PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ปรับกลยุทธรับ ปธน.สหรัฐ"โดนัลด์ ทรัมป์"


มหกรรมพลิกโผทุกสำนัก กับผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ที่ชื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” พร้อมกับคำถามที่ตามมา ว่ากลยุทธ์การลงทุนจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้? ลองมาฟังมุมมองของผู้จัดการกองทุนหลายๆ ค่าย หลัง “ทรัมป์” คว้าเก้าอี้ประธานาธิบดีไปครองแบบเหนือความคาดหมาย

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ผิดไปจากความคาดหมายของตลาด เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” คว้าเก้าอี้ผู้นำไปครอง กับ Feedback แรงขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกที่เข้ามาตั้งแต่ก่อนที่จะเห็นผลสรุป ซึ่งรวมทั้งแรงขายในตลาดหุ้นไทยด้วย

แต่ความผันผวนจากประเด็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่นี้ จะสร้างความกดดันต่อตลาดหุ้นไทยอีกถึงเมื่อไหร่? และรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ? ล่าสุด มีความเห็นจาก “ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์” ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ชัยชนะของ “ทรัมป์” ในครั้งนี้ จะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกไปอีกระยะหนึ่ง เพราะนอกเหนือจากชัยชนะที่เหนือความคาดหมายของตลาดแล้ว นโยบายของ “ทรัมป์” ที่เคยประกาศไว้ตอนหาเสียง ยังไม่มีความชัดเจนว่านโยบายด้านไหนจะทำจริงบ้าง ซึ่งประเด็นนี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับตลาดทุนทั่วโลกต่อไปอีกหลังจากนี้

สำหรับตลาดหุ้นไทย ดร.วิน ให้แนวรับของ SET ไว้ที่ 1,420 จุด จากการคว้าชัยของ “ทรัมป์” ในครั้งนี้ พร้อมกับไม่แนะนำว่า หากผู้ลงทุนจะหาจังหวะซื้อหุ้นเพิ่มในช่วงนี้ เพราะมองว่าไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ แต่อาจจะรอให้เห็นความชัดเจนด้านนโยบายเสียก่อน

อดีตผู้จัดการกองทุนท่านนี้ แนะด้วยว่า ถ้าจะหาจังหวะลงทุนสะสมในตลาดหุ้นเพิ่ม ลองพิจารณากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายในประเทศ ที่น่าจะปลอดภัยสำหรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นตอนนี้

ด้าน “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนของ บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เคยแนะนำไว้ก่อนทราบผลการเลือกตั้งว่า ให้ผู้ลงทุนสะสมเงินสดติดพอร์ตไว้ราว 10-15% เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งเมื่อผลออกมาเช่นนี้ จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนหาจังหวะลดสัดส่วนเงินสดดังกล่าวลง แล้วทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้มากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การจับจังหวะลงทุน อาจจะยังไม่ใช่เวลาที่จะลงเงินไปทั้งหมด แต่ควรรอดูจังหวะก่อนด้วย เพราะมองว่าความเสี่ยงของผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ อาจจะกดดันให้ตลาดหุ้นไทย ย่อตัวลงไปได้อีก ซึ่งเขาเล็งแนวรับไว้ที่ 1,420-1,430 จุด

สำหรับอีก Asset class ที่ผู้จัดการกองทุน “ซีไอเอ็มบีฯ” แนะนำ คือ กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์  REIT และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเปิดโอกาสลงทุนในช่วงตลาดปรับฐาน และหากหลักทรัพย์ในกลุ่มนี้ย่อตัวลงตามด้วย ก็เป็นโอกาสที่ดีในการสะสมเข้าพอร์ตเอาไว้

ส่วนพอร์ตลงทุนต่างประเทศ มีความเห็นจาก “กุลฉัตร จันทวิมล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ลงทุน บลจ.ยูโอบี (ไทย) มองการคว้าชัยชนะของ “ทรัมป์” น่าจะเป็นโอกาสอีกครั้ง สำหรับผู้ลงทุนที่จะหาจังหวะสะสมกองทุนในกลุ่ม Healthcare เข้าพอร์ตเพิ่มขึ้น เพราะนโยบายของ “ฮิลลารี คลินตัน”  ที่เคยเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ คงไม่เกิดขึ้นแล้ว

ค่าย “ยูโอบี ยังแนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสมหุ้นญี่ปุ่นเข้าพอร์ตเพิ่มด้วยในจังหวะนี้ เพราะตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับตัวลงค่อนข้างแรง รับข่าวชัยชนะของ “ทรัมป์” ในครั้งนี้ด้วย

**********************************
ทีม Business & Finance , Money Channel
- See more at: http://www.moneychannel.co.th/news_detail/13738/#sthash.CXB0jIZ5.dpuf

สุนทรพจน์แรกของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด โดนัล ทรัมป์

The MATTER
3 ชม.
สุนทรพจน์แรกของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด โดนัล ทรัมป์
.
.
ทรัมป์กล่าวหลังจากทราบข่าวชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐล่าสุด และกลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนต่อไป
.
‘ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์แสดงความยินดีจากท่านรัฐมนตรีคลินตัน เธอกล่าวแสดงความยินดีกับเรา มันเป็นเรื่องของเราทั้งสองคน ผมขอแสดงความยินดีกับเธอ และครอบครัวของเธอสำหรับการหาเสียงที่ยาก ยากมากๆ ที่จะรับมือด้วย
.
ผมหมายถึงเธอต่อสู้อย่างหนัก ฮิลลารีทำงานอย่างยาวนานและอย่างหนักหน่วงในช่วงเวลาที่ผ่านมา และพวกเราต่างก็ควรรู้สึกขอบคุณภาระหน้าที่ที่เธอทำให้กับประเทศนี้ ซึ่งผมพูดจากใจจริง
.
ตอนนี้มันเป็นเวลาของอเมริกันที่จะเชื่อมบาดแผลที่สร้างความแตกแยกเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรีพับบลิกันหรือเดโมเครตรวมไปถึงผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ถึงเวลาที่พวกเรากันเป็นหนึ่งอันเดียวกัน
.
มันเป็นเวลาที่ผมจะขอพลเมืองทุกคนว่าผมจะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน และสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญกับผมยิ่ง สำหรับคนที่ไม่ได้สนับสนุนผมตั้งแต่แรก ซึ่งก็เป็นกลุ่มคนที่ไม่มากนัก แต่ผมก็จะเป็นฝ่ายที่ไปหาพวกคุณเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือซึ่งเราจะได้สามารถทำงานร่วมกันเพื่อรวมประเทศอันยิ่งใหญ่ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนอย่างที่ผมพูดไว้ตั้งแต่แรก พวกเราไม่ได้แค่หาเสียงเลือกตั้งแต่เราเป็นความเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่ง ประกอบได้ด้วยชายและหญิงที่ทำงานอย่างหนักหน่วงผู้ที่รักและต่างก็อยากเห็นประเทศของเราดีขึ้น มีอนาคตที่เจิดจ้าสำหรับทั้งตัวเขาเองและครอบครัวของพวกเขา
.
มันเป็นความเคลื่อนไหวที่ประกอบขึ้นด้วยชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติ ศาสนา ต่างภูมิหลังและความเชื่อ ผู้ที่ต่างก็ต้องการและหวังให้รัฐบาลของเรารับใช้ประชาชนและรับใช้เจตนารมย์ของพวกเขา
.
การที่เราจะทำงานด้วยกัน เราจะเริ่มจากภารกิจที่เร่งด่วนในการสร้างชาติของเราขึ้นมาใหม่ กลับไปฟื้นฟูความฝันแบบอเมริกัน ผมได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิตในโลกธุรกิจ มองหาความเป็นไปได้ในโครงการและผู้คนต่างๆ จากทั่วโลกใบนี้
ตอนนี้มันเป็นเวลาที่ผมต้องการที่จะทำเพื่อประเทศของพวกเรา โอกาสที่มากมาย ผมต้องการที่จะรู้จักประเทศของเราให้ดี โอกาสที่มหาศาลมันจะต้องกลายเป็นสิ่งที่สวยงาม ชาวอเมริกันทุกคนจะมีโอกาสที่จะมองเห็นศักยภาพที่เต็มที่ของตัวเอง ชายและหญิงของเราจะไม่ถูกลืมอีกต่อไป
.
เราจะซ่อมแซมเมืองชั้นในและสร้างถนนสายหลัก สะพาน อุโมงค์ สนามบิน โรงเรียน โรงพยาบาลกันใหม่ เราจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะทำให้เราไม่เป็นรองใคร ประชากรนับล้านของเราจะมีงานทำจากที่เราได้สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาใหม่
.
ท้ายที่สุดแล้ว เราจะดูแลเหล่าทหารผ่านศึกที่จงรักภักดีมาโดยตลอดซึ่งผมได้รู้จักคนพวกนี้ขึ้นมามากมายในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมานี้ ห้วงเวลาที่ผมได้ใช้กับพวกเขาระหว่างการหาเสียงนั้นถือว่าเป็นเกียรติที่สูงสุดสำหรับผม ทหารผ่านศึกของเราเป็นคนที่ยอดเยี่ยม
.
เราจะเริ่มดำเนินการเพื่อความเติบโตและการฟื้นฟูชาติ ผมจะใช้พรสวรรค์อันสร้างสรรค์ของผู้คนของเราให้ดีและสว่างไสวมากที่สุดเพื่อประโยชน์ของพวกเราทั้งหมด มันจะต้องเกิดขึ้นแน่นอน เรามีแผนทางเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยม เราจะทำให้อัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากกว่าที่ไหนๆ ในโลกใบนี้
.
ในเวลาเดียวกันเราจะร่วมไปด้วยกันกับชาติอื่นๆ ที่ยินดีที่จะร่วมกันกับเรา เราหวังว่าจะความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากๆ ไม่มีความฝันอะไรที่ใหญ่จนเกินไป ไม่มีความท้าทายที่เกินไป ไม่มีอะไรที่เราต้องการสำหรับอนาคตจะไกลเกินเอื้อม
.
อเมริกันจะไม่ลงเอยกับอะไรที่ไม่ดีที่สุด เราจะต้องนำเอาจุดหมายของประเทศเรากลับมาและฝันให้ใหญ่ ให้แกร่ง และให้เป็นที่รัก เราจะต้องทำมัน เราจะต้องฝันถึงสิ่งต่างๆ สำหรับประเทศของเรา สิ่งที่สวยงาม และความสำคัญทั้งหลาย อีกครั้งหนึ่ง
.
เราต้องการที่จะบอกประชาคมโลกว่าเราจะมองผลประโยชน์ของอเมริกาเสมอ เราจะมีความสัมพันธ์กับทุกคนอย่างเป็นธรรม กับทุกคน กับใครก็ตามและกับชาติต่างๆ ในโลกนี้ เราจะข้อตกลงที่ร่วมกัน โดยไม่ยืนอยู่บนความเป็นศัตรูกัน เป็นพันธมิตรไม่ใช่ความบาดหมาง
.
และตอนนี้ได้เวลาอันสมควรที่จะแสดงความขอบคุณผู้คนที่ช่วยเหลือ ผู้คนที่ต่างเรียกคืนนี้ว่าค่ำคืนแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่’
แปลและเรียบเรียงจาก http://www.vox.com/…/donald-trump-wins-2016-presidential-el…

กรรมของสหรัฐฯ


การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ 58 นี้ ถือเป็นครั้งที่สูสีที่สุดอีกครั้งหนึ่ง และพลิกล็อคสุดๆ เมื่อ "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะ "ฮิลลารี คลินตัน" อย่างเหลือเชื่อ! จากการเก็บชัยชนะได้ที่รัฐเพนซิลเวเนีย มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ทะลุ 270 เสียง!
ตอกย้ำว่าคนต้องการเปลี่ยนแปลง พรรคเดโมแคตรครองทำเนียบขาวมา 8 ปีแล้ว และอย่ามองข้ามคนที่ไม่ตอบโพลล์ เหมือนการลงประชามติช็อกโลกที่อังกฤษให้ออกจากอียูก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของ FBI...
หลังการดีเบต 3 ครั้ง ฮิลลารีมีคะแนนนิยมเหนือกว่ามาก มากจนแทบจะมองไม่เห็นหนทางพ่ายแพ้ บวกกับการให้สัมภาษณ์ของทรัมป์ที่โผงผาง ทั้งประเด็นและบุคลิก แต่ 8 วันก่อนการเลือกตั้ง...
ผู้อำนวยการของ FBI (สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา) ได้พบหลักฐานจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของสามีของผู้ช่วยคนสำคัญของนางคลินตัน ที่อาจจะเกี่ยวพันกับเธอ..อาจเข้าข่ายความผิดในเรื่องเอกสารลับของทางการสหรัฐอเมริกา เมื่อสมัยที่นางคลินตัน ยังเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศเมื่อ 4 ปีก่อน
FBI บอกต้องสอบ! เพราะเจออีเมลเป็นแสนฉบับ!!! ข่าวนี้ระเบิดออกมาทำให้คะแนนนิยมของทรัมป์โผล่ขึ้นมาเป็นฝ่ายนำ โดยที่ทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรเลย คะแนนดีขึ้นเพราะอีกฝ่ายคะแนนทรุดฮวบแค่นั้น หุ้นดาวน์โจนส์ตกสิครับ แค่โพลล์บอกทรัมป์นำ
ปรากฏว่าอีก 2 วันจะเลือกตั้ง FBI บอกไม่สอบละ...ทุกอย่างเคลีย! ..(ทำงานเหมือนดีเอสไอบางช่วงเลย) อีเมลเป็นแสนที่บอก...เขาอ่านได้เรียบร้อย ครบถ้วนอย่างไม่น่าเชื่อ ภายในเวลาไม่กี่วัน!
แต่ผลจากอีเมลลับๆล่อๆนี่แหละ เป็นเหตุให้นางคลินตันสะดุด ขณะที่สื่อต่างๆของสหรัฐนำเสนอข่าวเช้าวันนี้ว่า ทรัมป์มีคะแนนนำ ก็ทำให้หุ้นดาวน์โจนส์ตกไป 500 จุดทันที!
ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ที่ชอบเข้ามาทำรุ่มร่าม เจ้ากี้เจ้าการ และแทรกแซงงานบ้านงานเมืองของไทยบ่อยครั้ง กำลังได้คนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ผมเชื่อว่ามีคนไทยไม่น้อยดีใจ ปนสมน้ำหน้า เพราะเขามาจากการเลือกตั้งไง ซึ่งบ้านยูวัดความเป็นประชาธิปไตย วัดสรรพสิ่งทั้งมวลอยู่ตรงกิจกรรมนี้
ไอเคยได้นายกฯหญิงคนแรกที่มาจากระบอบเลือกตั้ง ไอเข้าใจความรู้สึกของพวกยูดี ตอนนี้ทราบว่า เว็บ ตม.ของแคนาดาถึงกับล่ม เพราะคนอเมิริกัน แห่เข้ามาลงทะเบียนกันเยอะมาก ประมาณว่า กูอพยพย้ายถิ่นฐานดีกว่า ถ้าต้องมีประธานาธิบดีอย่างนี้
แต่ต่อให้ได้มนุษย์ป้าคลินตัน ความสัมพันธ์ทางใจของคนไทย ก็ไม่ดีขึ้นหรอก ถ้าถามประชามติคนไทยว่า ชอบท่าทีสหรัฐที่ปฏิบัติต่อเมืองไทยในยุคนี้หรือไม่ ผมเชื่อว่าคำตอบจะออกมา "ไม่ชอบ" ไม่ว่าจะมีใครหน้าไหนเป็นประธานาธิบดี
อยากรู้จริงๆ อนาคตวันพรุ่งนี้ของสหรัฐอเมริกา จะเป็นเช่นใด ประเทศไทยนั่งไขว่ห้างรอดูอยู่

สรุปผลคะแนนคณะผู้เลือกตั้งปธน.สหรัฐ ทรัมป์ชนะฮิลลารี290-218 เหลือแค่3รัฐยังนับไม่เสร็จ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน เอาชนะการเลือกตั้งเหนือนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนพรรคเดโมแครต ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกาโดยได้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (อิเล็คเทอรัลคอลเลจ) 290 เสียง จากที่ต้องการ 270 เสียง ขณะที่นางคลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศได้ไป 218 เสียง โดยตัวเลขคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมดมี 538 เสียงคิดจากสัดส่วนจำนวนประชากรของแต่ละรัฐ
โดยตัวเลขคณะผู้เลือกตั้ง (อิเลคเทอรัลคอลเลจ) ล่าสุดจากรัฐที่มีการนับคะแนนเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเวลาประมาณ 16.23 น. ตามเวลาในไทย นายทรัมป์ได้ไป 290 เสียง จากรัฐแอละบามา (9) อะแลสกา (3) แอริโซนา (11) อาร์คันซอ (6) ฟลอริดา (29) จอร์เจีย (16) ไอดาโฮ (4) ไอโอวา (6) อินดีแอนา (11) ไอโอวา (6) แคนซัส (6) เคนทักกี (8) ลุยเซียนา (8) เมน (1 จาก 4 – รัฐนี้ใช้วิธีแบ่งคะแนนคณะผู้เลือกตั้งตามเปอร์เซ็นต์ของคะแนนดิบหรือป็อปปูลาร์โหวต) มิสซิสซิปปี (6) มิสซูรี (10) มอนแทนา (3) เนแบรสกา (5) นอร์ทแคโรไลนา (15) นอร์ทดาโคตา (3) โอไฮโอ (18) โอคลาโฮมา (7) เพนซิลเวเนีย (20) เซาท์แคโรไลนา (9) เซาท์ดาโคตา (3) เทนเนสซี (11) เทกซัส (38) ยูทาห์ (6) เวสต์เวอร์จิเนีย (5) วิสคอนซิน (10) และไวโอมิง (3)
ขณะที่นางคลินตันได้ไป 218 เสียงจากรัฐแคลิฟอร์เนีย (55) โคโลราโด (9) คอนเนตทิคัต (7) เดลาแวร์ (3) ฮาวาย (4) อิลลินอยส์ (20) เมน (3 จาก 4) แมริแลนด์ (10) แมสซาชูเซตส์ (11) นิวเจอร์ซีย์ (14) นิวเม็กซิโก (5) นิวยอร์ก (29) ออริกอน (7) โรดไอแลนด์ (4) เวอร์มอนต์ (3) เวอร์จิเนีย (13) วอชิงตัน (12) และวอชิงตัน ดี.ซี. (3)
ทั้งนี้รัฐที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จเหลือเพียงแค่ 3 รัฐคือมิชิแกน มินนิโซตาและนิวแฮมป์เชียร์

อเมริกันลุกฮือประท้วงต้าน “ทรัมป์” เหตุไม่เห็นด้วยนโยบายผู้อพยพ

เว็บไซต์ฟ็อกซ์นิวส์ รายงานว่าในขณะที่ยังไม่มีการประกาศผลแน่ชัดว่าใครเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แต่มีแนวโน้ว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ มีรายงานว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 1,000 คน รวมตัวกันเพื่อประท้วงทรัมป์บริเวณด้านหน้าทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา บางคนปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ บางคนตะโกนด่าทอนายทรัมป์ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย โดยผู้ประท้วงส่วนใหญ่พากันประท้วงนโยบายเรื่องผู้อพยพของนายทรัมป์ ที่เคยประกาศไว้ว่าจะเนรเทศผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย และจะสร้างกำแพงตลอดแนวชายแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโก เพื่อกันไม่ให้ผู้อพยพชาวเม็กซิโกเข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา
ขณะที่เว็บไซต์ kron4.com รายงานว่า มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงนายทรัมป์หลายร้อยคนพากันเดินขบวนจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์คลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน เพื่อมุ่งหน้าไปยังถนนเทเลกราฟ หลังจากที่เริ่มมีแววว่านายทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ด้าน latimes.com รายงานว่า ชัยชนะของทรัมป์ได้ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงขึ้นทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมไปถึงบริเวณย่านชุมชนในนครลอสแองเจลิส
ต้านทรัมป์1

ต้านทรัมป์2
ด้านเว็บไซต์วอชิงตันโพสต์รายงานว่า ขณะที่ชาวอเมริกันซึ่งไม่ชื่นชอบนายโดนัลด์ ทรัมป์ มักจะพูดติดตลกว่า หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ พวกตนจะย้ายไปอยู่ที่ประเทศแคนาดาแทน โดยมีรายงานว่า หลังจากที่ผลการเลือกตั้งมีแววว่า นายทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง เว็บไซต์ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของแคนาดา ถึงกับล่มลงชั่วคราว แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากอะไร และทางเจ้าหน้าที่แคนาดาไม่สามารถแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าว ขณะที่เหล่าชาวโลกออนไลน์ ต่างแสดงความเห็นว่า การล่มของเว็บไซต์สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของแคนาดา อาจจะเกี่ยวเนื่องกับการที่ทรัมป์จะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังรายงานว่า กลุ่มคนไทยที่อยู่ในสหรัฐอเมริกามีความหวั่นวิตกกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาเชื่อว่านางคลินตันจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง แต่เมื่อผลกลับตรงข้ามจึงรู้สึกเสียใจที่นางคลินตันพ่ายแพ้ ขณะที่บางคนก็หวาดกลัวต่อนโยบายเรื่องผู้อพยพของนายทรัมป์ เพราะนายทรัมป์แสดงออกอย่างชัดเจนเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ เพศ สีผิว กลุ่มคนไทยจึงเริ่มมีการพูดคุยกันว่าอาจจะย้ายกลับประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมาย ขณะที่ชาวอเมริกันซึ่งมีภรรยาเป็นคนไทยก็ได้มีการสอบถามภรรยาว่าต้องการกลับไปอยู่เมืองไทยหรือไม่
“การที่มีผู้นำที่เหยียดสีผิวก็จะทำให้คนในประเทศหันกลับไปสู่การเหยียดสีผิวมากขึ้น เพราะตั้งแต่อเมริกาได้มีการเลิกทาส และรณรงค์ยกเลิกการแบ่งแยกสีผิว แต่ลึกๆ ของคนขาวบางส่วนก็ยังแบ่งแยกสีผิวอยู่เพียงแต่ไม่กล้าแสดงออกอย่างชัดเจน เพราะผู้นำหลายสมัยพยายามผลักดันให้การเหยียดสีผิวและชาติพันธุ์หมดไป แต่ตอนนี้เหมือนพอทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี พวกที่เหยียดสีผิวก็จะลุกฮือกระพือปีกอีก และยิ่งสร้างให้เกิดความไม่เสมอภาคทางชนชั้นขึ้นอีกครั้ง น่าผิดหวังไหมล่ะอเมริกา” หญิงชาวไทยรายหนึ่งที่อาศัยในสหรัฐอเมริกากล่าว
AFP PHOTO / DOMINICK REUTER
AFP PHOTO / DOMINICK REUTER
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เลดี้ กาก้า นักร้องชื่อดัง ได้ออกมาแสดงการต่อต้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ เช่นกัน โดยออกมายืนอยู่ข้างรถขยะ บริเวณด้านหน้าทรัมป์ ทาวเวอร์ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน โดยมีรายงานว่า มีผู้เห็นเลดี้ กาก้า ร้องให้อยู่ที่บริเวณด้านหลังของเวทีที่ทางพรรคเดโมแครตจัดเตรียมไว้สำหรับหลังการเลือกตั้งด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในคืนหาเสียงคืนสุดท้าย เลดี้ กาก้า ได้ออกมาประกาศสนับสนุนนางฮิลลารี คลินตัน

คนอเมริกันเป็นอะไรไป โดย วีรพงษ์ รามางกูร

มติชนสุดฯ
(28ก.ค.59)
ข่าวการได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะไม่ใช่ข่าวที่แสดงความประหลาดใจให้กับคนอเมริกันและผู้คนทั่วโลกก็ตาม แต่ก็เป็นข่าวที่น่าตกใจ
เพราะการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะจนได้รับเลือกเป็นผู้แทนพรรค เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่าย ต้องทำงานหาเสียงกับสมาชิกพรรคในมลรัฐต่างๆ ทั่วประเทศ โดยการแสดงบุคลิกที่ดี มีประวัติการทำงานการเมืองโดยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองมาก่อน มีลีลาการพูดสุนทรพจน์ที่เร้าใจ มีเนื้อหาวาจาเป็นผู้ดี ไม่หยาบคายเหมือนบางประเทศในยุโรป ที่สำคัญคือมีความเป็น “อารยะ” ในด้านความคิด ในเรื่องสิทธิมนุษยชน ยอมรับในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันของคนทุกเชื้อชาติ เพศและศาสนา
แต่ดูเหมือนนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีคุณสมบัติและความรู้สึกนึกคิด มีปรัชญาทางด้านการเมืองและสังคมอยู่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ประชาชนอเมริกันควรจะมี
ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ไม่ใช่ประเทศเก่าแก่ที่มีประวัติอันยาวนาน เช่นประเทศในยุโรปและเอเชีย เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวพื้นเมืองที่ล้าหลัง ที่ชาวยุโรปเรียกว่า “อินเดียนแดง” เพราะเข้าใจผิดคิดว่าทวีปอเมริกาคืออินเดีย
ประชากรทั้งหมดเป็นคนอพยพมาอยู่ในทวีปแห่งนี้ หลังจากการค้นพบของนักเดินเรือเมื่อ 300-400 ปีมานี้เอง ชื่อทวีปก็ตั้งตามชื่อนักเดินเรือสำรวจ ผู้อพยพ ไม่ได้อพยพมาเพราะความยากจนที่บ้านของตนอย่างเดียว แต่อพยพมาด้วยเหตุผลต่างๆ กัน เช่น ชาวผิวขาวจากอังกฤษและชาวยุโรปจำนวนมากอพยพมาเพราะต้องการเสรีภาพในการนับถือศาสนา เพราะในสมัยนั้นประชาชนอยู่ในประเทศไหนต้องนับถือนิกายศาสนาที่พระเจ้าแผ่นดินของตนนับถือ ถ้าไม่อยากนับถือนิกายศาสนาที่เจ้าผู้ปกครองแผ่นดินนับถือก็ควรจะอพยพไปอยู่เสียที่อื่น ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งอาณานิคมขึ้น ก็มีการอพยพมาเป็นทหาร นายทุนก็อพยพมาทำการเพาะปลูก
เพราะมีที่ดินเหลือเฟือ ไม่มีราคา ใครมีปัญญาแผ้วถางป่าได้เท่าไหร่ก็ทำไป จึงมีการลงทุนแผ้วถางป่าทำการเกษตร เช่น ปลูกข้าวโพด ข้าวสาลี เลี้ยงสัตว์ ปลูกฝ้าย อ้อยและน้ำตาล ปลูกถั่วเหลือง พืชผักผลไม้ รวมทั้งการทำกระดาษเพื่อส่งออกไปยุโรป
นอกจากการอพยพมาเองด้วยเหตุผลต่างๆ แล้ว ที่น่าเศร้าก็คือการบังคับเอาคนผิวดำจากแอฟริกามาขายเป็นทาสในไร่ที่ทำการเกษตร เช่น ไร่ฝ้าย ไร่อ้อย ไร่ถั่วเหลือง หรือแม้แต่ข้าวสาลีและมันฝรั่ง คนผิวดำที่ถูกจับมาเป็นทาส บัดนี้ก็กลายเป็นคนกลุ่มน้อยขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เพราะนิยมมีลูกมากกว่าคนผิวขาว
ในปลายศตวรรษที่ 19 มีการนำเอาชาวจีนมาเป็นคนงานสร้างทางรถไฟสายตะวันออกตะวันตกจำนวนมาก บัดนี้ชาวจีนเหล่านี้ก็มีลูกหลานสืบเชื้อสายอยู่ในอเมริกา หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งชาวญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งก็อพยพหนีความยากจนในญี่ปุ่นมาอยู่ที่อเมริกา
ต่อมาหลังสุดเมื่อสหรัฐอเมริกาแพ้สงครามเวียดนาม ชาวเวียดนามจำนวนมากก็อพยพมาอยู่ที่อเมริกาตามเมืองใหญ่ๆ
สหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นประเทศที่มีคนหลายเชื้อชาติ หลายผิวพรรณ หลายภาษา หลายศาสนา หลายเผ่าพันธุ์ หลายความคิด มาอยู่ปนกันจนกลายเป็นสังคมผสมหรือ “melting pot”
การที่สังคมผสมอย่างอเมริกาสามารถดำรงอยู่ได้ ไม่แตกแยกจนรบราฆ่าฟันกันอย่างรุนแรง ก็เพราะสังคมอเมริกันนั้นถูกกำหนดให้มีความรู้สึกนึกคิด โดย “กลุ่มปัญญาชน” ที่มีจิตวิญญาณของความเป็น “ผู้เจริญ” ซึ่งวางรากฐานไว้โดย “บิดาผู้ก่อตั้ง” ประเทศ หรือ “founding fathers” ด้วยคำประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ จากจิตวิญญาณของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ที่ยึดถือกันมาเกือบ 300 ปีมาแล้ว
ทุกวันนี้ กลุ่มปัญญาชนเหล่านี้ก็ยังคงดำรงอยู่ ประกอบด้วย ปัญญาชน อาจารย์มหาวิทยาลัย นักคิดนักเขียน สื่อมวลชน ผู้นำศาสนา ผู้นำทางจริยธรรม ที่คอยให้สติกับสังคม ทำให้เกิดการแก้ไข ปรับปรุง ความคิด วิธีคิด ความประพฤติ รวมทั้งคุณค่าทางสังคมอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญความคิดว่าสังคมอเมริกันเป็นสังคมพลเรือน “civil society” ไม่ใช่สังคมทหาร “military society” เป็นสังคมที่ใช้เหตุผลของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่สังคมที่ใช้กำลัง แต่คนส่วนน้อยก็ได้รับการคุ้มครอง
แต่อีกด้านหนึ่งที่ไม่อาจจะแสดงออกมาได้อย่างเปิดเผยก็คือ อเมริกาเป็นสังคมที่มีความไม่เท่าเทียมกันอย่างยิ่ง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง มีสูงมากอาจจะมากกว่าประเทศใดๆ ในโลก การปฏิบัติต่อกันถ้าดูจากภายนอกจะเป็นอย่างหนึ่ง แต่ภายในใจจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง การแต่งงานข้ามเชื้อชาติผิวพรรณ ฐานะทางเศรษฐกิจ มีน้อยมาก แม้ว่าระยะหลังจะดีขึ้นก็ตาม คนที่เกิดจากบิดามารดาต่างสีผิวกันก็จะได้รับการปฏิบัติตอบแบบเดียวกัน ผู้มีสีผิวที่ไม่ใช่คนผิวขาวกลายเป็นบุคคลชั้นสาม ไม่ใช่แม้แต่เป็นบุคคลชั้นสอง ไม่เป็นที่ยอมรับกับสังคมทั้ง 2 ฝ่าย คล้ายๆ กับการแบ่งวรรณะในอินเดีย
โครงสร้างของประชากรในสหรัฐอเมริกา เปลี่ยนไปจาก 50 ปีก่อนเป็นอันมาก เพราะคนผิวสีที่ยากจนนิยมมีลูกมาก คนเอเชีย คนเชื้อสายสเปน อิตาลี โปรตุเกส จากประเทศละตินอเมริกาที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก นิยมมีลูกมาก ชาวยุโรปที่มีเชื้อสายอังกฤษ เยอรมัน สแกนดิเนเวีย ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ นิยมมีลูกน้อย จึงมีสัดส่วนในโครงสร้างประชากรน้อยลง
การที่โครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปเช่นนี้ ทำให้ความรู้สึกอึดอัดในใจของชาวผิวขาวจากยุโรปตะวันตกมีมากขึ้น การตั้งอัตราภาษีที่ดินที่สูงโดยรัฐบาลท้องถิ่น ทำให้คนชั้นสูงผิวขาวกับคนผิวสี หรือคนจากอเมริกาใต้และเอเชีย ต้องแยกกันอยู่ เพราะคนระดับล่างไม่สามารถเสียภาษีในอัตราที่สูงได้
สถานศึกษาที่ดีๆ ก็จะเป็นสถานศึกษาของเอกชนที่ค่าเล่าเรียนแพงสำหรับคนนอกพื้นที่ เพราะได้รับการอุดหนุนจากภาษีที่ดิน ทำให้การศึกษาของบุตรหลานของคนรวยดีกว่าบุตรหลานของคนจน บุตรหลานของคนรวยมีโอกาสศึกษาในมหาวิทยาลัยชั้นนำได้มากกว่า กลายเป็นวัฏจักรของชนชั้นในสหรัฐอเมริกา
เมื่อจะมีการเลือกตั้ง พรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคของคนผิวขาวชั้นสูง ที่มีความคิดอนุรักษนิยม ที่มีความอึดอัดอัดอั้นอยู่ในใจต้องการแสดงออกถึงความไม่พอใจสังคมของตน จึงมักจะเลือกคนที่เสนอนโยบายสุดโต่งให้เป็นตัวแทนของตน เข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สร้างความฮือฮา เป็นสีสันให้กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นระยะๆ เสมอมา
โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช่คนแรกที่เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันที่เสนอนโยบายขวาสุดโต่ง นายแบรี่ โกลด์วอเตอร์ เคยเสนอนโยบายขวาสุดโต่ง ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรค นายโกลด์วอเตอร์ เสนอนโยบายที่จะทำสงครามปรมาณูกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ถ้าหากตนได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยมีนายรีแกน ดาราภาพยนตร์คาวบอยของฮอลลีวู้ดเป็นผู้สนับสนุน ต่อมานายรีแกนได้รับเลือกเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ลงสมัครและชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ก็มีนโยบายแข็งกร้าวกับคอมมิวนิสต์ ประกาศทำสงครามอวกาศกับสหภาพโซเวียต จนเศรษฐกิจโซเวียตพังทลาย เศรษฐกิจโลกก็พลอยพังไปด้วย เป็นผลให้เกิดการล่มสลายของค่ายคอมมิวนิสต์ แม้โกลด์วอเตอร์จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ความรู้สึกนึกคิดของคนอเมริกันแบบโกลด์วอเตอร์ก็ดำรงอยู่และมีอิทธิพลต่อประธานาธิบดีคนต่อมา
การที่สมาชิกพรรครีพับลิกันเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวแทนพรรค ก็แสดงว่าคนผิวขาวชั้นสูงอเมริกันอึดอัดมากกับคนอพยพหนีเข้าเมือง ที่มีอยู่ในอเมริกาขณะนี้ถึง 11 ล้านคน เขาประกาศว่าจะสร้างกำแพงกั้นระหว่างอเมริกากับเม็กซิโก เขาอึดอัดมากกับชาวมุสลิมหัวรุนแรงที่คิดว่าเป็นผู้ก่อการร้ายที่นั่นที่นี่ อึดอัดมากกับจำนวนคน
ผิวสีที่มีสัดส่วนมากขึ้นเพราะไม่คุมกำเนิด เรียกร้องความเท่าเทียมกันเมื่อตำรวจผิวขาวยิงเด็กผิวดำเสียชีวิต อึดอัดมากกับนโยบายสวัสดิการทางการแพทย์และอื่นๆ เพราะเท่ากับเอาเงินภาษีซึ่งคนขาวจ่ายมากกว่าไปอุดหนุนคนจน ที่เป็นคนผิวอื่นที่ไม่ใช่คนผิวขาว
แม้ว่าโครงสร้างบนของสังคมอเมริกันจะถูกคุมไว้ด้วยปรัชญา จารีตประเพณี กฎหมาย ความรู้สึกนึกคิด ที่เป็น “อารยะ” และเป็นตัวอย่างให้กับสังคมในประเทศอื่น แต่อีกด้านหนึ่งกลับเป็นสังคมที่น่ากลัว และมีความกดดันสูงสำหรับคนชั้นล่าง
วาทกรรมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นการสะท้อนออกของจิตสำนึกของคนชั้นกลางและคนชั้นกลางค่อนข้างสูงของคนอเมริกัน ที่ถูกกดดันไม่ให้แสดงออกโดยโครงสร้างส่วนบน โดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะไม่เป็นประธานาธิบดี แต่ก็ได้ทิ้งขยะและยาพิษไว้ให้อเมริกา โดยคนอเมริกันไม่รู้ตัว
หนักใจแทนชาวอเมริกัน

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ ชี้ ‘ทรัมป์’ ชนะเลือกตั้ง Set zero ข้อตกลง TPP

โดนัลด์ ทรัมป์  ไม่เอา TPP ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู ชี้เป็นผลดีกับไทย เหมือน  Set zero แต่เวียดนามรับแจ๊กพ็อตไปแล้ว เงินทุนไหลเข้ามหาศาล แนะไทยต้องมีมัดเด็ดดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ
tdrisaova
ดร.เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)  ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา ภายหลังทราบผลการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ที่มีผลต่อประเทศไทยชัดเจนที่สุด คือ ทรัมป์ประกาศตั้งแต่เริ่มหาเสียงแล้วว่า  ไม่เอาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ภาคพื้นแปซิฟิก (TPP)  นั้นเป็นผลดีกับไทย 
“เหมือนกับ  Set zero ล้างไพ่ใหม่ TPP  และจากที่เราคิดว่า เวียดนามได้ประโยชน์จากการเข้าร่วม TPP ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม แม้ TPP ไม่ได้เป็นนโยบายของผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ แต่เงินทุนที่ไหลเข้าเวียดนาม ก็ไหลเข้าไปแล้ว มีตัวเลข 8 เดือนแรก เงินทุนไหลเข้าไปกว่า 14.4 พันล้านสหรัฐ จะเห็นว่า ทีพีพีจะไม่เกิดแต่เวียดนามก็แจ๊กพ็อตไปแล้ว” 
ดร.เสาวรัจ กล่าวอีกว่า ส่วนประเทศไทย  หากไม่ได้มีอะไรมาตื่นเต้น หรือกระตุ้นการลงทุนในประเทศ และหากรัฐบาลไม่ได้มีมาตรการที่เป็นมัดเด็ดจริงๆ เชื่อว่า ก็จะไม่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า ซึงต่างจากเวียดนามที่มีนโยบายชัดเจนเปิดเสรี ขณะที่ไทยมีการส่งออกมาก แต่นโยบายกับการค้าเรากลับไม่ชัดเจน เช่น FTA อียู เราเจรจามานานแล้ว ก็ไม่มีอะไร หรือแม้แต่เรื่อง TPP เราก็รีๆ รอๆ สุดท้ายก็ถือว่าเราโชคดีที่ TPP ไม่เกิด" 
ดร.เสาวรัจ กล่าวถึงนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้เน้นการเปิดเสรีการค้า ส่วนหนึ่งเป็นกระแสที่น่าสนใจ ตั้งแต่ผลการทำประชาติมติครั้งประวัติศาสตร์ของอังกฤษ  กรณี Brexit มีการมองกันว่า โลกาภิวัฒน์  (Globalization)ทำให้คนตกงาน หางานทำยาก ขณะเดียวกันคนที่เลือกทรัมป์ ส่วนใหญ่อายุมาก สะท้อนถึงกระแสอารมณ์ต่อต้าน โลกาภิวัฒน์   หรือไม่ เพราะทรัมป์พูดถึงคนตกงาน คนอพยพเข้าไปในสหรัฐฯมาก ก็ไปโดนคนกลุ่มนี้ ซึ่งโพลก็ออกมาระบุว่า คนที่สนับสนุนเลือกทรัมป์นั้นส่วนใหญ่อายุมาก ส่วนคนเลือกนางฮิลลาลี คลินตัน เป็นคนอายุน้อย 
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เคยนำเสนอบทความ ถ้า ‘ทรัมป์’ ชนะเลือกตั้งสหรัฐ ตอนหนึ่งโดยวิเคราะห์ถึง นโยบายการค้าระหว่างประเทศน่าจะเป็น ประเด็นที่มีผลต่อไทยชัดเจน คือเรื่องความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ดังนั้นหากทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ข้อตกลงนี้น่าจะไม่ถูกให้สัตยาบัน และมีโอกาสที่สหรัฐ อาจไม่เจรจาข้อตกลงการค้าอื่นๆ ในอนาคต ไทยจึงอาจต้องพึ่งพาจีนในเรื่องการค้ามากขึ้น เช่น อาศัยข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่กำลังมีการเจรจากันอยู่ เป็นต้น