PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พรรคทหาร ตกเขียว “ก๊วนเนวิน” ปั่นราคาหุ้นการเมือง-กระจายความเสี่ยง

พรรคทหาร ตกเขียว “ก๊วนเนวิน” ปั่นราคาหุ้นการเมือง-กระจายความเสี่ยง

รายงานพิเศษ
7-8 พฤษภาคม 2561 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี-หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะประชุม ครม.นอกสถานที่ (สัญจร) จังหวัดสุรินทร์-บุรีรัมย์ พื้นที่ที่เป็นดินแดนของตระกูลชิดชอบ-ชาญวีรกูล ของนายเนวิน-อนุทิน แห่งพรรคภูมิใจไทย (ภท.)
การขยับของ พล.อ.ประยุทธ์-ครม.ทหาร ที่มี “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ดีลเมกเกอร์ เป็นสัญญาณปิดดีลสุดท้ายทางการเมือง
สัญจรบุรีรัมย์ปิดดีล 25 ที่นั่ง
หากการเยือนสุรินทร์-บุรีรัมย์ ถิ่นของเนวิน-อนุทิน เป็นไปตามเป้าหมาย พล.อ.ประยุทธ์ จะสามารถ “ควบรวม” ผู้ลงสมัคร ส.ส. ภท. ในสังกัดเมื่อครั้งการเลือกตั้งปี”54 ในนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ กว่า 35 ชีวิต
อ้างอิงจากผลการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี”54 ภท.ได้เก้าอี้ ส.ส.กว่า 34 ที่นั่ง แต่หากหักลบ “กลุ่มมัชฌิมา” ที่แยกตัวออกไปจาก ภท.ไปอยู่พรรคเพื่อไทย (พท.) 11 ชีวิต ซึ่งมี “ดีกรี” เป็นอดีต ส.ส.เมื่อปี”54 จำนวน 9 คน
หาก พล.อ.ประยุทธ์ “ปิดดีล” สำเร็จ จะทำให้ “พรรค คสช.” เพิ่มเสียงสนับสนุนให้เป็นนายกฯ คนใน-คนนอก ได้ถึง 25 ที่นั่งเลยทีเดียว
ปิดดีลพลังชล 7 ที่นั่ง
หากเราย้อนกลับไปจับสัญญาณภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์-คณะเคลื่อนพลลงพื้นที่ต่างจังหวัดเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งแบบไม่เป็นทางการและเป็นทางการ
ประกอบกับสัญญาณตอบกลับที่ส่งมาอย่างเป็นรูปธรรม คือ การรับตำแหน่งข้าราชการการเมืองของหัวหน้าพรรค-แกนนำกลุ่ม-มุ้งต่าง ๆ
การแต่งตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล (พช.) เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
นับได้ว่า “เมกะดีล” ทางการเมืองในครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จเป็นโดมิโน
พลังของ พช. ของ “สนธยา” หากวัดจากการเลือกตั้งปี”54 ส่งผู้สมัคร ส.ส. 11 ที่นั่ง ได้แก่ ชลบุรี ปราจีนบุรี และแม่ฮ่องสอน บทสรุปในครั้งสนามการเลือกตั้งครั้งนี้ พช.ได้ ส.ส.เขต 6 ที่นั่งและบัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง รวม 7 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม พช.ที่มีฐานเสียงในชลบุรีก็ยังมี “จุดอ่อน” คือ ชลบุรี เขต 4 ได้คะแนนลำดับที่ 3 ยังเป็นรองพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)-เพื่อไทย (พท.) ทิ้งห่างหลักหมื่นคะแนน ขณะที่จันทบุรี เขต 1 อยู่ลำดับ “บ๊วย” ต่อจาก ปชป.-พท.-ชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)
ขณะที่ปราจีนบุรี เขต 3 ของนายสุรัตน์ ก็พ่ายแพ้ให้กับ ภท.-ปชป. รวมถึงแม่ฮ่องสอน เขต 1 ก็พ่ายแพ้ให้กับ ปชป.-พท.
ชพ.รอเสียบ 7 ที่นั่ง
จังหวัดแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์และคณะเคลื่อนทัพลงไปตีเมืองแรก คือ จังหวัดนครราชสีมา ในการประชุม ครม.สัญจร เมื่อวันที่ 21-22 สิงหาคม 2560 อาจเพราะเป็น “บ้านเกิด” ของพล.อ.ประยุทธ์ หรือเป็นฐานเสียงของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้มีบารมีของพรรคชาติพัฒนา (ชพ.) ที่เข้าได้ทุกขั้ว-
อ่านเกมแล้วว่า พรรคทหารกลับมาอีกแน่นอน
การเลือกตั้งเมื่อปี”54 ชพ. หรือชื่อเดิม “พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน” ได้เก้าอี้ ส.ส. 7 ที่นั่ง แบ่งออกเป็น แบบบัญชีรายชื่อ 2 ที่นั่ง แบบเขต 5 ที่นั่ง จาก 15 ที่นั่ง ได้แก่ 1.นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล 2.นายวัชรพล โตมรศักดิ์ 3.นายประเสริฐ บุญชัยสุข 4.นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ 5.นายพลพีร์ สุวรรณฉวี
ชทพ.ต้านไม่อยู่
ต่อจากนั้นวันที่ 18-19 กันยายน 2560 เป็นคิวของ ชทพ. ของ “วราวุธ ศิลปอาชา” ทายาททางการเมืองของ “บรรหาร ศิลปอาชา” อดีตหัวหน้าพรรค
ต้องเผชิญกับบทพิสูจน์กระดูกทาง
การเมืองว่าจะแข็ง-เหมาะกับการต้องรับมรดกทางการเมืองของนายบรรหาร-ผู้ล่วงลับไปหรือไม่
การเลือกตั้งเมื่อปี”54 พรรคชาติไทย ที่ยังมีนายบรรหาร “ถือธง” นำเลือกตั้ง สามารถกวาดเก้าอี้ ส.ส.แบบแบ่งเขต ใน 3 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี อ่างทองและพระนครศรีอยุธยา ได้ถึง 7 ที่นั่ง ได้แก่ สุพรรณบุรี คือ 1.นายสรชัด สุจิตต์ 2.นายชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ 3.นายนพดล มาตรศรี 4.นางสาวพัชรี โพธสุธน อ่างทอง คือ 1.นายภราดร ปริศนานันทกุล
2.นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล และพระนครศรีอยุธยา คือ 1.นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร
เมื่อรวมเบ็ดเสร็จแล้ว ทั้งจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ-แบ่งเขต มีอยู่ 19 ที่นั่ง
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เลือกที่จะเหยียบถิ่นมังกร-สุพรรณบุรี เมืองราชธานี กินแดนไปถึงอยุธยา-อ่างทอง จึงไม่กลับมามือเปล่าแน่นอน
มัชฌิมาไปแน่
ต่อมาวันที่ 25-26 ธันวาคม 2560 ในการประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดสุโขทัย ของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำ “ก๊วนมัชฌิมา” มีอดีต ส.ส.อยู่ในมือกว่า 10 ที่นั่ง ภายใต้สังกัด ภท. ก่อนออกไป “ซบอก” พรรคเพื่อไทย ในพื้นที่สุโขทัย-ชัยนาท-ราชบุรี ได้แก่ 1.นางพรทิวา นาคาศัย 2.นางนันทนา สงฆ์ประชา
3.นายมานิต นพอมรบดี 4.นางบุญยิ่ง และ 5.นายสรรค์ชัย นิติกาญจนา 6.นางสาวชะวรลัทธิ์ ชินธรรมมิตร 7.นายบุญดำรง ประเสริฐโสภา 8.นายประศาสตร์ ทองปากน้ำ 9.นายเกียรติศักดิ์ ต้นประสงค์
10.นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล และ 11.นายมนู พุกประเสริฐ
ถึงแม้ว่า “สมศักดิ์” จะเลื่องชื่อในจังหวัดสุโขทัย แต่ก็ยังมีบางเขตที่ “เป็นรอง” ปชป. เช่น สุโขทัย เขต 1 เขต 2
สะสมทรัพย์ปิดจ็อบ
นอกจากการลงพื้นที่ในที่แจ้งแล้ว พล.อ.ประยุทธ์และทีมงานเบื้องหลัง ยังเปิดเกม-ปิดดีลหลังฉาก อย่างลับ ๆ
ตามอีเวนต์ออกรอบตีกอล์ฟ-ก๊วน “ตระกูลสะสมทรัพย์” จังหวัดนครปฐม มี 5 เขตเลือกตั้ง ตระกูลสะสมทรัพย์และ ส.ส.ในสังกัด ภายใต้เสื้อคลุม พท. ประกอบด้วย 1.นายอนุชา และ 2.นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์
3.นายฐานุพงศ์ รังสิไตรพงศ์ 4.นายรัฐกร เจนกิจณรงค์ และ 5.นายก่อเกียรติ สิริยะเสถียร ตระกูลสะสมทรัพย์ ถึงแม้ 4 พี่น้อง เผดิมชัย-ไชยยศ-ไชยา-อนุชา สะสมทรัพย์ จะเป็นผู้กว้างขวางในจังหวัดนครปฐม แต่เขตการเลือกตั้งบางเขตก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับ ชทพ.-ปชป. เช่น เขต 1
บ้านริมน้ำเกลอเก่า
ขณะเดียวกัน กลุ่มบ้านริมน้ำของ “สุชาติ ตันเจริญ” ชัดเจนว่า อาจมาร่วมงานกับ “เกลอเก่า” อย่าง “สมคิด” ภายหลังข่าวแพร่สะพัดว่านายสมคิดจะเดินทางไปร่วมกินข้าว-เคล้ากับแกล้มการเมืองที่บ้านริมน้ำย่านนนทบุรี
ขณะที่อดีต ส.ส.ที่เดินทางไปร่วมวงกินข้าวในวันนั้น อาทิ นายรณฤทธิชัย คานเขต อดีต ส.ส.ยโสธร นายภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.นครราชสีมา นายสรชาติ สุวรรณพรหม อดีต ส.ส.หนองบัวลำภู นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ อดีต ส.ส.ขอนแก่น
การเลือกตั้งปี”54 ที่ผ่านมา “ตระกูลตันเจริญ” เข้าเส้นชัยสนามฉะเชิงเทรา ทั้ง นายพิเชษฐ์ ตันเจริญ-พี่ชาย อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 3 และนายณัชพล ตันเจริญ-หลาน อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 2 ในนาม ภท.
จังหวัดฉะเชิงเทรา ถือเป็น 1 ใน 3 จังหวัด ตามนโยบายระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาล คสช.โดยนายสมคิด หัวหน้าทีมเศรษฐกิจกำลังปลุกปั้น นี่อาจเป็นเหตุผลให้สมคิด-สุชาติ แสวงหาจุดร่วมได้ลงตัว
สุเทพ-กปปส.หนุนสุดตัว
ขณะที่คนที่ออกตัว-แสดงตนชัดเจนแล้วว่า จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ คนที่ 30 อย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตหัวหน้า กปปส. ที่เตรียมส่ง “เชน-ธานี” ผู้น้อง อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี เป็นตัวชูโรงรวบคะแนนเสียงชาวปักษ์ใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี-สาวก กปปส. เพื่อปฏิบัติภารกิจภาคต่ออีกครั้ง

แค่จังหวะเขย่าเบาๆ

แค่จังหวะเขย่าเบาๆ



ว่ากันตรงๆ เอากันจริงๆ ณ วันนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจนสักอย่าง
แค่ “จอมยุทธ์กวง” นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ประกาศสนับสนุนให้ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช.ตีตั๋วเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อ เพราะทำให้บ้านเมืองสงบเอื้อต่อการพัฒนา
ไม่ได้พูดชัดด้วยซ้ำว่าจะตั้งพรรคการเมืองมาเสนอชื่อชิงนายกรัฐมนตรี
ขณะที่เจ้าตัว “นายกฯลุงตู่” เองก็ยังตีกรรเชียง ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ เรื่องการลงสนามกับพรรคการเมือง เบิ้ลเก้าอี้ผู้นำช่วงเปลี่ยนผ่านอีกรอบ
ให้รอคำตอบจะชัดเจนในเดือนมิถุนายน ดีเดย์ประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง
ตามปรากฏการณ์ นี่แค่จังหวะ “เขย่า” เบาๆด้วยข่าวลอยๆ
แต่แรงกระเพื่อมเล่นเอาป้อมค่ายเก่า ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย “นอตหลวม” ไปตามๆกัน
ขาสั่น หวั่นไหว ผวาอาการ “เลือดไหล” จนนั่งไม่ติด
เดาอาการของ “นายใหญ่” อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่อาศัยเหลี่ยมเดินหมากผ่าน “นอมินี” ตัวจริงเสียงจริงอย่าง
“เสี่ยโอ๊ค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวโปรด ล่าสุดโพสต์รูปพ่อกับ “อาปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือถ้วยกาแฟรูปหน้าตัวเอง
อำกันเรื่องดูด เบิ้ลกระแสบลัฟพรรคทหาร คสช.
ล้อกับจังหวะที่ “หัวเขียง” นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย หัวขบวน “นิรโทษกรรมสุดซอย”
ออกมาตีกลองร้องป่าวเกมดูด ส.ส.อีสาน ด้วยการใช้คดีกดดัน และข่มขู่เรื่องธุรกิจ
จับอารมณ์วิตกจริต สะท้อน “แต้มต่อ” กระแส “ทักษิณ” ที่ว่าตีกินได้ ก็ไม่ชัวร์เสมอไป
ยังมีปัจจัยตัวแปรที่จะทำให้สถานการณ์พลิกผันได้
ที่แน่ๆตามข่าวแว่วๆกลุ่มการเมืองใหญ่ๆยังไม่ยืนยันสมาชิกกับพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แค่ทีมบ้านใหญ่นครปฐม ทีมวังน้ำยมจังหวัดสุโขทัยเท่านั้น
ยังมีอีกหลายจังหวัดที่กั๊กจนเลยวันสุดท้าย 30 เมษายนแล้ว
และตามแนวโน้มจับทางมวยหลักของพรรคเพื่อไทยอย่าง “เดอะอ๋อย” นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กระโดดออกมายุ ปลุกกระแสนักประชาธิปไตยให้ต่อต้าน “ลุงตู่” ทุกวิถีทาง
ปล่อยไม้ตายขวางลำ พล.อ.ประยุทธ์ หงายไพ่ทั้งสำรับเล่นหมดตั้งแต่หัววัน
นั่นหมายถึงทีมงาน “ทักษิณ” ก็ไม่น่ามีทีเด็ดอะไรมากไปกว่านี้ในการบี้กับทีม “ลุงตู่” ไอ้ที่ว่าขุมพลังแน่นปึ้ก กระแสดี แค่รัฐบาลเคาะกะลา เขย่าเกมเลือกตั้ง ก็เห็นไต๋หมดเลย
เพื่อไทย “นอตหลวม” แต่ที่หนักกว่าคือประชาธิปัตย์ที่ส่อเค้า “นอตหลุด”
ตามปรากฏการณ์ที่สะท้อนผ่านอาการเฮี้ยวๆของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ที่เปิดฉากถล่ม ปล่อยหมัดซัด “นายกฯลุงตู่” แบบไม่ยั้งไมตรี
อารมณ์แบบที่เกรี้ยวกราด ไล่คนหนุน พล.อ.ประยุทธ์ ไสหัวออกจากพรรคไป ตั้งแต่วันแรกที่ คสช.เปิดไฟเขียวให้พรรคเก่าขยับเช็กฐานสมาชิก ตรวจขุมกำลังคนเข้าคนออก
อาการตีรวนยังติดพันต่อเนื่องมาถึงรายการรุมโห่ฮา ตีปี๊บกระแสดูด ปูดวาทกรรม “ตกเขียว” พรรคทหาร ไปยันรายการแฉ “คนโต” ในรัฐบาลใช้อำนาจบีบกลุ่มทุนไม่ให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์
เตะตัดขา เจาะยาง กะเอา “ลุงตู่” ให้ล้มหัวคะมำ
“อภิสิทธิ์” คุมคิวเล่นบทบู๊ล้างผลาญเอง โดยไม่ใช้ “สตันต์แมน” แสดงถึงความเอาจริงเอาจัง
นั่นก็ทำให้แผนการเดิมที่เปิดดีลจับขั้วกันไว้ ล่มทันที
สถานการณ์แบบที่แว่วๆวงในรัฐบาลพูดกัน ถ้า “อภิสิทธิ์” เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ นิ่งกว่านี้ ทีมหนุน “นายกฯลุงตู่” ก็ไม่ต้องเหนื่อยในการเดินเกมตั้งป้อมค่ายเอง
ที่ไม่เสี่ยงยืมจมูกคนอื่นหายใจ เพราะไม่ไว้ใจประชาธิปัตย์ภายใต้การคุมของ “อภิสิทธิ์”
ตามรูปการณ์มาถึงตรงนี้ เท่ากับปิดประตู อย่าว่าแต่รีเทิร์นเก้าอี้นายกฯ แม้ตำแหน่งประธานสภาฯที่ “เดอะมาร์ค” แอบหวังไว้ลึกๆก็ยาก เพราะต้องเป็นโควตาของพรรคที่ “นายกฯลุงตู่” สังกัด
อะไรไม่เท่ากับว่า ตามเงื่อนไขสถานการณ์มันลามมากระตุกอาการอึดอัด บรรยากาศอึมครึมภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ต้องการพลาดเกาะรถไฟขบวนต่อไปของ พล.อ.ประยุทธ์
ถึงจุดที่พวกกบฏพร้อมเดินเกมใต้ดินโค่นหัวหน้าพรรค ทันทีคสช.ไฟเขียวให้จัดประชุมพรรคได้
และก็เป็นอะไรที่ “อภิสิทธิ์” ก็คงรู้ตัวดี จับทางจากอารมณ์ที่ออกตัวล่วงหน้า อยากเปิดให้สมาชิกพรรคมีสิทธิโหวตเลือกหัวหน้าพรรค ไม่ใช่จำกัดแค่เวทีของกรรมการบริหาร
สะท้อนสถานการณ์ในเกมยื้อเก้าอี้แม่ทัพประชาธิปัตย์
“อภิสิทธิ์” เหลือแนวร่วมน้อยเต็มที.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน

"ไอติม" วิจารณ์ "พลังดูด" ก่อนกลายเป็น "พลทหาร"

"ไอติม" วิจารณ์ "พลังดูด" ก่อนกลายเป็น "พลทหาร"
หนุน ย้ายพรรคตามอุดมการณ์ไม่ใช่ย้ายเพราะผลประโยชน์ยันไม่ยอมให้ใครดูด เพราะมีอุดมการณ์ชัดเจน/ คาดหวัง"พรรคประชาธิปัตย์"ปรับตัว เป็นยุคใหม่ได้
นาย พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ"ไอติม"หลานชายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป. ที่ถูกคาดหมายว่า จะเป็นนักการเมืองคนรุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ มารายงานตัวเพื่อเป็น พลทหาร ที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11)
โดยให้สัมภาษณ์ ก่อนแปรสถานภาพเป็นทหาร
โดยกล่าวถึงกรณีการยืนยันเป็นสมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ปรับตัว เป็นยุคใหม่ได้ ผมก็สมัครเป็นสมาชิกพรรค และขณะนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าสู่ยุคใหม่ไม่ได้ ซึ่งเป็นยุคใหม่ที่ชัดเจนขึ้นในระบอบประชาธิปไตย และสมาชิกพรรคสามารถกำหนดทิศทางพรรคได้มากขึ้น เช่น การเลือกหัวหน้าพรรคได้โดยตรง สามารถคิดนอกกรอบได้ และกำหนดนโยบายตอบโจทย์สังคม
แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะไปเป็นสมาชิกพรรค ตนก็ต้องทำหน้าที่รับใช้ชาติตามกฎหมายก่อน อีกทั้งต้องรอดูว่าจะมีการปลดล็อคให้พรรคการเมืองเมื่อไหร่ด้วย
เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับเรื่องพลังดูดนักการเมือง ของ คสช.นายพริษฐ์ กล่าวว่า
ผมกำลังจะมาเป็นทหาร แล้วให้ผมวิจารณ์ทหารเนี่ยนะ
"ผมมองว่ามี 2 เงื่อนไขที่ ส.ส.ย้ายพรรค คือ 1.ย้ายตามอุดมการณ์พรรคการเมือง ไม่ใช่ย้ายเพราะผลประโยชน์
2.เชื่อว่าการแข่งขันในระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี การที่อยากให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแรง ก็ควรให้มีการแข่งขันกันหลายพรรคการเมือง ซึ่งการแข่งขันในแง่ตัวผู้สมัครก็สำคัญ แต่ก็ควรอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันที่ยุติธรรม
เมื่อถามว่า จะมีโอกาสที่ถูกดูดหรือไม่ในฐานะที่เป็นคนเก่ง นายพริษฐ์ กล่าวว่า คิดว่าไม่โดนดูด เพราะผมก็มีอุดมการณ์ที่ชัดเจนมาก เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเริ่มต้นที่อุดมการณ์ของตัวเอง ต้องดูว่า พรรคการเมืองใดที่ตอบโจทย์ของผม

ไม่สน กระแส ยกเลิกเกณฑ์ทหาร!!

ไม่สน กระแส ยกเลิกเกณฑ์ทหาร!!
ไม่เกี่ยว ล้างภาพ"น้ามาร์ค"!
"ไอติม" ยัน สมัครเป็น"พลทหาร" ทำหน้าที่ตามกฎหมาย. ยัน ไม่ใช่ ลบภาพพจน์"น้ามาร์ค" หนีทหาร แต่ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขจุดบกพร่องอะไร ยัน ถ้าผมไม่ได้เป็นหลาน"อภิสิทธิ์" ก็มาเกณฑ์ทหารเหมือนกัน / ยัน ไม่ควรมีการใช้ความรุนแรง กับทหารเกณฑ์ หวังไม่มี ทำเกินอำนาจนอกกฎหมาย

นาย พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ ไอติม หลานชาย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางด้วยรถบรรทุกทหาร หลังรายงานตัวกับสัสดี เขตสวนหลวง แล้วเดินมายัง มทบ.11
นาย พริษฐ์ ยอมรับว่ารู้สึกอ่อนเพลีย เพราะเมื่อคืนนอนน้อย เนื่องจากต้องเคลียร์งานทุกอย่าง เพื่อมาทำหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเวลา 6 เดือน ทั้งงานด้านรายการโทรทัศน์ และงานด้านการเมือง
ทั้งนี้ได้เตรียมใจมานานแล้ว เพราะวางแผนมาก่อน
นายพริษฐ์ กล่าวว่า. ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ตนมีงานจำนวนมาก มีเวลาพักผ่อนวันละ 3-4 ชั่วโมง จึงทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพ่อแม่มาส่งที่เขตสวนหลวง และบอกว่าอะไรที่เตรียมไปได้ก็ให้นำไปด้วย ซึ่ง ตนก็เป็นหนึ่งในแสนคนที่มาเป็นทหารใหม่ พ่อแม่ทุกคนก็มีความเป็นห่วงลูกเป็นเรื่องธรรมดา
ส่วนกับนายอภิสิทธิ์ ก็มีการพูดคุยกันเรื่องการเมืองโดยมีการประชุมร่วมกันครั้งสุดท้าย เมื่อ 3 วันที่ผ่านมา ก่อนที่ตนจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นทหารใหม่ในเรื่องของนโยบายและทิศทางของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วง 6 เดือนที่ตนจะหายไป รวมถึงทีมคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาร่วมงานด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรกับข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารและเรียกร้องให้ใช้การรับสมัครแทน นายพริษฐ์ กล่าวว่า การที่ผมสมัครเป็นทหารไม่ได้คิดว่าในอนาคตควรหรือไม่ควร กับการมีระบบเกณฑ์ทหาร
"แต่ผมทำหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะผมไม่ได้เรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร เนื่องจากศึกษาอยู่ต่างประเทศ
เมื่อถึงเวลาก็ไม่ได้จับใบดำใบแดง แต่ใช้วิธีการสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการเลย เพราะรู้สึกว่าผมได้เลือกช่องทางที่โปร่งใสและชัดเจนที่สุด
เมื่อมาเกณฑ์ทหารแล้วคิดว่าน่าจะได้สัมผัสมุมมองตรงนี้มากขึ้นว่าควรหรือไม่ควรที่จะมีระบบการเกณฑ์ทหารในอนาคต
เมื่อถามว่า หวังอะไรกับการเป็นทหารเกณฑ์ 6 เดือน นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนหวังไว้หลายอย่าง ซึ่งอย่างแรกคือหวังว่าจะได้มีโอกาสรับใช้ชาติ โดยการนำศักยภาพที่ตนมีมาทำประโยชน์เพื่อกองทัพและประเทศอย่างแท้จริง เพราะหลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเมื่อเรามาเป็นทหารเกณฑ์แล้วเรามาทำอะไร
รวมถึงตนเรียนและทำงานที่ต่างประเทศมาหลายปี เป็นโอกาสดีที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนไทยที่มาจากหลายพื้นที่หลายจังหวัด คิดว่าจะทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น
นายพริษฐ์ กล่าวว่าหลังจากนี้อีก 6 เดือนตนจะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง
อย่างไรก็ตามตามหลักการการเกณฑ์ทหารไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม ไม่ควรมีการใช้ความรุนแรง และหวังว่าคนที่ทำเกินอำนาจนอกกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
"ผมไปตัดผมมาก่อนล่วงหน้า ที่จะเดินทางมารายงานตัว โดยบอกช่างตัดผมว่าจะตัดอย่างไรก็ได้ ที่ผมไปเป็นทหารเกณฑ์ได้"
เมื่อถูกถามว่า มีการมองว่ามาเป็นทหารเพื่อแก้ข้อผิดพลาดในอดีตของน้า (นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ)นั้น นายพริษฐ์ กล่าวว่า ตนทำหน้าที่ตามกฎหมาย และเป็นหนึ่งในแสนคนที่เป็นทหารเกณฑ์ คิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการแก้ไขจุดบกพร่องอะไร ถ้าตนไม่ได้เป็นหลาน นายอภิสิทธิ์ ก็คงมาเกณฑ์ทหารเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย

อยากได้ทั้งใหม่-เก่า

อยากได้ "นักการเมืองใหม่" และ"นักการเมืองเดิมที่ดีๆ"

"บิ๊กตู่" ซัด นักการเมือง หนุนหลัง"กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ยัน ไม่เลื่อนเลือกตั้ง ปีหน้าแน่ ย้ำ ผมไม่เคยคิดจะเลื่อนเลย ชี้ บ้านเมืองต้องการความสงบ/ หนุนเลือกตั้ง ให้ได้ "นักการเมืองใหม่" และ"นักการเมืองเดิมที่ดีๆ"

พลเอกประยุทธ์ ชี้ "กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง"นัดชุมนุม 4ปีการรัฐประหาร คสช.เผยบอกแล้วว่า จะเลือกตั้งต้นปีหน้านี้แน่นอน แต่ยังจะเคลื่อนไหวอีก ก็ขอให้ไปดูกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวว่าเป็นคนเดิม หรือ คนใหม่ มีการสนับสนุนจากใคร สอดคล้องกับสิ่งที่นักการเมือง พรรคการเมืองออกมาพูดตรงไหน ก็กลุ่มนั้นแหละที่สนับสนุนออกมา

"ขอให้ประชาชนใช้การเรียนรู้ในอดีตที่ผ่านมา เข้ามาช่วยรัฐบาลในการแก้ปัญหา และกฎหมายก็มีทุกตัว เมื่อบานปลาย ออกไปต้องบังคับใช้กฎหมาย และกลายเป็นรัฐบาลไปละเมิดสิทธิมนุษยชน  แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ชุมนุมก็ไปละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น
 
วันนี้บ้านเมืองต้องการความสงบ เพื่อจะได้ทำมาหากินได้ การท่องเที่ยวไปได้ ชุมนุมไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะรัฐบาลนี้เอาทุกประเด็นมาทำอยู่แล้ว 

"การเลือกตั้งเป็นกระบวนการประชาธิปไตย ต้องไปคิดดูว่าการเลือตั้งครั้งหน้าทำอย่างไร ที่จะให้เป็นการเลือกตั้งที่มีธรรมาภิบาลนั่นต่างหาก

สังคมไทยต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีการเลือกตั้ง และหลักการที่จะเอาคนไปเป็นสส. มันต้องเปลี่ยนวิธีการหมด ผมบังคับใครได้ล่ะ ก็ขึ้นกับประชาชนทั้งระดับบน ระดับกลาง และรายได้น้อย ทั้งหมดต้องออกมาช่วยกันเลือกตั้ง เพื่อให้ได้นักการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ได้ และมีนักการเมืองเดิมที่ดีๆให้ได้ ผมยังไม่ไปก้าวล่วงในเรื่องนี้เลย 

“ขอเถอะบ้านเมืองกำลังไปได้ดี ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
และเราก็พูดไปแล้ว ประกาศไปแล้วว่าเราจะเลือกตั้งในต้นปี 62 ก็ไม่เห็นมีประเทศใดเขาทักท้วง เขาก็พอใจและขอให้เราเดินไปตามนั้น 

ไม่ต้องมาเป็นห่วงว่ารัฐบาล จะเลื่อนเลือกตั้ง ผมไม่เคยคิดจะเลื่อนเลย และมาหาว่าผมทำให้กฎหมายมายืดเยื้ออีก แหม!!ผมจะไปทำอะไรขนาดนั้น”

สิ่งที่ผมเป็นกังวล วันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลทำไว้ และวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ปมไม่รู้ บางอย่างที่แก้ไขไปแล้วก็โอเค แต่จะกลับมาใหม่หรือไม่ก็ขึ้นกับรัฐบาลใหม่ อันที่2 สิ่งที่เริ่มไปแล้ว จะทำต่อเนื่องหรือไม่

 วันนี้เราทำต่อเนื่องมา4ปี มันถึงสำเร็จในบางเรื่องซึ่งใช้เวลาถึง4ปี บางเรื่องใช้เวลาปีเดียว 2ปี 3ปี บางเรื่องต้องใช้เวลาเป็น10ปี 20 ปีด้วยซ้ำ มันจะได้รับการสานต่อหรือไม่ จากฝ่ายค้านและรัฐบาลในสภา เป็นสิ่งที่ทุกคนน่าจะห่วงใยมากกว่า ขออย่ามาโจมตี ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง

เปล่าดูดเขามาเอง

ฮ๊าาาาาาา!!

"บิ๊กตู่"แจง ไม่ได้"ดูด"แต่ นักการเมือง มาเอง ติดต่อเข้าพรรคที่หนุนผมเอง ยันไม่ได้ยอมรับ ระบบ"ดูด" ค้าน การต่อรอง เก้าอี้รมต.-ผลประโยชน์ ยัน รู้ตัวดี ว่ากำลังทำอะไรอยู่ 

พลเอกประยุทธ์ แจงข้อกล่าวหา  นักวิชาการ วิจารณ์ รัฐบาลและคสช.ดูด. อดีตสส.จะเป็นการทำลายการปฎิรูปการเมือง และกลับสู่วงจรการเมืองแบบเก่า  

"ผมก็ฟังและ ผมก็รู้ว่าเราทำอะไรอยู่"

ส่วนที่ ผมพูดว่ากรณีดูดสส.เป็นมานานแล้วนั้น  ไม่ใช่ว่าผมยอมรับกติกานี้ 

"ขอให้ไปพิจารณาดูว่าที่มีข่าวสารออกมานั้น เป็นการสมัครใจของนักการเมืองเองหรือไม่ ทุกครั้งเวลาเลือกตั้ง ทุกคนจะเห็นอยู่ว่า จะมีการย้ายพรรคตรงโน้นตรงนี้ อะไรต่างๆของ สส. ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับนโยบายพรรคของ สส.ที่อยู่มาก่อน และเขาเห็นอนาคตเขาหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเขา ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวตรงนี้เลย"

ทั้งนี้ ผมได้สอบถามไปยังพรรคการเมืองที่มีข่าวว่าสนับสนุนผม   ไปว่าทำอย่างที่มีข่าวหรือเปล่า  ไปเสนอผลประโยชน์กับอดีตสส.หรือไม่ เขาก็บอกว่าไม่มีอะไร อยู่เฉยๆ ก็มีคนติดต่อมาขอพบ ขอหารือซึ่งเป็นธรรมดา ของการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในช่วงนี้ 

"ผมไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง และสิ่งสำคัญที่สุด ผมไม่เห็นด้วยเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องการแลกเปลี่ยนเรื่องความคิดเห็นทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของเขา ผมบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว และผมไม่ต้องการให้มีการใช้เงิน และเสนอผลประโยชนไว้ล่วงหน้า ผมไม่ต้องการให้มีโดยเด็ดขาด 

โดยเฉพาะการซื้อ การสัญญาให้ตำแหน่งโควต้ารัฐมนตรี ผมว่ามันไม่ค่อยถูก เป็นเรื่องของทุกคนที่จะมาทำงานร่วมกัน พัฒนาประเทศร่วมกัน ต้องไปหารือกันว่าจะทำอย่างไร ในการเป็นรัฐบาล เป็นฝ่ายค้าน"