PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

เปลือย 'ปิยบุตร-ธนาธร'

เปลือย 'ปิยบุตร-ธนาธร'


     
    ไม่ต้องแปลกใจ....
    กับข่าววันหวยออก     
    ขูดต้นตะเคียน กล้วยร้อยหวี หมูสองหัว วัวห้าขา ไก่สี่ตีน 
    ผ่านมาหมดแล้ว
    และวันนี้มาถึงคิว...
    "เสาไฟฟ้าใบ้หวย"
    ชาวบ้านเข้าแถวนั่งพับเพียบไหว้เสาไฟฟ้าขอหวย 
    สำหรับคนอยากถูกหวย อะไรก็ไหว้ได้ แค่ใส่ "สตอรี่" เข้าไปนิดหน่อย 
    ให้ดูน่าเชื่อถือ 
    เสร็จแล้วเอาผ้าเจ็ดสีมาผูก
    เป็นอันครบสูตร
    เชื่อเถอะครับ นักล่ารางวัล พร้อมที่จะจุดธูปไหว้ ขอเลขเด็ด
    มันไม่ใช่เรื่องฉาบฉวย 
    เป็นประเด็นทางวัฒนธรรมที่ต้องถกเถียงกันเลยทีเดียว 
    ไปดูต้นตอข่าวกันก่อน 
    วานซืน นักข่าวรายงานจากบ้านท่าลาด หมู่ที่ ๓ ตำบลศรีณรงค์ อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ว่า...เห็นชาว
บ้านทำกิจกรรมอะไรบางอย่างอยู่ที่ริมถนน จึงได้เข้าไปตรวจสอบ
    พบว่า ชาวบ้านกำลังช่วยกันนำผ้าเจ็ดสีมาผูกเสาไฟฟ้า และพากันนำเอาดอกไม้ ธูปเทียน มากราบไหว้บูชา
เสาไฟฟ้า หลังให้เลขเด็ดตรงๆ 
    "๓ งวดติดต่อกัน"
    แถมถูกกันทั้งหมู่บ้าน!!!
    คนต้นคิด ก็คือคนที่สร้างสตอรี่เล่าว่า หลายเดือนที่แล้วได้เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ซิ่งมาชนเสาไฟฟ้า
ต้นที่ว่านี้
    คนขับตาย!
    ไฟฟ้าอยู่ช่วงทางโค้งหักศอก จึงคิดว่าวิญญาณของผู้เสียชีวิตน่าจะสิงสถิตอยู่ที่เสาไฟฟ้าต้นนี้ จึงได้ลอง
ทำพิธีขอหวยดู และผลที่ออกมาปรากฏว่า โคตรมหาเฮง ทำให้ถูกหวย ๓ งวดซ้อน...
    เป็นไงครับ?
    ผูกเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมา 
    สำหรับคนที่เชื่อ ต่อให้ขึ้นเขาลงห้วย บุกฝ่าขวากหนาม...ก็เอา
    ที่ไม่เชื่อ ก็ได้แต่...งง!!! ว่า...เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร 
    ประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่เสาไฟฟ้า 
    แต่อยู่ในสตอรี่ที่ถูกสร้างขึ้นมา 
    กรณีคล้ายกับการเลือกตั้งที่พัทลุงเมื่อหลายสิบปีก่อน 
    เพราะกระแสนายหัวชวนฟรีเวอร์ คนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนถึงกับไปพูดว่า...
    ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ชนะ!
    ฟังดูเหมือนหยามกัน
    เอาเสาไฟฟ้าลงสมัคร ส.ส.แข่งกับคน คนพัทลุงก็เลือกเสาไฟฟ้า
    มันคือการสร้างสตอรี่ ที่ใช้เสาไฟฟ้าเป็นตัวหลักเหมือนกัน 
    ทำให้เสาไฟฟ้าศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน 
    และเล่นกับศรัทธาเหมือนกัน 
    ฉะนั้นจึงอยู่ที่คนสร้างสตอรี่ว่า จะให้เรื่องเป็นแบบไหน
    คนหนึ่งมองเสาไฟฟ้าว่าศักดิ์สิทธิ์ให้หวยได้ 
    อีกคนมองว่า...คือเสาปูน เอาไว้แขวนสายไฟฟ้าแรงสูง
    นั่นอยู่ที่พื้นฐานของแต่ละคน 
    และยังมีลึกไปกว่านั้น 
    บางคนไม่ให้ราคาเสาไฟฟ้า เพราะมองเป็นแค่แท่งปูน ที่หมาเยี่ยวรด 
    แต่อีกคนมองว่า...นั่นคือเสาที่ช่วยพยุงพลังงานของชาติ ถ้าปราศจากเสาไฟฟ้า จะเกิดความติดขัด
ในการใช้พลังงานของประเทศ 
    สังคมนี้จึงมีคนอยู่หลายแบบ 
    มีความคิดความอ่านที่หลากหลาย 
    มีสาระ ไร้สาระ สิ้นคิด เป็นการเป็นงาน ปะปนกันไป 
    แต่หากคนสร้างสตอรี่ไร้ความรับผิดชอบ เห็นแก่ตัว มองเสาไฟฟ้าเป็นแค่แท่งปูนที่หาประโยชน์เข้าตัว 
โดยไม่สนใจว่า เสาไฟฟ้านั้นหยั่งรากลึกทำหน้าที่สายส่งพลังงานไฟฟ้าอยู่หรือไม่...ก็นำมาซึ่งหายนะ 
    นี่คือจุดเล็กๆ ในปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของชาติ 
    ประเทศไทยมีปัญหาเยอะแยะไปหมด มีคนอยากจะปรับโน่นเปลี่ยนนี่ 
    บางคนมองปัญหาอย่างฉาบฉวย เอาแต่ตำหนิ ติติง ว่า รากไม่ดี ต้องถอนทิ้ง 
    หลายคนมองข้าม "รากเหง้า" เอาความคิดของตนเป็นใหญ่ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ คิดแม้
กระทั่งจะขุด "รากแก้ว" ที่ช่วยพยุงองคาพยพนี่อยู่! 
    ไม่พูดถึงคงไม่ได้.......
    เปิดตัวกันไปอย่างเอิกเกริก สำหรับพรรคอนาคตใหม่ ของไพร่หมื่นล้าน "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" และนักวิชา
การร้อนวิชา "ปิยบุตร แสงกนกกุล"
    หลังจากติดตามมาระยะหนึ่งได้เห็นแนวทั้งปัจจุบัน และอดีต ของคนกลุ่มนี้ 
    ก็ไม่ขี้เหร่ครับ
    แต่...ใบที่ไม่รู้จักราก จะเบ่งบานได้อย่างนั้นหรือ? 
    ปลายเสาไฟฟ้าที่ไม่มีรากฝังดินจะยืนอยู่ได้อย่างไร 
    นี่เป็นคำถาม ที่สังคมไทยต้องไปหาคำตอบ 
    รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท จะเติบโตทางการเมืองได้อย่างไร หากปราศจากการ
สนับสนุนจาก ตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ และไทยซัมมิท 
    จึงรุ่งเรืองกิจ และไทยซัมมิท เติบโตมาได้อย่างไร หากประเทศไทยในอดีตมันไร้ค่า จนถึงขนาดต้อง
ตีฆ้องร้องป่าวกันว่า หากมีอำนาจอยู่ในมือจะรื้อระบอบเก่า 
    นี่ไม่ใช่เรื่องซ้ายจัด หรือขวาตกขอบ... 
    แต่เป็นเรื่องรากเหง้าของประเทศ ที่มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง
    กลับมีแนวคิดตัดตอนประวัติศาสตร์ เอะอะอ้างต้องคนรุ่นใหม่ คิดแบบใหม่ ถ่มถุยคนรุ่นเก่า สร้างสตอรี่ 
ผ่านคำว่า ประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ มนุษยชน พูดถึงอนาคต สร้างจินตนาการถึงโลกยูโทเปีย สู่ประ
ชาธิปไตยที่สมบูรณ์ 
    อืมมมม....ประชาธิปไตยในอังกฤษ อเมริกา วันนี้ยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเลย 
    ประเด็นคือ มีคนกลุ่มหนึ่งลุกขึ้นมา แล้วบอกว่า ต้องรื้อโครงสร้างประเทศใหม่ ไม่เอาของเก่า แล้ว
สร้างสตอรี่ขึ้นมาเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งเดินตาม 
    ถามว่าเริ่มต้นแบบนี้มันจะไปได้หรือ
    ประเด็นสำคัญ....จุดประสงค์คือการเข้าสู่การเมืองอย่างนั้นหรือ
    หรือมีเหตุผลอื่น? 
    ถ้าจะให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นต้องดู บทความเรื่อง "คำถามคาใจกับการก่อตั้งพรรคคนรุ่นใหม่ของปิยบุตรกับ
ธนาธร" ที่เขียนโดย "ใจ อึ๊งภากรณ์"  
    ...การที่ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล กับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศตั้งพรรคแนวทางใหม่ของคนรุ่นใหม่ 
ที่ชูแนวคิดพรรคซ้ายใหม่ในยุโรป เป็นการเริ่มต้นที่ดี และคนจำนวนมากก็คงตั้งความหวังไว้กับการสร้างพรรคนี้
    อย่างไรก็ตาม ผมมีคำถามคาใจหลายประเด็น ที่ผมอยากจะถาม เพื่อให้พวกเราที่รักประชาธิปไตยและ
ความเป็นธรรมร่วมกันพิจารณา
    การที่ อ.ปิยบุตร เอ่ยถึงพรรคซีรีซา (Syriza) ของกรีซ พรรคโพเดมอส (Podemos) ของสเปน และพรรคห้า
ดาวของอิตาลี ในแง่หนึ่งก็ดี เพราะกล้าพูดถึงฝ่ายซ้ายหรือพรรคทางเลือกใหม่อย่างเปิดเผย
    แต่พรรคที่ อ.ปิยบุตร เลือกมานี้ล้วนแต่มีปัญหาที่ชวนให้เราตั้งคำถามต่อไป
    พรรคซีรีซาชนะการเลือกตั้งและสร้างความหวังกับประชาชนธรรมดาในกรีซจำนวนมาก แต่ในไม่กี่เดือนก็หัก
หลังประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาลใหม่ยกเลิกนโยบายรัดเข็มขัดตามแนวเสรีนิยม (Neoliberal) ซึ่งนโยบายดัง
กล่าวองค์กรระหว่างประเทศในอียูบังคับให้ทำ ตอนนี้รัฐบาลซีรีซาตัดสวัสดิการคนชรา ตัดการบริการของรัฐ 
และกดค่าแรงหรือปลดคนงานออกในระดับที่รุนแรงกว่าพรรคอนุรักษนิยมในอดีต...
    ประเด็นคือถ้า อ.ปิยบุตร เสนอว่าจะต้านนโยบายเสรีนิยม ซึ่งเป็นเรื่องดี พรรคคนรุ่นใหม่ของไทยจะคัดค้าน
นโยบาย “การรักษาวินัยทางการคลัง” ที่รัฐบาลทหารและรัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้มาตลอดอย่างไร? นโยบาย
ดังกล่าวถูกบรรจุในยุทธศาสตร์แห่งชาติของเผด็จการด้วย พรรคคนรุ่นใหม่จะเสนอให้มีการเพิ่มบทบาทและงบ
ประมาณรัฐในการพัฒนาระดับความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ทำงานหรือไม่? จะเสนอให้สร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า
แบบยุโรปหรือไม่? และจะมีการเพิ่มรายได้รัฐผ่านการเก็บภาษีจากคนรวยและบริษัทใหญ่ในอัตราก้าวหน้าหรือไม่? 
เพราะการต่อต้านแนวเสรีนิยมต้องมีองค์ประกอบดังกล่าว 
    แล้วการที่รองประธานบริษัท ซัมมิท ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแกนนำสำคัญของพรรค จะทำให้พรรคไม่เสนอ
นโยบายการเก็บภาษีก้าวหน้าหรือไม่?
    พรรคซีรีซา และพรรคซ้ายอื่นๆ ในยุโรปมีความสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ กับขบวนการสหภาพแรงงาน ผมหวัง
ว่าพรรคคนรุ่นใหม่ในไทยจะขยันในการสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพแรงงาน เรื่องนี้สำคัญ เพราะพรรคกระแส
หลักเก่าๆ ของไทยล้วนแต่เป็นพรรคของชนชั้นนายทุนทั้งสิ้น สหภาพแรงงานเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสัง
คมที่มีความสำคัญ และเป็นการจัดตั้งของคนชั้นล่าง ผมหวังว่าการที่ อ.ปิยบุตร เคยพูดว่า “ชนชั้นไม่ใช่ประเด็น
ในไทย” ไม่ได้เป็นการจงใจปิดหูปิดตาถึงความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งทางชนชั้นที่ดำรงอยู่ เพื่อสร้างแนวร่วม
กับนายทุนบริษัท ซัมมิท
    ในปี ๒๕๔๙ พนักงานบริษัท ไทยซัมมิท อีสเทิร์น ซีบอร์ด ออโต้พาร์ท อินดัสตรี จำกัด จำนวน ๒๖๐ คน 
ถูกเลิกจ้างงาน เพราะได้ไปสมัครเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานฟอร์ดและมาสด้าประเทศไทย ต่อมาในปี ๒๕๕๗ 
บริษัท ซัมมิท มีการกดดันให้พนักงานทำงานล่วงเวลา แทนที่จะจ่ายค่าจ้างในระดับเพียงพอและรับสมัครคนงานเพิ่ม 
และบริษัทก็ลงโทษพนักงานที่ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานล่วงเวลา 
    นอกจากนี้ทางบริษัทได้ออกคำสั่งให้กรรมการสหภาพ ๔ ท่าน คือ ประธาน รองประธาน กรรมการพื้นที่แหลม
ฉบัง และกรรมการพื้นที่ระยอง หยุดปฏิบัติงาน เพื่อหวังปลดออก สรุปแล้วบริษัท ซัมมิท ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
 มีประวัติการปราบปรามสหภาพแรงงาน และละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในการรวมตัวกันของลูกจ้าง สิ่งเหล่านี้จะ
ขัดแย้งกับนโยบายของพรรคคนรุ่นใหม่ที่ประกาศว่าจะพาคนไทยออกจากยุคเผด็จการหรือไม่? หรือพรรคจะไม่
สนใจประชาธิปไตยในสถานที่ทำงาน? นอกจากนี้พรรคจะมีนโยบายที่ดีกว่ารัฐบาลอื่นๆ ในเรื่องการขึ้นอัตราค่าจ้าง
ขั้นต่ำหรือไม่? จะมีนโยบายในการลดชั่วโมงการทำงานของคนทำงานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตหรือไม่?...
    พรรคโพเดมอสใช้ความคิดชาตินิยมจนมีบทบาทในการสนับสนุนการปกป้องรัฐสเปนจากการแบ่งแยกที่อาจเกิด
ขึ้นจากขบวนการอิสรภาพของคาตาโลเนีย ดังนั้นเราต้องถามว่า ในกรณีสังคมเรา พรรคคนรุ่นใหม่จะมีท่าทีอย่างไร
ต่อความต้องการที่จะปกครองตนเองของชาวปาตานี?
    พรรคห้าดาวของอิตาลี เป็นพรรคที่เกือบจะไม่มีนโยบายอะไรนอกจากการประกาศว่าพรรคไม่เหมือนพวกนักการ
เมืองรุ่นเก่า ในอดีตประเทศไทยก็เคยมี “พรรคพลังใหม่” หลังการลุกฮือ ๑๔ ตุลา พรรคนี้ก็เกือบจะไม่มีนโยบายอะไร
ที่จับต้องได้ นอกจากการพูดว่าเป็นพรรคเอียงซ้ายของคนรุ่นใหม่ พรรคของปิยบุตรกับธนาธรจะออกมาในรูปแบบ
คล้ายกันหรือไม่ ผมหวังว่าคงไม่ แต่ไม่แน่ใจ...
    ครับ...พอหอมปากหอมคอ เป็นเรื่องของฝ่ายซ้ายเขาวิจารณ์กันเอง และหงุดหงิดที่ไปไม่สุด ไม่ยอมเสนอเลิก
 ม.๑๑๒ ด้วย 
    แต่ก็ได้รู้จัก "ธนาธร-ปิยบุตร" กันมากขึ้น
    นี่แหละครับวัฒนธรรมเสาไฟฟ้า.
                            ผักกาดหอม 

‘ธนาธร-ปิยบุตร’ คิกออฟ ‘พรรคอนาคตใหม่’

‘ธนาธร-ปิยบุตร’ คิกออฟ ‘พรรคอนาคตใหม่’


หมายเหตุ – นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท และนายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ แถลงเปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ ที่แวร์เฮ้าส์ เจริญกรุง 30 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

วันนี้กลุ่มที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน และฝันเห็นอนาคตร่วมกัน รวมตัวกันทั้งสิ้น 26 คน จะยื่นจดจัดตั้งพรรคใหม่ภายใต้ชื่อพรรคอนาคตใหม่ อนาคตใหม่ คือ พื้นที่ของคนไม่ยอมจำนนต่อสภาวการณ์ปัจจุบัน อนาคตใหม่ คือ การเชิดชูและเทิดทูนคุณค่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน อนาคตใหม่ คือ การต่อสู้เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าและเป็นธรรมให้กับคนทุกคน อนาคตใหม่ คือ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ โดยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความฝันและจินตนาการ และมนุษย์ทุกคนมีสิทธิเดินตามความฝันและปกป้องความฝันของตนเองไว้ ด้วยความเชื่อเช่นนี้จึงรวมตัวกันจดจัดตั้งพรรคการเมืองที่เชื่อว่าจะยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน
ภายใต้ความขัดแย้งที่ยาวนาน การกดขี่ ลิดรอนเสรีภาพของประชาชน การใช้กำลังอันป่าเถื่อน และไม่เป็นธรรม ปิดปากความคิดเห็นคนที่คิดต่างกับผู้มีอำนาจ ปิดปากคนวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจ ผมชื่นชมและภูมิใจในกลุ่มคนที่เข้าร่วม และนายปิยบุตรที่มาร่วมสร้างพรรคการเมืองใหม่ในวันนี้ด้วยกัน มาร่วมจุดประกายความฝันให้กับสังคมร่วมกัน
วันนี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด เราเชื่อว่าคนธรรมดาสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยได้ วันนี้คนธรรมดาพร้อมที่จะเปล่งเสียง มีส่วนร่วม และสนุกสนานไปกับการเมือง นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อ

ปิยบุตร แสงกนกกุล

คุณคิดว่าเราและลูกหลานของเราจะมีชีวิตแบบใด ในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างร้าวลึกมากว่าทศวรรษ ประเทศที่มีการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญทุกๆ 4 ปี ประเทศที่กองทัพฉวยโอกาสเข้าครองอำนาจอยู่เสมอในเวลาบ้านเมืองมีวิกฤต ประเทศไทยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ด้านหนึ่งการเมืองแบ่งขั้วอย่างชนิดที่ไม่สามารถหาจุดร่วมกันได้เลย เป็นอุปสรรคต่อการเจรจากัน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นการเมืองแบบเผด็จการทหาร ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้ความขัดแย้งไม่อาจยุติลงได้ และไม่สามารถหาฉันทามติของคนในชาติได้ ตรงกันข้ามกลับทำให้ปัญหาร้าวลึกลงไปอีก
เมื่อการเมืองแบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย ผู้สนับสนุนแต่ละฝ่ายต่างทุ่มสรรพกำลังกับการทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งที่เอาเข้าจริงๆ แล้วผู้สนับสนุนแต่ละฝักฝ่าย ต่างเป็นประชาชนผู้ใฝ่ฝันถึงระบอบการเมืองที่ดี ชีวิตที่ดี เศรษฐกิจที่ดี สำหรับตนเองและลูกหลาน ความขัดแย้งระหว่างประชาชนด้วยกันเองมีแต่ทำให้ประชาชนแย่ลง ขณะที่ผู้มีอำนาจไม่กี่คนกลับตักตวงเอาผลประโยชน์จากความขัดแย้ง เราเห็นพ้องต้องกันว่า จะต้องมีพลังใหม่เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยให้กลับคืนมาอีกครั้ง นำพาประเทศนี้ออกจากภาวะวิกฤต จึงรวมตัวกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ เพื่อความหวังในการกลับสู่ประชาธิปไตย เพื่อเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ดีกว่า และเพื่อปรับภูมิทัศน์การเมืองไทยให้ดีขึ้น
ประการแรก พรรคอนาคตใหม่จะทำให้ประชาชนคนไทยเห็นร่วมกันว่า สามารถกลับสู่การเมืองแบบประชาธิปไตยได้ วิกฤตการณ์ตลอดทศวรรษทำให้กองทัพครองอำนาจได้อย่างยาวนาน โดยอ้างตัวเป็นคนกลางเข้ามาแก้ไขวิกฤต ทั้งที่ความจริงแล้วกองทัพก็คือคู่ขัดแย้ง และเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา สร้างภาพหลอนอยู่เสมอว่า หากกลับไปสู่ประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้ง ความขัดแย้งวุ่นวายตลอด 10 ปีจะกลับมาอีก ทำให้คนจำนวนมากต้องยอมทนอยู่กับรัฐบาลทหารเช่นนี้เรื่อยไป ผู้คนจำนวนมากเบื่อหน่ายกับการเมือง ท้อแท้ สิ้นหวัง จนคิดไปว่าการเมืองระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นการสร้างพรรคการเมืองแบบใหม่จะช่วยกระตุกความคิดของคนในสังคมให้มีทางออก และมีทางเลือกใหม่ ที่ทำให้คนมีความหวังว่าการเมืองจะดีขึ้น พร้อมกลับไปสู่การเลือกตั้ง กลับไปสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย และเชื่อว่าความขัดแย้งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องปกติ ประชาชนเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขกันเอง
ประการที่สอง พรรคอนาคตใหม่มุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ โดยมีวิธีบริหารจัดการแบบใหม่ หลอมรวมคนที่ไม่ยอมจำนนกับสิ่งที่เป็นอยู่ คนที่มีความรู้ความสามารถเข้าไว้ด้วยกันเพื่อสร้างการเมืองแบบใหม่ เสนอนโยบายแบบก้าวหน้า นโยบายที่เน้นการกระจายอำนาจ นโยบายทำให้ประชาชนมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม พัฒนาคุณภาพชีวิต ทลายการผูกขาดทางเศรษฐกิจ พัฒนาระบบสวัสดิการ สร้างหลักประกันถ้วนหน้าให้กับคนทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ส่งเสริมให้ประชาชนมีศักยภาพเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทาย สร้างกฎหมายให้ทันกับยุคสมัย เอื้อต่อธุรกิจในรูปแบบใหม่มิใช่เป็นอุปสรรคขัดขวาง

และประการสุดท้าย พรรคอนาคตใหม่ต้องการเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไทย มุ่งทำงานอย่างสร้างสรรค์ นำเสนอนโยบายและลงมือปฏิบัติ พรรคอนาคตใหม่มีประชาชนทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของผ่านการระดมทุน ระดมสมอง บริหารจัดการแบบประชาธิปไตยจากรากฐาน เป็นพื้นที่เปิดกว้างสำหรับทุกเสียง นโยบายของพรรคมาจากการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ และการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน พรรคอนาคตใหม่จะสามารถปักหมุด การเมืองไทยจะมิใช่การทำลายล้างศัตรู แต่การเมืองไทยคือการสร้างสรรค์ การเมืองไทยจะไม่ใช่เรื่องสกปรกหรือใส่ร้ายป้ายสี แต่การเมืองไทย คือ การเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเป็นไปได้เสมอ
การเมืองไทยจะไม่ใช่เรื่องของชนชั้นนำทางการเมืองของคนไม่กี่คน แต่จะเป็นเรื่องของประชาชนที่ทรงอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ พรรคการเมืองแบบนี้อาจไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในการเมืองไทย และคงไม่มีใครคาดว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่อดีตเป็นบทเรียนและประสบการณ์ อดีตไม่ใช่ตัวกำหนดอนาคต เพราะอนาคตเป็นของเรา หากเราเชื่อว่าเป็นไปได้ และลงมือทำ เช่นนี้ก็คือพวกเราเป็นผู้กำหนดอนาคต ประเทศไทยสูญเสียโอกาสและเวลาไปมากพอแล้ว ประชาชนคนไทยต้องมีชีวิตดีกว่านี้ และเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ขอเพียงมีการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย เข้มแข็ง และสร้างสรรค์
นี่คือห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ หากประชาชนไม่ร่วมมือกันกำหนดอนาคตของตัวเองเพื่อนำพาประเทศไทยออกจากทศวรรษที่สูญหายนี้ ประเทศไทยจะเสียหายมากกว่านี้ และเราอาจไม่มีโอกาสฟื้นมันกลับมาได้อีกแล้ว ต้องมุ่งหน้าสู่การทวงคืนอนาคต ร่วมทวงคืนอนาคตของเรา ร่วมทวงคืนอนาคตของประเทศไทย อนาคตใหม่เพื่อไทยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน เพื่อประเทศไทยที่มีอนาคต

– จะลบภาพความเป็นนายทุน และความเป็นอาจารย์นิติราษฎร์ได้อย่างไร และก่อนหน้านี้เคยพูดเรื่องไม่เห็นด้วยกับมาตรา 112 ณ วันนี้จุดยืนเรื่องนี้เป็นอย่างไร

ธนาธร : คำถามเรื่องนายทุนตอบง่าย แต่ไม่แน่ใจว่าจะล้ำเส้นสิ่งที่ คสช.อนุญาตให้พูดได้ในวันนี้หรือไม่ แต่จะลองตอบดู ผมคิดว่าจะทำให้พรรคนี้เป็นพรรคที่ยืนอยู่ด้วยหลักการประชาธิปไตยที่สุด สิ่งที่อยากเห็นในสังคมจะต้องสร้างที่นี่ก่อน จะทำให้ประชาธิปไตยอยู่ในกระบวรการตัดสินใจทุกลำดับ ตั้งแต่การเลือกผู้สมัคร การกำหนดทิศทางของพรรค การกำหนดนโยบาย ทุกการตัดสินใจในพรรคต้องยึดโยงกับสมาชิก
ส่วนด้านการเงิน ไม่อยากให้พรรคนี้เป็นพรรคที่เติบโตและอยู่ต่อไปด้วยเงินจากกระเป๋าของผม แต่จะทำให้พรรคนี้สามารถระดมทุนจากประชาชนเป็นไปได้จริง จะใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่เป็นเครื่องมือในการระดมทุนจากประชาชน เชื่อว่าพรรคการเมืองที่อยู่ได้จากการระดมทุนจากประชาชนเป็นไปได้ และเมื่อได้เงินจากประชาชนจะทำให้ต้องฟังเสียงของพวกเขา จะไม่มีใครที่มีอำนาจเหนือสมาชิกพรรค
ปิยบุตร : ผมเคยร่วมกับเพื่อนอาจารย์เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะมาตรานี้ถูกนำไปใช้ทำลายล้างกัน กลั่นแกล้งกัน ทำลายศัตรูทางการเมือง วันนี้มีหลายๆ กรณีเป็นตัวบ่งชี้ แม้แต่กลไกของรัฐเอง ก็จะต้องปรับปรุงกฎหมายอาญามาตรานี้เช่นกัน เราเห็นทิศทางของคำพิพากษาที่ยกฟ้อง สะท้อนว่ารัฐเองก็ตระหนักถึงปัญหาของการใช้กฎหมายอาญามาตรานี้ การปรับปรุงแก้ไขจะทำให้บุคคลทั้งหลายไม่สามารถนำกฎหมายมาตรานี้มาใช้ทำลายล้างกันได้อีก
วันนี้ผมเปลี่ยนบทบาทมาลงสนามการเมือง หลายคนอาจจะตั้งคำถามว่า พรรคการเมืองนี้จะเอาอย่างไรต่อไปกับการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ พรรคนี้เป็นของสมาชิกทุกคน นโยบายทุกเรื่องที่จะนำเสนอมีหลากหลาย นโยบายเกิดจากการตัดสินใจร่วมกันของสมาชิก และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ณ วันนี้ คสช.ไม่อนุญาตให้พูดเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นคำถามที่ว่ามีโอกาสที่จะทำหรือไม่ เวลานี้ยังตอบไม่ได้ การจะเสนอหรือไม่ อยู่ที่สมาชิกและการรับฟังความเห็นของประชาชน
สำหรับความสัมพันธ์ของผมกับอาจารย์นิติราษฎร์ วันนี้พรรคการเมืองพรรคนี้ก็เปิดเผยชื่อแล้ว คือพรรคอนาคตใหม่ ผมไม่เคยปฏิเสธว่าได้ร่วมก่อตั้งและเป็นสมาชิกนิติราษฎร์ ซึ่งถือเป็นเกียรติยศ และความภาคภูมิใจ ที่ได้เสนอข้อเสนอจำนวนมากบนพื้นฐานที่ต้องการปลูกฝังนิติรัฐและระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
ณ วันนี้ผมกำลังจะเปลี่ยนบทบาทจากนักวิชาการมาสู่สนามทางการเมือง ดังนั้นบทบาทต้องเปลี่ยนแปลงไป นิติราษฎร์ยังเป็นนักวิชาการ ผมมีบทบาทในทางการเมือง ไม่เกี่ยวข้องกัน

ปลุกผี โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

ปลุกผี โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน



แฟ้มภาพ
ที่กล่าวกันว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 แนวทางการเมือง คือ ฝ่ายเอานายกฯคนนอก กับฝ่ายต่อต้านนายกฯคนนอก หรือระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมทางการเมือง ซึ่งต้องการย้อนการเมืองกลับไปเหมือนยุค “ป๋าเปรม” ถอยหลังกลับไป 30-40 ปี กับฝ่ายเสรีประชาธิปไตยที่ต้องการให้การเมืองก้าวไปข้างหน้า ปฏิเสธกรอบกติกาที่ล้าหลัง

ตอนนี้เราก็เห็นภาพเช่นนั้นแล้วจริงๆ

เช่น มีหลายพรรคการเมืองที่ประกาศจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วงการรัฐประหาร และเตรียมจะเป็นนายกฯอีกสมัยในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ทั้งมีข่าวชี้ว่า พรรคพลังประชารัฐ ที่ไปยื่นจดแจ้งเอาไว้แล้วนั้น จะเป็นพรรคฐานสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ของจริง

ดูได้จากการใช้ชื่อพรรคที่แอบอิงคำว่า “ประชารัฐ” อันเป็นโครงการที่ทีมงานเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. จับมือกับกลุ่มทุนใหญ่ๆ เพื่อผลักดันโครงการต่างๆ ลงสู่ชุมชน สู่ชนบท ซึ่งมีผู้วิเคราะห์เอาไว้ว่า มีเป้าหมายเพื่อครองใจประชาชนรากหญ้า ให้เหนือกว่านโยบายประชานิยมของรัฐบาลไทยรักไทย เพื่อไทย นั่นเอง

มีความเคลื่อนไหวหลายอย่าง ในการผลักดันพรรคพลังประชารัฐ ที่เห็นถึงความเชื่อมโยงกับรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลนี้ แถมการใช้ชื่อซึ่งแอบอิงโครงการของรัฐบาล คสช. ก็ยิ่งเห็นความเป็นไปได้สูงมาก
ขณะเดียวกัน เมื่อมีพรรคการเมืองที่เตรียมผลักดันนายกฯคนนอกให้เข้ามากุมอำนาจหลังการเลือกตั้ง
ก็มีพรรคการเมืองดั้งเดิมคือ เพื่อไทย ที่มีจุดยืนชัดเจนแน่นอน นั่นคือต่อต้านนายกฯคนนอก เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับรัฐบาลทหารและรัฐบาลที่จะสืบทอดความเป็น คสช.ต่อไปอย่างแน่นอน

รวมทั้งมีพรรคการเมืองแนวทางเลือกใหม่ ตัวแทนของคนหนุ่มสาวเลือดใหม่ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกเริ่มเปิดตัว นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจและมีจุดยืน
แนวคิดที่แจ่มชัด ร่วมกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการแห่งกลุ่มนิติราษฎร์

“พรรคอนาคตใหม่” จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่สำคัญอีกพรรค ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้

นี่คือภาพรวมของการต่อสู้ 2 แนวทางในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

แต่ขณะเดียวกัน มีพรรคการเมืองดั้งเดิมอีกหลายพรรค ที่คนในสังคมสนใจใคร่รู้ว่าจะยืนอยู่ในแนวทางไหน


โดยเฉพาะพรรคใหญ่และเก่าแก่คือประชาธิปัตย์ เมื่อโดนคำถามว่าจะสนับสนุนนายกฯคนนอก หรือไม่เอานายกฯคนนอก จะร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อต่อต้านนายกฯที่ไม่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่

คำตอบจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงต้องหันไปปลุกคำว่าระบอบทักษิณขึ้นมา เพื่ออธิบายถึงสาเหตุที่จะไม่จับมือกับเพื่อไทย

เท่ากับว่ายังจะหาบทสรุปที่ชัดเจนสำหรับประชาธิปัตย์ไม่ได้ และไม่สุดท้ายก็คงงัดกลวิธีปลุกผีระบอบทักษิณเพื่อเป็นข้ออ้างในการตัดสินใจนั่นเอง

ทั้งยังน่าคิดว่า การปลุกผีระบอบทักษิณขึ้นมาอีกครั้งก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง เหมือนจะสอดคล้องกับคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ว่า

“ขอให้เลือกเอาแล้วกันว่าจะเอาแบบผม หรือจะให้กลับมาที่เดิม”

นี่ก็คือการปลุกผีการเมืองช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรง

เชื่อได้ว่า ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง กลวิธีเหล่านี้ก็จะยิ่งโหมประโคมมากขึ้น

ทั้งปลุกผีระบอบทักษิณ ปลุกผีการเมืองขัดแย้งแตกแยก ลงเอยก็ต้องไปปลุกผีเผาบ้านเผาเมืองขึ้นมาอีก

เพื่อสร้างบรรยากาศความเบื่อหน่าย-ความหวาดผวา ไม่ให้หันไปเลือกพรรคขั้วตรงข้าม คสช.นั่นเอง

……………..
สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

จัดหมาก วางเกม ยุทธศาสตร์ “อยู่ยาว” “ยื้อ” การเลือกตั้ง

จัดหมาก วางเกม ยุทธศาสตร์ “อยู่ยาว” “ยื้อ” การเลือกตั้ง


ถามว่าปัญหาอันถกเถียงต่อร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และต่อร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ในขณะนี้มาจากไหน

มาจาก “จ่านิว” มาจาก “น้องโบว์” หรือ

หรือว่ามาจากการเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์ของ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ หรือว่ามาจากการเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์ของ นายจาตุรนต์ ฉายแสง แห่งพรรคเพื่อไทย

ไม่ใช่

เด่นชัดยิ่งว่ามาจากความเห็นต่างระหว่างคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต่อดุลพินิจของที่ประชุม สนช.ซึ่งผ่านความเห็นชอบในลักษณะเกือบเป็นเอกฉันท์ และตั้งข้อสังเกตว่าจำเป็นต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย

เพราะอาจมีเนื้อหา “ขัด” หรือแย้งกับ “รัฐธรรมนูญ”

เหมือนกับเป็นความเห็นต่างระหว่าง 1 กรธ. กับ 1 สนช. แต่ในความเป็นจริง คือภาวะขัดอันเกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใน “คสช.”

กรณีของร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ทำให้หลายคนบังเกิดนัยประหวัดไปยังสถานการณ์เมื่อเดือนกันยายน 2558

นั่นก็คือ การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ

จะแตกต่างกันบ้างก็เพียงแต่เมื่อเดือนกันยายน 2558 คว่ำในที่ประชุม สปช.ตั้งแต่ต้น ขณะที่ในเดือนมีนาคม 2561 ร่าง พ.ร.ป.ทั้ง 2 ผ่านความเห็นชอบมาแล้วจาก สนช.

กระนั้น ผลสะเทือนของกรณีก็เป็นอย่างเดียวกัน

กรณีเมื่อเดือนกันยายน 2558 ได้รับการวิเคราะห์และสรุปออกมาอย่างรวบรัดยิ่งจาก นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ด้วยประโยคสั้นกระชับ

“เขาอยากอยู่ยาว”

ผลก็คือ คสช.สามารถ “ยื้อ” รัฐธรรมนูญ “ยื้อ” การเลือกตั้งที่เคยประกาศผ่าน “ปฏิญญา โตเกียว” ให้ทอดเวลาผ่าน “ปฏิญญา นิวยอร์ก” ผ่าน “ปฏิญญา ทำเนียบขาว” และที่เคยคิดว่าน่าจะเป็นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

ให้เลื่อนไปอีกอย่างไม่มีกำหนด

ทั้งหมดมิได้มีสาเหตุมาจากปัจจัย “ภายนอก” แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เป็นเรื่องอันดำรงอยู่ “ภายใน” ของ คสช.ทั้งนั้น

นั่นก็คือ เป็นผลงานของ “คสช.” มิใช่ใครไหนอื่น

สรุปตามสำนวนของ นายวิษณุ เครืองาม เหล่านี้เป็นเรื่องภายใน “เรือแป๊ะ” ที่ล่องไปเหนือ “แม่น้ำ 5 สาย” อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด

แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้เกิด “สภาพการณ์” อย่างนี้ขึ้น

เป็นเพราะ “อุบัติเหตุ” เป็นเพราะ “คสช.” ไม่สามารถกำกับ ควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดกระนั้นหรือ

ไม่น่าจะใช่

หากไม่นำเอาบทเรียนที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เคยประสบมาแล้วด้วยตนเองในสถานการณ์เมื่อเดือนกันยายน 2558

ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเข้าใจ

สถานการณ์ที่เห็นกันในเดือนมีนาคม 2561 ก็ดำเนินไปเช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เห็นกันในเดือนกันยายน 2558

นั่นก็คือ เป็น “อภินิหาร” ในทาง “กฎหมาย”

เหมือนอย่างที่ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ระบุว่าเป็น “ทฤษฎีสมคบคิด” เหมือนอย่างที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ฟันธงว่าเป็นการ “วางเกม” ที่ลึกซึ้ง แยบยล

เป้าหมายคือ “อยู่ยาว” เป้าหมายคือ เลื่อน “เลือกตั้ง”

วาระเร่งด่วน

วาระเร่งด่วน



ที่ประชุม ครม.นัดล่าสุด ไฟเขียว เพิ่มงบประมาณกลางปี เป็นกรณีเร่งด่วนอีก 1.5 แสนล้านบาทโดยงบกลางปีที่เพิ่มพิเศษอีก 1.5 แสนล้านบาท จะแยกรายจ่ายออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกจะนำไปชดใช้เงินคงคลัง 5 หมื่นล้านบาท
ส่วนที่ต้องกู้เพิ่มอีก 1 แสนล้านบาทจะนำไปใช้อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ
แสดงว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2561 ที่ตั้งวงเงินไว้ 3.3 ล้านล้านบาท (สูงกว่างบปีที่แล้ว 4 แสนล้านบาท) ยังไม่พอใช้จ่ายว่างั้นเถอะ
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าการที่รัฐบาล คสช.ตั้งงบรายจ่ายกลางปีเพิ่มอีก 1.5 แสนล้านบาท จะทำให้งบรายจ่ายประจำปี 2561 ขาดดุลติดลบตัวแดงเพิ่มเป็น 6 แสนล้านบาท
เฉพาะในยุครัฐบาล คสช. เริ่มตั้งแต่ปี 2558 ขาดดุล 2.5 แสนล้านบาท
ปี 2559 ขาดดุลเพิ่มอีก 3.9 แสนล้านบาท
ปี 2560 ขาดดุลพุ่งไปถึง 5.5 แสนล้านบาท
และปีนี้ 2561 ขาดดุลพุ่งกระฉูดสูงสุดอีก 6 แสนล้านบาท
รวมเบ็ดเสร็จ 4 ปี รัฐบาลนายกฯบิ๊กตู่ใช้เงินเกินหน้าตักไปแล้วถึง 1.79 ล้านล้านบาท
ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่กล้าขาดดุลมากขนาดนี้มาก่อน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าการตั้งเบิกงบกลางปีเป็นกรณีพิเศษอีก 1 แสนล้านบาท จะแบ่งการใช้จ่ายใน 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน
1, ใช้อัดฉีดปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร 2.4 หมื่นล้านบาท
2, ใช้อัดฉีดเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย 2.1 หมื่นล้านบาท
3, ใช้อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาศักยภาพชุมชนอีก 5.4 หมื่นล้านบาท
“แม่ลูกจันทร์” กระชุ่นรัฐบาลว่าการกู้เพิ่มงบกลางปีอีก 1.5 แสน ทำให้รัฐบาลต้องแบกภาระหนี้เพิ่มอีกก้อนใหญ่
ฉะนั้น การใช้จ่ายงบกลางทุกบาททุกสตางค์ จึงต้องคำนึงถึงความคุ้มค่ามากที่สุด
ต้องให้เกิดประโยชน์ยั่งยืนที่สุด และต้องรั่วไหลน้อยที่สุด
ข้อสำคัญ ต้องไม่ซ้ำซ้อนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลอัดฉีดไปแล้วเยอะแยะสารพัดอย่าง
อย่างไรก็ดี ถ้าพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า รัฐบาลให้น้ำหนักความสำคัญ “กองทุนหมู่บ้าน” มากที่สุด
ปี 2559 รัฐบาลอัดฉีดเงินใส่กองทุนหมู่บ้านเพิ่มไปแล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท
ปี 2560 รัฐบาลอัดฉีดใส่กองทุนหมู่บ้านอีก 1.5 หมื่นล้านบาท
แถมปีนี้ 2561 รัฐบาลจะอัดฉีดงบเพิ่มให้กองทุนหมู่บ้านอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท
สิริรวม 3 ปี รัฐบาลอัดฉีดงบใส่กองทุนหมู่บ้านมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท
ยังไม่รวมที่รัฐบาลทุ่มงบอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน 7,255 ตำบล หรือที่เรียกว่า “โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท” เป็นเงินกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท
“แม่ลูกจันทร์” ไม่แน่ใจว่างบที่ทุ่มลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนหมู่บ้านเกือบ 1 แสนล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับล่างให้ฟื้นได้จริงหรือไม่??
ยิ่งถ้าหากมองภาพรวม 4 ปี รัฐบาลใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจเกินหน้าตักไปแล้วถึง 1.79 ล้านล้านบาท
แต่เหตุใดเศรษฐกิจรากหญ้ายังไม่ฟื้นจากสลบ??
จะต้องรออีกนานแค่ไหน? จะต้องใช้งบอัดฉีดเพิ่มอีกเท่าใด? เศรษฐกิจไทยถึงจะหายป่วย
สรุปว่า...ใช้เงินมาก แต่ยิงไม่เข้าเป้า ก็เปล่าประโยชน์
ใช้เงินน้อย แต่ยิงเข้าเป้าจะได้ประโยชน์มากกว่า
อ้อ...งบปีหน้าจะขาดดุลติดลบตัวแดงอีก 4.5 แสนล้านบาท.
“แม่ลูกจันทร์”

เปิดช่องเผื่อ ‘ทดเวลา’

เปิดช่องเผื่อ ‘ทดเวลา’



ถ้าไม่มองถึงเรื่องแค้นฝังหุ่น จากที่โดนผลพวงจากคิวเซ็ตซีโร่อรหันต์ กกต.ชุดเดิม มองในสายตาของนักการเมือง ถ้าเป็นฝ่ายค้าน-ฝ่ายต้าน ก็ต้องถือว่า “สมชัย ศรีสุทธิยากร” กกต.ทำการบ้านมาได้ดีทีเดียว
ในการคำนวณโปรแกรม หากมีการยื่นตีความร่าง พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.–ร่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ล่าสุดเริ่มชัดแล้วว่า สนช.เอาแน่ เตรียมส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปมขัดแย้งในกฎหมาย 2 ฉบับ
“สมชัย” สรุปชัด งานนี้สะเทือน “โรดแม็ป” ดีเดย์เลือกตั้งส่อขยับออกสูง

โดยรายละเอียดจากที่ “อรหันต์สมชัย” ชี้ว่าตามมาตรา 148 ของรัฐธรรมนูญ มี 2 ช่องทางในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ยื่นเอง หรือ สนช. 25 คนเข้าชื่อเสนอต่อประธาน สนช.ยื่นตีความ

ขึ้นอยู่กับใครจะเป็น “จำเลย” ให้สังคม หากโรดแม็ปต้องเลื่อนไป

ฟันธง ใครที่ว่าไม่กระทบโรดแม็ป ให้ไปเรียนบวกเลขกันใหม่ เพราะกรณีที่ยื่นศาลต้องทดเวลาเพิ่ม 2 เดือน เผื่อการวินิจฉัย และนำกฎหมายกลับมาแก้ไข การนับเวลาใหม่จึงบวกเพิ่มเป็น 390 วัน หรือ 13 เดือน

วันเลือกตั้งจะเคลื่อนจากเดือน ก.พ. เป็นเดือน เม.ย.2562

ไม่เท่านั้น นายสมชัยมองว่า ที่ตื่นเต้นกว่าคือ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ข้อความที่ขัดหรือแย้งนั้น
เป็นสาระสำคัญให้ร่าง พ.ร.บ.นั้นตกไป จะต้องมีการยกร่างกฎหมายลูกใหม่ทั้งฉบับ ตั้งต้นกันใหม่
ยืดเวลาไปอีกราว 6 เดือน คิวเลือกตั้งยืดยาวกันอีก

และแน่นอน อีกร่างกฎหมายลูกอย่าง พ.ร.บ.การได้มาซึ่ง ส.ว.ที่นายสมชัยระบุ กระทบคิวเลือกตั้ง ส.ส.แน่ เพราะต้องมีการเลือก ส.ว.ให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ส.ส. 15 วัน จึงเกี่ยวพันกันอย่างหนีไม่พ้น
“สมชัย” อ่านทั้งกระดาน “หมากนี้ลึกซึ้ง”

แล้วก็เลยเป็นอะไรที่ แม้ทั้งต้นแม่น้ำ แม่น้ำสายรอง หรือ วิป สนช.จะยืนยัน

คิวตีความกฎหมายลูก ไม่กระทบโรดแม็ปเลือกตั้ง แต่คนทั่วไปก็เริ่มไม่เชื่อแล้ว ถึงแม้อีกทางหนึ่ง
บรรยากาศการเมืองจะเริ่มคึกคัก ล้อตามลีลาผ่อนสั้น–ผ่อนยาวของ “นายกฯลุงตู่” ในโปรแกรมไฟเขียว เปิดคิวจดแจ้งจองชื่อพรรคการเมือง

แห่กันเตรียมเปิดค่ายเกินครึ่งร้อย บวกค่ายเก่าที่มี ก็ทะลุ 100 กันไปแล้ว

ล่าสุดเป็นคิวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานบริหารเครือบริษัทไทยซัมมิท ร่วมกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ พร้อมแกนนำ ยื่น กกต.ขอจดแจ้งจัดตั้ง

จับจองชื่อพรรค “อนาคตใหม่”

โดยผู้ร่วมอุดมการณ์ มีทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักกิจกรรมเพื่อสังคม คนรุ่นหนุ่มสาว ฯลฯ

ถึงจะถูกจับตา โดยเฉพาะแกนนำอย่างนายธนากร ทั้งโยงเครือญาติ พรรคใหญ่ แต่นั่นไม่เท่ากับแนวทางพรรค ที่หากยังเร่งเร้ารุนแรง แต่ไม่รอบคอบเป้าหมายปลายทางอนาคต

เปิดตัวหรู แต่ถ้าจะแจ้งเกิด ต้องฝ่าพายุกันเหนื่อย

แล้วก็คงเหนื่อยไม่แพ้กันกับแผนอำนาจพิเศษ ในคิวเก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน ตุนแต้มพรรคเก่า ค่ายใหม่ บางส่วนงานเดินเข้าล็อก บางส่วนก็ต้องพลิกแผน

รวมทั้งที่ส่งผลโดยตรงต่อการเดินช็อตต่อไป น่าจะเป็นกรณีกระทรวงมหาดไทยเร่งปั่นนโยบายไทยนิยมยั่งยืน ส่งทีม 7 พันกว่าชุดปูพรมลงพื้นที่ พ่วง “วาระแฝง” โดยแท็กทีม กอ.รมน.สำรวจตลาดเบื้องต้น
สรุปผลยังไม่เข้าเป้านัก โดยเฉพาะแต้มต่อค่ายคู่แข่งหลัก ยังอยู่ในจุดที่ “ไม่น่าไว้วางใจ”

ในโจทย์อำนาจพิเศษ ต้องเก็บงานเนี้ยบ

แน่นอนอย่างไรก็ต้องไม่เล่นตามเกมถนัดฝ่ายตรงข้าม

หากเปิดสนาม มีเปอร์เซ็นต์เข้าทางค่ายนายใหญ่ โรดแม็ปย่อมไม่นิ่ง

มีโอกาสขอทดเวลา ขยับโปรแกรมกันตลอด.

ทีมข่าวการเมือง