PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

เพจเสื้อแดง ปูด คำสั่งปฏิบัติการทหารโดยการ์ดกปปส.ชุดดำไล่ล่าเสื้อแดง11ม.ค.57

สื่อมวลชน คนเสื้อแดง
--------------------------
@ ข่าวที่เชื่อถือได้ 
อยากจะให้ช่วยกันเตือน !!
ไม่รู้จะทำยังไง ??
คำสั่งปฏิบัติการจาก??????
ในการ์ด กปปส. จะมีทหารหน่วยรบ (ปี 2553) แฝงตัวจุดละประมาณ 300 นาย พร้อมอาวุธครบมือ (ติดกล้อง) แฝงตัวเป็นการ์ด แต่งชุดดำ จะออกปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. 57 เพื่อป่วนเมือง

ถ้ามีเสื้อแดงออก จะโดนยิง ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย เพราะมีทหารกลุ่มหนึ่งไม่เอาด้วย จะออกมาช่วย และจะเกิดเป็นสงครามกลางเมือง
สุดท้ายเทวดาจะเหาะจากสวรรค์เหมือนปี 2535 แช่แข็งประเทศไทย
เป้าหมายลูกกระสุน จะเป็นพวกเสื้อแดง

สอดรับกับคำของสุเทพ ที่บอกว่า ห้ามอารมณ์คนไม่ได้ อาจจะเกิดความรุ่นแรง และไม่รับรองความปลอดภัยของนักข่าว

เพื่อนผมถูกจ้างให้จัดหาอาวุธ และชุด ไปหัวหินเมื่อวาน กลับมาเล่าให้ฟัง

วันนี้แหล่งข่าวจากหัวหิน ระดับ พล.อ. โทร.มาเล่าให้ฟังพร้อมร้องไห้
ปัญหาคือ ทางรัฐบาลรู้ไหม? จะทำอย่างไร?
ผมกลัวว่า ตำรวจจะถูกเป็นเป้าสังหารด้วย (ถ้าไม่มีเสื้อแดง)
เท่าที่ดูสถานการณ์ น่าจะมีทหารในชุดการ์ด ร่วมกับพวกนักเลงหัวไม้ ป่วนเมือง ตำรวจจะเป็นเป้า กับพวกเห็นต่างกับพวกมัน
เสื้อแดงเป็นเป้าหมาย ฝากช่วยเตือน หรือส่งข่าวถึงกันด้วย

ถ้าออก อย่าเน้นสัญญลักษณ์เสื้อแดง เพราะจะเป็นเป้าหมาย เค้าต้องการให้ทหารและตำรวจในเครื่องแบบ ป้องกันตัวเอง หรือปกป้องประชาชน และเกิดการยิงกัน เช่นปี 53 ที่มีเสื้อดำยิงปืน กับทหารยิงปืน แต่เป้าหมายคือคนเสื้อแดง เพราะชุดดำวันนั้นกับชุดดำวันนี้ เหมือนกัน สุดท้ายจะยัดว่าเป็นชายชุดดำเช่นเดียวกับปี 53 โทษฝ่ายเสื้อแดงเหมือนเดิม

ในหลวงเสด็จทอดพระเนตรศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อำเภอปราณบุรี

วันพฤหัสบดี ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๒๐น. 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปทอดพระเนตรศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นการส่วนพระองค์

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินีเป็นศูนย์ศึกษาการฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนจากนากุ้งแห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองเก่า-คลองคอย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีพื้นที่ประมาณ ๗๖๘ ไร่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้ชายเลน นก และสัตว์น้ำนานาชนิด

อนึ่งพื้นที่บริเวณนี้เคยมีสภาพเสื่อมโทรมอย่างหนัก เนื่องจากเป็นเขตสัมปทานนากุ้งมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรสภาพภูมิประเทศของวนอุทยานปราณบุรี กับบริเวณใกล้เคียง และมีพระราชดำรัสแก่เจ้าหน้าที่ของวนอุทยานปราณบุรีให้ดูแลรักษาสภาพป่าชายเลนให้ดีที่สุด กรมป่าไม้จึงดำเนินการตามพระราชดำรัสดังกล่าว โดยยกเลิกสัมปทานนากุ้งและผนวกพื้นที่บริเวณนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาป่าไม้ปากน้ำปราณบุรี พร้อมจัดสรรพื้นที่ปลูกป่าชายเลนส่วนหนึ่งในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองเก่า-คลองคอย คือ แปลงปลูกป่า เอฟพีที ๒๙ และ ๒๙/๓ให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย หรือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบันซึ่งเข้าร่วม “โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ปีที่ ๕๐” ดำเนินการฟื้นฟูสภาพป่าตั้งแต่นั้นมา และเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี มาทอดพระเนตรแปลงปลูกป่า เอฟพีที ๒๙ และ ๒๙/๓ ด้วย

ในปี ๒๕๔๗ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)ได้พัฒนาพื้นที่ป่าชายเลนในความรับผิดชอบให้เป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๖ รอบ และได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า “สิรินาถราชินี” ปัจจุบันศูนย์ ฯ แห่งนี้ ร่วมกันบริหารจัดการโดยคณะกรรมการที่เป็นผู้แทนจากชุมชนในตำบลปากน้ำปราณ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง กลุ่มธุรกิจภาคการท่องเที่ยว และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

ครั้นเสด็จพระราชดำเนินถึงศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปยังศาลาท่าตะบูน ทอดพระเนตรวีดิทัศน์ความเป็นมาของศูนย์ ฯ เสร็จแล้ว ทอดพระเนตรต้นโกงกางใบใหญ่ ซึ่งทรงปลูกร่วมกับสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรแปลงปลูกป่า เอฟพีที ๒๙ และ ๒๙/๓เมื่อปี ๒๕๔๕ แล้วทรงปล่อยปลาจุมพรวด จำนวน ๑๖ ตัว กับปูทะเล จำนวน ๙ ตัว ลงสู่แหล่งน้ำป่าโกงกาง ในโอกาสนี้ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนระยะทางโดยประมาณ ๕๐๐ เมตร การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสกับนายธีรภัทร ประยูรสิทธิรองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกับนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)พร้อมทั้งมีพระราชดำรัสให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ของศูนย์ ฯ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทรงขอให้เจ้าหน้าที่ ฯ ช่วยกันดูแลรักษาป่าต้นน้ำจนถึงป่าชายเลน อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าต่าง ๆ เช่น ช้าง และให้ทำศูนย์ ฯ เป็นสถานที่เรียนรู้แก่ประชาชน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการดูแลรักษาและใช้ประโยชน์จากป่าชายเลนควบคู่กันไป สมควรแก่เวลา จึงประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล

[ภาพจากฝ่ายช่างภาพส่วนพระองค์ สำนักพระราชวัง]

รายงานจากนักข่าวอังกฤษ วิเคราะห์ไทยในภาวะสุ่มเสี่ยง

รายงานจากนักข่าวอังกฤษ วิเคราะห์ไทยในภาวะสุ่มเสี่ยง

ในเว็บไซต์ Waging Non-violence นักข่าวอังกฤษเขียนรายงานเรื่องต้นตอความขัดแย้งของการเมืองไทยในปัจจุบัน ว่าเป็นแค่การพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำเก่าส่วนเล็กๆ ที่หลอกสร้างความเกลียดชังให้กับประชาชนต่างความคิดกัน ล่อลวงให้เกิดรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจตนและทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้

8 ม.ค. 2557 มาร์ก เฟนน์ นักข่าวชาวอังกฤษผู้เขียนข่าวให้กับสำนักข่าว เช่น ไทม์ออฟลอนดอน และดิ อินดิเพนเดนท์ เขียนรายงานลงในเว็บไซต์ Waging Non-violence กล่าวถึงกรณีความขัดแย้งทางการเมืองในไทย ซึ่งมีความกังวลว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นหรือไม่
เฟนน์กล่าวในบทความว่าสภาพปัจจุบันราวกับมีการเตรียมเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่มีกลุ่มผลประโยชน์ที่ทรงอำนาจหนุนหลังอยู่กับฝ่ายรัฐบาลที่แม้จะมีข้อเสียแต่ก็มาจากการเลือกตั้งและได้รับการสนับสนุนจากมวลชนโดยเฉพาะในแถบชนบท โดยแม้ว่าความขัดแย้งจะอยู่ในระดับชนชั้นนำสองกลุ่ม แต่ก็มีความขัดแย้งในระดับเรื่องของชนชั้น, เชื้อชาติ และระดับภูมิภาคด้วย
เฟนน์ได้เล่าถึงการที่ประชาชนหลายหมื่นหรืออาจถึงหนึ่งแสนคนมาประท้วงบนท้องถนนของกรุงเทพฯ เพื่อขับไลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยบอกว่าพวกเขาเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยน้อยลง ขณะเดียวกันก็พูดถึงอดีตนายกฯ ทักษิณว่าถูกโค่นล้มจากการรัฐประหารในปี 2549 และกำลังหลบหนีการดำเนินคดีข้อหาใช้อำนาจมิชอบอยู่
นักข่าวชาวอังกฤษกล่าวว่าผู้ประท้วงได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ "ไม่มีประสิทธิภาพ" และ "ทำตัวไม่ตรงกับชื่อ" ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์บอยคอตต์การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าจะแพ้อีกครั้ง ทำให้พวกเขาหันหลังให้กับประชาธิปไตย
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ผู้ช่วยศาตราจารย์จากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโตกล่าวว่าฝ่ายค้านของไทยไม่สามารถแข่งขันได้ในการเลือกตั้งจึงใช้วิธีก่อม็อบเพื่อยุยงให้เกิดความรุนแรงอันนำมาซึ่งการโค่นล้มรัฐบาล
เฟนน์กล่าวอีกว่ากลุ่มคนที่ไม่พอใจเนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้มักจะบอกว่าประเทศนี้ไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย และกลุ่มผู้ประท้วงบางส่วนก็คิดว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้รัฐบาลปัจจุบันเป็นคนโง่ ถูกหลอก หรือขายเสียง ซึ่งเฟนน์คิดว่าโวหารที่แฝงด้วยความเกลียดชังเหล่านี้นำมาซึ่งการถกเถียงกันในสังคมไทยเรื่องการเลือกตั้งที่ทุกคนต่างมีสิทธิเลือกตั้งหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากันไม่ว่าจะมาจากฐานะสังคมแบบใด
นักข่าวชาวอังกฤษยังได้กล่าวถึงกรณีที่สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำการชุมนุมถูกตั้งข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่า และพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล จากบทบาทในการสลายการชุมนุมปี 2553 แต่ในตอนนี้เขามีบทบาทกลับกันโดยเรียกร้องให้มีการล้มล้างรัฐบาลและระงับการเลือกตั้งชั่วคราว รวมถึงให้มีการแต่งตั้งสภา "คนดี" ซึ่งนักวิจารณ์หลายคนมองว่าเป้าหมายของเขาไม่ต่างอะไรกับเผด็จการฟาสซิสต์
เฟนน์กล่าวในรายงานอีกว่าสุเทพเป็นนักปลุกระดมที่มีเบื้องหลังน่าสงสัย ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ผู้สนับสนุนเขาก็ยกให้เขาเป็นวีรบุรุษ เขาไม่สนใจหมายจับฐานก่อกบฏโดยยังคงปราศรัยต่อต้าน "ระบอบทักษิณ" บนเวทีต่อไป สุเทพยังสัญญาว่าจะยับยั้งไม่ให้มีการเลือกตั้งจนกว่าจะมีการ "ปฏิรูป" สำเร็จ แม้ว่าข้อเสนอของเขายังดูคลุมเครือก็ตาม
เฟนน์กล่าวถึงกรณีการปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2556 ซึ่งผู้ชุมนุมพยายามสกัดกั้นไม่ให้มีการลงทะเบียนผู้สมัครเลือกตั้งว่า จากเหตุดังกล่าวทำให้มีคนถูกยิงเสียชีวิตสามคน เป็นตำรวจหนึ่งคนและผู้ประท้วงสองคน แต่ยังไม่ใครระบุตัวมือปืนได้โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็กล่าวเป็นนัยว่ามี "มือที่สาม" หรือกลุ่มผู้ยั่วยุมีส่วนเกี่ยวข้อง
ในรายงานของเฟนน์ยังได้สรุปต้นตอความขัดแย้งจากการพยายามผลักดัน พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ซึ่งอาจเปิดทางให้ทักษิณที่มีทั้งคนรักมากและเกลียดมากกลับเข้าประเทศ องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์เคยบอกว่าทักษิณเป็นผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรง เขายังถูกกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นและการเล่นพรรคเล่นพวกแต่ก็มีคนชื่นชอบเขาในแง่ผู้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อคนจนในชนบท
เฟนน์บอกว่าทักษิณใช้โอกาสจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในชนบทที่มีการศึกษาดีขึ้น (better-educated rural voters)  ทำให้ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นในปี 2544 รัฐบาลใช้นโยบายที่ฝ่ายตรงข้ามเรียกว่า "ประชานิยม" ในการเรียกเสียงสนับสนุน แต่ทักษิณก็มีท่าทีโผงผางและไม่เกรงใจอำนาจที่มีอยู่ดั้งเดิมในสังคมไทย ทำให้เขาเป็นศัตรูกับชนชั้นนำในกรุงเทพฯ เช่นผู้เกี่ยวข้องกับวัง ธุรกิจใหญ่ และเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง
มาร์ก เฟนน์ ยังได้ชี้ให้เห็นสาเหตุของความขัดแย้งส่วนหนึ่งมาจากการมองว่าทักษิณเป็นภัยต่อระบอบกษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่องการสืบสันตติวงศ์ของชนชั้นนำส่วนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการอยู่ใกล้ชิดกับวัง ความกลัวที่ยึดติดมายาวนานและอคติต่อคนชนบทที่พวกเขาคิดว่า "ไม่มีการศึกษา" ทำให้เกิดการใช้โวหารก้าวร้าวรุนแรงบนเวทีการชุมนุม แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล อดีตนักข่าวรอยเตอร์สกล่าวว่าคนเหล่านี้เริ่มคลั่งไคล้อย่างอันตราย ความกลัวทำให้พวกเขามีแต่ความเกลียดชังและเสียสติ
เฟนน์ ระบุในรายงานว่าประเทศไทยมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวดส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทำให้นักข่าวจำใจต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง ซึ่งประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่ข่าวเดอะเนชั่น กล่าวในรายงานว่ากฎหมายฉบับนี้ทำให้บทวิเคราะห์ของพวกเขาถูกจำกัดและลดทอน
เฟนน์กล่าวว่า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยต่างก็ใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือป้ายสีฝ่ายตรงข้าม มีการปิดเว็บไซต์จำนวนมากที่ถูกกล่าวหาว่ามีการวิจารณ์ระบอบกษัตริย์ และเมื่อเดือนที่แล้วก็มีชายคนหนึ่งถูกจับหลายข้อหารวมถึงข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย เฟนน์บอกว่าเบื้องหลังความกลัวและความเกลียดชังนี้ควรมองให้ออกว่าความวุ่นวายในปัจจุบันบนท้องถนนของกรุงเทพฯ มาจากฝ่ายที่ขัดแย้งพยายามช่วงชิงอำนาจกัน
รายงานของเฟนน์ยังได้กล่าวถึงแผนการ "ปิดกรุงเทพฯ" ของสุเทพในวันที่ 13 ม.ค. ที่จะถึงนี้โดยบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการตัดสินอนาคตของประเทศไทย สุเทพยังได้สั่งให้โทรทัศน์ช่องต่างๆ เผยแพร่คำประกาศของแกนนำการชุมนุมและขู่ตัดน้ำตัดไฟสถานที่ราชการและบ้านของรัฐมนตรี
"แกนนำการชุมนุมดูเหมือนจะคาดหวังให้เกิดความรุนแรงและความไม่มั่นคงมากขึ้น โดยเชื่อว่าการกระทำนี้อาจกลายเป็นข้ออ้างให้กองทัพทำการรัฐประหาร" เฟนน์กล่าวในบทความ
เฟนน์กล่าวอีกว่าแม้ยิ่งลักษณ์จะใช้เวลาช่วงสองปีที่ผ่านมาในการเอาอกเอาใจฝ่ายกองทัพ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสูญเสียความเชื่อมั่นจากกองทัพไป อย่างไรก็ตามแม้กองทัพจะเป็นผู้มีอิทธิพลในประเทศที่มีการรัฐประหารหรือการพยายามทำรัฐประหารรวม 18 ครั้ง แต่ก็ยังคงมีฝ่ายต่างๆ ในกองทัพเช่นคนที่ถูกเรียกว่าเป็น "ทหารแตงโม" ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับเสื้อแดง นักวิเคราะห์บางคนมองว่าผู้นำกองทัพระดับสูงบางคนอาจจะอยู่ข้างรัฐบาลด้วยซ้ำหากมีการพยายามทำรัฐประหาร
เฟนน์ยังได้กล่าวถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือการที่ กกต. จะลาออกก่อนการเลือกตั้ง 2 ก.พ. หรือศาลจะใช้วิธีการสั่งปลดรัฐบาลซึ่งจะนับเป็นการรัฐประหารโดยตุลาการ หน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชั่นในประเทศก็กำลังตัดสินใจฟ้องพรรคเพื่อไทยที่เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มาจากการรับรองของทหาร ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้ประท้วงบางส่วนพยายามปิดกั้นการลงทะเบียนสมัครเลือกตั้ง จึงไม่แน่ใจว่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เฟนน์กล่าวชื่นชมรัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลว่าจนถึงตอนนี้พวกเขาควบคุมตัวเองได้ดีทีเดียว ถึงขั้นยอมให้ผู้ประท้วงบางส่วนเข้ายึดอาคารที่ทำการสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่ในกลุ่มคนเสื้อแดงก็เริ่มรู้สึกโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขายังจำเหตุการณ์ปราบผู้ชุมนุมในปี 2553 ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ทหารเลือกปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมในปัจจุบัน
จรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำเสื้อแดงและผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวในรายงานว่าคนเสื้อแดงรู้สึกโกรธมาก แต่ก็ไม่คิดจะแบ่งแยกการประเทศตามภูมิภาคตามที่มีคนตั้งข้อสังเกตกัน จรัลเน้นย้ำอีกว่าเขาหวังว่าจะมีทางออกแบบสันติและเสื้อแดงในหลายจังหวัดก็เดินขบวนพร้อมคำขวัญ "สนับสนุนการเลือกตั้ง ไม่เอาสงครามกลางเมือง" แต่ถ้ามีการรัฐประหารกลุ่มเสื้อแดงจะลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องรัฐบาล
ทางด้าน แอนดรูว์ แม็คเกรเกอร์ มาร์แชล บอกว่าการชุมนุมนี้เป็นการต่อสู้อย่างหมดหวังของกลุ่มอำนาจเก่าที่กลัวสูญเสียอำนาจและสิทธิพิเศษ แต่เขาก็มองว่ากลุ่มอำนาจเก่าเหล่านี้กำลังจะแพ้ถึงได้สู้แบบจนตรอกทำให้พวกนี้อันตราย ขณะเดียวกันประเทศไทยก็กำลังเติบโตและความขัดแย้งนี้เป็นบาดแผลเจ็บปวดจากการเติบโตที่มาจากการผุดขึ้นของประชาธิปไตย

“มาม่า” นกรู้เตรียม “สต็อกสินค้า”รับชัตดาวน์ กทม. “สหพัฒนฯ” ทุน ปชป.ขยับก่อนใคร สัญญาณอันตราย คมนาคมวินาศ-อุปโภคบริโภควิกฤต!


“มาม่า” นกรู้เตรียม “สต็อกสินค้า”รับชัตดาวน์ กทม. “สหพัฒนฯ” ทุน ปชป.ขยับก่อนใคร สัญญาณอันตราย คมนาคมวินาศ-อุปโภคบริโภควิกฤต!
ปฏิบัติการ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ของ “ม็อบกบฏ กปปส.” ดูเหมือนจะกลายเป็นการสร้าความเดือดร้อนให้กับประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร อย่างสาหัสสากรรจ์ ถ้วนทั่วและถ้วนหน้า หลังปฏิกิริยาของภาคส่วนต่างๆ ออกอย่างชัดเจนว่าการกระทำของ “ม็อบกบฎ” จะสร้างผลกระทบโดยตรงต่อ “การคมนาคม-การติดต่อสื่อสาร-อินเตอร์เน็ต-การเงินการธนาคาร-พลังงาน-น้ำ-ไฟ ไปจนถึง สินค้าและอาหารการกิน” จะพลอยทำให้กรุงเทพฯถึงกาลอวสาน !!! 
โดยเฉพาะ “ภาคเอกชน” ที่ต่างตื่นตัว เตรียมการรองรับความเสียหายที่่จะเกิดขึ้นกันจ้าละหวั่น !!!
ซึ่งรวมไปถึง “เครือสหพัฒนพิบูลฯ” ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนึ่งใน “กลุ่มทุน” สำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ก็เป็น “เอกชนรายแรกๆ” ที่เตรียมตัว เตรียมการรับมือและหาช่องทางสถานการณ์การติดขัดของระบบการคมนาคมขนส่ง ซึ่งอาจจะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะอาหาร อาจจะ “ขาดแคลน” จากร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำทั่วไป รวมไปถึงห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
โดยเมื่อไม่นานมานี้ “นายบุญชัย โชควัฒนา” ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บมจ.สหพัฒนพิบูล ได้เปิดเผยว่า ได้เตรียมรับมือการขนส่งสินค้าไว้แล้ว แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพราะส่วนใหญ่จะส่งในรูปแบบค้าส่ง คือ ยี่ปั๊ว กับโมเดิร์นเทรด 
“โดยได้เพิ่มสต๊อกสินค้าให้เพียงพอ แต่หากทางผู้ชุมนุมปิดแยกเป็นสัปดาห์ คงได้รับผลกระทบและจำเป็นต้องมีมาตรการอื่นเสริม อาทิ เตรียมรถเล็ก หรือมอเตอร์ไซค์ส่งสินค้า” 
แต่แม้ คำพูดดังกล่าวของ “ผู้บริหารเครือสหพัฒนฯ” จะพยายามทำให้เห็นว่า “ปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ” จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก
เนื่องจากอาจจะไม่ต้องการให้คนกรุงฯ ตระหนกตกใจมากมายกับการกระทำของสาวก ปชป.และม็อบกบฏ กปปส.
แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนใน “คำพูด” ดังกล่าว โดยเฉพาะที่บอกว่า มีความพยายามที่จะ “เพิ่มสต็อกสินค้า” ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก สำหรับ “ผู้คน” ที่ใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ
เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการเตรียมการรองรับ สถานการณ์ความต้องการ “อาหาร-ของกิน-ของใช้-อุปโภค-บริโภค” ครั้งใหญ่ ภายหลังเกิดปัญหา ไม่สามารถ “ขนส่งสินค้า” ได้ตามปกติ !!
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ “ผู้บริหารเครือสหพัฒนฯ” ระบุถึง การเตรียมใช้ “รถเล็กและรถมอเตอร์ไซด์” สำหรับขนส่ง “สินค้าอุปโภค-บริโภค” ไปยังร้านค้าต่างๆ ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ มองเห็นอย่างชัดเจนว่า “ระบบคมนาคมขนส่ง” เกิดวิกฤตแน่นอน ภายหลัง “ม็อบกบฏ กปปส.” ปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ
ซึ่งเหล่านี้ย่อมตามมาด้วยการขาดแคลนสินค้าอุปโภค-บริโภค ไปจนถึง “อาหาร” สำหรับประชาชนทั่วไป  
สถานการณ์ขณะนี้ทุกอย่างชัดเจนแล้ว !
เครือสหพัฒนฯ …เจ้าของผลิตภัณฑ์ “มาม่า” และเป็นเอกชนที่รับรู้กันว่าเป็น “กลุ่มทุนของ ปชป.” ก็เตรียมตัวแล้ว ! 
“คนกรุงฯ” ล่ะ ?? …เตรียมพร้อมรับ “ความเดือดร้อน” ที่ “ม็อบกบฏ กปปส.” บรรจงมอบให้ ในครั้งนี้ หรือยัง ???
สห

นิสิตม.เกษตร จุดเทียนหยุดความรุนแรง ตะโกนลั่น "ไม่เอาเทือกตั้ง"

วันที่ 9 ม.ค. ที่ลานหน้าหอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดกิจกรรม "จุดเทียนแห่งเสรีภาพ หยุดสร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" โดยมีนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และประชาชนทั่วไปทยอยเข้าร่วมมากกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่แต่งกายด้วยเสื้อสีขาว นอกจากนี้ ยังมีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่เข้าร่วมชูป้ายระบุข้อความต่างๆ อาทิ Respect my vote, Election & Peace, คัดค้านกบฏสุเทพยึดกรุงเทพ เป็นต้น พร้อมตะโกนว่า ไม่เอาเทือกตั้ง ต่อมามีประชาชนอีกกลุ่มเดินขบวนเข้ามาพร้อมถือป้ายข้อความระบุว่า รักกรุงเทพ รักประเทศไทย หยุดความรุนแรง 2 ก.พ.57 ไปเลือกตั้ง โดยมีชื่อกลุ่มเขียนไว้ที่ด้านล่างของป้ายว่า ประชาคมคนบางเขน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นมีการแจกเทียนและกระดาษแผ่นเล็กให้เขียนแสดงความคิดเห็นโดยแปะไว้บริเวณทางเข้าหอประชุมใหญ่ อาทิ 1คน=1เสียง, ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านกบฏ, เราจะยอมรับสันติวิธีโดยแท้จริง ไม่ใช่การปลุกปั่นยุงยงให้ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ, ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แต่ไม่ควรละเมิดหรือสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และต้องการเลือกตั้ง 2 ก.พ. เป็นต้น

ต่อมามีการเปิดให้ผู้เข้าร่วมสลับกันขึ้นแสดงความคิดเห็นต่างๆ โดยส่วนใหญ่ต่อต้านการปิดกรุงเทพฯ เพราะได้รับความเดือดร้อนในการเดินทางไปประกอบอาชีพ นักเรียนนักศึกษาไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ เรียกร้องประชาธิปไตยและให้เคารพสิทธิ์ของประชาชน พร้อมสนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง

จากนั้นในเวลา 18.15 น. ทุกคนร่วมกันจุดเทียนโดยหันหน้าไปทางหอประชุมใหญ่พร้อมอ่านแถลงการณ์มีความว่า ด้วยเจตจำนงเสรีอันบริสุทธิ์ เราในฐานะประชาชน ผู้ซึ่งรักและเชื่อมั่นในสันติภาพ และประชาธิปไตย ขอใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ในด้านการรวมกลุ่มและแสดงออก และขอกล่าวถ้อยแถลงข้อเรียกร้องร่วมกันดังนี้

เราประชาชนเชื่อว่าหนทางที่ดีที่สุดในการจัดการความขัดแย้ง คือการพูดคุย เจรจาอย่างสันติ หาใช่การหยิบจับอาวุธ อารมณ์ อคติ และสร้างวาทกรรมความเกลียดชังออกมาเพื่อฟาดฟันกัน ซึ่งยังผลให้มีแต่ความสูญเสียอย่างสูญเปล่า ตลอดช่วงเวลาของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ดังนั้นเราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ และป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง

เราประชาชนผู้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เรายอมรับความแตกต่าง แต่เราจะไม่ยินดีที่จะเห็นความแตกแยก เราเคารพในหลักความเสมอภาค เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เราสนับสนุนการแสดงออกทางการเมืองของคนทุกคน ตราบเท่าที่การแสดงออกนั้นอยู่ภายใต้กรอบแห่งกฎหมาย ตราบเท่าที่การแสดงออกนั้นไม่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น

เราประชาชนขอคัดค้านการแสดงออกทางการเมืองที่เป็นการละเมิดกฎหมาย และละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น เราต่างเข้าใจตรงกันว่า ประเทศไทยของเราในตอนนี้ มีปัญหาต่างๆมากมาย ที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป แต่เราก็เชื่ออีกว่าปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น

เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคน มีคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน เราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคน ต้องมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ เนื่องด้วยเราต่างก็อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน

ท้ายที่สุด เราในฐานะมนุษย์และประชาชน ผู้ซึ่งรักและเชื่อมั่นในสันติภาพ และประชาธิปไตย ขอประกาศว่าจะยืนหยัดอยู่ข้างหลังการที่เรายึดถือ เราจะยืนยันด้วยใจที่มั่นคง ต่อความซื่อตรงที่เราต่างบูชา เราออกมายืนตรงให้โลกได้เห็น ด้วยความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน และเราจะยืนยันอยู่ที่จุดยืนนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ก็ตาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นทั้งหมดพร้อมใจกันตะโกนว่า เลือกตั้งไม่เอาเทือกตั้ง และประชาชนจงเจริญ นายณภัทธ์ นรังศิยา นิสิตชั้นปีที่ 4 ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตัวแทนกลุ่มที่จัดกิจกรรม เผยว่า กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเห็นว่าสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง ประกอบกับขณะนี้มีกลุ่มต่างๆ ออกมาทำกิจกรรมจุดเทียนรณรงค์ยึดหลักสันติภาพ จึงร่วมกับเพื่อนช่วยกันจัดกิจกรรมขึ้นมา

นายณภัทธ์กล่าวต่อว่า เราเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการจัดการความขัดแย้ง และสามารถวัดเสียงของประชาชนในประเทศได้มากที่สุด สิ่งที่เราต้องการเรียกร้องคือสันติภาพ ไม่ต้องการความรุนแรง ต้องการความเป็นประชาธิปไตย เคารพสิทธิ์คนอื่น และรณรงค์ให้ไปเลือกตั้ง สำหรับคนที่เห็นต่าง ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ การที่พวกเราออกมาไม่ได้หมายความว่า เราทำถูกแล้วเขาผิด แต่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะแสดงออกได้ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอการปฏิรูปของกลุ่ม กปปส. แต่เราจะแก้ไขโดยยึดหลักกฎหมายและระบอบประชาธิปไตย
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE9USTNNRFEzT0E9PQ%3D%3D&utm_source=KhaosodOnline&utm_medium=KhaosodOnline — กับ ปัจจะพล อรัญวาส

อย่าปิดเลยบางกอกจะบอกให้

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

สถานการณ์ในกรุงเทพมหานครในขณะนี้ ก็ยังถือได้ว่า ยังคงตึงเครียด จากการที่ม็อบของ กปปส.(คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เสื่อมสภาพกลายเป็นก๊วนอันธพาลการเมือง กระบวนการนี้ เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน ด้วยการที่ม็อบ กปปส.ยกกำลังฝูงชนเข้ายึดกระทรวงการคลัง และสถานที่ราชการหลายแห่ง ต่อมาก็คือ การส่งกลุ่มอันธพาลไปสกัดกั้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สนามกีฬาราชมังคลา จนนำมาซึ่งการเสียชีวิตถึง ๕ คน จากนั้น ต่อมาเมื่อนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยุบสภา ม็อบอันธพาลเหล่านี้ก็หาเหตุว่าการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม เพราะจะต้องปฏิรูปเสียก่อนแล้วค่อยเลือกตั้ง จึงพยายามล้มการเลือกตั้ง โดยใช้กำลังขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้งจนก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ๒ คน และเมื่อการรับสมัครเลือกตั้งผ่านไปแล้ว ม็อบอันธพาลของนายสุเทพก็ข่มขู่ที่จะปิดกรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคมนี้เป็นต้นไป จนกว่ารัฐบาลรักษาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะลาออก ซึ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ในขณะนี้

แต่เป็นที่เข้าใจกันได้ดีว่า การที่ม็อบ กปปส.สามารถก่อการเป็นพาลได้ขนาดนี้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากพลังจารีตนิยมในสังคมไทย ซึ่งท่าทีของฝ่ายจารีตนิยมนั่นเอง กลายเป็นเครื่องพันธนาการไม่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ความเด็ดขาดในการรักษากฎหมายกับฝ่ายม็อบ ตัวอย่างเช่น กองทัพแทนที่จะเป็นกลไกสนับสนุนความชอบธรรมของรัฐบาล และช่วยเหลือในการดำเนินการให้สถานการณ์คืนสู่ปกติ แต่กลับวางตัวในลักษณะเป็นกลางหรือแสดงท่าทีให้ท้ายฝ่ายม็อบ เท่าที่ผ่านมา รัฐบาลจึงได้แต่อาศัยฝ่ายตำรวจเท่านั้นที่เป็นกองกำลังรักษาสถานการณ์


นอกจากนี้คือ กลุ่มประชาสังคมชนชั้นกลางจำนวนมากที่เทใจสนับสนุนฝ่ายม็อบ กลุ่มนี้จะมีส่วนช่วยสร้างคำอธิบายให้ความชอบธรรมแก่ฝ่ายม็อบ เช่น การอธิบายการเคลื่อนไหวของฝ่ายนายสุเทพ เทือกสุบรรณว่าเป็นการกระทำที่รักชาติ การสร้างกระแสเรื่องการทุจริตคอรับชั่นอันปราศจากหลักฐานมาโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การช่วยแก้ต่างเวลาฝ่ายม็อบก่อความรุนแรง เช่น ที่สนามราชมังคลาก็โยนความผิดไปที่กลุ่มคนเสื้อแดง ต่อมา ก็อธิบายว่า การล้มการเลือกตั้ง ทำลายประชาธิปไตย ตัดสิทธิเลือกตั้งของประชาชนเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อที่จะต้องปฏิรูปประเทศก่อน หรือที่ไปไกลก็คือการยอมรับว่า การเลือกตั้งแบบ ๑ สิทธิ์ ๑ เสียงไม่เหมาะกับประเทศไทย ต้องเป็นระบอบการปกครองโดยคนดีที่เสนอโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ จึงเหมาะกับประเทศไทย เป็นต้น

ที่มากกว่านั้นคือองค์กรอิสระทั้งหลาย ได้แสดงบทบาทเป็นแนวร่วมทางอ้อมของม็อบ กปปส. เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็รับรองว่าการเคลื่อนไหวของม็อบเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย ศาลรัฐธรรมนูญก็อธิบายว่า การเคลื่อนไหวของฝ่ายม็อบยังเป็นแบบสันติ อหิงสา ส่วนคณะกรรมการเลือกตั้ง(ก.ต.ต.) ที่มีหน้าที่จะต้องจัดการเลือกตั้ง กลับแสดงความพยายามที่จะหาทางเลื่อนและล้มการเลือกตั้งให้จงได้ และยังมีการตระเตรียมที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) จะชี้มูลความผิดของ ส.ส.และ ส.ว. ๓๘๓ คน ที่ลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาของ ส.ว.อีกด้วย ซึ่งส่วนมากเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล และรวมนายกรัฐมนตรีด้วย โดยหวังจะใช้เงื่อนไขนี้เป็นการล้างบางนักการเมืองฝ่ายเพื่อไทย


แต่ปัญหาสำคัญของการเคลื่อนไหวของ กปปส.และกระบวนการฝ่ายจารีตนิยมขณะนี้ คือ การขาดเหตุผล ขาดความชอบธรรมในแทบทุกประเด็น โดยเฉพาะการข่มขู่ล้มการเลือกตั้งก็เป็นการละเมิดกฎหมาย ทำลายหลักประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิคนอื่นที่ต้องการจะเข้าร่วมกระบวนการเลือกตั้ง ขบวนการของพวกม็อบล้มประชาธิปไตยเช่นนี้จึงถูกปฏิเสธจากโลกนานาชาติ ยิ่งกว่านั้น การเคลื่อนไหวปิดกรุงเทพที่จะมีขึ้นก็จะสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างมหาศาล และสร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่งต่อประชาชน จะเป็นการทำลายแนวร่วมและผู้สนับสนุนฝ่ายม็อบในกรุงเทพจำนวนมาก แต่ที่สำคัญคือ มาตรการนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเลยในการล้มล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์


หรืออธิบายในอีกด้านหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ควบคุมสถานการณ์ด้วยความสงบนิ่ง ยึดหลักการประชาธิปไตย และความชอบธรรมทางกฎหมายไว้ แล้วยืนยันจะไม่ลาออกตามกระแส ก็จะสร้างความยากลำบากให้กับฝ่ายอำมาตย์มากขึ้นทุกที การปิดกรุงเทพฯไม่ว่าจะกี่วันจะทำอะไรฝ่ายรัฐบาลไม่ได้เลย และจะถูกบีบจากประชาชนที่เดือดร้อนให้ยุติไปเอง


หรือจะเกิดเหตุอื่น เช่น กรณีที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง (ก.ต.ต.)หาเหตุอย่างใดทำให้การเลือกตั้งวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ดำเนินไปไม่ได้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังรักษาการบริหารประเทศต่อไป ถ้าเลือกตั้งแล้วเปิดประชุมสภาไม่ได้เพราะเสียงไม่ครบ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังรักษาการไปจนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่ เป้าหมายที่จะโค่นรัฐบาลจึงใช้วิธีนี้ไม่ได้


ถ้าหากจะให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดของ ส.ส.และ ส.ว. ๓๘๓ คน ก็จะต้องใช้เหตุผลแบบตะแบงอย่างมาก เพื่ออธิบายให้ได้ว่า ส.ส.และ ส.ว.ลงมติในสภาในญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภา แล้วมีความผิดได้อย่างไร แต่ที่มากกว่านั้นคือ วิธีการนี้ล้มรัฐบาลไม่ได้ เพราะนี่เป็นรัฐบาลรักษาการ ต้องทำงานไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่มารับผิดชอบ และเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่ลงเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรีใหม่ก็จะมาจากพรรคเพื่อไทยนั่นเอง ถ้าหากนายกรัฐมนตรีและ ส.ส.จำนวนมากถูกตัดสิทธิ์ พรรคเพื่อไทยก็มีบุคคลที่เคยถูกตัดสิทธิ์ครบ ๕ ปี ได้สิทธิกลับมาแล้ว ก็ตั้งรัฐบาลใหม่ได้อยู่ดี


ดังนั้น ถ้าม็อบ กปปส.จะโค่นรัฐบาลให้ได้ จะต้องให้ม็อบอันธพาลยกระดับการก่อกวน และสร้างความรุนแรงให้มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต แต่การกระทำเช่นนั้น ก็จะยิ่งกลายเป็นการทำลายความชอบธรรมของฝ่ายม็อบมากขึ้นทุกที
ในที่สุดเหลือวิธีการสุดท้ายเพียงประการเดียวที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนรัฐบาล หรือ”โค่นระบบทักษิณ”ให้ได้สำเร็จ ก็คือการสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารในรูปแบบใดก็ได้ ดังนั้น กระแสรัฐประหารจึงเป็นที่กล่าวถึงกันมากขึ้น ในเมื่อม็อบเริ่มไม่มีทางออก การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงเป็นการสร้างความวุ่นวายเพื่อปูทางสู่การรัฐประหาร จากนี้เอง การที่กลุ่ม นปช.(แนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ) รณรงค์เรื่องการต่อต้านรัฐประหารจึงมีนัยสำคัญ


เพียงแต่ว่าการก่อการรัฐประหารใน พ.ศ.๒๕๕๗ นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวิธีการเปลี่ยนอำนาจโดยการก่อรัฐประหาร ถือเป็นเรื่องเหลวไหลในระดับโลก เป็นการเมืองแบบด้อยพัฒนา ในประเทศไทยเอง กระแสการไม่เอารัฐประหารในหมู่ประชาชนก็รุนแรง แม้แต่ในกองทัพเอง ก็มีนายทหารที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารจำนวนมาก ดังนั้น ถ้ามีทหารกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดก่อการรัฐประหารได้สำเร็จ การควบคุมสถานการณ์ก็ไม่ง่ายนัก


แต่กระนั้น กลุ่มพลังฝ่ายประชาธิปไตย ก็ยังต้องร่วมกันคัดค้านการปิดกรุงเทพฯ ต้องพยายามผลักดันการเลือกตั้งวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ให้ลุล่วง ไม่ใช่เพื่อเป็นการรักษารัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่เป็นการรักษาประชาธิปไตยของประเทศให้ดำเนินต่อไป เป็นการรักษาสิทธิที่จะเลือกตั้งของประชาชนเอาไว้ ให้พ้นจากภัยพวกขี้แพ้ชวนตี



จ่อฟัน ปู-บุญทรง โกงจำนำข้าว เดือนนี้

ป.ป.ช.กลับลำ ไม่ถอดถอน ยิ่งลักษณ์และพวก 73 คน ปมแก้ที่มาส.ว.ขัด รธน. แทงกั๊ก ไม่เกี่ยวคดีอาญา จ่อฟัน ปู-บุญทรง โกงจำนำข้าว เดือนนี้ มาร์ค-เทพ รอลุ้นคดีสลายชุมนุม 53 แจ้งข้อกล่าวหรือไม่ มี.ค.นี้ พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา ปลอด-โต้ง โกงน้ำ 3.5 แสนล้านแล้ว
นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบด้วย และเลขาธิการสำนักงานคระกรรมการ ป.ป.ช. แถลงผลการดำเนินงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในรอบเดือนตุลาคม – ธันวาคม2556 ที่ผ่านมา โดยมีคดีทั้งหมด 9,447 คดี ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 570 คดี คงเหลือทั้งสิ้น 8,877 คดี ที่จะต้องดำเนินการต่อไป โดยมีคดีที่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 45 เรื่องที่รับคำร้อง ซึ่มีเรื่องไม่รับพิจารณา 13 เรื่อง ไต่สวนข้อเท็จจริง 14 เรื่อง และอยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริง 18 เรื่อง

ส่วนคดีสลายการชุมนุมปี 53 ที่มีการยื่นเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่มีการกล่าวหาว่า ป.ป.ช.ดำเนินการล่าช้านั้น เป็นเพราะจะต้องรอหลักฐานการชันสูตรพลิกศพตามที่ศาลสั่ง มาประกอบการพิจารณา โดยเบื้องต้นได้มีการเรียกในส่วนผู้สั่งการมาชี้แจงเพิ่งเติมว่ามีการสั่งการและใช้อาวุธหรือไม่ พร้อมนำกระทู้ถามในสภาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยคาดว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาได้ในไตรมาสแรก

ส่วนคดีที่มีการยื่นถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมณ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และข้าราชการ ที่มีการกล่าวหาว่าทุจริตการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าว คาดว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาภายในเดือนนี้ ส่วนคดีที่การบริหารจัดการน้ำ มีการแจ้งคำสั่งไต่สวนไปยังนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และนายปลอดประสพ สุรัสวดีให้รับทราบแล้ว โดยหลังจากนี้จะมีการเรียกสอบสวนฝ่ายผู้ร้อง ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.สามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องรอคำตัดสินจากศาลปกครอง

ขณะที่ความคืบหน้าคดีทุจริตการจัดสร้างโรงพักทดแทนและอาคารที่พักตำรวจ ที่ยื่นเอาผิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประพฤติมิชอบในการจัดซื้อจัดจ้าง ขณะนี้มีการสอบพยานแล้วพอสมควร รวมถึงมีการสุ่มตรวจสอบตัวอย่างโรงพักในต่างจังหวัด พร้อมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว

ทั้งนี้ในช่วงแรกของการแถลง นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกกรรมการ ป.ป.ช. ได้กล่าวชี้แจงความชัดเจนถึงกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาสมาชิกรัฐสภา 308 คน ที่ร่วมกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ขัดมาตรา 68 และไม่แจ้งข้อกล่าวหาสมาชิกรัฐสภาจำนวน 65 คน ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมอยู่ด้วย โดยย้ำว่าการพิจารณาของ ป.ป.ช. ใช้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการพิจารณา ซึ่งคำร้องของพลเอกสมเจตต์ บุญถนอม และพวก ที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงกรณีผู้ที่ลงมติวาระ 3 ซึ่งไม่มีรายชื่อของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย จึงถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ในการลงมติตามมาตรา 130 แม้ ป.ป.ช. จะพิจารณาคำร้องรวมกับที่มีการยื่นให้ดำเนินการรวมกับผู้ลงมติวาระ 3 แต่อย่างไรก็ตามการแจ้งข้อกล่าวหาครั้งนี้ เป็นเพียงในส่วนการถอดถอนเท่านั้น ซึ่งจะแยกกับการพิจารณาทางคดีอาญา


กาชาดจัดรถออกรับบริจาคโลหิต 4 มุมเมือง กทม.


ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เตรียมพร้อมแผนสำรองโลหิต ในวันที่ 13 มกราคม 2557 ด้วยการจัดหน่วยรถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ออกรับบริจาคโลหิต 4 มุมเมือง กทม. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริจาคโลหิต ประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการมาบริจาคโลหิต ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ถนนอังรีดูนังต์ ได้ตามเป้าหมาย คือ วันละ 1,500 -2,000 ยูนิต และ ไม่มีโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ปรับแผนการรับบริจาคโลหิตเพิ่มเติม 4 มุมเมืองในกรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น. ได้แก่ 1. ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค 2. ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บางนา 3. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ รัชโยธิน 4. บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ถ.รัตนาธิเบศร์ จังหวัดนนทบุรี จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคโลหิต ได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ หน่วยรับบริจาคโลหิตดังกล่าว สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต โทร. 0 2256 4300, 0 2263 9600-99 ต่อ 1101

"ผบ.ทบ." ซัด ขวัญชัย !! " ใหญ่มาจากไหน "

"ผบ.ทบ." ซัด ขวัญชัย !! " ใหญ่มาจากไหน " สุดกร้าว !! ชอบติเตียนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไปทั่ว สุดลั่น !! ซัด ขวัญชัย เปรียบเสมือนเด็กเมื่อวานซืน เพราะ " ปากยังไม่สิ้นกลิ่นนํ้านม "

เมื่อเวลา 14:20 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้เผยต่อสื่อมวลชน ซึ่งได้กล่าวถึงเรื่อง นายขวัญชัย ไพรพนา ที่ได้ติเตียนตน ในเรื่องเลือกข้างอยู่กับ กปปส. และได้มีข่าวใหญ่โตกันในเมื่อวาน ซึ่งท่าน ผบ.ทบ. ว่าได้เผย ตนไม่ได้อยู่ข้างใดข้างหนึ่ง แต่ตนขออยู่เป็นกลาง

และตนก็ไม่อยากให้ประชาชนบาดเจ็บหรือล้มตาย ถ้าหากมีวันนั้นจริง รัฐบาล ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม และขอให้นายขวัญชัย เข้าใจด้วย การที่ทหารเข้าไปในที่พื้นชุมนมในวันที่ 13 นี้ ไม่ใช่เข้าไปปราบปรามประชาชน แต่เข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชน ทหารไม่ได้นิ่งนอนใจเลย ทั้ง 3 เหล่าทัพ ไม่ว่าจะทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ

และพร้อมที่จะช่วยเหลือประชาชน ทุกฝ่าย ทุกสี โดยไม่เลือกข้างแต่อย่างใดๆ ตนในฐานะ ผบ.ทบ. ก็ขอพูดตรงๆเลย จะไม่ให้รัฐบาลทำร้ายประชาชนอีก เหมือนเหตุการณ์ไทย ญี่ปุ่น ดินแดง ที่ประชาชนได้มีบาดเจ็บและล้มตาย

และตนขอพูดถึงเรื่องนายขวัญชัย อีกสักครั้ง ตนอยากจะทราบว่า นายขวัญชัย ใหญ่โต มาจากไหน ถึงขั้นได้ออกมาตำหนิติเตียนผู้ใหญ่หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง นิสัยแบบนี้ใช่ไม่ได้ ตนขอเปรียบ นายขวัญชัย เสมือนเด็กเมื่อวานซืน เพราะปากนายขวัญชัยยังไม่สิ้นกลิ่นนํ้านม และยังไม่มีความสามารถพอที่จะออกมาติเตียนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

สำนักข่าวไทย

“สนธิ” เชื่อ “นช.แม้ว” สุดแค้นแผนเหลว งัดไม้ตายล้มทั้งกระดาน กูไม่ได้พวกมึงก็ต้องไม่ได้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มกราคม 2557 11:49 น.  

“สนธิ” เชื่อ “นช.แม้ว” สุดแค้นแผนเหลว งัดไม้ตายล้มทั้งกระดาน กูไม่ได้พวกมึงก็ต้องไม่ได้

“ปานเทพ” โพสต์เฟซบุ๊กเผย “สนธิ” ประเมินสถานการณ์ ย้อนเหตุ “ทักษิณ” ล้มเหลวแผนกลับบ้าน-ยึดอำนาจวุฒิสภา-เลือกตั้งลำบาก-ถูกสกัดแก้ ม.190-กู้ 2 ล้านล้านเดินหน้าไม่ได้-ป.ป.ช.-ศาลเตรียมเชือดโกง แนะดูกรณี กม.นิรโทษฯ ส่อสันดานชัด เชื่อเจ้าตัวสุดแค้น งัดแผนกูไม่ได้พวกมึงก็ต้องไม่ได้ จุดชนวนความรุนแรงหวังล้มทั้งกระดาน คาดทำชาติยับเยิน แถมฝากความเสียหายให้เป็นสัญลักษณ์ ก่อนลอยนวลในต่างแดน รับสงครามอันเลี่ยงไม่ได้เริ่มแล้ว
     
       วันนี้ (9 ม.ค.) เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เขียนข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ หัวข้อ สนธิ ประเมินคนอย่างทักษิณ “กูไม่ได้พวกมึงก็ต้องไม่ได้ด้วย” พร้อมระบุว่า เช้าวันนี้ (9 ม.ค.) ว่าตนเห็นนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรฯ นั่งอ่านหนังสือกำลังภายในเรื่องพยัคฆ์ลำพอง เขียนโดยอึ้ง เอง ตนจึงสอบถามนายสนธิประเมินสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานี้อย่างไร นายสนธิวิเคราะห์ให้ฟังว่า การประเมินในเวลานี้ต้องคิดว่าถ้าเป็นคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องขังหนีคำพิพากษาศาลฎีกาจะคิดอย่างไร เราก็จะสามารถวิเคราะห์ต่อได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 1. ภายหลังความล้มเหลวในเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ร.บ.ทักษิณ ไม่สามารถกลับบ้านได้ 2. ความคาดหวังในการกระชับอำนาจทั้งในส่วนของวุฒิสภา เพื่อยึดองค์กรอิสระผ่านการการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.ล้มเหลวไปเรียบร้อยโดยคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
     
       นายปานเทพระบุว่า 3. พ.ต.ท.ทักษิณ คิดแก้เกมด้วยการเลือกตั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยหวังกลับเข้าสู่อำนาจล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะในเวลานี้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.25 เขตขึ้นไปซึ่งทำให้ไม่สามารถมีสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาลชุดใหม่ได้ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรต้องมี ส.ส.95% ขึ้นไปจึงจะถือเป็นสภาผู้แทนราษฎรได้ และเปิดประชุมสภาได้ เมื่อ 28 เขตไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ ผนวกกับ 22 เขตมีผู้สมัครเพียงคนเดียวต้องให้ได้คะแนนเสียงเกินกว่าร้อยละ 20 ขึ้นไป หากการเลือกตั้งไม่สามารถนับคะแนนระบบบัญชีรายชื่อได้ครบทุกหน่วยก็จะไม่สามารถประกาศ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่ออีก 100 คน หมายความว่าถ้าประชาชนยืดหยัดได้เช่นนี้ ฝ่ายระบอบทักษิณก็จะไม่สามารถกลับเข้าสู่อำนาจได้ในระบบนี้แล้ว
     
       อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ระบุต่อว่า 4. การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่จะไปเจรจาความตกลงและทำสัญญาระหว่างประเทศโดยปิดหูปิดตาประชาชน ไม่สามารถทำได้จากคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ (8 ม.ค.) ส่งผลทำให้ข้อตกลงให้ต่างชาติเป็นแนวร่วมหนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์อ่อนแอลง ไม่สามารถขายทรัพย์สมบัติของชาติหรือทรัพยากรให้ต่างชาติได้โดยอิสระเสรี ไม่สามารถแสวงหาประโยชน์ได้อย่างที่วางแผนเอาไว้ได้ 5. โครงการเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ที่คาดหวังเอาไว้ว่าจะมีผลประโยชน์อย่างมหาศาลต้องยุติลง การคอร์รัปชันที่หลายกลุ่มคาดหวังเอาไว้ก็สิ้นสุดไปด้วย โดยเฉพาะเมื่อยุบสภาไปแล้วก็เดินหน้าไม่ได้โดยรัฐบาลรักษาการ แม้จะเลือกตั้งกลับเข้าสู่อำนาจก็ไม่ได้อีกเพราะการเลือกตั้งไม่สำเร็จอีกเช่นกัน
     
       นายปานเทพระบุว่า 6. ป.ป.ช.ยังต้องมีการชี้มูลอีกหลายคดี ในส่วนของรัฐบาล เช่น การทุจริตจำนำข้าว โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ฯลฯ ยังไม่นับบางคดีในส่วนของสมาชิกรัฐสภาต้องมีการชี้มูลและถูกดำเนินคดีความต่อในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นความผิดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว. และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดที่มีโทษร้ายแรง หากยิ่งปล่อยเอาไว้นานวันก็มีแต่ความเสี่ยงรอวันถูกเชือดอย่างเดียว
     
       “เมื่อทักษิณล้างความผิดในอดีตของตัวเองไม่ได้ กลับบ้านไม่ได้ เจรจาตกลงขายทรัพย์สมบัติของชาติไม่ได้ ไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากการกู้เงินมหาศาล 2 ล้านล้านบาทได้ ไม่สามารถให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับเข้าสู่อำนาจได้ และยังต้องรอวันถูกเชือดจากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอีก จึงถือว่าทักษิณได้เข้าสู่การพ่ายแพ้ทุกทิศทางในระบบนี้แล้ว” นายปานเทพระบุ
     
       นายปานเทพเขียนต่อว่า คำถามคือ คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อพบสถานการณ์เช่นนี้จะคิดอย่างไร คำตอบนี้ ก็ให้ดูกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่หักหลังทรยศมวลชนคนเสื้อแดงได้โดยการล้างความผิดให้กับคนที่ตัวเองปลุกระดมว่าฆ่าคนเสื้อแดงเพื่อเป็นเหตุอ้างในการล้างความผิดให้กับทักษิณเองได้ และในยามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถได้รับการล้างความผิดผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ไม่เคยคิดจะสานต่อล้างความผิดให้กับมวลชนตัวเองอีกแต่กลับล้มทั้งกระดาน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทุกฉบับโดยยอมทรยศหักหลังคำสัญญาที่ให้ไว้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่เคยสนับสนุนตัวเอง
     
       “คุณสนธิวิเคราะห์ว่า คนอย่างทักษิณ “ถ้ากูไม่ได้ พวกมึงก็ต้องไม่ได้ด้วย” เมื่อทักษิณพ่ายแพ้ทุกทิศทาง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นที่เจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัส สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปถ้าคิดแบบทักษิณจึงเหลือหนทางเดียวเท่านั้นคือ “ล้มกระดาน” และการล้มกระดานจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีชนวนจาก “ความรุนแรง” เท่านั้น” นายปานเทพระบุ
     
       อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ระบุทิ้งท้ายว่า นายสนธิวิเคราะห์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะจากไปโดยทิ้งซากความเสียหายให้แก่ประเทศนี้อย่างยับเยิน โดยไม่สนใจอะไรเพราะถือว่าตัวเองอยู่ต่างประเทศไม่มีใครทำอะไรได้ รวมถึงอาจจะฝากความเสียหายบางอย่างให้เป็นสัญลักษณ์ที่ประชาชนรักและเทิดทูน เพื่อแสดงการข่มขู่และอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ให้เป็นบาดแผล สงครามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

.. “อำมาตย์ใหม่กำลังมา ?”

... ส่วนตัวเห็นด้วยกับ กำนันสุเทพในเนื้อหาที่ทำในตอนนี้ 2556 – 2557 เกือบทุกอย่าง ในสถานการณ์ตอนนี้ทางการเมืองไทย แบ่งออกเป็น 3 ก๊ก คือฝ่ายพรรคเพื่อไทย, ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์, และก็เริ่มมีฝ่ายที่ 3 เพื่ออยากเป็นทางเลือกใหม่ แต่ก็มีสิ่งที่น่าห่วงเกี่ยวกับกลุ่ม “อำมาตย์ใหม่” ที่อยากเป็นผู้ถือครองอำนาจใหม่ ว่ากำลังจะหรืออาจจะใช้เลือดเนื้อของคนไทยผู้รักชาติเป็นบันไดสู่บัลลังค์อำนาจก็เป็นได้ จึงอยากตั้งข้อสังเกต

... “อำมาตย์ใหม่” ประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, นายเนวิน ชิดชอบ ,นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, และน้องใหม่ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา

... "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" “บิ๊กป้อม” เป็นหัวเรือใหญ่จากกลุ่มทหาร “บุรพาพยัคฆ์” จากภาคตะวันออก เป็นเพื่อน เตรียมทหารรุ่น 6 กับ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และเป็นมือเท้าของบิ๊กบัง ในการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ด้วยเช่นกัน โดยสาเหตุนั้นมาจากการที่เริ่มไม่เห็นความมั่นคงในตำแหน่งหลังจากที่ “ทักษิณ” เริ่มมาแทรกแทรงในการแต่งตั้งโยกย้ายในฝ่ายทหารมากเกินไป และต้องการเป็นใหญ่มาแทนกลุ่มทหาร “วงษ์เทวัญ” ที่เป็นทหารในเมืองกรุง ที่ครองอำนาจมานาน

... "นายเนวิน ชิดชอบ" , จากข่าวฉาวเรื่องร่ำรวยจากทุจริตในธนาคาร BBC เมื่อหลายสิบปีก่อนจนธนาคารล่มสลายไป นักการเมืองจากอีสานใต้ที่ตำแหน่งที่ตั้งใกล้กับกลุ่มทหารภูธร “บูรพาพยัคฆ์” เนวินสร้างตัวเองจากนักการเมืองเกรดสองจนได้เป็นมือเท้าของทักษิณได้รับงานใหญ่ๆมากมาย จนทักษิณไว้ใจ จนตั้งกลุ่มแก็งสี่คนในสมัยรัฐบาล “สมัคร” นอมินีทักษิณ จนมีอำนาจล้นมือ แต่หลังจากสมัครหยุดการ “ชิบไปบ่นไป” ตามคำสั่งศาล และทักษิณดัน “สมชาย” ญาติฝ่ายเมียขึ้นมาแทน เป็นลางร้ายว่าอำนาจและบทบาทของเนวินใต้เงาทักษิณกำลังจะจืดจางลงเรื่อยๆ เพราะมีหลายกลุ่มที่อยากชิงดีชิงเด่นกันตลอดเวลา จากจุดนี้เนวินเริ่มคิดจะตีชิ่งออกมา

... ทั้งๆที่ก่อนนั้นเนวินพาทักษิณขี่ช้าง ไปทำพิธีไสยศาสตร์ที่ปราสาทเขาพนมรุ้งมาแล้ว เป็นหนึ่งในยุค “กระแสล้มเจ้า” ช่วงแรกๆ มวลชนเสื้อแดงยุคตั้งใข่ก็มาจากเนวิน การหลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือเช่นกรณีล้อมอาคารเนชั่น ก็ผลงานคนนี้ ... เนวินเพิ่งจะออกหน้าเรื่องจงรักภักดีก็ตอนที่หลุดจาก “คดีกล้ายาง” แล้วหันหลังให้ขบวนการล้มเจ้าของทักษิณจนหมดสิ้นหลังจากก่อนนั้น ได้กล่าวคำว่า “มันจบไปแล้วครับนาย” พร้อมกับดึงทุนใหญ่ “ชิโนไทย” ของตระกูล ชาญวีระกูล และ “คิงส์พาวเวอร์” ของ วิชัย รักศรีอักษร ไปด้วย ( โดยหลังจากทักษิณกลับมามีอำนาจอีกในร่างน้องสาว เนวินก็แอบไปฟอกตัวกับฟุตบอลไทยลีก โดยเล่นการเมืองแบบ เล่าปี่ ใน “สงครามยุทธการเซ็กเพ็ก” ที่ส่งขงเบ้งไปร่วมรบกับ ก๊กซุนกวน กับโจโฉ, รบแบบไม่ต้องรบ )

... "สุเทพ เทือกสุบรรณ" เป็นคนประสานหลังจากพรรคพลังประชาชนโดนยุบ ได้ดึงเอาเนวินมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้วดันให้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกสมหวังตั้งใจ “ไม่มีเขา ก็ไม่มีเราเป็นรัฐบาลในวันนี้" แล้วยก กระทรวงใหญ่ “มหาดไทย” “คมนาคม” ( โสภณ ซารัมย์ ) และ”พานิชย์” ให้ไปถลุงงบเล่น เพื่อเตรียมเป็น “เสบียง” ในการใช้จ่ายในอนาคตต่อไป เช่น การเช่ารถเมล์ 4,000 คันจากจีน การทำถนนปลอดฝุ่น โครงการไทยเข้มแข็ง ซื้ออาวุธไม้ตะเกียบเครื่องตรวจจับระเบิดแบบถูกหลอกในราคาแพง ล้วนแล้วแต่ต้องการเอาเงินมาทำงบให้ “กลุ่มอำมาตย์ใหม่” นี้ทั้งสิ้น โดยตอนนั้น สุเทพถูกคนในพรรคทั้งฝ่ายกลุ่มนายหัวชวน และ นายบรรญัติ บรรทัดฐาน แอบไม่พอใจ เพราะเอาใจกันอย่างออกหน้าออกตา สส.หลายคนในปชป. อยากดึงสุเทพลงจากอำนาจ ที่เล่นคนเดียวจนเพลิน ไม่สนใจคนอื่น

... ตอนช่วงที่ สุเทพเป็นผู้จัดการรัฐบาลของอภิสิทธิ์นั้น มีการออกแคมเปญในทำนองว่า “แดง เหลือง คือปัญหาความวุ่นวายของประเทศ” เพื่อจะสร้างความชอบธรรมให้คนเบื่อและเอือมระอาทั้งสองสี และต้องการเบนคะแนนความนิยมไปหา ปชป. ที่มีอภิสิทธิ์ที่ยังใหม่สด ไม่มีแผลใดๆ หลังจากช่วงแรกได้อานิสงส์จากพันธมิตรในการตัดกำลังทักษิณไปได้เยอะมาก


... แต่หลังจากนั้นหลายอย่างก็เริ่มแสดงว่า “อำมาตย์ใหม่” ต้องการแสดงตัวออกมาแล้ว หลังจาก “เกาะท้อง ปชป.เกิด” ก่อนในช่วงแรก พอโตแล้วต้องชิ่งและฆ่าคนที่เกาะมาเกิด โดยมีเหตุการณ์สามอย่างที่แสดงออกชัดเจน ที่แสดงว่า พวกเขาต้องการล้ม ปชป.

... หนึ่งคือเหตุการณ์“สุมฟืนใส่ไฟคนเสื้อแดง” ตอนประชุมอาเซียนที่พัทยา 11 เมษายน 2552 โดยมีคนเห็น เนวินซ้อนมอเตอร์ไซค์สั่งการอย่างใกล้ชิด เพื่อขีดเส้นใต้ “ดิสเครดิตคนเสื้อแดง” ให้ดูเป็นผู้ร้ายมากขึ้น( ความจริงพวกเขาก็ไฟร้ายแรงอยู่แล้วแต่ขยายโหมให้แรงขึ้นอีก ) ขณะเดียวกันก็ทำให้ “เครดิตของอภิสิทธิ์และปชป.น้อยลง” ว่าอ่อนด้อยไม่มีความเป็นผู้นำ ควมคุมประเทศให้สงบไม่ได้, สอง เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย แนวคิดเดิม คือ “ดิสเครดิตทั้งสองกลุ่ม” โดยปล่อยให้ “แดงทุบรถนายกอภิสิทธิ์” โดยที่ไม่มีตำรวจทหารคอยคุ้มกันเพียงพอ โชคดีที่รอดมาได้ โดย “อภิสิทธิ์” ถึงกับบอกว่า ตอนจะขับรถหนี มีรถทหารมาขวางไว้ด้วย, สามคือ 17 เมษายน 2552 เช้ามืดที่แยกบางขุนพรหม มีการพยายามลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” หลายร้อยนัด แต่สนธิไม่ตาย ทำให้เหตุการณ์ไม่วุ่นวายตามที่ต้องการ อภิสิทธิ์และ ปชป. ยังคงเป็นรัฐบาลต่อไป ในครั้งนั้น เสธ แดง ของฝ่ายเสื้อแดง ถึงกับกล่าวว่า “เหตุการณ์ที่แยก บางขุนพรหม มีสาม ป. เกี่ยวข้องด้วย” ( ป้อม ป๊อก ป๊อด )

... จะเห็นว่า “อำมาตย์ใหม่” ใช้วิธีที่โหดเหี้ยม อำมหิต ไม่แพ้ทักษิณ เพราะตอนที่ 7 ตุลา 2551 ที่ปราบปรามเสื้อเหลือง ก็คือน้องชายประวิตร คือ พัชรวาท เป็นผู้จัดการสั่งยิงคนสีเหลือง เพื่อทำให้เหตุการ์ร้อนแรงและเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ เพื่อความชอบธรรมในการออกมาเถลิงอำนาจ

... กลับมาปี 2556 – 7 หลังจากที่ “กำนันสุเทพ” ประกาศต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” อย่างเต็มกำลัง มองอีกแง่หนึ่งเหมือนเป็นการออกจากพรรค ปชป. แบบสง่างามและได้มวลชนมาร่วมด้วย ( ซึ่งการที่ประชาชนแสดงออกด้านดีงามต่อต้านคนโกง เป็นสิ่งที่น่ายกย่องเสมอ ) โดยลึกๆปชป. ก็อาจจะมองว่า กำนัน คงจะเอาใจไปเข้ากับฝ่าย “อำมาตย์ใหม่” มากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังหาทางชิ่งไปหากลุ่ม “อำมาตย์ใหม่” หลังจากเสร็จศึกครั้งนี้แน่ๆ

... แต่ก็มีคนมองว่า ตอนนี้ทักษิณมี “ทหารแตงโม” อยู่ในมือ เช่นเสธ ไอซ์ หรือ “รัฐตำรวจ” หรืออาจจะกลุ่มอื่นๆ ที่มั่นใจว่าจะต่อกรกับ “อำมาตย์ใหม่” ได้ และเหมือนฝ่าย “อำมาตย์ใหม่” เองก็ต้องการให้เหตุการณ์สุกงอม พร้อมจะปล่อยให้เกิดการนองเลือด เพื่อสร้างความชอบธรรมในการ “รักษาความมั่นคง” ขึ้นสู่อำนาจแบบ “ได้หน้า” ไปในตัว เพราะถ้าไม่สุกงอมนองเลือด อาจจะเป็นเหยื่อของ “สื่อและนักวิชาการขายตัว” ทั้งไทยและเทศที่มีปากกาในมือพร้อมจะเขียนทำลายทหารไทยตลอดเวลาว่าทำลาย “ประชาธิปไตย” ได้


... ส่วนตัวยังเห็นด้วยกับ “กำนันสุเทพ” แต่ก็ยังไม่อยากคิดแง่ร้ายว่า แกเล่นไพ่สองหน้า กินข้าวสองวง ไม่ใช่ทัพหน้าของ “อำมาตย์ใหม่” โดยการลากประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปสู่การนองเลือดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557, แบบที่เกิดแล้วใน “บังคลาเทศ” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จึงอยากฝากถึงกลุ่ม “อำมาตย์ใหม่” ว่ามันไม่คุ้มอีกแล้ว ที่จะเอาศพประชาชนที่รักชาติ เป็นบันไดสู่อำนาจ ในเกมการเมืองแบบเก่าๆเดิมๆของพวกอำมาตย์หลากหลายกลุ่ม ที่สุดท้ายก็โกงกินกันไม่แตกต่างกัน

... และถ้าพวกเขาตั้งใจ วางแผนไว้แล้ว “พวกเราประชาชนคนไทย ผู้รักชาติและความเป็นธรรม” ทั้งหลายก็จงรักษาตัวให้ดีนะครับ ในการเคลื่อนไหวใดๆบนท้องถนน เพราะถ้าวันนั้นมันเกิดตามที่เขาวางแผนกัน เขาก็จะได้อำนาจอย่างสมหวัง โดยไม่สนใจหรือมีน้ำตาให้กับซากศพของพวกเราประชาชนผู้รักชาติแต่อย่างใด ...



...
เครดิต : ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก หนังสือ “อำมาตย์ใหม่ อำมหิต”
http://th.wikipedia.org/wiki/วงศ์เทวัญ
http://th.wikipedia.org/wiki/กองพลทหารราบที่_2_รักษาพระองค์

ด่วน! ... ผู้บัญชาการทหารบกสั่งให้กำลังพลทุกหน่วยห้ามใครมาปิดทางเข้า-ออกกองทัพ

มีรายงานข่าวว่าเมื่อวานนี้ (8 มกราคม 2557) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้มีคำสั่งให้ทุกหน่วยและกำลังพลทุกคนของกองทัพห้ามไม่ให้ใครหรือหน่วยงานไหนปิดทางเข้า-ออก หน่วยของกองทัพเป็นอันขาด เผยป้องกันแผนอุบาทว์ที่เคยทดสอบปิดทางเข้า-ออกกองทัพ เมื่อครั้งม็อบ เสธ.อ้าย มาแล้ว ประชาชนหนุนทหารช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับมวลมหาประชาชน

แหล่งข่าวระบุว่า ได้มีการเผยแพร่คำสั่งของผู้บัญชาการทหารบกไปยังทุกหน่วยงานของกองทัพบกเพื่อให้ระมัดระวังและห้ามไม่ให้ใครหรือหน่วยใดๆ มาปิดทางเข้า-ออก ของกองทัพบกทุกหน่วยเป็นอันขาด โดยในการเผยแพร่คำสั่งนั้นมิได้มีการแสดงเหตุผลแต่ประการใด

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า กองทัพบกจำเป็นต้องป้องกันมิให้หน่วยงานหรือบุคคลใด ๆ มาปิดทางเข้า-ออกของหน่วยงานของกองทัพบก เพราะที่ผ่านมาเคยมีบทเรียนมาแล้วในกรณีม็อบเสธ.อ้าย ที่มีการระดมตำรวจเข้ามาในกรุงเทพฯ ถึง 75,000 คน เกินกว่าความจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังขนาดนั้น มีลักษณะเป็นการทดสอบบางอย่างที่ผิดสังเกต และได้มีการนำเอารถขนผู้ต้องหาและรถขนส่งต่าง ๆ มาจอดปิดทางเข้า-ออก ของกองทัพบก ของกองทัพภาคที่ 1 ของกองพลที่ 1 และปิดทางเข้า-ออกของหน่วยทหารอีกหลายหน่วย ทำให้ทหารไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออกหน่วย และกำลังพลจำนวนมากก็รู้สึกว่าเป็นการหยามน้ำหน้ากองทัพ ซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก เพราะไม่เพียงแต่เรื่องความสะดวกกำลังพลอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทหารยังมีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยภายในราชอาณาจักรและการปกป้องคุ้มครองประชาชน หากมีการปิดกั้นทางเข้า-ออกจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จะทำให้การทำงานไม่ได้รับความสะดวก

จากการสอบถามไปยังผู้ประสานงานของ กปปส. และแกนนำประชาชน ได้รับคำตอบอย่างเดียวกันว่ามวลมหาประชาชนสนับสนุนการสั่งการของผู้บัญชาการทหารบกดังกล่าว เพราะประชาชนเชื่อมั่นในกองทัพ เคารพในหน้าที่ของทหาร และมั่นใจว่าทหารจะปกป้องคุ้มครองประชาชน ดังนั้นทหารกับประชาชนย่อมร่วมมือกันเพื่อชาติบ้านเมือง และมีความเห็นว่าขณะนี้ขบวนการคางคก นกแสก ได้ปลุกระดมให้มวลชนเสื้อแดงปิดล้อมหน่วยทหาร ในขณะที่รัฐมนตรีถั่งเช่าก็แย้มว่า อาจมีการปฏิวัติ จึงสงสัยว่าระบอบทักษิณจะปฏิวัติตัวเอง จึงอยากฝากเตือนผู้บัญชาการทหารบกและบรรดาทหารที่รักชาติรักแผ่นดินให้ระมัดระวัง ทั้งนี้มวลมหาประชาชนพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับกองทัพและเหล่าทหารอย่างเต็มที่.

http://www.paisalvision.com/news/paisal-new/10931-2014-01-09-08-15-37.html


191แชร์ผ่านไลน์แผนก่อการร้ายกปปส.

9ม.ค.2557
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สงครามข่าวป่วนม็อบ ล่าสุดมีรายงานว่าตำรวจ"191"แชร์ผ่านไลน์" แผนก่อการร้าย กปปส. ส่งต่อทั่ว"นครบาล"

รายงานข่าวแจ้งว่า มีการแชร์ข้อมูลผ่านระบบไลน์ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ191และตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยการชุมนุมในพื้นที่กทม.ลักษณะกล่าวให้ร้ายกับผู้ชุมนุมว่า มีการเตรียมการก่อการร้ายโดยซุกซ่อนอาวุธในคนใส่ผ้าเหลืองมีรายละเอียดระบุว่า

"แจ้งด่วน! ม็อบ"กปปส."เล่นสกปรกเอาผ้าเหลืองมาบังหน้าเพื่อก่อการร้าย! "สายข่าวแจ้งให้ทราบเมื่อสักครู่ว่า ขณะนี้ มีม็อบกปปส.ไปขอซื้อจีวรพระในราคาถูกจำนวนมากหลายพื้นที่ จนที่เป็นที่สงสัย สืบไปสืบมาได้ความว่า พวกนี้จะนำจีวรไปให้พวกม็อบฮาร์ดคอร์ใส่เพื่อปลอมบวชเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการก่อการร้าย

ส่วนใหญ่จะเป็นพวกโรฮินยาที่เทือกเลี้ยงเอาไว้ในสวนปาล์ม สังเกตให้ดีนะครับ พวกนี้มาในคราบนักบวชแต่หน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนไทยออกไปทางแขก แผนของเขาก็คือพวกนักบวชเหล่านี้จะพวกพาพกอาวุธหนักไว้ในย่ามสามารถก่อการร้ายได้ทุกที่โดยคนไม่สงสัย เมื่อมีเหตุปะทะกัน จะใช้นักบวชนำหน้า เมื่อมีเหตุผิดพลาดก็จะลงข่าวว่า ตำรวจทำร้ายพระสงฆ์ ฝากเพื่อนๆช่วยแชร์แผนการชั่วช้าของม๊อบกปปส."ใช้ชื่อผู้โพลต์ว่า ตะวัน...191

ด้านกลุ่มเครือข่ายรถตู้กรุงเทพเคลื่อนขบวนรถตู้ 300 คันจากสนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดงมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อเวลา 09.00น.ที่ผ่านมาแสดงสัญลักษณ์คัดค้านการปิดกรุงเทพฯเนื่องจากผู้ประกอบการและผู้เช่าขับได้รับผลกระทบความเดือดร้อนอย่างหนักเพราะการจราจรติดขัดประชาชนไม่สามารถเข้ามาใช้บริการรถตู้สาธารณะในท่าจอดรถได้ทำให้ประสบภาวะขาดทุนขาดรายได้เป็นจำนวนมาก

คมนาคม เตรียมที่จอดรถจำนวน 36 จุด ในพื้นที่ 5 โซน รับมือชัตดาวน์กรุงเทพฯ 13 ม.ค

จุดจอดรถ 36 จุด วันที่ 13 ม.ค.เพื่อใช้บริการรถสาธารณะเข้า กทม. ดังนี้

1.สถานีรถไฟศาลายา100คัน
2.สถานีคู่ขนานลอยฟ้า (อู่บรมราชชนนี)300คัน
3.สถานีรถไฟตลิ่งชัน110คัน
4.สถานีรถไฟบางบำหรุ120คัน
5.ท่าเรือสะพานพระราม 5 50คัน
6.สถานีรถไฟบางซ่อน200คัน
7.บิ๊กซีเคหะธนบุรี00คัน
8.ทางด่วนด่านรัชดาภิเษก 40 คัน
9.ที่จอดรถสถานีลาดพร้าว 2,200 คัน
10.ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (วัชรพล) 70 คัน
11.สนามกีฬาการเคหะคลองจั่น 200 คัน
12.ฉลองกรุงพลาซ่า 200 คัน
13.เดอะมอลล์ บางแค 300 คัน
14.เซ็นทรัล พระราม 2 3,200 คัน
15.บิ๊กซี ราษฎร์บูรณะ 300 คัน
16.การทางบางขุนเทียน 50 คัน
17.ศูนย์ควบคุมฉลองรัช 120 คัน
18.พื้นที่ รฟม. พระราม 9 1,000 คัน
19.สนามกีฬาราชมังคลาฯ 2,000 คัน
20.สถานีรถไฟหัวหมาก 120 คัน
21.สถานีรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ลาดกระบัง 500 คัน
22.หมู่บ้านมณสินี 500 คัน
23.ตลาดสุวรรณภูมิ 200 คัน
24.สถานีรถไฟหัวตะเข้ 230 คัน
25.สนามบินสุวรรณภูมิ 3,575 คัน
26.ต่างระดับศรีนครินทร์ 80 คัน
27.เมกาบางนา
28.ด่านบางเมือง
29.ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 500 คัน
30.สถานีรถไฟรังสิต 350 คัน
31.บขส.รังสิต 100 คัน
32.ท่าอากาศยานดอนเมือง 2,000 คัน
33.ทางด่วนรังสิต 100 คัน
34.ทางด่วนแจ้งวัฒนะ 50 คัน
35.แอร์พอร์ตลิงค์มักกะสัน