PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

‘แจ็ค หม่า’ เสนอดันไทยเป็น Logistics Hub แลกกับการ “ซื้อที่ดินในประเทศ”

‘แจ็ค หม่า’ เสนอดันไทยเป็น Logistics Hub แลกกับการ “ซื้อที่ดินในประเทศ”

Posted by 
Posted date พฤศจิกายน 19, 2018
แจ็ค หม่า (Jack Ma) ประธานกรรมการบริหารอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) ยื่นข้อเสนอใหม่ ขอ “ซื้อที่ดิน” ในประเทศไทยแทนการ “เช่าที่ดิน” แลกกับการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็น “Logistics Hub”
เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา “แจ็ค หม่า”  ‘แจ็ค หม่า’ ประธานกรรมการบริหารอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) มาเยือนประเทศไทยเพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) 4 ฉบับ เตรียมลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) ด้วยเงินลงทุนขั้นแรก 11,000 ล้านบาท สร้าง Smart Digital Hub เปิดใช้ในปี 2562 ไปนั้น
Photo: Thaigov.go.th


ล่าสุดประชาชาติธุรกิจได้รายงานว่า โครงการดังกล่าว “ยังไม่มีความคืบหน้า” ในการก่อสร้าง แต่มีแนวโน้มจะขอเปลี่ยนแปลงวิธีการได้มาซึ่ง “กรรมสิทธิ์” ในที่ดิน
ข้อเสนอดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเยือนประเทศจีนของ “นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าชมงาน International China Import-Export ได้มีการหารือระหว่างฝ่ายไทยกับแจ็ค หม่า ประธานบริษัทอาลีบาบา ในประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่ Digital 4.0
ทางแจ็ค หม่า (Jack Ma) ก็ได้ยื่นข้อเสนอใหม่ ระบุว่าอาลีบาบาต้องการที่จะขอ “ซื้อที่ดิน” ในประเทศไทยแทนการ “เช่าที่ดิน” ที่ตกลงกันไว้เบื้องต้น แต่แลกกับการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นมากกว่าการเป็น Hub ธรรมดา ๆ โดยต้องการให้เป็น “Logistics Hub” เพื่อพัฒนาสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและจีน รวมถึงการสร้างศูนย์พัฒนาบุคลากรระหว่างไทยกับจีนด้วย
โดยทีมงานของ EEC และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับทราบข้อเสนอใหม่ของอาลีบาบาแล้ว และได้สั่งการให้ทั้ง 2 หน่วยงานร่วมกันในการหาทางออกให้กับข้อเสนอซื้อที่ดินว่าจะสามารถทำได้อย่างไร และเกี่ยวพันกับกฎหมายฉบับใดที่เปิดช่องให้สามารถดำเนินการได้บ้าง
ที่ผ่านมาอาลีบาบาได้ทำข้อตกลงกับภาคเอกชน คือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เพื่อขอเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมของ WHA ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา สำหรับพัฒนาเป็นเขตส่งเสริมธุรกิจ E-Commerce และ Smart Logistics ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยนางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท WHA Corporation กล่าวว่า อาลีบาบาจะเช่าที่ดินประมาณ 130,000 ตารางเมตร อีกทั้งกระบวนการด้านการเงินตามรายละเอียดของสัญญาที่ตกลงกันไว้ก็ดำเนินการไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับการทำสัญญาได้ เพราะเป็นไปตามข้อตกลงร่วมกัน แต่ยืนยันว่าได้มีการทำสัญญาเช่าไปแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
อ้างอิงข้อมูลจาก ประชาชาติธุรกิจ

แจกแหลกปีใหม่

Workpoint News - ข่าวเวิร์คพอยท์
2 ชม.
มาตรการล่าสุดของคณะรัฐมนตรี ที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นอีกครั้งที่มีการ "เติมเงิน" ลงไป โดยให้เหตุผลกำกับ คือเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างยั่งยืน
.
มาตรการเพิ่มเติม โดยการอนุมัติของ ครม. เมื่อ 20 พ.ย. ที่ได้ทุกคนคือ
.
ค่าใช้จ่ายปลายปี ให้เปล่าคนละ 500 บาท มีผู้ได้รับสิทธิ์ 14.5 ล้านคน
ใช้งบประมาณ 7,250 ล้านบาท จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
.
มาตรการบรรเทาค่าไฟฟ้าและน้ำประปา 10 เดือน
ธ.ค.2561 - ก.ย.2562 ค่าไฟฟ้าไม่เกิน 230 บาท และค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน ถ้าใช้เกินจะต้องจ่ายเองเต็มจำนวน
ใช้งบประมาณ 27,060 ล้านบาท จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
.
มาตรการเฉพาะผู้สูงอายุ แบ่งเป็น ค่าเดินทางรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพสำหรับผู้อายุ 65 ปีขึ้นไป 1,000 บาท โดยผู้ได้รับสามารถถอนเป็นเงินสดได้
ใช้งบประมาณ 3,500 บาท จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
.
และมาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีรายได้น้อย 400 บาท/เดือน ระหว่าง ธ.ค.61- ก.ย.62
ใช้งบประมาณ 920 ล้านบาท จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
.
ขณะที่มาตรการเฉพาะกลุ่มอีกอย่างที่จะมีผลในเดือน ธ.ค.นี้ คือ การให้ส่วนลดวินจักรยานยนต์รับจ้าง เติมน้ำมัน 3 บาท/ลิตร คาดว่าจะเริ่ม 15 ธ.ค.61
.
เมื่อรวมกับวงเงินช่วยเหลือเดิมทำให้สถานะของบัตรฯ ตอนนี้ครอบคลุม ทั้งเงินช่วยเหลือ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค, ค่าเดินทาง, ค่าน้ำ-ไฟ และค่าเช่าบ้าน (ผู้สูงอายุ)
.
มาตรการเดิม ให้วงเงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบเพื่อการเกษตร 200-300 บาท/เดือน (ขึ้นกับรายได้ต่อปี) , ส่วนลดค่าก๊าซ 45บาท/3 เดือน
.
ค่าใช้จ่ายเดินทาง รถเมล์-รถไฟฟ้า 500 บาท/เดือน, ค่ารถ บขส. 500 บาท/เดือน, ค่ารถไฟ 500 บาท/เดือน ใช้งบประมาณรวม 41,940 ล้านบาท

“รบ.”ยันอนุมัติ 8หมื่นล้านไม่เกี่ยวเลือกตั้ง-ซื้อใจคนจน ปีใหม่แจกใส่บัตร ให้คนละ500

“รบ.”ยันอนุมัติ 8หมื่นล้านไม่เกี่ยวเลือกตั้ง-ซื้อใจคนจน ปีใหม่แจกใส่บัตร ให้คนละ500



“รัฐบาล” ยัน อนุมัติ 8 หมื่นล้าน ไม่เกี่ยวเลือกตั้ง คิดนานแล้ว แต่เพิ่งเสร็จ เผย แจกเงิน 500 ช่วงปีใหม่ หวังลดภาระประชาชน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในมาตรการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม รวมถึงการอนุมัติโครงการเพื่อผู้สูงอายุ ฯลฯ รวม 86,994 ล้านบาท จนถูกมองหวังผลเลือกตั้งว่า หลายโครงการไม่ได้เพิ่งมาคิดและทำในวันนี้ เพราะมีกระบวนการสอบถามความเห็นจากประชาชน ซึ่งใช้เวลามาพอสมควร แต่มาประจวบเหมาะกับเวลาช่วงสิ้นปีพอดี ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะรัฐบาลมีตัวเลขผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว ซึ่งที่แล้วมายังไม่มีรัฐบาลใด ออกนโยบายส่งตรงไปยังผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านการเดินทาง การใช้ชีวิต การรักษาพยาบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ระบุว่าในอนาคต ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา ควรนำแนวทางนี้ไปปฏิบัติ เพราะถือว่าตอบรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต นอกจากนี้ยังเห็นประชาชนมีภาระต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากในวงปีใหม่ จึงได้ให้ 500 บาท สำหรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงเทศกาล

“บิ๊กตู่”เห็นใจผู้มีรายได้น้อย จ่อเพิ่มเงิน บัตรคนจน ขอสื่ออย่าเขียน แจกเพื่อการเมือง

“บิ๊กตู่”เห็นใจผู้มีรายได้น้อย จ่อเพิ่มเงิน บัตรคนจน ขอสื่ออย่าเขียน แจกเพื่อการเมือง

บัตรคนจน – เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า รัฐบาลจะพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งเรื่องการดูแลผู้สูงอายุ ค่าน้ำ ค่าไฟ จะทยอยเพิ่มไปเรื่อยๆ
วันนี้อาจจะได้สำหรับคนที่มีบัตรแล้ว เพราะเรามีเงินแค่นี้ต้องจัดหมุนเวียนเงินที่มีอยู่ให้เหมาะสม หากจะให้ทีเดียวทั้งหมดอาจทำให้ประชาชนพอใจ แต่รัฐบาลต้องแบกรับหนี้สิน และเรื่องของระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณตอนนี้ก็ออกมาใหม่แล้ว
การจะนำเงินไปทำอะไรต้องอยู่ในกรอบของเงินงบประมาณทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต่อไปก็ต้องคำนึงถึงสิ่งตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาความไม่สมดุลในการใช้จ่ายงบประมาณในหลายภาคส่วน ปัญหาสำคัญที่สุดคือมีการกล่าวอ้างว่าคนจน จนกว่าเดิม ซึ่งเราต้องไปดูรายละเอียด เจาะทุกเรื่อง
“ผมเห็นใจผู้มีรายได้น้อย วันนี้ก็มีโครงการบ้านล้านหลังที่จะให้ผ่อนชำระ แต่ทั้งนี้ต้องมีรายได้เพียงพอที่จะผ่อนในราคาที่มีดอกเบี้ยต่ำพิเศษ ซึ่งรัฐบาลทำทุกอย่าง ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การดูแลผู้สูงอายุ ค่าน้ำ ค่าไฟ พลังงาน เดี๋ยวจะทยอยออกมาตามลำดับ
ผมไม่อยากให้สื่อเขียนว่ารัฐบาลนี้แจกๆๆ เพื่อการเมือง ไม่ใช่เรื่อง ทุกอย่างกว่าจะออกมาได้มันต้องดูกฎหมาย ดูวิธีการ ดูงบประมาณที่มีอยู่จึงจะทยอยออกมาตามลำดับ
เราพยายามเร่งสปีดให้เต็มที่ พอดีมันก็ออกมาในช่วงนี้ อย่าหาว่าเป็นเรื่องการเมืองไปทั้งหมดเลย มันเป็นเรื่องของการทำงานต่อเนื่อง วันหน้ารัฐบาลใหม่มาก็คงต้องทำต่อเนื่อง เพราะหลายโครงการผมก็ทำต่อ
เนื่องจากของเขา บางเรื่องดี แต่ดีไม่หมด เราก็มาแก้ไขให้ดีทั้งหมดทั้งสาธารณสุข หรือการศึกษาฯ ซึ่งจะให้แต่ละกระทรวงมาชี้แจงว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง ต้องสร้างการรับรู้ให้แต่ละกลุ่มเป้าหมายรู้ว่าเราทำอะไรให้เขาบ้าง”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

กกต.ห้ามเปิดเผยรายชื่อผู้สมัคร สว.

กกต.ซักซ้อม ผอ.50 เขต เตรียมพร้อมเลือกตั้ง ส.ว. สั่งเตรียมไฟสำรองป้องกันกรณีไฟฟ้าดับ และห้ามเปิดเผยรายชื่อผู้สมัคร เพราะอาจขัดต่อกฎหมาย
วันที่ 20 พ.ย.2561 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมกรรมการการเลือกตั้งมอบนโยบายให้กับผู้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการเลือกตั้งระดับอำเภอและระดับจังหวัดของกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมความพร้อมซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่จัดการรับสมัคร ส.ว.ในวันที่ 26-30 พ.ย.นี้ การเลือก ส.ว.ระดับอำเภอในวันที่ 16 ธ.ค. และการเลือก ส.ว.ระดับจังหวัดในวันที่ 22 ธ.ค. ส่วนการเลือกระดับประเทศ จะจัดในวันที่ 27 ธ.ค.นี้ โดยที่ประชุมได้แจกแผนผังตัวอย่างสถานที่รับสมัครและสถานที่ลงคะแนน ให้แต่ละเขตนำไปพิจารณาเลือกและจัดสถานที่ให้เหมาะสม โดยเฉพาะสถานที่ลงคะแนนซึ่งกฎหมายต้องการเห็นบรรยากาศภาพรวมการลงคะแนนผ่านกล้องวงจรปิด จึงไม่ควรใช้ห้องเรียนเป็นสถานที่ลงคะแนน เบื้องต้น แนะนำให้พิจารณาใช้อาคารโรงรถหรือโรงยิมของโรงเรียน
นายอิทธิพร กล่าวว่า แม้การเลือกส.ว.ครั้งนี้ ประชาชนจะไม่มีส่วนร่วมในการเลือกโดยตรง เพราะเป็นการเลือกกันเองของกลุ่มวิชาชีพ 10 กลุ่ม แต่เราต้องร่วมกันทำให้การเลือกกันเองของผู้สมัครสุจริตและเที่ยงธรรม
นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย กกต. กล่าวว่า การจัดการเลือกที่สุจริตเที่ยงธรรมจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อผู้มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งศึกษาข้อกฎหมายและซักซ้อมวิธีปฏิบัติอยู่ตลอด จึงฝากให้ศึกษาตารางรถไฟหรือไทม์ไลน์ กฎระเบียบต่างๆ เพื่อเตรียมจัดการเลือกระดับอำเภอและระดับจังหวัด ซึ่งจะต้องอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดจนกว่าจะถึงวันเลือก เพื่อไม่ให้ทำผิดกฎหมาย และวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ที่สำคัญขอให้สังเกตการฮั้ว การเลือกส.ว.จะมีสีสันขึ้นเมื่อจับการฮั้วได้ ระหว่างนี้ขอให้จัดเตรียมสถานที่รับสมัครและสถานที่ลงคะแนนให้พร้อม รวมถึงระบบไอทีของงานทะเบียนซึ่งต้องจัดเตรียมระบบไฟสำรองป้องกันกรณีไฟฟ้าดับ
นอกจากนี้ในการรับสมัครห้ามเปิดเผยชื่อผู้สมัคร หากนำไปติดประกาศผิดกฎหมายทันที ในส่วนของ กทม. ไม่ห่วงเพราะจัดการเลือกตั้งมาโดยตลอด แต่ขอให้ซักซ้อมวางแผนแนวทางปฏิบัติให้ดี  การเลือก สว.ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ประชาชนยังไม่ค่อยให้ความสนใจ เพราะคิดว่าไม่มีส่วนร่วมในการเลือก จึงขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้ง

กิตติรัตน์ ศก.ไทยตอนนี้น่าห่วงสุด งบรัฐทุ่มสูญเปล่า ตัวเลขศก.ไตรมาส3ชะลอตัว

กิตติรัตน์ ศก.ไทยตอนนี้น่าห่วงสุด งบรัฐทุ่มสูญเปล่า ตัวเลขศก.ไตรมาส3ชะลอตัว




วันนี้ (20 พฤศจิกายน) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจไทยขณะนี้ ระบุว่า ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสามของปี (2561) ยืนยันการชะลอตัวของทั้งภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคที่เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างภาคเกษตร

“เศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงที่สุดแล้ว” ผมขอเตือนท่านผู้รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจของประเทศให้ยอมรับความจริงว่าการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในสถานการณ์อันไม่เป็นประชาธิปไตยที่เนิ่นนาน ได้นำมาซึ่งสถานการณ์การไม่พยายามใส่ใจรับรู้ปัญหาเศรษฐกิจที่แท้จริงในด้านต่างๆ ซึ่งย่อมก่อให้เกิดความผิดพลาดในการกำหนดนโยบายทั้งมหภาค และรายประเภทธุรกิจ ส่งผลให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายแก่หน่วยงานและโครงการจำนวนมากกลายเป็นความสูญเปล่า และสูญเสียอย่างน่าเสียดาย รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายราชการในกรอบของภาวะ “อำนาจนิยม” ย่อมเป็นไปอย่างขาดประสิทธิภาพ และไม่ใส่ใจที่จะทำงานสนับสนุนภาคเอกชน และภาคประชาชนอย่างเต็มความสามารถ และบ่อยครั้งกระทำตนเป็นอุปสรรคเสียเอง แทนที่จะเป็นผู้แก้ไขปัญหา


“การสร้างภาพปิดบังความจริงและพยายามถมเงินงบประมาณจำนวนมากมายด้วยเงินกู้ที่มากเป็นประวัติการณ์ตลอดหลายปีงบประมาณที่ผ่านมา แม้จะดูเหมือนสามารถส่งผลดี แต่ก็เป็นผลดีในระยะสั้นๆ เท่านั้น จนขณะนี้เป็นที่ชัดเจนในความรับรู้โดยทั่วไปแล้วว่าไม่สามารถช่วยให้อะไรดีขึ้นได้อย่างยั่งยืนนอกจากการเร่งคืนประชาธิปไตย โดยจัดให้มีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้สังคมโลกเชื่อมั่นยอมรับ และกลับมาทำงานร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศไทยอีก” นายกิตติรัตน์ระบุ

และว่า “ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลควรรักประเทศ รักประชาชนมากกว่าเพียงห่วงเก้าอี้ที่นั่งมานาน แต่ยิ่งทำงานยิ่งทรุดลงอย่างที่เป็นอยู่ การเสนอตัวผ่านการจัดตั้งพรรคการเมืองของสมาชิกหลายท่านในทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำได้หากมั่นใจในความสามารถของตน แต่อย่าลืมว่าสิทธิในการหย่อนบัตรเป็นสิทธิของประชาชน ความพยายามจะให้ได้ชัยชนะด้วยวิธีการอันน่าสงสัยในการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นที่เสนอตัวทำงานให้ประชาชน รังแต่จะทำลายตนทั้งในขณะที่ยังอยู่ในหน้าที่ และต่อเนื่องไปในอนาคต หากได้รับชัยชนะอย่างไม่ใสสะอาด ทั้งจากกติกาตามรัฐธรรมนูญ และจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าของรัฐ สงสารเห็นใจประชาชนไทยบ้าง”

“บิ๊กตู่”สั่งหน่วนงานรัฐทุกหน่วย ใกล้เลือกตั้งแล้ว เร่งพีอาร์ผลงานรัฐบาลด่วน

“บิ๊กตู่”สั่งหน่วนงานรัฐทุกหน่วย ใกล้เลือกตั้งแล้ว เร่งพีอาร์ผลงานรัฐบาลด่วน



“บิ๊กตู่” สั่ง ใกล้เลือกตั้งแล้ว เร่งพีอาร์ผลงานรัฐบาล ด่วน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งการให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ได้เร่งนำผลงานการแก้ไขปัญหาประชาชนของแต่ละกระทรวงมาอธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจ เนื่องจากเวลานี้ใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง ควรจะมีการพูดถึงมาตรการและนโยบายของแต่ละกระทรวงว่ามีนโยบายไหนที่ทำได้บ้าง ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ ขอให้ไปเร่งและรีบอธิบายประชาชนว่าปัญหาคืออะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร แก้ไขปัญหาไปแค่ไหนแล้ว

2561-“บิ๊กตู่” โพสต์โชว์ แจกจัดหนัก! ทั้งค่าน้ำ-ไฟ-เงินใช้ปีใหม่คนละ500

“บิ๊กตู่” โพสต์โชว์ แจกจัดหนัก! ทั้งค่าน้ำ-ไฟ-เงินใช้ปีใหม่คนละ500



วันนี้ (20 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha เกี่ยวกับมติครม.ในการช่วย ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยระบุว่า
“วันนี้ ครม.เห็นชอบให้เพิ่มมาตรการช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยจะช่วยบรรเทาค่าน้ำ 100 บาท และ ค่าไฟ 230 บาทต่อครัวเรือน ต่อเดือน ตั้งแต่ธันวาคม 61 ถึง กันยายน 62 และพิเศษในเดือนธันวาคมปีนี้ จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 500 บาทเพื่อใช้จับจ่ายในช่วงปีใหม่นี้ นอกจากนั้น จะสนับสนุนค่าเดินทางรักษาพยาบาลแก่ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 1,000 บาทต่อคน และช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน 400 บาทต่อคน ต่อเดือน ตั้งแต่ ธันวาคม 61 ถึง กันยายน 62 ครับ”

2561-คลังเปิดรายละเอียด 4 มาตรการแจกแหลกผู้ถือคนจน 14.5 ล้านคน

คลังเปิดรายละเอียด 4 มาตรการแจกแหลกผู้ถือคนจน 14.5 ล้านคน



นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)ในคราวการประชุมวันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพิ่มเติมผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 4 มาตรการ ได้แก่ มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา และมาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้มีรายได้น้อย รวมถึงมาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ และมาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยได้อย่างยั่งยืนวงเงินรวม 3.87 หมื่นล้านบาท มีผู้ได้รับความช่วยเหลือ 14.5 ล้านคน โดยใช้เงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม

นายลวรณกล่าวว่า 1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา งบประมาณ 27,060 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปา อันจะส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐมีภาระค่าครองชีพลดลง โดยกรณีค่าไฟฟ้า ให้ใช้ไฟฟ้าในวงเงิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีค่าน้ำประปา ให้ใช้น้ำประปาในวงเงิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 ระยะเวลา 10 เดือน โดยกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน และการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมด 14.5 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คิดเป็นครัวเรือนประมาณ 8.2 ล้านครัวเรือน ทั้งนี้ 1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น

นายลวรณกล่าวว่า ในการดำเนินการ (1) กรณีค่าไฟฟ้า ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 3 เดือน ให้ใช้สิทธิค่าไฟฟ้าฟรีตามมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่หากใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้สิทธิตามวงเงินในมาตรการนี้ ทั้งนี้ ต้องไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด (2) กรณีค่าน้ำประปา ให้ใช้ในวงเงินไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีที่ใช้เกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีรายได้น้อยเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด โดยให้ผู้มีรายได้น้อยนำใบแจ้งค่าไฟฟ้าและใบแจ้งค่าน้ำประปาไปชำระที่สำนักงานการไฟฟ้านครหลวง สำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำนักงานการประปานครหลวง และสำนักงานการประปาส่วนภูมิภาค พร้อมทั้งแสดงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยทุกสิ้นเดือนการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค จะส่งบันทึกรายชื่อผู้มีรายได้น้อยที่ใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาภายใต้วงเงินที่กำหนดให้กรมบัญชีกลาง เพื่อที่กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมมาจ่ายคืนผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ประมาณกลางเดือนของเดือนถัดไป ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (เครื่อง EDC) แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐและถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้


นายลวรณกล่าวว่า 2.มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ งบประมาณ 7,250 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยมีเงินในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม 2561 เป็นจำนวน 500 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้มีรายได้น้อยในช่วงปลายปี 2561 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 11.4 ล้านคน และการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืนจำนวน 3.1 ล้านคน รวมทั้งหมดจำนวน 14.5 ล้านคน ในการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้

นายลวรณกล่าวว่า 3.มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย งบประมาณ 3,500 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย เป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 จำนวน 3.5 ล้านคน สำหรับการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้

นายลวรณกล่าวว่า 4.มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย งบประมาณ 920 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระค่าเช่าที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยเป็นจำนวน 400 บาทต่อคนต่อเดือน ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 มีกลุ่มเป้าหมาย ผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐและการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 และเช่าที่อยู่อาศัย โดยรวมถึงผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัยด้วย (ตามข้อมูลการลงทะเบียนของผู้มีรายได้น้อย) ซึ่ง ณ เดือนธันวาคม 2561 มีจำนวน 2.2 แสนคน และทยอยเพิ่มเป็น 2.3 แสนคน ณ เดือนกันยายน 2562 ซึ่งการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะนำเงินจากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ใส่ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในช่องกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้ซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC แอปพลิเคชันถุงเงินประชารัฐ และถอนเงินสดจากเครื่องถอนเงินอัตโนมัติได้

“ธนาธร” เผยยอดสมาชิกอนค.ทะลุ 2 หมื่นคน 31ธ.ค.เปิดชื่อคนลงส.ส. 350 เขต

“ธนาธร” เผยยอดสมาชิกอนค.ทะลุ 2 หมื่นคน 31ธ.ค.เปิดชื่อคนลงส.ส. 350 เขต



เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และทีมงานพรรคอนาคตใหม่ ได้เดินทางไปพบปะพูดคุยและร่วมรับฟังปัญหา จากประชาชน และผู้ที่สนใจจะลงสมัครไพรมารี ส.ส. ของพรรคอนาคตใหม่ ในจังหวัดนครปฐม ที่ร้านอาหารเชกอินเมลทวัน กำแพงแสน โดนนายธนาธร กล่าวว่า ขอขอบคุณพี่น้อง ประชาชนทุกคน ที่ได้ตัดสินใจมาร่วมเดินทางกับอนาคตใหม่ด้วยกัน การเดินทางครั้งนี้ จะเป็นการเดินร่วมกันของทุกคน ไม่ใช่ของตนคนเดียว จากวันที่เราได้รับสถานะเป็นพรรค ในวันที่ 3 ตุลาคม จนถึงเวลานี้ นับเวลายังไม่ถึง 2 เดือน แต่เรามีสำนักงานประจำจังหวัดครบ 77 จังหวัดแล้ว มีสมาชิกร่วม 20,000 คน และผู้ที่มีใจอาสาสมัครเข้าร่วมงานกับเรากว่า 2,000 คน จากทั่วประเทศ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ต้องการเห็นสังคมที่ดีกว่าทุกวันนี้ ก้าวไปสู่อนาคตใหม่ที่ก้าวพ้นจากความขัดแย้งทางการเมือง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วก็กลับเข้าสู่วงจรของเผด็จการ รัฐประหารเหมือนเดิม เราจะพัฒนาประเทศของเราในเรื่องใดไม่ได้เลย ถ้าไม่หยุดยั้งวงจรของเผด็จการ และต้องทำลายโครงสร้างที่กดทับสังคมไทยอย่างไม่เป็นธรรมให้ได้ก่อน วันนี้แม้เราจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ แต่เรายืนยันที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส. ลงแข่งขัน ให้ครบทั้ง 350 เขตเลือกตั้งอย่างแน่นอน ตนดีใจที่ในวันนี้ พรรคของเรามีการเติบโตได้เร็ว นั่นเป็นเพราะเรามีคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน มาอยู่รวมตัวกัน ตนคนเดียวไม่สามารถทำได้ จึงขอเชิญทุกคนมาร่วมเดินทางไปกับตน

นายธนาธร กล่าวว่า ในจังหวัดนครปฐมมีผู้สนใจลงสมัครเลือกตั้ง ไพรมารีโหวต ส.ส. ของพรรค ครบทุกเขตแล้ว ซึ่งทางพรรคอนาคตใหม่ ได้มีการเปิดรับสมัคร ผู้ประสงค์ลงสมัครไพรมารีโหวต เพื่อคัดเลือกเป็นผู้สมัคร ส.ส. มาตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม และได้ปิดรับสมัครไปแล้วในวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จากนี้ไป ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่างๆ ตามกระบวนการของพรรคต่อไป และจะมีการประกาศรายชื่อผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ส.ส. ในนามของพรรคทั่วประเทศ ในวันที่ 31 ธันวาคมนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นนายธนาธร ได้เดินทางต่อไปที่ คณะอักษรศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ เพื่อบรรยายพิเศษในหัวข้อ “การเมือง การปกครองของประเทศกำลังพัฒนา ประชาธิปไตยในไทย เปรียบเทียบกับสังคมโลก” โดยนายธนาธรกล่าวตอนหนึ่งว่า การเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ของทุกประเทศในโลกนี้ ไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่าย ล้วนต้องผ่านความรุนแรง การต่อสู้ด้วยเลือดเนื้อ บาดเจ็บล้มตาย และการเสียสละของคนเป็นจำนวนมาก นับจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549
ประเทศไทยต้องอยู่ภายใต้เงาของเผด็จการทหารมาแล้ว ถึง 12 ปี สังคมไทยต้องตกอยู่ในบรรยากาศของ hate speech การเกลียดชังกันอย่างร้าวลึก ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ เป็นตัวฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าของชาติ ทำให้ประเทศของเรามีอัตราการเติบโตในทุกด้านต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริงที่ควรจะเป็น


“ไทย กับ เกาหลีใต้ เคยอยู่ในจุดที่ฐานะทางเศรษฐกิจ จนเท่ากันมาก่อน เพราะเมื่อก่อนเกาหลีใต้ก็ต้องเผชิญกับปัญหาการวนเวียนอยู่ในวงจรของรัฐประหารเช่นเดียวกับไทย แต่หลังจากเหตุการณ์ที่กวางจู “Kwangju Democratic Uprising” ในปี 1980 ที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมา ต่อสู้กับเผด็จการทหาร จนเกิดการบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ในที่สุดแล้วก็นำมาซึ่งการได้ล้มล้างผลพวงของรัฐประหารทั้งหมดในเวลาต่อมา นับจากนั้นมา ก็ไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้นในเกาหลีใต้อีกเลย ถึงทุกวันนี้เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่มีการพัฒนาอย่างสูงในทุกด้าน ทิ้งห่างประเทศไทยไปมากแล้ว หลังจากที่ประสบชัยชนะในการนำทหารออกจากการเมืองได้” นายธนาธร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการบรรยายในชั้นเรียน มีนักศึกษาให้ความสนใจ มีส่วนร่วมเสนอแนะความคิดเห็น พร้อมทั้งได้อภิปรายไปในทางเดียวกันว่า ทุกวันนี้ได้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนแล้วว่า การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัว น่ารังเกียจ อย่างที่เคยรู้สึกกันมาอีกต่อไป จึงนับเป็นนิมิตหมายอันดี ที่ได้เห็นว่า คนรุ่นใหม่ทุกวันนี้มีความคิดที่พร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย และพรรคอนาคตใหม่ ก็เชื่อในพลังบริสุทธิ์ของคนรุ่นใหม่ ที่จะมีบทบาทอย่างมากในการสร้างประเทศไทยไปด้วยกัน

ราชกิจจาเผยแพร่ประกาศ กกต.กำหนดวันเลือก-รับสมัครส.ว.

ราชกิจจาเผยแพร่ประกาศ กกต.กำหนดวันเลือก-รับสมัครส.ว.



เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่อง กำหนดวันเลือกและวันรับสมัครสมาชิกวุฒิสภา มีใจความสรุปว่าตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย

การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ประกอบข้อ 45 ข้อ 51 และข้อ 54 ของระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 และมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการประชุมครั้งที่ 65/2561(29) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 จึงประกาศกำหนดวันเลือกและวันสมัครรับเลือกสมาชิกวุฒิสภา ดังต่อไปนี้

1. กำหนดวันเลือกสมาชิกวุฒิสภา ดังนี้ 1.1 วันเลือกระดับอาเภอ วันที่ 16 ธันวาคม 2561 1.2 วันเลือกระดับจังหวัด วันที่ 22 ธันวาคม 2561 1.3 วันเลือกระดับประเทศ วันที่ 27 ธันวาคม 2561
2. กำหนดวันรับสมัครสมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ระหว่างเวลา 08.30นาฬิกา ถึง 16.30 นาฬิกา ณ สถานที่ที่ผู้อานวยการการเลือกระดับอำเภอกำหนด 2.1บุคคลใดประสงค์จะสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ให้มีสิทธิสมัครเพื่อ เข้ารับเลือกในกลุ่มใดได้เพียงกลุ่มเดียว ดังต่อไปนี้ (1) กลุ่มการบริหารราชการแผ่นดินและความมั่นคง อันได้แก่ ผู้เคยเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (2) กลุ่มกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม อันได้แก่ ผู้เป็นหรือเคยเป็น ผู้พิพากษา ตุลาการ อัยการ ตำรวจ ผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (3) กลุ่มการศึกษาและการสาธารณสุข อันได้แก่ ผู้เป็นหรือเคยเป็นครู อาจารย์ นักวิจัย ผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรทางการศึกษา แพทย์ทุกประเภท เทคนิคการแพทย์ สาธารณสุข พยาบาล เภสัชกร หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (4) กลุ่มอาชีพกสิกรรม ปลูกพืชล้มลุก ทำนา ทำสวน ทำไร่ ป่าไม้ ปศุสัตว์ ประมง หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (5) กลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างของบุคคลซึ่งมิใช่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (6) กลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านสิ่งแวดล้อม ผังเมือง อสังหาริมทรัพย์ และสาธารณูปโภค ทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตกรรม หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (7) กลุ่มผู้ประกอบกิจการขนาดกลางและขนาดย่อมตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น และผู้ประกอบกิจการอื่น ๆ ผู้ประกอบธุรกิจหรืออาชีพด้านการท่องเที่ยว อันได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจ ท่องเที่ยว มัคคุเทศก์ ผู้ประกอบกิจการหรือพนักงานโรงแรม ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน (8) กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ คนพิการหรือทุพพลภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอัตลักษณ์อื่น
ประชาสังคม องค์กรสาธารณประโยชน์ หรืออื่น ๆ ในทำ นองเดียวกัน(9) กลุ่มศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี การแสดงและบันเทิง นักกีฬา สื่อสารมวลชน ผู้สร้างสรรค์วรรณกรรม หรืออื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน และ (10) กลุ่มอื่น ๆ
คลิกอ่านประกาศฉบับเต็ม

รายงาน : ทวิภพ การเมือง ความสำเร็จ ล้มเหลว สนาม ‘เลือกตั้ง’

รายงาน : ทวิภพ การเมือง ความสำเร็จ ล้มเหลว สนาม ‘เลือกตั้ง’



ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ล้วนวาง “อนาคต” อยู่กับความสำเร็จในกาลอดีต
ถามว่าทำไมพรรครวมพลังประชาชาติไทยต้อง “เดินคารวะแผ่นดิน”
คำตอบไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประเมินว่าผลงานอันโดดเด่นในทางการเมืองของตนคือ ปฏิบัติการในแบบ “มวลมหาประชาชน”
หากไม่มี “มวลมหาประชาชน” ก็ไม่มี “รวมพลังประชาชาติไทย”
ขณะเดียวกัน หากไม่มี “มวลมหาประชาชน” ก็ไม่เกิดรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และ คสช.โดย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือและความสามารถ
นโยบายไทยนิยมยั่งยืน นโยบายประชารัฐ ก็ไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้น
มวลมหาประชาชน รัฐประหาร ไทยนิยมยั่งยืน ประชารัฐ จึงคือรากฐานการเติบใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย
พลันที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จูงมือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับคำประกาศที่ว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ใช่ “เผด็จการ”
“วันนี้ไม่ใช่เผด็จการอีกต่อไปแล้ว แต่วันนี้คือลุงตู่ผู้เดินเข้าหาประชาชน เข้ามาช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้ประเทศสงบปราศจากความวุ่นวาย นักการเมืองที่เรียกลุงตู่ว่าเผด็จการนั่นคือการใส่ร้าย แต่บุคคลที่เป็นเผด็จการตัวจริงคือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง”
ความแจ่มชัดย่อมบังเกิด
เหมือนกับที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยเรียกรัฐบาลหลังการรัฐประหารว่า เป็น “รัฐบาลของพวกเรา”
แม้เมื่อประสบปัญหายางราคาตก น้ำมันปาล์มเสื่อมทรุด ก็ต้องยอมรับ

ไม่ว่าบทบาทของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่าบทบาทของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน คือ บทบาทของการฟอกขาวให้กับ คสช. ฟอกขาวให้กับรัฐประหาร
จากนี้จึงเห็นได้อย่างเด่นชัดว่า เดิมพันของพรรคพลังประชารัฐก็เช่นเดียวกับเดิมพันของพรรครวมพลังประชาชาติไทย
นั่นก็คือ อยู่ที่ความสำเร็จของ “คสช.”คล้ายกับว่าพลันที่ปี่กลองของการเลือกตั้งได้รับการโหมประโคม พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทยจะประสบกับกระแสกระหน่ำมาจากพรรคอื่นๆ
โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ หรือแม้กระทั่งพรรคอนาคตใหม่
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง การวิพากษ์วิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นในห้วงหาเสียงอาจปรากฏจากพรรคฝ่ายตรงกันข้าม แต่กล่าวอย่างถึงที่สุดแล้วก็มาจากผลงานของ คสช.เป็นสำคัญ
ถามว่าราคายางตกต่ำเกิดจากอะไร ราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำเกิดจากอะไร
ที่มีการนำเอายางมาประจาน ที่มีการเผาทำลายปาล์มน้ำมัน มิได้มาจากการปลุกปั่นของพรรคฝ่ายตรงกันข้าม
หากแต่มาจากผลการบริหารจัดการของ คสช. ของรัฐบาล
ด้านหนึ่ง พรรค คสช.มุ่งตักตวงชัยชนะจากผลงานของ คสช.และของรัฐบาล แต่ด้านหนึ่ง ผลงานของ คสช.และของรัฐบาลนั้นเองจะเป็นปัจจัยรั้งดึงและแปรให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
การเมืองดำเนินไปในลักษณะ 2 ด้านเสมอ หากมิใช่เป็นความสำเร็จ ก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นความล้มเหลว หากมิใช่เป็นชัยชนะก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นพ่ายแพ้
นี่คือสิ่งที่ พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องประสบ
ไม่ว่าจะชื่อพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าจะชื่อพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะชื่อพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ว่าจะชื่อพรรคอนาคตใหม่

สถานีคิด : พปชร.ก็พร้อมนี่นา : โดย นฤตย์ เสกธีระ

สถานีคิด : พปชร.ก็พร้อมนี่นา : โดย นฤตย์ เสกธีระ



ติดตามความฮึกเหิมของพลพรรคที่กำลังเข้าสู่พรรคพลังประชารัฐ หรือ พปชร. แล้วสนุกไม่น้อย
ยิ่งวันที่กลุ่ม 3 มิตรที่มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน กับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นำอดีต ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่น 60 คนไปเสริมทัพแล้ว

ยิ่งสนุกมากๆ
นายสมศักดิ์บอกในวันเข้าพรรคพลังประชารัฐว่า เป็นวันประวัติศาสตร์

พร้อมกันนั้นได้วิเคราะห์ข้อดีของพรรคเอาไว้ว่า นโยบายของ พปชร.ถือว่าดี กระแสหนุนพรรคก็ถือว่าดี

ข้อสำคัญคือ พปชร.ต้องเปลี่ยนความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองเก่าให้ได้

ถ้าไม่ได้โอกาสชนะก็ยาก

อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์มองด้วยสายตานักการเมืองผู้คร่ำหวอด บอกว่าสำหรับการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้

รัฐธรรมนูญได้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา จึงต้องใช้ประโยชน์

ทุกคะแนนเสียงมีความสำคัญแปลเป็นคะแนนได้ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ

นั่นคือกลุ่ม 3 มิตร ซึ่งนายสุริยะบอกว่าหลังจากเข้าพลังประชารัฐแล้ว 3 มิตรก็ยุบเลิกไป

อันนี้ต้องคอยดูว่าจะมีมุ้งเล็กหรือไม่มี

ลองมาฟังความคิดเห็นจากแกนนำอดีต ส.ส.กลุ่มบ้านริมน้ำของ นายสุชาติ ตันเจริญ

มาฟัง นายรณฤทธิชัย คานเขต แกนนำที่บอกว่า อีกประมาณ 1-2 วัน นายสุชาติ ตันเจริญ แกนนำกลุ่มบ้านริมน้ำจะมาสมัคร พปชร.

ไปคราวนี้มีผู้พร้อมสมัครรับเลือกตั้ง ประมาณ 30 คน จะขอไปอยู่ใต้ร่มเงาพลังประชารัฐ

นายรณฤทธิชัยบอกว่า สาเหตุที่ไปอยู่พรรคนี้ เพราะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

สาเหตุที่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอนเพราะมี ส.ว.จำนวน 250 คนสนับสนุน

ฟังแล้วครื้นเครงดีไหม

พรรคพลังประชารัฐที่เห็นชัดๆ คือ มีรัฐมนตรีจากรัฐบาลปัจจุบันเป็นหัวหน้าและแกนนำจำนวน 4 คน


แล้วพรรคนี้ก็เป็นพรรคที่นักการเมืองรุ่นเก๋ามองว่าได้เปรียบในการเลือกตั้ง

เพราะรัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเรา

และพรรคนี้ก็มีโอกาสได้เป็นรัฐบาลแน่นอน เพราะมี ส.ว.250 คนให้การสนับสนุน

ฟังแล้วอลังการมาก

และฟังแล้วไม่น่าเชื่อข่าวที่สะพัดว่าพรรคพลังประชารัฐคือต้นเหตุที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ออก ม.44 ให้ กกต.ไปจัดการปัญหาการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่

เพราะในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมดในขณะนี้ ดูเหมือนว่าพรรค พปชร.นี่แหละที่พร้อมมาก

มีคน มีนโยบาย มีความได้เปรียบในหลายเรื่อง

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งได้หัวหน้า และมีเรื่องกระทบกระทั่งกันหลังจากการเลือกตั้งหัวหน้า
แต่พรรคพลังประชารัฐไม่มีความขัดแย้งเรื่องหัวหน้า

ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังลูกผีลูกคนเพราะกรรมการบริหารพรรคถูกข้อหาขัดคำสั่ง คสช.

ดีไม่ดีอาจถูกยุบพรรคเอาได้ระหว่างเลือกตั้ง

แต่พรรคพลังประชารัฐไม่มีปัญหาเรื่องกฎหมาย

ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็แลดูเป็นมิตรมากกว่าศัตรู พรรคการเมืองใหม่อื่นๆ ก็ไม่ได้คาดหวังเป็นรัฐบาล

ณ เวลานี้พรรคพลังประชารัฐน่าจะพร้อมที่สุดแล้ว

ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเลื่อนกำหนดเลือกตั้งออกไปจากเดิม

ตกลงกันวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 กันมาแล้วใช่ไหม

ตกลงกันแล้วก็เลือกตั้งในวันที่ตกลงกันนั่นแหละดีที่สุด

นฤตย์ เสกธีระ
maxlui2810@gmail.com

อจ.วิพากษ์ ‘ม.44’ ยืดเวลาแบ่งเขต ‘ส.ส.’ แทรก ‘กกต.’ มีได้-มีเสีย

อจ.วิพากษ์ ‘ม.44’ ยืดเวลาแบ่งเขต ‘ส.ส.’ แทรก ‘กกต.’ มีได้-มีเสีย




หมายเหตุ ความคิดเห็นจากนักวิชาการถึงผลดีผลเสีย และผลกระทบ จากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 16/2561 ที่ขยายเวลาให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.ได้ต่อไปจนถึงก่อนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้



สมชัย ศรีสุทธิยากร
รักษาการแทนคณบดี สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

กกต.ต้องแบ่งเขตอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส แม้คำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 เปิดช่องให้ กกต.สามารถแบ่งเขตเลือกตั้งโดยหากกรณีจำเป็นเร่งด่วนก็ไม่ต้องยึดกฎหมายหรือระเบียบใดๆ ให้ถือว่าชอบด้วยกฎหมายถือเป็นที่สุดและสามารถดำเนินการได้จนถึงก่อน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้ก็ตาม สิ่งที่ กกต.ต้องยึดมั่นคือความสุจริต เที่ยงธรรม โปร่งใส และพิสูจน์ต่อสังคมให้ได้ว่าการแบ่งเขตดังกล่าวมิได้มาจากการรับใบสั่งจากผู้ใด ดังนั้น สิ่งที่ กกต.ต้องแถลงต่อสังคมเพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินการคือ
1.ประกาศกำหนดการให้ประชาชนและทุกพรรคการเมืองทราบอย่างชัดเจน ว่า กกต.พร้อมจะประกาศเขตเลือกตั้งทั้งหมดเมื่อใด มิใช่ทอดเวลาเพื่อให้เกิดการเรียกร้อง เจรจาต่อรอง หรือรอรับคำสั่งจากใครจนถึงนาทีสุดท้าย
2.ประกาศให้ประชาชนและพรรคการเมืองรับรู้ว่า เขตเลือกตั้งใดที่ยังเป็นปัญหา ปัญหาดังกล่าวมาจากผู้ร้องเรียนเป็นใครหรือจากกลุ่มการเมืองใด และส่งมาทางช่องทางใด ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือผ่านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อใด และ กกต.ได้มีกระบวนการพิจารณาอย่างรอบคอบให้เกิดความเป็นธรรมอย่างไร ไม่ใช่พอมีคำร้องเรียนผ่านบางองค์กรก็รีบจัดให้โดยมิได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ
3.ในจังหวัดที่มีการแบ่งเขตเลือกตั้งที่แตกต่างไปจาก 3 รูปแบบแรกที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและพรรคการเมืองแล้ว กกต.ต้องบอกให้สังคมรู้ว่าคือ จังหวัดใดบ้างและแบ่งในรูปแบบใหม่ด้วยเหตุผลใด
การดำเนินการดังกล่าว จะเป็นการพิสูจน์ว่า กกต.มีความเป็นกลาง ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม

ฐิติพล ภักดีวานิช
คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ผมไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะการเลือกตั้งอยู่บนพื้นฐานความพร้อมของพรรคที่สนับสนุนทหารเป็นหลัก จริงๆ ผมมองว่ารัฐบาล คสช.เองก็ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพราะจะเป็นกลไกเพื่อสร้างความชอบธรรมในการอยู่ในอำนาจหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายทั้งประเทศ หรือการเจรจาทางการค้า
แต่เงื่อนไขที่ผมมองคือถึงแม้ คสช.จะมี 250 ส.ว.ในการลงคะแนนเสียงเลือกนายกฯ แต่หลังจากการเลือกตั้งก็จำเป็นที่จะต้องมีจำนวน ส.ส.พอสมควรในสภา เพื่อที่จะให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น จึงอยู่ที่การประเมินสถานการณ์ของ คสช.ว่าความพร้อมของพรรคที่สนับสนุน คสช.นั้นมีมากน้อยแค่ไหนเพื่อที่จะได้รับเสียง ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นประเด็นหลักสำคัญอย่างหนึ่งที่ คสช.พิจารณาว่าจะให้มีการเลือกตั้งเมื่อไหร่
การขยายเวลาแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นการแทรกแซงของ คสช.อยู่แล้ว กกต.หรือองค์กรอิสระของไทยภายใต้ คสช.ไม่ได้มีความเป็นอิสระจริงๆ เพราะ คสช.ยังมีอิทธิพล มีบทบาทและอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ เช่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เอง ที่ผ่านมาอะไรที่เสนอไปก็ผ่านเกือบทั้งหมด เพราะฉะนั้น องค์กรต่างๆ ที่ตั้งภายใต้ คสช.ก็จะอยู่ภายใต้กรอบการทำงานที่กำหนดโดย คสช.อยู่แล้ว ไม่น่าจะมีความเป็นอิสระ และน่าจะเป็นเหตุผลให้ความมั่นใจและความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระมีน้อยลงด้วย
จริงๆ หลายอย่างก็ถูกทำโดยที่สาธารณชนไม่ได้รับรู้อยู่แล้ว ณ ตอนนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง แต่สิ่งที่จะกระทบจริงๆ คือสิทธิเสรีภาพทางการเมืองทั้งของพรรคการเมืองและประชาชน เนื่องจากพรรคการเมืองยังไม่มีอิสระในการทำกิจกรรมทางการเมือง และการสื่อสารข้อมูลของพรรคการเมืองกับประชาชนก็เป็นสิ่งสำคัญต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้ง ที่น่าจะสำคัญมากกว่าการจำกัดสิทธิเสรีภาพทางการเมือง และควรจะให้พรรคการเมืองมีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ได้แล้ว เพราะตอนนี้เราได้รับข้อมูลแค่จากทาง คสช.เพียงอย่างเดียว
ถ้ามีการเลื่อนการเลือกตั้ง ผู้ที่ได้ประโยชน์น่าจะเป็น คสช.มากที่สุด อย่างน้อย คสช.ก็อาจจะมีเวลามากขึ้นในการเจรจาหาแนวร่วม หรือหาพันธมิตรทางการเมือง จากที่เราเห็นตอนนี้ก็มีการเจรจาแล้วในระดับหนึ่ง และมีหลายพรรคที่สะเทือนอยู่แล้ว การขยายเวลาก็ยิ่งเปิดโอกาสให้มีการเจรจาที่มากขึ้น ผู้ที่ได้ประโยชน์ที่สุดจึงน่าจะเป็น คสช.มากกว่าพรรคการเมือง
เวลานี้การเลื่อนเวลาอาจจะไม่ได้ทำให้พรรคการเมืองเสียประโยชน์มากนัก เพราะด้วยปัญหาที่ยังไม่มีการให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือการทำกิจกรรมของพรรคการเมือง ดังนั้น ผู้ที่เสียประโยชน์จริงๆ ก็อาจพูดได้ว่าทั้งประเทศ เพราะทำให้การกลับสู่ประชาธิปไตยช้าลง


พนัส ทัศนียานนท์
อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

คําสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2561 เป็นการแทรกแซง กกต. เพราะการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นอำนาจของ กกต. สำหรับผลกระทบที่จะมีต่อการเลือกตั้งนั้น มีแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าการที่ คสช.ใช้อำนาจมาแทรกแซงตรงนี้ สุดท้ายแล้วเท่ากับว่าเป็นการเข้าไปแบ่งเขตเลือกตั้งเองหรือไม่ เพราะเหมือนกับว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่า กกต.จะแบ่งเขตอย่างไร ก็ต้องให้ คสช.เห็นชอบ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแบ่งตามที่ คสช.ต้องการ ดูลักษณะแล้วเป็นเช่นนั้น
การแบ่งเขตเลือกตั้งทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันได้ ถ้าพูดกันอย่างง่ายๆ คือ แบ่งเพื่อทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองต่างๆ ที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เช่น เขตพื้นที่ไหน ถ้าเห็นว่าเป็นพื้นที่ซึ่งเสียงสนับสนุนของพรรคหนึ่งหนาแน่นมาก ก็ลากเส้นแบ่งเขตตรงนั้นออก เมื่อแบ่งแล้วก็กลายเป็นเขตเลือกตั้งอีกเขตหนึ่ง กลายเป็นอย่างนั้นไป เพราะฉะนั้น พรรคนั้นๆ ที่เดิมมีเสียงสนับสนุนเข้มแข็งมาก ก็ต้องอ่อนลง เพราะถูกแบ่งครึ่งออกไปแล้วถ้ามีการขีดเส้นแบ่งครึ่งไปเลย
เท่าที่ดูเราก็รู้อยู่แล้วว่า คสช.เองมีส่วนได้เสียในการเลือกตั้งคราวนี้อย่างเต็มๆ มีพรรคการเมืองที่ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุน คสช. โดยเฉพาะสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯต่อไป ซึ่งก็ชัดเจนว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งในครั้งนี้ คงจะทำเพื่อให้พรรคการเมืองที่สนับสนุน คสช.ได้เปรียบ นี่ฟันธงตรงๆ ว่าเป็นอย่างนั้น

ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

กรณีการขยายเวลาแบ่งเขตการเลือกตั้งสามารถมองได้หลายแง่ ปัจจุบันมองได้ว่า 1.สังคมกำลังตั้งคำถามว่าจะทำให้การเลือกตั้งช้าลงหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เรื่องการแบ่งเขตการเลือกตั้งดูเหมือนว่าจะต้องขยับเวลาไปอีกเล็กน้อย 2.ก่อนหน้านี้มีพรรคเล็กบางพรรคเรียกร้อง จึงเป็น 2 เหตุผลที่อาจจะส่งผลให้การเลือกตั้งช้าลง
แต่เอาเข้าจริงแล้วเรื่องช้าหรือไม่ช้านั้นต้องกลับไปดูหลักการของการเลือกตั้ง เรื่องของหลักเสรียุติธรรม เพราะการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายไม่เพียงการเลือกรัฐบาลเท่านั้น แต่สังคมยังใช้การเลือกตั้งเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้น ถ้าหากไม่เสรียุติธรรม การเลือกตั้งก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองได้
ถ้ามีการเลื่อนการเลือกตั้งอาจจะกระทบกับหลักการเรื่องเสรีและยุติธรรมเล็กน้อย แต่จะเกิดปัญหาใหญ่กว่านั้น คือ ถ้าสมมุติว่าการเลือกตั้งไม่เสรียุติธรรมจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนภายหลังการเลือกตั้ง และทำให้สังคมไทยยังไม่สามารถหลุดไปจากเรื่องความขัดแย้งได้อีกครั้ง
เมื่อมีการขยายเวลาการแบ่งเขต ทำให้พรรคต่างๆ ที่ในปัจจุบันบางพรรคก็เปิดตัวบ้าง ไม่เปิดตัวบ้าง พรรคที่เปิดตัวไปแล้วก็สามารถที่จะทำงานกันได้ต่อไป แต่บางพรรคที่ยังไม่พร้อม หรือพร้อมแล้วก็ยังไม่สามารถหาวันดีเดย์ในการเลือกตั้งได้จริงๆ ในเรื่องการแข่งขันจึงส่งผลเรื่องนโยบายในการลงพื้นที่ เพราะลักษณะการขยายเวลาในปัจจุบันจะเป็นปัญหาของพรรคการเมืองขนาดกลางที่เน้นพื้นที่และจะต้องลงพื้นที่เป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถอยู่เกาะพื้นที่ได้
ด้วยภาพที่สังคมกำลังมองในปัจจุบัน จึงต้องย้อนกลับไปดูหลักการเสรียุติธรรมในการดำเนินการเลือกตั้ง มองกลไกในภาพรวม ว่าทุกพรรคและทุกคนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้งนั้น ได้รับการปฏิบัติจากองค์กรที่ควบคุมการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม และมีเสรีในการเลือกตั้งจริงหรือไม่
ท้ายที่สุดเมื่อผลการเลือกตั้งออกมา บางพรรคอาจจะแพ้หรืออาจจะชนะ แต่ถ้ากระบวนการนั้นยุติธรรมก็จะไม่มีข้อครหา แต่หากหลังการเลือกตั้งพบว่ากระบวนการไม่ยุติธรรมก็จะทำให้ผลการเลือกตั้งนั้นก่อให้เกิดความวุ่นวายได้
ปัญหาหลักจริงๆ คือ กกต.ยังไม่สามารถใช้อำนาจของตัวเองในการดูแลเรื่องการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ นี่เป็นปัญหาใหญ่ หน้าที่หลักของ กกต.คือต้องอำนวยการและควบคุมการเลือกตั้งให้เป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมาย แต่ปัจจุบันจะพบว่าอำนาจ กกต.ในการทำงานเรื่องการเลือกตั้ง ยังไปเกี่ยวเนื่องกับอำนาจของ คสช.อยู่ด้วย
ฉะนั้นฟังก์ชั่นงานต่างๆ จึงดูไม่เป็นเอกภาพ เราจะมองเรื่องการเลือกตั้งในอนาคตอย่างไรให้ราบรื่นและสามารถเป็นกลไกที่เอื้อต่อการเลือกตั้งให้เสรียุติธรรม ปัญหาแรกคือตอนนี้ต้องให้อำนาจเต็มกับ กกต.ไว้ก่อน เพื่อจัดการการเลือกตั้งได้อย่างเต็มที่ และจะทำให้ปัญหาอื่นค่อยๆ ลดลง