PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

"ชูวิทย์"พูดถึง"สรยุทธ"

Tanakorn Ritu และ ThairathTV ได้แชร์โพสต์ของ ชูวิทย์ I'm Back
ชูวิทย์ I'm Back
2 ชม.
ผมเริ่มรู้จักสรยุทธตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนในรายการ “ถึงลูกถึงคน” ซึ่งเป็นรายการที่ได้รับความนิยมสูง เพราะสรยุทธมีวิธีการซักถามที่ไม่เหมือนใคร มีทั้งรุกและถอย ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาซักจนแขกที่มาร่วมรายการเสียความรู้สึก
นี่เป็นบุคลิกที่ดีของผู้ทำรายการประเภทเชื้อเชิญแขกมาร่วมสนทนา เพราะต้องควบคุมประเด็นไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง บางครั้งผู้ร่วมรายการพูดเลอะเทอะและยืดยาวจนทำให้รายการน่าเบื่อ สรยุทธสามารถตัดทอนและซักถามให้เกิดความหลากหลาย ครบถ้วนทุกประเด็นในเวลาสั้นๆ
จะจัดรายการตามใจหรือปล่อยให้เลยเถิดมากไปไม่ได้
ความที่สรยุทธนั้นแตกต่างจากพิธีกรคนอื่นๆ มีบุคลิกที่โดดเด่นและมีวินัยในการทำงาน ยืนหยัดอยู่บนจอทีวีมากว่าสิบปีโดยไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียว เหมือนแบรนด์สินค้าที่ตอกย้ำให้คนดูเห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน เป็นเหตุให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูง หากไม่มีกรณีที่เป็นคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล เขาจะพุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่
ผมเชื่อว่าสรยุทธมีเพื่อนอยู่ไม่มาก แม้สรยุทธเป็นคนเข้มแข็ง มีตัวตนที่ชัดเจน แต่ยามที่เพื่อนตกต่ำถึงขนาดติดคุกติดตะรางจะไม่ไปเยี่ยมให้กำลังใจนั้น คนอย่างผมทำไม่ได้
ยิ่งเคยผ่านร้อนผ่านหนาวเป็นนักโทษมาก่อน วันนี้ก็อดไม่ได้ที่จะไปเยี่ยม แนะนำการปรับตัวปรับใจที่ต้องบอกเสียก่อนว่าไม่ได้ทำกันง่ายๆ
โลกเรานี้หมุนเวียนเปลี่ยนไป วันก่อนสรยุทธอ่านข่าวชูวิทย์ แต่วันนี้กลายเป็นชูวิทย์อ่านข่าวสรยุทธ
วันก่อนพูดไปใครจะเชื่อ แต่วันนี้ดันเกิดขึ้นจริงๆ

มงแต็สกีเยอ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ชาร์ล-หลุยส์ เดอ เซอกงดา บารอนแห่งแบรดและมงแต็สกีเยอ (ฝรั่งเศสCharles-Louis de Secondat, baron de La Brède et de Montesquieu) หรือรู้จักกันในชื่อ มงแต็สกีเยอ (ฝรั่งเศสMontesquieu) เป็นนักวิพากษ์สังคมและนักคิดทางการเมืองชาวฝรั่งเศสผู้มีชีวิตอยู่ในยุคเรืองปัญญา มีชื่อเสียงเกี่ยวกับทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจที่พูดถึงในการปกครองสมัยใหม่และใช้ในรัฐธรรมนูญในหลายประเทศ และเป็นผู้ที่ทำให้คำว่าระบบเจ้าขุนมูลนายและจักรวรรดิไบแซนไทน์ใช้กันอย่างแพร่หลาย

ชาร์ล-หลุยส์ เดอ เซอกงดา เกิด ณ ปราสาทลาแบรด ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส บิดามีนามว่าฌัก เดอ เซอกงดา เป็นนายทหารซึ่งเกิดในตระกูลผู้ดี ย่าของชาร์ลนามว่ามารี-ฟร็องซวซ เดอ แป็สแนล ซึ่งเสียชีวิตเมื่อบิดาของชาร์ลมีอายุได้เพียง 7 ขวบ เป็นผู้รับมรดกทางการเงินก้อนใหญ่และเป็นผู้ทำให้ตระกูลเซอกงดาได้รับบรรดาศักดิ์ ลาแบรด ของขุนนางบารอน ภายหลังได้เข้ารับการศึกษาจากวิทยาลัยคาทอลิกแห่งฌุยยี ชาร์ลได้แต่งงานกับหญิงชาวโปรเตสแตนต์นามว่าฌาน เดอ ลาร์ตีก ซึ่งได้มอบสินสอดให้แก่ชาร์ลเมื่อเขาอายุได้ 26 ปี ในปีถัดมาชาร์ลได้รับมรดกจากการที่ลุงของเขาที่เสียชีวิตลงและยังได้รับบรรดาศักดิ์ บารงเดอมงแต็สกีเยอ รวมถึงตำแหน่ง เพรซีด็องอามอร์ตีเย ในรัฐสภาเมืองบอร์โดอีกด้วย ในช่วงเวลานี้เองที่อังกฤษประกาศว่าตนเองเป็นประเทศราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นช่วงหนึ่งของการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (ค.ศ. 1688–1689) และได้รวมเข้ากับสกอตแลนด์จากพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ในการก่อตั้งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ถัดมาในปี ค.ศ. 1715 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ทรงครองราชย์มาอย่างยาวนานสวรรคตและได้รับการสืบทอดราชบัลลังก์โดยโอรสพระชนมายุ 5 พรรษา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 การเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของชาติครั้งนี้เองที่มีผลอย่างมากต่อตัวของชาร์ล และกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นี้จะถูกกล่าวถึงในงานเขียนของชาร์ลมากมายในเวลาต่อมา
เวลาต่อมาเพียงไม่นานเขาก็ประสบความสำเร็จทางด้านวรรณกรรมจากการตีพิมพ์ แล็ทร์แปร์ซาน (จดหมายเหตุเปอร์เซีย–ค.ศ. 1721) งานเขียนเสียดสีซึ่งสมมติถึงชาวเปอร์เซียผู้เขียนจดหมายตอบโต้ระหว่างเดินทางมายังปารีส ชี้ให้เห็นถึงความไร้สาระของสังคมร่วมสมัย ต่อมาเขาได้ตีพิมพ์ กงซีเดราซียง ซูร์ เล โกซ เดอ ลา กร็องเดอร์ เด รอแม็ง เอ เดอ เลอร์ เดกาด็องส์ (ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่และความเสื่อมถอยของชาวโรมัน–ค.ศ. 1734) ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มมองว่าเป็นผลงานที่เชื่อมระหว่าง แล็ทร์แปร์ซาน กับผลงานชิ้นเอกของเขา เดอแล็สพรีเดลัว (จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย) ซึ่งแต่แรกในปี ค.ศ. 1748 ถูกตีพิมพ์โดยไม่ระบุชื่อผู้เขียน และได้กลายมาเป็นงานเขียนซึ่งมีอิทธิพลมหาศาลต่อสังคมภายในเวลาอันรวดเร็ว ในฝรั่งเศสการตอบรับต่องานเขียนนี้ไม่ค่อยจะเป็นมิตรมากนักทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านระบอบการปกครองปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 1751 โบสถ์คาทอลิกทั่วประเทศประกาศห้ามเผยแพร่ แล็สพรี–รวมไปถึงงานเขียนชิ้นอื่นของมงแต็สกีเยอ–และถูกบรรจุอยู่ในรายชื่อหนังสือต้องห้าม แต่ในส่วนอื่นของยุโรปกลับได้การตอบรับอย่างสูงโดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร
มงแต็สกีเยอได้รับการยกย่องอย่างสูงจากอาณานิคมของอังกฤษในอเมริกาเหนือ ในฐานะผู้สนับสนุนเสรีภาพแบบอังกฤษ (แม้จะไม่ใช่ผู้สนับสนุนเอกราชของอเมริกา) นักรัฐศาสตร์ โดนัลด์ ลุตซ์ พบว่ามงแต็สกีเยอคือบุคคลทางรัฐศาสตร์และการเมืองที่ถูกเอ่ยถึงมากที่สุดบนแผ่นดินอเมริกาเหนือช่วงก่อนเกิดการปฏิวัติอเมริกา ซึ่งถูกอ้างอิงมากกว่าแหล่งอื่น ๆ โดยผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา เป็นรองก็แต่เพียงคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น[1] ตามมาด้วยการปฏิวัติอเมริกา งานเขียนของมงแต็สกีเยอยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงต่อเหล่าผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะเจมส์ แมดิสันแห่งเวอร์จิเนีย , บิดาแห่งรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ปรัชญาของมงแต็สกีเยอที่ว่า "รัฐบาลควรถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อที่จะได้ไม่มีมนุษย์ผู้ใดระแวงกันเอง" ได้ยั้งเตือนแมดิสันและผู้อื่นในคณะว่ารากฐานที่เสรีและมั่นคงของรัฐบาลแห่งชาติใหม่นั้นจำเป็นจะต้องมีการแบ่งแยกอำนาจที่ถ่วงดุลและถูกกำหนดกฎเกณฑ์ไว้อย่างชัดเจน
นอกจากการประพันธ์งานเขียนเกี่ยวกับการเมืองและสังคมแล้ว มงแต็สกีเยอยังใช้เวลาหลายปีในการเดินทางไปทั่วยุโรป เช่น ออสเตรียและฮังการี ใช้ชีวิตหนึ่งปีเต็มในอิตาลีและอีก 18 เดือนในอังกฤษ ก่อนที่เขาจะกลับมาพำนักในฝรั่งเศสอีกครั้ง เขาทุกข์ทรมานจากสายตาที่ย่ำแย่ลงจนกระทั่งบอดสนิทในช่วงที่เขาเสียชีวิตจากอาการไข้สูงในปี ค.ศ. 1755 มงแต็สกีเยอถูกฝัง ณ สุสานของโบสถ์แซ็ง-ซูลปิสในกรุงปารีส

ปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์[แก้]

หลักปรัชญาแห่งประวัติศาสตร์ของมงแต็สกีเยอได้ลดบทบาทของเหตุการณ์ย่อยและปัจเจกบุคคลลง ซึ่งเขาได้อธิบายทรรศนะนี้ไว้ใน กงซีเดราซียง ซูร์ เล โกซ เดอ ลา กร็องเดอร์ เด รอแม็ง เอ เดอ เลอร์ เดกาด็องส์ ว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แต่ละครั้งล้วนแล้วแต่ถูกขับเคลื่อนโดยกระบวนการความเป็นไปของโลก
มันไม่ใช่โชคชะตาที่กำหนดความเป็นไปของโลก ถามชาวโรมันสิ, ผู้ซึ่งประสบกับความสำเร็จสืบเนื่องกันหลายครั้งหลายคราในช่วงที่พวกเขาถูกชักนำโดยแผนการอันชาญฉลาด ในทางกลับกัน, พวกเขาก็เผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายและความเสื่อมถอยเมื่อดำเนินตามอีกแผนการหนึ่ง มันอธิบายได้ว่ามีสาเหตุทั่วไปทั้งทางด้านศีลธรรมและรูปธรรมซึ่งส่งผลต่อกษัตริย์โรมันทุกพระองค์ ทั้งการยกระดับบารมี, การดำรงอยู่ของพระราชอำนาจ หรือแม้แต่การทำให้พระบารมีของกษัตริย์เองนั้นตกต่ำจรดดิน แม้แต่อุบัติเหตุเองก็ถูกควบคุมโดยสาเหตุตัวแปรเหล่านี้ และถ้าหากการรบเพียงครั้งเดียว (ซึ่งเป็นสาเหตุ) ได้นำพารัฐไปสู่ความล่มสลาย ก็จะอธิบายได้ว่าเหตุผลโดยทั่วไปเป็นตัวที่ทำให้ประเทศนั้นถึงกาลสูญสิ้นจากการรบครั้งนั้น ทำให้แนวโน้มความเป็นไปของโลกจึงถูกรังสรรค์ขึ้นจากเหตุการณ์ที่อุบัติสืบเนื่องต่อ ๆ กันมา[2]
ในข้ออภิปรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของโรมันจากสาธารณรัฐไปสู่จักรวรรดิ มงแต็สกีเยอได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า หากจูเลียส ซีซาร์ และปอมเปย์ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะช่วงชิงอำนาจจากรัฐบาลสาธารณรัฐแล้ว อย่างไรก็ดีจะต้องมีบุคคลผู้อื่นมากระทำการนี้แทนเขาสองคนอย่างแน่นอน ชี้ให้เห็นว่าต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เกิดจากตัวจูเลียส ซีซาร์ และปอมเปย์ หากแต่เกิดจากความทะเยอทะยานของมนุษย์ชาวโรมันนั่นเอง

ทรรศนะทางการเมือง[แก้]

มงแต็สกีเยอถือว่าเป็นหนึ่งในนักปรัชญาแถวหน้าของมานุษยวิทยาร่วมกับเฮโรโดตุสและแทซิทัส ที่เป็นหนึ่งในบุคคลกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่ตีแผ่ข้อเปรียบเทียบของกระบวนการจำแนกรูปแบบทางการเมืองในสังคมมนุษย์ อันที่จริงแล้วนักมานุษยวิทยาการเมืองชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่ายอร์ช บาล็องดิแยร์ พิจารณามงแต็สกีเยอว่าเป็น "ผู้ริเริ่มองค์กรทางวิทยาศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อวงการมานุษยวิทยาทางวัฒนธรรมและสังคม"[3] ตามคำกล่าวอ้างของดี.เอฟ. โพคอค นักมานุษยวิทยาทางสังคม "จิตวิญญาณของกฎหมายของมงแต็สกีเยอคือความพยายามครั้งแรกในการที่จะสำรวจความหลากหลายของสังคมมนุษย์, เพื่อที่จะจำแนกและเปรียบเทียบ และเพื่อศึกษาระบบการทำงานระหว่างสถาบันในสังคม"[4] และหลักมานุษยวิทยาทางการเมืองนี้เองได้นำเขาไปสู่การคิดค้นทฤษฎีว่าด้วยรัฐบาลในเวลาต่อมา
ผลงานเขียนที่มีอิทธิพลมากที่สุดของเขาได้แบ่งแยกฝรั่งเศสออกเป็นสามชนชั้นได้แก่ พระมหากษัตริย์อภิสิทธิ์ชน และประชาชนทั่วไป แล้วเขายังมองเห็นรูปแบบอำนาจของรัฐออกเป็นสองแบบคืออำนาจอธิปไตยและอำนาจบริหารรัฐกิจ ซึ่งอำนาจบริหารรัฐกิจประกอบด้วยอำนาจบริหารอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ โดยแต่ละอำนาจควรเป็นอิสระและแยกออกจากกัน ทำให้อำนาจใดอำนาจหนึ่งไม่สามารถก้าวก่ายอีกสองอำนาจที่เหลือหรือรวมกันเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จได้ หากพิจารณาในแบบยุคสมัยของมงแต็สกีเยอแล้ว แนวคิดนี้จะถูกพิจารณาว่าเป็นแนวคิดหัวรุนแรง เพราะหลักการของแนวคิดดังกล่าวเท่ากับเป็นการล้มล้างการปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้นที่ยึดถือฐานันดรแห่งราชอาณาจักรอย่างสิ้นเชิง โดยฐานันดรแห่งรัฐประกอบด้วยสามฐานันดรคือ เคลอจี, อภิสิทธิ์ชนหรือขุนนาง และประชาชนทั่วไป ซึ่งฐานันดรสุดท้ายมีผู้แทนในสภาฐานันดรมากที่สุด และท้ายที่สุดแนวคิดนี้จะเป็นแนวคิดที่ทำลายระบบฟิวดัลในฝรั่งเศสลง
ขณะเดียวกันมงแต็สกีเยอได้ออกแบบรูปแบบการปกครองออกเป็นสามแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบถูกสนับสนุนด้วย หลักการทางสังคม ของตัวมันเอง ได้แก่
  • ราชาธิปไตย (รัฐบาลอิสระที่มีประมุขเป็นบุคคลอันสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ เช่น กษัตริย์, จักรพรรดิ หรือราชินี) เป็นระบอบที่ยึดถือบนหลักการของเกียรติยศ
  • สาธารณรัฐ (รัฐบาลอิสระที่มีประมุขเป็นบุคคลที่ได้รับเลือกจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน) เป็นระบอบที่ยึดถือบนหลักการของคุณธรรม
  • เผด็จการ (รัฐบาลกดขี่ที่มีประมุขเป็นผู้นำเผด็จการ) เป็นระบอบที่ยึดถือบนหลักการของความยำเกรง
ซึ่งรัฐบาลอิสระจะขึ้นอยู่กับการเตรียมการทางกฎหมายอันเปราะบาง มงแต็สกีเยอได้อุทิศเนื้อหาสี่บทใน จิตวิญญาณแห่งกฎหมาย ในการอภิปรายประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศรัฐบาลอิสระร่วมสมัยที่ซึ่งเสรีภาพคงอยู่ได้ด้วยการถ่วงดุลอำนาจ และมงแต็สกีเยอยังกังวลว่าอำนาจในฝรั่งเศสที่อยู่กึ่งกลาง (เช่น ระบบขุนนาง) ที่ทัดทานกับอำนาจของราชวงศ์นั้นกำลังเสื่อมสลายลง แนวคิดการควบคุมอำนาจนี้เองที่บ่อยครั้งมักถูกนำไปใช้โดยมักซีมีเลียง รอแบ็สปีแยร์
อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดที่มงแต็สกีเยอระบุไว้ในจิตวิญญาณแห่งกฎหมายในการสนับสนุนการปฏิรูประบบทาสนั้นค่อนข้างจะล้ำหน้ากว่ายุคสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ เขายังได้นำเสนอข้อโต้แย้งสมมติเชิงเสียดสีเกี่ยวกับความเป็นทาสซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในข้อสนับสนุนของเขาไว้ด้วย อย่างไรก็ดีทรรศนะของมงแต็สกีเยอหลายหัวข้ออาจถูกโต้แย้งและถกเถียงในปัจจุบันเช่นเดียวกับทรรศนะอื่น ๆ ที่มาจากบุคคลยุคเดียวกับเขา เขายอมรับถึงบทบาทของตระกูลขุนนางและราชวงศ์ไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเดียวกันกับการยอมรับถึงสิทธิของบุตรหัวปี ในขณะเดียวกันเขาก็รับรองแนวคิดของการมีสตรีเป็นประมุขของประเทศ แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้

อ้างอิง[แก้]

  1. กระโดดขึ้น "The Relative Influence of European Writers on Late Eighteenth-Century American Political Thought," American Political Science Review 78,1(March, 1984), 189-197.
  2. กระโดดขึ้น Montesquieu (1734), Considerations on the Causes of the Greatness of the Romans and their Decline, The Free Press, สืบค้นเมื่อ 2011-11-30 Ch. XVIII.
  3. กระโดดขึ้น G. Balandier, Political Anthropology, Random House, 1970, p 3.
  4. กระโดดขึ้น D. Pocock, Social Anthropology, Sheed and Ward, 1961, p 9.

สรุป สรยุทธ / โดย เพจลงทุนแมน

สรุป สรยุทธ / โดย เพจลงทุนแมน
สรยุทธ เคยเป็นบุคคลที่ดังมากสุดในไทย
ตอนนี้กำลังอยู่ในเรือนจำ
ที่มาที่ไปของเรื่องนี้เป็นอย่างไร
จากเด็กเกเร สมัยมัธยมจนต้องเข้าไปอยู่บ้านเมตตา 15 วัน แต่มากลับตัวได้ จนจบนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เกียรตินิยมอันดับ 1 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ถ้าตั้งใจก็ทำจนสำเร็จ
คุณสรยุทธเริ่มงานข่าวที่ เนชั่นส์ และออกทีวีโดยจัดรายการกับคุณสุทธิชัย หยุ่น คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล ต่อมาทำรายการในช่อง 9 อสมท ด้วย และสุดท้ายย้ายมาช่อง 3 ด้วยบุคลิกการเล่าข่าวที่กระชับ รวดเร็ว ทำให้ทุกรายการที่จัด ได้เรตติ้ง และ สปอนเซอร์มากมาย
คุณสรยุทธจึงทำทั้งหน้าที่ผู้อ่านข่าว และมาเป็นผู้จัดรายการเองด้วย โดยเปิดบริษัท ไร่ส้ม และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด
ตั้งแต่ ปี 2547 ถึง ปี 2559 ทั้ง 2 บริษัท รวมกำไรสุทธิ 2,928.4 ล้านบาท จากรายได้ 5,572.8 ล้านบาท บริษัทยังคงผลิต รายการเรื่องเล่าเช้านี้ และ เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์
ช่วงปี 2548 เป็นช่วงที่พีคสุดของชีวิตของคุณสรยุทธ ด้วยพรสวรรค์ ความสามารถที่โดดเด่น ทำให้มีรายการเกิดขึ้นมากมาย เช่น รายการคุยคุ้ยข่าว ถึงลูกถึงคน เรื่องเล่าเช้านี้ เรื่องเด่นเย็นนี้ เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ จับเข่าคุย
ตอนนั้นเราจะได้เห็นคุณสรยุทธทั้งเช้า บ่าย เย็น ทุกวัน นับนาทีที่ออกอากาศมากกว่า ดาราซุปเปอร์สตาร์ทุกคน
กระแสความนิยมของสังคมในตัวคุณสรยุทธมีสูงมาก แม้กระทั่ง ถึงลูกถึงคน เป็นรายการเดียวที่ คุณทักษิณ ชิณวัตร เลือกมาให้สัมภาษณ์ เพื่อเคลียร์ตัวเองช่วงปมการเมือง ก่อนที่จะมีเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน
20 ปี ที่คุณสรยุทธจัดรายการทีวี แรกจาก รายการวิเคราะห์ข่าว ของเนชั่นส์ ปี 2539 จนรายการสุดท้าย เรื่องเล่าเช้านี้ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559 เมื่อภาคสื่อมวลชน และ สังคมกดดันให้ยุติบทบาท
ประเด็นของเรื่องนี้เกิดขึ้นตอนคุณ สรยุทธ ทำรายการในช่อง 9 อสมท และคุณสรยุทธ คงลืมไปว่า ช่อง 9 อสมทเป็นรัฐวิสาหกิจ ถ้ามีความผิดจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
ตัวอย่างที่เห็นได้ที่ผ่านมาคือ คุณ วิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ที่เคยมีตำแหน่งใหญ่โตในวงการตลาดการเงินไทย แต่ตอนนี้ต้องนอนอยู่ในเรือนจำเช่นกัน
คุยคุ้ยข่าว คือ รายการที่บริษัทไร่ส้มของคุณสรยุทธ ใช้เวลาโฆษณาเกิน
บริษัทไร่ส้มได้เงินจากเอเจนซี่เข้าบริษัท แต่ไม่แจ้งทางอสมท
เงินที่ต้องจ่ายอสมทคือ 138 ล้านบาท โดยบริษัทไร่ส้มจ่ายเงินพนักงาน อสมท คนหนึ่งด้วยเงิน 7 แสนบาทเพื่อปกปิดการได้เวลาโฆษณาเกิน เหตุการณ์เกิดขี้นระหว่าง กุมภาพันธ์ 2548 ถึง มิถุนายน 2549
ถ้าบริษัทไร่ส้ม ทำถูกขั้นตอน จ่ายเงิน 138 ล้านบาทเมื่อ 12 ปีก่อน คงไม่เกิดคดีนี้ขึ้น
และเงิน 138 ล้านบาท นี้ เทียบไม่ได้เลยกับกำไรที่บริษัทไร่ส้มทำได้รวมกัน 2,928.4 ล้านบาท
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณสรยุทธคงไม่เลือกทำแบบนั้น
แต่.. เวลา ย้อนกลับไม่ได้
คุณสรยุทธ น่าจะมีความสุขมากกับการทำงาน เพราะมาออกรายการทุกวันตลอด 365 วัน โดยไม่เคยลาหยุด หรือพักร้อน
คุณสรยุทธ น่าจะรู้ตัวว่า เป็นคนมีพรสวรรค์ที่ทำให้ทุกคนรักและชื่นชอบ มีแฟนคลับที่ให้กำลังใจเหนียวแน่น เพราะไม่เคยมีผู้ประกาศช่าวคนไหน ลุยพื้นที่น้ำท่วม หรือหาเงินบริจาคให้ได้มากเท่าคุณสรยุทธ
คงไม่ผิดถ้าจะบอกว่า ไม่มีผู้ทำข่าว คนไหน ทำให้คนติดตามข่าวได้มากเท่าคุณสรยุทธ และเป็นคนทำข่าวที่ร่ำรวยที่สุด โดยเริ่มมาจากการเป็นพนักงานบริษัท
บิลเกตส์ เคยกล่าวไว้ว่า
“Success is lousy teacher. It seduces smart people into thinking they can’t lose”
“ความสำเร็จเป็นครูที่แย่มาก มันทำให้คนที่เคยประสบความสำเร็จยึดติดกับคำว่า ห้ามแพ้ หรือ สูญเสียไม่เป็น”
หากเรามองย้อนไปว่า
ความสำเร็จของคนอยู่ที่ การทำกำไรจากธุรกิจ เพิ่มขี้นทุกปี
หรือ
ความสำเร็จของคนอยู่ที่ การมีความสุขในการดำเนินชีวิต
ถ้าเงื่อนไขของความสำเร็จ อยู่ที่กำไร เราคงใช้ชีวิตทุกทางที่หาทางทำกำไร ไม่งั้นคงไม่มีความสุข
ถ้าเงื่อนไขของความสำเร็จ อยู่ที่การได้ทำในสิ่งที่ที่มีความสุข เราคงให้เงื่อนไขรายได้มาเป็นอันดับรอง ได้มาก ใช้มาก ได้น้อย ใช้น้อย เราก็จะเห็นความสุขอยู่กับเราทุกที่ ทุกเวลา
หากเรามองว่า การอ่านข่าวให้ผู้ฟังได้รับข่าวที่ถูกต้อง โดยทั้งสนุกมีสาระ และเสนอข่าวอย่างมีจรรยาบรรณ คือนิยามความสำเร็จของคุณสรยุทธ ตอนนี้เราคงเปิดหน้าจอ เห็นคุณสรยุทธทุกวัน
หากการทำข่าวเพื่อธุรกิจให้ได้ผลกำไร คือนิยามความสำเร็จของคุณสรยุทธ วิถีทางเดินของการไปสู่ความสำเร็จก็จะต่างกัน และ คดีไร่ส้ม คือ ผลของวิถีทางเดิน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความไม่ perfect ซ่อนอยู่
ไม่ว่าคนเราจะเก่งแค่ไหน มีชื่อเสียงแค่ไหน สุดท้ายก็พลาดได้ทุกคน..
Smart people can lose

ในที่สุด 'วงจรปิด' ก็ประจักษ์

นายกฯ ลุงตู่ "งอน"..........
ถูกชาวบ้านด่า "รัฐบาลปล่อยให้ยิ่งลักษณ์หนี"!
ท่านก็ ถือเป็นจริง-เป็นจังไปได้
เรื่องแค่นี้ ให้ชาวบ้านเขาได้ระบายบ้างเถอะ
รัฐบาลน่ะ........
นอกจาก "หน้าที่ในวงแขน" คือหน้าที่บริหารแล้ว ยังมีอีกหน้าที่ คือ "หน้าที่ในวงวาดเท้า" ของชาวบ้าน
อะไรที่ชาวบ้าน "ขัดใจ-ขัดอารมณ์" หาที่ลง "ตรงตัว" ไม่ได้ ก็รัฐบาลในความเป็น "ลานถุยสาธารณะ" นี่แหละ
เป็นที่โทษ ที่ถุย และที่รองรับการขับถ่ายอารมณ์ชาวบ้านตามวิถีสังคมบริหารและปกครองไทยๆ
ต้องเข้าใจอย่าง ..........
ในขั้นแรก มนุษย์มักใช้ "ความรู้สึก" ตอบสนองเรื่องราว มากกว่าตรองตรึกด้วย "เหตุผล" ทันที
กรณียิ่งลักษณ์หายตัว ก็ประมาณนั้น
"ภาพรวม" ในความเป็นรัฐบาล เป็นกองทัพ เป็นองค์กรตำรวจ ผมเชื่อ ไม่รู้เห็น-ไม่เป็นตัวการ พาหรือยักคิ้วหลิ่วตาให้ยิ่งลักษณ์หนีแน่
แต่ภาพ "ส่วนบุคคล" ในความเป็น "คนรัฐ"
ตราบใด ที่ยิ่งลักษณ์ยังไม่ปรากฏตัว และทางการยังพิสูจน์ทราบถึงตัวคนร่วมขบวนการและพาหนีไม่ได้ว่า มี-ไม่มี
ซ้ำยังยืนยันไม่ได้ด้วยว่า หนีออกไปแล้วจริงตามข่าว หรือยังกบดานอยู่ในประเทศ?
แบบนี้ ถ้ารัฐบาลปฏิเสธ..........
ก็เท่ากับรัฐบาลใช้ "ความรู้สึก" ตอบสนองเรื่องราวแทนใช้ "เหตุผล" เหมือนชาวบ้านนั่นแหละ
ทนเป็นที่ระบายทุกข์ชาวบ้านสักพักเหอะน่า แล้วจะดีเอง!
เพราะจริงๆ แล้ว เท่าที่ผมสังเกต
ชาวบ้านไม่ได้ถือเป็นโทษ ที่ต้องคั้นเอาเป็น-เอาตายกับรัฐบาลว่าเป็นตัวการ ที่ยิ่งลักษณ์หนี
ลึกๆ พอใจที่ยิ่งลักษณ์ไปพ้นๆ แผ่นดินเสียได้ด้วยซ้ำ!
กับตัวผมเอง บอกตรงๆ..........
ให้เธอไปซะให้พ้นๆ หนีไปจนตายนั่นแหละ ดีกว่าให้อยู่เป็นเชื้อสังคมบูด
สมมุติขังไว้ในคุก
ก็เหมือนเอาก้อนอุจจาระไว้ล่อแมลงวัน!
สังคมชาติทั้งต้องทนอยู่กับกลิ่นเหม็น ทั้งต้องวุ่นวายกับฝูงแมลงวัน ที่เวียนรุมตอมอยู่อย่างนั้น ไม่จบ-ไม่สิ้น
เผลอๆ "โรคระบาด" เกิดอีกจนได้!
ที่สังคมค่อนแคะรัฐบาล ก็เพราะมันแค้น ไม่ได้แค้นรัฐบาลโดยตรง หากแต่แค้นยิ่งลักษณ์
ถูกใครหลอกพอว่า ถูกยิ่งลักษณ์หลอกนี่ซี แสนจะเจ็บกระดองใจ
หน็อย..........
"จัดฉาก-ปูเรื่อง" ซะเนียน จนคนดูตายใจ เชื่อกันทั้งเมือง "ปูไม่หนี" ปูนอกจากเอาอยู่แล้ว ปูยังสู้ตายด้วยค่ะ
ลงท้าย ปูหนีแซ่บ-หนีสอย...........
อย่าว่าต้มสุกชาวบ้านเลย ตัวนายกฯ ประยุทธ์ก็เหอะ ถึงขั้นถูก "ต้มเปื่อย" ครางอ๋อย เมื่อรู้ยิ่งลักษณ์ไม่ไปศาล
"แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะเคยดีใจว่า จะกล้าหาญมารับฟังการพิจารณาคดี"!
เหตุผลที่ผม "ไม่เพ่งโทษ" รัฐบาล เพราะ.......
ต้องเข้าใจตามขั้นตอน คือ เมื่อ "อัยการสูงสุด" นำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ยิ่งลักษณ์ก็เป็น "จำเลย" ชีวิตถูกควบคุมอยู่ภายใต้อำนาจศาลแต่นั้น!
นั่นคือ จะขังระหว่างคดี หรือจะให้ประกัน เป็นดุลยพินิจศาล
กรณียิ่งลักษณ์ ศาลมีดุลยพินิจแล้ว ให้ประกันด้วยหลักทรัพย์ ๓๐ ล้าน พร้อมคำสั่ง
ต้องมาศาลตามนัด "ทุกนัด" ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ศาลอนุญาต!
นั่นคือ เมื่อคดีถึงศาล จากปี ๕๘ จนวันนัดฟังคำตัดสิน ๒๕ สิงหา เมื่อไม่มาตามศาลนัด
ศาลเลื่อนไป ๒๗ กันยา ให้ยิ่งลักษณ์มาฟังคำตัดสินใหม่อีกที
เท่ากับยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในอำนาจศาล ฝ่ายบ้านเมืองไปทำอะไรนอกเหนือจากที่ศาลสั่งไม่ได้
เมื่อ ๒๕ สิงหา ยิ่งลักษณ์ "ขัดคำสั่งศาล" ในประเด็น ไม่ไปฟังคำตัดสินเท่านั้น
ส่วนประเด็น "เดินทางออกนอกประเทศ" ยังไม่มีอะไรยืนยันว่ายิ่งลักษณ์ "ออกนอกประเทศ" อันเป็นการ "ขัดคำสั่ง" ศาล
นั่นคือ จาก "หมายศาล" สรุปได้ว่า.......
ตอนนี้ "ยิ่งลักษณ์หลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา" เท่านั้น
"สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" มีหน้าที่ต้องจับตัวไปส่งศาลตามคำสั่ง เพื่อฟังคำตัดสินวันที่ ๒๗ กันยา เวลา ๙ โมงเช้า
ประเด็น "หนีออกไปแล้ว" ต้องไปดูกันในวันที่ ๒๗ กันยาตามนัดนั่นแหละ!
ดังนั้น ขั้นตอนนี้ จะรวบรัดไปยกเลิกพาสปอร์ต หรือเที่ยวไปขอตัวประเทศโน้น-นี้ "ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน"
ก็ "ตลก" เท่านั้น!
ต้องเป็นไปตามขั้นตอนศาลก่อน รัฐบาลจะทำอะไร ก็ต้องยึดกรอบ "สิทธิ-เสรีภาพ" ตามรัฐธรรมนูญด้วย
เห็นมั้ยล่ะ.........
ก่อนหน้านี้ พอมีทหารหรือตำรวจ (ที่ไม่ใช่สารวัตรหนุ่ย) ไปด้อมๆ มองๆ ตามเธอไปโน่น-นี่ ตอนตะลอนไหว้พระ-ไหว้ผี
สาวกกระโปรงโวยกันใหญ่ รัฐบาลเผด็จการบ้าง คุกคามสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลบ้าง
พวกสิทธิมนุษยชน พวกฮิวแมนไรต์วอตช์ พวกจานมหาลัย หอนรับกันเป็นทอดๆ
มันก็ลำบากอยู่ สำหรับรัฐบาล.........
ครั้นจะตามประกบ ก็เจอข้อหา ละเมิดสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว และปิดกั้นเสรีภาพในการไปไหน-มาไหน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๒-๓๓
ครั้น "ดมกลิ่น" ห่างๆ แม่ก็ฉวยจังหวะ แหกเส้นทาง "หายจ้อย"
คนรัฐ-คนราษฎร์ "ร่วมด้วยช่วยแหก" หรือไม่ ก็ไม่รู้แหละ เฉพาะหน้า มีหน่อแนว "อันควรเชื่อได้ว่า" พอสมควร
เมื่อวาน (๒๙ ส.ค.๖๐) สำนักข่าวอิศรา อ้างแหล่งข่าว "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ" ด้วยข้อมูลใหม่
เป็นหลักฐานยันถึง "สถานที่-ตัวบุคคล" เกี่ยวพันยิ่งลักษณ์ในจุดสุดท้ายที่หายตัว ขออนุญาตกระชับความนะครับ
"จากกรณีสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับเส้นทางหลบหนีของ 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ว่า
ได้เข้าไปที่ โรงแรมเอสซี ปาร์ค กทม. โดยใช้รถโฟล์คตู้สีดำ ประมาณเที่ยงที่ 23 ส.ค.60 พร้อมผู้ติดตามกว่า 10 คน ส่วนใหญ่เป็นหญิง
หนึ่งในนั้น มีอดีตทีมทนายทักษิณและคนใกล้ชิดนักการเมืองพรรคเพื่อไทยร่วมอยู่ด้วย
จากนั้น ประมาณบ่ายสองโมง เดินทางกลับบ้านพัก ซึ่งก่อนหน้านี้ สื่อมวลชนหลายสำนักยืนยันข้อมูลตรงกันว่า
ช่วงเช้า 23 ส.ค.ยิ่งลักษณ์ ได้ตักบาตรพระ 17 รูป ที่บ้านซอยโยธินพัฒนา 3
จากนั้น ออกจากบ้านไปวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ทำบุญไหว้พระถวายสังฆทาน กราบขอพรสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) พร้อมปล่อยปลา
จากนั้น ก็ไม่มีใครพบเห็นยิ่งลักษณ์อีกเลย นอกจากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ได้รับการยืนยันข้อมูลจากแหล่งข่าวในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า
ในช่วงเที่ยงวันที่ 23 ส.ค.60 ยิ่งลักษณ์พร้อมผู้ติดตาม 14 ราย ไปที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค กทม. จริง
ปรากฏหลักฐานจาก 'ภาพกล้องวงจรปิด'
โดยผู้ติดตามส่วนใหญ่เป็นหญิง ปรากฏชื่อ น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หลานสาวยิ่งลักษณ์, นายวิม รุ่งวัฒนจินดา อดีตเลขาฯ รมต.สำนักนายกฯ
นายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมอยู่ด้วย
ส่วนบุคคลอื่นๆ ได้แก่ พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย นายเวร (สบ 4) รอง ผบ.ตร. นายตำรวจติดตามยิ่งลักษณ์ (สารวัตรหนุ่ย)
นางเนตรนภา วรรณชัย, น.ส.สุทิษา ประทุมกุล, นางมอญ (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง)
น.ส.นิลุบุญ กลิ่นประทุม, น.ส.ธนิดา วงศ์กาฬสินธุ์, น.ส.ปนัดดา ธีรารักษ์, น.ส.โชติรส จตุพรเสถียร, น.ส.เรวดี ศรีชาย
เบื้องต้น มีรายงานข่าวว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจ เตรียมออกหมายเรียกตัวบุคคลเหล่านี้เข้ามาให้ปากคำแล้ว"
เป็นไงล่ะ?
"กล้องวงจรปิด" นี่ ไขคดี-จับผู้ร้าย "คาหนัง-คาเขา" ได้เก่งกว่าคนอีกนะเดี๋ยวนี้
ใจเย็นๆ เชื่อใจ ผบ.ตร. "พล.ต.อ.จักรทิพย์" ท่านหน่อย เหมือนคดีซุกระเบิดในโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ
แกล้งปล่อยข่าว ยังไม่มีหลักฐาน กล้องวงจรปิดเสียหมด
ที่ไหนได้........
ช่วงที่ทำเงียบ ซุ่มแกะรอยจาก "กล้องวงจรปิด" จนถึงตัวการ
นี่ก็เหมือนกัน.......
ถึงตามจับยิ่งลักษณ์ไม่ได้ แต่ตามจับขบวนการพายิ่งลักษณ์หนีได้
ก็ "คุ้ม" นะ!

หมาก ‘ลุงตู่’ ดึงเกมยาว

หมาก ‘ลุงตู่’ ดึงเกมยาว

ณ วันที่กระบวนการยุติธรรมไล่ล่าคดีทุจริต

ล่าสุดศาลอาญาแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง ฐานยักยอกเงินค่าโฆษณารายการจากช่อง 9 อสมท เป็นเงิน 138 ล้านบาท โดยพิพากษายืนให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน

พร้อมให้ศาลฎีกาพิจารณาการยื่นอุทธรณ์ของจำเลย นั่นทำให้พิธีกรข่าวชื่อดังต้องถูกนำตัวไปคุมขังในเรือนจำระหว่างรอขั้นตอนยื่นอุทธรณ์

วันเดียวกันเลย ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และอดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
โดยพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา

ชะตากรรมของคนเด่นคนดังระดับประเทศ จ่อเดินเข้าคุกไปตามๆกัน

ในห้วงสถานการณ์ต่อเนื่องจากฉากคดีประวัติศาสตร์ที่ตัวละครสำคัญตามท้องเรื่องอย่างอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีไม่มาฟังการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหายในโครงการจำนำข้าว เล่นเอาเซอร์ไพรส์กันทั้งแผ่นดิน
ก่อแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองในระดับแผ่นดินไหวหลายแมกนิจูด

สถานการณ์ถึงขั้นที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องออกมาแอ่นอกยอมรับคำตำหนิ

จากการที่ปล่อยให้อดีตนายกฯหญิง “ล่องหน” ไปได้

และประเมินกันได้ตามอาการของ “บิ๊กเจี๊ยบ” ถือเป็นฉากเข้มๆสไตล์ทหาร ต้องรีบเดินยุทธศาสตร์กระตุกกระแสความรับผิดชอบของฝ่ายความมั่นคง

กู้สถานการณ์ “แก้ลำ” ปมผู้มีอำนาจเปิดทางให้หนี

ตามรูปการณ์ที่สำนักข่าวต่างประเทศและเซียนการเมืองในประเทศวิเคราะห์ตรงกัน การที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์เลือกทางชิ่งหนีศาล ส่งผลดีต่อรัฐบาล คสช.ในระยะยาว

หมดเสี้ยนหนามในการคุมเกมอำนาจช่วงเปลี่ยนผ่านอีกอย่างน้อย 5 ปี

เบื้องต้นนี้ คสช.จึงต้องประคองแรงกระเพื่อมจากการปล่อย “ยิ่งลักษณ์” หนี ไม่ให้บานปลาย

ตามสถานการณ์แบบที่พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ ตีปี๊บประจานรายการ “ซูเอี๋ย” ระหว่างฝ่ายคุมเกมอำนาจกับ “นายใหญ่”

เริ่มป้ายสีให้ทหาร คสช.เป็นผู้ร้าย จี้จุดระแวงของสังคม

อารมณ์อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ถึงกับร้อง “เฮ้ย” คิดอย่างนั้นได้ยังไง เมื่อเจอคำถามเปิดทางให้ “ยิ่งลักษณ์” หนี

นั่นหมายถึงสัญญาณเริ่มต้น จากนี้เป้าโฟกัสจะจับจ้องไปที่รัฐบาล คสช.เต็มๆ

ตามเกมการเมืองในอนาคตจากนี้จะออกมาในรูปของพรรคประชาธิปัตย์ฝั่งหนึ่ง เดินหมากช่วงชิงกระแสอำนาจกับ พล.อ.ประยุทธ์ฝั่งหนึ่ง

ช็อตต่อไปประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยจะฮั้วกันโดยอัตโนมัติ หันเป้าโจมตีเผด็จการทหาร

เปิดพื้นที่ให้นักการเมืองกลับมายึดเวทีคืน

และสิ่งที่จะปกป้อง “นายกฯลุงตู่” ได้ในเบื้องต้น คือการต้อง ลดบุคลากรท็อปบูตให้น้อยลง เปิดให้ภาคอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ

ทั้งในส่วนของการปรับคณะรัฐมนตรี การลดสัดส่วนทหารในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ

ตามรูปการณ์หนีไม่พ้นต้องมีการปรับ ครม. โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงเศรษฐกิจที่มีทหารเป็นจุดอ่อน เพิ่มมืออาชีพในเชิงบริหารมาปั่นเนื้องาน ประคองความชอบธรรมให้รัฐบาล

เพื่อให้ประชาชนรู้สึกได้ว่า รัฐบาลทหาร คสช.คุมสถานการณ์ได้ดีกว่า ถ้าเทียบกับการปล่อยนักการเมืองกลับมาเสี่ยงให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย กลับไปสู่วังวนเก่า

พร้อมกับการปลุกกระแสเร้าคนไทยปรองดองไปสู่การปฏิรูปการเมืองในอนาคต

นี่คือยุทธศาสตร์รองรับเกมยาวของ “ลุงตู่” ในการนั่งเก้าอี้ผู้นำห้วงเปลี่ยนผ่าน

เมื่อเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ยังเป็นต่อคู่แข่งอื่นๆหลายช่วงตัว.

ทีมข่าวการเมือง

จาก ยุค ทองทหารเสือฯสู่ ยุคทรงตัว

จาก ยุค ทองทหารเสือฯสู่ ยุคทรงตัว
ยุคทองของทหารเสือฯ ยาวนาน มาตั้งแต่ ปี 2549 เมื่อบิ๊กป๊อก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นแม่ทัพภาค1 ก่อน ขึ้น ผช.ผบทบ. และเป็น ผบ.ทบ....ดัน บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จาก ผบ.พล.ร.2รอ. ขึ้น รองแม่ทัพภาค1 และเป็น แม่ทัพภาค1 เสธ.ทบ. และ รอง ผบทบ. เรียกได้ว่า ปีละชั้นยศ. ....ทันเป็น ผบทบ.ต่อจาก บิ๊กป๊อก. นั่งยาว4ปี สานต่อยุคทอง ทหารเสือฯ และบูรพาพยัคฆ์
และขึ้นถึง ขีดสูงสุด เมื่อพลเอกประยุทธ์ นำก่อการรัฐประหาร แต่เป็นนายกฯมา 3ปีกว่า.....คาดว่าจากนี้ทหารเสือฯ จะๆค่อยนิ่ง ได้อยู่ในสภาวะทรงตัว
แต่ก็พบว่ามีนายทหารดาวรุ่ง ที่เป็นทหารเสือและบูรพาพยัคฆ์อีกหลายคนที่ถูกวางตัวในตำแหน่งสำคัญ. จ่อขึ้นผบ.ทบ.ในอนาคต

ผบ.ทอ.สยบข่าว"ปู"ขึ้นเครื่องบินเจ็ท หนี ชิลๆ จาก ดอนเมือง หรือสนามบิน ในประเทศ ยัน ไม่ง่าย

เข้มทุกเม็ด!!
ผบ.ทอ.สยบข่าว"ปู"ขึ้นเครื่องบินเจ็ท หนี ชิลๆ จาก ดอนเมือง หรือสนามบิน ในประเทศ ยัน ไม่ง่าย จะมาออกสนามบินทอ. เรา เต็มที่ ทุกเม็ด!!
พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง ผบ.ทอ. กล่าวยืนยันว่า ถ้าในพื้นที่รับผิดชอบ ของทอ. เราดูแลเต็มที่ เราทุกเม็ด
"แต่ต้องบอกว่า ไม่ง่าย ถ้าจะออกทางสนามบินที่ กองทัพอากาศ รับผิดชอบ"
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องการตรวจสอบนั้น ถ้าหากจะให้ ทอ.ดำเนินการอย่างไร เราก็จะดำเนินการทันที
เมื่อถามถึง ในส่วนของ สนามบิน การท่าอากาศยานฯ หล่ะ ผบ.ทอ. กล่าวว่า ผม ไม่อยากตอบ อต่ขอตอบสั้นๆว่า ถ้าเป็นพื้นที่ทอ.รับผิดชอบ เราเต็มที่ ทุกเม็ด
"มันไม่ง่ายหรอก ถ้าจะออกทางสนามบิน ที่ทอ.รับผิดชอบ". ผบ.ทอ.กล่าว