PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตร.แจ้งข้อหา “นางเดียร์” ก่อการร้าย “ชัยสิทธิ์-แจ๊ด” อยู่ในข่ายเรียกตัวมาสอบ

ทหารส่งมอบ “นางเดียร์-เจษฎาพงษ์” ผู้ต้องหาคดีปาระเบิดใส่ศาลอาญาเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ให้ตำรวจสอบเค้น ก่อนแจ้งข้อหาก่อการร้ายนำตัวฝากขังศาลทหาร ส่วน “แหวน” เป็นผู้จัดหามือระเบิดเพื่อกระทำการใน 5 จุด ด้าน “อเนก ซานฟราน” นายทุนใหญ่ขณะนี้กบดานที่สหรัฐฯ อยู่ระหว่างการขอตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ระบุหากหลักฐานสาวถึง “ชัยสิทธิ์-แจ๊ด” อาจจะมีการเรียกตัวมาสอบปากคำด้วย
วันนี้ (18 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) นำกำลังคุมตัว นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ และนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยศิริ หรือเจต ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหารในคดีร่วมกันก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ในคดีร่วมกันขว้างระเบิดใส่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม มาให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สอบปากคำ โดยนางสุภาพรสวมเสื้อสีแสด กางเกงขายาวสีดำ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงประกบตัวตลอดเวลาแม้ในช่วงสอบปากคำ ขณะที่นายเจษฎาพงษ์สวมเสื้อเชิ้ตและสวมแจ็กเกตสีดำทับ ทั้งสองคนสีหน้าอิดโรย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหา สอบประวัติและแยกสอบปากคำทั้งคู่ โดยการสอบสวนนางสุภาพรเป็นไปอย่างเข้มข้น ก่อนควบคุมตัวนำฝากขังศาลทหารต่อไป
ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พร้อมด้วย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ พล.ต.ต.จิตติ รอดบางยาง รอง ผบช.น. ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ร่วมแถลงข่าว โดย พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า วันนี้ ทหารได้นำตัวนางสุภาพร และนายเจษฎาพงษ์ ซึ่งครบกำหนดควบคุมตัวตามกฎอัยการศึกส่งมอบให้พนักงานสอบสวนแล้ว หลังจากส่งมอบผู้ต้องหาในขบวนการคนอื่นๆให้แล้วก่อนหน้านี้ 11 คน รวมวันนี้เป็น 13 คน โดยยังมีผู้ต้องหาตามหมายจับอยู่ในการควบคุมของทหาร 2 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมลออ มีหมายจับข้อหาร่วมกันก่อการร้าย และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และยังหลบหนีอีก 2 ราย คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน ผู้บงการและผู้จ้างวาน และนายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผุ้ร่วมวางแผนและจัดหาระเบิด
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า การก่อเหตุระเบิดของขบวนการนี้แบ่งเป็น 2 ครั้ง ครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 เกิดในท้องที่ สน.โชคชัย พบว่านายมนูญมีการติดต่อทางไลน์และโซเชียลมีเดียกับนางสุภาพร ให้ติดต่อว่างจ้างหาคนก่อเหตุวางระเบิด 5 จุดในกทม. ประกอบด้วย ศาลอาญา, สวมลุมพินี, สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจตุจักร, กรมทหารราบ 11 รอ. และลานจอดโรงแรมสยามเคมปินสกี โดยพบการโอนเงิน 50,000 บาท ผ่านทางนายวสุ ส่งต่อให้นางวาสนา บุษดี และมีการติดต่อ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน หาคนทำงาน จากนั้น น.ส.ณัฏฐธิดาติดต่อนายสุรพล ที่อ้างว่าตัวเองมีความรู้ด้านการประกอบระเบิดจากต่างประเทศ ให้รับงานวางระเบิดทั้ง 5 จุด แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดนายสุรพลยกเลิกภารกิจ จึงมีการวางแผนใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่ 2 ในเดือนมีนาคม คราวนี้นางสุภาพรได้เปลี่ยนไปติดต่อผ่านนายวิชัย อยู่สุข หรือตั้ม และนายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ก่อนติดต่อว่าจ้างนายวิระศักดิ์รับงาน ว่าจ้างนายมหาหิน ขุนทอง และนายยุทธนา เย็นภิญโญ รับงานก่อนเหตุที่ศาลอาญา กระทั่งถูกจับกุมได้ สรุปแล้วนายมนูญพยายามก่อเหตุรุนแรงใน กทม.ถึง 2 ครั้ง โดยติดต่อผ่านเครือข่ายนางสุภาพร ที่แยกชุดทำงานออกเป็น 2 สาย
“นางสุภาพร หรือเดียร์ จัดว่าเป็นกลุ่มทุน หัวใจสำคัญในประเทศไทย มีนายอเนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญในต่างประเทศ สนับสนุนทางการเงินจากต่างประเทศ พบมีการโอนเงินให้กัน ครั้งแรกโอนให้ 50,000 บาทก่อนจะให้ลงมือ ส่วนครั้งที่ 2 โอนผ่านบัญชีนายธราเทพ มิตรอารักษ์ ลูกชายนางเดียร์ 50,000 บาท เพื่อให้นำไปเยียวยาครอบครัวของคนที่ถูกจับ โดยเหตุที่นางเดียร์ไม่ให้โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง อ้างว่าไม่มีบัญชีธนาคาร มีเพียงบัญชีของอดีตสามีซึ่งหย่าร้างไปแล้ว อีกทั้งสามียังมีคดีติดตัวอีกด้วย จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินก้อนนั้น ส่วนเหตุจูงใจนั้นนางสุภาพรให้การว่านายอเนกรับปากว่าจะเลี้ยงดูบุตรชาย 2 คนของตน และหากดำเนินการตามสั่งแล้วเสร็จจะพาไปทำงานเก็บองุ่นที่ประเทศออสเตรเลีย โดยเหตุหลักที่ร่วมมือกันก่อเหตุเพราะมีอุดมการณ์การเมืองสอดคล้องกัน โดยนายอเนกนั้นอยู่ในต่างประเทศมีอุดมการณ์ต่อต้านรัฐบาลปัจจุบัน และต่อต้านสถาบันฯ ทั้งนี้ การติดต่อใช้ของกลุ่มนี้ใช้ช่องทางไลน์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ บางคนไม่รู้จักกัน ไม่เคยพบกันด้วยซ้ำ เพียงแต่ติดตามกันทางโซเชียลมีเดียด้วยมีอุดมการณ์ แนวคิดสอดคล้องกัน” พล.ต.ต.ชยพลกล่าว
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า นางสุภาพรนั้นมีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่อยากระบุชัดเจนว่ากลุ่มไหน เป็นความขัดแย้งในอดีต นางสุภาพรเป็นแกนนำระดับสำคัญที่มีบทบาทและได้รับการยอมรับพอสมควร ที่ผ่านมาหน่วยความมั่นคงเคยขึ้นบัญชีมีข้อมูลอยู่ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานหรือสิ่งบ่งชี้ว่ากระทำความผิด ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนในกลุ่มนี้ เช่น นายมนูญ นั้นมีความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา 112 ฐานหมิ่นสถาบันฯ แต่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ตนไม่ขอพูดถึงความขัดแย้งในอดีต แต่ยืนยันตำรวจและทหารดำเนินคดีตามกฎหมายและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับกลุ่มใด โดยทั้งหมดเกิดจากคำให้การของผู้ต้องหาทั้งสิ้น
“เหตุจูงใจ นอกจากค่าจ้างแล้วกลุ่มผู้ต้องหา ยังมีอุดมการณ์แนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน การก่อเหตุแต่ละครั้งก็มีเหตุผลหลายอย่าง ทั้งอุดมการณ์ที่ตรงกัน ถูกหลอก ถูกชักจูง และเงินค่าจ้าง” ผบ.ตร.กล่าว
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการโยงถึง น.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน พยานสำคัญในคดีสังหาร 6 ศพที่วัดปทุมฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ต้องหา อาจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความบังเอิญเกินไปหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐาน คำให้การผู้ต้องหา ตัวของ น.ส.ณัฏฐธิดานั้นเราไม่เคยเอาเข้ามาเกี่ยวข้อง และไม่สามารถนำเขามาเกี่ยวโดยไม่มีคำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องซัดทอดกล่าวถึง เมื่อนางสุภาพรให้การว่าติดต่อผ่าน น.ส.ณัฏฐธิดาไปถึงนายสุรพล ชื่อของ น.ส.ณัฏฐธิดาจึงปรากฏในสำนวนการสอบสวน และเมื่อเป็นสิ่งผิดกฎหมายพนักงานสอบสวนจึงต้องดำเนินการตามกระบวนการ ส่วนจะบังเอิญพอเหมาะพอดีเกินไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถกะเกณฑ์กำหนดได้ ยินยันพนักงานสอบสวนทำตามพยานหลักฐาน และหากซัดทอดไปถึงใครที่มากกว่านี้พนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน
ถามว่าความพยายามก่อเหตุของผู้ต้องหาในครั้งแรก สอดคล้องกับการเกิดเหตุที่หน้าห้างสยามพารากอน พบว่าเป็นฝีมือกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า ตนบอกหลายครั้งว่ากลุ่มที่พยายามก่อเหตุรุนแรงเป้นกลุ่มเดียวกัน บางครั้งทำสำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ก็เป็นไปได้ว่าอาจบงการโดยกลุ่มนี้โดยใช้ทำงานอีกสายหนึ่ง เห็นได้จากกรรีนี้ แบ่งชุดทำงานเป็น 2 กลุ่ม แต่จ้างวานโดยนายอเนกเพียงคนเดียว ตนไม่ทราบว่าเหตุที่สยามพารากอนจะเป็นนายอเนก ที่ไปจ้างอีกกลุ่มหรือไม่ จนกว่าจะจับกุมแล้วสอบสวนขยายผลว่าเหตุที่พารากอนใครก่อเหตุ ใครอยู่เบื้องหลัง เชือ่มโยงถึงใครบ้าง ต่อรอให้จับกุมผู้ต้องหาให้ได้
พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงการขอตัวนายมนูญ หรืออเนก เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ว่าในอดีต เคยพยายามขอตัวนายอเนกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีความผิดข้อหาดังกล่าวในสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่ขณะนี้นายอเนกมีหมายจับในข้อหาก่อการร้ายซึ่งไทยและสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาส่งผุ้ร้ายข้ามแดนร่วมกัน จากนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินการทำตามขึ้นตอนส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป โดยติดต่อผ่านอัยการให้ตรวจสำนวน ก่อนส่งกลับกองการต่างประเทศ ส่งต่อกระทรวงการต่างประเทศที่มีหน้าที่นำเข้าสู่กระบวนการขอตัวส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป ซึ่งไทยกับสหรัฐฯ มีความสันพันธ์ที่ดีต่อกัน
ผบ.ตร.กล่าวว่า สำหรับนายอเนกนั้นเป็นนักธุรกิจที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศ มีความคิดความเชื่อคล้ายกลุ่มผู้ก่อเหตุ มีการแลกเปลี่ยนข่าวสาร สั่งการผ่านโซเชียล เป็นคนที่มีอิทธิพลพอสมควร ส่วนค่าจ้างที่ดูไม่มากนั้นเหตุเพราะผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจทางการเมือง รวมทั้งมีข้อตกลงแลกเปลี่ยน จึงตัดสินใจลงมือกระทำ สำหรับนางสุภาพรนั้นเมื่อครั้งที่เคลื่อนไหวกลุ่มการเมือง อาจรู้จักผู้ใหญ่หลายคนเพราะเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญ ทำให้การออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับความเชื่อถือ อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มก่อเหตุความรุนแรงในประเทศไทยที่หลักฐานปรากฏชัด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นที่ยังหลบหนีซึ่งทุกกลุ่มมีลักษณะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันทำตามความถนัด
เมื่อถามว่าแกนนำทางการเมืองคนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ขณะนี้สามารถนำมาเปิดเผยได้เพียงเท่านี้ สำหรับคนอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องต้องรอผลการสอบสวนก่อน หากพบความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงที่เป็นความผิดก็ต้องดำเนินการขอนุมัติหมายจับต่อไป เช่นเดียวกับกรณีที่มีการพาดพิงถึง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีต ผบ.สส. และพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. หากไม่พบพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงแล้วมีความผิดจนสามารถขออนุมัติต่อศาลออกหมายจับกุมได้ก็ยังไม่ถือว่าเกี่ยวข้อง หากหลักฐานจนนำไปสู่การขออนุมัติหมายจับต่อศาลได้ก็ไม่สามารถละเว้นได้ ทั้งนี้เนื่องจากทั้งสองคนเป็นบุคคลมีชื่อเสียง จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนต้องเชิญมาให้ปากคำหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของพนักงานสอบสวนว่าจำเป็นหรือไม่


เอนกซานพราน-องค์กรภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน

แฉความสัมพันธ์ ระบอบทักษิณ กับ ขบวนการล้มเจ้า เกี่ยวข้องกัน เป็นเนื้อเดียว หน้าเหลี่ยมชักใยอยู่เบื้องหลัง แสดงเจตนารมณ์ชัดเจน หนึ่งในแกนนำหลัก คือ คนในชุมชนไทยในสหรัฐฯ โดยเฉพาะซานฟรานฯ และแอล.เอ. รู้จักและได้ยินเรื่องราวมาตลอดตั้งแต่ มียุคทักษิณบังเกิดขึ้น "กลุ่มมดแดงล้มช้าง" การชื่อก็สื่อนัยบอกเป้าหมาย เป็นคนของใคร และตั้งใจทำอะไร
โดยตั้ง "องค์กรภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน " ที่มีนายเอนก ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน เป็นประธาน เคยเดินทางไปถึงกรุงเฮก เพื่อยื่นซองเรื่อง ขอนิรโทษกรรมทักษิณ ให้เข้าสู่กระบวนการศาลโลก! โดยอ้างว่าเป็นการประสานงาน ของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้ชื่อ “องค์กรภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน” ในหลายทวีป ! เพื่อเรียกร้องต่อสากล ให้คืนสิทธิอันชอบธรรมแก่ ทักษิณ
องค์กรภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน” ไม่ได้มีเป้าหมายตามชื่อ ที่ตั้ง แต่ใช้เป็นองค์กรเพื่อปฏิบัติการที่ไม่ตรง กับชื่อขององค์กร เป็นตัวตั้งตัวตี ที่อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน และต่อต้านการรัฐประหาร แต่แท้จริง เป็นพวกหัวรุนแรง “ไม่เอาเจ้า” แบบเปิดตัว !! เกี่ยวข้องกับ “มหาวิทยาลัยประชาชน” ซึ่งมีนายเสน่ห์ ถิ่นแสน หรือ .เพียงดิน รักไทย คนที่อ้างเรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อ “จุดกระแส” ริเบอรั่ว ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านทหาร และเชื่อมโยง เข้ากับฝ่าย “ล้มเจ้า” โดยใช้โซเชี่ยลมีเดีย เป็นเครื่องมือและการเข้า “ล็อบบี้” แก่หน่วยงานต่างประเทศ
นอกจากนี้ทั้ง องค์กรภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน และมหาวิทยาลัยประชาชนยังมีไว้ “ฟอกตัว” ให้กับขบวนการล้มเจ้า ใช้เรื่องสิทธิมนุษยชน เพื่อล้างผิดเป็นถูก และทำงานเป็นเครือข่ายกระจายตัวอยู่ ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก
นายเอนก ชัยชนะ นายเสน่ห์ ถิ่นแสน ยังเกี่ยวข้องกับ นายชูพงศ์ ถี่ถ้วน หรือ นายชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ นายองอาจ ธนกมลนันนท์ หรือนายอาคม ซิดนีย์ นายอำนวย แก้วชมภู หรือ วู๊ดไซค์ นิวยอร์ค ที่เพิ่งเสียชีวิต และ นังโรส ฉัตรวดี
คนพวกนี่คือ หัวเรี่ยวหัวแรงในต่างประเทศ ทั้งยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ทำงานคู่ขนานไปกับแนวทางของ “องค์กรเสรีไทย” ของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่น่าจะมีความเกี่ยวข้อง กับ เฟซ “เจ๊ขก” ที่ตั้งขึ้นเพื่อโจมตีสถาบัน อย่างโจ่งแจ้ง
การจัดรายการสถานี และบทความผ่านสื่อสังคม เนื้อหาเป็นไปในแนวทาง ปลุกระดม “โค่นล้ม” สถาบันพระมหากษัตริย์ มีการจัดกิจกรรม ที่อ้างว่าเป็นกิจกรรมเชิงวิชาการ เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เพื่อสร้างเครือข่าย ในต่างประเทศและ “สร้างความเท็จ” โจมตีสถาบันเบื้องสูงของไทย
คนกลุ่มนี้ มีความสัมพันธ์กับ “ทักษิณ” โดยตรง เช่น นายเสน่ห์ ถิ่นแสน เคยร่วมกับ “เสื้อแดงเยอรมันนี” จัดตั้งกลุ่ม “มดแดงล้มช้าง”
การที่นายเอนก ซานฟราน เข้ามาเป็นท่อน้ำเลี้ยง ให้กลุ่มวางระเบิด ป่วนกรุง จึงไม่เกินความคาดหมาย เงินที่ใช้เป็นเงินจากทักษิณสมทบ ในกองบริจาคก้อนใหญ่ เพื่อให้ตามสืบเส้นทางการเงินไม่ถึงตัว


ระทึก!'ปู'ลุ้นฟ้องจำนำข้าว

ระทึก!'ปู'ลุ้นฟ้องจำนำข้าว

ลุ้นศาลฎีกาฯ รับ-ไม่รับฟ้องคดีจำนำข้าว 19 มี.ค. ทนายยัน 'ยิ่งลักษณ์' ไม่ไปศาล

 
                            18 มี.ค. 58  นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน รองหัวหน้าคณะทำงานอัยการ ที่รับผิดชอบคดีโครงการจำนำข้าวและระบายข้าว กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคมนี้ นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน และคณะทำงาน รวม 6 คน จะเดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่ศาลกำหนดนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ ในคดีที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย โดยคณะทำงานอัยการหารือกันแล้ว จะเดินทางไปยังศาลฎีกาฯ เวลา 09.30 น. เพื่อพร้อมฟังคำสั่งตามที่ศาลนัดไว้ ในเวลา 10.00 น.
 
                            ขณะที่ นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา กล่าวว่า ช่วงเช้าวันที่ 19 มีนาคม องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จะร่วมประชุมกัน ก่อนจะมีความเห็นว่า ควรจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่ รวมทั้งการพิจารณาหาผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน 1 คน ขึ้นรับผิดชอบสำนวน และหากมีคณะทำงานอัยการ หรือผู้รับมอบอำนาจ หรือมีทนายความมา ศาลฎีกาฯ ก็จะเปิดห้องพิจารณาเพื่ออ่านคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่ รวมถึงวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก และรายงานกระบวนพิจารณาให้คู่ความทราบโดยทั่วกัน อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ในคดีดังกล่าวยังไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยได้ยื่นคัดค้านผู้พิพากษาคนใด ในการเป็นองค์คณะพิจารณาคดี โดยการคัดค้านนั้นสามารถยื่นได้จนถึงวันพิจารณาคดี
 
                            ส่วนคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวกรวม 21 ราย ร่วมฮั้วประมูล และใช้อำนาจมิชอบโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น นายธนฤกษ์ กล่าวว่า ทางนายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา ยังไม่ได้กำหนดนัดประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด เพื่อเลือกองค์คณะจำนวน 9 คน ขึ้นพิจารณาสำนวนคดี อย่างไรก็ตาม การเลือกองค์คณะนั้นกฎหมายกำหนดไว้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน
 
 
 
ทนายยัน 'ปู' ไม่ไปศาล 
 
 
                            นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้อง กรณีละเลยไม่ดำเนินการยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้รัฐเสียหายกว่า 6 แสนล้านบาทหรือไม่ ในวันที่ 19 มีนาคม ว่า การดำเนินการในวันที่ 19 มีนาคม เป็นเรื่องระหว่างศาลกับพนักงานอัยการ ในกรณีที่ศาลจะพิจารณาคำฟ้องของพนักงานอัยการว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องไปที่ศาล ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ และทีมทนายความ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปที่ศาล แต่จะรอฟังผลการพิจารณาของศาลก่อนว่าจะออกมาอย่างไร จากนั้นจึงค่อยมาว่ากันอีกทีว่า ทีมทนายความจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปอย่างไร

สถานการณ์ข่าว18/3/58

ความมั่นคง/ระเบิดศาลอาญา

ทหารเตรียมส่งมอบ "เดียร์" มือจ้างวานบึ้มศาลให้ตำรวจเช้านี้ - สันติบาลรักษาความปลอดภัยเข้ม 

ตามที่เจ้าหน้าที่ทหารเตรียมควบคุมตัว น.ส.สุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร หลังตกเป็นผู้จ้างวานให้ นายมหาหิน ขุนทอง อายุ 34 ปี และ นายยุทธนา เย็นภิญโญ อายุ 33
ปี ไปขว้างระเบิดที่ศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม และควบคุมตัวไว้ตามกฎอัยการศึกครบ 7 วัน

โดยมีรายงานว่า ในเวลา 10.30 น. วันนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะรับมอบตัวผู้ต้องหาจากทหารและทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขังต่อไป

ทั้งนี้ สำหรับ นางเดียร์ ถือเป็นผู้ต้องหาสำคัญ เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับการติดต่อโดยตรงจากผู้บงการใหญ่ในตอนนี้ คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน 1 ในผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยมีตำรวจสันติบาลคอยประจำการตรวจตราและบุคคลที่จะผ่านเข้า-ออก ตลอด 24 ช.ม. ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดขึ้นทั้งที่สยามพารากอนและศาลอาญา สถานการณ์จนถึงขณะนี้ยังเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติแต่อย่างใด
-------------------
ผบก.น.6 เผยเลื่อนส่งผู้ต้องหาบึ้มหน้าศาลอาญา เป็น 13.00 น. คาดจะคุมตัวถึง บช.น. ก่อนเที่ยง

พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 ถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารเตรียมควบคุมตัว น.ส.สุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร หลังตกเป็นผู้จ้างวานให้ นายมหาหิน ขุนทอง อายุ 34 ปี และ นายยุทธนา เย็นภิญโญ อายุ 33 ปี ขว้างระเบิดที่ศาลอาญารัชดา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม หลังได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาครบตามกฎอัยการศึก ว่า เจ้าหน้าที่ทหารจะควบคุมตัวผู้ต้องหามาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลไม่เกิน 12.00 น. เพื่อจะนำตัวไปสอบปากคำเพิ่มเติมและแถลงข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้งในเวลา 13.00 น. ของวันนี้

ด้านบรรยากาศที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ขณะนี้ เจ้าหน้าที่เริ่มทยอยเข้ามาทำงานตามปกติ ผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักติดตามรอทำข่าวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
---------------------
โฆษก ตร. เผย ทหาร ส่งมอบ"เดียร์" บ่ายนี้  ยัน บึ้มศาลอาญา เป็นคดีก่อการร้าย ไม่โยงการเมือง เร่งขอ USA ส่งตัว "เอนก ซานฟราน" 

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า ในเวลา 13.00 น. ทหารจะส่งมอบตัวผู้ต้องหา ในคดีระเบิดศาลอาญา รัชดา ให้กับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อย่างน้อย 2 คน โดยหนึ่งในนี้ คือ นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ผู้จ้างวาน โดยจะมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สอบปากคำด้วยตนเอง ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวไปฝากขัง  พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ผู้บงการใหญ่ ยังหลบอยู่ในประเทศสหรัฐ และตำรวจ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน อีกทั้งประสานตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล ในการช่วยติดตามตัวด้วย ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ มั่นใจว่า การขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนในคดีนี้จะไม่มีปัญหา

ทั้งนี้ ยังกล่าวด้วยว่า จากแนวทางการสืบสวนยืนยันได้ว่า คดีระเบิดที่เกิดขึ้น ผู้ก่อเหตุต้องการหวังผลให้เกิดความวุ่นวาย สร้างความแตกตื่นให้ประชาชน ซึ่งถือเป็นความผิดข้อหาก่อการร้าย และไม่ใช่คดีการเมือง หรือความผิด ตามมาตรา 112

อย่างไรก็ตาม โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ไปแล้วทั้งหมด 17 ราย สามารถติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 14 ราย และยังหลบหนีอีก 3 ราย  แต่ยืนยันว่า ยังมีผู้ร่วมในขบวนการนี้อีกและตำรวจจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออำนาจศาลทหารออกหมายจับต่อไป
-----------------------
เจ้าหน้าที่คุมตัว 2 มือบึ้มศาลอาญา มาสอบปากคำเพิ่มเติม - รวมมีผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวทั้งหมด 17 คน

วันนี้ เวลา 11.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลบาล ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) ควบคุมตัวผู้ต้องหาในคดีขว้างระเบิดบริเวณหน้าศาลอาญา
ถ.รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา จำนวน 2 ราย คือ นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ อายุ 44 ปี และ นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ อายุ 49 ปี โดยมีการใช้ผ้าปิดตาผู้ต้องหาบางส่วนไว้ โดยใช้รถตู้ของทางกองทัพจำนวน 2 คันมาที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อเดินทางไปพร้อมกับขบวนของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. เพื่อส่งมอบให้กับผู้บัญชาการตำรวจนครบาลและพนักงานสอบสวน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สอบปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง พร้อมจะแถลงผลการจับกุม เวลาประมาณ 13.30 น. ด้วย

ด้านผู้ต้องหาตามหมายจับที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งติดตามจัดกุมเหลือเพียง นายวีระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา อายุ 36 ปี และ นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ที่ยังหลบหนีอยู่ รวมแล้วขณะนี้มีผู้ต้องหาที่ร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ทั้งหมด 17 คน เจ้าหน้าที่สามารถจับได้แล้ว 15 คน ยังหลบหนีอีก 2 คน เจ้าหน้าที่เตรียมขยายผลหาผู้บงการใหญ่ต่อไป
----------------------
ผบ.ตร. รับมอบ 2 ทีมบึ้มศาล รวมเดียร์ นำสอบจ่อแจ้งข้อหาหนักก่อนฝากขัง

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพนักงานสอบสวน ทำการสอบปากคำ นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ อายุ 49 ปี ผู้จ้างวาน และ นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ อายุ 44 ปี ผู้ร่วมก่อเหตุในคดีระเบิดศาลอาญา .รัชดาภิเษก หลังทหารนำมาส่งมอบ โดยตำรวจได้มีการจัดกำลังดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ จากการสังเกตพบว่า นางสุภาพร หรือ เดียร์  มีสีหน้าเคร่งเครียดและอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ส่วน นายเจษฎา มีสีหน้าเรียบร้อย โดยภายหลังการสอบปากคำ พนักงานสอบสวนจะนำตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลทหารฝากขังผลัดแรก ส่วนรายละเอียดผลการสอบปากคำ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีการแถลงข่าวและตอบข้อซักถามต่อสื่อมวลชน

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้ออกหมายจับไปแล้วทั้งหมด 17 ราย สามารถติดตามจับกุมตัวได้แล้ว 15 ราย และยังหลบหนีอีก 2 ราย ประกอบด้วย นายวีระศักดิ์ โตวังจร นายมนูญ ชัยชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ซึ่งหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ส่วน นายวสุ เอี่ยมละออ และ นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ มีรายงานว่าทหารได้ควบคุมตัวได้แล้ว
-----------------
สมยศ แถลงเดียร์รับงาน เอนกบงการบึ้ม พบเคยร่วมป่วน ปัดยัดข้อหาแหวน

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ร่วมกันแถลงผล

การสอบปากคำ นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์  และ นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ ผู้ต้องหาคดีร่วมกันปาระเบิดศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก โดยระบุว่า เบื้องผู้ต้องหารับงานมาจาก นายมนูญ ชัย

ชนะ หรือ เอนก ซานฟราน ผู้บงการใหญ่

โดย นางเดียร์ สารภาพว่า เหตุที่รับงานนอกจากจะมีอุดมการณ์เดียวกันแล้ว นายเอนก รับปากว่าจะช่วยเลี้ยงดูบุตรชายจำนวน 2 คน สำหรับ นายเอนก ซานฟราน ตำรวจคาดว่าสาเหตุที่ต้องการก่อ

เหตุ เนื่องจากมีความคิดขัดแย้งและต่อต้านสถาบันเบื้องสูง และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับในมาตรา 112 ซึ่งได้ไปเปิดธุรกิจร้านอาหารอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา และเคยวางแผนก่อเหตุในกรุงเทพ

มหานครในเดือนกุมภาพันธ์ จำนวน 5 จุด แต่ครั้งนั้นทำไม่สำเร็จ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเร่งประสานขอตัวตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า สำหรับ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือ แหวน อดีตพยาบาลอาสาช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ถูกดำเนินคดีด้วยนั้น เพราะเจ้าหน้าที่มี

พยานหลักฐานยืนยันชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ได้เป็นการยัดเยียวดข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ นอกจากผู้ต้องหาที่นำมาส่งมอบแล้ว ขณะนี้ทหารยังควบคุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับไว้อีก 2

คน ซึ่งจะมีการนำมาส่งมอบต่อไป
---------------------------
ผบ.ตร. แถลง "เดียร์" เป็นแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีต รับงานเอนกเพราะมีแรงจูงใจ

พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงภายหลังสอบปากคำ นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือ เดียร์ ผู้ต้องหาคดีระเบิดศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาได้การรับ

สารภาพทุกข้อกล่าวหา และจากการตรวจสอบพบว่า นางสุภาพร หรือ เดียร์ ถือเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มที่ขัดแย้งทางการเมืองในอดีตที่เคลื่อนไหวในไทย โดยจะมีการสื่อสารกับผู้ร่วม

อุดมการณ์ผ่านโซเชียลมีเดีย ส่วนจะเป็นกลุ่มที่ขัดแย้งกลุ่มใดขอไม่ระบุรายละเอียด เพราะไม่ต้องการสร้างความขัดแย้งเพิ่มเติม และทุกคนสามารถแสดงออกทางความคิดได้ แต่หากกระทำผิดก็

ต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย พร้อมยืนยันตำรวจทำตามพยานหลักฐาน ซึ่งสอดคล้องกับคำสารภาพของผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้ ยืนยันไม่ใช่การกลั่นแกล้ง

ส่วนที่มีการจ้างวานด้วยจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยนั้น เนื่องจาก นางสุภาพร มีแรงจูงใจอื่น รวมถึงมีอุดมการณ์ที่ตรงกัน ทำให้ตัดสินลงมือ ส่วนจะมีใครเกี่ยวข้องเพิ่มเติมหรือไม่อยู่ระหว่างการสอบ

สวนหากพบก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมยืนยันเหตุระเบิดพารากอนก็เกิดจากกลุ่มเดียวกันที่ลงมือก่อเหตุ

สำหรับผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องตำรวจได้ออกหมายจับทั้งหมด 17 คน ดำเนินจับกุมแล้ว 13 คน อยู่ในการควบคุมของทหาร 2 คน และยังหลบหนีอีก 2 คน

-----------------------
"อนุพงษ์" มองกระแสต้านเรื่องปกติ ไม่สั่ง จนท.ดูแลเป็นพิเศษ ชี้ฝ่ายความมั่นคงทำงานดีแล้ว 

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึง กลุ่มต่อต้านที่ออกมาเคลื่อนไหวในขณะนี้ ว่า ไม่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังในพื้นที่เป็นพิเศษ และในเรื่องดังกล่าว มีฝ่ายความมั่นคงดูแลอยู่แล้ว

ส่วนกระแสการต่อต้านมองว่า เป็นเรื่องปกติ แต่ขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงประเทศชาติ ที่กำลังจะเดินไปข้างหน้า และไม่สร้างเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น เพราะขณะนี้จุดขายของประเทศ คือเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งกำลังเป็นไปได้ดี จึงมองว่า กลุ่มที่ออกมาต่อต้านจงใจสร้างสถานการณ์เพื่อลดความเชื่อมั่นของประเทศไทยต่อต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า จะอ้างคำว่าประชาธิปไตยแล้วสร้างความรุนแรงหรือก่อเหตุวุ่นวายไม่ได้
-----------------------
"วินธัย" ปัดซ้อมผู้ต้องหาคดีระเบิดศาลอาญา ย้ำยึดกฎหมายเป็นธรรม เร่งขยายผลจับคนเอี่ยว

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวว่า กรณีที่ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนอ้างว่าได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ต้องหา 4 ราย ในคดีระเบิดหน้าศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ว่ามีการซ้อมทรมานเพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลจากผู้ต้องหานั้น น่าจะเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ใช้มาตรการบังคับอย่างแน่นอน ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างจะอยู่ในแนวทางที่กฎหมายกำหนด

ทั้งนี้ การให้เหตุผลในการเชิญตัวนั้นเป็นไปอย่างเปิดเผย แต่ในส่วนของการแจ้งญาติและเพื่อนนั้น บางกรณีเจ้าหน้าที่อาจทำได้เท่าที่จำเป็น เพื่อผลสำเร็จของภารกิจ และการรักษาความสงบเรียบร้อย

การปฏิบัติในขั้นตอนนี้จะเน้นการขอความร่วมมือในการให้ข้อมูลเป็นหลัก เพื่อการขยายผลการสืบสวนไปสู่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีการบันทึกขั้นตอนเพื่อความเป็นธรรม
และโปร่งใส

นอกจากนี้ พ.อ.วินธัย ระบุว่า กฎอัยการศึกจะใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันการใช้รุนแรงเป็นหลักการซักถามข้อมูลในช่วงนี้จุดประสงค์หลักก็เพื่อกกรณีดังกล่าว ยังไม่เน้น

เรื่องการนำคนผิดมาลงโทษ ส่วนขั้นตอนการนำคนทำผิดมาลงโทษนั้นยังเป็นของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามขั้นตอนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
////////////////
คดีถอดถอน/จำนำข้าว

"สุรชัย" ยันพิจารณาถอดถอน "บุญทรง" ยึดกฎหมาย ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เห็นด้วยกับ กมธ.ยกร่างฯ ที่มานายกฯ เปิดช่อง คนนอกได้

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า การพิจารณาถอดถอน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ออกจากตำแหน่ง จะมีขั้นตอนเหมือน

กับการพิจารณา 4 คดีที่ผ่านมา ส่วนการกำหนดวันหารือนัดแรก 2 เม.ย. นั้น ก็เป็นไปตามกรอบระยะเวลา ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนเรื่องถอดถอน 250 อดีต ส.ส. ยังไม่ได้รับ

สำนวนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

นอกจากนี้ นายสุรชัย ยังได้กล่าวถึงเรื่องที่มานายกรัฐมนตรี ตามที่กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กำหนดว่อาจเป็นคนนอกก็ได้ หากได้รับความเห็นชอบของ ส.ส. ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะในช่วง

เกิดวิกฤต พร้อมกับยกตัวอย่างว่าเหมือนในช่วงปี 2557 ที่ผ่านมา เมื่อการเมืองถึงทางตันการกำหนดดังกล่าวก็น่าจะถือเป็นทางออกได้  
--------------
อัยการ พร้อมฟังคำสั่งศาลฎีกานักการเมือง พรุ่งนี้ 19 มี.ค. สิบโมงเช้า รับ-ไม่รับฟ้องคดีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จำนำข้าว

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 58 นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน รองหัวหน้าคณะทำงานอัยการ ที่รับผิดชอบคดีโครงการจำนำข้าวและระบายข้าว กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 มี.ค.)

นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฯ และคณะทำงานรวม 6 คน จะเดินทางไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามที่ศาล

กำหนดนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องหรือไม่ ในคดีที่ นายตระกูล วินิจรัยภาค อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย โดยคณะทำงานอัยการ หารือกันแล้วจะเดินทาง

ไปยังศาลฎีกาฯ เวลา 09.30 น. เพื่อพร้อมฟังคำสั่งตามที่ศาลนัดไว้ ในเวลา 10.00 น.

ขณะที่ นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา กล่าวว่า ช่วงเช้าวันที่ 19 มี.ค. องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนจะร่วมประชุมกัน ก่อนจะมีความเห็นว่า

ควรจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่ รวมทั้งการพิจารณาหาผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน 1 คนขึ้นรับผิดชอบสำนวน และหากมีคณะทำงานอัยการ หรือผู้รับมอบอำนาจ หรือมีทนายความมา ศาลฎีกาฯ

ก็จะเปิดห้องพิจารณา เพื่ออ่านคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่ รวมถึงวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก และรายงานกระบวนพิจารณาให้คู่ความทราบโดยทั่วกัน อย่างไรก็ดีจนถึงขณะนี้ในคดีดังกล่าวยังไม่ปรากฏ

ว่าฝ่ายจำเลยได้ยื่นคัดค้านผู้พิพากษาคนใดในการเป็นองค์คณะพิจารณาคดี โดยการคัดค้านนั้นสามารถยื่นได้จนถึงวันพิจารณาคดี
ส่วนคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกรวม 21 ราย ร่วมฮั้วประมูลและใช้อำนาจมิชอบโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น

นายธนฤกษ์ กล่าวว่า นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา ยังไม่ได้กำหนดนัดประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด เพื่อเลือกองค์คณะจำนวน 9 คน ขึ้นพิจารณาสำนวนคดี อย่างไรก็ตาม การ

เลือกองค์คณะนั้นกฎหมายกำหนดไว้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 14 วัน
//////////////
เคลื่อนไหวนายกฯ

นายกฯ เตรียมต้อนรับทูตญี่ปุ่นในโอกาสเข้าอำลาพ้นจากตำแหน่ง ก่อนประชุมดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจ

ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. วันนี้ เวลาประมาณ 11.30 น. นายชิเกะกะซุ ซะโตะ (H.E. Mr.Shigekazu Sato)

เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีเพื่ออำลาในโอกาสพ้นหน้าที่ ที่ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล

หลังจากนั้นในเวลาประมาณ 13.30 น. นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/2558 ที่ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
-----------------------
ที่ประชุม คกก.ขับเคลื่อนเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายจัดทำกรอบการรายงานผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือน จี้ทุกกระทรวงส่งข้อมูลภายใน 20 มี.ค.

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลว่า เป็นการติดตามผลการดำเนินงานของ

รัฐบาลในรอบเดือนที่ผ่านมา เพื่อจัดทำกรอบการรายงานผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือน โดยขณะนี้ทุกกระทรวงจะต้องรวบรวมผลงานส่งภายใน 20 มีนาคม เพื่อทำการปรับเรียบเรียงให้พร้อมสำหรับ

การแถลงผลงาน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการพูดคุยในประเด็นการขับเคลื่อนที่สำคัญหลายเรื่อง อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีการปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงการหารือผลงานที่สำคัญ เช่น โครงการช่วย

เหลือภัยแล้งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่ารัฐบาลสามารถช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ใน 30 จังหวัด
พร้อมกันนี้ ยังมีการหารือถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาว่า มาตรการหลักคือ จะผลักดันให้ SME ไปลงทุนในต่างประเทศ โดยจะให้ธุรกิจรายใหญ่เป็นพี่เลี้ยงให้ธุรกิจขนาด

เล็ก
------------------------
นายกฯ เข้าทำเนียบแล้ว ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ก่อนต้อนรับทูตญี่ปุ่นในโอกาสเข้าอำลาตำแหน่ง 

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด ในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้เดินทางเข้ามาที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ใน

ช่วงเช้า โดยได้เป็นประธานการประชุมหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าเป็นการประชุมเพื่อติดตามสถาการณ์ทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ โดยมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องเดินทางเข้ามาร่วมการประชุมอย่าง

พร้อมเพรียง ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตามปกติ

ก่อนที่ในช่วงเวลาประมาณ 11.30 น. นายชิเกะกะซุ ซะโตะ (H.E. Mr. Shigekazu Sato) เอกอัครราชทูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีเพื่ออำลาในโอกาสพ้นหน้าที่ ที่

ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า

ส่วนความเคลื่อนไหวอื่นที่น่าสนใจ ในช่วงเช้าวันนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็น ประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงาน

ตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 3/2558 ที่ ตึกสันติไมตรี
----------------------
นายกฯ ถก ครม.เศรษฐกิจ ความคืบหน้าก่อสร้างรถไฟรางหนองคาย-กรุงเทพฯและหนองคาย-มาบตาพุด เร่งเดินรถร่วมจีน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประชุมวันนี้ ได้มีการติดตามความคืบหน้าการก่อ

สร้างรถไฟรางมาตรฐานไทย-จีน ในเส้นทาง หนองคาย-กรุงเทพฯ และหนองคาย-มาบตาพุด ว่า กระทรวงคมนาคมได้รายงานในที่ประชุมจากการหารือกับจีนไปแล้ว 3 ครั้ง นั้น ได้ข้อสรุปเบื้องต้น

คือในเรื่องของรูปแบบการออกแบบการก่อสร้าง เทคโนโลยี รวมถึงระบบราง ทางฝ่ายจีนจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ส่วนเรื่องการก่อสร้างจะใช้บริษัทของไทย

สำหรับการเดินรถจะเป็นการเดินรถแบบร่วม โดยอาจตั้งเป็นบริษัทร่วมทุน ส่วนแหล่งเงินทุนจะมาจากหลายแหล่ง จะมีเงินจากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ภายในประเทศ และเงินกู้จากจีน

อย่างไรก็ตาม ได้แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ระยะ โดยในช่วงเดือนสิงหาคมจะเป็นการออกแบบก่อสร้าง สำรวจทั้ง 2 เส้นทางให้เสร็จสิ้น ก่อนที่ในเดือนกันยายนจะเป็นการอนุมัติการดำเนินการก่อ

สร้าง โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนตุลาคม ควบคู่ไปกับการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
--------------------
มท.1 ยันคงกฎอัยการศึกดูแลความเรียบร้อย รอสถานการณ์เหมาะสม ก่อนพิจารณาเลิก

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุอาจจะมีการลดระดับการใช้กฎอัยการศึก ว่า นายกรัฐมนตรีดูความเหมาะสมและสถานการณ์ของ

ประเทศซึ่งในขณะนี้เชื่อว่าหากยังมีความวุ่นวายก็จะยังคงกฎอัยการศึกไว้ แต่เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศ อาจจะมีการหาเครื่องมือที่คล้ายกับกฎอัยการศึกมาดูแลแทน

ซึ่งในขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายศึกษาและพิจารณาอยู่ ส่วนตัวมองว่าการคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึกไม่ได้ส่งผลกระทบกับประชาชนแต่อย่างใด แต่เป็นกรอบป้องกันการก่อเหตุความรุนแรง

อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าต่างประเทศยังมีความกังวลกับการประกาศคงไว้ซึ่งกฎอัยการศึก จึงเป็นเรื่องที่ต้องหามาตรการ ทำให้เกิดความมั่นใจต่อไป
---------------------------
นายกฯ ให้ผู้แทนรัฐบาลมอบพวงหรีดให้ครอบครัว "ป้าสังเวียน" ถือกรณีศึกษา แนะประชาชนยึดหลักปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียง

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มอบ

หมายให้ผู้แทนรัฐบาลนำพวงหรีดไปมอบให้กับครอบครัวของ นางสังเวียน รักษาเพ็ชร เพื่อแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ นางสังเวียน ที่ใช้น้ำมันราดและจุดไฟเผาตัวเอง เพื่อเรียกร้องของเป็น

ธรรมจากปัญหาหนี้สินนอกระบบที่พอกพูนขึ้นอย่างมาก จาก 400,000 บาท เป็น 1,500,000 บาท โดยถือเป็นอุทาหรณ์สำคัญที่คนไทยทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

ทั้งนี้ กรณีของนางสังเวียนถือเป็นความสูญเสียและเป็นกรณีศึกษาที่เตือนใจทุกคน สำหรับการตัดสินใจเข้าสู่วงจรของหนี้นอกระบบ ซึ่งเชื่อว่าหากประชาชนยึดถือหลักปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียง

ดำรงตนตามฐานะก็จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะหนี้สินรุมเร้าได้ ส่วนการดำเนินการของภาครัฐนั้นต้องการป้องกันปัญหาดังกล่าว ไม่ให้เกิดขึ้นอีก โดย พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งได้

ประกาศบังคับใช้แล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมเจ้าหนี้-คุ้มครองลูกหนี้ ไม่ให้เกิดกรณีรุนแรง อาทิ การข่มขู่ อายัดเงิน และทรัพย์สิน ประจานทำให้เสียชื่อเสียง การทวงหนี้โดยใช้วาจาหยาบคาย

รุนแรง หรือการเพิ่มหนี้อย่างไม่เป็นธรรม เป็นต้น ซึ่งการควบคุมเรื่องเหล่านี้ ถูกกำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ผู้กระทำผิดจะถูกระวางโทษทางอาญาทั้งปรับและจำคุกอย่างหนัก
---------------------------
“ม.ล.ปนัดดา” นำข้าราชการในสังกัด สปน. เป็นเจ้าภาพพิธีศพป้าสังเวียน พร้อมมอบเงินให้กำลังใจ

ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) กล่าวว่า ตนพร้อมด้วยที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองปลัด สปน. และข้าราชการในสังกัด สปน. จะเดินทางไปเป็นเจ้าภาพในพิธีสวดพระอภิธรรมศพ นางสังเวียน รักษาเพ็ชร ที่ศาลาสวดศพวัดถลุงเหล็กน้อย ต.ถลุงเหล็กน้อย อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี

โดย ม.ล.ปนัดดา กล่าวอีกว่า จะนำเงินส่วนตัวไปมอบให้กับครอบครัวของ นางสังเวียน 10,000 บาท และข้าราชการ สปน. ได้รวบรวมเงินจำนวนหนึ่งไปมอบให้เพื่อเป็นกำลังใจแก่ครอบครัวของนางสังเวียน

///////////

ยกร่าง รธน.

การรักษาความปลอดภัยรัฐสภาเข้มงวดแม้ไม่มีประชุมใหญ่ ขณะ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทบทวนรายมาตราบ่ายนี้

บรรยากาศที่รัฐสภา เช้านี้ การรักษาความปลอดภัยยังเข้มงวด แม้ไม่มีการประชุมใหญ่ ทั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แต่สมาชิกทยอยประชุมกรรมาธิการชุดต่าง

ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ช่วงบ่ายเวลา 13.00 น. จะมีการประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทบทวนรายมาตรา ทั้ง 315 มาตรา

โดยล่าสุด ได้พิจารณาไปแล้วกว่า 170 มาตรา แต่ยังไม่รวม มาตรา 76 ว่าด้วยการกำหนดสัดส่วนสตรี ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ในแบบบัญชีรายชื่อที่ยังรอการพิจารณา ซึ่งประเด็นนี้มีการแขวนหลายรอบ

และเป็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกรรมมาธิการหญิง ส่วนกรรมมาธิการบางคน เห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องบัญญัติไว้เพราะการเข้ามาทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองขึ้นอยู่กับความสมัครใจและ

ความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล

ทั้งนี้ การพิจารณาทบทวนเป็นการปรับแก้ถ้อยคำ ไม่มีการแก้ไขหลักการของร่างรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
-----------
กมธ.ยกร่างฯ ทบทวนไปแล้ว 194 มาตรา "กระแส" เชื่อ ที่มานายกฯ เหมาะสมแล้ว ยันคนนอกมาได้ช่วงวิกฤตเท่านั้น

ศ.ดร.น.พ.กระแส ชนะวงศ์ รองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 1 เปิดเผยกับ สำนักข่าว INN ว่า การประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนเนื้อหารายมาตรา และการทำบันทึกเจตนารมณ์ มี

ความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยล่าสุด 194 มาตรา แต่เชื่อว่า หลังจากทบทวนเสร็จและเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อาจมีการเสนอความเห็น และอาจมีการแก้ไขอีกครั้ง ยืนยันรัฐธรรมนูญ
ฉบับนี้ พยายามแก้ไขความบกพร่องและปัญหาในอดีตด้วยการให้อำนาจกับประชาชนมากยิ่งขึ้น

ส่วนกรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องที่มานายกรัฐมนตรีที่กำหนดให้เป็นคนนอกได้นั้น เพื่อเป็นการเปิดช่องในยามวิกฤตจริง ๆ ป้องกันการรัฐประหารเท่านั้น เพราะโดยปกติแล้ว เชื่อว่า ส.ส.ที่ได้รับ

เลือกตั้งมา ก็จะโหวตเลือกหัวหน้าพรรคของตัวเองมาเป็นนายกฯ ทั้งสิ้น หรือ ไม่ใช่หัวหน้าพรรค ก็ยังเป็นคนที่ ส.ส.ทั้งหมดเลือกมา จึงน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว
----------------------
ที่ประชุม คกก.ขับเคลื่อนเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายจัดทำกรอบการรายงานผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือน จี้ทุกกระทรวงส่งข้อมูลภายใน 20 มี.ค.

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลว่า เป็นการติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบเดือนที่ผ่านมา เพื่อจัดทำกรอบการรายงานผลงานรัฐบาลในรอบ 6 เดือน โดยขณะนี้ทุกกระทรวงจะต้องรวบรวมผลงานส่งภายใน 20 มีนาคม เพื่อทำการปรับเรียบเรียงให้พร้อมสำหรับการแถลงผลงาน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีการพูดคุยในประเด็นการขับเคลื่อนที่สำคัญหลายเรื่อง อาทิ การใช้จ่ายภาครัฐที่มีการปรับไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงการหารือผลงานที่สำคัญ เช่น โครงการช่วยเหลือภัยแล้งของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยืนยันว่ารัฐบาลสามารถช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยแล้ง ใน 30 จังหวัด

พร้อมกันนี้ ยังมีการหารือถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาว่า มาตรการหลักคือ จะผลักดันให้ SME ไปลงทุนในต่างประเทศ โดยจะให้ธุรกิจรายใหญ่เป็นพี่เลี้ยงให้ธุรกิจขนาดเล็ก
-------------------
กมธ.ยกร่าง รธน. จ่อเชิญสื่อ 28 มีนาคมนี้ ร่วมสัมมนาแสดงความเห็นรัฐธรรมนูญร่างแรก

การประชุมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มี นายมานิจ สุขสมจิตร รองประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม เปิดเผยว่า วันที่ 28 มีนาคมนี้ จะเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงในกรุงเทพมหานครมาร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นในร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมนำเสนอภาพรวมของรัฐธรรมนูญที่ห้อง 213-216 อาคารรัฐสภา 2 โดยกรรมธิการฯ จัดเวทีเป็นรูปแบบการสัมมนา ส่วนการลงพื้นที่ 4 จังหวัด เพื่อนำรัฐธรรมนูญร่างแรกชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนั้นจะนำประเด็นไปชี้แจงประชาชนว่า จะได้อะไรจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ โดยยึดหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนญ 4 ประการ คือ สร้างพลเมืองให้เป็นใหญ่ การเมืองใสสะอาด สมดุล หนุนสังคมที่เป็นธรรม และนำชาติสู่สันติสุข

สำหรับการทบทวนรายมาตราสามารถพิจารณาไปแล้ว 174 มาตรา จาก 315 มาตรา ส่วนวันนี้เริ่มพิจารณาที่มาตรา 175 ว่าด้วยคุณสมบัติรัฐมนตรี

///////////////
สปช.

พบ สปช. ตั้งเครือญาติช่วยงาน 12 คน "เทียนฉาย" จ่อถกวิปหาข้อสรุป หวั่นซ้ำรอย สนช.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยข้อมูล สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ตั้งเครือญาติเข้ารับตำแหน่ง รับเงินเดือน ผู้ช่วย ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 12 คน อาทิ นายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้ง นางสาวภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้ง นายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท พลอากาศเอก มนัส รูปขจร แต่งตั้ง นายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 15,000 บาท นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้ง นางสาวฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท

อย่างไรก็ตาม นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช. เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวกำลังจะมีการหารือในที่ประชุมวิสามัญกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว

เพราะเรื่องนี้เคยให้แนวปฏิบัติเช่นเดียวกับ สนช. ขอความร่วมมือสมาชิกไปแล้ว
---------------------
“วันชัย” รับตั้งลูกสาวเป็นผู้ชำนาญการประจำตัวจริง ยืนยันตั้งมาทำงานไม่ใช่รับเงินกินเปล่า

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิก สปช. เปิดเผยว่า การตั้ง น.ส.ฉัตรทิพย์ สอนศิริ บุตรสาวเป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 20,000 บาท เป็นเรื่องจริง แต่ขอยืนยันว่าตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานไม่ใช่รับเงินกินเปล่า ทั้งนี้ หากที่ประชุมคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. มีมติเป็นอย่างไร ก็พร้อมที่จะทำตาม

ด้าน นายกิตติภณ ทุ่งกลาง สมาชิก สปช. กล่าวว่า ได้ยกเลิกแต่งตั้งให้บุตรสาวมาช่วยงาน ตั้งแต่มีประเด็นที่สังคมออกมาตำหนิแล้ว ซึ่งในทางระเบียบปฏิบัติเรื่องอาจยังค้างอยู่ แต่ยืนยันว่า การแต่ง
ตั้งเพื่อมาปฏิบัติงานจริง ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ซึ่งยอมรับว่า รู้สึกกังวลต่อกระแสสังคมและห่วงว่ามีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ เพราะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และขณะนี้ได้แต่งตั้งให้บุคคลอื่นมาปฏิบัติงานแทน แม้ไม่สามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลาก็ตาม
-------------
มติวิปให้ สปช. ปรับญาติช่วยงานออก ยืนยัน เทียนฉาย ไม่มีเจตนาปิดข้อมูล

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิก สปช. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ วิป สปช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติให้สมาชิก สปช. ปรับเปลี่ยนเครือญาติเข้ารับตำแหน่งรับเงินเดือนผู้ช่วย ผู้เชี่ยวชาญออก เพื่อสร้างมาตรฐานทางการเมืองที่ดี ซึ่งจะเป็นการใช้แนวปฏิบัติเดียวกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเชื่อว่าสมาชิกจะให้ความร่วมมือในแนวทางเดียวกัน ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ไม่ได้มีเจตนาปกปิดข้อมูลการแต่งตั้งเครือญาติ ยินดีเปิดเผยเพื่อความโปร่งใส เพียงไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่โดยตรง แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร สภาผู้แทนราษฎรที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ส่วนจะออกระเบียบเพื่อป้องกันการตั้งเครือญาติหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับอนาคต
-------------------
วิป สปช. มีมติให้เพิ่มประชุมจันทร์-พุธ เร่งพิจารณาวาระวาฏิรูป เผยนายกรัฐมนตรี สั่งการศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ

นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะโฆษกกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สปช. (วิป สปช.) กล่าวว่า ที่ประชุมวิป สปช. มีมติให้เพิ่มวันประชุม สปช. เป็นทุกวันจันทร์ถึงวันพุธในแต่ละสัปดาห์ เนื่องจากมีวาระการปฏิรูปจำนวนมากที่ต้องพิจารณา โดย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ที่ปรึกษา คสช. ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ขณะนี้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอยู่ระหว่างขั้นตอนของการยกร่าง อีกทั้งนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้คณะรัฐมนตรีศึกษาร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีม เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จตามกระบวนการ ขณะเดียวกัน ยังรายงานความคืบหน้าในการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ซึ่งคณะรัฐมนตรีอยู่ระหว่างการร่างกฎหมาย เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงาน และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน จึงขอให้ สปช. ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความมั่นคงทางพลังงาน โดยจะต้องไม่ให้เกิดความขัดแย้งและกระทบต่อความมั่นคง
///////////////////
เศรษฐกิจ

"สุวพันธ์" ประชุม คกก.ขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธณะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล

หรือ กขร. ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

โดยที่ประชุมมีวาระสำคัญ อาทิ การพิจารณารายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและแนวทางการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล

ในรอบ 6 เดือน รวมถึงติดตามความคืบหน้าและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่จะส่งผลต่อความเป็นอยู่และประโยชน์โดยตรงของประชาชน เช่น ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาภัย

แล้ง การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า การเตรียมความพร้อมการบริหารจัดการน้ำ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในภาพรวมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งรัดทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนแผน

งานเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนโดยเร็ว
---------------------
"พล.ต.สรรเสริญ" เผย ครม.รับทราบข้อเสนอแนะแนวทางจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา ของ ป.ป.ช. พร้อมหนุนเต็มที่  

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 มีนาคม 2558 รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ

ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา ซึ่งมีลักษณะเป็นการประกอบธุรกิจที่แสวงหากำไรอย่างชัดเจน โดยสนับสนุนให้เกิดความเป็นธรรมในระบบภาษี และช่วยเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ "การศึกษาทั้งระบบ" อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ พล.ต.สรรเสริญ กล่าวว่า ในข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. ยังชี้ให้เห็นว่า โรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่เก็บค่าเรียนตามความนิยมหรือชื่อเสียงของสถาบันกวดวิชานั้น ๆ และไม่ได้อิงอัตราตามเพดาน

ที่กฎหมายกำหนดไว้ รวมทั้งวัตถุประสงค์ที่ภาครัฐ ซึ่งเคยยกเว้นภาษีเงินได้ เพราะต้องการให้โรงเรียนกวดวิชาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษา แต่ในปัจจุบันโรงเรียน
กวดวิชาส่วนใหญ่มิได้ให้ผลประโยชน์แก่ผู้ด้อยโอกาศทางการศึกษาเท่าไรนัก เนื่องจากเก็บค่าเรียนในอัตราค่อนข้างสูง หรือเอกสารการเรียนและคู่มือของโรงเรียนกวดวิชาก็มักจะมีการสงวน

ลิขสิทธิ์ไว้ หากมีการทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะมุ่งเน้นยกระดับการจัดการศึกษาในระบบหลักเป็นสำคัญ จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการ เร่งรัดกำกับติดตามการปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานสถานศึกษาในระบบให้มีความ

ทัดเทียมกัน เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งเพื่อลดแรงจูงใจและความจำเป็นในการกวดวิชาเพิ่มเติม
---------------
ผู้ว่า รฟม. เผยรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ก่อสร้างเสร็จแล้ว เร่งงานระบบ คาดเปิดใช้กลางปี 59

นายพีระยุทธ สิงห์พัฒนากุล ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยถึงความก้าวหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ว่า

ในส่วนของ รฟม. มีหน้าที่รับผิดชอบในระบบสายพาน โดยในส่วนของของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ในส่วนของการก่อสร้างด้านโยธาแล้วเสร็จแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่าง

การดำเนินการในเรื่องระบบรถไฟฟ้า ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดเดินรถได้กลางปี 2559 ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ปัจจุบันงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ 60 แล้ว ส่วนในเรื่องของระบบการ

เดินรถอยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน คาดว่าจะแล้วเสร็จ และทยอยเปิดเดินรถได้กลางปี 2561 และจะทยอยเปิดเป็นช่วง ๆ จนถึงกลางปี 2562

ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นเส้นทางต่อขยายของรถไฟฟ้าบีทีเอส ในส่วนแรกคือจรดใต้เส้นทางแบริ่ง - สมุทรปราการ ได้มีการก่อสร้างไปแล้วและมีความก้าวหน้าร้อยละ 51

คาดว่า จะสามารถเปิดเดินรถได้ต้นปี 2563 ส่วนที่สองในส่วนเหนือ เส้นทางหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ทาง รฟม. ทำการประกวดราคาแล้วเสร็จ และจะลงนามสัญญาว่าจ้างในเดือนหน้าพร้อมเริ่ม

ดำเนินการก่อสร้างในเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะเปิดเดินรถได้ในปี 2563

ส่วน 3 โครงการที่อยู่ระหว่างขอเสนออนุมัติจากรัฐบาลเพื่อประกวดราคา คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เส้นทางพระราม 9-มีนบุรี อยู่ระหว่างขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินโครงการ และจะ

สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2559 และคาดว่าจะเปิดเดินรถได้ในปี 2563 ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง อยู่ระหว่างขอเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินโครงการ และจะเริ่ม

ดำเนินการก่อสร้างในปี 60 และเปิดให้บริการได้ในปี 2563
------------------------
นายกฯ เชื่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยดีขึ้นตามลำดับ คาดงบลงทุนไตรมาสแรกเพิ่มร้อยละ 6

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม ว่า ที่ผ่านมาแนวโน้มเศรษฐกิจ

ไทยดีขึ้นตามลำดับ จากมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณคงค้าง รวมถึงการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ จะมีตัวเลขงบประมาณลงทุนเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ

6 สำหรับการลงทุนของภาคเอกชนนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของภาคการเงิน ทำให้ค่าเงินบาทในช่วงปลายเดิมกุมพาพันธ์อ่อนตัวลงเล็กน้อย ป้องกันการเก็งกำไรของนักลงทุน

แต่ก็ถือว่าค่าเงินไทยยังเกาะกลุ่มกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียน 3

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบให้เปิดศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจต่อยอดนวัฒนธรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีการคิดค้นวิจัยแต่ยังไม่มีการต่อยอดในเชิงธุรกิจ รวมถึงให้ทำรายงานติดตามโครงการที่

รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้วทุก 3 เดือน ส่วนในภาคเกษตรกรรมรัฐบาลให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพ พร้อมให้กระทรวงพาณิชย์ดูเรื่องของราคาต้นทุนปัจจัยการผลิตในฤดูการผลิตใหม่ แต่คงไม่

มีนโยบายระยะสั้น
-------------------
TDRI จัดเสวนาเกาะติดมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่นภาครัฐ เน้นติดตามมาตรการ 4 ส่วนหลัก


นางเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อำนวยการวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI กล่าวในงานเสวนา "เกาะติดมาตรการ
ต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลประยุทธ์" ว่า ในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และประชาชน
ในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557 โดยหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญคือการส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล
และการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ

ด้วยเหตุนี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยและองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) จึงเห็นว่า ได้เวลาที่ภาคประชาชนและภาค
วิชาการจะต้องติดตามความคืบหน้าว่า ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาตรการใด
บ้างที่สอดคล้องกับนโยบายที่เคยประกาศไว้และข้อเสนอของภาคประชาชน

อย่างไรก็ตาม การเสวนาครั้งนี้จะเน้นติดตามมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่นใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่
1) มาตรการในการจำกัดหรือควบคุมอำนาจในการใช้ดุลพินิจของรัฐ
2) มาตรการกำกับและควบคุมการใช้เงินแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่รัฐบาลประกาศปรับโครงสร้างโครงข่ายการคมนาคมและ
ระบบโลจิสติกส์ของประเทศที่ใช้งบประมาณมูลค่ามหาศาล
3) มาตรการควบคุมการใช้อำนาจผูกขาดในระบบเศรษฐกิจ
4) มาตรการเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงให้กับพฤติกรรมคอร์รัปชั่น
-----------------------
ปตท. ชี้ เฟดขึ้น ดบ.ทำดอลลาร์แข็ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง แนะภาครัฐพิจารณาผลดีและผลเสีย

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขณะนี้ อาจมีแนวโน้มส่งสัญญาณ

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าขึ้น และจะทำให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะเคลื่อนไหวในกรอบ 50 - 60 ดอลลาร์

สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ค่าบาทที่แข็งค่าขณะนี้ส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่ส่งผลดีต่อการนำเข้าน้ำมัน ซึ่งภาครัฐต้องพิจารณาทั้งผลดีและผลเสียทั้งสองด้าน

นอกจากนี้ นายไพรินทร์ กล่าวว่า ปตท.อยู่ระหว่างเสนอแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี งบประมาณ 2 แสนล้านบาท เข้าสู่ที่
ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาเห็นชอบประกอบด้วย การลงทุนท่อส่งก๊าซเส้นที่ 5
คลังเก็บแอลเอ็นจีเฟส 3 ขนาด 500 ตัน และเรือลอยน้ำจำนวน 2 ลำ
--------------------------
รมว.พลังงาน เชื่อหยุดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซพม่า ไม่กระทบไทย เผย กฟผ. และ ปตท. เตรียมความพร้อมทั้งไฟฟ้าและเชื้อเพลิงทดแทน

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังร่วมประชุมซักซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานของประเทศพร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกแห่ง เพื่อรับมือ

การหยุดซ่อมแหล่งก๊าซยาดานาและเยตากุนในสหภาพเมียนมา 10-19 เมษายนนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณก๊าซหายจากระบบประมาณ 1,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดย นายณรงค์ชัย กล่าวยืนยันว่า

ตลอดการหยุดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซในช่วงเวลาดังกล่าว จะไม่กระทบต่อความต้องการใช้ภายในประเทศโดยเฉพาะ LPG ภาคครัวเรือน เนื่องจากท่อก๊าซจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ)

และขนอม ยังส่งได้ตามปกติ ประกอบกับยังมีก๊าซค้างท่อ พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เตรียมความพร้อมทั้งไฟฟ้าและเชื้อ

เพลิงทดแทน โดยสำรองน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลไว้เป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้าแทน นอกจากนี้ ได้ตั้งสมมติฐานเหตุการณ์เลวร้ายคือ ท่อก๊าซของ ปตท.บริเวณอ่าวไทยรั่วจนไม่สามารถส่งก๊าซ

เข้าระบบได้ ก็จะมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ LNG เข้ามาเสริมระบบ
-------------------
รมว.พลังงานเผยเมียนมามีการผลิตก๊าซลดลงในอนาคต เตรียมจัดหาก๊าซทดแทน ด้านเมียนมาเตรียมเปิดสัมปทานแหล่งปิโตรเลียม

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึง กรณีที่แหล่งเยตากุนในเมียนมามีแนวโน้มกำลังการผลิตก๊าซจะลดลงในอนาคต รวมทั้งเมียนมามีความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น

หลังเปิดประเทศและอาจทำให้การส่งก๊าซมาไทยลดลง ว่า ในระยะสั้นกระทรวงพลังงานได้เตรียมจัดหาก๊าซแอลเอ็นจีเข้ามาเสริมระบบทดแทนมากขึ้น เพื่อคงระดับก๊าซสำรองไว้เท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม ทางเมียนมาได้เปิดสัมปทานแหล่งปิโตรเลียมใหม่จำนวนมาก ซึ่งบริษัท ปตท.สผ. ได้รับสิทธิ์เข้าสำรวจเช่นกัน โดยคาดว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้าจะมีแหล่งก๊าซใหม่เข้ามาทดแทน คือ

แหล่งเอ็ม 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาปริมาณก๊าซ
--------------
กระทรวงพลังงานเลื่อนเปิดรับฟังความคิดเห็นแผน PDP เป็น เม.ย. หลังรอเคาะแผนสำรองไฟฟ้า ย้ำแผนใหม่ลดพึ่งพิงก๊าซฯ เพื่อความมั่นคง

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวถึง การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ (PDP 2015) ช่วงปี พ.ศ. 2558-2579 ว่า จะต้องเลื่อนการเปิดรับฟังความคิดเห็นจาก

ประชาชนทั่วไปจากเดิมที่จะกำหนดในช่วงปลายเดือนนี้เป็นช่วงกลาง หรือปลายเมษายนแทน เนื่องจากจะมีการหารือร่วมกับกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับเวทีเล็ก ๆ หรือโฟกัสกรุ๊ป ก่อนภาย

ในต้นเมษายนนี้ เพราะต้องการพิจารณาแนวทางต่าง ๆ ให้รอบคอบโดยเฉพาะการเกลี่ยปริมาณสำรองไฟฟ้าภายใต้แผนแต่ละช่วงที่ควรจะเหมาะสม

นอกจากนี้ ภายใต้แผน PDP ใหม่พบว่าช่วงปี 2566 จะเริ่มมีสำรองไฟฟ้าสูงระดับร้อยละ 40 จึงต้องมีการเจรจาเลื่อนโรงไฟฟ้าของทั้งเอกชนและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งคณะ

กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (เรกูเลเตอร์) เป็นผู้ประสานการเจรจา เบื้องต้นมีเอกชนบางรายพร้อมที่จะเลื่อนออกไปแล้ว แต่บางรายอยู่ระหว่างเจรจา จึงทำให้ส่วนนี้ยังคงต้องเร่งสรุปให้เสร็จก่อน

ด้วย

ทั้งนี้ เป้าหมาย PDP ฉบับใหม่ คือการสร้างความมั่นคงให้กับระบบพลังงานไฟฟ้าของประเทศมากขึ้นแล้วยังเป็นการรักษาระดับค่าไฟฟ้าให้เฉลี่ยทั้งแผนไม่ปรับขึ้นสูงมากจนเกินไป ด้วยการลด

การพึ่งพิงก๊าซธรรมชาติที่ปัจจุบันมีสัดส่วนถึงร้อยละ 70 ให้เหลือเพียงร้อยละ 40-50 ในช่วงปลายแผนและหันมาพึ่งพิงไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินเฉลี่ยจากร้อยละ 17-18 เป็นร้อยละ 25 ตลอดแผน

ส่วนที่เหลือจะเป็นสัดส่วนจากการซื้อไฟต่างประเทศ พลังงานทดแทน
-------------
พณ.ยันลงพื้นที่ตรวจสอบราคาสินค้าต่อเนื่อง ดูแลค่าครองชีพ ปชช.เต็มที่ พบราคาอาหารยังอยู่ในระดับปกติ

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีมีผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับเรื่องค่าครองชีพในเดือน ก.พ. 58 โดยสิ่งที่ประชาชนต้องการ

มากที่สุด คือ อยากให้ภาครัฐเข้ามาควบคุมราคาสินค้าอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเนื้อหมู ข้าวสาร น้ำมันพืช อาหารตามสั่ง และปุ๋ยเคมี รวมไปถึงไข่ไก่ กับข้าวสำเร็จรูปนั้น

จากการลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งผู้บริหารกระทรวง และสายตรวจตามปกติของกรมการค้าภายใน รวมกว่า 17 สายต่อวัน ที่สุ่มออกสำรวจราคาทั้งในตลาดสดและห้างสรรพสินค้า ยังพบว่า ราคาสินค้า

ส่วนใหญ่ ยังอยู่ในระดับปกติ โดยเฉพาะน้ำมันพืช ที่เป็นสินค้าควบคุม ขายไม่เกินขวดลิตรละ 42 บาท รวมทั้งหมูเนื้อแดง เฉลี่ยกิโลกรัมละ 120 บาท ซึ่งถือว่าถูกลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เช่นเดียว

กับข้าวสาร ที่ราคายังทรงตัว และราคาไข่ไก่ ที่ถูกลงมากจากการที่ผลผลิตล้นตลาด แต่อย่างไรก็ตามกระทรวงพาณิชย์จะลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง
------------------------
TDRI เผยความคืบหน้ามาตรการคอร์รัปชั่นรัฐบาลประยุทธ์ เดินหน้าได้ไม่ถึง ร้อยละ 50

นายธิปไตย แสละวงศ์ นักวิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI กล่าวในงาน เสวนา "เกาะติดมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลประยุทธ์" ว่า จากการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อ

การพัฒนาประเทศ หรือ TDRI เกี่ยวกับมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่น รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใน 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.มาตรการจำกัดหรือควบคุมอำนาจการใช้ดุลพินิจของรัฐ 2.มาตรการ

กำกับและควบคุมการใช้เงินแผ่นดิน 3.มาตรการการใช้อำนาจผูกขาด และ 4.มาตรการเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงให้กับพฤติกรรมคอร์รัปชั่น

โดยจากการสำรวจตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2557 ถึง 17 มีนาคม 2558 พบว่า ความคืบหน้าของมาตรการควบคุมคอร์รัปชั่น ด้านต่าง ๆ ของรัฐบาล มีการดำเนินการได้ไม่ถึง ร้อยละ 50 จากภาพรวม

ทั้งหมด

ทั้งนี้ มาตรการควบคุมอำนาจผูกขาด มีความคืบหน้าน้อยที่สุดเพียง ร้อยละ 25 โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีเพียงการผลักดัน แต่ยังไม่เป็นรูปธรรม ขณะที่มาตรการอีก 3 ด้าน กฎหมายที่เกี่ยวข้องได้

ดำเนินการมาถึงขั้นตอนการพิจารณาของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จึงเห็นได้ว่าจากขั้นตอนต่าง ๆ การควบคุมอำนาจผูกขาดยังแก้ไขปัญหาได้ล่าช้า
----------------------
เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทยยังคงเป็นนามธรรม ยากต่อการนำไปปฏิบัติ

นายมานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวถึงสถานการณ์คอร์รัปชั่นประเทศไทย ใน 10 ปีที่ผ่านมา กับ 6 รัฐบาลว่า จากผลสำรวจขององค์กรต่างชาติ พบว่า การแก้ปัญหา

คอร์รัปชั่นในประเทศไทยยังคงเป็นนามธรรม ยากต่อการนำไปปฏิบัติ ทั้งด้านการบริหารจัดการ ความโปร่งใส และการป้องกัน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำออกมา เป็นเพียงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อแก้

ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นเดียวกับงานวิจัยของรัฐสภา ที่มาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันคอร์รัปชั่น ที่ออกมายังเป็นนามธรรมเช่นกัน ทั้งนี้ สาเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรัฐใช้อำนาจผ่านดุลยพินิจขยาย

บทบาทของตนเอง ตลอดจนผู้มีอำนาจ ได้วางแผนเชิงนโยบายเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตัวเอง รวมถึงการใช้อำนาจดุลยพินิจของรัฐ เปลี่ยนวิธีในการจัดซื้อจัดจ้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ มาเป็นใช้

วิธีพิเศษ ทำให้ระเบียบวิธีออกนอกกรอบ และทำให้การตรวจสอบเป็นไปได้ยากขึ้น จนทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นตั้งแต่ส่วนกลาง ไปจนถึงท้องถิ่น และทำให้การแก้ปัญหายังไม่ได้ผลที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานภาครัฐต้องเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและนักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบรัฐ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ที่แท้จริง
------------------------
"บรรยง" ชี้ปัญหาคอร์รัปชั่น เกิดขึ้นรัฐบาลมีอำนาจผูกขาด แนะลดอำนาจบทบาท ย้ำการดำเนินงานต้องโปร่งใสทุกขั้นตอน

นายบรรยง พงษ์พานิช กรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ กล่าวในงาน เสวนา "เกาะติดมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลประยุทธ์" ว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นที่ผ่านมา เกิดขึ้นจากการที่

รัฐบาลมีอำนาจผูกขาด และให้อำนาจรัฐใช้ดุลยพินิจมากเกินไปขาดการควบคุม โดยมีการเพิ่มอำนาจให้กับรัฐด้วยออกกฎหมายต่าง ๆ ที่ทำให้รัฐกลับมีอำนาจมากขึ้น โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
พบว่ามีการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งงบประจำ งบลงทุน และงบของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ยังมีการใช้เงินนอกงบประมาณในการค้ำประกัน ราคาสินค้าเกษตร ซึ่ง

จากกระบวนการต่าง ๆ นั้นทำให้ปัญหาคอร์รัปชั่นกลายเป็นปัญหาที่หยั่งรากลึก กัดกร่อนประเทศ และทำให้เศรษฐกิจ และสังคมไม่ขยายตัว

อย่างไรก็ตาม หากจะลดปัญหาคอร์รัปชั่นจะต้องลดอำนาจ และบทบาทของรัฐ และจัดระเบียบรัฐใหม่ให้อยู่ในกรอบไม่มีอำนาจมากเกินไป รวมทั้งในการดำเนินการต่างทุกขั้นตอน ต้องเน้นเรื่อง

ความโปร่งใสกระบวนการทุกอย่างต้องโปร่งใสเปิดเผยข้อมูลให้ภาคประชาสังคมได้รับรู้ทุกกระบวนการ
------------------------
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น ชี้อยากให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันด้วยการออกเป็นยุทธศาสตร์ มากกว่าการออกเป็นระเบียบ

นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวภายหลังงาน เสวนา "เกาะติดมาตรการต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลประยุทธ์" ว่า ด้านการทำงานของภาครัฐนั้น ภาพรวมพอใจ

การทำงาน โดยเฉพาะการออก พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวก ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2558 ซึ่งช่วยจำกัดต้นตอ เรื่องการคอร์รัปชั่นของหน่วยงานภาครัฐได้ ทั้งนี้ หาก พ.ร.บ. ประเภทอื่น

เช่น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ และ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง ออกมาเป็นรูปธรรม ก็น่าจะทำให้การแก้ไขปัญหาเรื่องการคอร์รัปชั่น ในโครงการภาครัฐทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การออกมาตรการ

แก้ไขปัญหาการคอร์รัปชั่นแต่ละครั้ง ไม่ควรพึ่งพากระบวนการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เนื่องจากมีกระบวนการในการพิจารณาเป็นเวลานานมากกว่า

ปกติ อีกครั้งราชการบางรายก็ยังมีความคิดที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้ยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นด้วยการออกเป็นยุทธศาสตร์ มากกว่าการออกเป็นระเบียบของหน่วยงานราชการเพราะจะแก้ไขปัญหาได้ในระยะสั้น

///////////////////
หมอกควันภาคเหนือ

พล.อ.ดาว์พงษ์ ชี้ ปัญหาหมอกควัน ไฟป่า ต้นเหตุสำคัญคือคน เร่งควบคุมการเผา ประสานกลาโหมช่วยฉีดน้ำ

พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยกับสำนักข่าว INN ว่า จากการลงพื้นที่แก้ปัญหาหมอกควันด้วยตนเอง พบหลายพื้นที่ยังน่าเป็นห่วง

โดยที่ปัญหาหลักมาจากคน ซึ่งในการแก้ปัญหาจะต้องมีการควบคุมการเผาให้ได้ ทั้งการเผาไร่ข้าวโพดของเกษตรกร และการเผาป่าล่าสัตว์ เบื้องต้นในส่วนของการเผาป่า จะห้ามประชาชนเข้า

พื้นที่อนุรักษ์และเขตป่าสงวน จนถึงวันที่ 30 เม.ย. นี้

นอกจากนี้ พล.อ.ดาว์พงษ์ ยังกล่าวด้วยว่า จะมีการประสานกับกระทรวงกลาโหม เพื่อขอเครื่องบินช่วยฉีดน้ำดับไฟป่า และแก้ปัญหาหมอกควันร่วมกับกรมฝนหลวงของกระทรวงเกษตรและ

สหกรณ์ด้วย ตลอดจนจะมีการประชุมเพื่อวางแผน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าในปีนี้ และวางแผนระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวด้วย  
------------------
///////////////
ต่างประเทศ

นายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ อาการทรุดหนักจากโรคปอดอักเสบติดเชื้อในกระแสเลือด ทีมแพทย์ดูอาการใกล้ชิด

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน จากการแถลงของสำนักนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แถลงว่า นายลี กวน ยู ผู้ก่อตั้งประเทศและอดีตนายกรัฐมนตรี วัย 91 ปี ซึ่งกำลังรักษาตัวด้วยโรคปอดอักเสบอยู่ที่โรง

พยาบาล มีอาการแย่ลงเนื่องจากติดเชื้อ โดยขณะนี้ทีมแพทย์กำลังให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะและเฝ้าดูอาการของเขาอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ นายลี กวน ยู บิดาของนายกรัฐมนตรีลี เซียน หลุง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากการที่เขาสามารถพลิกโฉมสิงคโปร์ที่เคยมี

เศรษฐกิจซบเซาให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรืองที่สุดในเอเชียภายในระยะเวลา 30 ปี
-----------------
อียูทำท่าผ่อนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย หลังเศรษฐกิจภูมิภาคได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมา

บลูมเบิร์กวิเคราะห์ หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสภายุโรปลดการลงโทษรัสเซียลง ไม่มองถึงการเยือนเยอรมันของปูตินในอนาคต โดยหลักฐานแสดงชัดต่อท่าทีที่ยุโรปผ่อนปรนมาตราการลงโทษรัส

เซียได้จากการที่ประธานาธิบดีไซปรัส นิโคส อนาตาเซีย เดินทางเยือนผู้นำรัสเซีย เมื่อเดือนที่แล้วพร้อมอนุญาตเรือของกองทัพรัสเซียผ่านแหลมไซปรัส เดือนมีนาคม เมทิโอเรนซิ นายกรัฐมนตรีอิตาลี

ได้รับการยกย่องจากปูตินให้เป็นพันธมิตรที่สำคัญ

ขณะที่ นายอเล็กซิส ซิปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ จะเดือนทางไปยังมอสโก เดือนเมษายน ส่วน ฮังการี สโลวาเกีย ออสเตรีย และสเปน ที่ยอมฝืนใจยอมรับมาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจรัสเซีย ทำให้มี

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจตัวเอง จากหลักฐานดังกล่าวทำให้อียูเริ่มทบทวนมาตราการลงโทษเศรษฐกิจต่อรัสเซีย และการประชุมต่อต้านการคว่ำบาตรรัสเซีย ที่ทำให้เศรษฐกิจอียูชะลอลง จะมีการ

ประชุมที่ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ในวันพฤหัสบดีนี้ด้วย
-----------------
รัฐบาลรัสเซียยืนกรานไม่ส่งแหลมไครเมียคืนยูเครน แม้สหรัฐฯ และอียูเดินหน้าคว่ำบาตรต่อไป

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน รัสเซียประกาศเมื่อวานนี้ว่าจะไม่ส่งคืนไครเมียกลับสู่ยูเครน แม้สหรัฐฯ และอียูจะเตือนว่า จะไม่ลดการคว่ำบาตรลง จากกรณีรัสเซียยึดครองแหลมไครเมียเมื่อปีที่แล้ว

โดย นายดมิทรี เพสโคฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวระหว่างการประชุมคอนเฟอร์เรนซ์ ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การรวมไครเมีย แต่ไครเมียคือส่วนหนึ่งของภูมิภาครัสเซีย และไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบาย

ใด ๆ เพิ่มเติม

ทั้งนี้ แหลมไครเมียตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียเมื่อปีที่ผ่านมา หลังมีการลงประชามติเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังคงยืนยันที่จะคว่ำบาตรรัสเซียต่อไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่แหลมไครเมียยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย

ขณะที่ นายเฟเดริกา มอกเฮรินี ประธานกรรมการกำหนดนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป ประกาศว่า 28 ชาติ ไม่เห็นด้วยกับการผนวกรวมไครเมียเม้าเข้ากับรัสเซีย และจะร่วมคว่ำบาตรด้วย
-----------------------
เนทันยาฮูประกาศชัยชนะเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีอิสราเอล สมัยที่ 4 คว้า 29 ที่นั่งในสภา

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ผลการเลือกตั้งผู้นำอิสราเอลล่าสุดที่มีการลงคะแนนเสียงเมืองวานนี้ ผลปรากฏว่า นายเบนจามิน เนทันยาฮู ยังรั้งตำแหน่งต่อ หลังประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเกือบ

ทั้งหมด ลงคะแนนให้ผู้สมัครจากพรรคลิคุด คว้าที่นั่งในสภาได้ถึง 29 ที่นั่ง

ขณะที่คู่แข่งอย่าง นายไอแซค เฮอร์ซอก ผู้นำพรรคองค์กรไซออนิสต์ ที่คว้าไปได้ 24 ที่นั่ง ออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้แล้วเช่นกัน โดย พรรคจอยท์ ลิสต์ ได้คะแนนตามมาเป็นลำดับ 3 ได้ 14

ที่นั่ง ส่วน พรรคเยช อาติด มี 11 ที่นั่ง

อย่างไรก็ตาม จากผลนโยบายด้านความมั่นคงซึ่งประกาสทีเด็ดในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ว่า หากได้กลับมานั่งตำแหน่งผู้นำอีกครั้งจะไม่ยอมให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ขึ้นอย่างแน่นนอน ส่วนคู่แข่ง

อย่าง เฮอร์ซ็อก ที่โพลสำรวจความเห็นระบุว่าอาจคว้าชัยในการเลือกตั้งครั้งนี้ เน้นนโยบาลด้านความสัมพันธ์ที่เตรียมฟื้นแผนสันติภาพกับปาเลสไตน์ รวมถึงรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ด้วย

ทั้งนี้ การได้ชัยชนะของเนทันยาฮูครั้งนี้ นับเป็นชัยชนะที่ช่วยให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เป็นสมัยที่ 4
----------------------
เศรษฐกิจ US. หลายภาคส่วนส่งสัญญาณได้รับผลกระทบหลังท่าที FED เตรียมปรับอัตราดอกเบี้ย

จากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำท่าประกาศ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกเล็กน้อย เนื่องจากตลาดจ้างงานแข็งแรงขึ้น ซึ่งทำให้มีปัญหาตามมา ในภาคเศรษฐกิจหลายด้านเริ่มส่งสัญญาณที่จะได้รับผลกระทบ

ซึ่งพบว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ภาคการผลิต และกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดไม่ค่อยกระเตื้องเท่าที่ควร ขณะที่การส่งออก  ก็ชะลอตัวลงเนื่อง

จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งขึ้น รวมไปถึงรายได้ของร้านค้าปลีกและร้านอาหารซบเซาลงด้วยเช่นกัน แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีการจ้างงานขึ้น ถึงกว่า 200,000 อัตราปลายปีที่ผ่านมา ช่วยให้อัตราการ

ว่างงานลดลง 5.5 เปอร์เซ็นต์ แต่อัตราการเติบโตของค่าจ้างขั้นต่ำ รายปียังคงอยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่สามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายในภาคครัวเรือนได้

แม่ทัพภาคที่ 1 ชี้หากไม่มีรัฐประหาร 22 พ.ค.จะมีคนตายอีกเยอะ เปรียบประเทศซีเรียที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก

แม่ทัพภาคที่ 1 ชี้หากไม่มีรัฐประหาร 22 พ.ค.จะมีคนตายอีกเยอะ เปรียบประเทศซีเรียที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก ขอให้กำลังใจนายกฯยันเป็นคนประชาธิปไตย รับทหารยุคนี้ทำทุกอย่าง แต่ขออยู่แค่ปีเดียว เพื่อให้คนไทยกลับมาสามัคคี
พลโทกัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1  กล่าวในตอนหนึ่งระหว่างพบปะสื่อมวลชนจากภาคกลาง 26 จังหวัด ที่กองทัพภาค 1 ว่า ถ้าไม่มีการรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค.57 จะมีคนตายกันอีกเยอะ แค่ 8 เดือนของการชุมนุมทางการเมืองก็มีคนเสียชีวิตไปเกือบ 30 คน เปรียบประเทศซีเรียว่าตายไปเท่าไหร่ ผมไม่อยากเห็นคนตายอีก ผมรบกับคอมมิวนิสต์มาสมัยเป็นทหารหนุ่มๆจนตอนนี้จะเกษียณแล้ว ผมไม่อยากให้ตายกันอึก อยากให้สงบ กลับมาเป็นเมืองไทยเหมือนเดิม
พลโทกัมปนาทระบุว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพยายามพูดอธิบายทุกวันศุกร์ แต่ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แล้วบ้านเรามีแผนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาหลายฉบับไม่มีใครเดินตามเลยถ้าทำตามนั้นประเทศเรา เจริญไปแล้ว เปรยยุคนึ้อะไรก็ให้ทหารทำหมด ขนาด โจร ผู้ร้าย ยังจะให้ทหารไปวิ่งไล่จับ สงสัยจะบ้าไปแล้ว ให้ทหารทำทุกเรื่อง พร้อมขอให้คนไทยควรให้กำลังใจนายกฯเยอะๆ ยืนยันนายกฯเป็นเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่แบบทุบโต๊ะ
ส่วนการโจมตีนายกฯเรื่องเก็บภาษีบ้านที่ดินนั้นขอไว้ก่อน เพราะยังไม่ได้เก็บ แค่คิดแต่มีพวกเอาผลงานเอามาพูดก่อน นายกฯแค่คิด ก็ต้องคิดกลับไปกลับมา ยังไม่ตกผลึกเลย
พลโทกัมปนาท กล่าวอีกว่าวันนี้ ยังคงต้องทำความเข้าใจกับบุคคลต่างๆ อยู่ ขอร้องกันว่าเรื่องนี้ไม่ทำได้หรือไม่ และต้องขอร้องสื่อมวลชนเองก็ต้องช่วย เพิ่อให้ความรักสามัคคีกลับมา และประเทศเดินไปเดินไปข้างหน้า ปีเดียวทำอะไรได้ไม่เยอะ แต่ถ้าอยู่เกินก็มาประท้วงกันอีก

เบื้องหลัง ‘สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน’ ไม่รับสารภาพ คดีระเบิดหน้าศาล

เบื้องหลัง ‘สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน’ ไม่รับสารภาพ คดีระเบิดหน้าศาล

สรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน มีอาชีพขับแท็กซี่และเคยเป็นแกนนำ นปก.รุ่น 2 ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระหว่างเดินทางกลับบ้านย่านพุทธมณฑล ในช่วงกลางคืนวันที่ 9 มี.ค.58 เวลาประมาณ 22.00 น. เขาถูกนำตัวไปกองบัญชาการตำรวจนครบาล
สรรเสริญเข้าใจเอาเองว่าถูกจับจากกฎอัยการศึกเนื่องจากบทบาททางการเมืองที่ผ่านมา เพราะเขาแสดงท่าทีทางการเมืองที่ชัดเจนว่าคัดค้านการรัฐประหารตลอดมาตั้งแต่ปี 2549
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งมอบตัวเขาให้เจ้าหน้าที่ทหารซึ่งมารับตัวต่อไปยังกรมสารวัตรทหารเวลาประมาณ 23.00 น.ของวันที่ 9 มี.ค.นั้นเอง เมื่อไปถึงกรมสารวัตรทหาร เขาจึงทราบข้อกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีขว้างระเบิดที่ศาลอาญา เขาโดนใส่กุญแจมือไพล่หลัง ใช้ผ้าดำปิดตาพร้อมกับเอาถุงดำคลุมหัว และถูกบังคับให้สารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว
เขาอยู่ในความควบคุมของทหาร 7 วัน ก่อนเจ้าหน้าที่นำตัวไปฝากขังที่ศาลทหารและนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันที่ 16 มี.ค.58
ในเรื่องการซ้อมทรมานนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่าได้รับการร้องเรียนจากผู้ต้องหาคดีระเบิดหน้าศาลอาญา 4 รายในจำนวน 9 รายว่ามีการซ้อมผู้ต้องหาระหว่างการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก (อ่านรายละเอียดที่นี่)

ย้อนกลับไปในขณะถูกเจ้าหน้าที่จับกุม สรรเสริญได้ยุติการดื่มน้ำและรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นมาตรการที่เขาได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหากมีการจับกุมเกิดขึ้น ทั้งยังได้ทำหนังสือไว้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเขาขอมอบร่างกายให้กับคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่าโครงกระดูกก็มอบให้คณะแพทย์ไว้ใช้สำหรับการศึกษา และหากมีเศษของร่างกายหลงเหลือจากการใช้เพื่อการศึกษา ให้นำไปฝังไว้ที่ดอยม่อนยะ อ.แม่วาง เชียงใหม่  โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการเก็บสำเนาหนังสือมอบอำนาจของเขาไว้
เขาว่าเหตุที่ไปพัวพันกับเหตุการณ์ปาระเบิดศาลอาจเนื่องมาจากเขาได้รับการชวนจากชาญวิทย์ (ถูกจับกุมเช่นกัน)  ให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองให้กับกลุ่มผู้สนใจทางการเมืองกลุ่มหนึ่งที่ จ.ขอนแก่น ประมาณสิบกว่าคน โดยที่เขาไม่ได้เคยรู้จักกับกลุ่มดังกล่าวมาก่อนแต่อย่างใด งานดังกล่าวจัดขึ้นในวันที่14-15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในเขตอำเภอเมือง ชาญวิทย์เขาบอกว่าชาญวิทย์พูดคนเดียวไม่ไหวจึงต้องการให้เขาไปช่วยพูด ขณะที่ทหารรวมถึงตำรวจซึ่งมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนได้สรุปรวมว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นการพบปะเพื่อวางแผนก่อเหตุ โดยมีสรรเสริญและชาญวิทย์เป็นคนบรรยายแนวคิด
กระบวนการที่เจ้าหน้าที่พยายามทำให้สารภาพคือ การขู่ตะคอก ตบหน้า ชกเขาที่บริเวณลิ้นปี่และชายโครง รวมถึงเหยียบบริเวณลำตัว รอยช้ำส่วนใหญ่เริ่มจางลงไปไปหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงบางส่วน อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกเจ็บชายโครงที่ถูกชก
สรรเสริญไม่ยอมรับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับเหตุดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้ใช้ไฟฟ้าช็อตที่บริเวณต้นขา เขาประมาณว่าถูกช็อตราว 30-40 ครั้ง
สรรเสริญนิยามตัวเองว่าเป็นโซเชียลลิสต์(นักสังคมนิยม) เป็นผู้นิยมในแนวทางของพรรคซินเฟน (Sinn Fein) ชมชอบมาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ ชื่นชมในความเด็ดเกี่ยวของโฮจิมินห์ และเช เกวารา โดยเฉพาะเช เขาว่าหากเชอยู่คิวบาอย่างน้อยก็ต้องได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่เชกลับเลือกที่จะทำการปฏิวัติต่อจนตัวตาย
แนวทางสันติของเขาชัดเจนมาตั้งแต่อดีต ต้นปี 2553 เขาคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรค ‘แนวร่วมสังคมประชาธิปไตย’ ซึ่งเน้นเรื่องความเท่าเทียมของโอกาสของผู้คนในสังคม แต่พรรคที่เขานิยามว่าเป็น ‘พรรคกระยาจก’ นี้ก็ถูกยุบไปหลังจากนั้นเพราะหาสมาชิกไม่ทันตามกำหนด อย่างไรก็ตาม ในห้วงการก่อตั้งพรรคเขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดและแนวทางของเขาว่า
“เราพยายามรื้อฟื้นจิตวิญญาณที่ทำเพื่อคนอื่นขึ้นมา คนที่อยากจะทำอะไรเพื่อสังคมยังคงมีอยู่เยอะในสถานการณ์ที่ทางโน้นคนก็ไม่ชอบ ทางนี้คนก็ไม่ชอบ”
“การผลิตที่ทันสมัยเป็นของมนุษยชาติ มีแต่คนไร้เดียงสาเท่านั้นที่จะบอกว่านั่นเป็นของทุน คอนเซ็ปต์เดิมของสังคมนิยมไม่ได้อธิบายเรื่องการผลิต พูดแต่เรื่องการแบ่งปัน อุดมการณ์เดิมนั้นดูกันที่การแบ่งปัน แต่สำคัญเราต้องทำการผลิตที่ก้าวหน้า แล้วกำหนดกติกาการแบ่งปัน การบริหารจัดการที่ไม่ให้กลุ่มคนต่างๆ เอาเปรียบกัน ที่สำคัญ ต้องมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นมีทั้งอำนาจ มีเงิน และรับผิดชอบต่อประชาชนโดยตรง”
“พรรคเพื่อไทยรับภารกิจได้ระดับหนึ่ง เขาไม่สะดวกจะทำบางอย่าง เช่น ภาษีก้าวหน้า คนที่จะทำเรื่องพวกนี้ คือพวกที่ไม่มีเนื้อจะเฉือน”
สำหรับการควบคุมตัวในคดีปาระเบิดศาลอาญานี้เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวคนอีกหลายคน และปัจจุบันถูกนำเข้าเรือนจำทั้งหญิงและชาย ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาเขาว่า “ร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ของผู้อื่น, มีและใช้เครื่องกระสุนปืนที่ใช้เฉพาะแต่การสงครามซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย, มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งเด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์, ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนและมียุทธภัณฑ์ทางทหารไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
 สรรเสริญยืนยันว่าเขาไม่ใช่พวกก่อวินาศกรรม ไม่ใช่พวกวางระเบิด
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้น จะให้ผมยอมรับได้อย่างไร " เขากล่าวพร้อมน้ำตา
“ผมพูดได้เท่าที่ผมคิดและผมกระทำ(ต่อต้านการรัฐประหาร) ผมไม่สามารถยอมรับสิ่งที่ผมไม่ได้ทำได้ เขาซ้อมจนผมชนะเขา”
สุดท้ายเจ้าหน้าได้ยุติการมาตรการดังกล่าว กักตัวเขาไว้จนครบ 7 วันก่อนนำตัวเขามาแถลงข่าวในเวลาต่อมา ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาดื่มน้ำ รับประทานอาหาร ด้วยคำขอว่า ขอให้เห็นแก่มิตรภาพของเรา