบุรี นายประเสริฐ ชิตพงศ์ อดีตส.ว.สงขลา นายสมศักดิ์ โล่สถาพรพิพิธ อดีตส.ว.ตรัง พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช อดีตส.ว.สรรหา นายมีชัย วีระไวทยะ อดีตส.ว.กทม. และนายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีตส.ว.กทม.
   
                          ส่วนกลุ่มอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญปี2550 (กมธ.ยกร่างฯ) อาทิ น.ส.พจนีย์ ธนวรานิช อดีตรองประธาน สนช.ปี2549นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธาน สสร. นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี อดีตสสร. นางจุรี วิจิตวาทการ อดีตสสร. นายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ นายกงกฤช หิรัญกิจ อดีตสนช. นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ อดีตสนช. นายวุฒิสาร ตันไชย อดีตกมธ. ยกร่างฯ นายสมชัย ฤชุพันธุ์ อดีตสสร. ซึ่งเป็นน้องชายนายมีชัย ฤชุพันธุ์ สมาชิก คสช.
 
                          นอกจากนี้ยังมีกลุ่มต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนไหวในนามกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)จำนวนมาก อาทิ นายจรัส สุวรรณมาลา นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายชัยอนันต์ สมุทวณิช นายชูชัย ศุภวงศ์ นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ นายพลเดช ปิ่นประทีป นายพงศ์โพยม วาศภูติ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ รวมถึงนายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตกรรมการ คตส. ซึ่งมีบทบาทตรวจสอบพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อปี2549 ในคดีที่ดินรัชดา นอกจากนี้ยังมีผู้ที่มีบทบาททางการเมือง อาทิ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
 
                          สำหรับกลุ่มนักการเมืองที่ได้รับแต่งตั้งเป็น สปช. อาทิ นายชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรมช.กลาโหม รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ อดีตทีมทนายความคดีรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มข้าราชการในอดีตและปัจจุบัน อาทิ นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายประชา เตรัตน์ นายไพโรจน์ พรหมสาส์น อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายดำรง พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานสัตว์และพันธุ์พืช นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และพล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีตรองผบ.ทบ.และคนสนิทพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ

                          ขณะที่กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มภาคเอกชน และกลุ่มเอ็นจีโอ อาทิ นายเทียนฉาย กีระนันท์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมีชื่อเป็นตัวเต็งประธาน สปช. นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ ทีมงานด้านเศรษฐกิจกลุ่มนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษาคสช. นายดุสิต เครืองาม นายกสมาคมอุตสาหกรรมเซลล์แสงอาทิตย์ไทย ซึ่งเป็นน้องชายนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช. นายทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน บ้านกาญจนาภิเษก นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) รวมทั้งนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่คาดว่าจะได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
 
                          สำหรับสัดส่วนสื่อมวลชน ที่ได้เป็น สปช. อาทิ นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท. นายพนา ทองมีอาคม กรรมการ กสทช. นายมานิจ สุขสมจิตร สื่อมวลชนอาวุโส นายบุญเลิศ คชายุทธเดช อดีตคอลัมภ์นิสต์ นางประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด กรรมการบริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา รองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ยลโฉมบ้าน 150 ล.“จักรทิพย์-เมีย”สะสมภาพวาด-ปืน 70 ล.-รวย 968 ล.

ยลโฉมบ้าน 150 ล้าน “จักรทิพย์ ชัยจินดา” รอง ผบ.ตร. สนช.ปี 57 พกปืน 45 กระบอก 4.4 ล้าน สะสมภาพวาดสีอาจารย์ดังอื้อ 66 ล้าน มีบัญชีเงินฝาก “แบงก์ ออฟ อเมริกา” 4 หมื่นดอลลาร์ – ขายพระเครื่อง 4 ล้าน ที่ปรึกษาบริษัท 4.8 แสน - รวยเบ็ดเสร็จ 968 ล้าน

นอกเหนือจากงบราชการลับ 7.2 แสนบาทของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ที่แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ช่วงรับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ปี 2557 โดยระบุว่า ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดงบลับดังกล่าวได้แล้วนั้น

(อ่านประกอบ : “จักรทิพย์”โชว์เงินราชการลับ 7.2 แสนในบัญชี ป.ป.ช.-ปัดแจงรายละเอียด)
พล.ต.ท.จักรทิพย์ ยังครอบครองปืนอีก 45 กระบอก มูลค่ารวมกว่า 4.4 ล้านบาท และพักอาศัยในบ้านของคู่สมรส มูลค่า 150 ล้านบาทอีกด้วย

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สนช. เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2557 แจ้งว่า ดร.บุษบา ชัยจินดา คู่สมรส ครอบครองบ้านเลขที่ 99 หมู่ 5 แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพฯ ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดิน 3 แปลง ได้มาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2543 มูลค่า 150 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังแจ้งครอบครองปืนจำนวน 45 กระบอก มูลค่า 4,406,000 บาท แบ่งเป็น
1.ยี่ห้อ วันซูสท์ เดี่ยวลูกกรด ขนาด .22 ได้มาวันที่ 15 ต.ค. 2530 50,000 บาท 2.ยี่ห้อ โคลท์ ออโตเมติก ขนาด .45 ได้มาวันที่ 15 ต.ค. 2530 80,000 บาท 3.ยี่ห้อ โคลท์ ออโตเมติก ขนาด .45 ได้มาวันที่ 24 เม.ย. 2532 80,000 บาท 4.ยี่ห้อ สมิธแอนด์เวสสัน รีวอลเวอร์ ขนาด .357 ได้มาวันที่ 6 ก.ย. 2536 40,000 บาท 5.ยี่ห้อ เรมิงตัน เดี่ยวลูกกรด ขนาด .22 ได้มาวันที่ 9 ก.พ. 2537 50,000 บาท 6.ยี่ห้อ มาลิน เดี่ยวไรเฟิล ขนาด .357 ได้มาวันที่ 27 ส.ค. 2538 50,000 บาท 7.ยี่ห้อ มาลิน เดี่ยวไรเฟิล ขนาด .44 ได้มาวันที่ 17 ส.ค. 2538 50,000 บาท 8.ยี่ห้อ เบรานิงค์ ออโตเมติก ขนาด 6.35 ได้มาวันที่ 17 ส.ค. 2538 1.5 แสนบาท 9.ยี่ห้อ ซีแซด ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ได้มาวันที่ 10 ต.ค. 2538 70,000 บาท 10.ยี่ห้อ เบลนาลี เดี่ยวลูกซอง 8 นัด ขนาด 12 ได้มาวันที่ 27 ก.ย. 2538 90,000 บาท
11.ยี่ห้อ อันชูสท์ เดี่ยวลูกกรด ขนาด .22 ได้มาวันที่ 5 ก.ค. 2538 40,000 บาท 12.ยี่ห้อ เรมิงตัน เดี่ยวลูกซอง 8 นัด ขนาด 12 ได้มาวันที่ 20 พ.ค. 2538 60,000 บาท 13.ยี่ห้อ สมิท รีวอลเวอร์ ขนาด .357 ได้มาวันที่ 13 มิ.ย. 2539 40,000 บาท 14.ยี่ห้อ เอชเค ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ได้มาวันที่ 22 ต.ค. 2543 85,000 บาท 15.ยี่ห้อ โคลท์ ออโตเมติก ขนาด .45 ได้มาวันที่ 16 ก.ค. 2542 70,000 บาท 16.ยี่ห้อ โคลท์ ออโตเมติก ขนาด .45 ได้มาวันที่ 5 ม.ค. 2543 70,000 บาท 17.ยี่ห้อ พาราฯ ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ได้มาวันที่ 2 สิงหาคม 2543 70,000 บาท 18.ยี่ห้อ สมิธแอนด์เวสสัน รีวอลเวอร์ .357 ได้มาวันที่ 22 พ.ค. 2545 50,000 บาท 19.ยี่ห้อ รูเกอร์ รีวอลเวอร์ ขนาด .357 ได้มาวันที่ 5 สิงหาคม 2545 50,000 บาท 20.ยี่ห้อ คาร์ ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ได้มาวันที่ 8 ต.ค. 2545 50,000 บาท
21.ยี่ห้อ เอส ที ไอ ออโตเมติก ขนาด 9 มม. 16 พ.ค. 2546 2 แสนบาท 22.ยี่ห้อ เอส ที ไอ ออโตเมติก ขนาด .40 ได้มาวันที่ 16 พ.ค. 2546 2 แสนบาท 23.ยี่ห้อ กล็อค ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ได้มาวันที่ 11 ม.ค. 2548 70,000 บาท 24.ยี่ห้อ โคลท์ ปืนสั้น กึ่งอัติโนมัติ .45 มม. ได้มาวันที่ 10 พ.ย. 2552 70,000 บาท 25.ยี่ห้อ ทึกก้า เดี่ยวไรเฟิล ขนาด .223 ได้มาวันที่ 11 ธ.ค. 2552 2.5 แสนบาท 26.ยี่ห้อ เรมิงตัน เดี่ยวไรเฟิล ขนาด .223 ได้มาวันที่ 30 มิ.ย. 2553 90,000 บาท 27.ยี่ห้อ เอส ที ไอ ปืนสั้งกึ่งอัติโนมัติ .45 ได้มาวันที่ 23 เม.ย.2553 1.3 แสนบาท 28.ยี่ห้อ เรมิงตัน เดี่ยวไรเฟิล ขนาด .223 ได้มาวันที่ 28 ก.ค. 2553 90,000 บาท 29.ยี่ห้อ โคลท์ ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ .45 ได้มาวันที่ 2 พ.ย. 2553 90,000 บาท 30.ยี่ห้อ กล็อค ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ ขนาด .45 ได้มาวันที่ 17 มี.ค. 2554 1.5 แสนบาท
31.ยี่ห้อ ซิกซาวเออร์ ปืนยาวลูกกรด .22 ได้มาวันที่ 28 มี.ค. 2554 30,000 บาท 32.ยี่ห้อ อินฟีนิตี้ ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ ขนาด .45 ได้มาวันที่ 25 ก.พ. 2554 2.4 แสนบาท 33.ยี่ห้อ อินฟินีตี้ ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ .45 ได้มาวันที่ 25 ก.พ. 2.4 แสนบาท 34.ยี่ห้อ สมิทแอนด์เวสสัน รีวอลเวอร์ .357 ได้มาวันที่ 26 พ.ค. 2554 1 แสนบาท 35.ยี่ห้อ กล็อค ออโตเมติก ขนาด 9 มม. ได้มาวันที่ 23 พ.ค. 2554 1.6 แสนบาท 36.ยี่ห้อ วอลควอทเซ่น เดี่ยวไรเฟิล .17 ได้มาวันที่ 29 เม.ย. 2554 98,000 บาท 37.ยี่ห้อ เรมิงตัน เดี่ยวไรเฟิล .308 ได้มาวันที่ 10 มี.ค. 2552 60,000 บาท 38.ยี่ห้อ เฮนรี่ ปืนยาวลูกกรด .22 ได้มาวันที่ 21 พ.ย. 2555 38,000 บาท 39.ยี่ห้อ มิตเชล์ ปืนยาวลูกกรด .22 ได้มาวันที่ 26 มิ.ย. 2551 58,000 บาท 40. ยี่ห้อ เอสทีไอ ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ .45 ได้มาวันที่ 9 ต.ค. 2555 2.2 แสนบาท
41.ยี่ห้อ เอสทีไอ ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ 9 มม. ได้มาวันที่ 9 ต.ค. 2555 89,000 บาท 42.ยี่ห้อ กล็อค ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ 9 มม. ได้มาวันที่ 9 ส.ค. 2548 48,000 บาท 43.ยี่ห้อ กล็อค ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ 9 มม. ได้มาวันที่ 18 มิ.ย. 2557 90,000 บาท 44.ยี่ห้อง กล็อค ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ 9 มม. ได้มาวันที่ 18 พ.ค. 2557 90,000 บาท 45.ยี่ห้อ อินฟินีตี้ ปืนสั้นกึ่งอัติโนมัติ .45 มม. ได้มาวันที่ 26 มี.ค. 2557 2.1 แสนบาท

นอกจากบรรดาปืน 45 กระบอกแล้ว พล.ต.ท.จักรทิพย์ ยังสะสมภาพเขียนสีของอาจารย์ด้านศิลปะเป็นจำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 66,490,000 บาท และมีพระบูชาและรูปหล่อหลายองค์ มูลค่ารวม 6.5 แสนบาท
ทั้งนี้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ แจ้งว่า มีรายได้ทั้งหมด 15,396,307 บาท
แบ่งเป็นของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ 6,520,120 บาท (เงินเดือน 810,720 บาท, เงินตำแหน่ง 509,400 บาท, เงินราชการลับ 7.2 แสนบาท, รายได้จากการจำหน่ายพระเครื่อง 4 ล้านบาท, เงินค่าที่ปรึกษา ม.ศรีปทุม + บริษัทเอกชนอื่น ๆ 4.8 แสนบาท)

ของ ดร.บุษบา ชัยจินดา คู่สมรส (รองอธิการบดี ฝ่ายบริหาร ม.ศรีปทุม) 8,876,187 บาท (เงินเดือน 1,737,663 บาท, เงินตำแหน่ง 144,000 บาท, เงินคืนประกันชีวิต (คู่สมรส) 2 ล้านบาท, ค่าเช่าที่ดิน 2,112,000 บาท, เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 134,524 บาท, ดอกเบี้ยหุ้นกู้,สถาบันการเงิน,หุ้นสามัญ 3 ล้านบาท)

มีรายจ่ายทั้งหมด 10,290,780 บาท

แบ่งเป็นของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ 1,760,000 บาท (ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 1,320,000 บาท, ค่าอุปการะบิดามารดา 6 แสนบาท, ค่าต่อทะเบียน,ประกันภัยรถยนต์/จักรยานยนต์ 1.4 แสนบาท) ของ ดร.บุษบา 8,530,780 บาท (ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 2,640,000 บาท, ค่าเล่าเรียนบุตร 8.5 แสนบาท, เงินผ่อนต่าง ๆ 1,534,219 บาท, ค่าต่อทะเบียนฯ 506,561 บาท, ค่าเบี้ยประกันชีวิต 3 ล้านบาท)
มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 968,370,064 บาท

แบ่งเป็นของ พล.ต.ท.จักรทิพย์ 87,467,441 บาท (เงินสด 1 ล้านบาท, เงินฝาก 6 บัญชี 3,719,441 บาท (บัญชีแบงก์ออฟอเมริกา 2 บัญชี รวม 4 หมื่นดอลลาร์), เงินลงทุน 2 แห่ง (บมจ.การบินไทย 2 พันบาท, บจ.อุบลชาติ 5 แสนบาท) 502,000 บาท, ที่ดิน 2 แปลง (จ.ระยอง 10 ล้าน ได้มา 4 ส.ค. 57) 14 ล้านบาท, ยานพาหนะ 5 คัน 7,350,000 บาท, ทรัพย์สินอื่น (ราคาตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) 70,896,000 บาท

ของ ดร.บุษบา 870,902,622 บาท (เงินสด 6 ล้านบาท, เงินฝาก 24 บัญชี 89,826,585 บาท, เงินลงทุน 38 แห่ง 175,172,975 บาท, ที่ดิน 84 แปลง 365,218,805 บาท, โรงเรือนฯ 17 หลัง 197,894,257 บาท (บ้านเขตสายไหม จ.กรุงเทพ 150 ล้านบาท), ยานพาหนะ 9 คัน 31.2 ล้านบาท, ทรัพย์สินอื่นฯ 5.5 ล้านบาท (นาฬิกา 3 เรือน))

มีหนี้สินทั้งสิ้น 6,302,541 บาท เป็นเงินกู้จากธนาคารของ ดร.บุษบา ทั้งหมด
มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 962,067,522 บาท
อ่านประกอบ : ป.ป.ช.เล็งสอบ“จักรทิพย์”แจ้งรายได้งบลับ-โชว์สมบัติ“ครม.บิ๊กตู่” 31 ต.ค.http://www.isranews.org/component/content/article/57-isranews/isranews-news/33432-nacc01_33432_01.html
รวมมิตร นายกฯประยุทธ์...
พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี บอก ไม่ชอบให้เรียก"ประยุทธ์นิยม"หรือ"ประยุทธ์ ฟีเวอร์"เพราะจะเป็นแป๊บเดียวก็หาย อยากเป็นประเทศ ไทยนิยม ไทยฟีเวอร์ ย้ำไม่อยากเป็นนายกฯนาน แต่เป็นปีเดียว หริอเปล่าไม่รู้. แต่ไม่ใช่ "ประยุทธ์ โมเดล" แต่เป็นไทยโมเดล ต้องแก้แบบนี้

"รักประเทศไทย รักคนไทยทุกคน" นายกฯประยุทธ์ บอก อยากตะโกน ตอนนี้....

เผย พรบ.ควบคุมการชุมนุม ใกล้เสร็จแล้ว ยันตัองทำ. ที่ผ่านมาทำไม่ได้ เพราะการเมือง รัฐบาลนี้ ไม่การเมือง ทำให้ได้ ย้ำตัองเห็นใจเจ้าหน้าที่ ในการทำงาน ต้องมีกม.คุ้มครอง

ส่วนกรณี "พ.อ.อภิวันท์"เสียชีวิตกลับมาเพราะเป็นคนไทย เตือนผิด ม.112 ไม่ได้ ขอให้คนหนีตปท.กลับมา ถามหนีไปทำไม เขาผิดกม.ก็ควรต่อสู้ แต่หนีไปก่อน

"ฉั้น เป็นคนที่ชอบอธิบาย ขนาดมาพูดอย่างนี้ทุกวัน ชี้แจง พวกเธอยังเขียนไม่ตรง ยังไป มโน กันเองเลย อยากให้คนเข้าใจ ลดขัดแย้ง ถามใครอยากเป็นนายกฯ มาเลย ตอนนั้นไม่เห็นมีใครสมัคร. ผมถึงต้องมาทำไง"....."ผมเแป็นมนุษย์ เป็นปุถุชน ก็ผมยังวัยรุ่นอยู่. อารมณ์รัอน" 5555 มุข บิ๊กตู่ วันนี้

จากเพจ  วาสนา นาน่วม