PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558

“ไพศาล” เร่งรัฐบาลรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้พร้อม เชื่อการลงทุนไหลเข้าทะลักแน่

“ไพศาล” เร่งรัฐบาลรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้พร้อม เชื่อการลงทุนไหลเข้าทะลักแน่
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เร่งรัดรัฐบาล รีบเตรียมการรองรับการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศให้พร้อม ขณะนี้การลงทุนกำลังไหลเข้าประเทศ จนหน่วยงานต่าง ๆ ได้สัมผัสชัดเจนแล้ว เชื่อว่าการลงทุนกำลังไหลทะลักเข้าประเทศ อุปมาเหมือนเครื่องบินกำลังแห่กันมาลงในประเทศไทย รัฐบาลจึงต้องเตรียมสนามบินให้พร้อมที่จะรองรับ โดยเฉพาะต้องเร่งจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษโดยเร็ว
นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าในไตรมาสที่ 3 ที่ 4 ของปีที่แล้วมีการวิเคราะห์กันว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะย่ำแย่และการลงทุนจะหายไป ซึ่งตนได้ทักท้วงแล้วว่าเป็นการวิเคราะห์ส่งเดช เอาแว่นตาดำตะวันตกมาใส่จึงทำให้มองประเทศไทยมืดบอด ทั้งที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว สถานการณ์เอื้อต่อประเทศไทยมากมาย ที่สำคัญคือ ตะวันตกกำลังร่วงโรย ตะวันออกกำลังรุ่งเรือง ดุลกำลังอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกย้ายมาอยู่ตะวันออก อาเซียน 650 ล้านคน กำลังเป็นรุ่งอรุณทางเศรษฐกิจของโลก โดยมีจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีเป็นพันธมิตร จึงทำให้ไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของอาเซียนได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ ปัจจัยภายนอกเอื้อประโยชน์เต็มที่ ส่วนปัจจัยภายในรัฐบาลดำเนินยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงเส้นทางสายไหมของภูมิภาคมารวมศูนย์อยู่ที่ประเทศไทย เดินหนทางเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมบริการของรัชกาลที่ 5 ประกาศนโยบายจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ 7 เขต จึงจุดพลุการลงทุนเข้าประเทศไทยอย่างขนานใหญ่ ล่าสุดเมื่อย่างเข้าปีใหม่สำนักวิเคราะห์ต่าง ๆ รวมทั้งสื่อมวลชนเห็นพ้องต้องกันแล้วว่าเงินทุนกำลังไหลเข้าประเทศอย่างคึกคัก รัฐบาลจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะรับการลงทุนนั้นให้ทันท่วงที และต้องกวดขันเรื่องนี้ จะปล่อยให้ใครเข้าเกียร์ว่างไม่ได้เด็ดขาด สถานการณ์ตอนนี้จึงเทียบได้กับเครื่องบินแห่งการลงทุนมากมายมหาศาลกำลังหลั่งไหลมาประเทศไทย รัฐบาลจึงต้องสร้างสนามบินรองรับให้เพียงพอ ซึ่งเชื่อว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 7 เขตจะรองรับการลงทุนได้ถึง 3 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้ยังเดินหน้าช้ามาก คือสภาพัฒน์ฯ ว่าไปทางหนึ่ง ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแต่ไม่มีองค์กรและอำนาจ คณะทำงานชุดหนึ่งก็ไปดูพื้นที่ ซึ่งคงหาข้อยุติที่จะปฏิบัติเขตเศรษฐกิจพิเศษไม่ได้ คณะทำงานอีกชุดหนึ่งก็ไปดูสภาพต่าง ๆ และคงหาข้อยุติในทางปฏิบัติไม่ได้เช่นเดียวกัน รัฐบาลจึงควรเป็นผู้นำจัดการเรื่องนี้เสียเองและควรจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษให้ได้ก่อนสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ ก็จะทำให้สามไตรมาสที่เหลือคึกคักขึ้นและเกิดความเชื่อมั่น มิฉะนั้นจะกลายเป็นเรื่องฝันลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง.


ข้อมูลรถไฟฟ้าสายใหม่

สิ้นสุดการรอคอย “รถไฟฟ้า” มาหาซะที เจาะลึกทุกสถานี 10 เส้นทางผ่านบ้านใคร
หลังจากโดนสารพัดปัญหาโรคเลื่อนเล่นงาน จนต้องชะเง้อคอรอคอยมาหลายปี ในที่สุดโครงการอภิมหาโปรเจกต์รถไฟฟ้าในเมือง 10 สาย ที่คนเมืองกรุงและปริมณฑลเฝ้าฝันให้เป็นฮีโร่ช่วยแก้ปัญหารถติดก็ใกล้ความเป็นจริงเข้ามา หลัง “รัฐบาลลายพราง” นำโดยบิ๊กตู่-ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควงคู่บิ๊กจิน-ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม สวมบท “เสี่ยสั่งลุย” เข็นโครงการให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด
แต่ถึงตรงนี้หลายคนยังอดสงสัยไม่ได้ว่ารถไฟฟ้า 10 สายที่กำลังเกิดขึ้น มีเส้นทางไหนแล่นผ่านที่ใดบ้าง รวมถึงแอบลุ้นว่าจะมีสถานีไหนจอดหน้าบ้านเราหรือไม่ “ทีมข่าวเศรษฐกิจ” ขออาสารวบรวมข้อมูลทั้ง 10 สาย มาให้ติดตามและอัพเดตความคืบหน้าไปพร้อมๆกัน
●ชานเมืองสายสีแดงเข้ม
หัวหมาก–บางซื่อ–ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต
เริ่มจากโครงการรถไฟฟ้าสีแดง มีเส้นทางยาวมากๆ รัฐบาลจึงต้องซอยย่อยการก่อสร้าง ช่วงแรก บางซื่อ–รังสิต–ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีระยะทาง 36.3 กม. ขณะนี้ผู้รับเหมากำลังเร่งก่อสร้างในช่วงบางซื่อ-รังสิตก่อน 26 กม. โดยใช้เส้นทางตอม่อโฮปเวลล์เดิมที่ขนานกับทางรถไฟในการก่อสร้าง คาดจะแล้วเสร็จในปี 2561 เปิดให้บริการ 10 สถานีด้วยกัน
เริ่มต้นจาก 1.ศูนย์กลางสถานีบางซื่อ แถวถนนเทอดดำริ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีแดงอ่อน และแอร์พอร์ตลิงก์ จากนั้นมุ่งหน้าสู่ 2.สถานีจตุจักร บริเวณใกล้กับบ้านพักนิคมรถไฟ กม.11 ผ่าน 3.สถานีวัดเสมียนนารี 4.สถานีบางเขน ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 5.สถานีทุ่งสองห้อง ใกล้กองกำกับการสุนัขตำรวจ ก่อนมาหยุดที่ 6.สถานีหลักสี่ เยื้องห้างไอทีสแควร์ ซึ่งสามารถเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูได้ 7.สถานีการเคหะ ใกล้แฟลตการเคหะฯ ดอนเมือง 8.สถานีดอนเมือง 9.สถานีหลักหก ใกล้หมู่บ้านเมืองเอก และสิ้นสุด 10.สถานีรังสิต แถวหมู่บ้านรัตนโกสินทร์ 200 ปี
ส่วนช่วงที่เหลืออีก 10 กม.ระหว่าง สถานีรังสิต–ม.ธรรมศาสตร์ ตอนนี้ยังไม่เริ่มก่อสร้าง แต่คาดว่าจะประกวดราคาได้ปี 2558 เปิดให้บริการปลายปี 2561 เช่นกัน โดยมีการสร้างเพิ่มอีก 5 สถานี ตามแนวถนนเลียบคลองเปรมประชากร ได้แก่ 1.สถานีรังสิต 2.สถานีคลองหนึ่ง 3.สถานี ม.กรุงเทพ 4.สถานีเชียงราก และ 5.สถานีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
●สายสีแดงนอกจากจะขึ้นทิศเหนือของกรุงเทพฯแล้ว ยังมีขยายลงทางใต้เช่นกัน เส้นทาง บางซื่อ–หัวลำโพง ระยะทาง 25.5 กม. คาดว่าก่อสร้างเสร็จปี 2561 มี 6 สถานี เริ่มจาก 1.สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ 2.สถานีสามเสน แถวสามเหลี่ยมรถไฟจิตรลดา 3.สถานีราชวิถี ซึ่งสามารถเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อนได้ 4.สถานียมราช เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีส้ม 5.สถานียศเส เชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส 6.สถานีรถไฟหัวลำโพง เพื่อเชื่อมต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน
●ชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ตลิ่งชัน–บางซื่อ–หัวหมาก
หลังจากผ่านรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ที่วิ่งเชื่อมฝั่งเหนือกับฝั่งใต้ของกรุงเทพฯเข้าด้วยกันแล้ว ต่อมาไปดู สายสีแดงอ่อน ที่จะสร้างเพื่อเชื่อมฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก โดยมีแบ่งโครงการเป็น 2 ช่วงเช่นกัน ช่วงแรก บางซื่อ–ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. ขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้ว มี 7 สถานี ได้แก่ 1.สถานีกลางบางซื่อ 2.สถานีบางซ่อน เชื่อมต่อกับสายสีม่วง 3.สถานีพระราม 6 4.สถานีบางกรวย-กฟผ. 5.สถานีบางบำหรุ 6.สถานีชุมทางตลิ่งชัน ก่อนไปสิ้นสุดที่สถานีบ้านฉิมพลี แต่น่าเสียดายแม้ตอนนี้โครงสร้างจะทำเสร็จแล้ว แต่ยังเปิดเดินรถไม่ได้ เพราะต้องรอเชื่อมระบบเข้ากับรถไฟฟ้าสีแดง บางซื่อ-รังสิต เสียก่อน
ช่วงต่อมา บางซื่อ–หัวหมาก ระยะทาง 25.5 กม.หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ จะเปิดประมูลโครงการได้ปี 2558 และเสร็จในปี 2561 โดยเส้นทางนี้เป็นช่วงสั้นๆ 7 สถานี แต่เต็มไปด้วยความหฤหรรษ์ เพราะมีมุดดินและลอยฟ้าสลับกัน เริ่มออกจากสถานีบางซื่อ ก็ต้องมาลดระดับมุดอุโมงค์มาโผล่สถานี 2.ราชวิถี จากนั้นก็ถูกยกระดับทางขึ้นมาสู่ 3.สถานีพญาไท จากนั้นขึ้นลอยฟ้ามาจอด 4.สถานีมักกะสัน ต่อด้วย 5.สถานีศูนย์วิจัย 6.สถานีรามคำแหง และสิ้นสุดที่ 7.สถานีหัวหมาก ซึ่งสามารถเชื่อมกับรถไฟแอร์พอร์ตลิงก์ และสายสีเหลืองได้อีกด้วย
●ส่วนต่อขยายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
พญาไท–บางซื่อ–ดอนเมือง
โครงการต่อมา แอร์พอร์ตลิงก์ส่วนต่อขยาย ช่วง พญาไท–บางซื่อ–ดอนเมือง ระยะทาง 22 กม. เดิมทีถูกพ่วงเข้าไปกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง แต่ทำไปทำมารัฐบาลเห็นว่าเพื่อความคล่องตัวจึงได้แยกเป็นเส้นทางใหม่ดีกว่า โดยมีจุดหมายสร้างเพื่อเชื่อมการเดินทางสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองเข้าด้วยกัน ซึ่งแนวทางเส้นทางนี้จะสร้างต่อจากช่วงสนามบินสุวรรณภูมิ-พญาไท ไปถึงดอนเมือง โดยมีแนวเส้นทางคู่ขนานกับรถไฟฟ้าสายสีแดง ประกอบด้วย 5 สถานี ได้แก่ 1.สถานีราชวิถี 2.สถานีบางซื่อ 3.สถานีบางเขน 4.สถานีหลักสี่ 5.สถานีดอนเมือง โดยช่วงเส้นทาง พญาไท-ถ.พระราม 6 จะเป็นทางยกระดับ จากนั้นพอถึง ถ.พระราม 6-ถ.ระนอง 1 จะมุดลงใต้ดินตรงสามแยกจิตรลดา และยกระดับอีกครั้งจาก ถ.ระนอง 1 คาดก่อสร้างเสร็จปี 2562
●สายสีม่วง
บางใหญ่–บางซื่อ
ช่วง บางใหญ่–บางซื่อ ถือว่าเป็นสายที่คืบหน้า ขณะนี้ก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 96% พร้อมกับกำหนดวันเปิดใช้เป็นทางการวันที่ 12 ส.ค.2559 อีกด้วย เป็นรถไฟฟ้าลอยฟ้าทั้งหมด 16 สถานี ได้แก่ 1.สถานีคลองบางไผ่ 2.สถานีตลาดบางใหญ่ 3.สถานีสามแยกบางใหญ่ 4.สถานีบางพลู 5.สถานีบางรักใหญ่ 6.สถานีท่าอิฐ 7.สถานีไทรม้า 8.สถานีสะพานพระนั่งเกล้า 9.สถานีแยกนนทบุรี 1 10.สถานีศรีพรสวรรค์ 11.สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี 12.สถานีกระทรวงสาธารณสุข 13.สถานีแยกติวานนท์ 14.สถานีวงศ์สว่าง 15.สถานีบางซ่อน และ 16.สถานีเตาปูน
แนวเส้นทางเริ่มต้นจากสถานีเตาปูน จากนั้นเข้าถนนกรุงเทพฯ-นนทบุรี มุ่งหน้าทิศเหนือสู่สถานีบางซ่อน ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ผ่านแยกวงศ์สว่าง เข้าสู่เขต ต.บางเขน จ.นนทบุรี เลี้ยวขวาที่แยกติวานนท์เข้าสู่ถนนติวานนท์ ผ่านกระทรวงสาธารณสุข เลี้ยวซ้ายก่อนถึงแยกแครายสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ จากนั้นมุ่งหน้าไปทิศตะวันตก เชื่อมต่อกับจุดเริ่มต้นของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่สถานีศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี ผ่านศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านแยกบางรักน้อยหรือจุดตัดถนนราชพฤกษ์ และแยกบางพลู เลี้ยวขวาไปถนนกาญจนาภิเษก ผ่านชุมชนตลาดบางใหญ่ ไปสิ้นสุดที่คลองบางไผ่ จ.นนทบุรี รวมระยะทาง 23 กม.
●สายสีเขียว
หมอชิต–สะพานใหม่–คูคต
แบริ่ง–สมุทรปราการ
มาที่สายสีเขียว ที่จะมีการสร้างต่อหัวต่อท้าย จากรถไฟฟ้าบีทีเอสที่ให้บริการในปัจจุบัน โดยช่วง หมอชิต–สะพานใหม่–คูคต เพิ่งเปิดซองประมูลไปสดๆร้อนๆ และคาดว่าจะลงนามพร้อมก่อสร้างได้ต้นปี 2558 มีทั้งสิ้น 16 สถานี ได้แก่ 1.ห้าแยกลาดพร้าว 2.พหลโยธิน 24 3.รัชโยธิน 4.เสนานิคม 5.ม.เกษตรศาสตร์ 6.กรมป่าไม้ 7.บางบัว 8.กรมทหารราบที่ 11 9.วัดพระศรีมหาธาตุ 10.อนุสาวรีย์หลักสี่ 11.สายหยุด 12.สะพานใหม่ 13.โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช 14.พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ 15.สถานี กม.25 และ 16.คูคต สำหรับแนวเส้นทางเริ่มต้นจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีหมอชิต ผ่านห้าแยกลาดพร้าว มุ่งสู่แยกรัชโยธิน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปจนถึงแยกหลักสี่ หลบอุโมงค์ไปจนถึงหน้าตลาดยิ่งเจริญ จากนั้นไปตามถนนพหลโยธิน และเบี่ยงออกขวาข้ามคลองสอง ผ่านสถานีตำรวจภูธรคูคต เข้าสู่เกาะกลางของถนนลำลูกกา จนสิ้นสุดที่คลองสอง สถานีคูคต โดยใช้เวลาสร้างเสร็จได้ในปี 2562
ส่วนเส้นทาง แบริ่ง–สมุทรปราการ จะสร้างเป็นรถไฟลอยฟ้าตลอด 13 กม. และสร้างเสร็จได้ปี 2563 ประกอบด้วย 9 สถานี ได้แก่ 1.สถานีสำโรง 2.สถานีปู่เจ้าสมิงพราย 3.สถานีเอราวัณ 4.สถานีโรงเรียนนายเรือ 5.สถานีสมุทรปราการ 6.สถานีศรีนครินทร์ 7.สถานีแพรกษา 8.สถานีสายลวด และ 9.สถานีเคหะสมุทรปราการ สำหรับแนวทางเส้นทางก่อสร้าง จะเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีแบริ่ง ไปตามแนวเกาะกลางของถนนสุขุมวิท ผ่านคลองสำโรง แยกเทพารักษ์ แยกปู่เจ้าสมิงพราย จนถึงบริเวณจุดตัดถนนวงแหวนรอบนอกด้านใต้ จากนั้นข้ามทางต่างระดับสุขุมวิทไปตามเกาะกลางถนนสุขุมวิท ผ่านแยกศาลากลาง แยกการไฟฟ้า แยกแพรกษา แยกสายลวด จนสิ้นสุดหน้าสถานีรถไฟฟ้าย่อยบางปิ้ง.
●สายสีน้ำเงิน
บางซื่อ–ท่าพระ
หัวลำโพง–บางแค
สายสีน้ำเงิน เส้นทางที่ดื่มด่ำได้หลายบรรยากาศ ทั้งลอยฟ้า ใต้ดิน และอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา มีระยะทาง 27 กม. รวม 21 สถานี เริ่มจาก ช่วง บางซื่อ–ท่าพระ ระยะทาง 13 กม. มีทั้งหมด 10 สถานี ได้แก่ 1.สถานีเตาปูน 2.สถานีบางโพ 3.สถานีบางอ้อ 4.สถานีบางพลัด 5.สถานีสิรินธร 6.สถานีบางยี่ขัน 7.สถานีบางขุนนนท์ 8.สถานีแยกไฟฉาย 9.สถานีจรัญสนิทวงศ์ 13 และ 10.สถานีท่าพระ ในเส้นทางนี้จะเป็นลอยฟ้า เริ่มต้นจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ ผ่านแยกเตาปูน ซึ่งเป็นสถานีร่วมกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง เข้าสู่ถนนประชาราษฎร์สาย 2 ผ่านแยกบางโพ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวซ้ายเข้า ถ.จรัญสนิทวงศ์ บริเวณโรงเรียนเทคโนโลยีพระราม 6 ผ่านแยกบางพลัด แยกบรมราชชนนี แยกไฟฉาย และสิ้นสุดที่แยกท่าพระ
ต่อมาช่วง หัวลำโพง–บางแค ระยะทาง 14 กม. มี 11 สถานี ประกอบด้วย 1.สถานีวัดมังกรกมลาวาส 2.สถานีวังบูรพา 3.สถานีสนามไชย 4.สถานีอิสรภาพ 5.สถานีท่าพระ 6.สถานีบางไผ่ 7.สถานีบางหว้า 8.สถานีเพชรเกษม 48 9.สถานีภาษีเจริญ 10.สถานีบางแค และ 11.สถานีหลักสอง สำหรับแนวเส้นทาง เริ่มจากสถานีหัวลำโพง วิ่งแบบรถใต้ดินไปตามแนวถนนพระรามที่ 4 เข้าสู่ถนนเจริญกรุง ผ่านวัดมังกร–กมลาวาส ผ่านวังบูรพา เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสนามไชย ลอดอุโมงค์ใต้แม่น้ำเจ้าพระยาที่ปากคลองตลาดไปจนถึงคลองบางกอกใหญ่ เข้าสู่ถนนอิสรภาพ และปรับโหมดวิ่งแบบลอยฟ้า มุ่งสู่แยกท่าพระ ซึ่งใช้สถานีร่วมกับสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จากนั้นวิ่งไปตามถนนเพชรเกษม ผ่านบางไผ่ บางหว้า ภาษีเจริญ บางแค สิ้นสุดที่วงแหวนรอบนอกถนนกาญจนาภิเษก โดยสายสีน้ำเงินทั้ง 2 ช่วง คาดเปิดบริการได้ปี 2562
ขณะที่ช่วง บางแค–พุทธมณฑล สาย 4 กำลังเร่งศึกษาความเหมาะสมและออกแบบเพื่อเชื่อมต่อสถานีหลักสองไปถึงพุทธมณฑลสาย 4 รองรับการเดินทางประชาชนฝั่งธนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีระยะทาง 8 กม.ประกอบด้วย 4 สถานี 1.สถานีพุทธมณฑลสาย 2 2.สถานีทวีวัฒนา 3.สถานีพุทธมณฑลสาย 3 4.สถานีพุทธมณฑลสาย 4 คาดก่อสร้างเสร็จปี 2564
●สายสีส้ม
ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี
รถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี กำลังรอขออนุมัติจาก ครม.ช่วงต้นปี 2558 ระยะทาง 20 กม. เป็นโครงการทั้งใต้ดินและลอยฟ้า ประกอบด้วย 17 สถานี ได้แก่ 1.ศูนย์วัฒนธรรมฯ หน้าห้างเอสพลานาด 2.สถานี รฟม. ติด ถ.พระราม 9 3.ประดิษฐ์มนูธรรม ปากซอยวัดพระรามเก้า 4.รามคำแหง 12 หน้าห้างเดอะมอลล์ 5.รามคำแหง หน้า ม.รามคำแหง 6.ราชมังคลา หน้าสนามกีฬา 7.หัวหมาก หน้า รพ.รามคำแหง 8.ลำสาลี แยกลำสาลี 9.ศรีบูรพา หน้าห้างบี๊กซี 10.คลองบ้านม้า ซ.รามคำแหง 92-94 11.สัมมากร ใกล้หมู่บ้านสัมมากร 12.น้อมเกล้า หน้า ร.ร.เตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า 13.ราษฎร์พัฒนา หน้าซอยมิสทิน 14.มีนพัฒนา หน้าวัดบางเพ็ญใต้ 15.เคหะรามคำแหง ซ.รามคำแหง 184 16.มีนบุรี อยู่สะพานข้ามคลองสองต้นนุ่น และ 17.สุวินทวงศ์ ใกล้แยกสุวินทวงศ์
แนวเส้นทางเริ่มจากสถานีศูนย์วัฒนธรรมเป็นแบบรถใต้ดิน เข้าสู่พื้นที่ศูนย์ซ่อมบำรุง รฟม. และมุ่งหน้าไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนเข้าสู่ถนนพระราม 9 บริเวณหน้าที่ทำการของ รฟม.จากนั้นไปทิศตะวันออกผ่านแยกพระราม 9 ประดิษฐ์มนูธรรม เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ถ.รามคำแหง ผ่านมหาวิทยาลัย รามคำแหง ราชมังคลากีฬาสถาน แยกลำสาลี ก่อนถึงจุดตัดถนนศรีบูรพา เพื่อยกระดับลอยฟ้าไปตามแนวเกาะกลางสู่สถานีบ้านม้า ผ่านหมู่บ้านสัมมากร ข้ามทางแยกต่างระดับรามคำแหงจุดตัดถนนกาญจนาภิเษก ผ่านแยกลาดบัวขาว จุดตัดถนนมีนพัฒนา ไปเคหะรามคำแหง ก่อนสิ้นสุดเส้นทางที่ ถ.สุวินทวงศ์ คาดก่อสร้างเสร็จปี 2563
●สายสีชมพู
แคราย–ปากเกร็ด–มีนบุรี
รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย–มีนบุรี ระยะทางยาวถึง 36 กม. เป็นรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือโมโนเรล ประกอบด้วย 30 สถานี ได้แก่ 1.ศูนย์ราชการนนทบุรี 2.แคราย ใกล้ รพ.โรคทรวงอก 3.สนามบินน้ำ ซ.ติวานนท์ 35 4.สามัคคี ใกล้แยกสามัคคี 5.กรมชลประทาน ซ.ติวานนท์ 4-6 6.ปากเกร็ดหัวมุมห้าแยก 7.เลี่ยงเมืองปากเกร็ด ถ.แจ้งวัฒนะ 8.แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 ใกล้ห้างเซ็นทรัล พลาซา 9.เมืองทองธานี ใกล้ทางเข้าเมืองทองธานี 10.ศรีรัช ทางเข้าอิมแพค 11.เมืองทอง 1 ซ.แจ้งวัฒนะ 14 12.ศูนย์ราชการ หน้ากรมการกงสุลและการสื่อสาร 13.ทีโอที ซ.แจ้งวัฒนะ 5-7 14.หลักสี่ ใกล้ไอทีสแควร์ เชื่อมต่อสายสีแดง 15.ราชภัฏพระนคร หน้าห้างแม็กซ์แวลู และ ม.ราชภัฏพระนคร
16.วงเวียนหลักสี่ ใกล้อนุสาวรีย์หลักสี่ เชื่อมสายสีเขียว 17.รามอินทรา 3 ใกล้ห้างเซ็นทรัล 18.ลาดปลาเค้า ใกล้สะพานข้ามแยก 19.รามอินทรา 31 ใกล้ฟู้ดแลนด์ 20.มัยลาภ รามอินทรา ซ.12-14 21.วัชรพล ใกล้ซอยวัชรพล 22.รามอินทรา 40 ระหว่าง ซ. 40-42 23.คู้บอน แยกนวมินทร์ 24.รามอินทรา83 ใกล้ รพ.สินแพทย์ 25.วงแหวนตะวันออก หน้าแฟชั่นไอส์แลนด์ 26.นพรัตนราชธานี ใกล้แยกเข้าสวนสยาม 27.บางชัน รามอินทรา ซ.109-115 28.เศรษฐบุตรบำเพ็ญ 29.ตลาดมีนบุรี ถ.สีหบุรานุกิจใกล้ตลาดมีนบุรี และ 30.มีนบุรี ถ.รามคำแหง ซอย 192 ใกล้แยกร่มเกล้า จะเชื่อมกับสายสีส้ม
แนวเส้นทางเริ่มต้นจากหน้าศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรีเชื่อมกับสายสีม่วง วิ่งเข้า ถ.ติวานนท์และเลี้ยวขวาห้าแยกปากเกร็ด ผ่านถนนแจ้งวัฒนะ เมืองทองธานี ศูนย์ราชการ ผ่านแยกหลักสี่ เพื่อเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีหลักสี่ จากนั้นข้ามถนนวิภาวดี ไปสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เพื่อเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว และแล่นไปตามถนนรามอินทรา จนถึงแยกมีนบุรีแล้ววิ่งเข้าเมืองมีนบุรีตามถนนสีหบุรานุกิจข้ามคลองสามวา เลี้ยวขวาข้ามคลองแสนแสบ เข้าสู่ถนนรามคำแหงจนสิ้นสุดแถวแยกร่มเกล้า คาดว่าจะเสร็จปี 2563 เช่นกัน
●สายสีเหลือง
ลาดพร้าว–สำโรง
สายสีเหลืองจะก่อสร้างเป็นรถลอยฟ้าทั้งหมด 23 สถานี ระยะทาง 30.4 กม. ประกอบด้วย 1.รัชดาฯ 2.ภาวนา ปากซอยภาวนา ลาดพร้าว 41 3.โชคชัย 4 ลาดพร้าว 53 4.ลาดพร้าว 65 5.ฉลองรัชหน้าห้างอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว 81 6.วังทองหลาง หน้าโรงเรียนบางกอกศึกษา ลาดพร้าว 112 7.ลาดพร้าว 101 8.บางกะปิ ใกล้เดอะมอลล์ 9.แยกลำสาลี ด้านทิศใต้แยกลำสาลี 10.ศรีกรีฑา ด้านทิศใต้แยกศรีกรีฑา 11.พัฒนาการ ช่วงจุดตัดรถไฟและ ถ.พัฒนาการ 12.คลองกลันตัน หน้าธัญญาช็อปปิ้ง พาร์ค 13.ศรีนุช 14.ศรีนครินทร์ 38 15.สวนหลวง ร.9 กึ่งกลางห้างซีคอนสแควร์และพาราไดซ์ พาร์ค 16.ศรีอุดม 17.ศรีเอี่ยม เยื้องศุภาลัยปาร์ค 18.ศรีลาซาล 19.ศรีแบริ่ง 20.ศรีด่าน 21.ศรีเทพา 22.ทิพวัล ปากซอยหมู่บ้านทิพวัล และ 23.สำโรง ใกล้ตลาดเทพารักษ์
แนวเส้นทางเริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าใต้ดินที่แยกรัชดา-ลาดพร้าว จากนั้นวิ่งไปตามแนวถนนลาดพร้าว จนถึงทางแยกบางกะปิ และเลี้ยวขวาไปตามถนนศรีนครินทร์ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีส้มที่แยกลำสาลี ตัดข้ามแยกต่างระดับพระราม 9 สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ผ่านแยกพัฒนาการ แยกศรีนุช แยกศรีอุดมสุข แยกศรีเอี่ยม จนถึงแยกศรีเทพา จากนั้นเลี้ยวขวาไปทางทิศตะวันตก ตามแนวถนนเทพารักษ์ผ่านรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่สถานีสำโรง และสิ้นสุดบริเวณถนนปู่เจ้าสมิงพราย โดยคาดจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2563
●สายสีเขียวเข้ม
ยศเส–สนามกีฬาฯ–สะพานตากสิน–บางหว้า
ปิดท้ายกันด้วยส่วนต่อขยายสั้นของสายสีเขียวเข้ม ซึ่งปัจจุบันรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดให้บริการวิ่งทางยาวจากสถานีสนามกีฬาฯ-สถานีบางหว้า ระยะทาง 14 กม. แต่แผนหลังจากนี้ จะมีการขยายเส้นทางจากสถานีสนาม กีฬาแห่งชาติเพิ่มอีก 1 สถานีเพื่อวิ่งเข้าสู่สถานียศเส ระยะทาง 1 กม. มีจุดหมายเชื่อมต่อเส้นทางสีเขียวเข้ากับรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเข้มที่สถานียศเส ซึ่งจะเป็นสถานีเดียวของส่วนต่อขยายฝั่งตะวันตก เพราะแนวเส้นทางที่เหลือจากนั้น ส่วนใหญ่ทับซ้อนกับรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยคาดจะมีความชัดเจนในปี 2562
สรุปตบท้ายได้ว่า หากแผนลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้า 10 สาย ไม่มีเหตุต้องสะดุดอีก ใน 4–5ปีข้างหน้ารถไฟฟ้าเครือข่ายใยแมงมุมในเมืองหลวงจะกลายเป็นฝันที่เป็นจริง หลังจากคนเมืองกรุงนั่งฝันกลางวัน...รอกันมานานแล้ว.


ทีนิวส์แถลงการณ์ โต้เนชั่น

"ทีนิวส์"แถลงจุดยืนชัด!!!ฉะ"บิ๊กเนชั่น"พล่านหนักพาดพิง-ทำเสียหาย-ชี้"SLC"ซื้อNMGเป็นกลไกปกติ-ยึดกฎตลท.??
Cr:ทีนิวส์
วันนี้(6 ม.ค.) กองบรรณาธิการข่าว สำนักข่าวทีนิวส์ ได้ออกแถลงการณ์ กองบรรณาธิการข่าว สำนักข่าวทีนิวส์ ความว่า
เรื่อง ยืนหยัดบนอุดมการณ์กับพันธมิตรที่ไว้วางใจ
๑. ตามที่ ปรากฏข่าวสารขึ้น เมื่อ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ ว่า บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SLC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติอนุมัติเข้าลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 13.50 บาท และรับทราบการเข้าลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือNMG สัดส่วน 12.27% นอกจากนี้ ยังอนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจในการร่วมลงทุนในกลุ่มบริษัท ทีนิวส์ กับนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม โดยจะทำการศึกษาข้อมูลเพื่อตัดสินใจการในการร่วมการลงทุน และกำหนดโครงสร้างของการร่วมทุนให้เสร็จภายใน ๑๒ สัปดาห์ ก่อนตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย

๒. ซึ่งที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา หลังจาก ปรากฏข่าวสารขึ้น ก็นำไปสู่การ วิพากษ์วิจารณ์ และโต้ตอบ ของผู้บริหาร ของกลุ่ม บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตลอดจน กลุ่มบุคคล และ/หรือบุคคล ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ก็อยากแสดงตัว ว่าเป็นผู้รู้ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง ในการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งในการแสดงความคิดเห็น ของ กลุ่มบุคคล และ/หรือบุคคล นั้นมีส่วนพาดพิงสำนักข่าวทีนิวส์ ไปในทางที่ทำให้เกิดความเสียหายและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อสังคมจะด้วยเจตนาที่ดี แต่ปราศจากข้อมูลหรือมีเจตนาเพียงเพื่อต้องการอาศัยประเด็นนี้ในการสร้างกระแส ให้เกิดการยอมรับ และ/หรือความนิยม ต่อตนเอง และ/หรือองค์กรด้วยเจตนาที่ทุจริต

๓. จากกรณี ดังกล่าวนี้ กอง บก. สำนักข่าว ทีนิวส์ ขอชี้แจงไปยัง กลุ่มบุคคล และ/หรือบุคคล ที่มีความพยายามที่สื่อความหมาย โดยไม่สุจริต ตาม ข้อ ๒ และ ขอกราบเรียน ไปยังพี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งใน และต่างประเทศ ที่ได้ติดตาม และให้กำลังใจใน การนำเสนอข่าวของ สำนักข่าว ทีนิวส์ ภายใต้ อุดมการณ์ " เพื่อปกป้อง สถาบันพระมหากษัตริย์ และ ต่อต้านทุนสามานย์ ทุกรูปแบบ " ดังนี้
๔. การที่บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SLC ในการเข้าไป ลงทุนซื้อหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ถือว่าเป็นไปตามกลไกปกติของการซื้อขาย และ/หรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็อยู่ภายใต้การกำกับควบคุมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตัวบทกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

๕. ในส่วนของสำนักข่าวทีนิวส์นั้นตามที่ บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SLC เปิดเผยว่ากรรมการอนุมัติการทำบันทึกความเข้าใจในการร่วมลงทุนในกลุ่มบริษัท ทีนิวส์ กับนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม โดยจะทำการศึกษาข้อมูลเพื่อตัดสินใจการในการร่วมการลงทุน และกำหนดโครงสร้างของการร่วมทุนให้เสร็จภายใน ๑๒ สัปดาห์ ก่อนตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายนั้นเป็นความจริง และเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดความร่วมมือดังกล่าวกับ SLC คือ ก่อนหน้านั้น สำนักข่าวทีนิวส์ ก็ติดตามศึกษาดูรายละเอียด การบริหารงานของ SLC ต่อสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ ก็ไม่ปรากฏข้อมูลที่บ่งชี้ ถึงพฤติกรรม ของทุนในการเข้าแทรกแซงการบริหารงาน ของ สถานี และ/หรือ กองบก. แต่อย่างใด และภายใต้เงื่อนไงการลงทุนระหว่างสำนักข่าวทีนิวส์และ SLC นั้นยังได้มีข้อตกลงที่ให้นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม บริหารและกองบก.สามารถบริหารจัดการตามอุดมการณ์ต่อไป นอกจากนั้นเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ SLC ตัดสินใจเข้าลงทุนร่วมกับสำนักข่าวทีนิวส์ ก็คือโอกาสในทางธุรกิจ ที่จะเกิดขึ้นตามทิศทางการเจริญเติบโตของสำนักข่าวทีนิวส์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มที่ดีมาโดยตลอด และในกรณีการร่วมทุนดังกล่าว ก็จะยิ่งส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตของธุรกิจนั้นดียิ่งขึ้น และนำไปสู่การพัฒนา องค์กรและบุคลากรให้ยั่งยืนต่อไป
๖. ซึ่งก่อนหน้านั้นนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ในฐานะเจ้าของกิจการได้แจ้งถึงแนวทางดังกล่าวให้กับกองบก.ทราบล่วงหน้ามาตั้งเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ (หลังจากที่ คสช.อนุญาตให้เรากลับมาออกอากาศได้อีกครั้ง) เนื่องจากก่อนหน้านี้ต้องประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจในระหว่างที่สถานีโทรทัศน์ทีนิวส์ทีวี ไม่สามารถออกอากาศได้ และเมื่อออกได้อีกครั้งเราก็ต้องเจอกับปัญหาใหญ่ทั้งในส่วนของทางด้านเทคนิคและคู่แข่งทางการตลาด ในกลุ่มของดิจิตอลทีวีอีก 24 ช่อง ส่งผลให้การบริหารการขายโฆษณา ไม่เป็นไปตามเป้าและต้องประสบปัญหาการขาดทุนประจำเดือนอีกครั้ง ซึ่งเราก็ได้ร่วมกันหารือในเรื่องนี้อย่างละเอียดและรอบด้าน ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากนายสนธิญาณ ว่าการร่วมทุนดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานภายใต้ อุดมการณ์ที่ผ่านมาแต่อย่างใด ในด้านกลับกันจะเป็นการส่งเสริมเพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงนำไปสู่การทำบันทึกความเข้าใจ ระหว่างกัน

๗. นอกเหนือจากความคาดหวังว่าการร่วมทุนนั้นจะส่งผลให้สำนักข่าวทีนิวส์ได้ทำงานให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ตาม ข้อ ๖ แล้วนั้น และอีกประการสำคัญก็คือสำนักข่าวทีนิวส์ ประสบสภาวะขาดทุนหลังจาก ถูก คสช. ให้ระงับการออกอากาศชั่วคราว เป็นระยะเวลา ประมาณ ๒ เดือน และเราก็ไม่มีนายทุน และ/หรือ พรรคการเมืองที่สนับสนุนจึงทำให้นายสนธิญาณและกองบก.ไม่สามารถแบกรับภาระ และนำไปสู่การพัฒนาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตามรายละเอียด การดำเนินกิจการที่ผ่านมาดังนี้

๒๕๕๐ เริ่มต้นดำเนินธุรกรรมทางด้านข่าวสาร ในรูปแบบของการให้บริการ ข่าวด่วน ผ่านระบบ SMS ซึ่งถือได้ว่า ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก

๒๕๕๒ วิกฤตการเมือง “สงกรานต์เลือด ” เข้าสู่ การนำเสนอข่าวทางโทรทัศน์ “เจาะข่าวร้อน ล้วงข่าวลึก” ทาง ช่อง๑๑ เพื่อเปิดโปงและตอบโต้ระบอบทักษิณ และขบวนการล้มเจ้า
๒๕๕๓ วิกฤตการเมือง “ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ” ทาง ช่อง ๑๑ และ เพื่อเปิดโปง แผนการพาคนมาตาย และขบวนการล้มเจ้า

๒๕๕๓ เปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทีนิวส์ทีวี ภายใต้ อุดมการณ์ “ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อต้านทุนสามานย์ ทุกรูปแบบ ”

๒๕๕๔ หลัง เปลี่ยนผ่านรัฐบาลสำนักข่าวทีนิวส์ถูกสั่งให้ระงับการออกอากาศทาง ช่อง ๑๑ ซึ่งก็ได้นำคดี ขึ้นสู่ศาลปกครอง และสำนักข่าวทีนิวส์ ก็ได้รับการคุ้มครองให้ออกอากาศได้จนสิ้นสุดสัญญา (ยังอยู่ในสภาวะขาดทุนประจำเดือน)
๒๕๕๕ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทีนิวส์ทีวี เดินหน้านำเสนอข่าวสารภายใต้อุดมการณ์ที่ชัดเจน “ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านทุนสามานย์เผด็จการทักษิณ ” จนได้รับการยอมรับจากสังคมและผู้ชมทั้งในและต่างประเทศ ( ยังอยู่ในสภาวะขาดทุนประจำเดือน แต่ลดจำนวน การขาดทุนประจำเดือนลง )
๒๕๕๖ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมทีนิวส์ทีวี ก้าวสู่การเป็นอันดับ ๑ ของสถานีข่าวโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม โดยผลสำรวจของเอซี นีลเส็น ( พ้นจากสภาวะการขาดทุนประจำเดือน ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดมากจากการขายโฆษณา )

๒๕๕๗ หลัง คสช. เข้าควบคุมอำนาจ และระงับการออกอากาศชั่วคราว เป็นระยะเวลา ร่วม ๒ เดือน ( พฤษภาคม – กรกฎาคม ๒๕๕๗) ส่งผลให้ สำนักข่าวทีนิวส์ แต่เดิมที่มีรายได้จากการขายโฆษณา ต้องประสบปัญหาขาดรายได้และเมื่อกลับมาออกอากาศอีกครั้ง ก็มีการเปลี่ยนระบบการออกอากาศ จึงทำให้ส่งผลกระทบกับการรับชมเป็นอย่างมาก จึงส่งผลให้ผลประกอบการตั้งแต่กรกฎาคม – ธันวาคม ๒๕๕๗ รวมระยะเวลา กว่า ๖ เดือน ที่ สำนักข่าว ทีนิวส์ ต้องรับภาระการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า ๕๐ ล้านบาท
๘. หากสำนักข่าวทีนิวส์ ยังคงเดินหน้าเพื่อรอระยะเวลาให้ผลประกอบการทางธุรกิจดีขึ้นนั้นก็ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งก็อาจจะเป็นการนำพาเจ้าหน้าที่ และเพื่อนร่วมอุดมการณ์กว่า ๒๐๐ ชีวิต และอีกหลายครอบครัวสุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบหากสำนักข่าวทีนิวส์ต้องปิดตัวลง และ ถึงแม้ไม่ถึงขั้นที่จะปิดตัวลง ก็ อาจจะส่งผลกระทบกับคุณภาพของการทำงาน ดังนั้น ตามที่ได้ เรียนมาทั้งหมด คือเหตุผลของการตัดสินใจ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวสารดังกล่าว
๙. สำนักข่าวทีนิวส์ขอยืนยันว่า จะนำเสนอข่าวสารภายใต้อุดมการณ์เช่นเดิมไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ระยะเวลา จะเป็นเครื่องพิสูจน์


ครม. “ประยุทธ์” ตั้งรับอียูตัดจีเอสพี 6,200 รายการ สูญ 3 หมื่นล้าน


มติครม.วันอังคารที่ 6 มกราคม 2558ครม. “ประยุทธ์” ตั้งรับอียูตัดจีเอสพี 6,200 รายการ สูญ 3 หมื่นล้าน สั่งออกกฎคุมราคาสินค้าพุ่งสวนทางราคาน้ำมัน อนุมัติกฎหมาย 8 ฉบับตั้งกระทรวงดิจิทัลอิโคโนมี แก้ กม. ล้างท่อคอนโดค้างค่าส่วนกลาง 14,287 ยูนิต นักท่องเที่ยวเข้าไทยปีใหม่ 9 วัน 9.4 แสนคน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 มีการอนุมัติและรับทราบแผนงาน โครงการ และงบประมาณที่สำคัญ ตามที่ ร.อ. ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสักนายกรัฐมนตรี แถลงร่วมกับ พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีรายละเอียดดังนี้

ตั้งรับอียูตัดจีเอสพี 6,200 รายการ สูญ 3 หมื่นล้าน

พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวกับคณะรัฐมนตรีว่า กรณีที่ประเทศไทยถูกตัดสิทธิพิเศษจีเอสพีไม่อยากให้ทุกฝ่ายมองว่าเป็นเรื่องของความสูญเสีย เพราะการถูกตัดสิทธิพิเศษนี้สืบเนื่องมาจากประเทศไทยภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น สามารถขยับขึ้นมาเป็นประเทศรายได้ระดับปานกลาง ทางออกของประเทศไทยก็คือต้องเปลี่ยนการแข่งขันจากสินค้าที่มีต้นทุนราคาถูกมาเป็นการแข่งขันในเรื่องคุณภาพสินค้าแทน ซึ่งเรื่องนี้ยังเกี่ยวกับการพัฒนาการวิจัยและพัฒนาซึ่งได้มอบหมายให้นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ไปตั้งคณะทำงานในการทำงานร่วมกับภาคเอกชนในการเพิ่มจำนวนนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยเพื่อเพิ่มการสร้างนวัตกรรมใหม่ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ร่วมชี้แจงด้วยว่า การถูกตัดสิทธิพิเศษจีเอสพีของไทยจะไม่ส่งผลกระทบมากนักเนื่องจากมีสินค้าที่ได้รับผลกระทบไม่มากนัก และภาคเอกชนที่มีการส่งสินค้าไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศมีการเตรียมความพร้อมรองรับไว้แล้ว

ร.อ. ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานเรื่องการถูกตัดสิทธิ์จีเอสพีและแนวทางการดำเนินการของกรมการต่างประเทศให้ที่ประชุม ครม. รับทราบ โดยสาระสำคัญระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2558 จากการที่ไทยถูกจัดอันดับอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (upper middle Income countries) คือประชากรมีรายได้ต่อหัว 3,946–12,195 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันตามการจัดอันดับของธนาคารโลก ส่งผลให้ไทยถูกระงับสิทธิพิเศษจีเอสพีใน EU

ทุกรายการเป็นจำนวนสินค้ากว่า 6,200 รายการ ทั้งนี้ ในการตัดสิทธิในครั้งนี้มีประเทศที่ถูกตัดสิทธิ์พร้อมกับประเทศไทย ได้แก่ จีน เอกวาดอร์ และมัลดีฟส์

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศประเมินว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยคิดเป็นวงเงินประมาณปีละ 3 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของมูลค่าสินค้าที่ไทยส่งไปยัง EU หรือคิดเป็น

ผลกระทบ 0.4% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศไทยในแต่ละปี โดยมีสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูงคืออาหารทะเลแช่แข็ง เช่น กุ้ง ปลาหมึก รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ผลกระทบถือว่าอยู่

ในวงจำกัดเนื่องจากประเทศคู่แข่งของไทยในภูมิภาคถูกตัดสิทธิประโยชน์ทางจีเอสพีเช่นกัน ขณะที่สินค้าที่ไทยจะเสียภาษีเพิ่มขึ้นยังอยู่ในระดับต่ำ และประเทศในกลุ่ม EU ยังคงต้องนำสินค้า

หลายรายการเข้าจากประเทศไทยเป็นหลัก ประกอบกับเอกชนของไทยมีการปรับตัวรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในระดับหนึ่งแล้ว

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศและกรมการค้าต่างประเทศได้ทำงานร่วมกันในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ลดการพึ่งพาสิทธิประโยชน์จีเอสพีลงและเพิ่มทางเลือกในการดำเนิน

การธุรกิจ ได้แก่ 1. แนะให้เร่งหาตลาดใหม่ให้กับสินค้าไทย โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพจากการที่ไทยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรภายใต้ความตกลง FTA และมีแนวโน้มการเติบโตทาง

เศรษฐกิจที่ดี เช่น จีน เกาหลีใต้ อาเซียน กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกา

2. แนะนำให้ผู้ประกอบการไทยผันตัวเองเป็นนายหน้า (trader) โดยนำสินค้าจากประเทศที่ยังได้รับสิทธิจีเอสพี เช่น กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (หรือเรียกรวมว่า CLMV) ส่งออกไปยังสหภาพ

ยุโรป หรือย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV เป็นต้น และ 3. การเร่งรัดเจรจาความตกลง FTA กับสหภาพยุโรปให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากเป็นแนวทางที่จะทดแทนจีเอสพีได้อย่างยั่งยืน

สั่งพาณิชย์-มหาดไทย ออกกฎคุมราคาสินค้าแพง

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ ได้สั่งการในที่ประชุม ครม. ถึงข้อร้องเรียนจากประชาชนเรื่องราคาสินค้าอุปโภค บริโภค บางรายการมีราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็น ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยไปร่วมกันพิจารณาออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการควบคุมราคาสินค้า ซึ่งโดยหลักการให้ยึดจากราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นหลัก ให้เทียบเป็นสัดส่วนว่าสินค้าดังกล่าวเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันอย่างไร เมื่อราคาน้ำมันลดลง ราคาสินค้าควรจะต้องลดลงเท่าใด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สอบถามถึงตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ว่ามีเป้าหมายอยู่ที่เท่าใด ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในปีนี้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายตัวได้ 4% ซึ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ หลังจากที่ไตรมาส 1 ปี 2557 จีดีพีหดตัว -0.5% ไตรมาส2 ขยายตัวได้ 0.4% และไตรมาส 3 ขยายตัว 0.6% ขณะที่ไตรมาส 4 สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าทั้งปี 2557 จีดีพีจะขยายตัวได้ประมาณ 1% โดยนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกส่วนช่วยกันขยันทำงาน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

อนุมัติกฏหมาย 8 ฉบับ ตั้งกระทรวงดิจิทัลอีโคโนมี

ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎหมายเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลทั้งหมด 8 ฉบับ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศหรือไอซีทีได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งร่างกฎหมายทั้งหมด 8 ฉบับนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน นั่นคือ ส่วนที่เป็นการปรับปรุงกฎหมายฉบับเก่า และส่วนที่เป็นกฎหมายที่ร่างขึ้นมาใหม่

ในส่วนกฎหมายที่ต้องแก้ไขปรับปรุงมี 4 ฉบับ ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยการใช้การติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ในสัญญาระหว่างประเทศขององค์กรสหประชาชาติ (United Nations Convention on The Use of Electronic Communications in International Contracts) เพื่อลดอุปสรรคจากความแตกต่างของกฎหมายระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งมีการทำธุรกรรมที่มีการใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-document) อันจะเป็นประโยชน์ต่อการค้ามากขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลด้วย

ฉบับที่ 2 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จะมีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ครอบคลุมความผิดที่เกิดจากคอมพิวเตอร์โดยตรง โดยเพิ่มฐานความผิดเพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น เช่น การเผยแพร่ภาพอนาจารเด็ก การโจรกรรมข้อมูล การเผยแพร่ข้อมูลที่ส่งผลต่อความมั่นคง รวมถึงมีการประสานงานความผิดด้านอื่นอย่างการค้ายาเสพติดหรือการพนันออนไลน์ด้วย พร้อมให้เจ้าหน้าที่ได้ฝึกอบรมและเพิ่มมาตรการที่ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามผู้กระทำความผิดได้เพิ่มมากขึ้นโดยเชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการ โดยมีสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติเป็นหน่วยงานกลาง

ฉบับที่ 3 ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จะมีการกำหนดให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกสทช. เหลือเพียง 1 ชุด ซึ่งต้องทำตามนโยบายของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ กสทช. มีหน้าที่จัดทำแผนแม่บทในการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม และแผนกำกับการใช้ความถี่วิทยุให้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่คณะกรรมการดิจิทัลฯ กำหนด ส่วนการกำหนดนโยบายภาพใหญ่ด้านบริหารคลื่นจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ฉบับที่ 4 ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยจะมีการปรับปรุงเพิ่มอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นองค์การมหาชน ให้

สามารถเข้าถือหุ้นกับองค์กรเอกชนอื่น เพื่อทำงานร่วมกับเอกชนก่อนได้ระหว่างรอพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

ส่วนกฎหมายที่มีการร่างขึ้นใหม่มีอีก 4 ฉบับด้วยกัน ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบ

ต่อความมั่นคง พร้อมตั้งคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เพื่อกำหนดแผนแม่บท แนวทาง และมาตรการเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพทาง

เศรษฐกิจและความมั่นคง โดยมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง (Center of Command) ในการดำเนินงานกับหน่วยงาน

อื่นๆ แต่ในช่วงปีแรกให้สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ทำหน้าที่ไปพลางๆ ก่อน

ฉบับที่ 2 ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการและพระราชบัญญัติข้อมูลเครดิต โดยมีการ

ตั้งคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งมีการกำหนดการใช้หรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้รั่วหลุดออกไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง และมีบทลงโทษหากมีการฝ่าฝืน ทั้งยังมีการกำหนด

ให้มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแห่งชาติ โดยให้คณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เป็นองค์กรสนับสนุน
ฉบับที่ 3 ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล มีการตั้งคณะกรรมการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการลงทุน การผลิต และการให้บริการได้มาตรฐานสากล รวมถึง

การตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ประเภทองค์การมหาชน โดยมีเลขาธิการสำนักงานขึ้นตรงต่อคณะกรรมการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมและ

พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ อุตสาหกรรมเนื้อหา (digital content) ให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ โดยในวาระเริ่มแรกให้ประธานกรรมการบริหารสำนักงานส่งเสริม

อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติทำหน้าที่เลขาธิการไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้

และฉบับที่ 4 ร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ เพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนสำหรับการอุดหนุน กู้ยืม ให้ความช่วยเหลือ และจัดสรรให้หน่วยงานของรัฐ เอกชน และ

ประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลและสังคม โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติโครงการต่างๆ ซึ่งมีกองทุนการวิจัย ลงทุน

พัฒนา โดยมีเงินจากรัฐบาล เงินตามกฎหมาย กสทช. รวมถึงมีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลด้วย

นอกจากร่างกฎหมาย 8 ฉบับข้างต้นแล้ว มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องผ่านมติคณะรัฐมนตรีไปแล้ว 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีการตั้งคณะกร

รมการดิจิทัลขึ้นมาเพื่อกำหนดนโยบาย พร้อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีก 5 ด้าน เพื่อติดตามและประเมินผล และร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม โดยมีการตั้งกระทรวงดิจิทัลอิโค

โนมี ตั้งสำนักงานเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งทำหน้าเป็นฝ่ายเลขาฯ ของคณะกรรมการดิจิทัล

ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/media-centre/060115_tro/060115tro-53047.html
ที่มาภาพ : http://www.thaigov.go.th/th/media-centre/060115_tro/060115tro-53047.html
แก้กฎหมายแพ่ง-ล้างท่อคอนโดค้างค่าส่วนกลาง 14,287 ยูนิต
พล.ต. สรรเสริญกล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติในหลักการ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในส่วนของการบังคับคดี โดยมีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้

ซื้อห้องชุดจากการขายทอดตลาดไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่เจ้าของเดิมค้างชำระ ก่อนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของห้องชุดเดิม โดย

นิติบุคคลอาคารชุดสามารถใช้สิทธิ์ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์เหนือห้องชุดเพื่อขอรับการชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีทรัพย์สินประเภทห้องชุด อาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม ที่ผู้ซื้อไม่มีกำลังจ่ายเงิน ค้างค่างวด และค่าบริการส่วนกลาง สุดท้ายต้องถูกฟ้องร้อง บังคับคดี โดยจากการสำรวจพบว่า มี

ทรัพย์สินประเภทห้องชุดที่ยังคงค้างดำเนินการอยู่ในชั้นบังคับคดี ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้จำนวน 14,287 รายการ คิดเป็น 8.4% ของทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมด มีราคาประเมินรวม 62,172 ล้านบาท

คิดเป็น 26.33 ของราคาประเมินทั้งหมด ซึ่งห้องชุดที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มักไม่เป็นที่สนใจของตลาดเท่าที่ควร เพราะผู้ซื้อจะต้องรับผิดชอบในค่าภาระส่วนกลางค้างชำระ

ส่วนห้องชุดที่เคาะขายทอดตลาดไปแล้ว มักมีปัญหาในขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์ เพราะผู้ซื้อไม่สามารถนำใบปลอดหนี้จากนิติบุคคลอาคารชุดไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ที่สำนักงาน

ที่ดินได้ เนื่องจากสาเหตุหลายประการ เช่น ไม่มีนิติบุคคลอาคารชุดที่จะออกใบปลอดหนี้ไห้ได้ หรือหนี้ค่าภาระส่วนกลางค้างชำระมีจำนวนสูงเกินควร ซึ่งผู้ซื้ออาจจะไม่ทราบว่ามีค่าส่วนกลางที่

ค้างชำระ เมื่อลดปัญหาเหล่านี้ไปได้ การซื้อขายห้องชุดจะดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น จะช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจากการซื้อขายห้องชุดได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในส่วนของการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยสาระสำคัญของร่างพระราช

บัญญัตินี้ ได้กำหนดประเภทของทรัพย์ที่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เนื่องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันเป็นการบังคับคดีอสังหาริมทรัพย์และสังหาริม

ทรัพย์มีรูปร่างเท่านั้น เช่น บ้าน ที่ดิน เงิน ทอง ยังไม่ครอบคลุมถึงสังหาริมทรัพย์ไม่มีรูปร่างซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น หุ้น สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า สัญญาซื้อขายทองล่วงหน้า เพื่อให้เจ้าหนี้

ตามคำพิพากษาสามารถได้รับชำระหนี้อย่างเต็มสิทธิจากทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ซึ่งฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำบังคับในคำพิพากษาของศาล

ขณะเดียวกัน ยังกำหนดการใช้สิทธิของผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี โดยแยกประเภทของผู้มีส่วนได้เสียอย่างชัดเจน ได้แก่ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์

เจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือบุคคลที่มีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวกับทรัพย์ที่ถูกบังคับคดี รวมทั้งกำหนดให้อำนาจการบังคับคดีและความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบ

ความชอบด้วยกฎหมายและดุลพินิจโดยศาลยุติธรรมเท่านั้น ไม่อาจถูกฟ้องให้ต้องรับผิดต่อศาลปกครองได้ และลดขั้นตอนให้ระยะเวลาในการบังคับคดีมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น การขายทอด

ตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากศาลก่อน โดยขั้นตอนการดำเนินการเฉลี่ยปกติจะใช้เวลา 1-1.5 ปี หรือกว่า 450 วัน ทั้งนี้ ร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับจะให้ส่งสำนัก

งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือวิปพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ต่อไป

เปลี่ยนใช้เงินเฟ้อทั่วไปแทนเงินเฟ้อพื้นฐานกำหนดนโยบายการเงิน
คณะรัฐมนตรีอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินปี 2558 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ หลังจากเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557 ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้แทนคณะกรรมการ

นโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประชุมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังและได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกัน ในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2558 โดยข้อตกลงมีสาระสำคัญดังนี้

คือ เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2558 ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2558 อัตรา 2.5% สามารถเบี่ยงเบนไปจากค่ากลางนี้ได้ บวกลบ 1.5% หลังจากที่ในปี 2552-2557 ที่ผ่านมา กำหนด

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่าง 0.5-3.0%

สำหรับการใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นดัชนีเป้าหมายแทนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะช่วยสะท้อนค่าครองชีพของประชาชนได้ดีขึ้น และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเป็นดัชนีที่ครัวเรือนและธุรกิจใช้อ้างอิงใน

ชีวิตประจำวัน จึงเอื้อต่อการสื่อสาร ง่ายต่อความเข้าใจ และสามารถยึดเหนี่ยวการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ดีกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่ได้นำราคาเชื้อเพลิงและอาหารมาคำนวณด้วย ขณะเดียวกัน

การกำหนดระยะเวลาของเป้าหมายให้ยาวขึ้นจากรายไตรมาสเป็นรายปีจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของนโยบายการเงินในการรองรับปัจจัยที่ไม่คาดฝันต่างๆ ง่ายต่อการสื่อสารและสอดคล้องกับระยะ

เวลาที่ใช้ในการส่งผ่านนโยบายการเงินซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 4-8 ไตรมาส รวมถึงการทบทวนเป้าหมายนโยบายการเงินที่ทำเป็นประจำทุกปีด้วย

นักท่องเที่ยวเข้าไทยปีใหม่ 9 วัน 9.4 แสนคน
ร.อ. ยงยุทธ กล่าวว่า นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานที่ประชุม ครม. ให้รับทราบตัวเลขนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลปีใหม่รวม 9 วัน นับจากวันที่ 27 ธ.ค. 2557 – 4 ม.ค.

2558 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวไทย 947,038 คน เพิ่มขึ้น 7.2% หรือเฉลี่ยวันละ 105,226 คน เพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2557 มีต่างชาติเดินทางเข้าไทย 883,412 คน เฉลี่ย

วันละ 98,157 คน ขณะที่คนไทยเดินทางออกนอกประเทศ 471,435 คน ลดลง 3.04% หรือเฉลี่ยวันละ 52,382 คน เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2557 มีคนไทยไปต่างประเทศ 486,225 คน หรือ

วันละ 54,025 คน

ขณะเดียวกัน ได้รายงานสถานการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยตลอดทั้งปี 2557 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 24.7 ล้านคน ลดลง 6.6% จากปี 2556 และก่อให้เกิดรายได้ 1.13 ล้าน

ล้านบาท ลดลง 5.8% โดยเหตุผลสำคัญของการหดตัวเป็นผลจากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทำให้ลดลง 10% อย่างไรก็ตาม พบว่ารายได้ต่อทริปของนักท่องเที่ยว 46,541

บาท เพิ่มขึ้น 2.35% สะท้อนว่ายังคงมีคุณภาพไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ส่วนคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศในปี 2557 มี 6.61 ล้านคน ขยายตัว 10.8% ก่อให้เกิดจ่ายด้านการท่องเที่ยว 117,000

ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากปีที่ผ่านมา โดยมีค่าใช้จ่ายต่อทริป 25,947 บาท

ด้านสถานการณ์ท่องเที่ยวในประเทศ ตลอดปี 2557 มีคนไทยเดินทางท่องเที่ยว 136 ล้านคน/ครั้ง ก่อให้เกิดรายได้ 680,000 ล้านบาท ขยายตัว 3% จากปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อรวมรายได้จากการท่อง

เที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศและคนไทยเที่ยวในประเทศ ทำให้มีรายได้รวม 1.81 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 2 ล้านล้านบาท

ส่วนแนวโน้มปี 2558 กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬายังคงมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมายรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ เกิดการจ้างงานและกระจายรายได้สู่ภูมิภาค

จึงวางเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 29 ล้านคน สร้างรายได้ 1.40 ล้านบาท และคนไทยเที่ยวในประเทศ 139 ล้านคน/ครั้ง เกิดรายได้หมุนเวียน 800,000 ล้านบาท

คำนูน งง กปปส.เปลี่ยนไป ไม่เอานายกฯคนนอก

กปปส.เปลี่ยนไป! "คำนูณ"มึน ทำไมอยู่ดีๆไม่เอา "นายกฯคนนอก"
จากกรณีเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกกลุ่มกปปส. กล่าวถึงข้อเสนอของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีไม่ต้องเป็นส.ส. ว่า "ทางกปปส.นั้นไม่เห็นด้วยนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้เป็นส.ส. เนื่องจากเป็นการเปิดทางให้นายทุนเข้าสู่การเมือง จ้างเงินซื้อโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะยิ่งสร้างปัญหากว่าอดีต"
ทั้งนี้ ยังมองว่าปัญหาของประเทศไม่ได้เกิดจากระบบทั้งหมด แต่เกิดขึ้นจากตัวบุคคล ดังนั้น ต้องมุ่งแก้ไปที่ตัวบุคคล อย่างการทุจริตการเลือกตั้ง คดีต้องไม่มีอายุความ และต้องเพิ่มโทษให้รุนแรงอย่างตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต ขณะเดียวกันสิ่งที่ควรกำหนดคือต้องสร้างระบบพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง เป็นสถาบันการเมือง และเป็นหลักประกันว่าระบบใหม่จะมีการเมืองที่เข้มแข็ง ประชาชนพึ่งพาได้ เพราะการทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ จะยิ่งทำให้นักการเมืองเข้มแข็งมีการใช้อำนาจ และทุนเข้ามาสร้างอำนาจต่อรอง
ขณะเดียวกัน ล่าสุดวันนี้ (5 ม.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kamnoon Sidhisamarn ในประเด็นเรื่องการเปลี่ยนท่าที่ของ กปปส. ต่อในเรื่อง "ที่มาของนายกรัฐมนตรี" ดังนี้
ข้อสรุปเบื้องต้นของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียใหม่ โดยไม่บัญญัติบังคับว่าจะต้องเป็นส.ส.เท่านั้น ก่อให้เกิดเสียงไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวางพอสมควร "โดยเฉพาะจากนักการเมือง"
แม้แต่โฆษกกปปส.ก็ไม่เว้น !
โดยบอกในทำนองว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอย่าได้อ้างกปปส. !!
ประเด็นนี้ ผมฟังจากข่าวค่ำของช่อง 9 อ.ส.ม.ท.คืนนี้เอง หากผิดพลาดไม่ครบถ้วนประการใดต้องขออภัย แต่ก่อนหน้านี้ หัวหน้าพรรคของท่านโฆษก กปปส. ก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ในระดับหนึ่งมาแล้ว !!
การที่ฟากฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยกับประเด็นเปิดกว้าง ไม่บังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.เท่านั้น พอเข้าใจได้ เพราะเป็นจุดยืนเดิมมาโดยตลอดช่วงวิกฤตเกือบ 10 ปีมานี้
จุดยืนที่เห็นว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง อะไรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยทั้งสิ้น จุดยืนนี้ถูกหรือผิดหรือมีที่มาอย่างไรเป็นเรื่องหนึ่ง ณ ที่นี้ เพียงแต่บอกว่าฟากฝั่งนี้ยืนอย่างนี้มาโดยตลอด ครั้งนี้ยืนอยู่จุดเดิมอีกจึงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก
แต่กับอีกฟากฝั่งหนึ่ง มามีความเห็นตรงกันกับฟากฝั่งที่ต่อสู้ทางการเมืองมาโดยตลอดนี่ผมยังต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจอยู่
ผมไม่เคยได้ยินกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคนใดอ้างกปปส. ได้ยินแต่ว่าการกำหนดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีให้เปิดกว้างไว้ย่อมจะดีกว่า เพราะในบางสถานการณ์ประเทศอาจมีความจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากส.ส. แล้วก็ยกตัวอย่างเหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และเหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มีการเรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนกลางและไม่ได้มาจากส.ส.เพื่อแก้ไขวิกฤต แต่ไม่สำเร็จ เพราะทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐธรรมนูญ 2540 บังคับไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากส.ส.เท่านั้น
ช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กระบวนการเรียกร้องที่อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2549 กล่าวว่าสามารถทำได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเพราะมีมาตรา 7 รองรับไว้ แต่หลังจากปรากฎกระแสพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 เหตุผลเรื่องมาตรา 7 เป็นอันตกไป ไม่มีใครพูดถึงอีก
ในช่วงก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีข้อเรียกร้องให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 รักษาการประธานวุฒิสภา ใช้ความกล้าหาญทูลเกล้าฯ เสนอชื่อผู้เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทั้งประกาศบนเวที และนำมวลมหาประชาชนกปปส. เดินขบวนมาถึงรัฐสภาเพื่อให้กำลังใจและให้แก้วิกฤตด้วยวิธีดังกล่าว โดยเลขาธิการกปปส.ได้เข้าพบรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นการเฉพาะด้วย
การเรียกร้องให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เสนอชื่อบุคคลผู้เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่หลังเดือนธันวาคม 2556 เป็นต้นมา ก็เท่ากับต้องเสนอ "ผู้ที่ไม่ได้เป็นส.ส.สถานเดียว" เพราะขณะนั้นไม่มีส.ส.เหลืออยู่สักคนเดียว เพราะมีการยุบสภาแล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับช่วงเดือนมีนาคม 2549
โฆษกกปปส.ควรถามเลขาธิการกปปส.ในข้อเสนอที่ประกาศออกมาหลายครั้งหลายหน
เช่นเดียวกับควรถามหัวหน้าพรรคของท่านถึงเหตุการณ์ในช่วงเดือนมีนาคม 2549 ว่าท่านเคยแสดงความเห็นไว้อย่างไร และข้อเสนอนั้นเป็นไปไม่ได้ในเวลาต่อมาเพราะอะไร
ก็จะได้ความจริงในอดีต 2 ครั้ง ว่าในบางสถานการณ์ประเทศมีความจำเป็นต้องได้นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากส.ส.หรือไม่ อย่างไร
และสถานการณ์นั้นหมดไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ? คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทุกคนจะได้รับฟังให้ชัดเจนแล้วนำไปประกอบการพิจารณา

เกมสกุลเงินมหาอำนาจล้มพญาอินทรีย์


Petro Currency หลักกู ของพญาอินทรี เจอศึกหนัก พญามังกร กับพญาหมีขาว จับมือกันโยกคลอน ไม่ถือครองดอลลาร์สหรัฐ แลกเปลี่ยนเป็นทองคำหมด ทำให้" เงินดอลลาร์สหรัฐ " ที่เคยเป็นเงินสกุลหลัก ในระบบการค้าน้ำมันโลก เริ่มสั่นคลอน เงินทุนที่ไหลเวียน ในวงจรการค้าน้ำมันโลก ที่เคยมีแต่เปโตรดอลลาร์ เท่านั้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “กาซปรอม” ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของรัสเซีย ยกเลิกการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในบัญชีทั้งหมด จะหันมาใช้สกุลเงินรูเบิลของตัวเองกับ สกุลเงินหยวนแทน โดยจะนำร่องการซื้อขายแบบใหม่นี้ กับรัฐบาลและบริษัทเอกชนของจีน อย่างเต็มรูปแบบ
ธนาคารกลางจีน เตรียมเลิกใช้ดอลลาร์สหรัฐ ในการอ้างอิงเงินหยวน ใช้ระบบมาตรฐานทองคำ
ขณะนี้เงินหยวนผูกกับดอลล่าร์สหรัฐ อย่างเหนียวแน่น การที่จีนจะทิ้งดอลลาร์ โดยจะกลับไปใช้ทองคำอ้างอิงแทน แสดงว่าจีนต้องการตอบโต้ QE ของสหรัฐฯ ที่พิมพ์เงินออกมาเปล่าๆใช้หนี้ ทำให้ค่าเงินเสื่อม คนที่ถือดอลลาร์สหรัฐ ในที่สุดจะเจ็บตัว
อดีตประธานาธิบดี หูจิ่งเทา ของจีน เคยประกาศเอาไว้ ในช่วงเดินทางไปเยือนอเมริกา ตั้งแต่ปี 2011 มาแล้ว ว่า “ระบบเงินตราของโลก ที่ถูกครอบงำด้วยเงินสกุลดอลลาร์ อยู่นั้น ถือเป็นผลผลิตของอดีต และการสิ้นสุดของสิ่งเหล่านี้ กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานไม่ช้า...”
การเปลี่ยนสกุลเงินถือครองในเงินสำรอง ระหว่างประเทศนั้น จะเป็นจุดเริ่มต้นความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคตเพราะเมื่อแต่ละประเทศ เลิกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลอ้างอิง ระบบเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็อาจจะพังทลายลงได้ โดยเงินสกุลใหม่ไม่ว่าจะเป็นรูเบิล, หยวน หรือยูโร ก็อาจจะถูกอ้างอิงแทนทองคำในเวลาต่อมา ภาพที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อไป คือ การต่อสู้ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การโจมตีค่าเงิน อาจจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก
นึกถึงหลวงตามหาบัวขึ้นมาเลย !!!


สถานการณ์ข่าว6ม.ค.58

Jab06Jan15

สปช./กมธ.ยกร่าง

"เทียนฉาย" นัดสมาชิกประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อพิจารณาวาระสำคัญในโครงการปฏิรูปเร็ว 2 เรื่อง

นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ นัดสมาชิกประชุมในเวลา 09.30 น. โดยมีระเบียบวาระการประชุม จำนวน 2 เรื่อง ซึ่งเป็นรายงานศึกษาในโครงการปฏิรูปเร็วโดยไม่ต้องรอรัฐ
ธรรมนูญ คือ รายงานพิจารณาศึกษาเรื่อง การกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลา การใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที ที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค พิจารณาเสร็จแล้ว และรายงานพิจารณาศึกษาเรื่อง สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติกับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลของประเทศ ในระยะเปลี่ยนผ่านของคณะกรรมการการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ที่คณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ พิจารณาเสร็จแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติคนใดประสงค์จะขอปรึกษาหารือให้แจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่ในห้องประชุมได้ ตั้งแต่เวลา 08.00-09.00 น. ซึ่งเจ้าหน้าที่จะจัดเรียงลำดับ ตามเวลาการยื่น
โดยสมาชิกมีเวลาการปรึกษาหารือ ท่านละไม่เกิน 2 นาที
---------------
"อลงกรณ์" ระบุเร็วเกินไปที่จะประเมินว่าข้อเสนอ สปช. ถูกบัญญัติไว้ใน รธน.ใหม่อย่างไรบ้าง รอดูรายละเอียดหลัง 12 ม.ค.

นายอลงกรณ์ พลบุตร สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะเลขานุการกรรมาธิการกิจการ สปช. (วิป สปช.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ในวันที่ 8 มกราคมนี้ จะมีการประชุมของคณะกรรมการประสานงาน ที่เป็นประธานของคณะกรรมาธิการแต่ละคณะ เพื่อกำหนดทิศทางในการทำงานตลอดปี 2558 รวมถึงเตรียมจัดสัมมนาประชุมเชิงปฏิบัติการวิสัยทัศน์ครั้งที่ 2 ที่ต่อเนื่องจากการวางวิสัยทัศน์ 20 ปี ของประเทศ ให้มีความสอดคล้องกับการปฏิรูปเร็ว และการปฏิรูปใน 1 ปี และการจัดทำพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศต่อไป

พร้อมกันนี้ นายอลงกรณ์ ยังกล่าวด้วยว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมิน หรือสรุปว่าข้อเสนอของ สปช. จะถูกบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไรบ้าง แต่ยืนยันว่า สปช. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญนั้นทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องข้อเสนอจะถูกบรรจุอยู่ในส่วนใดบ้างนั้น คงต้องรอหลังวันที่ 12 มกราคมไปแล้ว ที่จะมีการพิจารณารายมาตรา รวมถึงย้ำว่า รธน.ฉบับใหม่นี้ แตกต่างจากทุก ๆ ฉบับในอดีต เพราะจะมีหมวดของการปฏิรูปและปรองดองถูกบัญญัติไว้อย่างชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศ
----------------
สปช. ทยอยเดินทางประชุม ขณะ "เจตน์" ยังไม่ยืนยัน "ยิ่งลักษณ์" แถลงเปิดคดีด้วยตนเอง คาด วิป สนช. พิจารณาคดีถอดถอน 38 อดีต ส.ว. บ่ายนี้ 

บรรยากาศก่อนการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ล่าสุด สมาชิก สปช. เริ่มทยอยเตรียมตัวประชุมที่จะเริ่มขึ้นในเวลา 09.30 น. โดยจะพิจารณะวาระสำคัญ 2 เรื่อง ขณะเดียวกันในช่วงบ่ายมีประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. โดย นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะโฆษกวิป สนช. เปิดเผยว่า สำนวนคดีถอดถอนอดีต 38 ส.ว. กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว. ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฉบับสมบูรณ์ได้ส่งมาทาง สนช. แล้ว คาดว่า จะนำเข้าพิจารณาในช่วงบ่ายวันนี้

นอกจากนี้ นายแพทย์เจตน์ ยังกล่าวว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันจาก น.ส.ยิ่งลักษ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะมาชี้แจงข้อกล่าวหาด้วยตนเองหรือไม่ ซึ่งต้องรอให้ทาง น.ส.ยิ่งลักษ์ แจ้งมาก่อน
-------------------
สปช. เริ่มประชุมแล้ว พิจารณารายงานการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ของ กมธ.ปฏิรูปคุ้มครองผู้บริโภค

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ล่าสุด เปิดการประชุมแล้ว เพื่อพิจารณาวาระที่กรรมาธิการพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน 2 เรื่อง โดยเฉพาะรายงานพิจารณาศึกษาการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริง โดยคิดเป็นวินาที ตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติพิจารณาแล้วเสร็จ เนื่องจากในปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอัตราที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ให้บริการ โดยผู้ใช้บริการจะถูกเก็บค่าบริการเป็นนาที แม้จะใช้งานจริงต่อครั้งไม่ถึงนาที ส่งผลให้ผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้งาน จึงสมควรที่ต้องกำหนดมาตรการคุ้มครองสิทธิ์ให้กับผู้ใช้บริการโดยต้องจ่ายค่าบริการตามจริง
------------------
"สารี" ชี้แจงที่ประชุมพิจารณากำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ชี้หากคิดตามจริงเป็นวินาทีประหยัดเงิน 40,392 ล้านบาท/ปี

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่มี นางสาวทัศนา บุญทอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม ล่าสุด เข้าสู่การพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามที่ระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริง โดยคิดเป็นวินาที ตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติ พิจารณาแล้วเสร็จ โดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง ประธานกรรมาธิการ ได้ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า ประชากรไทยรวม 67.9 ล้านคน แต่มีผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถึง 94.3 ล้านคน มีการชำระค่าบริการล่วงหน้าแบบเติมเงิน 82.3 ล้านคน และชำระแบบรายเดือน 11 ล้านคน

ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ประเทศไทยใช้บริการเครือข่าย 3 ค่ายหลัก คือ เครือข่ายเอไอเอส เครือข่ายดีแทค และเครือข่ายทรู ขณะเดียวกัน ได้เปรียบเทียบตัวอย่างในอินเดียที่คิดเป็นวินาที จะได้รับการยืนยันทางข้อความ หรือเอสเอ็มเอส ในระบบเติมเงินว่า มียอดเงินคงเหลือเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม การคิดค่าบริการโดยคิดตามจริงเป็นวินาที จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย 40,392 ล้านบาทต่อปี
--------------------
 การประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ วันนี้ พิจารณารายงานในโครงการปฏิรูปเร็ว 2 เรื่อง โดยไม่ต้องรอรัฐธรรมนูญ โดยภาคเช้าที่ประชุมเห็นชอบรายงานที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค
เสนอ คือ การกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่มีนางสาวทัศนา บุญทอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยมีระเบียบวาระการประชุม จำนวน 2 เรื่อง ซึ่งเป็นรายงานศึกษาในโครงการปฏิรูปเร็ว โดยไม่ต้องรอรัฐธรรมนูญ คือ รายงานพิจารณาศึกษาเรื่อง การกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลา การใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที และรายงานพิจารณาศึกษาเรื่อง สมัชชาคุณธรรมแห่งชาติกับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรมและ ธรรมาภิบาลของประเทศ ในระยะเปลี่ยนผ่าน

จากนั้น นางสาวสารี อ๋องสมสหวัง ประธานกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติ ชี้แจงรายงานพิจารณาศึกษาการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาที ต่อที่ประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ เนื่องจากในปัจจุบันผู้ประกอบการธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอัตราที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ให้บริการ

ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นผู้ใข้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงให้ได้รับความเป็นธรรม จึงมีข้อเสนอให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว หรือ QUICK WIN โดยขอให้ สปช. ให้ความเห็นชอบในหลักการของรายงานศึกษา พร้อมขอให้ส่งเรื่องไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. รวมถึงการส่งความเห็นไปยัง กสทช.  ด้วย ขณะที่สมาชิก สปช. อภิปรายสนับสนุนหลักการและแนวคิดดังกล่าว และสิ่งสำคัญต้องปฏิรูป กสทช. เนื่องจากที่ผ่านมา ปล่อยให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง
----------------------
สปช. เห็นชอบรายงานศึกษาการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่คิดตามจริงเป็นวินาที 211 ต่อ 3 เสียง พิจารณาต่อสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ

บรรยากาศการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ล่าสุด ให้วามเห็นชอบรายงานพิจารณาศึกษาการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริงโดยคิดเป็นวินาทีของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค ด้วยคะแนน 211:3 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง รวมถึงเห็นขอบข้อสังเกตของสมาชิก สปช. ที่แสดงความจำนงอภิปรายด้วยคะแนน 213:1 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง จากนั้นที่ประชุมพิจารณารายงานพิจารณาศึกษาเรื่องสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติกับการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลของประเทศในระยะเปลี่ยนผ่านของคณะกรรมการการปฏิรูปคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ พิจารณาเสร็จแล้วต่อทันทีโดยสาระสำคัญเพื่อให้มีการจัดตั้งสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ให้เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหลักนิติธรรมและการส่งเสริมการสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในทุกภาคส่วนและทุกระดับในระยะยาว
------------------
กมธ.ยกร่าง รธน.ชุดใหญ่ รอฝ่ายเลขาฯ ยกร่างเบื้องต้น ก่อนนำเข้าที่ประชุม พิจารณารายมาตรา 12 ม.ค. นี้ มั่นใจ เสร็จตามกรอบ 

นายสุจิต บุญบงการ รองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 3 เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า การทำงานยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนของการให้ฝ่ายเลขานุการของ กมธ. ดำเนินการยกร่างเบื้องต้น ตามกรอบที่ กมธ. ได้มีมติไปแล้ว และนำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ เพื่อพิจารณาในรายมาตรา ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค. เป็นต้นไป และมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้เสร็จทันตามกรอบก่อนส่งกรานต์อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ นายสุจิต ย้ำว่า ในการพิจารณารายมาตรานั้นจะมีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก และจะมีการนำความเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่นำเสนอมาเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติมด้วย โดยเบื้องต้นจะเริ่มจากหมดพระมหากษัตริย์ และหมวดสิทธิหน้าที่ของประชาชน
---------------------
คณะรัฐบุคคล เสนอ การยกร่าง รธน. ควรคำนึงถึงการหาทางแก้วิกฤติของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเหมือนช่วงที่ผ่านมา

พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะประธานคณะรัฐบุคคล ได้แถลงข่าวเรื่อง "เสนอให้ใช้บทเรียนจากของจริงเพื่อการปฏิรูปให้สามารถแก้ไขวิกฤติทางการเมืองได้" ณ ห้องสมุดชั้น 8 อาคารเรสซิเดนซ์ เพลส สยามอินเตอร์คอนติเนนตัล โดยทางคณะรัฐบุคคล มีความเป็นห่วงว่า การร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อการปฏิรูปที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น ควรคิดถึงว่าเมื่อเกิดวิกฤติทางการเมืองสูงสุดอย่างที่ผ่านมา ที่ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ มีความขัดแย้งกัน สถาบันที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชน คือ สถาบันพระประมุข และกองทัพของจอมทัพ ดังนั้น จึงเสนอให้มีการบัญญัติให้ชัดเจนว่า องค์พระประมุข จะต้องปฏิบัติอย่างไร เมื่อเกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองขึ้น โดยได้เสนอให้ใช้สถาบันกองทัพ หรือรัฐบุรุษ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเพื่อให้เป็นไปในหลักจารีตประเพณีฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหาร และฉีกรัฐธรรมนูญ เหมือนที่ผ่านมาอีก
----------------------
นายกฯ มอบ "วิษณุ-สุวพันธุ์" ประสาน สนช. - สปช. หลังพบ 2 ฝ่าย มีข้อมูล ปฏิรูปประเทศ ไม่เพียงพอ 

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้สั่งการโดยมอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย และ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้พูดคุยประสานงานกับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เนื่องจากภายหลังจากการติดตามการทำงานพบว่า ในหลายกรณีทั้งสองฝ่าย มีข้อมูลที่ไม่เพียงพอในการปฏิรูปประเทศ จึงต้องมีการให้ข้อมูลเพิ่มเติมและแลกเปลี่ยนข้อมูลบรรทัดฐานในการปฏิรูป ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
/////////////////
ปปช.ภอดถอน

ป.ป.ช. ถกเตรียมความพร้อมแถลงเปิดคดีถอดถอน "ยิ่งลักษณ์" พร้อมเตรียมออกแถลงการณ์โต้ "สุรพงษ์-นรวิชญ์"

ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีการประชุมประจำสัปดาห์ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีวาระสำคัญเพื่อหารือสำหรับเตรียมตัวไปแถลงเปิดคดีถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเป็นเรื่องที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ความสำคัญ จึงต้องพูดคุยให้ชัดเจนทั้งในประเด็นข้อกฎหมายและพยานหลักฐานต่าง ๆ

นอกจากนี้ สำนักงาน ป.ป.ช. ยังเตรียมออกแถลงการณ์ตอบโต้ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ที่ระบุว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. 3 คน คือ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง นายณรงค์ รัฐอมฤต และ นายปรีชา เลิศกมลมาศ ขาดคุณสมบัติ รวมไปถึงออกแถลงการณ์ตอบโต้ นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อสู้คดีโครงการรับจำนำข้าว ที่เตรียมยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด (อสส.) ให้สอบข้อไม่สมบูรณ์เพิ่มในสำนวนจนครบถ้วนอีกด้วย
--------------------
อดีต ส.ส.ปชป. ยื่นหนังสือถึง ประธาน สนช. ตรวจสอบพฤติกรรมเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ชี้ ละเลยตรวจสอบทุจริตในสภา

นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. เพื่อขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ของ นายจเร พันธุ์
เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่ขาดประสิทธิภาพ กรณีตรวจสอบเรื่องโครงการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างของสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่มีความคืบหน้า ทำให้บุคคลที่มีส่วนเกี่ยว
ข้องในการทุจริตโครงการต่าง ๆ ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปฏิรูปสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จึงขอเรียกร้องให้ประธาน สนช. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายจเร ว่ามีความบกพร่องหรือไม่ และควรเปลี่ยนผู้มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่

อย่างไรก็ตาม นายพรเพชร กล่าวว่า หลังจากนี้จะต้องให้นายเจรเข้ามาชี้แจงความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวทุกเดือน
---------------
"สุรชัย" แจงได้รับประสาน "ยิ่งลักษณ์" แล้ว ยันเข้าแถลงเปิดคดีด้วยตนเอง เตรียมตั้ง กมธ.ซักถาม 2 ชุด มั่นใจ จบในเดือนนี้ 

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติคนที่ 1 เปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ วิป สนช. ว่า ได้รับการประสานงานจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า จะมาชี้แจงในวันแถลงเปิดคดีด้วยตนเอง พร้อมทนายส่วนตัว โดยในวันนั้น ทาง สนช. ให้เวลาทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ เรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการซักถาม นายสุรชัย กล่าวว่า ข้อบังคับกำหนดไว้ไม่เกิน 21 คน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมวิป สนช. ซึ่งเบื้องต้นจะตั้งกรรมาธิการซักถาม 2 ชุด คือ กรณี นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ และ นายนิคม ไวยรัชพานิช เนื่องจากมีข้อกล่าวหาคล้ายกัน และตั้งอีกหนึ่งชุดสำหรับกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่เป็นการถอดถอนคนละข้อกล่าวหานอกจากนี้ นายสุรชัย กล่าวอีกว่า การคัดบุคคลที่เหมาะสมโดยปกติ จะให้มีตัวแทนจากคณะกรรมาธิการวิสามัญแต่ละคณะ ตัวแทนจาก วิป สนช. และตัวแทนจากที่ประชุมใหญ่

อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการซักถาม ไม่สามารถถามนอกประเด็นได้ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นกลางในการทำหน้าที่ และคาดว่ากระบวนการต่าง ๆ น่าจะแล้วเสร็จ และรู้ผลภายในเดือนนี้
---------------------
ทีมทนายยิ่งลักษณ์ ยื่นหนังสือคัดค้านการถอดถอน ย้ำ ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงด้วยตนเอง-นิวัฒน์ธำรง, ยรรยง, กิตติรัตน์,วราเทพ ร่วมแถลงด้วย

นายนรวิทย์ หล้าแหล่ง ทีมทนาย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ายื่นหนังสือต่อ นางสาวจินดา กองแก้ว ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานถอดถอนและตรวจสอบ ซึ่งเป็นเอกสารคำแถลงเปิดคดีประกอบการคัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษร จำนวน 150 ชุด ทั้งนี้ ย้ำว่า ไม่ใช่เอกสารประกอบการพิจารณา

นอกจากนี้ การเดินทางมาชี้แจงด้วยตนเองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น เนื่องจากเห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการขนาดใหญ่และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และหวังว่าการชี้แจงข้อเท็จจริงครั้งนี้ จะมีการถ่ายทอดสด เพราะเป็นการชี้แจงครั้งแรกหลังจากถูกกล่าวหา

อย่างไรก็ตาม นายนรวิทย์ ยืนยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่กังกล และยินดีที่ได้มีโอกาสชี้แจงต่อสังคม พร้อมหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรม และในวันแถลงเปิดคดีนอกจากทีมทนายแล้ว ยังมี นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล, นายยรรยง พวงราช,นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และ นายวราเทพ รัตนากร มาร่วมแถลงเปิดคดีด้วย
//////////////////
นายกฯปรับครม.

นายกฯ มีกำหนดประชุม ครม. นัดแรก ประจำปี 2558 ด้าน พล.อ.ประวิตร นัดถก คกก.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ช่วงบ่าย

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ ในเวลาประมาณ 09.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2558

ส่วนความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ที่น่าสนใจในทำเนียบรัฐบาลนั้น ในเวลาประมาณ 14.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2558 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
------------------
พล.อ.อุดมเดช ไม่ทราบเรื่อง 3 นายทหารระดับสูง จะลาออกก่อนเกษียณ ขออย่าพยายามปล่อยข่าวลือ ย้ำ รบ. จะทำตามขั้นตอนเพื่อคุมสถานการณ์ให้ได้

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าว การลาออกก่อนเกษียณอายุราชการของนายทหารระดับสูง 3 นาย คือ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองผู้บัญชาการทหารบก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสธนาธิการประจำกองบัญชาการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวออกมาได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมาทุกท่านสามารถแบ่งเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่เป็นปัญหา จึงขอให้บุคคลที่พยายามปล่อยข่าวหยุดการกระทำดังกล่าวได้แล้ว ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่ากระแสข่าวดังกล่าวไม่เป็นการกดดันตนเอง เพราะส่วนตัวนั้นสามารถทำหน้าที่ใดก็ได้ตามที่ได้รับมอบหมาย

นอกจากนี้ ขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องทุกประการ เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมถึงต่างชาติก็ให้การยอมรับ ดังนั้นขอให้ประชาชนเข้าใจ โดยรัฐบาลจะพยายามทำงานให้เป็นไปตามโรดแมปเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้งอย่างสมบูรณ์
---------------------
"พล.อ.ไพบูลย์" ไม่ขอตอบกระแสข่าวลาออก ขอให้จบแค่นี้ ย้ำไม่รู้เรื่อง ไม่ถามผู้บังคับบัญชาเด็ดขาด

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ไม่อยากตอบคำถามเกี่ยวกับกระแสข่าว 3 นายทหารจะลาออกก่อนเกษียณอายุราชการอีกแล้ว เพราะได้ตอบไปมากแล้ว ย้ำไม่รู้เรื่องว่ามีข่าวได้อย่างไร อยากปล่อยให้เรื่องดังกล่าวจบ ๆ ลงไป และจะไม่มีการไปถามเรื่องดังกล่าวกับผู้บังคับบัญชา แต่อย่างใดด้วย

พร้อมกันนี้ พล.อ.ไพบูลย์ ยังกล่าวด้วยว่า การขับเคลื่อนงานในกระทรวงยุติธรรม ที่แบ่งเป็น 5 กลุ่มนั้น เดินหน้าไปได้ด้วยดี และขอขอบคุณข้าราชการในกระทรวงเป็นอย่างมาก ที่ทำงานร่วมกันอย่างหนัก รวมถึงหน่วยงานกระทรวงอื่น ๆ ที่ทำงานร่วมกันด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และการปราบปรามยาเสพย์ติด ซึ่งในเบื้องต้น ได้พยายามปรับปรุงกฎหมาย ให้มีความทันสมัย และเกิดความยุติธรรมที่สุด รวมถึงจะต้องบูรณาการร่วมกับฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จ.ชายแดนใต้ และคดีความเกี่ยวการเมือง รวมถึงร่างกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมือง และความผิด ใน ม.112 ซึ่งจะนัดประชุมหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อหารือในวันที่ 9 มกราคมนี้
-------------------------
พล.อ.ประยุทธ์ ทักทายสื่อก่อนเข้าประชุม ครม. จับตาการเสนอมาตรการต่ออายุรถเมล์-รถไฟฟรี อีก 6 เดือน ขณะ กมธ.ยกร่าง เตรียมสรุปผลการปฏิบัติงาน 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยได้ทักทายกับสื่อมวลชนก่อนเข้าประชุม ทั้งนี้ คาดว่าวาระที่น่าสนใจที่จะมีการพิจารณาในวันนี้ อาทิ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะเสนอการพิจารณาแนวทางการแปรรูปยางธรรมชาติเพื่อนำไปสร้างลู่-]านกรีฑา และลานอเนกประสงค์ หลังจากที่รัฐบาล ประกาศเพิ่มการใช้ยางพาราในการแปรรูปเพื่อใช้ในประเทศให้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนวาระอื่นที่น่าสนใจ เช่น คณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. รวมถึงกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญเตรียมสรุปรายงานผลการปฏิบัติงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ขณะเดียวกันคาดว่าจะมีการเสนอมาตรการต่ออายุรถเมล์-รถไฟฟรี ออกไปอีก 6 เดือน
--------------------------
นายกฯ ยัน ยังไม่ปรับ ครม. ย้ำ 3 นายพล ไม่มีใครลาออก ขณะปรับย้าย ผบ.เหล่าทัพ เป็นไปตามขั้นตอน ไร้คลื่นใต้น้ำ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ในช่วงนี้ ส่วนกระแสข่าวเรื่อง การให้ 3 รัฐมนตรี ที่เป็นข้าราชการทหารยศ พลเอก ลาออกจากตำแหน่งข้าราชการก่อนเกษียณนั้น ยืนยันว่า ไม่ได้มีการให้ลาออกแต่อย่างใด ส่วนการปรับย้ายผู้บัญชาการเหล่าทัพ เป็นตามกระบวนการปกติของเหล่าทัพ ซึ่งโดยปกติฤดูกาลปรับย้ายจะอยู่ในช่วงของปลายปี ซึ่งจะยึดตามอาวุโสและการยอมรับ ดังนั้น ขออย่ากังวลกับเรื่องดังกล่าว

ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ ยังระบุว่า ไม่มีเคลื่อนใต้น้ำ และย้ำว่า ตนไม่ใช้อำนาจในทางที่ผิด พร้อมเชื่อใจทุกคนว่า ไม่มีใครทำนอกกรอบอย่างแน่นอน เนื่องจากตนเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ
และประชาชน
---------------------
นายกฯ ชี้ ถอดถอนนักการเมือง เป็นเรื่องของ สนช. ระบุต้องเป็นไปตามกระบวนการ ไม่ยุ่งโยกย้ายตำรวจ ยึดกฎหมาย เร่งสอบสติ๊กเกอร์ ค่านิยม 12 ประการ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาถอดถอนนักการเมืองว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องว่ากันไปตามกระบวนการโดยยึดตามหลักของกฎหมาย ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า การสร้างความปรองดอง ไม่ใช่การยกเว้นความผิด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า จะไม่ยอมให้เกิดการประท้วงหรือเคลื่อนไหวทางการเมืองในเรื่องนี้ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ ทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะมีการโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับการในกรุงเทพมหานคร กว่า 67 คน ว่า เป็นเรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และต้องว่ากันไปตามกฎหมาย โดยต้องดูว่ามีความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้ดำเนินการ ส่วนเรื่องกระแสข่าวที่มีการวิจารณ์เรื่องการจัดทำสติ๊กเกอร์ไลน์ ส่งเสริมค่านิยม 12 ประการ มีราคาแพงนั้น กำลังมีการตรวจสอบในเรื่องนี้อยู่ อย่างไรก็ตาม ต้องดูที่เจตนาและความคุ้มค่าด้วย
------------------
พล.อ.ประยุทธ์ เผย นายกฯ มาเลเซีย เข้าพบช่วงปีใหม่ หารือความสงบชายแดนใต้ - ย้ำ กต. แจงต่างชาติ ส่งตัวผู้ทำผิด ม.112

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เปิดเผยว่า เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา นายราจิบ นาซัค นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ได้มาเข้าพบเป็นการส่วนตัว โดยได้ขอบคุณที่ไทยให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของมาเลเซีย โดยมอบข้าวสารให้ 500 ตัน ขณะเดียวกันมีการพูดคุยเรื่องปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย ทางมาเลเซีย กำลังเร่งรัดประสานกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเพื่อเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติสุข ทั้งนี้ ส่วนตัวขอยืนยันว่า ภาครัฐพร้อมพูดคุยกับกลุ่มก่อความสงบทุกเวลา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า ได้ให้กระทรวงการต่างประเทศ ทำหนังสือไปยังประเทศต่างๆ ที่มีผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะมาตรา 112 หลบหนีไปอาศัยอยู่ เพื่อชี้แจงว่าบุคคลเหล่านั้นกระทำความผิดตามกฎหมายอาญาของไทย ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ทั้งนี้ยอมรับว่า มีโอกาสน้อยที่ประเทศต่างๆ จะส่งตัวผู้กระทำผิดกลับมาที่ประเทศไทย
---------------------
นายกฯ เผย ประชุม ครม. เร่งรัดแผนตามโรดแมป 1 ปี พร้อมวางแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยวหลังยอดเพิ่มขึ้นกว่า 7.2%

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ว่า การประชุมนัดแรกในปีใหม่นี้ รัฐบาลได้มีการเร่งรัดแผนยุทธศาสตร์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อให้เป็น

ไปตามแผนโรดแมปที่วางไว้ในรอบ 1 ปี นอกจากนี้ ด้านเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวนั้น ถือว่าในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศ

ไทยนั้น ถือว่าปรับตัวดีขึ้นและเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 7.2 หากเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยนั้น เดินทางออกนอกประเทศลดลงร้อยละ 3 นอกจากนี้ ทางภาครัฐยังได้วางแนวทางในการ

ท่องเที่ยว และกำหนดทิศทางการท่องเที่ยวในปี 2558 โดยเฉพาะมีการกำหนดกลุ่ม 12 กลุ่ม ที่เข้ามาเที่ยวในเมืองไทย เพื่อเชื่อมโยงประเทศต่างๆ และควบคุมมัคคุเทศก์ รวมไปถึงความปลอดภัย

เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างคุณค่าในการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้น และสร้างรายได้ให้กับประเทศในอนาคตต่อไป
-----------------------
นายกฯ ยันไม่กังวลไทยถูกถอดสิทธิ์ GSP เร่งหาตลาดใหม่ทดแทนตลาด EU พร้อมผลักดันกฎหมายตั้งกระทรวงดิจิตอลให้ทันในปีนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ว่า ที่ประชุมได้มีการรายงานถึงการถูกยกเลิกในส่วนของตลาดยุโรป หรือ EU ในการยกเว้นภาษีตาม

GSP ที่ไทยถูกจัดอันดับโดยธนาคารโลก หลังเป็นประเทศที่มีรายได้ปากกลางถึงค่อนข้างร่ำรวย ซึ่งติดกัน 3 ปี ทำให้ถูกถอดสิทธิ์ดังกล่าว

โดยยืนยันว่าในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวลเนื่องจากเชื่อว่าจะกระทบภาคการส่งออกไทยไม่มากนัก ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทางกระทรวงการต่างประเทศรวมไปถึงกระทรวงพาณิชย์ เร่งหา

ตลาดใหม่ในการเข้ามาทดแทน เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก

พร้อมกันนี้ ยังวางแนวทางในการปรับลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้เหมาะสมและสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ในส่วนที่ประชุมยังมีการอนุมัติแนวทาง 9 กฎหมายในการผลักดัน

จัดตั้งกระทรวงดิจิตอลแทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ICT ซึ่งคาดว่าจะจัดทำให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ พร้อมยกระดับการทำงานของรัฐวิสาหกิจ ทั้ง TOT รวมไปถึง CAT Telecom
เพื่อเพิ่มรายได้เข้ารัฐให้มากขึ้น หลังจากต้องมีการนำเงินและงบประมาณมาผลักดันเศรษฐกิจพื่อไม่ให้ซบเซา
//////////////////
ย้ายตำรวจ

พล.อ.ประวิตร ยัน ก.ตร. ให้ความเป็นธรรมย้ายนายตำรวจเต็มที่ ชี้ ฟ้องศาลได้หากเห็นว่ามิชอบ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2558 ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการเสนอ

บัญชีโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับการจำนวนมาก ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ออกนอกหน่วย หลังพบเกี่ยวพันกับความผิดเรื่องป้ายโฆษณาบนป้อมจราจร ว่า ตนยังไม่ได้รับรายงาน

เรื่องดังกล่าว และเชื่อว่า ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีการตรวจสอบ ซึ่งหากมีการกระทำผิดจริงจะต้องมีการโยกย้ายและดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย และหากไม่มีความผิดผู้

ถูกกล่าวหาสามารถยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์

ขณะเดียวกันทางคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. จะต้องตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพราะการโยกย้ายจะต้องมีขั้นตอนและเป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย

ส่วนการกำหนดเวลาในการตรวจสอบนั้น ทาง  คณะกรรมการ ก.ตร. ได้กำหนดไว้แล้ว ซึ่งที่ประชุม ก.ตร. ในวันพรุ่งนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอน

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยังกล่าวถึงการก่อสร้างโรงพักตำรวจทั่วประเทศ ว่า ส่วนตัวไม่จำเป็นต้องมอบนโยบายในการสานต่อ เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมาย เมื่อได้งบประมาณมา ก็จะต้อง

เร่งดำเนินการ พร้อมยืนยันว่า การก่อสร้างไม่มีการฮั้วอย่างแน่นอน แต่หากเกิดขึ้น ก็จะต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย
------------------------
ผบช.น. ตั้งกรรมการสอบ 2 นายตำรวจเอี่ยวสถานบริการไม่ได้รับอนุญาต ให้ พล.ต.ต.จิตติ เป็นประธานสอบ

พ.ต.ท.ไพโรจน์ ไตรธรรม รองผู้กำกับปราบปราม สน.เพชรเกษม และผู้ใช้ชื่อว่าตำรวจ สน.เพชรเกษม ได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่า พ.ต.อ.อนุชา อุ่มเจริญ รอง ผบก.น.5

และ พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ รอง ผบก.น.9 เกี่ยวข้องกับสถานบริการร้านสบายดี 99 และร้านเบสแลนด์ ซึ่งเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นเหตุให้ตำรวจไม่กล้าเข้าทำการจับกุม

ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จึงได้สั่งการ ให้ฝ่ายสืบสวนนครบาล เข้าทำการสืบสวนและจับกุม นางโสภา มียันต์ อายุ 45 ปี โดยจับได้ที่สถานบริการร้านเบสแลนด์ ถ.เพชรเกษม เขตบางแค เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้อง โดย พ.ต.อ.อนุชา และ พ.ต.อ.บุญส่ง ได้โทรศัพท์หานางโสภาเพื่อขอพูดคุยกับตำรวจชุดจับกุม และให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมดูแลอำนวยความสะดวกให้กับของเจ้าของร้าน จากนั้น พ.ต.ท.ชนะเทพ สวนแก้ว สารวัตรสืบสวนตำรวจท่องเที่ยว (สว.ส.ทท.) ได้สั่งการให้ ด.ต.อำพร ศรชัย ไปติดต่อชุดจับกุมเพื่อเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา แต่ชุดจับกุมไม่ยินยอม

จากการสอบสวนนางโสภา ให้การว่า พ.ต.อ.บุญส่ง เป็นเพื่อนสนิทของเสี่ยสอง เจ้าของร้านเบสแลนด์ และมีสมาชิกมาใช้บริการประจำ ส่วน พ.ต.อ.อนุชา เคยเป็น ผกก.สน.เพชรเกษม มีความสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยสอง ส่วน พ.ต.ท.ชนะเทพ เป็นผู้ดูแลร้าน เนื่องจากสนิทสนมกับ พ.ต.อ.อนุชา

ดังนั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) จึงสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย โดยแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. เป็นประธานสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว
-----------------------
สตช.ถกร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่อง แก้ไขปัญหาติดตั้งป้ายโฆษณาป้อมจราจร พร้อมยัน การโยกย้าย ตร. ไม่เป็นการกลั่นแกล้ง

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้อมจราจรในพื้นที่ทั่วประเทศ

โดยเปิดเผยว่า ล่าสุดทางกรมธนารักษ์ได้มีข้อสรุปมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของราชพัสดุทั้งหมด ซึ่งการพิจารณาเห็นควรให้มีการดำเนินติดตั้งต่อไปหรือไม่นั้นเป็น

ดุลพินิจของราชพัสดุโดยตรง รวมถึงจะต้องตรวจสอบสัญญาที่ทางบริษัทเอกชนได้ทำร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองบัญชาการภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศว่ามีกำหนดระยะเวลาการติด

ตั้งเมื่อไหร่

ขณะเดียวกันทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลรับผิดชอบ พร้อมสรุปสำนวนรายละเอียดชี้แจ้งกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้น รวมถึงให้ดำเนินการตรวจสอบเจ้า

หน้าที่ตำรวจเป็นรายบุคคลว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง หากพบการกระทำความผิดก็ให้ดำเนินการลงโทษตามวินัยอาญาร้ายแรง และทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสรุปสำนวนชี้แจ้งต่อกรมธนารักษ์

อีกครั้ง โดยการดำเนินการขอติดตั้งป้ายแต่ละครั้งนั้นจะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จากนั้นจะส่งเรื่องต่อไปยังกรมธนารักษ์เพื่ออนุมัติความเห็นต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการ ถึงผู้บังคับการนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องการกรณีการติดตั้งป้ายโฆษณาบนป้อมตำรวจแต่อย่างใด พร้อมยืนยันว่าไม่มีการเร่งรัด

ให้มีการโยกย้ายข้าราชการตำรวจเร็วกว่ากำหนดเพื่อกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน
-------------------------
ผบช.น. ชี้ ตร.2 นายที่โดนตั้งกรรมการสอบยังไม่ให้พักราชการ รอสอบเพิ่ม ด้านการโยกย้าย ผกก.59 นายอยู่ที่ ก.ตร.แล้ว

พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการออกคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวน พ.ต.อ.อนุชา อุ่มเจริญ รอง ผบก.น.5 และ พ.ต.อ.บุญส่ง นามกรณ์ รอง

ผบก.น.9 ที่มีส่วนวิ่งเต้นให้กับสถานบริการร้านสบายดี 99 และร้านเบสแลนด์ ซึ่งเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ว่า เบื้องต้นยังไม่มีคำสั่งให้พักราชการแต่อย่างใด ต้องรอการสอบสวนอย่าง

ละเอียดอีกครั้ง ซึ่งจะมีผลใน 60 วันหลังออกคำสั่ง ยืนยันมีผลกระทบบางส่วนของการโยกย้ายตำแหน่ง ด้านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ นั้นก็ต้องสอบสวนเช่นกัน ส่วน พ.ต.ท.ชนะเทพ สวนแก้ว

สารวัตรตำรวจท่องเที่ยว (สว.ส.ทท) จะต้องรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบต่อไป

โดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ ยังกล่าวถึงกรณีการโยกย้ายผู้กำกับการของพื้นที่นครบาลจำนวน 59 นาย ว่า ขณะนี้ได้ยื่นเรื่องไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อพิจารณา ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสำนวนแล้ว ต้องรอ

ผลการพิจารณาอีกครั้งซึ่งก็ไม่ยืนยันว่าจะรู้ผลเมื่อใด ขึ้นอยู่กับการประชุมของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.

ซึ่งก็ขอยืนยันอีกครั้งว่า การโยกย้ายครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องป้ายโฆษณาทั้งหมด บางพื้นที่ก็สามารถบริหารจัดการได้ดีแล้ว แต่อาจจะมีเรื่องของการปกครอง ดูแลต่าง ๆ ด้านการร้องเรียนของ ผกก. ที่

โดนโยกย้ายนั้นยังไม่มี ถ้ามีก็พร้อมที่จะพูดคุย ส่วนในอนาคตทาง ผกก. จะมีการฟ้องศาลหรือไม่อย่างไรนั้นก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลต่อไป
--------------------
ผบ.ตร. เผย ไม่แทรกแซงเรื่องการโยกย้าย ตร. พร้อมให้ความเป็นธรรมเรื่องป้ายโฆษณา ปัดตอบเรื่องจับกุมผู้ร้ายข้ามแดนชาวอินเดีย

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงการโยกย้ายข้าราชการตำรวจในระดับสารวัตรถึงรองผู้บังคับการทั่วประเทศ ซึ่งจะมีวาระการประชุมวาระคณะกรรมข้าราชการ

ตำรวจในวันพรุ่งนี้ว่า การโยกย้ายตำแหน่งดังกล่าวเป็นอำนาจการโยกย้ายที่จะพิจารณาและเห็นสมควร แต่ต้องชี้แจ้งเหตุผลในการโยกย้ายเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา โดยทางผู้

บังคับบัญชาระดับสูงของ ตร. จะไม่เข้าไปแทรกแซงในการสั่งโยกย้ายแต่อย่างใด

ส่วนกรณีป้ายโฆษณาที่ติดตั้งบนป้อมจราจรที่มีตำรวจบางนายร้องเรียนว่ามีการติดตั้งป้ายก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งนั้น ผบ.ตร. เปิดเผยว่า เป็นเรื่องทางพนักงานสอบสวนสืบหาข้อเท็จจริงถึงเรื่อง

ดังกล่าว พร้อมยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย ส่วนเรื่องเงินที่เป็นส่วนแบ่งจากการติดตั้งป้ายนั้นจะต้องสืบสวนต่อไปว่าเงินนั้นไปอยู่ตรงไหน

อย่างไรก็ตาม ตนเองมั่นใจว่าจะไม่เป็นผลกระทบต่อผู้ใต้บังคับบัญชา

ในขณะที่กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายเกอร์มีท ซิงค์ อายุ 47 ชาวปากีสถาน ผู้ต้องหาในคดีที่วางระเบิดในเมืองปันยาด ประเทศอินเดีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 17 คน ซึ่งได้หนีเข้ามากบดานใน

ประเทศไทย และถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ขอตอบในประเด็นนี้เพราะเกี่ยวข้องในเรื่องของความมั่นคงระหว่างประเทศและเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
/////////////
คดีพงศ์พัฒน์

รรท.ผกก.พหลโยธิน เผย อดีต สว.โยงเครือข่ายพงศ์พัฒน์มอบตัวอีก 1 นาย คดีบ่อนพนันบอล ส่วน ผกก.ปอศ. มอบตัวเช่นกัน ฝากขังพรุ่งนี้

พ.ต.อ.นิพนธ์ เจริญศิลป์ รักษาราชการแทนผู้กำกับการ สน.พหลโยธิน เปิดเผยว่า เมื่อวานที่ผ่านมา พ.ต.ท.พิพัฒน์ เฉวงราษฏร์ อดีตสารวัตรกลุ่มงานสนับสนุนเทคโนโลยี กองบังคับการปราบปราม

การกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์ กรณีส่วย

บ่อนการพนันฟุตบอลออนไลน์อาบูบาก้าตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา

ส่วน พ.ต.อ.วรพจน์ พืชผล อดีตผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ ปอศ. ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับสถานีตำรวจในพื้นที่ จ.สุราษฎร์

ธานี และตำรวจที่สุราษฎร์ธานีได้คุมตัวนำส่งที่ สน.พหลโยธิน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

ซึ่งจากการสอบปากคำทั้ง 2 คนให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยทางตำรวจ สน.พหลโยธิน ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอหมายค้นบ้านพักของ พ.ต.อ.วรพจน์ ที่ฝั่งธนบุรี ก่อนจะคุมตัวทั้ง 2 คนฝากขัง

ต่อศาลอาญาในวันพรุ่งนี้
////////////
ทหาร

พล.อ.อุดมเดช เน้นย้ำ กอ.รมน. ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับการปฏิรูป ปรองดอง ขณะพูดคุยสันติสุข เป็นไปตามขั้นตอน

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่า ได้เน้นย้ำการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ให้มีประสิทธิภาพ พร้อมให้น้ำหนักถึงการให้

ความสำคัญในการปฏิรูป การปรองดอง และได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานปรองดองสมานฉันท์ โดยจะต้องมีความเข้าใจในงานปฏิรูป รวบรวมข้อคิดเห็นมาให้รัฐบาล

ใช้ประโยชน์ต่อไป รวมถึงยังเน้นย้ำเรื่องยาเสพติด โดยได้วางโครงข่ายติดตามงานกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันในส่วนของปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ปีงบประมาณใหม่นี้ นายกรัฐมนตรี

ได้มีคำสั่งให้ทำงานอย่างบูรณาการ และต้องเข้าใจในแผนการทำงาน โดยมีกอ.รมน.ภาค 4ส่วนหน้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน และพร้อมทำความเข้าใจกับผู้ที่มีความเห็นต่าง โดยเชื่อว่าหากมีความ

เข้าใจทุกอย่างจะดีขึ้น

ส่วนความคืบหน้าเรื่องการเจรจาสันติสุข ขณะนี้ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไปแล้ว โดยทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอน และไม่มีการหยุดนิ่งในการทำงาน
///////////////////
ลาดกระบังพันล้าน

กองปราบประชุมติดตามความคืบหน้าคดียักยอกเงิน เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 1,600 ล้านบาท

พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผู้บังคับการกองปราบปราม ประชุมร่วมพนักงานสอบสวน ติดตามความคืบหน้าคดียักยอกเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จนทำให้เกิด

ความเสียหาย มูลค่า 1,600 ล้านบาท ทั้งนี้ มีรายงานว่าในที่ประชุมจะมีการตรวจสอบสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ย่านเทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ หลังตำรวจสืบสวนพบว่าเป็น 1 ในสถานที่ใช้
ฟอกเงิน และพบว่า 1 ในผู้ประกอบการเป็นเพื่อนสนิทกับ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่หลบหนีไปต่างประเทศ ได้ว่าจ้างให้ผู้อื่นดำเนินกิจการแทนอีก 4 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 1 คน

และมีรายงานอีกว่าตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทางการทำธุรกรรม ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายการยักยอกทรัพย์ของ สจล. นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ของ สจล. นำเอกสารการเงินจำนวน 1

ลัง หรือ 4 แฟ้ม มามอบให้กับพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม รองผู้บังคับการปราบปราบปราม จะเป็นผู้เปิดเผยรายละเอียดภายหลังการประชุมอีกครั้ง
----------------
ตร.กองปราบฯ ยัน พิงกี้ สาวิกา จะเข้าพบในกรณีอาจเอี่ยวคดียักยอกเงิน เทคโนฯ ลาดกระบัง พรุ่งนี้ ลั่น เตรียมออกหมายเรียกอีกเพียบ

พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผู้บังคับการกองปราบปราม ฝ่ายสอบสวน พร้อมด้วย พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บังคับการปราบปราม ฝ่ายสืบสวน ประชุมร่วมพนักงานสอบสวน ติดตามความคืบหน้า

คดียักยอกเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จนทำให้เกิดความเสียหาย 1,600 ล้านบาท

โดย พ.ต.อ.กรไชย ระบุว่า ได้ประสาน นางสาวสาวิกา ไชยเดช หรือ พิ้งกี้ ดารานักแสดง หลังเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่นและเดินทางถึงประเทศไทยเมื่อคืนที่ผ่านมา เข้าให้ข้อมูลกับตำรวจวัน

พรุ่งนี้ (7 มกราคม) หลังปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้น 1 ในบริษัทของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับและหลบหนีไปยังฮ่องกง

ซึ่งขณะนี้ นายกิตติศักดิ์ ยังไม่มีการติดต่อเข้ามอบตัว และคณะพนักงานสอบสวนได้ทำการอายัดทรัพย์สินของนายกิตติศักดิ์ ไว้ประมาณ 38 รายการ อาทิ บ้าน ที่ดิน รถยนต์ และเงินสด มูลค่ากว่า

500 ล้านบาท ส่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ดำเนินการตรวจสอบ แต่ขณะนี้ ป.ป.ง. ยังไม่มีหนังสือตอบกลับมาแต่อย่างใด และอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทาง

การเงินว่ามีการโอนย้ายเงินออกนอกประเทศหรือไม่

นอกจากนี้ ตำรวจเตรียมออกหมายเรียกผู้ต้องสงสัยซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีรับโอนเงินจากผู้ต้องหาจำนวน 20 ล้านบาท อีกหลายคน มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนว่ามีความเกี่ยวข้องกับการกระทำ

ความผิดหรือไม่
--------------------------
รอง ผบก.ป. ส่ง ตร.ประกบสมบัติกับลูกสาว หลังไม่เข้าพบโกงเงินเทคโนฯ ลาดกระบัง จ่อออกหมายเรียก ผจก.ร้านสตรีทผับ  

พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวถึงความคืบหน้าคดียักยอกเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จนทำให้เกิดความเสียหาย 1,600 ล้านบาท

ว่า นางสมบัติ โสประดิษฐ์ กับลูกสาว ที่ถูกออกหมายจับได้ประสานว่าจะติดต่อขอเข้ามอบตัวตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน ซึ่งตำรวจได้ส่งฝ่ายสืบสวนประกบ

ตัวไว้แล้ว

ส่วนเจ้าของสถานบันเทิงสตรีทผับในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นของ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี พนักงานสอบสวนเตรียมจะออกหมายเรียกผู้จัดการร้าน เข้าให้ข้อมูลกับ

พนักงานสอบสวนด้วย

ทั้งนี้ พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข ระบุว่า ขณะนี้มีปัญหาเรื่องการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหา เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารเท่าที่ควรในการส่งมอบเอกสารต่าง ๆ เพราะธนาคารอาจ

เกรงว่าจะถูกฟ้องร้อง ทางตำรวจจึงขอให้ธนาคารส่งเอกสารให้กับพนักงานสอบสวนด้วย เพื่อความกระจ่างของสังคม

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. และพยานอีก 2 ปาก ได้เดินทางเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม
//////////////////////////
ส่งผู้ร้ายข้ามแดน

โฆษกอัยการสูงสุดเผยถึงขั้นตอนของการดำเนินส่งผู้ร้ายข้ามแดน ลั่น เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไม่เกี่ยวการเมืองและทหาร

นายวันชัย รุจนวงศ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงขั้นตอนดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนว่า เมื่อมีผู้ต้องหาหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย และทางการไทยได้รับการประสานจากประเทศที่มี

สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน อัยการจะเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอออกหมายจับ เมื่อศาลออกหมายจับมาแล้วก็จะส่งหมายให้ตำรวจติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหา เมื่อตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว ก็จะ
ต้องดำเนินการสอบสวนในเบื้องต้นก่อนจะส่งตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญา ให้อยู่ในอำนาจของศาลในการควบคุมตัว และศาลจะสอบถามผู้ต้องหาว่าจะยินยอมกลับไปถูกดำเนินคดีที่ประเทศ

ต้นทางที่ร้องขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ หากผู้ต้องหายินยอมก็จะส่งตัวกลับไปทันที หากไม่ยินยอม ผู้ต้องหาก็มีสิทธิแต่งตั้งทนายความเพื่อร้องขออยู่ในประเทศไทยต่อไป

ส่วนอัยการจะรวบรวมพยานหลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้มีการประสานขอส่งตัวผู้ต้องหาเป็นผู้ร้ายข้ามแดนเพราะได้กระทำผิดในประเทศนั้น ๆ ไว้ และต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

ดังกล่าวอยู่ในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องทางการเมืองและไม่เกี่ยวข้องกับทางทหาร

////////////////////////

7 วันอันตราย

ปลัด มท. แถลงตัวเลข 7 วันอันตราย รวมเกิดอุบัติเหตุรวม 2,997 ครั้ง ตาย 341 ราย บาดเจ็บ 3,117 คน 

นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (

ศปภ.) ได้สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน ตั้งแต่วันที่ (30 ธันวาคม 57 - 5 มกราคม 58) เกิดอุบัติเหตุรวม 2,997 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตรวม 341 ราย และผู้บาดเจ็บรวม 3,117 คน

นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกภาคส่วนได้ปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลในการทำงานเพื่อลดอุบัติเหตุในท้องถนน  ซึ่งแม้ในปีนี้ไม่ได้มีการตั้งเป้าไว้ แต่สถิติยอดผู้บาดเจ็บและชีวิตลดลง

เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม จากนี้ทุกภาคส่วนจะยังคงเดินหน้าทำงานต่อไปเพื่อลดอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการยังคับใช้กฎหมาย และการส้ร

างจิตสำนึกให้แก่ประชาชนตระหนักถึงการงดดื่มแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ยานพาหนะ และการปล่อยโคมลอยซึ่งจะมีผลกระทบต่อการสัญจรทางอากาศ
/////////////////
เนชั่น ทุกคุกคาม

สุทธิชัย หยุ่นยื่นหนังสือประธานกมธ.สื่อ หลังSLCซื้อหุ้นเนชั่น หวั่นเทคโอเวอร์-กังวลครอบงำสื่อ

นายสุทธิชัย หยุ่น ประธานกรรม บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) พร้อมคณะ มายื่นหนังสือต่อ นายจุมพล รอดคำดี ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนและเทคโนโลยี

สารสนเทศ ภายหลังจากกรณีที่บริษัท โซลูชั่น คอนเนอร์ (1998) จำกัด หรือ SLC ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ว่า  ตามที่บริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท

สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในลักษณะที่เข้าข่ายเป็นการเทคโอเวอร์อย่างไม่เป็นมิตรนั้น ทางเนชั่น กรุ๊ป ขอให้ทางคณะกรรมาธิการฯ

ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพิจารณาเป็นการเร่งด่วน  เพราะพฤติกรรมของกลุ่มทุนดังกล่าว มีกลุ่มทุนผู้อยู่เบื้องหลัง ได้นำซึ่งความกังวลที่ จะก่อให้เกิดการครอบงำสื่อ ส่งผลต่อการทำหน้าที่สื่อ

มวลชน

ทั้งนี้ นายจุมพล กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในคณะกรรมาธิการฯ อย่างเร่งด่วน
////////////////////
เศรษฐกิจ
ตัดสิทธิ์GSPไทย

นายกฯ ยันไม่กังวลไทยถูกถอดสิทธิ์ GSP เร่งหาตลาดใหม่ทดแทนตลาด EU พร้อมผลักดันกฎหมายตั้งกระทรวงดิจิตอลให้ทันในปีนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ว่า ที่ประชุมได้มีการรายงานถึงการถูกยกเลิกในส่วนของตลาดยุโรป หรือ EU ในการยกเว้นภาษีตาม

GSP ที่ไทยถูกจัดอันดับโดยธนาคารโลก หลังเป็นประเทศที่มีรายได้ปากกลางถึงค่อนข้างร่ำรวย ซึ่งติดกัน 3 ปี ทำให้ถูกถอดสิทธิ์ดังกล่าว

โดยยืนยันว่าในเรื่องดังกล่าวนั้นไม่เป็นเรื่องที่น่ากังวลเนื่องจากเชื่อว่าจะกระทบภาคการส่งออกไทยไม่มากนัก ทั้งนี้ ได้กำชับให้ทางกระทรวงการต่างประเทศรวมไปถึงกระทรวงพาณิชย์ เร่งหา

ตลาดใหม่ในการเข้ามาทดแทน เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก

พร้อมกันนี้ ยังวางแนวทางในการปรับลดต้นทุนในการผลิตเพื่อให้เหมาะสมและสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้ นอกจากนี้ในส่วนที่ประชุมยังมีการอนุมัติแนวทาง 9 กฎหมายในการผลักดัน

จัดตั้งกระทรวงดิจิตอลแทนกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ICT ซึ่งคาดว่าจะจัดทำให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ พร้อมยกระดับการทำงานของรัฐวิสาหกิจ ทั้ง TOT รวมไปถึง CAT Telecom
เพื่อเพิ่มรายได้เข้ารัฐให้มากขึ้น หลังจากต้องมีการนำเงินและงบประมาณมาผลักดันเศรษฐกิจพื่อไม่ให้ซบเซา
-----------------
กกร. ห่วงส่งออกปี 58 ขยายตัวน้อย หลังถูกตัดสิทธิ GSP คาดทั้งปีโต 3.5-4% แนะเอกชนบุกตลาดอาเซียน 

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้หารือด้านการส่งออกในปี 2558

โดยมีความเป็นห่วงว่าตัวเลขอาจไม่สูงมาก เนื่องจากไทยได้รับผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือ GSP จากยุโรป ดังนั้น กกร. จึงจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาผลกระทบเป็น
รายสินค้า เพื่อนำเสนอรัฐบาลภายในเดือน ม.ค.นี้ พร้อมหาแนวทางในการเยียวยาชั่วคราวก่อนที่ไทยจะสามารถเปิดเสรีการค้า หรือ FTA ไทย-ยุโรป ได้ภายใน 1-3 ปีนี้ เบื้องต้น คาดว่าผู้ส่งออกจะได้

รับความเสียหายจากการถูกตัดสิทธิ GSP ไม่เกิน 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. ประเมินว่า การส่งออกของไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 3.5-4 โดยจากนี้เอกชนจะต้องเร่งบุกตลาดใหม่ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะตลาดอา

เซียน ประเทศเพื่อนบ้านที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ รวมถึงตลาดกลุ่ม BRICS
----------------------
ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการบังคับคดี พร้อมรับฟังรายงานกรอบนโยบายการเงิน

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล

กฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง เกี่ยวกับการบังคับคดีและการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล เนื่องจากที่ผ่านมา มีปัญหาในส่วนของทรัพย์สินต่างๆ ที่ติดขัดในคดีแพ่ง คิดเป็นมูลค่าวงเงิน

62,000 ล้านบาท ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะครอบคลุมทรัพย์สินที่มีมูลค่า แต่ไม่มีรูปร่าง รวมถึงอาคารชุดที่เป็นปัญหาในส่วนของค่าส่วนกลาง ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนั้นจะสามารถช่วยผลักดัน

ทรัพย์สินที่ตกค้างอยู่ในระบบกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถออกสู่ตลาดได้ง่ายขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังรับรายงานจากกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับการรายงานเป้าหมาย

นโยบายทางการเงินประจำปี 2558 โดยมีการปรับปรุงมาใช้ในส่วนของเงินเฟ้อทั่วไปในอัตราร้อยละ 2.5 บวกลบไม่เกิน ร้อยละ 1.5 จากเดิมที่เคยใช้เป็นรายกรอบ รายไตรมาส ซึ่งจะทำให้มีความ

ท้าทายในการปรับอัตราและดูแลนโยบายการเงินได้ง่ายขึ้น
---------------------
กกร. ตั้งคณะทำงานดูแลศึกษาผลกระทบสินค้ารายอุตสาหกรรม หลังถูกตัด จีเอสพี ก่อนชงรัฐบาล ภายใน ม.ค.นี้ 

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ
ร่วมภาคเอกชน 3  สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุม กกร. ได้ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบสินค้ารายอุตสาหกรรมที่ถูกตัดสิทธิพิเศษ
ทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) เนื่องจากมีความเป็นห่วงข้อมูลที่นำเสนอให้กับรัฐบาลในขณะนี้ ยังไม่เป็นแนวทางเดียวกัน โดยจะเชิญ
ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมหารือ หลังจากนั้นจะนำเสนอรัฐบาลภายในเดือน ม.ค.นี้ เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือจนกว่า
-----------------------
กกร. มองเศรษฐกิจไทยปี 58 โต 3.5-4% ขณะการบริโภคภายในประเทศจะฟื้นจากรัฐเบิกจ่ายงบ

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีความเป็นห่วง

ถึงภาวะเศรษฐกิจไทย หลังจากที่เดือนพฤศจิกายน 2557 พบว่า เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าในทุกภาคส่วน ทั้งการบริโภคการลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่าเป้า ขณะที่การฟื้นตัวของภาค

อุตสาหกรรมยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงผลกระทบหลายด้านทั้งจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปี 2557 จะมีแรงส่งไปยังปี 2558 ไม่มาก โดยการขยาย

ตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่เป็นอัตราเร่ง ซึ่งจะเติบโตไม่สูงมากนักที่ประมาณร้อยละ 3.5-4 สูงขึ้นจากปี 2557 ที่ร้อยละ 0.6-0.8 อย่างไรก็ตาม มองว่าการบริโภคภายในประเทศจะฟื้นขึ้นจากการ

เบิกจากและการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 6.8 ล้านบาท

การจัดทำเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-อียู จะแล้วเสร็จ โดยสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิมากที่สุด กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่เยือกแข็ง และกลุ่มสิ่งทอ
-----------------
กกร. มองเศรษฐกิจไทยปี 58 โต 3.5-4% ขณะการบริโภคภายในประเทศจะฟื้นจากรัฐเบิกจ่ายงบ

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีความเป็นห่วง

ถึงภาวะเศรษฐกิจไทย หลังจากที่เดือนพฤศจิกายน 2557 พบว่า เศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าในทุกภาคส่วน ทั้งการบริโภคการลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐต่ำกว่าเป้า ขณะที่การฟื้นตัวของภาค

อุตสาหกรรมยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ รวมถึงผลกระทบหลายด้านทั้งจากราคาน้ำมันที่มีความผันผวน ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายปี 2557 จะมีแรงส่งไปยังปี 2558 ไม่มาก โดยการขยาย

ตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะไม่เป็นอัตราเร่ง ซึ่งจะเติบโตไม่สูงมากนักที่ประมาณร้อยละ 3.5-4 สูงขึ้นจากปี 2557 ที่ร้อยละ 0.6-0.8 อย่างไรก็ตาม มองว่าการบริโภคภายในประเทศจะฟื้นขึ้นจากการ

เบิกจากและการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 6.8 ล้านบาท
---------------------
กกร. ชี้ ทิศทางราคาสินค้ายังไม่สามารถปรับลดลงมากแม้น้ำมันลด หลังผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนสูง ห่วง เฟด ขึ้น ดบ. กระทบค่าใช้จ่าย

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังการประชุมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ทิศทางราคาสินค้าในปีนี้ ภาพรวมผู้ประกอบการยังไม่สามารถปรับ

ลดราคาลงได้มากนัก แม้ต้นทุนราคาน้ำมันจะถูกลง แต่ค่าไฟฟ้าที่ใช้ในกระบวนการผลิตยังไม่ปรับลดลง รวมถึงผู้ประกอบการยังคงแบกรับต้นทุนด้านอื่นๆ ของการผลิตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะค่าแรง

งาน วัตถุดิบบางส่วน แต่เชื่อว่าคงจะไม่เห็นการปรับขึ้นราคาสินค้าได้ เพราะแรงซื้อคนไทยชะลอตัว ทำให้ภาคการผลิตส่วนใหญ่ ต้องแข่งขันด้านราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดเอาไว้

นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร. มีความกังวลถึงการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจส่งผลต่อค่าใช้จ่ายและต้นทุนของไทยที่ปรับสูงขึ้น
///////////////////////

ไพบูลย์รู้ตัวคนปล่อยข่าว3นายพลลาออก

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม เผยรู้ตัวคนปล่อยข่าว 3 นายพล ใน ครม.จะลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ เเต่ยังไม่มั่นใจ ขอตรวจสอบให้ชัดพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ระบุกรณี

นสพ.หลายฉบับเสนอข่าว สามนายพลใน ครม.จะลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเเละหัวหน้า คสช.จัดทัพในกองทัพ เพื่อวางตัวผู้นำเหล่า

ทัพก่อนกำหนดว่าไม่ทราบ ตนอ่านจาก นสพ.เรื่องนี้ ไม่ได้ยินเรื่องนี้จากนายกฯ รมว.กลาโหมเเละ ผบ.สส.เลย จึงไม่รู้จะให้ข่าวอย่างไร เรื้องนี้คือข่าวลือ ตนไม่มีข้อมูลจึงไม่รู้จะชี้เเจงกับสื่ออย่างไร

พล.อ.ไพบูลย์ ระบุไม่อยากสร้างปัญหาให้นายกฯ ในเรื่องนี้ เเม้ตนประเมินข่าวนี้ว่าน่าจะมาจากไหน เเต่ไม่ขอตอบ ตอนนี้ไม่ประเมินว่าข่าวนี้จะกระทบ คสช.หรือไม่ หากข่าวนี้ไม่จริงก็ไม่มี

ประโยชน์ หากเป็นจริงก็ต้องดูว่ามีผลลบหรือบวกเมื่อถามว่า คนปล่อยข่าวนี้คือฝ่ายตรงข้าม พล.อ.ไพบูลย์ ตอบว่าต้องถามว่าตรงข้ามใคร ส่วนคนปล่อยข่าวนั้นจะเป็นพวกเดียวกับตนหรือไม่นั้น

ไม่ทราบ ต้องถามสื่อเพราะสื่อมวลชนเขียนเอง มันจึงต้องปะเมินว่าข่าวนี้มาจากใคร จึงประเมินได้ เเต่ตนยังไม่มั่นใจเเละเดาได้ว่าใครพูด เเม้จะพอรู้บ้าง เเต่ขอตรวจสอบให้ชัด จึงไม่ขอพูดตอนนี้

เเต่ผู้คับบัญชาสามคนของตนไม่ได้พูดเรื่องนี้ ตนจึงไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อถามว่า คนให้ข่าวนี้ยังให้ข่าวว่า คสช.จะทำงานเลยโรดเเมปจึงต้องจัดทัพล่วงหน้า พล.อ.ไพบูลย์ ตอบว่า ควรถามนายกฯ เอง