PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เพ่ื่อไทยแตก


น่าจะเชื่อผมนะ...!
ผมเคยเสนอให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยมีความกล้าหาญ มีความเป็นอิสระ ในการเลือกหัวหน้าพรรค หรือผู้นำพรรค โดยไม่ต้องเกรงใจใคร หรือ ครอบครัวใด และผมยังเสนอต่อไปด้วยว่าบุคคลที่เหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในเวลานี้มากที่สุดคือ ท่านจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งท่านได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าในสถานการณ์ยากลำบากของพรรคและมวลชน ท่านจาตุรนต์ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งไปไหน แตกต่างจากคุณหญิงสุดารัตน์ที่หลบซ่อนไม่ร่วมทุกข์ ร่วมสู้กับพรรคและมวลชน

นายกฯทักษิณและคนในครอบครัวของท่านสั่งการไม่ได้ หรือสมาชิกพรรคฯมองว่านี่คือข้อเสียของท่านจาตุรนต์
ซึ่งหากท่านจาตุรนต์เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็จะสามารถลบภาพของพรรคเพื่อไทยที่ถูกมองว่าเป็นพรรคของทักษิณหรือเป็นพรรคของตระกลูชินวัตรไปได้ในระดับหนึ่ง
ผมยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะจบลงแบบไหน ถึงแม้ผมกับพรรคเพื่อไทยจะอยู่กันคนละพรรค มีจุดยืนทางการเมืองแตกต่างกัน แต่ในฐานะที่เราเชื่อมั่นในประชาชนเหมือนกัน เชื่อมั่นในแนวทางประชาธิปไตยเหมือนกัน
ผมก็ขอให้กำลังใจ และขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Line to day

กม.ปปช.ขรก.ต้องยื่นแสดงทรัพย์สิน

ต้องเรียกว่าสร้างความสะเทือนอย่างมากสำหรับระเบียบและประกาศที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราช กิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ลงนามและประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 รวดเดียว 6 ฉบับ โดยจะมีผลบังคับใช้จริงอีก 30 วัน หรือในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 ซึ่งเนื้อหาหลักของประกาศทั้ง 6 ฉบับ คือการกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และองค์กรปกครองท้องถิ่น ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ในประกาศของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ถูกจับจ้องและมี เสียงคัดค้านมากที่สุดในขณะนี้คงเป็นประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 พ.ศ.2561 ซึ่งมีเนื้อหาถึง 17 หน้า โดยมีรายละเอียดตำแหน่งที่ต้องยื่นบัญชี ซึ่งหากย้อนไป ดูอำนาจของ ป.ป.ช.ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ซึ่งมี ผลบังคับใช้วันที่ 22 กรกฎาคม 2561 นั้น ได้กำหนดผู้ต้อง ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ไว้ 9 ข้อ คือ
1.ผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง
2.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
3.ผู้ดำรงตำแหน่งใน องค์กรอิสระ
4.ข้าราชการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่อธิบดีผู้พิพากษาขึ้นไป
5.ข้าราชการตุลาการศาลปกครองตาม กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปก ครอง ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นขึ้นไป
6.ข้าราชการอัยการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ ฝ่ายอัยการ ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่อธิบดีอัยการขึ้นไป
7.ผู้ดำรง ตำแหน่งระดับสูง
8.ตำแหน่งอื่นตามที่กฎหมายอื่นกำหนดให้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และ
9.ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด ซึ่งประกาศของ ป.ป.ช.ฉบับล่าสุดก็เป็นการขยายความลงรายละเอียดล้อตาม พระราชบัญญัติ ป.ป.ช.นั่นเอง
แต่ดูเหมือนกำหนดตำแหน่งการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 102 ดังกล่าวจะไม่ถูกใจบรรดาองค์กรอิสระ โดย เฉพาะในซีกที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุข และบรรดาสถาบันอุดมศึก ษาในกำกับของรัฐ เพราะถึงขนาดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณ สุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการต้องออกโรงออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะหารือกับ ป.ป.ช.เพื่อให้ทบทวนประกาศดังกล่าว
ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นของเสียงคัดค้านประกาศดังกล่าวก็มาจากการโพสต์เฟซบุ๊กของนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ปัจจุบันเป็นรักษาการแทนคณบดี สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่าจะสร้างความวุ่นวายให้สถาบันการศึกษาของรัฐ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความโปร่งใส แต่เป็นความรำคาญที่เสียสละและปวารณาตัวทำงานให้มหาวิทยาลัยแล้ว ยังต้องมาแจ้งทรัพย์สิน และหากแจ้งไม่ครบหรือเผอเรอยังอาจเจอคดีอาญาอีก!!!
แม้เป็นเหตุผลที่อาจฟังขึ้นบ้าง แต่ต้องไม่ลืมว่าเราเรียกร้องเรื่องการปราบปรามทุจริต และขจัดคอร์รัปชันให้หมดไป จากประเทศไทยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิใช่หรือ ซึ่งประกาศดังกล่าวก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ มาตรการที่จะทำให้ประเทศไทยโปร่ง ใสเพิ่มมากขึ้น ทำไมจึงต้องคัดค้าน ทั้งที่หากเป็นทองแท้ย่อม ไม่กลัวไฟ ส่วนที่กลัวความรำคาญและยุ่งยากนั้นก็ควรปรึกษาหารือกับ ป.ป.ช.ให้เอื้ออำนวยการแจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ง่าย และสะดวกขึ้น จึงมิใช่เหตุผลที่มากพอที่จะปฏิเสธหลักการ ใหญ่ที่จะสร้างประเทศไทยให้ปลอดจากการทุจริตและคอร์รัป ชัน หรือที่จริงแล้วผู้คัดค้านเรื่องดังกล่าวเกรงกลัวประกาศ ป.ป.ช.เรื่องหลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ.2561 ที่ประกาศออกมาบังคับใช้ในคราวเดียวกันแน่
ไทยโพสต์​

"วิษณุ"กางไทม์ไลน์เลือกตั้งยันยังเป็น 24 พ.ย. ชี้ รัฐบาล-คสช. ยังมีอำนาจเต็ม จนกว่าครม.ชุดใหม่จะถวายสัตย์ฯ

"วิษณุ"กางไทม์ไลน์เลือกตั้งยันยังเป็น 24 พ.ย. ชี้ รัฐบาล-คสช. ยังมีอำนาจเต็ม จนกว่าครม.ชุดใหม่จะถวายสัตย์ฯ

8 พฤศจิกายน 2561 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงปฏิทินการทำงานของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ว่า ปฏิทินนี้ได้หารือกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)
คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยวันที่ 9 ธ.ค. จะมีการจัดงานอุ่นไอรัก จากนั้นวันที่ 11 ธ.ค. พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนุญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จะมีผลบังคับใช้เป็นวันแรก ซึ่งต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วันนับแต่วันนั้น ซึ่งจะไม่เกินวันที่ 9 พ.ค.62 โดยหลัง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้แล้ว กกต.จะต้องยกร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. และส่งให้ ครม.พิจารณาเพื่อนำความขึ้นทูลเกล้าฯ
จากนั้นเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมา ภายใน 5 วัน กกต.จะต้องออกประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง วันรับสมัคร ส.ส. และจำนวน ส.ส.ในแต่ละเขต โดยใช้ระยะเวลา 5 วัน และกรอบการรับสมัครต้องออกมาไม่เกิน 25 วัน นับแต่ประกาศใช้ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ส่วนรายชื่อที่พรรคการเมืองจะเสนอเป็นนายกฯ 3 รายชื่อ จะต้องเสนอภายในกรอบระยะเวลา 5 วัน ที่เปิดรับสมัคร ส.ส.
นายวิษณุ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้เมื่อมีประกาศใช้ พ.ร.ฎ.ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.แล้ว ก็จะมีการปลดล็อกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในเวลาใกล้เคียงกัน ส่วนวันเลือกตั้ง จากการพูดคุยกับทุกฝ่ายแล้ว คาดการณ์กันว่า กกต.จะประกาศให้เป็นวันที่ 24 ก.พ.62 เพราะเร็วกว่านั้นไม่ได้ เนื่องจากเตรียมการไม่ทัน และขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยว่าเป็นอย่างอื่น เมื่อเลือกตั้งแล้ว กกต.ต้องประกาศผลภายใน 60 วัน จะตรงกับวันที่ 24 เม.ย.62
ส่วนการเปิดประชุมสภาครั้งแรก จะมีขึ้นภายใน 15 วัน นับแต่ กกต.ประกาศผลการเลือกตั้ง จะตรงกับวันที่ 8 พ.ค.62 โดยจะเสด็จเปิดประชุมสภา หลังจากนั้นจะมีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา รวมถึงลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เมื่อได้นายกฯ แล้ว จะนำรายชื่อกราบบังคมทูลฯ ซึ่งหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมา นายกฯจะแต่งตั้ง ครม. เพื่อเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ และในวันที่ครม.ชุดใหม่ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนเข้ารับตำแหน่ง ครม.เดิมและคสช.จะสิ้นสุดลงในวันนั้น โดยครม.ชุดใหม่จะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาภายใน 15 วันนับจากปฏิญาณตน คาดว่าจะเป็นช่วงเดือน มิ.ย.62
ส่วนการได้มาซึ่ง ส.ว.นั้น ในระหว่างวันที่ 16 – 27 ธ.ค. กกต.จะดำเนินการคัดเลือก ส.ว. ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ ให้ได้ 200 คน ในวันที่ 2 ม.ค.62 เพื่อส่งรายชื่อให้ คสช.คัดเลือกเหลือ 50 คน และมีสำรองอีก 50 คน พร้อมกันนี้ คสช.จะต้องตั้งคณะกรรมการสรรหา 9-12 คน เพื่อคัดเลือก ส.ว.ให้ได้ 400 คน ภายในวันที่ 9 ก.พ.62 เพื่อเสนอให้ คสช.พิจารณาให้เหลือ 194 คน โดยมีสำรอง 50 คน และส.ว.โดยตำแหน่งคือ ผบ.เหล่าทัพ อีก 6 คน รวมเป็น 250 คน โดยรายชื่อดังกล่าว คสช.ต้องพิจารณาให้เสร็จภายในวันที่ 27 เม.ย.62 เพราะกฎหมายกำหนดให้ คสช.พิจารณาให้แล้วเสร็จภายหลังประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.ภายใน 3 วัน
นอกจากนี้นายวิษณุ ได้ชี้แจงเกี่ยวกับสถานะรัฐบาลปัจจุบัน ว่า ถ้าเป็นรัฐบาลรักษาการจะเกิดขึ้นต่อเมื่อนายกฯ สิ้นสภาพ ครม.พร้อมใจกันลาออก มีการยุบสภา หรือรัฐบาลอยู่ครบเทอม ซึ่งก่อนจะมีรัฐบาลใหม่จำเป็นที่รัฐบาลเดิมต้องอยู่รักษาการ แต่การเสนอโครงการใหม่ การแต่งตั้งข้าราชการ การอนุมัติงบประมาณ การใช้บุคลากรของรัฐ จะมีข้อจำกัด ต้องขออนุญาต กกต. แต่สำหรับรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้สิ้นสุดลง จึงไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ และยังคงมีอำนาจเต็ม
อีกทั้งบทเฉพาะกาลยังเขียนให้ ครม.ที่อยู่ในตำแหน่งก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 60 ทำงานจนกว่า ครม.ชุดใหม่จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ส่วนการปฏิบัติตัวของรัฐมนตรีใน ครม.ชุดปัจจุบัน ในส่วนที่ไปเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองต้องระมัดระวังในการใช้เวลาราชการ ทรัพย์สิน บุคลากร และสถานที่ราชการ เพื่อใช้แก่พรรคการเมืองที่ตนไปสังกัด ส่วน ครม.ที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับพรรคการเมืองก็ต้องวางตัวเหมือน ครม.ในอดีต ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องเป็นกลาง
จากการพูดคุยกับประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีความเห็นตรงกันว่า รัฐบาลจะเสนอกฎหมายได้ถึงวันที่ 28 ธ.ค. จากนั้นสนช.จะไม่รับร่างกฎหมายเพิ่มแล้ว โดยสนช.จะพิจารณากฎหมายจนถึงวันที่ 15 ก.พ.62 หากมีเหตุจำเป็นต้องออกกฎหมาย รัฐบาลจะใช้วิธีออกเป็นพระราชกำหนด หรือคำสั่งตามมาตรา 44.

ปีหน้าค่าไฟขึ้น 4.30 สตางค์ต่อหน่วย! มติขึ้นค่าเอฟทีครั้งแรกในรอบ 16 เดือน

ปีหน้าค่าไฟขึ้น 4.30 สตางค์ต่อหน่วย! มติขึ้นค่าเอฟทีครั้งแรกในรอบ 16 เดือน
.
น.ส.นฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน มีมติให้เรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) สำหรับเรียกเก็บเงินงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2562 จำนวน ลบ 11.60 สตางค์ต่อหน่วย ปรับเพิ่มขึ้น 4.30 สตางค์ต่อหน่วย จากที่เรียกเก็บปัจจุบัน (ก.ย.-ธ.ค. 2561) ลบ 15.90 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเมื่อรวมค่าไฟฐานจะอยู่ที่ 3.6396 บาทต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน
.
สำหรับปัจจัยที่ทำให้ค่า Ft เพิ่มขึ้น มาจากต้นทุนของเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าทั้งน้ำมันและก๊าซที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการ Ft จะอยู่ที่ 8.10 สตางค์ต่อหน่วย จากปัจจุบันที่เก็บ 15.90 สตางค์ต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้น 24 สตางค์ต่อหน่วย
.
อย่างไรก็ตาม ทาง กกพ. ยังคาดการณ์ว่า ราคาเชื้อเพลิงยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในระยะต่อไปยังคงอยู่ในภาวะขาขึ้น
.
ดังนั้น เพื่อให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศปรับตัวและเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน กกพ. ได้เตรียมมาตรการบริหารจัดการและมาตรการทางการเงินเข้าไปดูแล ทั้งมาตรการส่งเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงที่จำเป็นสำหรับการผลิตไฟฟ้า โดยได้ประสานความร่วมมือ บมจ.ปตท. วิเคราะห์การลดสัดส่วนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) พร้อมประสานความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้พิจารณาแหล่งผลิตไฟฟ้าที่มีความเหมาะสมเพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นและมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตภายในประเทศ
.

ใครแน่ที่อยากเลื่อน

อยู่ๆก็เกิดอาการ “อุปาทานหมู่”

“เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อ้างจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนจำนวนมากยังไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เพราะเคยเลื่อนมาหลายรอบแล้ว

อารมณ์เดียวกับ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่แสดงความกังวลจะมีความพยายามอ้างความไม่พร้อมของพรรคการเมือง เพื่อเลื่อนเลือกตั้งออกไป แม้ทุกคนจะมองว่าวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แต่ไม่ได้แปลว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันนั้นอย่างแน่นอน

“ธนาธร-อภิสิทธิ์” ร่วมด้วยช่วยเขย่ากระแสเลื่อนเลือกตั้ง

โดยเหลี่ยมเหมือนช่วยกันดักคอ ดักทาง ตีกันไม่ให้ คสช.เบี้ยว

แต่ขณะเดียวกัน เมื่อโฟกัสสถานการณ์แบบที่เห็นศึกชิงจ่าฝูงในค่ายประชาธิปัตย์ฟัดกันเองหนัก เล่นแรงๆถึงขั้นโวยวายระบบโหวตล่มเพราะ “วางยา” เตะสกัดกัน

ตามรูปการณ์ อีกนานที่ลูกพระแม่ธรณีบีบมวยผมจะกลับมาเป็นทีม

แม้แต่ “อนาคตใหม่” ที่ว่าแรงๆก็ยังเป็นแค่กระแสลอยๆในโลกสมมติของโซเชียลมีเดีย โดยไร้ฐานต้นทุนอดีต ส.ส. ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ “เสียงดีแต่ไม่มีคะแนน”

แผนการตลาดหล่อๆจะลากยืนระยะไปได้ไกลแค่ไหน

ตามสภาพที่เห็นตรงหน้า พวกโชว์กระสันเลือกตั้งก็ไม่ได้พร้อมลงสนามแต่อย่างใด

ไม่ต้องพูดถึงแชมป์เก่า ที่ “แตกพรรค” กับ “แพแตก” แยกไม่ออกในป้อมค่าย “ทักษิณ” ลำพังแค่เพื่อไทย เพื่อธรรม เพื่อชาติ สารพัดเพื่อก็จำไม่หวาดไม่ไหว ล่าสุดยังเปิดหัว “ไทยรักษาชาติ” เน้นอักษรย่อ “ทษช.” ให้คล้องกับ “ทักษิณ ชินวัตร” จัดให้สาวกรู้ไปเลยว่า “ทักษิณชัวร์”

มั่วไปหมดไม่รู้ค่ายไหนเป็นค่ายไหน

เผลอๆบรรดานกเอี้ยง นกแล ลูกหาบ “นายใหญ่” เองยังหลงยี่ห้อ

ตอนหาเสียงดีไม่ดีจะลืมว่าตัวเองอยู่สังกัดใดกันแน่

นั่นก็ไม่ต้องพูดถึงกองเชียร์มีหวัง “ตามแห่” กันไม่ถูก เสียงแตกกระจาย

นี่คือภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า สถานการณ์ป้อมค่ายการเมืองที่พะว้าพะวังกับวันเลือกตั้ง

กลายเป็นฝั่งคุมเกมอำนาจ อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เบอร์หนึ่งฝ่ายความมั่นคง ที่ปักธงย้ำแล้วย้ำอีกแบบไม่กลัวหน้าแตก

24 กุมภาพันธ์ 2562 เข้าคูหากาบัตรแน่

ประกอบกับอารมณ์ล่าสุด สะท้อนความพร้อมของ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่ใส่เกียร์ห้าออกตัว ยอมรับสภาพเป็นนักการเมืองต้องทน ต้องหน้าด้านกว่าเดิม แถมบทถอดใจขอโทษ ถ้าเป็นนายกฯที่ไม่ได้ดั่งใจ ไม่สุภาพเรียบร้อย ไม่พูดเพราะๆหวานๆ เพราะติดนิสัยเป็นทหารมา 40 ปี

อารมณ์นี้ก็คือ “ลุงตู่” ปวารณาตัวเข้าสู่โลกการเมืองเต็มรูปแบบ

จังหวะมาพร้อมกับผลงานเชิงรูปธรรม ประชาชนสัมผัสได้ตรงหน้า

ล่าสุด “นายกฯลุงตู่” ทำพิธีเปิดใช้อุโมงค์ลอดแยกรัชโยธินเพื่อแก้ปัญหาการจราจรชั่วโมงเร่งด่วน ทั้งบริเวณถนนพหลโยธินและถนนรัชดาภิเษก สามารถบรรเทาและแก้ปัญหาการจราจรอย่างเห็นได้ชัด

เป็นฉากต่อเนื่องกับการที่ “นายกฯลุงตู่” ขึ้นรถ ลงเรือ ตีตั๋วรถไฟฟ้า ตระเวนตรวจปัญหาจราจรในเมืองกรุง เดินหน้าระบบขนส่งมวลชนกันอย่างจริงๆจังๆ

แน่นอน อารมณ์คนใช้รถใช้ถนนย่อมรู้สึกได้ มันคือคะแนนความตั้งใจของรัฐบาล

อาการแบบที่ “เสี่ยโอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องชิงออกมาปฏิบัติการดิสเครดิต งัดมุกเบิ้ลบลัฟไอเดีย “แก้รถติดบิ๊กตู่สไตล์” ที่ให้ตำรวจอยู่เฉยๆในป้อม รอเคลียร์เฉพาะตอนรถชน

ตามฟอร์มแห่กองเชียร์ประจาน เบรกแต้มที่ไหลเข้าทาง “ลุงตู่”

นี่ยังไม่นับคิวกดปุ่มเปิดหวูดรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายแบริ่ง–สมุทรปราการ แถมให้ใช้ฟรี 4 เดือน

เหมือนโปรโมชันจากทีม “ลุงตู่” มัดจำแต้มล่วงหน้า

เรื่องของเรื่อง มองกันด้วยตาเปล่าๆ ภายใต้ยุครัฐบาลที่นำโดย “นายกฯลุงตู่” โปรเจกต์ด้านคมนาคม การก่อสร้างรถไฟฟ้าสายต่างๆมีการปักหมุดลงเสาเข็มเป็นรูปเป็นร่างไปจนใกล้ได้ใช้บริการ ทั้งสายสีเขียว หมอชิต–สะพานใหม่ สายสีแดง บางซื่อ–รังสิต และที่สำเร็จลุล่วงไปแล้วก็คือส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงเตาปูนที่คาราคาซังเป็นปัญหาโลกแตกก็เคลียร์ในยุครัฐบาลนี้

ผลจากที่บ้านเมืองสงบ งานพัฒนาการทางเศรษฐกิจรุดหน้า โครงการใหญ่ๆคืบเป็นเนื้อเป็นหนัง

ไม่มีปัญหาดักตบหัวคิว ชักเปอร์เซ็นต์ผู้รับเหมาก่อสร้าง

ปูทางสร้างคะแนนต้นทุน “นายกฯลุงตู่” เลือกตั้งวันนี้ยังได้เลย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน