PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ข้อเขียนจาก อ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี หลังจากถูกเชิญตัวเข้าปรับทัศนคติที่ค่ายกาวิละ

ข้อเขียนจาก อ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี หลังจากถูกเชิญตัวเข้าปรับทัศนคติที่ค่ายกาวิละวันนี้ (3 พ.ค. 59)
"การอ้างความขัดแย้งระหว่างประชาชนและสีเสื้อที่ต่าง ในฐานะมูลเหตุของความไม่สงบในสังคมไทย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง และไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ในห้วงเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งประการเดียวที่ปรากฏให้เห็น และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆคือ ความขัดแย้งและเผชิญหน้าระหว่างทหารกับประชาชน ขณะเดียวกัน วาทกรรมโรดแมป ก็เสื่อมมนต์ขลังลงอย่างรวดเร็ว เพราะไม่เพียงแต่ไม่มีถนน ไม่มีแผนที่นำทาง หรือความหวังใหม่ๆใดๆให้เห็น แต่ทิศทางการพัฒนาประเทศ กลับผลิตซ้ำเมกะโปรเจ็คที่พล่าผลาญทรัพยากรและเบียดขับชาวบ้านในทุกหย่อมหญ้า ที่ัไม่ได้ต่างไปจากยุคของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด"
Pinkaew Laungaramsri
ในการถูกเชิญให้ไปปรับทัศนะคติครั้งที่สอง ณ ค่ายกาวิละ ในวันนี้พร้อมๆกับเพื่อนๆอีกสองท่าน ทำให้ดิฉันอดย้อนคิดเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งเข้าค่ายกาวิละตามคำเชิญของทหารเป็นครั้งแรก เมื่อหลังรัฐประหารใหม่ๆเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2557 ไม่ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าสิ่งที่ทางฝ่ายทหารขอร้องจะเหมือนกันในทั้งสองครั้ง คือ การขอให้ยุติการแสดงออกทางความคิดเห็นและกิจกรรมต่างๆในที่สาธารณะ เพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่เหตุผล และวาทกรรมที่ใช้ในการรองรับคำขอดังกล่าว มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ในตลอดสองชั่วโมงที่นั่งฟังการบรรยายของฝ่ายทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจและตัวแทนจากฝ่ายปกครอง ถึงความจำเป็นที่ต้องเรียกตัวดิฉันและเพื่อนอีกสองคนเข้าพบ คีย์เวิร์ดสองคำที่ไม่พบในวาทกรรมของฝ่ายทหาร ทั้งที่เป็นคำที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้งในการปรับทัศนะคติครั้งแรก และเป็นวาทกรรมที่ถูกใช้มาโดยตลอดในการสร้างความชอบธรรมที่จะริดรอนเสรีภาพของประชาชนคือ “เพื่อความปรองดอง” และการอยู่ในช่วงของ “โรดแมป” ในการคืนความสุขให้กับประชาชน คำที่มาแทนที่ ความปรองดอง และโรดแมปในการสนทนาวันนี้ คือ “บ้านเมืองอยู่ในสภาวะพิเศษ” ที่ต้องการ “ความสงบเรียบร้อยปราศจากความวุ่นวายก่อนการเลือกตั้ง” และ “อย่าบังคับให้ทหารต้องใช้ความรุนแรง”
การหายไปของวาทกรรมความปรองดอง และโรดแมป สะท้อนความเสื่อมถอยของความชอบธรรมในการใช้อำนาจของทหารในช่วงเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งนี้ เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การอ้างความขัดแย้งระหว่างประชาชนและสีเสื้อที่ต่าง ในฐานะมูลเหตุของความไม่สงบในสังคมไทย เป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง และไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป ในห้วงเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา ความขัดแย้งประการเดียวที่ปรากฏให้เห็น และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆคือ ความขัดแย้งและเผชิญหน้าระหว่างทหารกับประชาชน ขณะเดียวกัน วาทกรรมโรดแมป ก็เสื่อมมนต์ขลังลงอย่างรวดเร็ว เพราะไม่เพียงแต่ไม่มีถนน ไม่มีแผนที่นำทาง หรือความหวังใหม่ๆใดๆให้เห็น แต่ทิศทางการพัฒนาประเทศ กลับผลิตซ้ำเมกะโปรเจ็คที่พล่าผลาญทรัพยากรและเบียดขับชาวบ้านในทุกหย่อมหญ้า ที่ัไม่ได้ต่างไปจากยุคของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด
การอ้างสภาวะพิเศษ หรือการเป็นสังคม “พิเศษ” ที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ (อันเนื่องมาจากความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองของประชาชน) เพื่อแทนที่วาทกรรมความปรองดองและโรดแมปของคสช จึงเป็นข้ออ้างที่ไร้น้ำหนัก และนับวันก็ยิ่งไร้ความชอบธรรมมากขึ้นทุกขณะ 
ดิฉันกลับคิดว่า แทนที่ทหารมุ่งแต่จะคิดว่า สังคมไทยนั้น พิเศษไม่เหมือนใครเขา และดังนั้นจึงไม่ควรนำประเทศไปเปรียบเทียบกับที่อื่น อันเป็นวิธีคิดที่ไม่ได้ช่วยนำพาสังคมให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นแต่ประการใด ฝ่ายทหารควรหันกลับมามองว่า ในประเทศที่เคยปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการเช่นเดียวกับไทยนั้น เขานำพาประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้สำเร็จกันอย่างไร เรียนรู้วิถีทางที่เป็นประโยชน์ในการปรองดองกับประชาชน เข้าใจประชาชน และแสวงหาหนทางไปสู่ความเป็นประเทศที่ทหารและประชาชนอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ต้องมาทะเลาะกันทุกเมื่อเชื่อวัน อย่างนี้ น่าจะเป็นวิธีคิดที่สร้างสรรค์กว่าหรือไม่ ดิฉันกลับคิดว่า สังคมไทยสามารถที่จะเป็นเหมือนกับสังคมอื่นที่ “ปกติ” ได้ ขอเพียงแต่ทหารเปิดใจรับฟังประชาชนให้มากขึ้น แทนที่จะใช้วิธีการกดบังคับ ที่พิสูจน์แล้วว่าล้มเหลวมาตลอดสองปีที่ผ่านมา
ดิฉันเข้าใจดีว่า ในฐานะที่เป็นสถาบันที่รวมศูนย์อำนาจมากกว่าสถาบันราชการใดๆในสังคมไทย นายทหารในระดับภูมิภาคนั้น มีแรงกดดันที่ต้องตอบสนองต่อนโยบายจากส่วนกลาง และแรงกดดันที่ว่ามักเป็นที่มาของการตัดสินใจใช้อำนาจที่รุนแรงเหนือการใช้เหตุผล แต่ขณะเดียวกัน ดิฉันกลับเห็นว่า หน้าที่สำคัญของทหาร ที่สำคัญยิ่งไปกว่าการสนองตอบต่อนโยบายของผู้บังคับบัญชา ได้แก่ การรับใช้ประเทศที่มีประชาชนเป็นรากฐานสำคัญ ทหารที่เป็นศัตรูกับประชาชน ย่อมรักษาได้แต่ประเทศอันกลวงเปล่า และขาดไร้ซึ่งความหมาย ทหารในฐานะที่เป็นพลเมืองเช่นกัน จึงควรที่จะสามารถที่จะคิด และใช้วิจารณญาณในการเข้าใจปัญหา เข้าใจสังคม และเข้าใจประชาชน แทนที่จะมุ่งแต่ใช้กฎและอำนาจอย่างปราศจากตรรกะและเหตุผลเพียงถ่ายเดียว
ดิฉันได้กล่าวกับผบ.มณฑลทหารบกที่ 33 ในวันนี้ และอยากจะกล่าวซ้ำในที่นี้ อีกครั้งว่า อยากชวนให้ทหารคิด และมองไปในอนาคต “ทหารนั้นอยากให้ประชาชนจดจำตนเองอย่างไร?” สิ่งที่กระทำเฉพาะหน้าในวันนี้ โดยไม่ได้คิด หรือไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยเหตุและผล ที่สุดแล้ว จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่จะถูกจดจำต่อไปในกาลข้างหน้า 
สำหรับดิฉัน สิ่งนี้มีความสำคัญทั้งต่อสถาบันทหาร และต่อประเทศโดยรวม โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันยังหวังว่า สักวันหนึ่ง ทหารจะสามารถถูกจดจำโดยประชาชน ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างชาติ เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์แห่งการสรรเสริญ อยู่ในความทรงจำของประชาชนในความหมายของความสว่าง และความรุ่งเรือง
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ว่า ประวัติศาสตร์ความทรงจำเช่นนี้ ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยในสังคมไทย แม้จวบจนปัจจุบัน

เตรียมออกหมายเรียก “โอ๊ค” พานทองแท้ ให้ปากคำคดีให้เงินแอดมินเพจเรารัก พล.อ.ประยุทธ์



“ศรีวราห์” ย้ำ มีหลักฐาน “พานทองแท้” ให้เงินแอดมินเพจเรารัก พล.อ.ประยุทธ์ จ่อออกหมายเรียก ยันคดีนี้มีคนทำผิดมากกว่า 8 คน
วันนี้ (3 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (บช.ภ.7) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนกลุ่มแอดมินเพจเรารัก พล.อ.ประยุทธ์ หลังจากดำเนินคดีไปแล้ว 8 ราย โดยปรากฏข้อมูลในเอกสารคำร้องฝากขัง ระบุว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เงินสนับสนุน ว่า เรื่องนี้อยู่ในสำนวนไปก้าวล่วงได้อย่างไร แต่ก็มีพยานหลักฐานการให้เงิน แต่ยังไม่ทราบว่าให้เพื่อไปทำอะไร กำลังพิจารณาจะเชิญนายพานทองแท้ มาสอบปากคำ หากพิจารณาแล้วเห็นสมควรสอบปากคำก็จะออกหมายเรียกนายพานทองแท้ มาพบพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ ต้องตรวจสอบกับทางกองทัพในฐานะผู้เสียหายก่อนว่าหลักฐานที่ไปถึงนายพานทองแท้ มีมูลหรือไม่ หากกองทัพยืนยันว่ามีมูลต้องเรียกสอบ ก็จะออกหมายเรียก
“การให้เงินหากพบว่าเอาไปให้ทำผิดก็ต้องเรียกนายพานทองแท้ มาสอบดำเนินคดีตามกฎหมาย หลักฐานถึงใครก็ว่าไปตามกบิลบ้านกบิลเมือง ผมเป็นตำรวจไม่เกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ตั้งใจจะโยงไปหาใคร กลุ่มใด ทุกอย่างไปตามหลักฐาน” รอง ผบ.ตร. กล่าวและว่า คดีนี้มีผู้ทำผิดมากกว่า 8 คนแน่นอน กำลังสืบสวนสอบสวนขยายผล

‘ประวิตร โรจนพฤกษ์’ และนักโทษความคิด โผล่งานเสรีภาพสื่อโลก ฟินแลนด์

‘ประวิตร โรจนพฤกษ์’ และนักโทษความคิด โผล่งานเสรีภาพสื่อโลก ฟินแลนด์
3 พ.ค.2559 กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลน์ รัฐบาลฟินแลนด์ร่วมกับยูเนสโกจัดงานวันเสรีภาพสื่อโลก ประจำปี 2016 ‪#‎WPFD2016‬ ระหว่างวันที่ 3-4 พ.ค.นี้ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากองค์กรต่างๆ และสื่อมวลชน ราวพันคน โดยในปีนี้มีธีมว่า “การเข้าถึงข้อมูลและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เป็นสิทธิของคุณ!” (Access to Information and Fundamental Freedoms, This is your right!)
ภายในงานนี้มีการพูดคุยในเรื่องหลักการพื้นฐานเรื่องเสรีภาพ ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลของสาธารณะ โดยแยกเป็นประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องผลกระทบเรื่องผู้ลี้ภัยในยุโรปบนการให้คุณค่าของสื่อสาธารณะ, เสรีภาพในงานศิลปะเป็นความท้าท้ายใหม่ของการพัฒนาหรือไม่, ข้อจำกัดของการปกป้องแหล่งข่าวของสื่อมวลชน, การต่อสู้กับเฮทสปีชในสื่อผ่านระบบจริยธรรมและตรวจสอบกันเอง, การสอดส่อง การปกป้องข้อมูล และการเซ็นเซอร์ออนไลน์, สิทธิในข้อมูลข่าวสารในประเด็นเพศสภาพ, พรมแดนใหม่ของการเข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น
งานนี้สถานทูตฟินแลนด์ได้เชิญนักข่าวไทยจำนวนหนึ่งเข้าร่วมงาน แต่ประวิตร โรจนพฤกษ์ คอลัมนิสต์อาวุโสจากข่าวสดอิงลิช หนึ่งในผู้ได้รับเชิญไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานได้ เนื่องจาก คสช.ไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากเขาถูกเรียกเข้าค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติ 2 ครั้งรวม 10 วันและต้องเซ็นข้อตกลงห้ามเคลื่อนไหวทางการเมืองและการเดินทางออกนอกประเทศต้องได้รับอนุญาตจาก คสช. โดยก่อนหน้านี้ คสช.อนุญาตให้เขาเดินทางไปประชุมในต่างประเทศได้หลายครั้ง ยกเว้นครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เขายังคงจะได้ร่วมประชุมในพรุ่งนี้ (4 พ.ค.) ในเวทีที่พูดคุยถึงความยากลำบากในการทำงานของสื่อในบางประเทศ เช่น ไทย พม่า และประเทศในภูมิภาคแอฟริกา ผ่านการประชุมทางไกล เวทีนี้เป็นงานที่จัดขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศฟินแลนด์เป็นการเฉพาะและจะมีสื่อมวลชนฟินแลนด์และประเทศอื่นๆ ร่วมรับฟัง
นอกจากนี้ภายวันในงานวันแรกยังปรากฏว่ามีนักกิจกรรมสวมหน้ากากใบหน้านักโทษการเมืองไทยที่ถูกจำคุกด้วยข้อหามาตรา 112 รวมถึงประวิตร โรจนพฤกษ์ ปรากฏตัวภายในงานราว 10 นาที มีใบหน้าของสมยศ พฤกษาเกษมสุข บก.นิตยสาร Voice of Taksin, ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล, ภรณ์ทิพย์ และปติวัฒน์ นักแสดงละครเวที
จรรยา ยิ้มประเสริฐ นักกิจกรรมด้านแรงงานและด้านการเมือง ซึ่งลี้ภัยมาอยู่ในประเทศฟินแลน์ราว 6 ปี เป็นผู้จัดกิจกรรมนี้ เธอให้สัมภาษณ์ว่า เวทีนี้เป็นเวทีสำคัญเพราะสื่อทั่วโลกต่างเผชิญกับการคุกคามและเซ็นเซอร์ ประเทศไทยก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีเสียงที่มาบอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยในที่นี้ด้วย อยากให้คนเหล่านี้ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่องได้มาเผยโฉมในงาน แต่ในเมื่อเขามาไม่ได้ก็ขอทำเป็นภาพของพวกเขาแทน
ทั้งนี้ ปีนี้นับเป็นปีที่ 25 ที่โลกพูดถึงวันเสรีภาพสื่อโลก มันมีที่มาจากคำประกาศวินด์ฮุก (Windhoek) ซึ่งเป็นผลมาจากการรวมตัวของกลุ่มนักข่าวชาวแอฟริกันในงานสัมมนาของยูเนสโกในเมืองวินด์ฮุก ประเทศนามีเบีย ในปี 1991 ที่ซึ่งพวกเขาร่วมลงนามร่วมกันในคำประกาศชื่อเดียวกับสถานที่จัดสัมมนานี้เพื่อยืนยันบทบาทที่เป็นอิสระและความเป็นพหุนิยมของสื่อ รวมถึงสร้างความตระหนักถึงความรุนแรงที่เกิดกับสื่อมวลชน ต่อมาในปี 1993 คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศให้วันที่ 3 พ.ค.เป็นวันเสรีภาพสื่อโลกอย่างเป็นทางการ
ขณะที่ฟินแลนด์เจ้าภาพในปีนี้ คือ ประเทศอันดับหนึ่งในการจัดอันดับเรื่องเสรีภาพสื่อในปี 2016 และอยู่ในตำแหน่งนี้มา 6 ปีซ้อน ดัชนีดังกล่าวจัดทำโดยองค์การผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF)

“ยุยงปลุกปั่น” ตามมาตรา 116

“ยุยงปลุกปั่น” ตามมาตรา 116 ข้อหาเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในยุครัฐบาลคสช.

1.5K55
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” เป็นกฎหมายที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก เพราะมีเหตุให้ใช้ไม่บ่อย แต่หลังการรัฐประหารในปี 2557 ข้อหานี้ถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ต่อกลุ่มคนที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในทิศทางตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร จนเข้าลักษณะเป็นการตั้งข้อหาเพื่อหวังผลทางการเมือง และตอกย้ำว่ากฎหมายมาตรานี้เป็นข้อหาที่อยู่คู่กับการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย
 
 
รู้จักกฎหมายอาญามาตรา 116
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 บัญญัติไว้ว่า
          “มาตรา ๑๑๖ ผู้ใดกระทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
          (๑) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย
          (๒) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
          (๓) เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี”
 
มาตรา 116 นี้เขียนอยู่ในประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 ลักษณะที่ 2 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จะเห็นได้ว่า มาตรา 116 เป็นความผิดอาญาที่มุ่งเอาผิด “การทำให้ปรากฎแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่น” หมายความว่า กฎหมายนี้เป็นกรอบกำกับการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะไม่ให้กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
 
หากเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ไม่ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่เห็นว่าไม่ชอบธรรม หรือ สำหรับยุคที่มีรัฐธรรมนูญ หากเป็นการใช้เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นตามสิทธิขึ้นพื้นฐานในรัฐธรรมนูญ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 116 และที่สำคัญเมื่อกฎหมายนี้อยู่ในหมวด “ความมั่นคง” การกระทำที่จะถือว่าผิดมาตรา 116 ผู้กระทำต้องมีเจตนาให้กระทบต่อความมั่นคงด้วย 
 
สำหรับการเรียกร้องต่อสาธารณะให้แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายที่เห็นว่าไม่เป็นธรรม หรือการเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาล หรือผู้นำประเทศ หากเป็นการเรียกร้องโดยสันติวิธีไม่มีการใช้กำลังเข้าบังคับ ก็ย่อมไม่ผิดตามมาตรา 116 (1)
 
ประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้ตั้งชื่อเล่นหรือชื่อเรียกสั้นๆ ให้กับมาตรา 116 เหมือนความผิดฐาน “ลักทรัพย์” “ยักยอกทรัพย์” หรือ “ทำร้ายร่างกาย” มาตรา 116 จึงถูกเรียกแตกต่างกันไป บางครั้งเรียกว่าความผิดฐาน “ยุยงปลุกปั่น” ซึ่งเป็นชื่อไม่เป็นทางการที่พอจะอธิบายลักษณะการกระทำที่เป็นความผิดตามมาตรานี้ได้บ้าง แต่ไม่ถึงกับสมบูรณ์นัก
 
เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศ ความผิดในลักษณะนี้หลายประเทศเรียกว่า Sedition Law ซึ่งบางประเทศก็เขียนไว้ในกฎหมายอาญาเหมือนกับไทย บางประเทศก็กำหนดไว้ในกฎหมายพิเศษต่างหาก
 
 
ก่อนการรัฐประหาร มาตรา 116 ถูกใช้ไม่บ่อยและใช้ไม่ค่อยใช้ได้ผล
ศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ ติดตามบันทึกข้อมูลการบังคับใช้กฎหมายกับการแสดงความคิดเห็นของประชาชนมาตั้งแต่ปี 2553 หากนับถึงช่วงเวลาก่อนการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 พบการดำเนินคดีตามมาตรา 116 อย่างน้อย 4 คดี คือ
 
1. คดี “ปีนสภาสนช.” เมื่อปี 2550 ซึ่งเอ็นจีโอ 10 คนตกเป็นจำเลยจากการปีนรั้วเข้าไปหยุดยั้งการพิจารณากฎหมายที่ไม่ชอบธรรมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในสมัยนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานบุกรุก แต่ให้ยกฟ้องข้อหามาตรา 116 เนื่องจากเป็นการใช้เสรีภาพการชุมนุมและแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องทุกข้อกล่าวหา
 
2. คดี “ดีเจหนึ่ง” หรือจักรพันธ์ ประกาศผ่านรายการวิทยุให้ประชาชนชุมนุมปิดถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง บริเวณแยกดอยติ ในช่วงเดียวกับการชุมนุมของคนเสื้แดงในเดือนเมษายน 2552 ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดแต่ให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 3 ปี เนื่องจากโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนที่ไปปิดถนนเป็นคนที่ฟังรายการของจำเลย อีกทั้ง การลงโทษทางอาญาในคดีที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา
 
3. คดี “เคทอง” หรือ พรวัฒน์  อัดรายการในแคมฟรอกทำนายว่าจะมีเหตุระเบิดในกรุงเทพ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากถ้อยคำที่จำเลยกล่าวตามฟ้องแล้ว เห็นได้ว่าเป็นถ้อยคำที่คนทั่วไปรับฟังแล้วย่อมเกิดความตระหนกตกใจ แต่ไม่ได้มีข้อความใดๆ ในทำนองยุยงส่งเสริมหรือปลุกระดมให้เกิดความปั่นป่วน
 
4. คดีสมชาย ไพบูลย์ ส.ข.พรรคเพื่อไทย ปราศรัยที่แยกผ่านฟ้าระหว่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้มีความผิดตามมาตรา 116 ให้ลงโทษจำคุก 1 ปี เนื่องจากในช่วงเวลานั้นมีประชาชนใช้กำลังและอาวุธปืน ท่อนไม้ และท่อนเหล็ก เข้าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่จนเจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย
 
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อหามาตรา 116 กับเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ จากการโพสข่าวลือการรัฐประหารในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ลงเฟซบุ๊ก ในเดือนสิงหาคม 2556, พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย แกนนำกลุ่มพิทักษ์สยาม จากการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555, และอนุวัฒน์ แกนนำนปช.โคราช จากการปราศรัยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 เรื่องการแบ่งแยกประเทศ ซึ่งทั้งสามกรณียังไม่มีรายงานความคืบหน้าในทางคดี
 
และยังเคยมีการตั้งข้อหามาตรา 116 ร่วมกับข้อหามาตรา 112 ในคดีของโจ กอร์ดอน ซึ่งจำเลยรับสารภาพและศาลพิพากษาให้มีความผิด แต่ให้ลงโทษตามบทหนักสุดคือมาตรา 112 เท่านั้น
 
 
301Section 116
 
 
ปรากฎการณ์การบังคับใช้มาตรา 116 หลังการรัฐประหาร
หลังการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในปี 2557 มีการจับกุม และดำเนินคดีผู้มีความเห็นต่างทางการเมืองกับคณะรัฐประหารจำนวนมาก นับจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2558 มีการนำข้อหามาตรา 116 มาใช้อย่างน้อย 10 คดี มีคนตกเป็นผู้ต้องหาอย่างน้อย 25 คน ดังนี้
 
1. คดีของจาตุรนต์ ฉายแสง จากการให้สัมภาษณ์นักข่าวโจมตีคสช.ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลทหารกรุงเทพ
 
2. คดีของสมบัติ บุญงามอนงค์ ซึ่งถูกจับเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 จากการโพสเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์นัดหมายให้ประชาชนออกมาชุมนุมต่อต้าน คสช. ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลทหารกรุงเทพ
 
3. คดีของชาวเชียงราย 3 คน ได้แก่ ออด ถนอมศรี และสุขสยาม ถูกจับเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2557 จากการติดป้ายมีข้อความขอแบ่งแยกเป็นประเทศล้านนา ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาที่ศาลจังหวัดเชียงราย
 
4. คดีของชัชวาลย์ นักข่าวอิสระจากจังหวัดลำพูน ที่รายงานข่าวการชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารผิดวัน จากวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 เป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ต่อมาศาลทหารจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้อง เนื่องจากจำเลยเพียงนำเสนอข่าวเหตุการณ์ประจำวัน และโจทก์ไม่อาจนำสืบจนสิ้นสงสัยได้ว่า จำเลยมีเจตนาสร้างความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
 
5. คดีของสิทธิทัศน์ และวชิร จากการโปรยใบปลิว ที่มีข้อความต่อต้านคสช. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
 
6. คดีของพลวัฒน์ จากการโปรยใบปลิวต่อต้านคสช. 4 แห่งในอ.เมือง จ.ระยอง ปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
 
7. คดีของพันธุ์ศักดิ์ จากการจัดกิจกรรม “พลเมืองรุกเดิน” เพื่อเดินเรียกร้องความเป็นธรรมเมื่อวันที่ 14-16 มีนาคม 2558 ปัจจุบันอัยการทหารสั่งฟ้องไปเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2558 คดียังไม่มีวันนัดพิจารณา
 
8. คดีของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ 14 คน จากการชุมนุมต่อต้านคสช. และเรียกร้องหลักการ 5 ข้อ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ปัจจุบันคดียังอยู่ระหว่างการสรุปสำนวนสอบสวน
 
10. คดีของชญาภา ที่ถูกจับเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 จากการโพสข่าวลือว่าจะมีการรัฐประหารซ้อน ซึ่งโดนตั้งข้อหามาตรา 116 พร้อมกับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และมาตรา 112 ด้วย 
 
11. กรณีล่าสุดเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 มีการแถลงข่าวจับกุมนางรินดา จากการโพสเฟซบุ๊กกล่าวหาว่าพล.อ.ประยุทธ์ โอนเงินหมื่นล้านไปสิงคโปร์ และตั้งข้อหามาตรา 116 กับพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ต่อมาถูกส่งตัวฝากขังต่อศาลทหารกรุงเทพ
 
 
ผลทางการเมือง จากการตั้งข้อหามาตรา 116
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ารัฐบาลในยุคใดก็มีการนำข้อหามาตรา 116 มาใช้กับประชาชนที่แสดงความคิดเห็นไปในทางต่อต้านรัฐบาล คดีความส่วนหนึ่งไม่มีความคืบหน้า มีแค่การตั้งข้อหาในช่วงการจับกุมและเผยแพร่เป็นข่าวต่อสาธารณะเท่านั้น ขณะที่คดีความส่วนหนึ่งศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตยังไม่เข้าข่ายเป็นความผิด โดยเฉพาะในยุคของคสช. คดีความตามมาตรา 116 ทั้ง 10 คดี ยังไม่มีผู้ต้องหาถูกตัดสินว่ามีความผิดเลยแม้แต่คนเดียว 
 
การตั้งข้อหาด้วยมาตรา 116 และดำเนินคดีต่อศาล อาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อการลงโทษผู้กระทำความผิดที่เป็นภัยต่อสังคมโดยตรง แต่หลายกรณีพอเห็นได้ว่ามีผลประโยชน์ทางการเมืองอยู่เบื้องหลังการตั้งข้อหาและดำเนินคดีตามมาตรา 116 อยู่ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นในยุคของคสช. พอจะกล่าวได้ดังนี้
 
          1. ใช้ข้อหาหนักเพื่อขู่ให้กลัว
เนื่องจากมาตรา 116 เป็นความผิดในหมวด “ความมั่นคง” ตามประมวลกฎหมายอาญา และมีโทษจำคุกสูงสุดถึงเจ็ดปี ซึ่งถือเป็นข้อหาหนักที่มีโทษสูง เมื่อฝ่ายรัฐนำมาตรา 116 มาใช้กับประชาชน มักจะมีการแถลงข่าวเรื่องการจับกุมและการตั้งข้อหาด้วย ซึ่งไม่ว่าคดีความและผลของคดีจะดำเนินต่อไปอย่างไร ผู้ต้องหาที่ถูกตั้งข้อหาหนักเช่นนี้ย่อมรู้สึกกลัว เป็นกังวลกับผลคดีของตัวเอง ทำให้ฝ่ายรัฐมีอำนาจข่มขู่และต่อรองทางการเมืองเพิ่มขึ้น ในอีกแง่หนึ่งข่าวการตั้งข้อหามาตรา 116 ย่อมสามารถขู่ให้คนอื่นในสังคมรู้สึกกลัวและไม่กล้ากระทำในลักษณะเดียวกันได้อีกด้วย
 
           2. เพิ่มภาระให้จำเลย ต้องหาหลักทรัพย์ประกันตัวสูงขึ้น
เนื่องจากมาตรา 116 มีโทษจำคุกสูงสุดถึงเจ็ดปี ทำให้ตำรวจและอัยการสามารถขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ก่อนฟ้องคดีมีระยะเวลาสูงสุดได้ 48 วัน ในระหว่างการฝากขังนั้นจำเลยต้องยื่นขอประกันตัวโดยวางหลักทรัพย์ต่อศาล ซึ่งศาลมักจะตีราคาหลักทรัพย์ตามอัตราโทษสูงสุดในคดีนั้นๆ  
 
จากการบันทึกข้อมูลพบว่า ผู้ที่ถูกตั้งข้อหามาตรา 116 ส่วนใหญ่ต้องยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวระหว่าง 70,000 – 75,000 บาท ขณะที่คดีของชัชวาลย์ต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัวสูงถึง 400,000 บาท โดยชัชวาลย์เคยใช้ตำแหน่งข้าราชการของผู้ใหญ่บ้าน และเงินสด 120,000 บาท ยื่นขอประกันตัวก่อนแล้ว แต่ศาลไม่อนุญาต ทำให้เขาต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ 15 วันก่อนรวบรวมเงินได้เพียงพอสำหรับการยื่นประกันตัว ขณะที่ในคดีข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ที่มีโทษสูงสุดจำคุก 1 ปี ผู้ต้องหาต้องใช้หลักทรัพย์ประกันตัวคนละ 10,000-20,000 บาทเท่านั้น
 
           3. ทำให้คดีต้องขึ้นศาลทหาร
ตามประกาศคสช.ฉบับที่ 37/2557 กำหนดให้คดีในประมวลกฎหมายอาญาหมวด “ความมั่นคง” และคดีฐานฝ่าฝืนประกาศและคำสั่งคสช. ที่พลเรือนตกเป็นผู้ต้องหาต้องพิจารณาที่ศาลทหาร ในบางกรณีหากเลือกใช้ข้อหาอื่น เช่น หากใช้เพียงข้อหาหมิ่นประมาทในคดีของสิทธิทัศน์และวชิร หรือ ใช้เพียงข้อหาพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ในคดีของรินดา ก็จะต้องพิจารณาคดีที่ศาลพลเรือน ดังนั้น ในยุคคสช. หากรัฐต้องการจะจับกุมดำเนินคดีกับบุคคลใดที่ศาลทหาร เมื่อใช้วิธีตั้งข้อหามาตรา 116 เข้าไปด้วยก็ทำให้คดีนั้นอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลทหารได้ทันที แม้ว่าการกระทำจะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดของมาตรา 116 และสุดท้ายศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ตาม
 
           4. เพิ่มความชอบธรรมในการจับกุมดำเนินคดี
ในคดีของกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ 14 คน ผู้ต้องหาได้รณรงค์ต่อสาธารณะว่าข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน ตามประกาศคสช. นั้นเป็นข้อหาที่ไม่มีความชอบธรรม ทั้งในแง่ที่มาและเนื้อหาซึ่งขัดต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และพวกเขาประกาศอารยะขัดขืนต่อกฎหมายนี้ เมื่อผู้ต้องหาทั้ง 14 คนถูกจับ หากเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีพวกเขาด้วยข้อหาฝ่าฝืนประกาศคสช. ก็จะทำให้สังคมรู้สึกเห็นใจผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่จึงตั้งข้อหามาตรา 116 กับผู้ต้องหาทั้ง 14 คนด้วย ทำให้ดูเหมือนผู้ต้องหากระทำการที่มีลักษณะร้ายแรง สังคมจึงเห็นใจผู้ต้องหาน้อยลง และในฐานะที่มาตรา 116 เป็นกฎหมายอาญาที่มีมาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่กฎหมายที่คณะรัฐประหารประกาศใช้เอง ผู้ต้องหาทั้ง 14 คนจึงไม่อาจอ้างความไม่ชอบธรรมของกฎหมายได้ง่ายนัก และทำให้การจับกุมดำเนินคดีมีความชอบธรรมมากขึ้น
 

“สนธิ” ชี้ รธน.ยังอยู่ใต้ทุน ห่วงประชารัฐส่งผูกขาดสู่รุ่นลูก แนะเพิ่มประชาธิปไตยทาง ศก.

“สนธิ” ชี้ รธน.ยังอยู่ใต้ทุน ห่วงประชารัฐส่งผูกขาดสู่รุ่นลูก แนะเพิ่มประชาธิปไตยทาง ศก.
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…
“ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ” บรรยายพิเศษบุคลากร ม.รังสิต ชี้รัฐธรรมนูญไม่ว่ายุคไหนก็เป็นเพียงกรอบของทุน ไม่เคยร่างเพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม ไม่เคยเกิดประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ไม่มีรัฐบาลไหนปกป้องประชาชนจากทุน ระบุโครงการประชารัฐสุดอำมหิตให้ลูกเจ้าสัวไปช่วยสตาร์ทอัพ เชื่อสุดท้ายก็ฮุบ เตือนเช่าที่ 99 ปีเกิดปัญหา ระบุปัญหาชาติอยู่ที่องค์ความรู้ ติงส่งเสริมข้าราชการมีอำนาจ แนะอย่าหลุดเข้าวัฏจักรแห่งกิเลส

วันนี้ (3 พ.ค.) ที่มหาวิทยาลัยรังสิต นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ บรรยายพิเศษในงานประชุมบุคลากรของมหาวิทยาลัยถึงทศวรรษที่ 4 ของมหาวิทยาลัยรังสิตกับการปฏิรูปการเรียนการสอน ในหัวข้อ “ข้อควรคิดถ้าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไป” โดยกล่าวว่า

กติกาใหม่ของโลกมี 4 ข้อที่จะเกิดขึ้น
1. การก้าวข้ามวัฒนธรรม
2. ความหลากหลาย ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลก
3. เครือข่าย ซึ่งก็มีทั้งเพื่อทำประโยชน์ และหาประโยชน์ เช่น หลักสูตรบางองค์กรของรัฐ และ
4. การพึ่งพากันและกัน

นายสนธิกล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ว่าจะยุคไหนก็ตามเป็นเพียงแค่กรอบที่ตั้งเอาไว้ตามรัฐบาลที่เกิดขึ้น เพราะสาระในกรอบนั้นคือทุนที่ผูกขาด กรณีเผาป่าก็ไม่มีรัฐบาลชุดไหนสามารถจัดการได้ เพราะมีกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง อย่างคำว่าการค้าเสรีก็เป็นเพียงแค่ในกลุ่มทุนเพื่อความสามารถในการฉกฉวยผลประโยชน์ให้แก่ตนเองให้มากที่สุด ไม่เคยมีใครมาบอกให้เราลดค่าใช้จ่าย มีเพียงแต่พยายามให้เราจับจ่าย จึงไม่น่าประหลาดใจที่หนี้สินครัวเรือนเยอะ และก็ไม่มีรัฐบาลไหนปกป้องประชาชนจากทุน ปัญหาหนี้นอกระบบที่มีส่วนมากเป็นคนที่อยู่ในโรงงานแต่รัฐบาลไม่เคยมีข้อมูล

นายสนธิกล่าวต่อว่า แผนการที่ลึกซึ้งและอำมหิตที่สุดคือโครงการประชารัฐ ที่ให้ลูกเจ้าสัวลงไปช่วยธุรกิจระดับล่าง แต่สุดท้ายก็เป็นการผ่องถ่ายการผูกขาดธุรกิจจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนรวยเข้าหุ้นกับคุณไม่นานมันก็จะเป็นเจ้าของธุรกิจคุณ ไม่มีวันที่จะให้เจริญเติบโตต่อไป ตนไม่เคยเชื่อว่าคนรวยจะช่วยคนจนจริง หรือไม่ต้องการอะไร ตนเข็ดจากคนที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว ที่บอกรวยแล้วไม่ต้องการอะไร ก็ใช่เขาไม่ต้องการอะไร แต่ต้องการทั้งหมด อย่างการให้เช่าที่ดิน 99 ปี ปัญหาที่จะเกิดขึ้นทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และที่ทำกิน สื่อมวลชนไทยก็เป็นทาสกลุ่มทุน ซึ่งต่างกับตะวันตกที่ยังคงจริยธรรมอยู่ ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยไม่ใช่เรื่องความมั่งคั่ง แต่เป็นปัญหาเรื่ององค์ความรู้ที่แตกต่าง ที่ทำให้คนที่มีความรู้ ความเข้าใจ รู้จักแก้ปัญหา และรู้จักที่จะใช้ประโยชน์หาประโยชน์จากเทคโนโลยี รวยขึ้น รัฐบาลจึงต้องมีหน้าที่ที่จะทำให้ช่องว่างมันแคบลง นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครคิด คิดแต่จะแจกเงินเพื่อก่อให้เกิดหนี้
“เราวันนี้มานั่งทะเลาะกันเรื่องเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ มานั่งทะเลาะกันเรื่องใครจะเป็นนายกฯ ผิดประเด็นหมด ทำไมเราไม่นั่งทะเลาะกันเรื่องทุนผูกขาด ไม่นั่งทะเลาะกันว่าทำยังไงที่ทำให้คนมีองค์ความรู้มากขึ้น ทำไมไม่นั่งทะเลาะกันเพื่อให้ลูกหลานของเรามีโอกาสลืมตาอ้าปากจมูกเหนือน้ำได้เกิดขึ้นมา ทำไมไม่ทะเลาะกันว่าทำอย่างไรถึงจะให้ลูกหลานพวกเรามีชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพในราคาที่มีเหตุผล นั่นคือคุณค่าชีวิต นั่นคือสิ่งที่เราควรทำ” นายสนธิกล่าว

นายสนธิกล่าวอีกว่า นอกจากนี้รัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่เคยมีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม มีแต่คำพูดทุกคนเกิดมามีสิทธิเท่าเทียมกันหมด แต่ว่าประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น แล้วคนที่ออกมาโต้เถียงก็ไม่สนใจในเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว วันนี้เรากำลังเจอผู้ปกครองที่ส่งเสริมให้ข้าราชการมีอำนาจ หัวต่างๆ ของหน่วยงานคือยอดฝีมือแห่งการสอพลอ ความคิดนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น ทุกวันนี้ประเทศไทยใช้กิเลสนำหน้า อยากได้ อยากมี อยากเป็น ถ้าเราจะเดินหน้าต่อไปต้องอย่าเข้าไปในวัฏจักร

คำต่อคำ : สนธิ ลิ้มทองกุล "ข้อควรคิด ถ้าประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไป"

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ท่านอธิการบดี ม.รังสิต คณะอาจารย์ทั้งหลายของ ม.รังสิต และบุคลากรของ ม.รังสิต ท่านผู้มีเกียรติ สุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ดร.อาทิตย์ หรือพี่ปู๊นของผม พูดถูก ผมไม่เคยรับเชิญใครจะไปพูดที่ไหน แต่พอพี่ปู๊นขอให้ผมมาพูดที่ ม.รังสิต ผมก็รับปากโดยไม่คิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีใครรู้ว่าผมมาพูดด้วยตาซ้ายที่บอด ตาซ้ายผมเป็นต้อหิน Vision Zero เท่ากับตาซ้ายผมบอด ผมใช้แต่ตาขวา ผมเพิ่งไปไส้ติ่งแตกที่ญี่ปุ่น ผ่าตัด อยู่โรงพยาบาลญี่ปุ่นมา 14 วัน กลับมาพักได้เดือนหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในสถานภาพที่ต้องมาพูด แต่ผมทำให้ ม.รังสิต
อาจารย์สุนิตา ถามว่า กรุณาส่งประวัติคุณสนธิมาหน่อยได้ไหม เลขาฯ มาถามผม ผมก็บอกว่า ให้ตอบไปว่าผมจบโรงเรียนประจำที่ อ.ศรีราชา จบปริญญาตรี ปริญญาโท ที่สหรัฐอเมริกา ได้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และมหาวิทยาลัย 2 แห่งในประเทศไทย หนึ่งในมหาวิทยาลัยนั้นก็คือ มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่ผมเอ่ยชื่อขึ้นมาในประวัติที่ผมมอบให้เลขาฯ ผมมอบให้อาจารย์สุนิตา

ท่านผู้มีเกียรติครับ วันนี้เรามาพูดคุยกันอย่างเปิดอก ไม่มีความโกรธ แค้น เคียดแค้น หรืออคติกับใคร เราเอาธรรมมาพูด เราเอาความจริงมาพูด เคยสงสัยบ้างไหมว่าวันนี้เรามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เรามาอยู่ได้อย่างไร ผมจำเป็นที่จะต้องเล่าที่มาที่ไป ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเป็นคนบอกผมเองว่า สนธิ จะทำอะไรในชีวิตให้ยึดถือหลัก 2 อย่างเอาไว้ อย่างแรก ให้เอาธรรมนำหน้า อย่างที่สอง ให้มีพุทโธตลอดเวลา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ... ผมไม่เข้าใจว่าคำว่า ธรรมนำหน้า คืออะไร ตอนแรก ผมมาเข้าใจทีหลัง ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา 49..50..51..52 .. จนกระทั่งวันนี้ ผมถึงลึกซึ้งกับคำว่าธรรมนำหน้า เพราะว่าไม่มีอะไรชนะธรรมได้ ธรรมคือความถูกต้อง ไม่มีอะไรในประเทศไทยหรือในโลกนี้ที่แก้ไม่ได้ด้วยธรรม ถ้ายึดหลักธรรมเอาไว้แล้ว ไม่มีวันผิด นั่นคือธรรมนำหน้า

ส่วนพุทโธนั้น หลวงตาบอกผม ตั้งแต่ผมโดนยิง ลอบสังหารด้วยลูกปืน 200 นัด ในวันที่ 17 เมษายน ผมรอดชีวิตมา เกิดใหม่ ท่านบอกว่า ชีวิตใหม่ต้องมีพุทโธทุกขณะ ทุกลมหายใจ วันนี้ผมจำเป็นจะต้องพูดเรื่องประเทศไทย โดยใช้ธรรมมาพูด

ก่อนที่เราจะเข้าใจว่าเรามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ที่มาที่ไป หรือในหลักธรรมเขาเรียกว่า หลักปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา ด้วยเหตุนี้ มันจึงเกิดเหตุนี้ เกิดเหตุนี้ขึ้นมา ทุกวันนี้ประเทศไทยมองปัญหาอยู่ที่ real time คือ เหตุที่เกิดวันนี้ ตัดสินใจในวันนี้ โดยไม่ได้ดูว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไร
ผมจะขอย้อนกลับไปสักนิดหนึ่ง ไม่นานมานี้เอง มันมีหลัก 4 ประการ ที่ทำให้โลกอย่างนี้ขึ้นมา หลัก 4 ประการนี้ ผมจะอธิบายทีละข้อ ข้อแรก คือการก้าวข้ามและผสมผสานวัฒนธรรมของโลกนี้เข้ามา หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cross-cultural 4 ข้อนี้ผมไม่ได้เอามาจากหนังสือที่ไหน ไม่ได้เอามาจากด็อกเตอร์คนใด เอามาจากประสบการณ์ การอ่านหนังสือ การสัมผัสผู้คน การวิเคราะห์ การวิจัย แล้วก็ตกผลึก ผมบอกคุณชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เพื่อนผม และ ดร.อาทิตย์ ว่า วันนี้ พี่ปู๊น สิ่งที่ผมสู้มาตั้งแต่ปี 2549 จนวันนี้ ตลอดจนองค์ความรู้ที่ผมมีอยู่ในอดีต จะมาตกผลึกกันที่นี่ วันนี้ และผมอยากให้ท่านอธิการบดีเก็บเทปชุดนี้เอาไว้เป็น record จะยุคไหน รุ่นไหน ต่อไป ผมจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่ ไม่สำคัญ แต่เปิดเมื่อไร ทันสมัยเมื่อนั้น
4 ข้อที่ผมพูด ข้อแรกเมื่อกี้นี้ ก็คือ Cross-cultural สังเกตไหมว่าเดี๋ยวนี้ 10 ปีที่ผ่านมาเราเห็นอะไรบ้างในโลกนี้ ใครจะไปนึกว่าวันนี้ ม.รังสิต จะมีนักศึกษานานาชาติมาเรียนเยอะแยะไปหมด ใครจะไปนึกว่ามีคนจีนมาจากแผ่นดินใหญ่มาขโมยอาชีพคนไทยขายผัก ขายผลไม้ อยู่ที่ตลาดไท ใครจะนึกว่าเดินเข้าไปในร้านผัดไทย คนที่ผัดไทยให้เรากินคือคนพม่า ใครจะไปนึกว่าคนที่มาทำงานในบ้านเราเป็นไทยใหญ่ ใคระนึกว่าเจ้าของกิจการที่มาลงทุนในหลายๆ สาขา ไม่ใช่คนไทย ผมจำได้สมัยเด็กๆ ผมชอบไปเดินถนนคอนแวนต์ ที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์อยู่ ลองไปดูถนนคอนแวนต์วันนี้สิ เราเห็นฝรั่ง เราเห็นแขก เราเห็นจีน เราเห็นต่างชาติเต็มไปหมดเลย เราเห็นอิตาเลียนมาเป็นเจ้าของร้านอิตาลี เราเห็นเชฟคนโน้นเชฟคนนี้ มาเปิดกิจการโน่นกิจการนี่ นี่คือ Cross-cultural การก้าวข้ามการผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ
เมื่อมันเกิดตัวนี้ขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดต่อไปคืออะไร สิ่งที่จะเกิดต่อไปก็คือ ความหลากหลาย พวกคุณซึ่งยังอายุน้อยอยู่ ยังไม่เข้าใจความหลากหลายดีเท่าผม หรือ ดร.อาทิตย์ หรือคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม
สมัยผมหนุ่มๆ แม่เปิดร้านขายกาแฟ ขายของโชห่วยด้วย ผมยังเด็กๆ อยู่ เรียนอยู่อัสสัมชัญศรีราชา พอกลับมาบ้านที คนมาซื้อสบู่ สบู่มีอยู่ 4 ยี่ห้อ ผมจำได้ ลักซ์ คาร์เมย์ นกแก้ว สบู่กรด เดี๋ยวนี้คุณลองสั่งลูกหลานคุณดูสิ ว่า เฮ้ย ไอ้หนู เอ็งไปซื้อสบู่มาก้อนหนึ่ง มันจะตวาดแว้ดเลย ลุง สบู่อะไร สบู่ดับกลิ่นเต่า สบู่คนผิวมัน สบู่คนผิวแห้ง สบู่ทำให้ผิวขาว สบู่หอม สบู่ออแกนิกส์ สบู่โน่นสบู่นี่ จำได้ไหมสมัยเราหนุ่มๆ โตโยต้ามีกี่รุ่น โตโยต้ามีแค่ โตโยต้าคราวน์ โตโยต้าโคโรนา และโตโยต้าโคโรลา มีอยู่แค่นี้ วันนี้ใครไล่รุ่นของโตโยต้าที่ขายในประเทศไทยให้ผมได้ ผมจะให้รางวัล 1,000 บาท นึกไม่ออก เยอะแยะไปหมด คัมรี มีกี่รุ่น คัมรีมีรุ่นสุพรีม พรีโม่ คัมรีมีรุ่นไฮบริด เฉพาะคัมรีอย่างเดียว ยังไม่นับอีโนวา ยังไม่นับโน่นไม่นับนี่อีก นี่คืออะไร นี่คือ Diversity นี่คือความหลากหลาย ที่มันส่วนหนึ่งของสังคมโลกไปแล้ว
ความหลากหลาย ถ้าไม่มีเกิดขึ้น มหาวิทยาลัยรังสิตเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด มหาวิทยาลัยรังสิตเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความหลากหลายที่เยอะมาก คณะหลายคณะซึ่งไม่คิดว่าจะมี กลับมีขึ้น ผมเพิ่งนั่งคุยกับท่านคณบดี หรืออธิการบดี ผมเพิ่งรู้ และผมก็ภูมิใจ แอบภูมิใจแทน ดร.อาทิตย์ ว่าคณะการบินเขาผลิตนักบินจาก ม.รังสิต อยู่สายการบินทั่วไปหมดแล้ว หลายคนเป็น Co-pilot ผู้หญิงก็เป็นนักบิน มาจาก ม.รังสิต รู้จักมาตั้งนาน ไม่เคยรู้ เพิ่งจะรู้วันนี้ เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะเห็นว่าความหลากหลายมันเป็นอะไรบางอย่างมันอยู่กับเรา บางครั้งเราไม่รู้ตัว
เมื่อมีความหลากหลายแล้ว สิ่งหนึ่งที่ตามความหลากหลายมาก็คือ เครือข่าย (Networking) เครือข่ายมีทั้งดีและมีทั้งเลว เครือข่ายเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันมี 2 แนวทาง เครือข่ายเพื่อทำประโยชน์ กับเครือข่ายเพื่อหาประโยชน์
เครือข่ายเพื่อทำประโยชน์ อย่างเช่น เครือข่ายอาจารย์มหาวิทยาลัย เครือข่ายหมอ หมอสามารถจะมีเครือข่ายซึ่งเป็นนายแพทย์คนหนึ่งซึ่งอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ติดต่อไป ถามว่า โรคแบบนี้ ผมเจอมาแบบนี้ คุณคิดว่าจะแก้อย่างไร หรือเครือข่ายที่หมอทางอเมริกาติดต่อมาทางหมอในเมืองไทย บอกว่ามีคนเอเชีย มีโรคแบบนี้เข้ามา ผมไม่เคยเห็น คุณบอกผมหน่อยได้ไหมว่ามันเป็นอย่างไร นี่คือเครือข่ายทำประโยชน์
แต่อีกเครือข่ายหนึ่ง คือเครือข่ายหาประโยชน์ ผมเป็นคนซึ่งพูดจาตรงไปตรงมา วปอ.คือเครือข่ายหนึ่งซึ่งหาประโยชน์ สมัยก่อน วปอ.เป็นที่เรียนของข้าราชการ เพื่อเรียนเรื่องความมั่นคงของชาติ เรียนว่าประวัติศาสตร์ชาติเป็นอย่างไร เรียนว่าควรจะเตรียมตัวอย่างไร แต่พอมาช่วงหลังอิทธิพลของทุนเข้ามามีประโยชน์ ในยุค พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็เลยให้มี วปอ. ก็คือให้เอกชนเข้าไปเรียนด้วย ไปเรียนกับนายพลทหารอากาศ ไปเรียนกับนายพลทหารบก ทหารเรือ ตำรวจ ไปเรียนกับผู้พิพากษา อัยการ ในที่สุดแล้วการไปเรียนไม่ได้ไปเรียนเพื่อเอาความรู้ ไปเรียนเพื่อสร้างเครือข่ายเพื่อหาประโยชน์ หรือใครจะเถียงผมเรื่องนี้ ทุกเครือข่าย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็สร้างหลักสูตรขึ้นมา บยส. กระบวนการยุติธรรมก็สร้างหลักสูตรขึ้นมา คนโน้นสร้างหลักสูตร คนนี้สร้างหลักสูตร เพียงเพื่อคำพูดคำเดียวคือ เพื่อให้เกิดเครือข่าย แต่เป็นเครือข่ายเพื่อหาประโยชน์ ผม วปอ.รุ่น 18 เฮ้ย ไอ้นี่มันรุ่นผม เดี๋ยวผมพูดให้ ไม่มีปัญหาอะไร พรรคพวกกัน เดี๋ยวช่วย นี่คือเครือข่ายหาประโยชน์ เหมือนเทคโนโลยี เทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปก็มีผลอยู่ 2 ทาง เราใช้เทคโนโลยีเพื่อทำประโยชน์ กับเราใช้เทคโนโลยีเพื่อหาประโยชน์
สุดท้าย ข้อที่ 4 ก็คือ การพึ่งพาซึ่งกันและกัน เมื่อเรามี 1 มี 2 มี 3 มันก็มี 4 Independence พึ่งพาซึ่งกันและกัน ด้วยเหตุอันนี้ นี่คือกติกาของโลก กติกาใหม่ของโลกมันอยู่บน 4 ข้อนี้เท่านั้น ไม่ได้เกินไปกว่านี้แล้ว เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว สิ่งที่เราจะเห็นได้ชัดว่า ผมจะเอาภาพๆ หนึ่งให้ดู เพื่อจะเป็นหลักในการพูดต่อไป
จะเห็นได้ชัดว่ากติกาที่ผมพูดถึงเมื่อกี้นี้ New Set of Rules กติกาตรงนี้ถ้าใช้ทำประโยชน์ ก็มีประโยชน์ แต่กลายเป็นว่ากติกาตรงนี้ถูกทุนเอามาใช้ประโยชน์ ทุนจีน ทุนอินเดีย ทุนฝรั่ง ทุนไทย เอามาใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มความมั่งคั่ง แล้วคนที่เสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับกลุ่มพวกนี้คือใครล่ะ ใคร นั่งอยู่นี่ หน้าสลอนเลย เป็นหนี้เป็นสินเขาไปหมดเลย ใช่ไหม เอ้า ถึงเวลาแล้ว ชอปปิง ถึงเวลาแล้ว ซื้อของ 15,000 บาท เอา 15,000 บาท ไปลดภาษีได้ คนได้ก็คือนายทุนทั้งนั้น คนซวยก็คือคนถูกหลอกให้ไปซื้อ เฮ้ยลดภาษีได้ 15,000 นี่คือลักษณะเครือข่ายเพื่อหาประโยชน์
จะเห็นได้ชัด สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มันเกิดขึ้นในประเทศไทยมาทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อกี้ผมเจออาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผมกำลังจะบอกกับอาจารย์เอนก และคณะรัฐศาสตร์ว่า ให้ไปดูดีๆ แต่เผอิญผมไม่มีเวลาพูด รัฐธรรมนูญทุกรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมา รัฐบาลทุกรัฐบาลที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่เขาเรียกสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หรือรัฐบาลชุดประชาธิปไตยเต็มใบ สมัย พล.อ.ชาติชาย ไล่มาเรื่อย หรือยุคของ คสช.ยุคนี้ หรือยุคของ รสช.ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ยุคไหนก็ตาม นายกฯ จะมาอย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญจะสร้างโดยคุณมีชัย จะร่างโดยคุณบวรศักดิ์ จะร่างโดยคุณวิษณุ เครืองาม สำหรับผมแล้วไม่มีความหมาย เพราะนั่นคือกรอบ frame work ที่สร้างเอาไว้ ซึ่งกรอบเปลี่ยนไปเรื่อย รัฐบาลชุด พล.อ.ชาติชาย รัฐบาลชุด พล.อ.ชวลิต รัฐบาลชุด พล.อ.เปรม รัฐบาลชุดเผด็จการ รัฐบาลชุด คสช. คสช.จะอยู่ต่ออีก 5 ปี สำหรับผมแล้วไม่มีความหมาย เพราะว่าสาระของในกรอบนั้นคือทุนผูกขาด
ทุนที่ผูกขาดนั้น มีบทบาทกำหนดทิศทางเดินของประเทศไทยในอนาคตข้างหน้า ในปัจจุบัน และกำหนดมาแล้วในอดีต ไม่มีวันเปลี่ยน คนที่ขึ้นมาเป็นนายกฯ คนที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ทำได้อย่างเดียว "ผมทำงานเพื่อคนไทย 60 ล้านคน" แต่เบื้องหลัง 60 ล้านคนนั้นก็คือ ทำงานตามนโยบายของทุนที่เกิดขึ้น ถ้าไม่ใช่นโยบายของทุน จะมีการเผาป่าบนภูเขาหัวโล้นไหม เผาเพื่ออะไร เพื่อปลูกข้าวโพด ใครเผาล่ะ ก็ทุนจ้างให้เผาป่า ปลูกข้าวโพดให้ใคร ปลูกข้าวโพดให้กับบริษัทที่จะรับซื้อข้าวโพดเพื่อไปทำอาหารสัตว์ และผมก็ไม่เคยเห็นว่ารัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะรัฐธรรมนูญชุดใด จะสามารถหยุดยั้งการเผาป่าบนภูเขาได้ มันเหมือนกันหมด คนจากรัฐบาลชุดไหนก็ตาม ภูเขาที่น่าน ภูเขาที่เชียงราย ที่เชียงใหม่ ก็ยังถูกเผาเหมือนเดิม เพื่อให้คนไปปลูกข้าวโพด และคนรับซื้อก็คือกลุ่มทุนที่เอาข้าวโพดที่ซื้อมานี้ เอาไปทำอาหารสัตว์ ไหนบอกผมซิว่าคุณมีชัยท่านร่างรัฐธรรมนูญมา มีตรงไหนบ้างที่บอกว่าให้หยุดเผาป่า หรือมีตรงไหนบ้างที่ทำให้การเผาป่าหยุดยั้งไป ไม่มี ไม่มี เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดเลยว่า สิ่งที่เราเจออยู่ทุกวันนี้ เราเจอนัยของคำว่า "ค้าขายเสรี"
คำว่า Free Trade นี่น่ากลัวมาก เสรีจริงๆ วันนี้เมืองไทยมีการแข่งขันโดยเสรีไหม ท่านตอบผมสิ มี แข่งขันกันเสรีระหว่างกลุ่มทุนเท่านั้นเอง เพื่อดูว่าใครจะสามารถฉกฉวยโอกาสแล้วสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตัวเองได้มากที่สุด การให้เช่าที่ดิน 99 ปี การให้สัมปทานเหมืองทองคำ หรือการซึ่งจะสร้างกติกา กฎกติกา กฎหมายในเรื่องการผูกขาด คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เอาเก็บเข้าลิ้นชัก บอกว่า กลุ่มธุรกิจไม่ค่อยสบายใจกับกฎหมายนี้ ถ้ามีรองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นตัวแทนของทุน แล้วผูกขาด ถามว่าประชาชนที่นั่งอยู่ในประเทศนี้จะมีอนาคตได้อย่างไร แล้วคุณจะอยู่ไปอีก 5 ปี อีก 5 ปีต่อไปข้างหน้า เป็นข้าทาสเขาทั้งนั้นล่ะ เป็นขี้ข้าเขาทั้งนั้น
รองนายกฯ สมคิด คิดโครงการบ้าน 1.5 ล้านบาท บอกให้แบงก์รัฐปล่อยกู้ คนเฮไปกู้ โอ้โห หาได้ที่ไหนบ้านราคา 1.5 ล้านบาท หาไม่ได้ คนไป 3,000 คน กู้ได้ 300 คน เพราะอะไร อีก 2,700 คน กู้ไม่ได้ เพราะว่าหนี้ครัวเรือนสูง แปลว่าอะไร แปลว่าประเทศไทย จากกฎกติกา 4 ข้อ แล้วโดนดูด โดนทุนมารุมขย้ำ ทุกอย่าง ทุกคนตื่นมา พวกคุณรู้อยู่ เงินเดือนคุณออกมา สิ้นเดือนปั๊บ คุณจ่ายอะไรบ้าง หนี้สินทั้งนั้น เราไม่เคยอยู่ในสังคมที่มีคนมาบอกเรา นี่ผมกำลังพูดเรื่องอดีตจนถึงปัจจุบันนะ ว่าผมจะช่วยคุณลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในชีวิตคุณ ไม่มี เคยมีใครพูดไหม ไม่มี มีแต่บอกว่า ผมจะให้เงินคุณเพิ่ม แล้วคุณช่วยเอาไปจับจ่ายใช้สอยหน่อย เพื่อให้การซื้อขายในประเทศมันขับเคลื่อน คนจะได้ลงทุนเพิ่ม
คุณรู้ไหมว่าเมืองไทย กรุงเทพฯ ถ้าคุณไม่รู้ก็รู้ด้วย กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงเมืองเดียวในโลกนี้ ที่มีห้างสรรพสินค้าที่เยอะที่สุดในโลก คุณไปสิ ทุกมุมเมืองมีแต่ห้างสรรพสินค้าเกิดขึ้นมา จึงไม่น่าประหลาดใจว่าหนี้สินครัวเรือนทำไมสูงขนาดนี้ จำคำพูด คำโบราณได้ไหม ในสมัยที่เรายังเด็กๆ อยู่ "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท" เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
การขับเคลื่อนของรัฐบาลตามหลัก 4 ประการที่ผมพูด ก็คือ การก้าวข้ามวัฒนธรรม ความหลากหลาย เครือข่าย และการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งกลุ่มทุนเป็นคนใช้ตรงนี้ รัฐบาลก็เดินเรื่องตามกลุ่มทุน เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนโดยมีฐานรองรับ คือประชาชนของเรา เคยคิดบ้างไหม ธนาคารในประเทศไทย ข้อมูลมี ข้อเท็จจริงมี แต่ไม่เคยมีใครคิดได้
เงินฝาก 2 เปอร์เซ็นต์ ใช่ไหมตอนนี้ เงินกู้กี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณกู้ได้ 8 เปอร์เซ็นต์ คุณเก่งตายห่าเลยนะ คุณต้องมี 9-10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเขารับเงินฝากมา 2 เปอร์เซ็นต์ แล้วปล่อยกู้คุณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนต่าง 8 เปอร์เซ็นต์ ขอโทษนะผมขอพูดหยาบนิดหนึ่ง คุณว่ามันกำไรฉิบหายไหม ด้วยเหตุนี้ กลุ่มทุนธนาคารถึงกำไรเอาๆ ทุกปี บนต้นทุนของพวกคุณ แล้วผมถามซิว่าถ้ากลุ่มทุนใหญ่ กลุ่มทุนเจริญ เสี่ยเจริญ ถ้าไปกู้แบงก์ กู้ได้ก็อย่างมากก็ 4 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าคุณกู้ต้อง 10 เปอร์เซ็นต์ คำถามคือเขาจะให้คุณกู้หรือเปล่า
ทุนยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ คนตัวเล็กๆ ไม่มีสิทธิ์เกิด แต่ละคนที่นั่งอยู่ในนี้มีลูกมีเต้าทั้งนั้น หลายคนลูกเริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว หลายคนกำลังอยู่ในขั้นประถม อนุบาล บางคนอยู่มัธยม บางคนอยู่มหาวิทยาลัย ถามตัวเองว่าโอกาสของลูกของฉันในอนาคตจะมีโอกาสลืมตาอ้าปาก จมูกพ้นน้ำได้บ้างไหม ที่มันสามารถที่จะทำการค้าขายด้วยตัวเอง ยาก ถ้าตราบใดสังคมไทยยังเป็นอย่างนี้ ก็ยังยากอยู่
นี่ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ฝากข้อคิดให้กับมหาวิทยาลัยรังสิต นโยบายการเรียนการสอนบางครั้ง อาจจะต้องเดินปรับทิศทางให้เด็กรู้จักที่จะออกไปเป็นเถ้าแก่ของตัวเองด้วย เพราะไม่อย่างนั้นแล้วจบออกไปก็เป็นลูกจ้างเขาหมด
ทุนนี่รังแกคุณขนาดไหน ใครเคยเข้าปั๊ม ปตท.บ้าง ปตท.มียอดขายล้านล้านบาท 2 ล้านล้านบาท มันขายหมูปิ้ง-ข้าวเหนียว ที่ปั๊ม ปตท. ของ ปตท. คนมียอดขาย 2 ล้านล้านบาท มันมาขายข้าวเหนียวหมูปิ้งแข่งกับป้า แข่งกับลุง แล้วประเทศไทยจะมีอนาคตได้อย่างไร สมัยก่อนหน้าเซเว่น-อีเลฟเว่น ก็มีคนเอาของมาวางขาย คนจะไปทำงานที่ออฟฟิศ แวะซื้อ กินโจ๊กจานหนึ่ง กินข้าวเหนียวหมูปิ้ง เดี๋ยวนี้เซเว่น-อีเลฟเว่น ขายซาลาเปา ขายข้าวไข่เจียว ขายข้าวกระเพรา ขายทุกอย่าง แล้วลุงป้าน้าอาที่ขายวันหนึ่งได้ 1,000 บาท 1,500 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้ว หักค่าเต๋าเกี๊ยะที่ต้องให้เทศกิจแล้ว เหลือกลับบ้านวันละประมาณ 500 บาท วันละ 500 บาท เดือนละ 15,000 บาท เอาส่งลูกเรียนหนังสือ จ่ายค่าเช่า จ่ายค่าน้ำค่าไฟ แล้วต้องออกมาขายต่อ ไม่สบายไม่ได้นะ เพราะเป็นคนหาเช้ากินค่ำ แล้วนับประสาอะไรกับลูกหลานของพวกคุณ พ่อ ผมว่าผมจะเปิดร้านๆ หนึ่ง พ่อหาเงินให้หน่อยได้ไหม ค่าเซ้งเป็นแสน เป็นล้าน เปิดแล้วคุณต้องไปแข่งกับยักษ์ใหญ่ที่มันกำลังทำธุรกิจทำนองเดียวกับลูกคุณ แล้วลูกคุณจะอยู่ได้อย่างไร ตอบผมสิ นี่คือความพิกลพิการของสังคมที่ผ่านมา จากความเป็นมาของการก้าวข้ามวัฒนธรรม การมีความหลากหลาย การสร้างเครือข่าย และการพึ่งพาซึ่งกันและกัน ซึ่งทุนเอาประโยชน์จากตรงนี้
การก้าวข้ามวัฒนธรรมเป็นอย่างไร คือการใช้อำนาจ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Soft Power เน้นไปในเรื่องวัฒนธรรมของตะวันตก อาหารแดกด่วน แมคโดนัลด์ เคนตักกีฟรายด์ชิกเกน เบอร์เกอร์คิง นี่คืออาหารแดกด่วน มาได้อย่างไร มาเพราะวัฒนธรรมทางภาพยนตร์ มาเพราะวัฒนธรรมทางตะวันตก แทรกซึมเข้ามา จนกระทั่งเด็กของเราเดี๋ยวนี้ให้กินขนมจีนน้ำยาปู ยังไม่กิน แต่บอกแม่ หนูขอเคนตักกีฟรายด์ชิกเกนได้ไหม นี่เป็นเพียงแต่ยกตัวอย่างเล็กๆ ให้ฟัง
เพราะฉะนั้นแล้วเราจะเห็นได้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับพวกเรา ระบบทุนรุกมาตั้งแต่สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แล้วรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยไม่มีใครปกป้องประชาชนจากทุน การปกป้องประชาชนไม่ใช่ว่าเป็นการไปทำลายทุน ให้ทุนยังคงอยู่ แต่ทุนต้องไม่รังแกตัวเล็กตัวน้อย สังคมไทย ผมบอกอาจารย์เอนก วันนี้ มันต้องเป็นสังคมที่ win win ทุกคน ไอ้คนนี้ไม่เคย win เลย ต้องให้มัน win บ้าง ไอ้คนที่ win มากๆ ถึงเวลาที่คุณต้อง win น้อยลงบ้างแล้ว แต่ทุกคนต้อง win win คุณต้องไม่ใช่ให้ข้างบน win อยู่อย่างเดียว แล้วข้างล่างคอยสนับสนุนเพื่อให้คุณ win แล้วข้างล่างลงไปอีก โง่เขลาเบาปัญญา นี่คือสังคมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จากวันนั้นมาถึงวันนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีเปลี่ยน ไม่มี ไปดูสิ คนตัวเล็กตัวน้อยใครมีสิทธิ์บ้างที่จะเกิดขึ้น
ผมเคยคุยกับอาจารย์ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ แกบอกว่า คุณสนธิ คุณรู้ไหม รัฐบาลบอกว่าให้แก้ปัญหาเงินนอกระบบ แก้ผิดกลุ่ม ไปแก้ที่ประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด เขาบอกว่าคนบ้างนอกได้ทุน ได้เงินมาจากหลายแหล่ง เงิน ธ.ก.ส.ก็ได้ เงินกองทุนหมู่บ้านก็ได้ เงิน SML ก็ได้ แต่คนที่ลำบากที่สุดที่รัฐบาลไม่เคยสนใจเลย คือคนที่มันทำงานโรงงาน แถวอ้อมน้อย ทุกแห่ง ที่มีพนักงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่สมุทรปราการ ไม่ว่าจะเป็นที่ปทุมธานี ไม่ว่าจะเป็นที่ขอนแก่น ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผู้จัดการฝ่ายการเงิน จะจับมือกันแล้วปล่อยเงินกู้ลูกน้อย ร้อยละ 10 ต่อเดือน ผมไม่รู้ ม.รังสิต จะมีหรือเปล่านะ แต่ถ้ามีผมก็ไม่ประหลาดใจ ร้อยละ 10 ร้อยละ 20 ต่อเดือน แล้วก็ยึดบัตร ATM ไว้ พอเงินเดือนออก ก็ไปกดมา แล้วก็หัก แล้วก็จ่าย อาจารย์ณรงค์ บอกว่า สนธิรู้ไหม ไอ้พวกคนที่อยู่ในโรงงานนี่มีเป็นล้าน ถ้าจะแก้ปัญหาเงินนอกระบบ ต้องแก้ตรงนี้
ทีนี้ คำถามว่า ทำไมถึงไม่แก้ ที่ไม่แก้ก็เพราะว่าเราไม่เคยมีข้อมูลพวกนี้ รัฐบาลไม่สนใจที่จะแก้ แล้วที่สำคัญที่สุด ธนาคารนี่ตัวดี เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผู้จัดการฝ่ายการเงิน ในการปล่อยเงินกู้ให้คนในโรงงาน ก็มันเป็นอย่างนี้เสียเอง แล้วประเทศไทยจะไปได้อย่างไร
คนที่ไม่เคยกู้เงินแล้วโดนดอกร้อยละ 20 ฟังแล้วช็อกไหม 5 เดือนนี่ทุนคืนแล้วนะ บางคนกู้เงินมา 50,000 คุณเชื่อไหมกู้มา 7 ปี ยังคืนทุนไม่ได้ เพราะส่งเดือนละ 5,000 ตลอด 7 ปี เดือนละ 5,000 ปีละ 60,000 7 ปี 420,000 ดอกเบี้ยที่จะจ่ายไปเพื่อทดแทนเงินกู้ 50,000 ยังคืนไม่ได้ เห็นหรือยัง จะเห็นได้ชัด นี่คืออำนาจของทุน แล้วไม่มีใครคิดมาแก้ให้คนพวกนี้
แผนการที่ลึกซึ้งสำหรับผม และอำมหิตที่สุด คือโครงการประชารัฐ ท่านผู้มีเกียรติ เรามาพูดกันอย่างเปิดอกเลย ไม่ต้องปิดบังกัน ท่านคิดว่าคนรวย พอมันรวยแล้วมันจะช่วยคนจนไหม พูดกันตรงๆ เลย ท่านจะให้เสือกินมังสวิรัติ มันเป็นไปได้ไหม โครงการประชารัฐคือการเอาลูกเจ้าสัวลงไปช่วยคนข้างล่าง คุณว่าลูกเจ้าสัวมันลงไปที่ภูเก็ต ไปเห็นธุรกิจอันหนึ่งของคนที่กำลังเริ่มต้นไปได้ดี คุณว่ามันไม่ขอร่วมด้วยเหรอ คุณว่าอย่างไร มันต้องขอร่วมด้วย โครงการประชารัฐคือการผ่องถ่ายการผูกขาดรุ่นเตี่ยลงมาสู่รุ่นลูกให้มันผูกขาดต่อไป คุณเชื่อผมไหมล่ะอันนี้
โครงการประชารัฐ คุณเริ่มโครงการอันหนึ่ง คุณทำธุรกิจบ้านเช่า คุณไปเจรจาบ้านหลังโน้นหลังนี้ น้ามีห้องว่างไหม ถ้าห้องว่างเดี๋ยวผมจะเอาคนมาพักนะ น้าคิดผมเท่าไร แล้วมันก็ทำตัวนี้เป็น app ขึ้นมา แล้วให้ฝรั่งติดต่อมา ลูกเจ้าสัวซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมใหญ่ เฮ้ย อันนี้ดีนี่หว่า ลูกเจ้าสัวมาคิดมากว่าภูเก็ต มาคิดทั่วประเทศไทย เฮ้ย ผมช่วยคุณไหม ผมเข้าหุ้นด้วย
เมื่อใดก็ตาม ให้จำไว้ คนรวยเข้าหุ้นกับคุณ คุณเชื่อขนมกินได้เลยว่าในที่สุดแล้วมันจะเป็นเจ้าของคุณ ไม่มีหรอกที่จะเป็นหุ้นส่วนให้เจริญเติบโตต่อไป ไม่มีวัน เหมือนกับกลุ่มธุรกิจกลุ่มหนึ่ง อาจารย์เสรี วงษ์มณฑา วันนั้นออกมาพูด แก้ตัวให้ธุรกิจกลุ่มนั้น ธุรกิจต้องลดต้นทุน ต้องทำตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อความถูก เพื่อต้นทุนถูก ก็ใช่สิ ก็คุณใหญ่ คุณทำได้นี่ แต่คุณทำแล้วมันกระทบกระเทือนคนที่เหลืออีกเท่าไร คุณต้องรู้ นี่ไง เพราะฉะนั้นโครงการประชารัฐเป็นโครงการที่น่ากลัวมาก ถ้าตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ...
ผมไม่เคยเชื่อว่าคนรวยจะช่วยคนจนจริง ผมไม่เคยเชื่อว่าคนรวยไม่ต้องการอะไรแล้ว ผมเข็ดกับคนที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร มาแล้ว ผมรวยแล้วผมไม่ต้องการอะไร ใช่สิ เขาไม่ต้องการอะไร แต่เขาต้องการทั้งหมด
เพราะฉะนั้นแล้ว การให้เช่าที่ดิน 99 ปี ... ใครเคยไปเชียงรายล่าสุดบ้าง ยกมือให้ผมดูซิ ได้ออกไปนอกเมืองบ้างไหม ไปแถวเชียงแสนบ้างไหม เห็นไหมว่าที่ดินคนจีนทั้งนั้น คนจีนที่มาจากเมืองจีน ปลูก .. เหมือนกรณีเหมืองทองคำ ปลูกกล้วยหอมทอง แล้วก็ใช้สารเคมี จนกระทั่งคนที่อยู่รอบๆ ไร่กล้วยหอมทอง ล้มหายตายจาก ไม่สบายกันเยอะแยะไปหมด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเอามืออุดทวาร ไม่ยอมทำอะไร นี่เป็นที่ ม.รังสิต นะ ถ้าเป็นรายการของผม ผมจะบอกว่าเอามืออุดตูดนะ เผอิญอยู่ ม.รังสิต เลยเป็นเอามืออุดทวาร ให้เกียรติพี่ปู๊นหน่อย
เหมือนกัน ปรากฏว่าคนจีนมาจากเมืองจีน ซื้อที่ดิน สร้างโรงงาน จะทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร กูไม่สนใจ นี่ขนาด พ.ร.บ.ยังไม่ออกนะว่าให้คนมีสิทธิที่จะได้ที่ 99 ปี แล้วถ้าวันหนึ่งเรายกที่ดินให้มัน 99 ปี อะไรจะเกิดขึ้นในประเทศไทย เราจะมีที่ดินไว้ทำกินอะไรบ้าง เคยมีข่าวมาชิ้นหนึ่งว่าอภิมหาเศรษฐีในเมืองไทย 2 คน คนหนึ่งมีที่ดินอยู่ 6 แสนกว่าไร่ อีกคนหนึ่งมีเกือบ 4 แสนไร่ สองคนบวกกันล้านไร่ พี่น้อง ท่านผู้มีเกียรติ ท่านหลับตาคิดง่ายๆ คนเหี้ยอะไรมีที่ดินกันล้านไร่ เข้าใจหรือเปล่า มึงบ้ากันหรือเปล่า นี่ไง นี่คือประเทศไทยวันนี้
เอาล่ะ ผมจะไม่ใช้เวลามาก เพราะเดี๋ยวจะมีงานสัมมนาต่อ
กลุ่มทุนนี่รังแกทุกคนหมด รังแกหมด กลุ่มทุนสาธารณสุขรังแกประชาชน ก่อให้เกิดโรงพยาบาลเอกชนเยอะแยะไปหมด กลุ่มทุนรังแกการศึกษา กลุ่มทุนรังแกสื่อมวลชน ในทางตะวันตก ยุโรป อเมริกา ทุนมันทำเหมือนในเมืองไทยไหม ตอบว่าเหมือนกันเป๊ะเลย ไม่ต่างกัน แต่... แต่การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ของทางตะวันตกเขาสูงกว่าทางตะวันออก คือเมืองไทย เยอะ แล้วในขณะเดียวกัน กลุ่มทุนทางตะวันตก ดีๆ ชั่วๆ มันมีจริยธรรมอยู่ในตัวมันเอง มันมี ethics ซึ่งสำคัญมาก แล้วการมีจริยธรรม แล้วมันอับอายต่อเรื่องจริยธรรม และมันกลัวมากที่มันทำเช่นนี้เพราะว่าอิทธิพลของสื่อมวลชนทางตะวันตกมันเข้มแข็ง มันรายงานความชั่วร้ายของกลุ่มทุน
จำได้ไหมบริษัทน้ำมันของอังกฤษ British Petroleum ไปทำให้อ่าวเม็กซิโก น้ำมันรั่ว ใช้เวลาเกือบสิบปีกว่าจะล้างได้ วันนี้เนื่องจากโดนสื่อมวลชนกระทุ้ง กระแทก แล้วในที่สุดรัฐบาล take action มันต้องจ่ายเงินชดเชยเป็นยอดเงินคิดแล้วเป็นจำนวน 2 ล้านล้านบาท จ่ายชดเชย เงินก้อนนี้เอามาจ่ายให้ผู้ประกอบการ ตามชายฝั่ง มหาสมุทร ที่เดือดร้อนจากน้ำมันที่ตก ปตท.ทำน้ำมันรั่วที่ระยอง เกิดอะไรขึ้น ก็แล้วแต่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
สื่อมวลชนเมืองไทยวันนี้ก็เป็นทาสกลุ่มทุน เมื่อเร็วๆ นี้ สภาหนังสือพิมพ์มีการเปิดรายชื่อมา นักหนังสือพิมพ์ นักคอลัมนิสต์ ร่วม 40 คน รับเงินเดือนจากกลุ่มทุน บางคนเดือนละ 150,000 บางคนเดือนละ 100,000 บางคนเดือนละ 200,000 ท่านผู้มีเกียรติ คนที่ควรจะออกมาปกป้องประโยชน์ให้กับสังคมไทย เสือกไปรับเงินเขา 40 กว่าคน แล้วแต่ละคน
ก็เป็นระดับผู้หลักผู้ใหญ่ อาวุโส ในสังคมไทย แล้วเมืองไทยมันจะมีอนาคตที่ไหน เห็นไหม
ตะวันตก อย่างน้อยที่สุด มันยังมีกลุ่มสื่อมวลชนซึ่งมันมีจุดยืนของมัน จะดีๆ ชั่วๆ มันคัดค้าน และที่สำคัญสังคมของเขาเป็นสังคมที่ concern ว่า ใครที่ไม่มีจริยธรรม เขาไม่อยากคบด้วย ผมเพิ่งพูดในห้องรับรองเมื่อกี้ว่า ปัญหาใหญ่ของประเทศไทย ไม่ใช่ปัญหาการลดความมั่งคั่ง จริงอยู่ คนรวยก็รวยฉิบหายเลย คนจนก็จนจริงๆ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมันกว้างขนาดนี้ แต่ผมบอกว่าถ้าคุณยังไม่แก้ให้ถูกจุดแล้ว ไอ้ช่องว่างนี้คุณจะแก้ไม่ได้ ช่องว่างที่คุณจะต้องแก้คืออะไร
30 ปีที่แล้วเรายังไม่มีอินเทอร์เน็ต เราไม่มี WhatsApp เราไม่มีไลน์ เราไม่มี WeChat เราไม่มีออนไลน์ เราจะส่งเอกสารชิ้นหนึ่งไปที่อเมริกา เราส่งไปทางแฟกซ์ 10 แผ่นเราใช้เวลา 5 นาทีอย่างเร็ว อย่างเร็วแล้วนะ สัญญาณไม่ขัดข้องนะ วันนี้เอกสาร 10 แผ่นคุณส่งผ่านไลน์แค่ 5 วินาที เท่ากับความเร็วมัน 1 ต่อ 60 หมายความว่า 30 ปีที่แล้ว ใช้เวลา 5 นาทีในการทำเรื่องๆ หนึ่ง แต่มาวันนี้ในเวลา 5 นาที ทำเรื่องได้ 60 เรื่อง ถามท่านผู้มีเกียรติว่าความเร็วแบบนี้ สังคมไทยมันเตรียมตัวรับได้หรือเปล่า ผมยังรับแทบไม่ได้เลยขนาดผมนี่ เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ผมคิดว่า ดร.อาทิตย์ก็สนใจเรื่องนี้ ก็รับแทบไม่ทัน อาจจะมีคนที่เรียนคอมพิวเตอร์ อาจจะมีคนที่ทำเรื่องโบรกเกอร์ เป็นคนซึ่งซื้อขายหุ้น รับได้ แต่ทั้งหมดคนที่รับได้มีไม่เกิน 5 เปอร์เซ็นต์ อีก 95 เปอร์เซ็นต์ คือคนซื้อรับไม่ทัน นี่คือปัญหาใหญ่ของประเทศไทย สังคมไทยไม่พร้อมที่จะรับความเร็วขนาดนั้น
ท่านผู้มีเกียรติ เรามี 2G เรามี 3G และเราก็เร่งทำ 4G อีกหน่อยก็มี 5G พวกคุณจะ G ไปถึงไหน ในเมื่อสังคมไทยส่วนใหญ่จะกี่ G มันยังรับไม่ทัน เพราะว่าความแตกต่างในเรื่องปัญญาของคนและการรับองค์ความรู้มันห่างกันเหลือเกิน แต่เมื่อใดก็ตามคุณลดช่องว่างระหว่างปัญญาของคน 95 เปอร์เซ็นต์ กับคนอีก 5 เปอร์เซ็นต์ ให้มันแคบลง เหลือแค่นี้ นั่นล่ะ เมืองไทยถึงจะมีอนาคต แต่ไม่เคยมีใครสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะฉะนั้นคนซึ่งรับพวก 3G, 4G, 5G, 6G อะไรก็ช่าง มันก็จะมีอยู่แค่นี้ล่ะ 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือก็ถดถอยไปเรื่อยๆ มันก็ทิ้งห่างกันไปเลย และนี่คือต้นเหตุของการที่คนมันรวย มันก็รวยจริงๆ คนจนมันก็จนจริงๆ
คนรวยนี่ไม่ได้รวยเพราะว่าโชคอย่างเดียว เหตุผลของความรวยเกิดขึ้นเพราะ อำนาจของความรู้ที่ตัวเองมี ความเข้าใจในเรื่องราว และรู้จักแก้ปัญหา และรู้จักที่จะใช้ประโยชน์ หาประโยชน์ กับเทคโนโลยี นั่นคือความรวย คนรวย ว่าเขาก็ไม่ได้ แต่เรามีหน้าที่ รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะทำให้ช่องว่างนี้มันแคบลง เห็นหรือยัง ไม่เคยมีใครคิดเรื่องนี้ แต่ละคนคิดอย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้คนมีเงินใช้ แจกเข้าไป เป็นหนี้เข้าไป มีใครบ้างในนี้ที่ไม่มีหนี้ ไม่มี แต่คุณรู้ใช่ไหมการไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ มีความสุขที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว คนก็เลยบอกว่า นี่ล่ะคือที่มาของความพอเพียง
เรามีรัฐธรรมนูญมากี่ฉบับแล้ว ขออนุญาตเอ่ยชื่ออาจารย์เอนก อีกครั้ง เรามีมาเยอะ เราวันนี้นั่งทะเลาะกันเรื่องเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ เรามานั่งทะเลาะกันว่าใครจะเป็นนายกฯ เรามานั่งทะเลาะกันโน่นนี่ ผิดประเด็นหมด ทำไมเราไม่นั่งทะเลาะกันเรื่องทุนผูกขาด ไม่ทะเลาะกันว่าเราจะทำอย่างไรให้คน 95 เปอร์เซ็นต์ เขามีองค์ความรู้มากขึ้น ทำไมไม่ทะเลาะกันว่าให้ลูกหลานเรามีโอกาสลืมตาอ้าปาก จมูกเหนือน้ำ ได้เกิดขึ้นมา ทำไมไม่ทะเลาะกันว่า ทำอย่างไรถึงจะให้ลูกหลานพวกเรามีชีวิตอย่างมีคุณภาพในราคาที่มีเหตุผล นั่นคือคุณภาพชีวิต นั่นคือสิ่งที่เราควรจะทำ เพราะถ้าเราทำเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างมันจะดีขึ้น เรามาทะเลาะกันว่า ควรจะมี ส.ว.ไหม หรือไม่ควรจะมี ส.ว. มันไม่ใช่ประเด็น รัฐธรรมนูญทุกฉบับไม่เคยมีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อความเท่าเทียมกันในสังคม มีแต่การพูดว่าทุกคนเกิดมามีสิทธิเท่าเทียมกันหมด แต่ว่าประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจไม่เคยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่ร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นนายมีชัย ฤชุพันธุ์ หรือใครก็ตาม แล้วคนที่ออกมาโต้เถียงก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อกี้ผมพูดถึงเรื่องทุนทางตะวันตก ทุนทางตะวันออกเกิดอะไรขึ้น ทุนทางตะวันออกไม่มีภูมิคุ้มกันเหมือนทุนทางตะวันตก ไม่มีสื่อมวลชนที่ซื่อสัตย์ ที่กล้าพูด ไม่มีจริยธรรมของนักธุรกิจ ทุนทางตะวันออกก็เลยกินเอาๆ กินหัวกินหางกินกลางตลอดตัว และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเรามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว และยังไม่เปลี่ยน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ง่ายนิดเดียว เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้อำนวยการสำนักข่าวอิศรา ผมรู้จักเขาในนามชื่อเล่น ชื่อ เก๊ เขาดูบิลโทรศัพท์เขา AIS เขาบอก AIS คิดเงินผิด คิดเกินที่เขาจะต้องจ่าย เขาทำหนังสือร้องเรียนไปที่ กสทช. กสทช.น่ารักมาก ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว บอกว่า ใช่ AIS โกงค่าเวลาเขา บังคับให้ AIS คืนเงินที่โกงไป ดูเหมือนจะจบใช่ไหม คิดให้ลึกลงไปสิ แล้วคนที่ใช้โทรศัพท์อีก 20 กว่าล้านคนล่ะ ขอโทษนะ กสทช.มึงไม่สนใจเลยเหรอ ว่าเขาโดนไอ้พวกนี้โกงขนาดไหน ถ้า กสทช.ทำงานเพื่อประชาชน มันต้องรื้อหมดเลยใช่ไหม มันต้องบอกถ้าคิดนายเก๊ ผิดอย่างนี้ มันต้องคิดทุกเบอร์ผิดหมด เพราะฉะนั้นแล้ว AIS, true, DTAC ต้องคืนเงินประชาชนเท่าไร ไม่ เพราะทุนมันยัดปากมัน เห็นหรือยัง นี่แค่นี้เองนะ แล้วมันให้เหตุผลที่เลวมาก ก็ไม่มีใครร้องเรียนมานี่ครับ ใครร้องเรียนมาก็จัดการรายนั้น ผมก็นึกในใจ แล้วกูมี กสทช.อย่างมึงเอาไว้ให้หนักไข่กูทำไม นี่คือประเทศไทย
ถึงเวลาแล้ว ถ้าเราจะเดินหน้าต่อไป ประเทศไทยต้องกล้าคิดกล้าทำ ต้องเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เอากลุ่มทุนเป็นตัวตั้ง ผู้ปกครองต้องยอมรับว่า วันนี้เรากำลังเจอผู้ปกครองที่ส่งเสริมให้ข้าราชการมีอำนาจ ถ้า 5 ปีจากนี้ไป ข้าราชการมีอำนาจเหมือนอย่างทุกวันนี้นะ ผมพูดได้คำเดียวว่า ประเทศไทยฉิบหาย ประเทศนี้จะบริหารชาติได้ ไม่ใช่โดยข้าราชการ ข้าราชการต้องเป็นคนที่รับคำสั่ง แต่ทำอย่างไรถึงจะมีผู้ที่มีสติปัญญา มีองค์ความรู้ และมีความซื่อสัตย์ เอาประเทศชาติเป็นตัวตั้ง แล้วบริหารให้ข้าราชการทำตามที่ตัวเองพูด
ท่านผู้มีเกียรติ ผมเคยพูดนอกวง ท่านรู้ไหม ไอ้คนที่เป็นอธิบดีได้ ปลัดกระทรวงได้ ผู้บัญชาการต่างๆ ได้ คนพวกนี้เป็นได้เพราะอะไรรู้ไหม มีใครนึกออกบ้าง เพราะคนพวกนี้เป็นยอดฝีมือในด้านการสอพลอ ถ้าคุณสอพลอไม่เก่งคุณขึ้นเป็นใหญ่ไม่ได้ ในเมืองไทย ไปดูได้ ไปดูได้ ถ้าคุณไม่ใช่ยอดฝีมือในการสอพลอ ไม่มีทางได้เป็นอธิบดี ไม่มีทางได้เป็นปลัดกระทรวง ไม่มีทางได้เป็นผู้บัญชาการ คุณต้องสอพลออย่างเดียว เอาใจนาย คุณต้องรู้ว่านายต้องการอะไร เพราะฉะนั้นคุณจะเห็นว่าหัวต่างๆ ของหน่วยงานราชการ คือยอดฝีมือแห่งการสอพลอ ขอให้กูได้ตำแหน่ง กูได้ตำแหน่งแล้ว กูจะทำงานได้/ไม่ได้ กูไม่สนใจ หน้าที่มึงอยู่ข้างล่าง มึงมีหน้าที่สอพลอกูต่อไป นี่ไงคือระบบราชการไทย ผมไม่มีข้อยกเว้นเลยนะ ทุกคน ไม่มีวันที่จะได้ตำแหน่งใหญ่ ถ้าไม่สอพลอ ถ้าไม่มีวิทยายุทธในการสอพลอ จะเป็นใหญ่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นความคิดที่จะเอาข้าราชการเป็นใหญ่ เป็นความคิดที่ต่ำต้อยมาก และไม่น่าจะคิดได้เลย
แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป นานมาแล้วครั้งหนึ่ง ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก่อนกลับพระองค์ท่านทรงเยือนฮอลลีวูด นักข่าวถามพระเจ้าอยู่หัวว่ารู้สึกอย่างไรกับประเทศอเมริกา พระเจ้าอยู่หัวบอกว่าอย่างไรรู้ไหม เป็นประเทศที่ดี แต่พวกคุณช้าลงหน่อยได้ไหม ช้าลงหน่อย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ชื่อคุณสายัณห์ เล็กอุทัย เป็นนักปรัชญา จบ UCLA เหมือนกัน จบสถาปัตย์ จบสถาปัตย์จุฬาฯ แล้วไปจบทางภาพยนตร์ที่ UCLA สายัณห์ เล็กอุทัย เสียชีวิตไปแล้ว ผมชื่อโต สมัยนั้นผมร่ำรวยมาก ยิ่งใหญ่มาก มีกิจการข้ามโลกข้ามประเทศ มันตบไหล่ผม บอก เฮ้ยไอ้โต มึงถอยสักก้าว ฟ้าจะสดใส ผมไม่เคยคิดความหมายที่สายัณห์พูดคืออะไร "มึงถอยสักก้าว แล้วฟ้าจะสดใส" ผมมาเข้าใจในช่วงหลังๆ นี่เอง
แต่คนไทยมองว่าความช้าเป็นความเชย แต่แท้ที่จริงแล้ว ความช้า กลับเป็นความลับที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตในโลกยุคนี้ และคนที่ช้าเป็นในโลกที่เร็วตลอดเวลา และคนที่รู้จักว่าเมื่อไรจะต้องช้า เมื่อไรจะต้องเร็ว จะเป็นคนที่ชนะตลอดไป อย่างน้อยชนะใจตัวเอง ความช้า ความเร็ว เรามีมายาภาพของความเร็วครอบงำทุกอย่างในประเทศไทยหมด ทุกอย่างต้องเป็น real time ทุกอย่างต้องดูได้ทันสมัย แต่ที่มาที่ไปของเรื่องราวกลับไม่สนใจ ทั้งที่โดยหลักธรรมชั้นสูง ปฏิจจสมุปบาท กับ อิทัปปัจจยตา กว่าจะมาเป็นตรงนี้มันมีที่มาตรงนี้ เมื่อมันมีที่มาตรงนี้เราก็มาดูเหตุของมันตรงนั้น
ผมเพิ่งจะมาเข้าใจในช่วงหลังๆ หลาย ปีที่ผ่านมา และจริงๆ ผมเข้าใจหลังจากโดนยิง เหมือนเกิดใหม่ เออ ใช่ ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ คนที่ทำอะไรช้า หรือบอกว่าใจเย็นๆ จะถูกมองว่าเป็นคนคร่ำครึ จริงๆ แล้วคำว่าพอเพียง ไม่ใช่การมีเท่าไรใช้เท่านั้น พอเพียงคือการมีสติ และรู้จักช้าบ้างในเวลาที่จะควรจะช้า รู้จักเร็วในเวลาที่ต้องเร็ว การช้าลงให้เป็นในบางเรื่อง จะมีองค์ประกอบของการมีสติมากขึ้น การใช้ปัญญาแก้ปัญหา และนี่คือแก่นของความพอเพียง และนี่คือหลักธรรมที่แท้จริง
สังคมที่จะเดินหน้าต่อไป ฟังดูเหมือนจะคร่ำครึโบราณ แต่ 2559 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครพูดเลยว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นผิด มีใครกล้าท้าทายไหมว่าพระธรรมผิด ไม่มี เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่พูดมา เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมานั้น ทันสมัยตลอดเวลา
ทุกวันนี้ประเทศไทยกำลังใช้กิเลสนำหน้า เราอยากได้ อยากมี อยากเป็น เราหลงตัวเอง อหังการมะมังการ เป็นหลักการของชีวิต เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เราถึงเข้าไปสู่วัฏจักรของทุนที่ต้องการพวกคุณที่เป็นอย่างนี้ อยากมี อยากได้ อยากเป็น
ผมเคยสอนลูกน้องผม หรือลูกหลานผม คุณเอาไปทำตามที่ผมบอกแล้วกัน ช่วยทำให้หน่อยเถอะ แล้วดูว่าผมผิดมั้ย เย็นนี้กลับไปที่บ้าน เปิดตู้เสื้อผ้า เอาลูกเอาเมียไปด้วยเป็นประจักษ์พยาน แล้วชี้ว่าเสื้อตัวนี้เพิ่งซื้อมา ซื้อมาเมื่อไหร่ 6 เดือนที่แล้ว ไปดูซิว่าเสื้อตัวไหนซื้อมาแล้วใส่เกิน 5 ครั้ง ผมเชื่อว่ากว่าครึ่งตู้ใส่ไม่ถึง 5 ครั้ง กว่าครึ่งตู้ ดูรองเท้า ดูกระเป๋า ดูเข็มขัด ดูทุกอย่าง เมื่อดูเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาของที่ดูมารวมกัน แล้วเอาเครื่องคิดเลขมาบวก แล้วคุณจะตกใจ ความอยากก่อให้เกิดการใช้เงินโดยไม่จำเป็นอีกมหาศาล
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราจะเดินหน้าต่อไป เราต้องรู้จักอย่าได้เข้าไปในวัฏจักร วงเวียนของความชั่วร้ายของทุน ผมแนะนำอะไรมากไม่ได้ นอกจากว่าแต่ละคนต้องช่วยตัวเอง ต้องหาทางที่จะป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิเลสของความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ผมจะไปเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่ได้ เพราะผมไม่มีอำนาจอะไร ผมเป็นเพียงแต่เล่าให้ฟังว่าที่เราเป็นวันนี้ เราเป็นเพราะอะไร แล้วทางออกของเราเป็นยังไงบ้าง ถ้าเรายุติความอยากได้ อยากมี อยากเป็น เริ่มจากตัวเราก่อน ที่บ้านเรา เริ่มจากอะไรที่ไม่จำเป็น หลายคนทุกวันนี้เดินเข้าห้างสรรพสินค้าเพราะต้องการหนีร้อน แต่หลายคนเดินเข้าไปซื้อของ เอ๊ย สวยนี่ อย่าใช้คำว่า "สวยนี่" เป็นตัวตัดสิน ใช้คำว่า เรามีเสื้อพอหรือยัง เรามีกระโปรงพอหรือยัง แม่ ไอโฟน 7 ออกแล้ว ไอโฟน 6 ยังใช้ได้อยู่ใช้ไหมลูก ใช้ต่อไป อย่าเพิ่งเปลี่ยนเลยลูก ใช้ไปอีกสัก 2-3 ปี ให้รู้จักบันยะบันยัง
ความจริงอยากพูดต่อ แต่ว่าเวลามันล่วงเลยมานานแล้ว เอาเป็นว่า วันนี้พูดให้บุคลากร ม.รังสิต ด้วยใจ พูดอย่างเปิดอก พูดอย่างไม่มีติดเบรก คิดอะไรก็พูดอย่างนั้นไป และเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมันเป็นธรรม มันเป็นธรรมจริงๆ สุดท้ายนี้ ผมจะเรียนให้กับคนที่ ม.รังสิต ว่า ผมภูมิใจในตัวพวกคุณมาก ที่คุณมีผู้นำอย่าง ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ สมัยก่อนผมเคยเห็นผู้นำองค์กรการศึกษาที่มีจริยธรรม ที่กล้าแสดงออก ก็มี ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หมดจากยุค ดร.ป๋วย มา ก็มี ดร.อาทิตย์ คนเดียว จาก 14 ตุลาฯ มาถึงทุกวันนี้ 40 ปีแล้ว ถ้าจะพูดอะไรหลายคนอาจจะไม่พอใจ แต่ผมจะพูดให้ฟัง ว่า ถ้าผู้นำขาดซึ่งจริยธรรมแล้ว ก็ไม่มีความหมาย และถ้าผู้นำองค์กรมีจริยธรรม แต่ไม่กล้าแสดงออกในยามที่สังคมมันต้องการ ก็ไม่มีความหมายเช่นกัน ผมภูมิใจที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกคุณ และผมขอให้พวกคุณรู้ไว้ด้วยว่า พวกคุณเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียวที่จะอยู่ในใจของผมตลอดไป ขอบพระคุณมากครับ

"อย่ามายุ่งกับผม"...!!!นายกฯบิ๊กตู่ ลั่น ไม่สนใจ “สนธิ” วิจารณ์"ประชารัฐ”



"อย่ามายุ่งกับผม"...!!!
นายกฯบิ๊กตู่ ลั่น ไม่สนใจ “สนธิ” วิจารณ์"ประชารัฐ” มั่นใจทำดี เดินถูกทาง ลั่นฉลาดพอ ไม่เอื้อให้ กลุ่มนายทุนฮุบ ติงไม่ก้าวก่ายงาน"สนธิ" เพราะ ฉะนั้น "อย่ามายุ่งกับผม" โวย พวก พูดตาม Thailand 4.0
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและอดีตแกนนำพันธมิตรฯ แสดงความเห็นต่อโครงการประชารัฐ ว่าเป็นโครงการเอื้อลูกนักธุรกิจให้ได้ประโยชน์ ว่า "ผมไม่สนใจ เพราะทำในสิ่งที่ดี คนที่พูดแล้วไม่ได้ทำ ก็ลองมาทำดูเองบ้าง และทำให้ได้อย่างผมทุกคนที่ออกมาพูด ถ้าไม่เคยทำคิดและพูดมันง่ายเกินไป เพราะคนพูดไม่ได้เจอปัญหา มีแต่สร้างปัญหาความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ"

“ผมยังไม่ก้าวก่ายงานของท่านเลย ยังเคยบอกหนังสือพิมพ์หรืออะไรของท่านเขียนในเชิงสร้างความขัดแย้ง ยังไม่เคยว่าเลย ฉะนั้นอย่ามายุ่งกับผม"

แม้แต่คนที่มาช่วยโครงการสตาร์ทอัพ เขาจะมาฮุบอย่างไร บอกวิธีการฮุบมาสิ ผมจะไม่ฉลาดพอที่จะให้เขาฮุบเหรอ เขามาช่วยขับเคลื่อน ร่วมตั้งบริษัทและมีผลกำไรหรือเปล่า ผลกำไรอยู่ที่ไหนดูตรงนี้ โครงการประชารัฐไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่หรืออย่างไรนั้นเพื่อเอาประโยชน์มาสู่ประชาชน เพราะประชาชนเป็นหุ้นส่วนใหญ่ เงินที่ได้กลับมาไม่ได้แบ่งปันผลประโยชน์ แต่เอามาเป็นค่าแรงค่าจ้างเจ้าหน้าที่ ที่เหลือผลักเข้าสู่กองทุน นำไปใช้ขยายที่อื่นมันผิดตรงไหน” นายกฯ กล่าว

เมื่อถามว่ายังนายกฯมั่นใจว่านโยบายนี้เป็นสิ่งที่ดี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ไม่มั่นใจจะทำทำไม เคยเข้าใจคำว่าโซเชียลบิซิเนสหรือไม่ถ้าไม่เข้าใจก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ธุรกิจเพื่อสังคมไปเปิดเว็บเปิดยูทูปดู เขาทำอย่างไรกันมา ถ้าไม่ดูตรงนี้ก็คุยกันคนละเรื่องสตาร์ทอัพมันจะเสียหายตรงไหน ในเมื่อเป็นการเอาเอสเอ็มอีรุ่นเก่ารุ่นใหม่มา ซึ่งรุ่นเก่าได้ให้ทุนไปแล้ว พอไม่ให้ทุนก็หาว่าไม่จริงจัง ไม่ดูแลเอสเอ็มอี แต่ให้ไปก็บอกว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือน เป็นNPL แล้วจะทำอะไร ก็อยู่เฉยๆสิ อย่างที่เขาอยู่กันมาดีไหม

แล้ววันนี้เขามีการเพิ่มมูลค่าการค้าขาย รู้ไหมประเทศไทยมีเอสเอ็มอีเท่าไร กว่าร้อยละเก้าสิบ 2.6ล้าน รายแล้วไม่สนใจเขาได้หรือไม่
Start up ก็คือSME ขนาดเล็ก เป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ เป็นการให้การบริการใช้สมองคิดออกมา อย่างการสร้างโปรแกรมบริการซักผ้า24 ชั่วโมง ไปดูถูกไปอย่างไรว่าเขาจะเจ๊ง เขาลงทุนเราให้เงินกู้ไม่กี่สตางค์ ซึ่งเขาก็ขยายกิจการ ถ้าไปได้เขาก็ไปเองไม่ใช่ว่ารัฐจะเลี้ยงดู และจะเอาเงินเท่าไร ทำไมไม่คิดว่าเป็นการสร้างคนรุ่นใหม่ในธุรกิจ และรู้จักการคืนสังคม สอดคล้องกับไทยแลนด์ 4.0 แต่อย่าไปฟัง ไทยแลนด์ 4.0 อย่างที่บางคนพูด พอรัฐบาลพูดก็พูดบ้าง เก่งนักหราหรือ แล้วทำไมไม่ทำ วันหน้ากลับมาใหม่ก็ไปถามเขา ว่า 4.0 ทำอย่างไร จะดูแลเกษตรกรอย่างไร ที่ไม่ใช่การอุดหนุนทั้งหมด ถามเขาว่าทำเป็นหรือเปล่า