PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

โรดแมปเลื่อน2เดือนถึงเม.ย.62 จับตา! คสช.ถกกกต.ยึดคิวเลือกตั้งเดิมก.พ.62

โรดแมปเลื่อน2เดือนถึงเม.ย.62 จับตา! คสช.ถกกกต.ยึดคิวเลือกตั้งเดิมก.พ.62


โรดแมปเลื่อน 2 เดือน จับตา คสช.ถกกกต.ยึดคิวเลือกตั้งเดิม ก.พ. 62


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ร่าง พ.รป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำให้โรดแมปเลือกตั้งเริ่มเดินอีกครั้ง โดยขั้นตอนหลังจากนี้ นายกฯจะนำร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งตามกรอบเวลาจะใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน ทำให้ทั้ง 2 ฉบับจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้อย่างช้าที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนกรอบเวลากำหนดวันเลือกตั้ง 150 วัน ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 267-268 จะเริ่มนับได้ก็ต่อเมื่อร่างกฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 2 กำหนดให้กฎหมายจะบังคับใช้ก็ต่อเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน ทำให้กฎหมายลูกทั้ง 4 ฉบับที่สำคัญต่อการเลือกตั้งจะบังคับใช้ในเดือนพฤศจิกายนนี้ กรอบเวลา 150 วันที่รัฐบาล คสช.จะหารือกับ กกต.เพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง จะอยู่ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 – เมษายน 2562 ซึ่งต่างจากกรอบเดิมที่กำหนดวันเลือกตั้งจะอยู่ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 – กุมภาพันธ์ 2562 จึงทำให้โรดแมปจะเลื่อนออกไป 2 เดือนจากที่เสียไป เพราะกระบวนการที่ สนช.เข้าชื่อ รวมถึงขั้นตอนการในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงต้องจับตาการหารือระหว่างรัฐบาลกับ คสช. เพราะที่ผ่านมา นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.เคยระบุพร้อมจัดเลือกตั้งภายใน 90 วันเพื่อไม่ให้กระทบกับโรดแมปเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศไว้ล่าสุด

ปราบมาเฟียหนี้นอกระบบ

ปราบ มาเฟีย หนี้นอกระบบ

"นายกฯ"สั่ง"บิ๊กป้อม" เคลียร์"หนี้นอกระบบ" เกษตรกร ใน1 เดือน สั่ง คสช.เร่งใน 30วัน และผุดแผน จัดการต่อ ใน6เดือน ไกล่เกลี่ยหนี้-เอาเข้าระบบรัฐ/ แจ้ง เกษตรกร แจ้งข้อมูล "ศุนย์ดำรงธรรม-หน่วยความมั่นคง"

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหม

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม กล่าวว่า พลเอกประวิตร ได้สั่งการเรื่องการขับเคลื่อนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ตามนโยบายรัฐบาล

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ได้ติดตามและแสดงความห่วงใย ต่อความคืบหน้าในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะกลุ่ม เกษตรกร 

โดยมอบให้ กระทรวงกลาโหม ดำเนินการขับเคลื่อน ด้วยกลไกของ คสช. โดยหน่วยงานรักษาความสงบใน พื้นที่ ร่วมกับ กอ.รมน.จังหวัด, ตร.และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

โดยมีขั้นตอนดาเนินการในระยะ 1 เดือน. โดยใช้ “ศูนย์ดำรงธรรม จังหวัด" รวบรวมจากข้อมูลที่มีอยู่เดิม และรับ ข้อมูลเพิ่ม ผ่านการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร

จากนั้น หน่วยรักษาความสงบในพื้นที่ จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดและปัญหาที่แท้จริง ทั้ง เจ้าหนี้ ลูกหนี้และมูลหนี้ ต่อจากนั้น จะดำเนินการไกล่เกลี่ย โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หากลูกหนี้ไม่มีขีด ความสามารถในการชำระ จะผลักดันเข้าระบบที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น

พร้อมกันนี้ ในระยะ 6 เดือนต่อเนื่องกันไป กลไก กอ.รมน.จังหวัด จะติดตามและลงไปรับข้อมูลจากพื้นที่ ผ่าน ประชาคมหมู่บ้าน เพื่อแก้ปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง

จึงขอถือโอกาสนี้ ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน ไปถึงประชาชนที่มีหนี้นอกระบบ โดยเฉพาะกลุ่มพี่น้อง เกษตรกร ได้แจ้งข้อมูล ไปยัง “ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด” หรือ ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่ 

ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือกันด้วย ความจริงใจของทุกฝ่าย ทั้งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ เพื่อจะได้ร่วมกับปลดเปลื้อง หรือ บรรเทาลดภาระอันเกิดจากปัญหาหนี้นอกระบบ ที่กระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตประจำวันของทุกคนให้ผ่อนคลายลง

ดาวเทียมคสช.

ดาวเทียม คสช.-4.0

รัฐบาล คสช.ยุค4.0 เล็งแผนเช่า ดาวเทียมใหม่"THEIA Space" หรือร่วมทุน เพื่อใช้ถ่ายภาพ-สำรวจ-งานความมั่นคง ใช้สำหรับหลายส่วนราชการ/ให้กลาโหม พิจารณา ความคุ้มค่า หรือไม่ ปีละ 2พันล้าน/จากที่ใช้"ไทยคม-ThiOs1-2"โฆษกกห. เผยกลาโหม อยากมีช่อง สำหรับความมั่นคงโดยเฉพาะ รองรับแผนพัฒนากิจการอวกาศกลาโหม สร้างบุคลากรรองรับ ในอนาคต จาก USER  เป็น OPERATOR เผย มีการใช้ดาวเทียม จารกรรม เราต้องรู้เท่าทัน  หวังพึ่งพาตนเองและรองรับระบบงานความมั่นคงด้านอวกาศของประเทศใน อนาคต  การใช้ดาวเทียมสอดแนม ระบบขีปนาวุธนาวิถีด้วยดาวเทียมนำร่อง และระบบนำร่องUAV

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมร่วมด้วย ปลัดกห. ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ มีการพิจารณา แผนจัดทำร่างยุทธศาสตร์กิจการอวกาศเพื่อการป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2561-2570

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม  เผยว่า พลเอกประวิตร ได้สั่งการ เริ่องการดำเนินงานด้านกิจการอวกาศกระทรวงกลาโหม มอบหมาย ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ติดตามพัฒนาการของภัยคุกคามด้านกิจการอวกาศที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และให้บูรณาการงานร่วมกับ กองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพ รวมทั้งภาค ส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาขีดความสามารถด้านกิจการอวกาศของกระทรวงกลาโหม ให้เป็นไปตามแผนงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม 

โดยเฉพาะการ พัฒนาองค์ความรู้และขีดความสามารถของกาลังพลจากระดับผู้ใช้งาน (USER) สู่การเป็นผู้ควบคุมและบริหารสถานี ดาวเทียม (OPERATOR) เพื่อพัฒนาไปสู่การพึ่งพาตนเองและรองรับระบบงานความมั่นคงด้านอวกาศของประเทศใน อนาคต  การใช้ดาวเทียมสอดแนม ระบบขีปนาวุธนาวิถีด้วยดาวเทียมนาร่อง และระบบนาร่องอากาศยานไร้คนขับUAV ใน การทิ้งระเบิดเป้าหมาย 

พลโท คงชีพ กล่าวว่า ในอนาคต กลาโหม ก็ควรจะมีดาวเทียม เพื่อความมั่นคงของเราเอง แต่จะเป็น การใช้ร่วมกับทุกส่วนราชการ  แต่จะมี channel ด้านความมั่นคง โดยเฉพาะ แต่ตอนนี้ เราก็พัฒนา บุคลากรของเราไปก่อน ตาม "ร่างยุทธศาสตร์กิจการอวกาศเพื่อการป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2561-2570"

อีกทั้งปัจจุบัน มีการใช้ดาวเทียม จารกรรม เราต้องรู้เท่าทัน

มีรายงานว่า สภากลาโหม  ได้ให้  สถาบันเทคโนโลยี ป้องกันประเทศ( สทป)-  Defense Technology Institute -DTi  และ ศูนย์พัฒนากิจการอวกาศและไซเบอร์ กลาโหม ในการศึกษา พิจารณา โครงการ "ดาวเทียม THEIA ที่จะร่วมทำ โครงการ Thailand Satellites Data Information Processing Center กับสหรัฐอเมริกา และหลายชาติ เพื่อให้หลายหน่วยราชการร่วมใช้ แต่ไม่ใช่ดาวเทียมกลาโหม แต่ จะเป็นดาวเทียม ของรัฐบาล ทั้งในลักษณะการเช่า หรือ ร่วมทุน

ทั้งนี้ เป็นโครงการ หน่วยงานราชการต่างๆ ในนามรัฐบาลไทยร่วมกับ สหรัฐอเมริกา และ หลายประเทศ  ที่จะร่วมลงทุน 

โดย ดาวเทียม THEIA Space นี้ จะใช้ เพื่อ
การถ่ายภาพ การสำรวจ และความมั่นคง  ที่จะทำให้ได้ข้อมูลสำคัญ โดยเป็น ดาวเทียมสำรวจประเภทเรดาร์ SAR (Synthetic Aperture Rader) ที่จะเริ่ม ในอีก3 ปีข้างหน้า โดยที่ ดาวเทียม ไทยคม ที่จะหมดสัญญา ในปี2564

ทั้งนี้ การเช่า ดาวเทียม นี้จะใช้งบฯราวปีละ 2 พันล้านบาท

โดยกลาโหม จะใช้ในการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมัน ในประเทศ ด้วย เพราะ กลาโหม มีศูนย์อุตสาหกรรมและพลังงานทหาร และ ขุดเจาะน้ำมัน ในภาคเหนือ ด้วย, แหล่งข่าว กล่าว

พลเอกประวิตร กล่าวว่า ขอให้ทางกลาโหม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พิจารณาก่อนว่า เราควรจะทำอย่างไร เรื่องดาวเทียม

ทั้งนี้  เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2561 ที่ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา พลอากาศเอก ประจิน  จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะทำงานในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ  ได้เดินทางไปยังสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพปฎล สุนทรนนท์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ รองศาตราจารย์นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.วิไลพร เจตนจันทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิและคณะอนุกรรมการด้านการปรับระบบงบประมาณวิจัยและนวัตกรรมแบบบูรณาการ สภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ดร.สุภัทร  จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ดร.ญาดา  มุกดาพิทักษ์ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ และพลอากาศเอก สุรศักดิ์  มีมณี ที่ปรึกษาสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ 

เพื่อพบกับผู้แทนของบริษัท THEIA GROUP นำโดย พลอากาศเอก Ronald Fogleman ประธานกรรมการ บริษัทฯ ซึ่งเป็นอดีตเสนาธิการทหารอากาศสหรัฐอเมริกา (เทียบเท่าผู้บัญชาการทหารอากาศ) เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปการศึกษาโครงการ Thailand Satellites Data Information Processing Center THEIA เกี่ยวกับการดำเนินการร่วมวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์จากดาวเทียม THEIA ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทางด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ และยังเพิ่มศักยภาพเพื่อรองรับตามนโยบาย Thailand 4.0 ในลักษณะความร่วมมือวิจัยและพัฒนาผ่านทางหน่วยงานวิจัยของไทย

ฟ้องไม่เว้นพวกแพร่ข่าวปลอม

สู้ ข่าวเท็จ!!

"บิ๊กป้อม" สั่ง เหล่าทัพ  ฟ้อง ดะ พวกเผยแพร่ข้อมูลข่าวเท็จ  ทำเข้าใจผิด สร้างความโกรธ เกลียดกันในสังคม เสียหายต่อภาพลักษณ์กองทัพ กระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัยของประเทศ/ หลัง บิ๊กตู่ โดน ข่าวปลอม"ให้เติมน้ำ แทนน้ำมัน"

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมสภากลาโหมร่วมด้วย ปลัดกห. ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.เหล่าทัพ

พลโท คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม  กล่าวว่า  พลเอกประวิตร  ได้สั่งการ เรื่อง ข่าวสารที่เป็นเท็จ และการบิดเบือนข้อมูล ที่กระทบความมั่นคง
โดย ขอให้  หน่วยขึ้นตรงกลาโหม(นขต.กห.)และผบ.เหล่าทัพ ได้ติดตามความเคลื่อนไหว ของการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น โดยเฉพาะทางอินเตอร์เน็ต

หากพบข้อมูลที่มีลักษณะอันเป็นเท็จบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด ก่อให้เกิดความโกรธเกลียด กันในสังคม สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ อันกระทบต่อความมั่นคง ปลอดภัยของประเทศ ขอให้ดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมาย พร้อมทั้งชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องให้สังคมทราบ 

ทั้งนี้ หลังจากที่ มีการแชร์ข่าวปลอม พลเอกประยุทธ์ ให้เติมน้ำ แทนน้ำมัน เมื่อน้ำมันแพง

วิษณุเปลี่ยนแผน ไม่เชิญนักการเมืองถก มิ.ย.แล้ว ชี้ชูนโยบายแก้ รธน.ได้ แต่ระวังพลาด

วิษณุเปลี่ยนแผน ไม่เชิญนักการเมืองถก มิ.ย.แล้ว ชี้ชูนโยบายแก้ รธน.ได้ แต่ระวังพลาด


เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 30 พฤษภาคม นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ว่า ศาลจะวินิจฉัยเป็น 2 ทาง 1.หากเรื่องที่วินิจฉัยขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็สามารถดึงออกมา แล้วเสนอรัฐสภาให้รับทราบเท่านั้น 2.กระทบทั้งฉบับ โดยต้องร่างกฎหมายใหม่ทั้งฉบับ
นายวิษณุ กล่าวถึงการนัดพรรคการเมืองมาพูดคุยเพื่อกำหนดวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายนนี้ว่า อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ระบุว่าต้องให้ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.ประกาศใช้ก่อน ดังนั้น การพูดคุยจึงไม่น่าจะเป็นในเดือนมิถุนายนอย่างที่เคยระบุไว้ ส่วนจะเป็นหลังเดือนมิถุนายนหรือไม่ยังไม่ทราบ เพราะยังไม่รู้จะพบกันเรื่องอะไร และเดือนมิถุนายนกฎหมายลูกก็เพิ่งจะทูลเกล้าฯไป นอกจากนี้บางพรรคการเมืองยังตั้งเงื่อนไข ข้อแม้ เช่น ขอถ่ายทอดสด หรือต้องมาทุกพรรคจึงจะร่วมคุย ดังนั้น เมื่อไม่มีฝ่ายใดต้องการมา จึงไม่จำเป็นต้องพูดคุยกัน เพราะความตั้งใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่ให้มาพูดคุยในเรื่องการปลดล็อกพรรคการเมือง แต่บางพรรคกลับตั้งข้อแม้ ว่าถ้าไม่คุยเรื่องปลดล็อก ก็จะไม่ร่วมคุย
“ถ้าเขาไม่คุยด้วย แล้วจะมานั่งมองน่ามองตากันกี่คนละ มันก็ไม่มีใคร ก็ไม่ต้องมา เพราะคนเขาไม่อยากมา ส่วนคนที่จะมาก็เจอกันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังรอจังหวะอีกได้ เพราะเมื่อกฎหมายทั้ง 2 ฉบับโปรดเกล้าฯ ก็ต้องรออีก 90 วันจึงจะบังคับใช้ ไม่ได้บังคับใช้ในเดือนมิถุนายน อย่างที่คาดไว้แต่แรก” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่าในคำสั่งระบุให้พูดคุยเรื่องปลดล็อกและเรื่องที่จะนำไปสู่การเลือกตั้ง ไม่ได้บอกให้คุยถึงสิ่งที่พรรคการเมืองจะดำเนินการต่อ อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการ นายวิษณุ กล่าวว่า จะคุยอะไรก็คุยได้ เมื่อนานๆจะได้พบกัน สิ่งที่จะคุยตามกฎหมายขอให้มี แต่ถ้าจะแถมเรื่องอื่นด้วยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องที่อยากพูดคุยกันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าพรรคการเมืองไม่อยากคุยด้วยเพราะมีเงื่อนไขอื่นเหล่านี้เพิ่มขึ้นมา นายวิษณุ กล่าวว่า โถ่นานๆเจอกันที ชีวิตนี้เกือบจะไม่เคยเจอ เมื่อเจอกันมีอะไรก็ควรจะคุยกันได้ คุยกันแล้วไม่อยากมีส่วนร่วมด้วยก็นั่งฟังเฉยๆ ไม่เห็นด้วยกันคัดค้าน เห็นด้วยก็สนับสนุน เพราะเป็นการคุยกันของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้ง คสช.และพรรคการเมือง ซึ่งต่างคนต่างมีความทุกข์ไม่เหมือนกัน จึงต้องนำความทุกข์มาแชร์กัน
นายวิษณุ ยังกล่าวถึงกรณีพรรคการเมืองเสนอให้ชูเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นนโยบายหาเสียงว่า สามารถทำได้ ไม่มีปัญหา พรรคการเมืองสามารถบอกว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ แต่ไม่สามารถบอกว่าจะฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะบางคำพูดอาจไม่ผิดในวันนี้ แต่จะผิดในวันหน้า ดังนั้นอย่าทำอะไรพลาด เพราะหลายคนที่พลาดวันนี้ ได้พูดอะไรไว้ในเวลา เช่น เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว เมื่อมีการนำคำพูดมาผสมกับการกระทำ ก็จะดูเหมือนมีเจตนามาตั้งแต่ต้น
เมื่อถามว่าตอนนี้พรรคที่พูดว่าจะฉีกรัฐธรรมนูญเข้าข่ายผิดหรือยัง นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่นักกฎหมายที่ไหนเขาก็ตอบได้

หมวดเจี๊ยบ ชี้ ลางบอกเหตุเลื่อนเลือกตั้ง หลังรบ.ล้มหารือนักการเมือง มิ.ย.นี้

หมวดเจี๊ยบ ชี้ ลางบอกเหตุเลื่อนเลือกตั้ง หลังรบ.ล้มหารือนักการเมือง มิ.ย.นี้


“หมวดเจี๊ยบ” อัด รบ.แบะท่าล้มหารือพรรคการเมืองเดือน มิ.ย.เป็นลางจะเบี้ยวการ ลต.อีกแล้ว
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลแบะท่าว่าจะล้มเลิกการนัดพบหารือกับพรรคการเมืองในเดือนมิถุนายนนี้ คือลางบอกเหตุว่าเตรียมจะเบี้ยวเลือกตั้งอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์ เอง และบุคคลอื่นๆ ในรัฐบาลต่างดาหน้ากันออกมายืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งแน่นอน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยไล่ให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งยุติการชุมนุม อ้างว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะเลือกตั้งแล้ว จะมาเดินขบวนทำไม อันที่จริง แม้ว่าหลายฝ่ายจะไม่ได้ให้ราคากับการเรียกประชุมพรรคการเมืองในครั้งนี้นัก เช่น ผู้บริหารพรรค พท.ซึ่งพูดชัดเจนมาตั้งนานแล้วว่าจะไม่เข้าร่วม แต่ก็คงไม่มีใครนึกว่ารัฐบาลจะทำตัวน่าเกลียดขนาดนี้ พูดจากลับไปกลับมาทำตัวไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่


ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเฝ้าคอย ผู้มีอำนาจควรเลิกหมกมุ่นกับการดูดนักการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจ แล้วรีบๆ ผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งตามโรดแมปอย่างจริงใจ โดยต้องรีบปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมได้ทันที และต้องปล่อยให้ประชาชนมีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่ อย่าให้เหมือนช่วงก่อนลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จนทำให้ประชาชนไม่รู้ข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญ 60 อย่างถ่องแท้ เลยมองไม่เห็นกับดักที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญ เหมือนคนไทยถูกหลอกให้ตีเช็คเปล่าเพื่อขุดหลุมฝังประเทศไทยไว้ใต้อุ้งเท้าเผด็จการชั่วชีวิต แต่พอคนไทยเริ่มรู้สึกตัว อยากจะฉีกรัฐธรรมนูญ 60 ทิ้งอย่างถูกกฎหมายเพื่อร่างใหม่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคนไทยอย่างแท้จริง กลับถูกเผด็จการออกมาข่มขู่อย่างหนัก ทำไมไม่ห่วงอนาคตของประเทศบ้าง อย่ายึดติดกับหัวโขนและอำนาจนักเลย เพราะเมื่อถึงเวลาต้องตาย ทุกคนก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักอย่าง เหลือไว้แต่ความดีหรือความเลวให้คนรุ่นหลังได้พูดถึงและจดจำเท่านั้น

ด่วน! มติเอกฉันท์ ศาลรธน.วินิจฉัยร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.ไม่ขัดรธน.

ด่วน! มติเอกฉันท์ ศาลรธน.วินิจฉัยร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.ไม่ขัดรธน.


มติเอกฉันท์ ศาลรธน.วินิจฉัยร่างพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.ไม่ขัดรธน. พร้อมนัดลงมติคำสั่งคสช.53/2560 5 มิ.ย.
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่เอกสารข่าวถึงผลการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่งความเห็นของสมาชิกสนช.จำนวน 27 คน ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 263 ว่า ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 35 (4) และ (5) มีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 95 วรรคสามหรือไม่ และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง มีข้อความขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมาตรา 85 หรือไม่
ทั้งนี้ ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่าร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 35 ( 4) และ( 5) ที่บัญญัติว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งผู้ใด ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งและไม่ได้เเจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หรือเเจ้งเหตุที่มอาจไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งแล้ว แต่เหตุนั้นมิใช่เหตุอันสมควร ผู้นั้นจะถูกจำกัดสิทธิ์ (4) การดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมืองและข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา (5) สิทธิในการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการดำรงตำแหน่งตามาตราดังกล่าวเป็นสิทธิชนิดหนึ่งที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ออกกฎหมายจำกัดสิทธิดังกล่าวได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 95 วรรคสาม
ส่วนมาตรา 92 วรรคหนึ่ง ของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่ระบุว่า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่คนพิการหรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุในการออกเสียงลงคะแนนให้คณะกรรมการหรือผู้ได้รับมอบหมายให้มีการอำนวยความสะดวกสำหรับการออกเสียงลงคะแนนของบุคคลดังกล่าวไว้เป็นพิเศษหรือจัดให้มีการช่วยเหลือในการออกเสียงลงคะแนนภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง ในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวต้องให้บุคคลนั้นได้ออกเสียงลงคะแนนด้วยตนเอง ตามเจตนาของบุคคลนั้น เว้นแต่ลักษณะทางกายภาพทำให้คนพิการ หรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุไม่สามารถทำเครื่องหมายลงในบัตรเลือกตั้งได้ ให้บุคคลอื่นหรือกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้กระทำการเแทนโดยความยินยอม และเป็นไปตามเจตนาของคนพิการ หรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุนั้น ทั้งนี้ให้ถือเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ

ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ว่าไม่มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอำนวยความสะดวกหรือจัดให้มีความช่วยเหลือในการออกเสียงลงคะแนนของคนพิการหรือทุพลภาพ หรือผู้สูงอายุตามมาตราดังกล่าว ยังอยู่ในขอบเขตของวิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับตามรัฐธรรมนูญมาตรา 85 วรรคหนึ่งขณะที่กรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน เสนอเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 231 (1) ว่า ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 140 และมาตรา 141 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 เรื่องการดำเนินการตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 , 26 , 27 และมาตรา 45 หรือไม่
ทั้งนี้ ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายและนำไปสู่การวินิจฉัย และกำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยตามคำร้อง พร้อมทั้งนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561

ความเห็นต่างสึกพระ ก่อนพิสูจน์ความจริง

ความเห็นต่างสึกพระ ก่อนพิสูจน์ความจริง



กรณีพระผู้ใหญ่หลายรูป ทั้งระดับเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เจ้าคณะ กทม. เจ้าคณะภาค ถูกตำรวจจับกุมหลังจากศาลออกหมายจับ และนำตัวไปสึก ก่อนส่งเข้าเรือนจำ พร้อมฆราวาสร่วมก๊วนอีก 3 คน ในข้อหาทุจริตเงินทอนวัด
แต่ปรากฏว่า ไม่มีพระซึ่งกลายเป็นผู้ต้องหารูปใด ยอมเปล่งวาจาสึก หรือลาสิกขาจากการเป็นพระ แม้ตามกฎหมาย รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ยืนยันแบบฟันธง ตำรวจมีอำนาจให้ลาสิกขาได้
ยกเว้น นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระรายเดียว ที่หลังถูกจับกุมตามหมายจับของศาล ยอมสึกแต่โดยดี
กรณีการจับกุมพระเพื่อดำเนินคดีอาญาแล้วจับสึก ก่อนที่จะส่งตัวเข้าเรือนจำนั้น มีทั้งกระแสที่เห็นด้วย และย้อนแย้ง...
แหล่งข่าวระดับบริหารชั้นสูงผู้หนึ่ง ซึ่งอยู่ในแวดวงการศึกษาของพระ ตั้งข้อสังเกตไว้น่าสนใจ
เขาได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น ระดับอธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งถูกสั่งลงโทษทางวินัย หรือถูกดำเนินคดีอาญา จนต้องพักงาน พ้นจากตำแหน่ง หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งทำให้หลุดจากสถานะเดิมชั่วคราว จนกว่าจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือปราศจากมลทิน
หลังจากผ่านกระบวนการสอบสวนทางวินัย หรือศาลพิพากษาแล้วว่า ข้าราชการผู้นั้นไม่มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ในทางปฏิบัติการจะได้กลับคืนเข้าไปรับราชการใหม่นั้น ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะเพียงแค่มีคำสั่งแต่งตั้งให้กลับเข้าไปรับราชการในตำแหน่งเดิม และยศเดิม เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบ
แต่สำหรับพระนั้น การจับสึกพระ เพื่อนำตัวไปดำเนินคดีอาญา โดยเฉพาะที่เป็นพระผู้ใหญ่ ซึ่งมีอายุพรรษาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นระดับพระเถระ หรือมหาเถระก็ตาม
แหล่งข่าวบอกว่า อย่าไปนึกภาพปนกันระหว่างการจับสึกพระปลอม พระเมาเหล้า หรือพระทั่วไปที่ถูกจับได้ว่ามั่วสีกา เพราะการจับสึกพระผู้ใหญ่นั้น...ถ้าเปรียบเป็นหนัง ต้องถือว่าเป็นหนังคนละม้วน
“ที่ว่าเป็นหนังคนละม้วน เพราะพระผู้ใหญ่แต่ละรูป นอกจากมีตำแหน่งหน้าที่ และบทบาทสำคัญในวงการสงฆ์ ยังมีลูกศิษย์ลูกหา และคนใหญ่คนโต นับถือศรัทธามากมาย ยิ่งกว่านั้นยังมีขั้นตอนและผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากถูกจับสึกให้ต้องคำนึง”

กล่าวคือ ตั้งแต่ถูกจับกุมตัวไปดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ถ้าเทียบกับประชาชนทั่วไปที่ตกเป็น “ผู้ต้องหา” หลังจากถูกกล่าวหาว่า ได้กระทำความผิดซึ่งมีโทษทางอาญา ระหว่างที่การสอบสวนของตำรวจยังไม่แล้วเสร็จ...กรณีที่ ศาลไม่อนุญาต ให้ผู้ต้องหารายนั้นได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือ ประกันตัว
ขั้นตอนต่อไปจะต้องนำตัวผู้ต้องหารายนั้น ไป ฝากขังในเรือนจำ ซึ่งไม่มีความยุ่งยากอันใด
แต่ถ้าเป็นพระ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาว่าได้กระทำความผิดคดีอาญา เช่น ถูกตั้งข้อหาว่ายักยอกเงินทอนวัด กระทำตัวเป็นอั้งยี่ซ่องโจร หรือปลอมแปลงพระปรมาภิไธย เพื่อนำไปใช้สร้างพระหรือวัตถุมงคล
ปัญหาจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงที่การสอบสวนของตำรวจยังไม่แล้วเสร็จ และจำต้องนำพระรูปนั้นไปฝากขังในเรือนจำ หลังจากศาลไม่อนุญาตให้ได้รับการประกันตัว
กรณีเช่นนี้ แหล่งข่าวบอกว่า การจะนำ พระที่ยังไม่สึก เข้าไปพักในเรือนจำ ทั้งชุดหรือเครื่องแบบพระ เช่นเดียวกับนักโทษ หรือผู้ต้องหาอื่น ที่เป็นฆราวาสนั้น ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ดังนั้น ในทางปฏิบัติจึงต้องให้พระรูปนั้นสึกจากความเป็นพระเสียก่อน จึงจะนำตัวเข้าไปอยู่ร่วมกับนักโทษอื่นในเรือนจำได้
หรืออย่างกรณีที่พระผู้ใหญ่หลายรูป ซึ่งถูกตำรวจรวบตัว แต่ยัง ไม่ยอมเปล่งวาจาสึก ถ้าไม่เปลี่ยนไปนุ่งห่มขาวแทน ก็ต้องสวมชุดแบบเดียวกันกับนักโทษทุกคนในเรือนจำ
“จับประเด็นให้ดีนะ นี่ยังไม่ถึงขั้นตอนการต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในศาลเลย ยังอยู่แค่ชั้นพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ แค่มีการนำตัวพระภิกษุซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาไปฝากขังเท่านั้น จะเห็นว่า เมื่อตอนนี้ยังไม่มีวิธีอื่นให้เลือก พระที่ตกเป็นผู้ต้องหาจึงมักต้องสึกก่อนเข้าไปอยู่ในเรือนจำ”
แหล่งข่าวบอกว่า ลองกลับมาเทียบเคียงกัน ระหว่างกรณีของพระ กับข้าราชการอีกครั้ง
กรณีที่เป็นข้าราชการ เมื่อถูกสั่งลงโทษทางวินัย หรือถูกดำเนินคดีอาญา แต่ภายหลังสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือปราศจากมลทิน การได้กลับคืนเข้าไปรับราชการใหม่ในยศและตำแหน่งเดิมนั้น ไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะเพียงแค่มีคำสั่งใหม่แต่งตั้งทุกอย่างก็จบ
แต่กรณีของพระซึ่งยังไม่ทันได้พิสูจน์ตัวเองในชั้นศาลว่ามีความผิดจริงหรือไม่ แต่กลับต้องโดนจับสึกจากความเป็นพระไปก่อนแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาจะแตกต่างจากกรณีของข้าราชการ หรือประชาชนทั่วไปที่กลายเป็นแพะรับบาป แล้วภายหลังพ้นมลทินไกลกันลิบ
“เพราะกว่าจะเป็นพระได้นั้น มีขั้นตอนเยอะ ต้องมีการบวช และได้รับการยอมรับจากหมู่สงฆ์อย่างเป็นเอกฉันท์ ยิ่งเป็นอดีตพระผู้ใหญ่ที่มีทั้งสมณศักดิ์ ซึ่งเทียบได้กับยศ และมีตำแหน่ง เช่น เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะภาค หรือกรรมการมหาเถรสมาคม ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องถูกหรือผิด ทันทีที่พระระดับนี้ถูกจับสึก นอกจากเกิดการช็อกหรือสะเทือนไปทั่ว ถือว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้วกับพระรูปนั้น”
“เรื่องแรกที่เสียหาย คือ หลังจากที่พระรูปนั้นสึก แม้ต่อมาศาลจะพิพากษาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แม้ยังสามารถกลับไปบวชพระใหม่ได้ก็จริง แต่มันไม่ง่ายเหมือนกับกรณีของข้าราชการที่บริสุทธิ์ แล้วได้รับการคืนยศ คืนตำแหน่งได้ทันที เพราะทางพระยังมีเรื่องของการนับอายุพรรษา ที่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ หลังการบวชแต่ละครั้ง”
“นอกจากนี้ ระหว่างที่อยู่ในขั้นตอนพิจารณาคดีของศาล ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานาน ในความเป็นจริง เพื่อให้งานพระศาสนาเดินหน้าต่อไปได้ อาจจะมีการถอดถอนสมณศักดิ์ของพระที่ตกเป็นผู้ต้องหา แล้วเลื่อนสมณศักดิ์หรือแต่งตั้งพระรูปอื่นให้เข้าไปดำรงตำแหน่งแทนที่พระที่กลายเป็นทิดติดคุก”
“แต่หลังจากพิสูจน์ได้ว่า ทิดซึ่งเคยเป็นอดีตพระผู้ใหญ่ที่ถูกดำเนินคดีนั้นไม่มีความผิด แม้หลังออกจากคุกแล้ว สามารถบวชใหม่ แต่อย่าลืมว่าการนับอายุพรรษาเดิมที่เคยบวชมา 40-50 พรรษา จนได้เป็นพระมหาเถระ ต้องสูญสิ้นไปด้วย แล้วถูกเริ่มนับ 1 ใหม่ อาจมีปัญหาว่า คณะสงฆ์จะยอมให้กลับเข้าไปรับสมณศักดิ์และตำแหน่งเดิมอีกหรือไม่ หรือจะมีใครกล้าเป็นพระอุปัชฌาย์ บวชให้อดีตพระเถระรูปนี้ เป็นต้น”
แหล่งข่าวบอกว่า จะเอากรณีของพระผู้ใหญ่หลายรูป กับอดีตพระพุทธะอิสระที่กำลังตกเป็นข่าวขณะนี้ไปเทียบกับกรณีของ พระพิมลธรรม ซึ่งในอดีตถูกการเมืองในวงการสงฆ์อิจฉา ป้ายสี และเล่นงานกันไม่ได้
“กรณีพระพิมลธรรม อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ เมื่อปี 2503 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่ประกอบแต่กุศลกรรม แต่ถูกยัดเยียดข้อหาว่า ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ แอบฝึกอาวุธเพื่อล้มล้างรัฐบาล แม้จะถูกดึงผ้ากาสาวพัสตร์ และจับท่านยัดคุก แต่ท่านก็ไม่ยอมเปล่งวาจาสึก อธิษฐานขอครองตนเป็นพระอยู่ในคุกถึง 4 ปี สุดท้ายศาลทหารพิพากษาว่า ท่านบริสุทธิ์ จึงเป็นคนละกรณีกันกับพระอมเงินทอนวัด หรือปลอมพระปรมาภิไธย ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการปาราชิก หรือหมิ่นเบื้องสูง”
แหล่งข่าวผู้นี้ให้ข้อสรุปทิ้งท้ายไว้ว่า
ดังนั้น การเอากฎหมายที่ใช้ปฏิบัติกับประชาชนทั่วไปมาใช้กับการจับพระสึกเพื่อเอาตัวไปเข้าเรือนจำนั้น น่าจะมีมาตรการอื่นที่นุ่มนวลกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็จับสึกไว้ก่อนเพราะหลังจากสึกไปแล้ว แม้ต่อมาศาลจะพิพากษาว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กว่าจะได้กลับเข้าไปบวชใหม่ และคืนสถานะเดิมให้กัน มันเป็นเรื่องซับซ้อน
ส่วนจะหาทางออกกันอย่างไร เป็นเรื่องที่สังคมไทย ผู้ร่าง และใช้กฎหมาย คงต้องช่วยกันคิด.

ไม่ชัดใครคือตัวจริง!

ไม่ชัดใครคือตัวจริง!



มันคือโอกาสที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะได้ใช้ชีวิตสงบๆแลกกับสิ่งที่สูญเสียไปจากเมืองไทย
ตามรายงานล่าสุดของสำนักข่าวบีบีซีไทย ระบุทางการอังกฤษได้อนุมัติวีซ่าให้ “น้องปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พำนักอยู่ในสหราชอาณาจักรได้ยาว 10 ปี โดยอยู่ได้ไม่เกินครั้งละ 6 เดือน
ถือว่าหรูกว่าสถานะของ “ผู้ลี้ภัย” เพราะมีอิสระในการเดินทาง
ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นคำตอบว่าทำไมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ถึงได้ไม่หือไม่อือกับเรื่องการเมือง เก็บตัวเงียบอยู่พักใหญ่ นับตั้งแต่หนีออกจากประเทศไทย
ไม่มีการแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐบาล คสช.อย่างโจ่งแจ้ง อย่างดีก็แค่ปรากฏตัวร่วมฉากกับพี่ชายอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร บินโฉบไปโฉบมาประเทศนั้นประเทศนี้
โดยไม่มีการปริปากพูดเรื่องการเมืองให้เป็นข่าวเป็นประเด็น
นั่นเท่ากับว่าพฤติกรรมอยู่ในเงื่อนไขที่อังกฤษจะพิจารณาให้วีซ่ากับอดีตผู้นำหญิงของไทย ที่จะไม่ใช้สหราชอาณาจักรเคลื่อนไหวทางการเมืองให้เป็นปมปัญหากับประเทศไทย
ไม่ได้มีอะไรที่บ่งถึงการที่อังกฤษตบหน้ารัฐบาลทหารของไทย
แต่แน่นอน ในอารมณ์ของขบวนการหมั่นไส้ โดยเฉพาะม็อบพันธมิตรฯ กับแนวร่วมม็อบ กปปส.สายอดีต “พุทธะอิสระ” คงพาลด่าฝ่ายความมั่นคง คสช. ที่ปล่อยให้อดีตผู้นำหญิงหนีออกนอกประเทศ
แถมได้วีซ่าพำนักยาวเมืองผู้ดี ตบหน้าขบวนการหมั่นไส้ในเมืองไทย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หัวหน้า คสช. หนีไม่พ้นข้อหาทำปฏิวัติ “เสียของ”
ในมุมมองของพวกที่ออกแรงโค่นกระดาน “ทักษิณ” ที่รู้สึกว่าได้ผลตอบแทนไม่คุ้ม ยังไม่ได้รับการแชร์อำนาจและผลประโยชน์อย่างทั่วถึง นี่คือจังหวะที่จะเขย่าเปลี่ยนตัว “มวยล้ม” ได้เลย
นั่นย่อมไม่ส่งผลดีต่อเงื่อนไขสถานการณ์ที่ “นายกฯลุงตู่” ต้องตีตั๋วต่อ
โดยสถานการณ์ตรงกันข้ามกับเส้นทางการทวงอำนาจของฝั่ง “ทักษิณ” ที่เริ่มเด่นชัด
จากฉาก “แกรนด์โอเพนนิ่ง” เปิดตัวพรรคอนาคตใหม่ที่ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค นำทีมกรรมการบริหารและสมาชิกพรรคชูมือพร้อมเปิดฟังก์ชันไฟฉายจากสมาร์ทโฟน
สื่อนัยถึงคนหัวทันสมัยจับมือกันไล่ความมืดที่ครอบงำสังคมไทย
รูปแบบอีเวนต์แทบจะลอกกันมาเลยกับการเปิดตัวพรรคไทยรักไทย ภาพของ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่นำแคมเปญคิดใหม่ทำใหม่ ขี่ดาวเทียมมาตีตลาดการเมืองไทย
ดึงคะแนนนิยมรากหญ้าภาคอีสาน ภาคเหนือ ฝังใจแบบหัวปักหัวปําจนถึงวันนี้
หรือกับอีเวนต์ล่าสุดของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่นัดกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโชว์ข้างถนน ทำท่าซ้อมอดอยากปากแห้ง ประชดประชันเบิ้ลบลัฟเศรษฐกิจในยุครัฐบาล คสช.
ไม่ได้อยู่ดีกินดีเหมือนยุคยี่ห้อ “ทักษิณ” บริหาร
แน่นอนมุกแบบนี้ มันต้องมี “โคตรเซียนการตลาด” บริษัทเอเจนซีมืออาชีพ เขียนบท คิดพล็อตให้กระตุ้นกระแสกองเชียร์แนวร่วม เลี้ยงเรตติ้งมวลชนอย่างเป็นระบบ
ชัดเจนว่าไม่ใช่ “ม็อบธรรมชาติ” ที่โหมแบบม้วนเดียวจบ
และนั่นยังโยงไปถึงปรากฏการณ์ที่ “บิ๊กตู่ตำรวจ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. เปิดหน้าท้ารบกับฝ่ายความมั่นคง คสช. แบบเต็มตัว
เทกแอ็กชันโชว์ความเป็นแนวร่วมโค่นรัฐบาล “ลุงตู่”
ออกหน้าแสดงตัวแสดงตนเป็น “นายประกัน” ให้แกนนำม็อบอยากเลือกตั้งที่ถูกล็อกตัวดำเนินคดี เปิดหน้าชนตำรวจทั้ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ทั้ง “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. ท้าตีท้าต่อยกับทหาร คสช. แบบไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม
ในอารมณ์แม่ทัพใหญ่ ล้อกับข่าววงใน “นายหน้าดูไบ” ต่อสายเชื่อมเครือข่าย
ทำเอ็มโอยู แผนร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ พรรคอนาคตใหม่ ม็อบคนอยากเลือกตั้ง รวมทั้งทีมของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เชื่อมกับศูนย์กลางพรรคเพื่อไทย ฐานใหญ่ของ “ทักษิณ”
เกี่ยวโยงกันอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่ใช่แค่ศัตรูร่วมคนเดียวกัน แต่มันคือยุทธศาสตร์แยกกันเดินรวมกันตี
ตามรูปการณ์ที่ออกมา ถึงแม้ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เจ้าแม่เมืองกรุง จะได้สิทธิ์ถือธงนำพรรคเพื่อไทย แต่ยังต้องฝ่าแรงเสียดทานเจ๊ๆเฮียๆในป้อมค่าย
ถึงที่สุดยังไม่รู้ใครจะเป็นผู้เล่น “ตัวจริง” ของ “นายใหญ่” กันแน่.
ทีมข่าวการเมือง