PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

'อำนาจมืด' ของธนาธร?

'อำนาจมืด' ของธนาธร?


    

ยี่เกไปหน่อยละมั้ง...ธนาธร!
    แค่ตำรวจออก "หมายเรียก" ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่โรงพักธรรมดาๆ
    แต่กลับอ้อน "ฟ้าของพ่อ" โพสต์เฟซซะ "เวอร์เกิน"
    "เมื่ออำนาจมืดไม่ยอมปล่อยอนาคตใหม่"
    มันมากไปนะ..ธนาธร 
    ขืนประชาธิปไตยอ้อนเกี๊ยะแบบนี้บ่อยๆ ระวังเถอะ ฟ้าจะถุยใส่หน้าพ่อเข้าซักวัน 
    เพราะฟ้าแต่ละคน ล้วนมีการศึกษา ย่อมรู้ว่า
    "หมายเรียก" นั่นน่ะ 
    มันก็เหมือนตำรวจกวักมือเรียก "ธนาธร..เชิญมาพบที่โรงพักหน่อยซิ....
    มีคนมาแจ้งความว่า คุณทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๖ แน่ะ คุณจะว่าไง?"
    ก็แค่เนี้ย..........
    แค่ตำรวจเรียกไปบอกให้รับทราบว่ามีคนมาร้องทุกข์กล่าวโทษคุณ
    เหมือนกับทุกคน ไม่ว่า ขี้ข้า ยาจก วณิพก ขอทาน เศรษฐี ผู้ดี ไพร่ 
    จะไพร่หมื่นล้านหรือหมื่นสตางค์ เมื่อถูกกล่าวโทษ ตำรวจก็จะออกหมายเรียกแบบนี้ เหมือนกันหมด
    ไม่ใช่ "อำนาจมืด-อำนาจสว่าง" ยอมปล่อย-ไม่ยอมปล่อย อย่างที่ธนาธร สร้างชุด "วาทกรรมหลอกเด็ก" นั่นหรอก
    แหม....
    "พรรคอนาคตใหม่" ขึ้นหม้อหน่อยเดียว ยังฉวยโอกาส "อ้างประชาชน" หากินเห่ยๆ ได้ขนาดนี้
    ถ้าขึ้นวอเป็น "ฯพณฯ ธนาธร"
    แค่หมาเห่า........
    มิต้องอ้อนให้ประชาชนฟ้องถึงศาลโลกดอกหรือว่า "เกมการเมืองเก่า"
    "เห่าคุกคามพ่อของฟ้า"?
    ที่พูดนี่ ไม่ใช่มาดิสเบรก-ดิสเครดิตอะไร
    หากแต่พูดจากประสบการณ์ "คนร้อยหมายเรียกและหมายศาล" อย่างผม
    สมัยทักษิณครองอำนาจ โรงพักปทุมวัน ผมต้องไปตามหมายเรียก จนเกาต์กำเริบ
    เพราะไปที รอพนักงานสอบสวน กว่าท่านจะมา กว่าจะพิมพ์มือเป็นผู้ต้องหา กว่าท่านผู้กำกับ จะให้ประกัน-ไม่ให้ประกัน 
    ต้องแวะร้านห่านพะโล้แถวๆ โรงพัก บรรทุกใส่ท้องเผื่อต้องเข้าห้องขังซะ เกาต์ล่อเลย
    วันดี-คืนดี เขตมาจับพนักงานบนโรงพิมพ์ตรวจปัสสาวะ บอกเป็นดงสลัม ไม่น่าไว้ใจ
    วันดี-คืนดี อ้างสรรพากร มาตรวจบัญชีบริษัทถึงโรงพิมพ์ เมื่อไม่เจออะไร บัญชีส่วนตัวก็จะตรวจ
    อ้างไทยโพสต์ขาดทุน แล้วอยู่ได้ไง?
    วันดี-คืนดี ปปง.ก็ตั้งข้อหาผมเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร จะยึดบัญชี กระทั่งลูก-เมีย ไปตรวจสอบเรียบ
    แบบนี้ เทียบกับหมายเรียกขี้หมาธรรมดาๆ ที่ธนาธรได้รับ
    อย่างไหนมัน "อำนาจมืด-อำนาจสว่าง"
    ธนาธรบอกซิ?
    ฉะนั้น อย่าดัดจริตให้มันเกินเหตุ
    และอย่าเล่นเล่ห์ฉวยโอกาสใช้ "หมายเรียก" ปลุกระดมแบบนี้ มันจะเป็นสันดานติดตัว
    ถูกอีกข้อหา แล้วจะเก็บฉากยี่เกไม่ทัน! 
    ก็ดูข้อความที่โพสต์ซี อ่านแล้วจะอ้วก
     ....ในเมื่อตลอดปีที่ผ่านมา เวลาเกือบทั้งหมดในแต่ละวันของผม 
    ทุ่มไปกับการพบปะประชาชนใน 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย แทบจะไม่ได้เจอหน้าลูกๆ ด้วยซ้ำ
    ......ผมจะไปตามหมายเรียกครั้งนี้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อพิสูจน์ว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยจะไม่ศิโรราบยอมตนเป็นเครื่องมือเผด็จการ 
    ผมไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจรัฐในมือ ไม่มีมาตรา 44 ไม่มีปืนหรือคุกตะรางไว้จัดการคนที่อยู่ตรงข้าม 
    แต่ผมเชื่อมั่นว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างผม 
    และพร้อมจะแสดงออกว่า พวกเขาไม่ยอมทนกับอำนาจมืดที่จ้องทำลายอนาคตใหม่
    เนี่ย....
    คำก็อำนาจมืด สองคำก็อำนาจมืด แล้วออกลีลาตัวโกง
    "ผมเชื่อมั่นว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างผม" 
    ทำไม...?
    ปลุกระดมคนเป็นล้านๆ ไปล้อมโรงพัก วันที่จะไปรับทราบข้อหางั้นหรือ ที่โพสต์อย่างนี้
    น่าสงสารจังเลย ในหัวใจพ่อมีแต่ฟ้ากับประชาชนส่วน ลูก-เมีย คล้ายส่วนเกินสำหรับพ่อไปแล้ว
    ก็เอาเหอะ....
    ถ้าอยากรู้ตกเป็นผู้ต้องหาด้วยเรื่องใด ก็ไปพบตำรวจซะ เขาจะบอกให้ทราบ
    ถ้ายังไม่อยาก อยากทุ่มเวลาให้ฟ้า-ให้ประชาชน ๖.๓ ล้านก่อน 
    พ่อก็ยังไม่ต้องไป ยังมีเวลารออีก ๒ หมายเรียก
    เห็นมั้ย.......
    ระบบยุติธรรม เขามีขั้นตอนตามกระบวนการ "กับทุกคน" อย่างนี้มาเป็นสิบ-เป็นร้อยปีแล้ว
    ไม่ใช่หมายเรียกธนาธรนี้ เป็นหมายกระบวนการยุติธรรมที่ศิโรราบยอมตนเป็นเครื่องมือเผด็จการ 
    ตามที่ธนาธรบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิด ซึ่งจะนำไปสู่ทัศนคติปฏิปักษ์ของประชาชนมีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
    และที่โพสต์.......
    ผมไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจรัฐในมือ ไม่มีมาตรา 44 ไม่มีปืนหรือคุกตะรางไว้จัดการคนที่อยู่ตรงข้าม 
    ธนาธรเจตนาสื่อถึงอะไร?
    ต้องการสื่อให้คนเข้าใจว่า รัฐบาล คสช.เป็น "อำนาจมืด" จ้องทำลายอนาคตใหม่ของคุณใช่มั้ย ถึงโพสต์อย่างนี้
    ถ้าเขาใช้อำนาจมืด ไม่ต้องรอกระบวนการหมายเรียกตำรวจหรอก 
    ไม่เชื่อก็ลองจุดธูปถามชิปปิงหมู หรือเอกยุทธ อัญชันบุตรดูก็ได้!
    ฟังตามข่าว เห็นเขาว่า เป็นคดีเก่าตั้งแต่ปี ๕๘ แล้วอย่างนี้ จะอ้าง "ประชาชน ๖ ล้าน ๗ ล้าน" จากเลือกตั้ง ๒๔ มีนา ๖๒ ให้ออกมายืนเคียงข้าง จากเรื่องที่ตัวเองก่อไว้ ๓-๔ ปีก่อน นี่มันคือความยุติธรรม 
    หรือความเจ้าเล่ห์ "พ่อของฟ้า" กันแน่?
    หมายเรียก แค่ไปพบตำรวจ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ที่จะเป็น "อำนาจมืด-อำนาจสว่าง" อะไร
    อย่าสร้างบทพระเอกพร่ำเพรื่อ คนเขาจะเบื่อเร็ว เชื่อเถอะธนาธร
    มีพยานหลักฐานยืนยันว่าเราไม่ได้ทำผิดตามที่เขากล่าวหาอย่างไร ก็บอกตำรวจเขาไป 
    ตำรวจฟังแล้ว ระหว่างน้ำหนักหลักฐานเรากับหลักฐานเขา พิเคราะห์แล้ว ฝ่ายไหนพอรับฟังได้กว่ากัน
    ตำรวจก็ "สั่งฟ้อง-สั่งไม่ฟ้อง" ส่งสำนวนให้อัยการพิจารณากลั่นกรองไปอีกที เป็นธรรมดาตามขั้นตอน ไม่มีอะไรพิเศษ
    นอกจากทำ "เรื่องมาก" ไปเอง
    เป็นว่าที่ ส.ส.แล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก สภาเปิด ก็มีเอกสิทธิ์คุ้มกะลาหัว ไปอีกนาน!
    เห็นว่า "อ็องตวน ปิยบุตร" บัดดี้ธนาธรก็ได้รับหมายด้วยเหมือนกันมิใช่หรือ?    
    แค่ "หมายเรียกเป็นพยาน" เป็นอาจารย์กฎหมายผู้จะนำเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
    ไม่เข้าใจหรือ "แค่พยาน" ไม่ใช่ "ผู้ต้องหา" ซักหน่อย ดันโพสต์ซะคน ๖ ล้าน ๓ แสน นึกว่า 
    อ็องตวน ปิยบุตร จะถูกลากเข้ากิโยติน!
    ใจเย็นๆ ก่อนพูด ปิยบุตรเป็นนาย เมื่อพูดไปแล้ว คลิปที่ปิยบุตรพูดทั้งหมด นั่นคือนาย
    ใช่-ไม่ใช่ ถามคุณ "อุ๊ หฤทัย" เขาดูนะ.

“บิ๊กตู่” ซัด หนังสือพิมพ์ ใหญ่ พาดหัวข่าว2 ชั้น ตัวเท่าหม้อแกง



“บิ๊กตู่” ซัด หนังสือพิมพ์ ใหญ่ พาดหัวข่าว2 ชั้น ตัวเท่าหม้อแกง ถามอยากให้ขัดแย้งอีกหรือ จี้ รับผิดชอบกันด้วยนะ แต่ไม่เอ่ยชื่อ ฉบับไหน ไล่สื่อไปหากันเอาเอง เป็นประจำ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า บุคลิกของตนก็เป็นแบบนี้ เพราะอยู่กับทหารมาโดยตลอด จึงพูดแบบนี้พูดเล่นบ้างอะไรบ้าง บางคนไม่คุ้นชิน ก็เอาไปเป็นสาระสำคัญ
โดยเฉพาะสื่อที่จะเอาไปพาดหัว ไม่รู้อะไร ผมขี้เกียจไปรบด้วย ถ้าบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย ทุกคนก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
วันนี้วุ่นวายกันหมดแล้ว กำลังดีเรียบร้อยอยู่ จะให้มันไม่ดีขึ้นมาอีก
ผมขอพูดอีกครั้งในเรื่องการสืบทอดอำนาจ นั้น ผมยืนยันว่าไม่ใช่ นี่คือการเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการ ที่ต้องการให้มีการเลือกตั้งก็ว่ากันไป ผมไม่ได้ต้องการไปเกี่ยวข้อง ผมไปเกี่ยวข้องได้ที่ไหน ไปสั่งเขาได้ที่ไหน เมื่อเลือกตั้งกันมาแล้ว ทุกคนเป็นคนเลือกก็จบกันตรงนั้น แล้วก็ไปแก้ปัญหากันมาให้ได้
พอพูดแบบนี้ เดี๋ยวสื่อเข้าไปรอถามเรื่องต่างๆ เรื่องฟ้องเรื่องไม่ฟ้อง ซึ่งมันไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้าผมถูกฟ้องเมื่อไหร่ ผมก็จะตอบ วันนี้ไม่เกี่ยวกับผม ยังไม่เกี่ยวซักอันนึงเลย
ดังนั้น สื่อไม่ต้องมาถามอะไรผมอีก ผมไม่ตอบ ขี้เกียจตอบ ความขัดแย้งมันเยอะพออยู่แล้ว สื่อก็ถามไม่กี่เรื่อง
พาดหัวหนังสือพิมพ์แล้วก็ ให้ผมไปตอบ พวกท่านก็เขียนต่ออีก อย่างวันนี้หนังสือพิมพ์รายใหญ่ฉบับหนึ่ง พาดหัวข่าวสองชั้น ตัวเท่าหม้อแกง ถามว่าท่านต้องการความขัดแย้งอีกหรืออย่างไร รับผิดชอบกันด้วยนะ ไม่อยากเอ่ยชื่อ ไปหากันเอาเอง เป็นประจำ”

อาทิตย์ อุไรรัตน์:กระตุก กับดักวาทกรรม

4 เม.ย.62 ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต และอดีตประธานรัฐสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Arthit Ourairat ดังนี้

ผมคิดว่าเรากำลังหลงประเด็นและผิดประเด็นในการต่อสู้โจมตีกันทางการเมือง
ประเด็นการเมืองตอนนี้ไม่น่าใช่:
.ทหาร- พลเรือน
.เผด็จการ-ประชาธิปไตย
.ประยุทธ-ทักษิณ
.สืบทอดอำนาจ-ไม่สืบทอดอำนาจ
.ล้มเจ้า-ไม่ล้มเจ้า
.คนรุ่นใหม่-คนรุ่นเก่า

แต่น่าจะเป็น:
.ปฏิรูป-ไม่ปฏิรูปประเทศ
.คอรัปชั่น-ไม่คอรัปชั่น
.บริหารได้ผลดี-บริหารไม่ได้ผลดี
.บริหารเพื่อนายทุนพวกพ้อง-บริหารเพื่อประชาชนยากจนส่วนใหญ่
.มีธรรมาภิบาล-ไม่มีธรรมาภิบาล

ถ้าตั้งโจทย์ผิด เราก็ไม่ได้คำตอบที่ถูก
อย่าเสียเวลาไปมากกว่านี้เลย ชีวิตเราเหลือน้อยกันเต็มทีแล้ว
ตั้งเป้าหมายให้ถูก
ตั้งโจทย์ให้ถูก
ตั้งประเด็นให้ถูก
ว่าเราต้องการอะไร?

“ธนาธร” แจง ปมหมายเรียก ม.116 ยัน ไม่ได้พาหลบหนี แค่พา “โรม” ไปส่ง

“ธนาธร” แจง ปมหมายเรียก ม.116 ยัน ไม่ได้พาหลบหนี แค่พา “โรม” ไปส่ง เพื่อให้กำลังใจ ผิดหรือถูกให้สังคมตัดสิน ซัด เผด็จการเล่นมุขเดิมพาไทยจมอยู่ในอดีต เรื่อง”สถาบัน-ทักษิณ”  

4 เม.ย. 62 เวลา 16.40 ที่สยามสแควร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ถูกหมายเรียก ในวันที่ 6 เม.ย. ว่า ในวันที่ 6 เม.ย. ตนจะเดินทางไป สน.ปทุมวัน เวลา 10.00 น. ตามหมายเรียก เพื่อแสดงความจริงใจ ซึ่งกรณีดังกล่าว ตามข่าวที่ปรากฎ ระบุว่า เรื่องดังกล่าวเกิดเมื่อเดือน มิ.ย. 2558 มีกลุ่มนักศึกษาที่ออกมารณรงค์ ครบรอบ 1 ปี รัฐประหาร ในวันที่ 22 พ.ค. 2558  ก่อนที่เยาวชนกลุ่มนี้จะโดนคดีความ ทำให้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าไปให้กำลังใจที่บริเวณ หน้าสน.ปทุมวัน ในวันที่ 24 มิ.ย. 2558 เท่าที่ตนจำได้ รถคันที่ใช้ในวันเกิดเหตุ น่าจะเป็นรถของบริษัทที่มีคุณสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นกรรมการผู้จัดการ 

“ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางไปให้กำลังใจ เยาวชนกลุ่มนี้ด้วย เมื่อผมไปถึง สน.ประมาณช่วง 2-3 ทุ่ม พอตกดึก เมื่อเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับการปล่อยตัวมาจาก สน. ผมอยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เมื่อพบกับ นายรังสิมันต์ โรม หนึ่งในสมาชิกของเยาวชนกลุ่มนี้ที่ริมถนน ผมเลยถามเขาว่า ออกมาแล้ว กำลังจะไปไหน ผมเลยอาสาไปส่งที่ที่เจ้าตัวต้องการไปให้ เรื่องเป็นแบบนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน การที่คุณรังสิมันต์เดินออกมาจาก สน.ได้ แสดงว่า เขาได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ใน สน.ออกมาแล้ว ผมไปเจอเขาอยู่ข้างถนน กำลังเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ผมจึงอาสาไปส่ง เพื่อให้กำลังจิตกำลังใจกัน ซึ่งผมพร้อมชี้แจงทุกประเด้นในเรื่องนี้” นายธนาธร กล่าว 
เมื่อถามว่า มองอย่างที่โดนข้อกล่าวหา มาตรา 116 นายธนาธร กล่าวว่า นี่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคอนาคตใหม่ เป็นการพยายามทำลายฝั่งตรงข้ามกับการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ 
ถามต่อว่า มองว่า แปลกหรือไม่ เมื่อคดีดังกล่าวผ่านมา 4 ปีแล้ว แต่พึ่งจะโดนออกหมายเรียก นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องให้สังคงช่วยกันพิจารณา ส่วนตัวไม่มีความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ 
“ผมคิดว่า มีความเป็นไปได้ 2 อย่าง คือ 1.พยายามเบี่ยงเบนความสนใจของสังคมออกจากเรื่องความผิดปกติของการเลือกตั้ง และความกดดันที่มีต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2.ความพยายามที่จะทำลายพรรคอนาคตใหม่ รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จากความกลัว การเติบโตขึ้นของพลังผู้ที่ต่อต้านการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ” นายธนาธร กล่าว 
เขากล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่า หากกระบวนการยุติธรรมและโปร่งใสจริง ตนเชื่อว่า คดีที่เกิดกับตน นายปิยบุตร และพรรคอนาคตใหม่ทั้งหมด ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมายเพียงพอที่จะลงโทษเราทุกคดี เราเชื่อในความบริสุทธิ์ใจ 
เมื่อถามว่า ช่วงสัปดาห์นี้ นายปิยบุตร โดนโจมตีเรื่องเกียวกับ ม.112 ได้มีการคุยกับนายปิยบุตรบ้างหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนต้องเรียนว่า นายปิยบุตรยังมีกำลังใจเข้มแข็งดี พวกเราพรรคอนาคตใหม่ ยืนยันว่า นายปิยบุตรเป็นเสาต้นที่สำคัญของพรรคอนาคตใหม่ ในเมื่อวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้ต่อไป ซึ่งนายปิยบุตรเอง ก็ตอบชัดแล้ว ทั้งใน รายการทีวี ในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งการใช้เรื่องสถาบัน หรือคุณทักษิณ มาโจมตีศัตรูทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องเก่า 
คำถามคือ เราจะอยู่กับอดีตอย่างนี้ไม่เรื่อยๆรึเปล่า หรือเราจะเดินหน้าไปสู่อนาคต ที่ยังมีความท้าทายในสังคมไทยอีกเยอะแยะไปหมดที่รอการจัดการ กลุ่มคนที่ใช้การเมืองเก่าเล่นงานคู่ต่อสู้ทางการเมือง คือกลุ่มคนที่พยายามดึงประเทศไว้ให้อยู่ในอดีต พรรคอนาคตใหม่ต้องการพาสังคมไทยเดินสู่อนาคตที่คนเท่าเทียมกัน อย่าใช้ข้อกล่าวหานี้ทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมืองอีกเลย เพราะข้อกล่าวหานี้ใช้ไม่ได้ผลแล้ว  

“ต่อเนื่องกับกรณีของนาย ปิยบุตร ที่มีประชาชนล่ารายชื่อ ไม่ให้นายปิยบุตรเป็น ส.ส. ทำหน้าที่ในสภา ซึ่งมีประชาชนลงชื่อราวหมื่นกว่าคน ในทางกลับกัน ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ กกต.แล้วลงชื่ออนไลน์ เกือบถึงหนึ่งล้านคนแล้ว เช่นเดียวกับประชาชนที่ลงชื่อถอดถอน พล.อ.อภิรักษ์คง สมพงษ์ ผบ.ทบ.มีกว่า 30,000 คน ซึ่งเยอะกว่าที่ลงชื่อถอดถอนนายปิยบุตรเสียอีก ดังนั้นก็ชัดเจนว่า เสียงที่สังคมส่งเสียงอยู่ คือเสียงของการเรียกร้องให้ประเทศไทยกลับมาสู่ ความเป็นประชาธิปไตย ความเป็นนิติรัฐ” นายธนาธร ระบุ

สัญญาณแรงถึง "เศรษฐี" ชี้ขาดพื้นที่สู้รบ "โซเชียลมีเดีย"

สถานการณ์การเมืองในขณะนี้คงยากปฏิเสธว่า “หลักการ” และ “เกม” เป็นเรื่องที่ทับซ้อนกันอยู่ทางการเมือง เมื่อนำสองส่วนมาผสมกัน เลยกลายเป็นพื้นที่สงครามของคนในสังคมที่มีความเห็นต่าง เริ่มปะทะทางความคิดเห็นกันอย่างรุนแรงมากขึ้น

พื้นที่สงครามการเมืองของประเทศไทย ที่ยกขบวนจากท้องถนนขึ้นมาอยู่ในโลกของ “โซเชียลมีเดีย” ไม่ได้แยกพื้นที่ของการเลือกขั้ว-แบ่งข้าง มาอยู่ในโลกเสมือนจริงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่การเคลื่อนตัวของความขัดแย้งมีแนวโน้มจะหมุนเข้าสู่วัฏจักรเดิม ที่การเผชิญหน้าอาจกลับลงสู่ท้องถนนได้อีกครั้ง ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้ที่เล่นเกมอำนาจในปัจจุบัน

วาทกรรม ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ ถูกป้อนสู่พื้นที่ของข่าวเพื่อใช้ในการต่อสู้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การจัดหมวดหมู่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกองทัพ เป็นฝ่ายเดียวกัน โดยมีตัวเร่งสถานการณ์เป็นภาพของคนในสถาบันหลักเข้ามาเป็นองค์ประกอบของการต่อรอง ตัดด้วยภาพของ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่สื่อสารผ่านทวิตเตอร์เชิงสัญลักษณ์ ที่แปลความได้ว่า สู้ยิบตา

โต้กลับด้วยคำแถลงของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางเมืองที่เริ่มมีความเคลื่อนไหว ปลุกระดม ให้เกิดการเผชิญหน้าเริ่มออกมาเป็นระลอก

"หลายคนเป็นนักธุรกิจ พอเติบโตกันขึ้นมา มีเงินมีทองขึ้นมาก็เพราะแผ่นดินไทยหรือไม่ ผมชื่นชมเศรษฐี มีอำนาจ มีบารมี หลายคนที่ได้ผิดพลาดกระทำความผิดทุจริต คอร์รัปชันหรือโกงอะไรก็แล้วแต่ แต่เขาเหล่านั้นยอมรับกติกาของประเทศ ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่มันเกิดขึ้น ยอมรับว่าศาลของประเทศไทยได้ถูกตัดสินแล้วว่าเขาจะต้องถูกจำคุก หลายท่านต้องถูกเข้าจำคุกทั้งๆ ที่มีเงิน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ท่านยอมรับกระบวนการยุติธรรม ...

..ผมต้องขอยกย่อง และหลายท่านก็ออกมันแล้ว มาใช้อย่างเสรีภาพ กลับมาอยู่กับครอบครัว นี่คือคนมีน้ำใจนักกีฬา คนที่ยอมรับกระบวนการตัดสิน หลายท่านมีเงินพร้อมที่จะหนีออกนอกประเทศ แต่ท่านยอมรับกระบวนการในการตัดสินของกระบวนการยุติธรรมไทย มิใช่ทำอะไรผิดแล้วก็บอกว่าตัดสินแบบนี้ยอมรับไม่ได้ ไม่เคยยอมรับกระบวนการ แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร ในเมื่อศาลสูง ศาลฎีกาเป็นผู้ทรงอำนาจด้านการยุติธรรมสูงสุดของประเทศ"

มื่อเกมของ "เสียงประชาชน" เป็นต่อให้กับพรรคเครือข่ายเศรษฐี การขับเคลื่อนของ กกต.ในระหว่างนี้จึงตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของห้วงเวลาและความกดดันจากสังคม

การเคลื่อนตัวของกองทัพที่เริ่มต้นจากการที่มูลนิธิโรงเรียนเตรียมทหารถอดชื่อของ "ทักษิณ" ออกจากทำเนียบศิษย์เก่าดีเด่นด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่สามารถรักษาเกียรติแห่งรางวัลไว้ได้ ด้วยการกระทำที่ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ จาบจ้วง ตามมาด้วยพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ริบเครื่องเครื่องราชฯ ตามมาติดๆ เป็น "สัญลักษณ์" ที่ทุกคนรู้ดีว่าหมายความว่าอย่างไร

การออกมาแถลงเพื่อแสดงท่าทีของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ ที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ในโอกาสครบรอบ 112 ปี จึงตอกย้ำในเรื่องการทำหน้าที่ของกองทัพในการรักษาสถาบันกษัตริย์ ประโยคอย่าง ซ้ายจัด-ดัดจริต ซ้ายตกขอบ ไปเรียนต่างประเทศมาแล้วคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จึงถูกงัดขึ้นมาเป็นอาวุธสำคัญ
ตอกย้ำหลังจากคลิปการพูดของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" ที่เกี่ยวข้องกับระบอบการปกครอง ถูกปล่อยออกมาไม่นาน รวมถึงคดีความของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่ถูกขับเคลื่อนให้เห็นผลทางปฏิบัติ

เลยไปถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มล่ารายชื่อถอดถอน กกต. การปลุกให้ขบวนการนิสิต นักศึกษา ให้ออกมาต่อต้านเผด็จการ เลยเถิดไปถึงภาพในวังวนเดิม ทั้งตุลาวิปโยค-พฤษภาทมิฬ ที่เผด็จการทหารถือปืนออกมายิงเยาวชนผู้บริสุทธิ์

เป็นบทเรียนที่ทหารต้องเห็นถึง "ผลลัพธ์" อยู่แล้วว่าจะนำไปสู่จุดไหน!!!

การแสดงบทบาทของผู้นำกองทัพ ในฐานะผู้ปกป้องสถาบันในยุคนี้ จึงต้องหลีกเลี่ยงการนำไปสู่สถานการณ์ "ขวาพิฆาตซ้าย" ในอดีต โดยใช้กำลัง-กฎหมาย บังคับให้เกิดการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง

แต่ใช้ "ข้อมูลข่าวสาร" ในโซเชียลมีเดีย เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเข้าใจกับสังคม และเป็นตัวชี้ขาดในการแย่งชิงฐานมวลชนที่สนับสนุน ซึ่งกองทัพก็ "ไม่ถนัด" ในสนามต่อสู้ลักษณะนี้

"กองทัพมีจุดอ่อนในเรื่องของการใช้โซเชียล ในขณะที่สื่อบางชนิดหรือบางแบบสามารถที่จะเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของ Generation อีก Generation หนึ่ง หรือคนยุคใหม่ซึ่งในการรับรู้ก็เพียงแต่จะให้คนรับรู้ในส่วนเช่นเดียวกับข่าว ที่ผมพูดออกไปยาวๆ แต่ไปตัดให้คนรู้เพียงสั้นๆ และปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อโซเชียลนั้นเป็นทรงอานุภาพยิ่งกว่าอาวุธที่กองทัพมีอยู่" พล.อ.อภิรัชต์กล่าว

ปฏิบัติการข่าวสาร หรือไอโอ ที่ไม่ได้มีเฉพาะแต่กองทัพ แต่พรรคการเมืองยุคใหม่ก็ใช้แนวทางนี้ในการแข่งขันทางการเมือง ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อผลิตซ้ำ สร้างภาพจำขายภาพลักษณ์ของ "ผลิตภัณฑ์" ผ่านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ในเชิงบวก ผสมคลุกเคล้าเข้ากับอารมณ์น่าเห็นอกเห็นใจ ในฐานะผู้ที่ตกเป็นเบี้ยล่าง ถูกผู้มีอำนาจกดทับความยุติธรรม

ในขณะที่กองทัพ แม้จะมีการ "ไอโอ" แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงมวลชนได้ ด้วยวิธีการและวิธีคิด ในการมองเป้าหมาย ขาดการสื่อสารแบบเปิดกว้าง

การปรับยุทธวิธีของ "กองทัพ" ต่อจากนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามในการแย่งชิงกระแสในโซเชียลมีเดียกลับคืนมา เพราะต้องยอมรับว่า "กระแส" และ "มวลชน" มีส่วนสำคัญในชัยชนะของพื้นที่ทางการเมือง

จากกระแสติดแฮทแท็ก "ทวิตเตอร์" ว่า ซ้ายจัดดัดจริต เมื่อวันจันทร์ ที่ติดอันดับยอดฮิตในกระทู้การเมือง แต่คล้อยหลังวันเดียว เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "รุก" ทางคดีกับ "ธนาธร" ปรากฏว่าแฮทแท็ก "เซฟธนาธร" ก็กลับมาติดอันดับยอดฮิตขึ้นมาทันที

จะด้วยธรรมชาติของสังคมที่ "สงสาร" ผู้ถูกกระทำจากผู้ถืออำนาจรัฐ หรือเป็นเรื่องทางเทคนิคที่ทำให้กระแสดังกล่าวกลับมาอีกครั้ง แต่การยึดกุมพื้นที่ในโซเชียลมีเดีย จากแฟนคลับของเหล่าบรรดา "ฟิวเจอร์ริสต้า" ก็ทำให้กระแส "ธนาธร" กลับมา "ฟู" ได้อีกครั้ง

แนวรบในโลกโซเชียลมีเดีย จึงเป็นพื้นที่ที่ทรงพลังและทรงอานุภาพกว่าอาวุธของกองทัพ ตามที่ "บิ๊กแดง" มองเห็น และน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองในยุคเปลี่ยนผ่านนี้!!.

'จตุพร'กังขากกต.'พลาด'หรือ'จงใจ' ซัดแรงทำเลือกตั้งหมดความน่าเชื่อถือ



4 เม.ย.62 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ  (นปช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการนับคะแนนบัญชีรายชื่อของกกต.ว่า กกต.มั่วตั้งแต่ต้น ความจริงต้องศึกษาข้อกฎหมายให้เสร็จสิ้นกระบวนความก่อนที่จะมีการจัดการเลือกตั้ง ไม่ใช่ว่าเลือกตั้งเสร็จ มาควานหาว่าวิธีการคิดเป็นอย่างไร ทุกอย่างจึงนำไปสู่ความไม่น่าเชื่อถือ แม้กระทั่งข้อเสนอล่าสุดที่ว่า พรรคใดไม่ได้ ส.ส.เขตจะมาคำนวณบัญชีรายชื่อไม่ได้ นี่ก็จะเป็นปัญหาใหม่ขึ้นมา เพราะทุกคนก็ไม่เคยมีความชัดเจนในเรื่องนี้กันมาก่อน เพราะต่างเข้าใจกันว่าอยู่ที่จำนวนเสียง ตนเองเห็นว่าบ้านเมืองมาถึงจุดที่ว่า เหนือกว่าเรื่องการนับคะแนน การจัดการบัญชีรายชื่อ คือ การจัดการเลือกตั้ง ไม่เป็นไปด้วยความสุจริต และเที่ยงธรรม ตามคำขวัญของ กกต. ตนเชื่อว่ามีความจงใจให้ตัวเลขไม่เท่ากัน เพราะว่ามันไม่มีเหตุผลเป็นอย่างอื่น ในการบวกลบคูณหาร เพราะจำนวนยอดผู้มาใช้สิทธิทั้งสองครั้งที่ได้มีการแถลงข่าวในวันที่ 24 มี.ค.และ 28 มี.ค.นั้น ต่างกันถึง 4 ล้านคน

"ผมไม่เชื่อว่า กกต.จะผิดพลาดถึงขนาดนั้น จึงขอตั้งข้อสงสัยว่า เป็นความตั้งใจวางประเด็นกันไว้หรือไม่ รวมถึงประเด็นเรื่อง บัตรดี กับคะแนนพรรคการเมืองห่างกันถึงสองล้าน  ตนว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นปัญหาที่จะต้อง คิดกันต่อว่า กกต.ทำไปเพื่ออะไร ตัวเลขให้เท่ากันสองยอดไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่เหมือนกับจงใจให้ตัวเลขสองยอดไม่เท่ากัน ซึ่งก็ต้องคิดกันต่อว่าทำไปเพื่ออะไร ที่มากกว่าเรื่องบัญชีรายชื่อคือ การเลือกตั้งทั้งระบบมันหมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว " ประธานนปช.กล่าว

และว่าความจริงการนับคะแนนต้องมีการถ่ายภาพกระดานที่เขานับ ไม่ใช่ว่าแค่ส่งเข้าแอพเป็นตัวเลขยอดคะแนน ซึ่ง คะแนนมันหายแบบผิดสังเกต หลากหลายเรื่องราวมาก ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่ง ไปเลือกตั้ง 7 คน แต่พอมาดูการนับคะแนน ในจุดเลือกตั้งนั้น พรรคที่เลือกกลับไม่ได้สักคะแนนเดียว เป็นต้น  แต่เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องเล็ก เพราะเรื่องใหญ่ก็คือว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ คนมีความสงสัยกันทั้งหมด ตนจึงได้บอกว่ามันเกินคำว่าสกปรกไปแล้ว ปัญหาก็คือ จะเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นกลับมาอย่างไร เพราะฉะนั้น การนับคะแนนเรื่องบัญชีรายชื่อ จะนับอย่างไรก็ตามสบาย แต่ว่ามันหมดความน่าเชื่อถือกันไปหมดแล้ว
"การเลือกตั้งมันไม่ใช่ทางออก แต่มันเป็นปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้ว  แม้กระทั่งสามารถเคลียร์ได้ ตอบได้ทุกข้อสงสัย ตัวเลขก็ไปไม่ได้อยู่ดี “อย่างที่ผมเคยอธิบายว่า แจกใบแดง เหลือง ส้ม ดำ ขาว ตัวเลขก็จะไม่เปลี่ยน เพราะคนเลือกเป็นซีกกันไปแล้ว แต่ก็มีอีกหลาย ๆ อย่าง เช่น การรับรองไม่ครบตามจำนวน เพราะกฎหมายให้รับรอง 95 % ถ้าเว้นไว้ 5 % ก็เท่ากับ 25 เขต ตัวเลขก็เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผล แต่อย่างไรประเทศก็ไปไม่ได้อยู่ดี ตนว่า ณ ขณะนี้ เอาเรื่อง กกต.ก่อน ทำให้คนไทยสบายใจเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาคิดกัน ส่วนเรื่องการนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์อย่างไรก็เอาที่สบายใจ”นายจตุพร กล่าว
ส่วนกรณีมีการเรียกร้องให้เปิดเผยผลคะแนนดิบว่า จากตัวเลขที่ไม่เท่ากัน ก็เป็นการอธิบายแล้วว่าจะไม่มีการเปิดตัวเลขคะแนนดิบกัน แม้ว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลังจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม ตนเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่มีการเปิด แม้ความจริงควรจะต้องเปิด เพราะคนเขาจะได้รู้ว่าใครเลือกใคร แต่ตนเชื่อว่า สถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครยอมที่จะให้เปิด ซึ่งก็จะยิ่งสร้างความน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็จะไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย  การเลือกตั้งควรจะเป็นความโปร่งใส สุจริต เที่ยงธรรม สบายใจกันทุกฝ่าย ทั้งผู้แพ้ และผู้ชนะ และผู้เลือกคือประชาชน ดังนั้นตนคิดว่า ถ้าสุจริต โปร่งใส กกต.ก็ควรเปิดเผยตัวเลขคะแนนดิบแต่ละเขต เพราะข้อเรียกร้องที่มีการเรียกร้องอยู่ในขณะนี้ คือ การเรียกร้องให้เปิดเผยความจริง ถ้ามันเป็นความจริงแล้วก็ไม่ควรจะปกปิด แต่ตนเชื่อว่า ลีลาแบบนี้จะไม่ยอมเปิด

ทางสองแพร่ง

การจับขั้วรัฐบาลหลังเลือกตั้งชุลมุนฝุ่นตลบ เพราะการรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส.จาก กกต.ยังไม่ออกมา

แม้พรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง และพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะพรรคอันดับสอง ประกาศตัวชิงกันเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

แต่เมื่อทั้ง 2 พรรค ได้ที่นั่งว่าที่ ส.ส. ไม่ห่างกัน เพื่อไทย 137 เสียง พลังประชารัฐ 116 เสียง ไม่มีใครได้ที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ที่มี ส.ส. 500 คน

แถมพรรคขนาดกลาง ก็แบ่งขั้วแบ่งข้างกันชัดเจน ทำให้การจับมือรวมขั้วเป็นเสียงข้างมาก ทำได้ยากลำบาก

ไม่ว่าขั้วไหน เพื่อไทย หรือ พลังประชารัฐ รวมเสียงข้างมากได้ แต่ก็คงหนีไม่พ้นสภาพเสียงปริ่มน้ำอยู่ดี

ขณะที่ตัวแปรสำคัญอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ พ่ายแพ้เลือกตั้งยับเยิน ได้ว่าที่ ส.ส.เข้ามาเพียง 52 ที่นั่ง เสียฐานใน กทม.ชนิดสูญพันธุ์ ไร้เก้าอี้ ส.ส. แถมภาคใต้ฐานหลักอีกแห่ง ก็โดนเจาะพรุน แต้มโบ๋หลายจังหวัด

ส่งผลให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม่ทัพเลือกตั้ง ที่ประกาศตัวเป็นขั้วที่ 3 ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากที่ฝันจะเป็นขั้วใหญ่ ก็เลยกลายเป็นแค่พรรคตัวแปร

แต่ที่หนักกว่านั้น นอกจากประชาธิปัตย์แพ้ยับเยินในสนามเลือกตั้งแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องความเป็นเอกภาพ

เกิดอาการแตกร้าวภายในพรรคอย่างรุนแรง!!!

ระหว่างขั้ว “อภิสิทธิ์” ที่มี ชวน หลีกภัย และ บัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นแบ็กอัปหลัก กับขั้วของเครือข่าย “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค ปชป. ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่มี “ถาวร เสนเนียม” ว่าที่ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหอก

เปิดฉากประลองกำลังกันในวันประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดรักษาการ เพื่อเตรียมจัดงานวันสถาปนาพรรค 6 เม.ย.และเตรียมจัดประชุมใหญ่เลือกตั้ง กก.บห.พรรคชุดใหม่

โดย แกนนำเครือข่าย “ลุงกำนัน” ที่มีธงจะเข้าร่วมรัฐบาลกับ พรรคพลังประชารัฐ แสดงเจตนาอยากให้เลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่โดยเร็ว เพื่อรีบกำหนดทิศทางการเมือง

พร้อมเดินเกมที่จะให้ กก.บห.พรรคชุดใหม่ และ ส.ส.ที่ชนะเลือกตั้งรอบนี้เป็นผู้ตัดสินใจอนาคตพรรคในการเข้าร่วมรัฐบาล

หวังผลให้เครือข่าย “ลุงกำนัน” มีน้ำหนักในการโหวตเพื่อนำค่ายประชาธิปัตย์ เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ หนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เบิ้ลเก้าอี้นายกฯ

แต่ก็โดน “ชวน หลีกภัย” กุนซือใหญ่ของ “อภิสิทธิ์” สั่งเบรก อ้างการตัดสินใจของพรรคจะเดินไปทิศทางไหนยังมีเวลา รอให้ กกต.รับรองผลเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ 9 พ.ค.ก่อน ค่อยมาตัดสินใจก็ยังไม่สายเกินเพล

ทำให้ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค ปชป. รีบรับลูก วางคิวให้มีการประชุมใหญ่เลือก กก.บห.ชุดใหม่ ไปหลังวันที่ 9 พ.ค.โน่นเลย

ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในพรรค ซึ่งอิงอยู่กับขั้ว “ชวน-บัญญัติ-อภิสิทธิ์” ก็ชิงจุดพลุ เสนอให้พรรค ปชป.เป็นฝ่ายค้านอิสระ อยู่ตรงกลางโด่เด่ไม่ร่วมสังฆกรรมทั้งพลังประชารัฐ และเพื่อไทย

สุดท้าย ถ้ามติพรรคออกมาแนวนี้จริงๆ รับประกันซ่อมฟรี “กองทัพงูเห่า สายลุงกำนัน” แผลงฤทธิ์แน่

คิวนี้เดิมพันสูง เอฟเฟกต์รุนแรงถึงขั้นพรรคแตก ไม่เชื่อคอยดู???

“พ่อลูกอิน”

เบรคมุกเก่า

รัชกาลนี้ต้องไม่มีม็อบ

ย้อนไปดูข่าวก่อนหน้าห้วง 1-2 ปีที่ผ่านมา สังเกตว่า “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. จะย้ำในทุกโอกาสที่เดินสายลงพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะในภาคอีสาน

ส่งสัญญาณถึงเวลาบ้านเมืองต้องกลับสู่ความสงบ อย่าตกเป็นเครื่องมือเกมปั่นมวลชน

ล่าสุด “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศประจำประเทศไทย ประกอบด้วย CNN, AFP, NHK, EPA, Japanese News Agency, ABC Australia, CNA Singapore ฯลฯ ประกาศจุดยืนกองทัพชัดๆให้รับรู้กันทั่วโลก

ยอมไม่ได้ให้คนไทยไปต่อสู้กันบนถนนอีก

ทุกคนต้องยอมรับกติกา คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ 9 พฤษภาคม ซึ่งนายกรัฐมนตรีพยายามควบคุมให้ทุกอย่างแฟร์

ส่วนจะแฟร์หรือไม่แฟร์อยู่ที่ตัวบุคคล เมื่อคนแพ้ไม่พอใจก็หาเรื่อง

ส่งสัญญาณชัดๆแบบที่ต่างชาติเข้าใจง่ายๆ ในอารมณ์ขบวนการจ้องป่วนไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย

พวกปั่นเกมมวลชน ปลุกม็อบกดดัน เจอของหนักแน่

ทหารแกะรอยความเคลื่อนไหวได้ โดยสถานการณ์น่าจะมาจากจุดที่แกนนำระดับหัวโจกคนเสื้อแดงยึดแยกราชประสงค์ ระดมมวลชนตั้งโต๊ะล่ารายชื่อถอดถอน กกต. ประกาศให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ห้ามพรรคอื่นแข่งตั้งนายกรัฐมนตรี

แบไพ่ทีมดูไบที่ถือ “แต้มรอง” โอกาสพลิกขั้วชิงอำนาจคืนลำบาก

จากรูปการณ์บังคับให้จนกระดาน เหลือประตูเดียวต้องวัดใจด้วยการปลุกม็อบปั่นเกมมวลชน

ฝ่ายคุมเกมความมั่นคงจึงต้องเทกแอ็กชัน คำรามขู่กลับแรงๆ

เรื่องของเรื่อง กระแสกดดัน กกต.มันลุกลามไวผิดธรรมชาติ แข่งกับไฟป่าภาคเหนือ

โดยเฉพาะอารมณ์แนวร่วมนักศึกษา โฟกัสข้อเรียกร้องจากองค์กรนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆก็ไม่เหมือนกัน บางมหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ขอแค่ให้ กกต.ชี้แจงเพื่อความโปร่งใส บางสถาบันก็ขอให้มีการเปิดเผยคะแนนดิบชัดๆ มีไม่กี่แห่งตั้งธงถอดถอน กกต.สถานเดียว

มุ่งไปที่นักศึกษาโข่งอย่าง “จ่านิว” กับขบวนการหน้าเดิมๆเป็นตัวชูโรง

นั่นหมายถึงนักศึกษาส่วนหนึ่งก็แค่แสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ของพลังตรวจสอบทางสังคม ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของขบวนการที่พยายามจุดไฟ กระพือควัน

เคลมเป็นกระแสต่อต้าน กกต.ที่เอื้อประโยชน์การสืบทอดอำนาจ “ลุงตู่”

เด็กรุ่นใหม่รู้ทัน ผู้ใหญ่รุ่นเก่าที่หลอกใช้ด้วยมุกปลุกม็อบเดิมๆ

แต่ที่ยังต้องคุมเกมกันให้ดีๆกับมุกปลุกม็อบเดิมๆของขบวนการหน้าใหม่

ล่าสุด “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ป่าวประกาศผ่านโซเชียลมีเดียระดมกองหนุนด่วน หลังโดนหมายเรียกให้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ

โดยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และให้ไปรายงานตัวที่ สน.ปทุมวัน วันที่ 6 เมษายนนี้ เวลา 10 โมงเช้า

ในอารมณ์ที่นายธนาธรประกาศ จะไปตามหมายเรียกครั้งนี้แสดงความบริสุทธิ์ใจ เพื่อพิสูจน์ว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยจะไม่ศิโรราบยอมตกเป็นเครื่องมือเผด็จการ โดยไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจรัฐ ในมือ ไม่มีมาตรา 44 ไม่มีปืนหรือคุกตะรางไว้จัดการคนที่อยู่ตรงข้าม

“แต่ผมเชื่อมั่นว่ามีประชาชนหลายล้านคนที่รักความเป็นธรรม ยืนเคียงข้างผม และพร้อมจะแสดงออกว่าพวกเขาไม่ยอมทนกับอำนาจมืด ที่จ้องทำลายอนาคตใหม่ แล้วพบกันครับ”

“ไพร่หมื่นล้าน” เดินตามรอย “ทักษิณ”

ปลุกม็อบกดดันกลับฝ่ายความมั่นคง

แข็งขืนใส่กระบวนการยุติธรรม โวยโดนรังแกทางการเมืองเพราะฝ่ายคุมอำนาจกลัวสู้ไม่ได้

สคริปต์เดียวกับ “นายใหญ่” ทีมดูไบเป๊ะ

ตามเงื่อนไขสถานการณ์ปมเลือกตั้งกับปมป่วนโยงสถาบันกำลังไหลรวมเป็นคนละเรื่องเดียวกัน

นั่นจึงเป็นอะไรที่ต้องรีบดับไฟแยกเป็นกองๆ ก่อนอื่นใดในปมเลือกตั้งก็อย่างที่เซียนการเมืองที่เชี่ยวทิศทางลมอย่างนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ ออกมาแนะ กกต.ต้องพยายามสร้างความเข้าใจและทำให้ชัดเจน เปิดเผยรายละเอียดต่างๆ

โดยเฉพาะวิธีการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 นั้นเป็น เช่นไร เพื่อไม่ต้องให้มีใครมาวิพากษ์วิจารณ์และมีคนโจมตีอยู่ทุกวัน

ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่เห็นกันอยู่ กับเหลี่ยมเขี้ยวของขั้วดูไบที่ฟาวล์ จัดตั้งได้แค่ “รัฐบาลลม”

ปล่อย “สูตรเถื่อน” คิดตัวเลขเข้าทางตัวเอง กดดันตีกินสูตรจริง กกต.

ทีมข่าวการเมือง

รายงาน : วิกฤต เลือกตั้ง วิกฤต โลกยุค ดิจิทัล วิถี ‘อนาล็อก’

รายงาน : วิกฤต เลือกตั้ง วิกฤต โลกยุค ดิจิทัล วิถี ‘อนาล็อก’



ต้องยอมรับว่า “ภูมิทัศน์” ทางการเมืองได้เปลี่ยนไป พลันที่ผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม สังคมประเทศไทยก็เป็นเหมือนกับการเปลี่ยนผ่านของฤดู

เมื่อฤดูมีการเปลี่ยน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ต้องเปลี่ยน

จากหน้าหนาวไปยังหน้าร้อนก็เป็นอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกัน เมื่อร่องรอยแห่งฝนเริ่มตั้งเค้าก็ต้องมีการตระเตรียมร่มและเสื้อกันฝน

นี่เป็นธรรมดาของธรรมชาติ นี่เป็นธรรมดาของคน

กล่าวในทางการเมืองเด่นชัดยิ่งว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ได้นำสิ่งใหม่และปัจจัยอันสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างสูง

เพราะห่างเหินมา 8 ปี เพราะอยู่ในบรรยากาศอึดอัดมาเกือบ 5 ปี

อย่างน้อยบรรยากาศในห้วงแห่งการหาเสียงก็เป็นสัญญาณเตือน อย่างน้อยการปรากฏขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ก็เป็นเครื่องบ่งบอกว่านี่คือการเลือกตั้งอันจะต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

แต่ดูเหมือนว่าผ่านมา 7 วันหลายคนก็ยังอยู่กับโลกเก่า

ตัวอย่างอันบ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงและการไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดเป็นอย่างมาก คือ กระบวนการของ กกต. และปฏิกิริยาอันเกิดจากความหงุดหงิดต่อ กกต.

เสียงจาก กกต.เหมือนกับยังจมนิ่งอยู่กับยุค “อนาล็อก”

เสียงอันดังมาจาก คสช. เสียงอันดังมาจาก ผบ.เหล่าทัพ ก็แทบไม่แตกต่างไปจาก กกต. แทบไม่แตกต่างไปจากคนที่ยังอยู่ในโลกเก่า

เป็นโลกหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

นั่นก็คือ ยังเห็นแต่ “คนหน้าเดิม” ในแบบจ่านิว หรือเอกชัย เท่านั้นที่ออกโรง กระทั่งมองข้ามสภาพที่เป็นจริงจาก “นิวโหวตเตอร์” กว่า 7 ล้านคน

นั่นก็คือ มองว่าคนเหล่านี้โยงไปยังพรรคการเมืองบางพรรค


ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ปฏิกิริยาของคนเหล่านี้มิได้อยู่ที่สกายวอล์ก มิได้อยู่ที่แยกราชประสงค์ หากแต่อยู่ตามตึกของคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัย

ตรงนี้ต่างหากที่ คสช.และ ผบ.เหล่าทัพมองไม่เห็น หรือมองข้ามไป

เมื่อมองด้วยสายตาแบบเก่า มองด้วยสายตาที่หยุดนิ่ง ไม่ยอมรับต่อปัจจัยใหม่ในทางการเมืองอันเกิดขึ้นและสำแดงตัวในห้วงก่อนและหลังการเลือกตั้ง

จึงงัดเอา “วิธีการ” แบบเดิมๆ เข้ามาจัดการ

นั่นก็เห็นได้จากการส่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเข้าสยบ นั่นก็เห็นได้จากการส่งเจ้าหน้าที่ไปป้องปรามตามบ้าน

หากไม่เจอเจ้าตัว ก็มุ่งไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครอง

บทสรุปก็คือ มองเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวของเด็กๆ ไร้เดียงสา อ่อนหัดในทางการเมือง ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายพวกเขาเมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยล้วนมีสิทธิในการออกเสียง ลงคะแนน

แม้กระทั่งที่พรรคอนาคตใหม่ได้มากกว่า 6 ล้านคะแนนก็ไม่รู้สึก

เมื่อมีบทสรุปที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อนไปจากสภาพความเป็นจริงในทางการเมือง กรรมวิธีในการบริหารจัดการกับปัญหาจึงผิดพลาด คลาดเคลื่อนไปด้วย

ใช้วิธีการ “อนาล็อก” กับคนในยุคแห่ง “ดิจิทัล”

คําเตือนโบราณมีมาอย่างยาวนานแล้วตามหลักแห่งธรรมชาติ นั่นก็คือ เมื่อฤดูกาลเปลี่ยน เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพ

นั่นคือ เรื่องในทางกายภาพ

เมื่อสภาพการณ์ทางการเมืองอันเป็นผลสะเทือนจากการเลือกตั้งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ย่อมเป็นการเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งไปถึงรากฐานในทางความคิด

นี่ย่อมเป็นเรื่องทั้งในทางความคิดและในทางการเมือง

ปาร์ตี้ลิสต์ (และ กกต.ฤทธิ์) : โดย กล้า สมุทวณิช

ปาร์ตี้ลิสต์ (และ กกต.ฤทธิ์) : โดย กล้า สมุทวณิช



เดิมทีนั้น “ผู้แทนราษฎร” ผู้นั่งในสภาสามัญชนที่เรียกว่า “สภาล่าง” นั้นเกิดมาจากการที่ราษฎรผู้ต้องเสียภาษีนั้นคิดว่า ไหนๆ ก็จะต้องเสียภาษีให้รัฐเสียแล้ว ก็ควรจะมีสิทธิที่จะมี “เสียง” (แบบตรงตามตัวอักษร) ในการพูดต่อผู้ปกครองบ้าง

และเมื่อเดิมนั้นผู้แทนราษฎรในระบบรัฐสภาอังกฤษ พัฒนามาจากเขตการปกครองศักดินา (Feudal) ส่งอัศวินสักคนเป็นผู้แทนออกไปพูดกับกษัตริย์ที่เมืองกรุง ดังนั้นผู้แทนราษฎรจึงผูกพันกับ “พื้นที่” ระดับย่อย เช่น ตำบลหรือจังหวัด ดังนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละคนจึงเป็นตัวแทนในแต่ละพื้นที่ซึ่งภายหลังแบ่งเป็นเขตเลือกตั้ง

หน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรพัฒนามาเรื่อยๆ เป็นหน้าที่ในการออกกฎหมายและการให้ความเห็นชอบแต่งตั้งรัฐบาลขึ้นมาใช้อำนาจบริหารและปกครองประเทศตามลำดับ โดยเฉพาะในการปกครองระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบรัฐสภา ซึ่งถือว่าประชาชนจะไม่เลือก “ผู้นำในทางบริหาร” โดยตรง แต่จะให้ผู้แทนของตนนั่นแหละไปว่ากัน นั่นคือผู้แทนราษฎรในระบบนี้จะทำหน้าที่ทั้งเป็นผู้ออกกฎหมายฝ่ายนิติบัญญัติ และคณะผู้เลือกตั้งรัฐบาล และเช่นนี้จึงมีอำนาจตรวจสอบการกระทำของรัฐบาลเนื่องจากถือว่ารัฐบาลจะต้องบริหารภายใต้ความไว้วางใจของราษฎรผ่านทางผู้แทน เป็นที่มาของอำนาจสภาผู้แทนราษฎรในการเปิดอภิปรายว่าจะยังไว้วางใจรัฐบาลนี้ให้ทำงานต่อไปหรือไม่ หรือเรียกรัฐบาลมานั่งฟังความทุกข์ของประชาชนในพื้นที่ผ่านการตั้งกระทู้ถาม

เมื่อระบบผู้แทนราษฎรนี้พัฒนาไปอีกขั้นก็เริ่มมีคำถามว่า การที่ผู้แทนราษฎรที่ยึดโยงกับพื้นที่นั้น บางครั้งทำให้ขาดความรู้สึกของความเป็น “ตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ” หรือไม่ เพราะจะว่าไป ผู้แทนของแต่ละจังหวัดก็ได้รับเลือกมาโดยผู้คนประชาชนในจังหวัด ดังนั้นเพียงเขาทำอะไรเพื่อประโยชน์ของคนในจังหวัดนั้นก็น่าจะเพียงพอหรือไม่

จึงเริ่มมีความคิดจะให้มี “ผู้แทนราษฎรของประเทศ” ที่มาจากการเลือกของคนทั้งประเทศ เกิดเป็นระบบผู้แทนแบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ซึ่งเกิดจากการนำคะแนนเสียงของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งระดับที่ใหญ่ขึ้นกว่าเขตเลือกตั้งมาหาสัดส่วนโดยมีผู้สมัครเป็น “พรรคการเมือง” ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ของประเทศสำหรับแต่ละพรรค แล้วคิดสัดส่วนแบ่งกันไปตามคะแนนเสียงความนิยม

ประเทศไทยใช้ระบบการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และต่อมาในรัฐธรรมนูญ 2550 ในฉบับแรกนั้นก็มีการบิดเล็กน้อย ให้ผู้แทนราษฎรเป็นผู้แทนของกลุ่มจังหวัด 10 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คน ทั่วประเทศ เหมือนเป็น ส.ส.ของภูมิภาค ต่อมาก็เห็นว่าไม่เวิร์ก (เอาเข้าจริง ที่ผู้มีอำนาจบางกลุ่มเห็นว่าไม่เวิร์กเพราะพอเลือกตั้งจริงไปหนึ่งครั้งก็พบว่า ถ้ามีพรรคการเมืองใดได้ความนิยมในบางภาคหรือกลุ่มจังหวัดแบบถล่มทลาย พรรคนั้นก็จะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากจนได้เปรียบ ดังนั้นถ้าจะให้พรรคนั้นไม่ได้เปรียบละก็ ให้เป็นการเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของทั้งประเทศแบบปี 2540 ดีกว่า)

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คนไทยเราก็รู้จักกับ ส.ส.ของเขตเลือกตั้ง และ ส.ส.ของประเทศ ที่แบ่งแยกความนิยมระหว่างตัวบุคคลและพรรคการเมืองได้ชัดเจน เป็นคำพูดติดปากคล้องจองว่า “ใบหนึ่ง (บัตรเลือกตั้งระบบเขต) เลือกคนที่รัก อีกใบหนึ่ง (บัตรเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ) เลือกพรรคที่ชอบ”

อย่างไรก็ตาม ระบบบัญชีรายชื่อก็มีข้อเสีย ซึ่งอาจถือเป็นข้อเสียจริงๆ ของมัน หรืออาจจะเรียกว่าเป็น “ข้อเสียเปรียบ” ของบางพรรคการเมืองหรือกลุ่มอำนาจก็ได้ เพราะในกรณีที่พรรคไหนเป็นที่นิยมของคนทั้งประเทศมากๆ ก็จะมีโอกาสที่จำนวน ส.ส.ที่พรรคนั้นได้รับไม่สอดคล้องกับความนิยมจริงของคนทั้งประเทศ

เช่น ในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส. 265 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่งในสภา คิดเป็นร้อยละ 53 แต่เมื่อมาพิจารณา “คะแนนดิบ” จากการเลือกของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศแล้ว พรรคเพื่อไทยมีคนลงคะแนนให้ในระบบบัญชีรายชื่อราวเกือบ 15.7 ล้านเสียง จากคะแนนเสียงของผู้ไปเลือกตั้งที่เลือกพรรคต่างๆ 32.5 ล้านเสียง เป็นจำนวนราวๆ 48% เท่านั้น

นั่นคือถ้าหากเราเห็นด้วยในหลักการว่า จำนวนที่นั่งในสภาควรจะสอดคล้องกับจำนวนผู้ที่เลือกพรรคการเมืองแต่ละพรรค โดยตัวเลขดังกล่าว พรรคเพื่อไทยควรได้ ส.ส.ราวๆ 240 คนเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นทั้งปัญหาจริงๆ และปัญหาที่ทำให้ฝั่งฝ่ายทางการเมืองมองว่าพรรคเพื่อไทยนั้นต่อสู้ด้วยยากในสนามเลือกตั้ง แต่ความพยายาม “เกลี่ย” จำนวนที่นั่ง ส.ส.ในสภาของแต่ละพรรคให้สะท้อนเสียงผู้เลือกตั้งทั้งประเทศก็มีอยู่ในระดับสากล ระบบจัดสรรปันส่วนผสม หรือ Mixed Member Apportionment System (MMA) จึงได้รับการคิดค้นและนำมาใช้ในหลายประเทศ

อธิบายระบบที่ใกล้เคียงกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยประเทศสมมุติประเทศหนึ่ง ที่มีประชากร 3,000 คน แบ่งเป็น 10 จังหวัด มีสภาเล็กๆ ขนาด 10 ที่นั่ง มีพรรคการเมืองสองพรรคชิงชัยกัน

ในการเลือกตั้งครั้งหนึ่ง (เพื่อความง่าย ประเทศเล็กๆ นี้ผู้คนตื่นตัวทางการเมืองมาก มาใช้สิทธิกันเต็ม 100%) ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นแบบนี้ (ดูตารางประกอบ)

ถ้าสภามีที่นั่งให้ ส.ส.ได้ 10 คน จะเห็นว่า แม้พรรค A จะได้รับเลือกตั้งมาด้วยคะแนนเสียงเป็นสัดส่วน 60% ของทั้งประเทศ แต่เพราะแต่ละจังหวัดมีจำนวนประชากรไม่เท่ากัน และเมื่อชนะในจังหวัดไหนก็เหมือนเสียงในจังหวัดนั้นยกให้พรรคที่ชนะทั้งหมด ทำไปทำมาเลยกลายเป็นว่า พรรค A มีที่นั่ง 8 จาก 10 ที่นั่งทั้งสภา ซึ่งผิดจากสัดส่วนจริงไประดับหนึ่งทีเดียว

ระบบ MMA ที่ว่าจึงให้มี “เก้าอี้ชดเชย” เอาไว้อีก 2 ที่นั่ง เป็นว่าระบบใหม่ สภาของประเทศนี้จะมี 12 ที่นั่ง โดย 10 ที่นั่งมาจากการแบ่งเขตจังหวัด แล้วจากนั้นจะนำคะแนนเสียงผู้เลือกตั้งทั้งประเทศมาคิดสัดส่วนกัน ดังนั้น จากสัดส่วน 60/40 ดังกล่าว ถ้าสภามีที่นั่ง 12 ที่แล้ว พรรค A ควรได้ 7.2 ที่นั่ง ส่วนพรรค B ควรได้ 4.8 ที่นั่ง

แต่อย่างไรก็ตาม พรรค A ได้ ส.ส.เขตไปแล้ว 8 ที่นั่ง เยอะกว่าจำนวนที่ควรได้ แต่เพราะการเลือกตั้ง ส.ส.ระบบหลักนั้นคือระบบแบ่งเขต เราจึงไม่ลดที่นั่ง ส.ส.พรรค A (ซึ่งก็ไม่รู้จะลดได้อย่างไรเหมือนกัน) จึงให้เขามี 8 ที่ ส่วนที่นั่งชดเชย 2 ที่ จึงเป็นของพรรค B ซึ่งจะมีที่นั่งในสภารวม 4 ที่นั่ง ซึ่งอัตราส่วนนี้ พรรค A จะมีที่นั่งในสภา 66.67% และพรรค B มี 33.33% ซึ่งถึงไม่ตรงสัดส่วนผู้เลือกตั้งเสียทีเดียว แต่ก็ยังใกล้เคียงกว่า 80/20 แน่นอน

เมื่อกลับมาที่ประเทศไทยที่มีผู้สงสัยว่า พรรคที่ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายคือพรรคเพื่อไทยไม่ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อเลยสักที่นั่งเป็นไปได้อย่างไรและเพราะอะไรนั้น ก็คือสาเหตุเดียวกับที่พรรค A ไม่ได้ ส.ส.เพิ่มนั่นแหละ

คือต้องปรับมุมคิดว่า ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นการ “ชดเชย” ไม่ใช่การ “ให้เพิ่ม” คือพรรคที่จะได้ ส.ส.เพิ่มก็ต้องเป็นกรณีที่มีผู้เลือกพรรคนั้นทั่วประเทศคิดเป็นสัดส่วนแล้วมากกว่าจำนวน ส.ส.เขตที่ได้ไปแล้ว

ดังนั้นที่เขาโฆษณาว่า ระบบนี้เสียงผู้เลือกตั้งจะไม่ตกน้ำก็มีส่วนจริง ตัวอย่างที่ดีที่สุดของผู้ที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้อย่างมีเหตุผล คือพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งแม้จะได้ ส.ส.เขตเพียงราวๆ 30 กว่าที่นั่ง แต่เพราะว่าพรรคนี้ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 3 จากทั่วประเทศ คือในทุกเขต พรรคอนาคตใหม่จะมาเป็นที่ 1 ถึงที่ 3 แทบทุกหน่วยเลือกตั้ง คะแนนจากผู้ที่เลือกพรรคอนาคตใหม่ทั้งประเทศจึงมารวมกันแล้วคิดคำนวณจนได้รับ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อชดเชยไปอีก 50 กว่าที่นั่ง (แต่จะได้จริงเท่าไร ขึ้นกับว่า กกต.จะใช้วิธีคำนวณแบบไหน ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาที่จะกล่าวกันต่อไป)

แต่ “ระบบดีๆ” นี้ก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะแม้ว่าโดยหลักการแล้วมันยุติธรรม แต่เพราะเจตนารมณ์ของผู้ร่างนั้นต้องการที่จะสกัดไม่ให้พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้ที่นั่งมากเกินไป (ซึ่งถ้าเขาไม่เหนียมคงเขียนชื่อพรรคลงไปในรัฐธรรมนูญแล้ว) จึงออกแบบให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจยากขึ้นไปอีกนิด ด้วยการให้ใช้บัตรเลือกตั้งเพียง 1 ใบ เลือก ส.ส.เขต และเอาคะแนนเลือกตั้ง ส.ส.เขตนั่นแหละไปคำนวณสัดส่วนระบบบัญชีรายชื่อ (และเราไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่กำหนดให้แต่ละพรรคในแต่ละเขตมีหมายเลขต่างกันด้วย ยังดีที่เขาปรานีอยู่ที่ให้มีโลโก้พรรคอยู่ในบัตรเลือกตั้ง)

หมดยุค “เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ” ปล่อยให้ประชาชนไปชั่งน้ำหนักเอาว่า ระหว่างการสนับสนุนคุณ ส.ส.คนเดิมที่ทำงานอย่างดีคนจริงไม่ทิ้งเขต กับพรรคการเมืองหน้าใหม่ที่เรานิยมในอุดมการณ์ เราจะเลือกทางไหนดี แถมบัตรใบเดียวกัน เป็นการเลือก “นายกรัฐมนตรี” อีกต่างหาก

แต่ปัญหาที่สำคัญกว่านั้นคือ “ผู้คุมกฎและกำกับดูแลการเลือกตั้ง” ต่างหาก ที่ไม่มีความชัดเจนอะไร หากจะให้กล่าวถึงความบกพร่องประดามีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อาจจะไปเขียนคอลัมน์ได้อีกตอนหนึ่งเลย หากเอาแต่ที่เกี่ยวกับเรื่อง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อนี้ ก็ได้แก่ เรื่องที่ กกต.ไม่ยอมออกมาชี้แจงเสียทีว่า ตัวเองใช้สูตรไหนในการคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ปล่อยให้สำนักข่าวและประชาชนเปิดโปรแกรม Spreadsheet ขึ้นมาเทียบกับ

พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งแบบตัวใครตัวมัน บางสูตรก็ได้จำนวนพรรคที่ได้เสียงข้างมากลำดับแรกๆ แต่บางสูตรก็กวาดกองลงไปยันพรรคเล็กพรรคน้อยที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ ได้กันไปกระจัดกระจายคนละที่นั่ง แถม กกต.ก็ไม่ยอมบอกว่าตกลงแบบไหนถูกแบบไหนผิดอีกต่างหาก

เป็นเรื่องที่เราไม่รู้ว่าเขาเองก็ยังไม่รู้จริง แกล้งไม่รู้ เพราะยังตกลงกันเองและ “ผู้เกี่ยวข้อง” ไม่ได้ข้อสรุป หรือด้วยเหตุผลไหนอย่างไรกันแน่อีกเช่นกัน

ที่มา : https://www.matichon.co.th/article/news_1432906