PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

วัยเรียน วัยรัก จากปาก นายกฯ

บิ๊กตู่ เล่า ชีวิตวัยเด็ก ทั้งการเรียน และความรัก เผย มีเกเรบ้าง ปีนรั้วไปกินขนมตอนกลางคืนรอบโรงเรียน ปีนรั้วลำบาก แต่เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเอาตัวรอดได้ เผยได้ดีเพราะแม่ เป็นครูภาษาไทยสุดเข้มงวด ยันไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยเข้าห้องผู้ปกครอง ไม่ชอบความขัดแย้ง เผยชอบเล่นฟุตบอล ตำแหน่งศูนย์หน้า
พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ ได้ร่วมรับประทานอาหาร ในโอกาสปีใหมา กีบสื่อ
มีการพูดคุยสบายๆ เรื่องวัยเด็กของตนเองให้นักข่าวฟังว่า ใีเกเรบ้าง ปีนรั้วไปกินขนมตอนกลางคืนรอบโรงเรียน ปีนรั้วลำบากแต่เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเอาตัวรอดได้
นายกฯ กล่าวว่า แม่ของตนเองเป็นครูชอบเข้มงวด สอนภาษาไทย แต่ผมไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยเข้าห้องผู้ปกครอง ไม่ชอบความขัดแย้งเพราะไม่น่าจะแก้ปัญหาได้ง่าย ตนชอบเล่นบอล เป็นตำแหน่งศูนย์หน้า
ส่วนเรื่องแฟนคบทีละคน เพราะต้องให้เกียรติ แต่เชื่อในบุพเพสันนิวาส ทุกคนมีชะตากรรม มีคู่อยู่แล้ว มีแฟนตอนปี 3 ส่วนใหญ่ทหารได้แฟนเป็นครูเป็นหมอเพราะอยู่ในวงราชการพบกันบ่อย
ส่วนแฟนคนแรกของผมจำไม่ได้แล้ว เพราะแฟนไม่ใช่ภรรยา
เผยปกติตนเป็นคนพูดเก่ง โรแมนติก คิดแต่สิ่งดีๆ มองต้นไม้ใบหญ้าก็เอามาเขียนเป็นกลอน ชอบเขียนหนังสือและชอบภาษาไทย
ส่วนภรรยาที่มาเจอกันเพราะตนเรียนภาษาอังกฤษเพื่อไปต่างประเทศสัปดาห์ละครั้งวันละ 1-2 ชั่วโมง และอายุก็ไล่เลี่ยกัน แต่งงานกันตอนอายุ 34 ปี สมัยเป็นร้อยเอก จะหวานเเหววกันไม่ได้เพราะตนต้องอยู่ชายแดน
วันนี้เปิดความลับหมดเลย แต่อย่าทำให้ภรรยาหงุดหงิด
ส่วนที่ตนมีอารมณ์ฉุนเฉียวนั้น ตั้งแต่เป็นผู้บังคับหน่วยซึ่งถ้าดีด้วยก็จะเละเทะ แต่กับสื่อ อาละวาดทุกวันเพราะสื่อยั่ว
พร้อมได้กล่าวถึงบุตรสาว ว่าไม่อยากให้ไปไหนเพราะเป็นห่วงว่าจะลำบาก ภรรยาก็ลำบาก ส่วนแฟนของลูกสาวนั้น เขาบอกว่าถ้ามีแฟนต้องหาให้ดีกว่าพ่อ แต่ไม่ดีกว่า ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ที่ผ่านมาก็มีคนมาจีบลูกสาวตน แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว ลูกแฝดเลี้ยงยาก ต้องเอาเหตุผลเข้าสู้ แต่พอสู้ไม่ได้ ก็ต้องอ้างว่า เป็นพ่อนะ
นายกฯ ได้กล่าวว่า เด็กสมัยนี้เอาหัวใจมาก่อนความรู้สึก ต้องเอาเหตุผลและสมองมาด้วย เอาความรู้สึกอย่างเดียวไม่ได้ เป็นรักแรกพบไม่ดี

"บิ๊กตู่"ร่วมวง! กินเลี้ยงปีใหม่"สื่อทำเนียบ"พร้อมเล่าเรื่องเคยปีนรั้วร.ร.เสริมประสบการณ์ชีวิต

"บิ๊กตู่"ร่วมวง! กินเลี้ยงปีใหม่"สื่อทำเนียบ"พร้อมเล่าเรื่องเคยปีนรั้วร.ร.เสริมประสบการณ์ชีวิต
Cr:ทีนิวส์
วันนี้(8 ม.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ทำเนียบรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมงานเลี้ยงฉลองวันปีใหม่ 2559 ที่จัดโดยสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ภายใต้แนวคิดงานวันเด็ก โดยผู้สื่อข่าวบางส่วนได้มีการแต่งตัวย้อนวัยเป็นเด็กร่วมงานเพื่อชิงรางวัลการแต่งกาย โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวหยอกล้อว่า เห็นแล้วไม่มีอารมณ์ แต่เห็นแล้วน่ารัก ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมรับประทานอาหารและกล่าวกล่าวถึงวัยเด็กให้นักข่าวฟังว่า ตนเริ่มเกเรบ้าง ปีนรั้วไปกินขนมตอนกลางคืนรอบโรงเรียน ซึ่งปีนรั้วลำบากแต่เป็นการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราเอาตัวรอดได้ ส่วนเรื่องแฟนตนคบทีละคน เพราะต้องให้เกียรติ แต่เชื่อในบุพเพสันนิวาส ทุกคนมีชะตากรรม มีคู่อยู่แล้ว นักเรียนนายร้อยส่วนใหญ่มีแฟนตอนปี 3 ส่วนใหญ่เป็นครูเป็นหมอเพราะอยู่ในวงราชการพบกันบ่อย ส่วนแฟนคนแรกของตนจำไม่ได้แล้ว เพราะแฟนไม่ใช่ภรรยา และปกติตนเป็นคนพูดเก่ง โรแมนติก คิดแต่สิ่งดีๆ มองต้นไม้ใบหญ้าก็เอามาเขียนเป็นกลอน ชอบเขียนหนังสือและชอบภาษาไทย ส่วนภรรยาที่มาเจอกันเพราะตนเรียนภาษาอังกฤษเพื่อไปต่างประเทศสัปดาห์ละครั้งวันละ 1-2 ชั่วโมง และอายุก็ไล่เลี่ยกัน แต่งงานกันตอนอายุ 34 ปี สมัยเป็นร้อยเอก จะหวานเเหววกันไม่ได้เพราะตนต้องอยู่ชายแดน วันนี้เปิดความลับหมดเลย แต่อย่าทำให้ภรรยาตนหงุดหงิด ส่วนที่ตนมีอารมณ์ฉุนเฉียวนั้น ตั้งแต่เป็นผู้บังคับหน่วยซึ่งถ้าดีด้วยก็จะเละเทะ แต่กับสื่ออาละวาททุกวันเพราะสื่อยั่ว




นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม่ตนเป็นครูชอบเข้มงวด สอบภาษาไทย ตนไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยเข้าห้องผู้ปกครอง ไม่ชอบความขัดแย้งเพราะไม่น่าจะแก้ปัญหาได้ง่าย ตนชอบเล่นบอล เป็นตำแหน่งศูนย์หน้า
จากนั้นผู้สื่อข่าวนำกล้วยให้นายกรัฐมนตรีรับประทานพร้อมระบุว่าจะได้ทำงานได้อย่างราบรื่น พล.อ.ประยุทธ์ จึงกล่าวว่า ปีนี้จะยากขึ้น เพราะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง พร้อมถามถึงครอบครัวของผู้สื่อข่าวพร้อมกล่าวถึงบุตรสาวของตน ว่าไม่อยากให้ไปไหนเพราะเป็นห่วงว่าจะลำบาก ภรรยาก็ลำบาก ส่วนแฟนของลูกสาวนั้น เขาบอกว่าถ้ามีแฟนต้องหาให้ดีกว่าพ่อ แต่ไม่ดีกว่า ไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่ที่ผ่านมาก็มีคนมาจีบลูกสาวตน แต่ตอนนี้ไม่เห็นแล้ว ลูกแฝดเลี้ยงยาก ต้องเอาเหตุผลเข้าสู้ ทั้งนี้นายกฯ ได้กล่าวว่า เด็กสมัยนี้เอาหัวใจมาก่อนความรู้สึก ต้องเอาเหตุผลและสมองมาด้วย เอาความรู้สึกอย่างเดียวไม่ได้ เป็นรักแรกพบไม่ดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า เนื่องในโอกาสปีใหม่นี้ ทุกคนมีเวลาพักผ่อน ส่วนตนก็มีเวลา แต่ไม่ได้หยุดคิดเพราะต้องเตรียมขับเคลื่อนงานในปี 2559 เพราะถ้าเริ่มไม่ได้ ต่อไปก็จะเดินหน้าไม่ได้ ขอความร่วมมือให้เป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้องไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก ส่วนตัวอยากให้ประชามติผ่านและเลือกตั้งโดยไม่มีความรุนแรง แต่หากอยากให้เป็นแบบเดิมก็แล้วแต่ แต่ตนไม่อยากให้มีการใส่ความกันมาก เพราะเราไม่ได้ทำการเมือง ตั้งแต่วันแรกก็ยังไม่รู้ว่าทำมาถึงวันนี้ได้อย่างไร มีทางง่ายๆ กับทางลำบาก ตนเลือกทางลำบากแต่มีเหตุผลว่าเข้ามาทำไม ทำเพื่อใคร ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ยากสำหรับตนไม่เป็นไร แต่ขอให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตของประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ตนตัดสินใจเข้ามาเพราะคนจน ซึ่งต้องเรียนรู้ว่าจะอยู่อย่างไร ไม่ใช่ใช้แต่เงิน วันนี้จะลำบากถ้าไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อยากให้เข้าใจในภาพรวม ความมั่นคงเป็นบ่อเกิดของทุกอย่าง บ้านเมืองสงบ มีเรื่องความเชื่อมั่น ขอให้ช่างน้ำหนักสิ่งที่ผมทำ หรือท่านหวังจากรัฐบาลอื่น ส่วนเรื่องราคายางพารา ถ้าขึ้นราคาให้ใครจะเป็นคนจ่ายเงิน ตอนนี้ก็กำลังเร่งให้ แต่ไม่ได้พูดออกมา ยืนยันว่าเข้าใจความลำบากของเกษตรกรชาวสวนยาง แต่ตอนรายได้ดีก็ไม่บ่น ตอนนี้ก็ขอให้ช่วยกันให้ความร่วมมือ เราใช้งบประมาณอย่างเดียวไม่ได้ หากใช้ในส่วนนี้เกษตรกรอื่นก็จะตามมา ตอนนี้กำลังลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนข้อเสนอที่ให้นำยางไปทำถนนและพยุงราคายางและข้อเสนอของเกษตรกรที่ให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 60 บาท นายกฯ ระบุว่า รัฐบาลทำอยู่นำไปทำถนน แต่ตอนนี้ราคาถนนสูงขึ้น 15 % ถ้าอุดหนุนราคายางให้ได้ 60 บาท จะกลายเป็นอัดยายซื้อขนมยาย ค่ายางและค่าถนนจะแพงขึ้น เสียทั้ง 2 อย่าง ตอนนี้ไม่ขอบอกว่าตอนนี้กำลังทำอะไร ขอให้เป็นไปตามระบบ และใช้งบประมาณไปกว่า 2.5 แสนล้านบาทแล้ว ตนไม่อยากให้กลไกตลากบิดเบือน แต่กำลังสร้างกลไกเพื่อนำไปสู่การผลิตให้ได้ ทั้งนี้ในอดีตเคยสั่งให้มีการลดการผลิต ลดการปลูกแต่ก็ไม่สำเร็จ เกษตรกรจะยอมไหม เรื่องนี้มีการพูดมานาน พูดแล้วก็ไม่มีใครเชื่อ ตนรู้ใครพูดใครทำอยู่เพราะเขาเชื่อนักการเมืองท้องถิ่นมากกว่า ที่ผ่านมามีการส่งเสริมการปลูกยาง บุกรุกป่าเพื่อปลูกยางบนเขา เมื่อสั่งตัดก็หาว่าทำร้ายคนจน จึงต้องทำให้เกิดจากความสมัครใจ ส่วนการชุมนุมประท้วง ตนสั่งการไปแล้ว ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้มีการพูดคุยกับตัวแทนเกษตรกรไปแล้วเมื่อวานนี้ ตนก็รักเกษตรกรทุกคน แต่ไม่มีเงินจะให้ทำอย่างไร ทุกเรื่องถ้าเรียกร้อง ประท้วง ข่มขู่ตนไม่ทำให้ แต่จะทำในแบบของตน ไปประท้วงบนถนนก็โดนคดี ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย อย่าหาว่ารังแกคนจน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ตนอยากอยู่กับสื่อทำเนียบ เพราะถือว่าเป็นสมาชิกร่วมกัน แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้คุย อยากให้ทุกคนได้รู้ เราไม่สามารถทำได้อะไรทุกอย่าง และปีกว่าที่ผ่านมาไม่สามารถทำได้หมด หมดหน้าที่กลับบ้านนอน ดูลูกหลานโตมา ซึ่งน่ากังวลว่าวันหน้าจะมีงานทำไหม ไม่รู้จะทำเพื่ออะไร อยากทำให้เป็นมรดก สื่อน่ารักทุกคน ไม่ได้โกรธใครเลย อยากให้สร้างสังคมให้ปลอดภัย ไม่ได้อยากให้เขียนสนับสนุนตน แต่ขอให้นำเสนอสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำด้วยให้คนได้ตัดสินใจ หนังสือพิมพ์เขียนให้อีกฝ่ายอยู่ข้างหน้า แต่เขียนให้ตนอยู่ข้างใน ใครพูดก่อนคนเห็นก็เชื่อไปแล้ว ต้องสร้างใหม่ให้คนมีเหตุมีผล ไม่ใช่เขียนให้ทะเลาะกัน บอกแค่ฝ่ายไหนบอกว่ายังไง ทำไมเราต้องทำให้เกิดความขัดแย้ง
นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังอวยพรวันปีใหม่ให้ผู้สื่อข่าวให้มีความสุข ให้โอกาสและให้อภัยทุกคน และขอรวยอย่างพอเพียง เคยซื้อล็อตเตอร์รี่หรือไม่ มันถูกกันง่ายหรือไง ถ้าใครได้แบ่งหน่อย มีคนไม่ซื่อ มันก็เหมือนเดิมมาจองก็เหมือนเดิมนอมิดี แก้แล้วก็เหมือนเดิม สังคมไม่ร่วมมือ ตอนนี้ตนหาวิธีการอยู่ ให้โควต้า 25 ล้านใบ ผู้พิการ อีก 25 ให้ทั่วไป ผู้พิการบอกยังไม่พอ ตนต้องไปไล่รื้อดู
ทั้งนี้ระหว่างรับประทานอาหารนายกฯ ได้ถามช่างภาพว่า มีรูปตนกี่หมื่นรูปแบบ พร้อมเรียกช่างภาพและผู้ช่วยช่างภาพมาถ่ายรูปร่วมกับตน

5 นักกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ ประกาศไม่ร่วมกระบวนการยุติธรรมแบบคสช.

5 นักกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ ประกาศไม่ร่วมกระบวนการยุติธรรมแบบคสช.
นักกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ 5 คน มาที่สถานีตำรวจรถไฟธนบุรีแต่ไม่เข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบสวน พร้อมแถลงขอไม่เข้าร่วมกระบวนการยุติธรรมแบบคสช. ขณะที่อีก 5 คนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกและให้การปฏิเสธแล้ว ส่วนอีก 1 คนไม่ปรากฏตัว
วันนี้ (8 มกราคม 2559) ที่สถานีตำรวจรถไฟธนบุรี เวลา 10.00 น. อานนท์ และ กรกนก ซึ่งเป็น 2 ใน 11 นักกิจกรรมส่องกลโกงอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งถูกควบคุมตัวที่สถานีรถไฟบ้านโป่ง เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2558 และถูกแจ้งข้อหาชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 เข้ารายงานตัวและรับทราบข้อกล่าวหา โดยทั้งสองให้การปฏิเสธกับพนักงานสอบสวน และจะทำคำให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือมายื่นภายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2558 นักกิจกรรมที่ถูกออกหมายเรียก 2 ราย คือ วิจิตรและกิตธัช เข้ารายงานตัวและพนักงานสอบสวนสอบปากคำ โดยกิตธัชให้การปฏิเสธ และจะทำคำให้การเป็นหนังสือภายในวันที่ 15 มกราคม 2559 ขณะที่วิจิตรปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์สื่อ แต่ได้รับแจ้งจากตำรวจว่า วิจิตรให้การปฏิเสธ
ต่อมาประมาณ 14.00 น. นักกิจกรรมอีก 5 คน ประกอบด้วย สิรวิชญ์, ชนกนันท์, อภิสิทธิ์, ชลธิชา และกรกช มาถึง สน.ตำรวจรถไฟธนบุรี พร้อมแสดงจุดยืนไม่ขอเข้าร่วมกระบวนการยุติธรรมที่ คสช. เป็นผู้กำหนด โดยยืนยันไม่เข้ารายงานตัวตามหมายเรียก สำหรับบรรยากาศภายนอกสถานีตำรวจ เต็มไปด้วยสื่อมวลชนและประชาชนกว่า 100 คน ส่วนเจ้าหน้าที่ยังไม่มีท่าทีห้ามปรามการทำกิจกรรม
14.30 น. หลังอ่านแถลงการณ์ ประชาชนส่วนหนึ่งเข้ามอบดอกไม้ให้นักกิจกรรม ขณะที่พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ ร่วมอ่านบทกวี และกลุ่มดาวดินมาร่วมร้องเพลงให้กำลังใจ
14.40 น. อภิสิทธิ์ หนึ่งในนักกิจกรรม ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าคำสั่งคสช.ไม่ใช่กฎหมาย วันนี้มาแสดงตัวว่าไม่หลบหนี แต่ไม่ยอมรับหลักการของ คสช. นอกจากนี้ หลังให้สัมภาษณ์สื่อ กลุ่มนักกิจกรรมได้เปิดตัวหนังสือ ก้าวข้าม ฉบับเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งมีเนื้อหาว่าด้วยรางวัลแด่ผู้ตรวจสอบคอร์รัปชั่นภายใต้รัฐประหาร
จากนั้นในเวลาประมาณ 15.20 น. วิศรุต หนึ่งใน 11 นักกิจกรรมที่ถูกออกหมายเรียก เข้ารายงานตัวกับพนักงานสอบสวน สน.ตำรวจรถไฟธนบุรี
ขณะนี้สรุปได้ว่า นักกิจกรรมที่ถูกแจ้งข้อหาชุมนุมฝ่าฝืนคำสั่งคสช.จากกิจกรรมส่องโกงราชภักดิ์ เข้ารายงานตัว 5 คน มาที่สน.แต่ไม่รายงานตัว 5 คน และอีก 1 คน คือ ธเนตร ซึ่งถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ด้วย ไม่ปรากฎตัว

ปิดประตูปรองดอง กระบวนการออกกฎหมายค้ำยันอำนาจ

21 ธ.ค.59 ไทยรัฐ

“ต้องทำให้ชัดเจน ถ้าปล่อยไว้จะลามออกไป”
นายชัยเกษม นิติสิริ แกนนำพรรคเพื่อไทยและอดีต รมว.ยุติธรรม สะท้อนมุมมองถึงโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์ ระหว่างให้สัมภาษณ์ ทีมข่าวการเมือง โดยพยายามบอกไปถึงรัฐบาลและ คสช.ว่า ในเมื่อคนในรัฐบาลยังออกมายอมรับว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ก็จะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้สะเด็ดน้ำ ไม่เช่นนั้นประเด็นนี้จะลุกลามออกไปได้
รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา ในยามปกติมี ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน จะคิดและพิจารณาว่าจะมีกฎหมายอย่างไรถึงเหมาะสม ต้องผ่านวุฒิสภา กฤษฎีกาถึงจะออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้
ขณะที่ในยุคปัจจุบันกฎหมายเกิดขึ้นโดยคณะปฏิวัติ มันตั้งธงได้ อยากได้อะไรก็บอกไป แม้มีคนที่คัดค้านบ้าง แต่ในที่สุดกฎหมายออกมาตามธง เช่น รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างกันอยู่ จะให้ออกมาเหมือนสมัยมีสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้
ผู้นำประเทศอาจจะคิดดีต่อบ้านเมือง อยากจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในเมื่อผู้นำมาจากการปฏิวัติ มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้คนรอบข้างอาจจะไม่กล้าเถียงและแนะนำ
ทำให้กฎหมายบางฉบับที่ออกมาอาจจะไม่รอบคอบ เมื่อคลอดกฎหมายออกมานำไปใช้ก็ต้องมีกติกาที่ถูกต้อง คนใช้และปฏิบัติต้องรู้กฎหมายอย่างลึกซึ้ง ถ้าไม่รู้ควรปรึกษาผู้ที่รู้
ดูแล้วปัญหาการบังคับใช้กฎหมายอาจจะเกิดจากผู้นำมีอำนาจพิเศษ มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นายชัยเกษม บอกว่า ถูกต้อง เพราะคนที่มีอำนาจรัฏฐาธิปัตย์จะทำอะไร ออกกฎหมายอะไรก็ได้
เฉกเช่นเรื่องการคุ้มครองการบริหารจัดการข้าวคงเหลือในการดูแลของรัฐ ยังใช้มาตรา 44 เพื่อคุ้มครองผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการระบายข้าว
ความจริงใช้กฎหมายปกติก็ได้ เพราะการทำสุจริตไม่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่อาจจะไปกระตุ้นผู้ปฏิบัติหน้าที่ว่าไม่ต้องรับผิด หากทำอย่างนี้บ่อยๆจะไม่เป็นไปตามหลักยุติธรรมที่ควรจะเป็น
ถามว่าใช้คำสั่งตามมาตรานี้ได้หรือไม่ ก็ทำได้ แต่ถ้าวันหนึ่งศาลพิพากษาว่าไม่ได้เป็นรัฏฐาธิปัตย์เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เท่ากับนิรโทษกรรมตัวเองไม่ได้ ในที่สุดก็โดนดำเนินคดีกันเป็นทิวแถว มันก็เกิดขึ้นได้
เพราะวัฒนธรรมของประเทศ การดำเนินการต่างๆ แนวคิดในกระบวนการยุติธรรมมันผูกกันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็สามารถเปลี่ยนได้
ทีมข่าวการเมือง ถามว่า บ้านเมืองยังอยู่ในความขัดแย้ง การใช้กฎหมายแม้เป็นไปตามเจตนารมณ์หรือองค์ประกอบแล้ว แต่ถูกมองว่ายังไม่ยุติธรรม เช่น เปรียบเทียบการดำเนินคดีระหว่างโครงการรับจำนำข้าวกับโครงการสร้างอุทยานราชภักดิ์ สุดท้ายควรมีข้อยุติอย่างไร นายชัยเกษม บอกว่า การใช้กฎหมายต้องถูกต้องและเป็นธรรมไม่เอื้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
สิ่งที่ทำไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่ผลที่ออกมาถูกมองว่าสองมาตรฐาน แบบนี้แก้ยากมาก เพราะคนไทยแบ่งเป็นฝักฝ่ายและตั้งแต่ปฏิวัติมายังไม่เห็นว่าจะทำให้เกิดความปรองดองขึ้นได้อย่างไร จุดนี้สำคัญ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดย้ำตลอดว่า ได้ทำเพื่อให้เกิดความปรองดอง สามัคคี แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณะปรากฏว่า ประชาชนไม่รู้สึกอย่างนั้น แม้ท่านจะตั้งใจจริงจังหรือไม่ สุดท้ายผลมันไม่ออกมา
ขณะที่โครงการรับจำนำข้าว คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจว่าเป็นการทำตามรัฐธรรมนูญ เพื่อทำให้สินค้าเกษตรมีราคา เป็นโครงการสาธารณะ ซึ่งจะต้องไม่ดูว่ามีกำไรหรือขาดทุน เพราะต้องการช่วยชาวนาให้มีฐานะอยู่ในสังคมได้และกระตุ้นเศรษฐกิจ
ล่าสุดนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ออกมาบอกว่า นโยบายนี้ไม่ผิด แต่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ เตือนแล้วไม่ฟัง ก็ต้องไปดูว่าใครเตือน
ทั้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็ไม่ได้มีหน้าที่บอกให้รัฐบาลทำนั่นทำนี่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาเตือน ไปดูว่า ป.ป.ช.มีหน้าที่เตือนรัฐบาลได้หรือไม่
เมื่อเปิดกฎหมายดูแค่สามารถแนะนำได้ รัฐบาลก็ไปดูว่าจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร ถ้าไปทำตามองค์กรเหล่านี้ หรือทำตามฝ่ายค้านเตือน แบบนี้รัฐบาลก็บริหารประเทศไม่ได้
โดยเฉพาะรัฐบาลต่อไปจะมีปัญหาหากบอกว่าเตือนแล้วไม่ฟัง ถ้าต่อไปมีคนเข้าชื่อกัน 2 หมื่นชื่อ เพื่อเตือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ทำโครงการนั้นๆ ถ้าเกิดความเสียหาย
ขึ้นมาท่านต้องรับผิดชอบ มันทำได้หรือ ก็ทำไม่ได้
ขอให้ทุกคนคิดในภาพใหญ่ เมื่อออกนโยบายไปแล้วมีการทุจริตในระดับล่างก็ต้องแยกไปเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติ
แต่ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกลงโทษ ต่อไปใครเป็นรัฐบาลจะทำอะไรต้องคิดแล้วคิดอีก ซึ่งมันไม่ดี ยิ่งขณะนี้มีความพยายามเร่งรัดการสอบทางแพ่ง การเร่งรัดไม่ผิดเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องของอายุความ
แต่ที่น่าคิดเมื่อรัฐบาลตัดสินใจและไม่เปลี่ยนใจที่จะใช้ความรับผิดทางละเมิด ขอตั้งข้อสังเกตให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าว ควรทำด้วยความรอบคอบ เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
หากโครงการนี้เสียหายจริงจะต้องพิจารณาแบ่งสัดส่วนว่าใครรับผิดชอบจำนวนเท่าไหร่แล้วไปชำระค่าเสียหายตามนั้น ซึ่งมีทั้งใน ครม. ข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกนับร้อย แต่กลับเน้นสอบ น.ส.ยิ่งลักษณ์คนเดียว
ขอแนะนำว่าไม่ควรรวบรัดทำแบบลวกๆ ระวังผู้นำจะไม่สุจริตต่อหน้าที่ เพราะไม่ถูกต้องทางกฎหมายและระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ยิ่งเป็นคำสั่งของนายกฯที่เป็นคนล้มรัฐบาลย่อมไม่มีความสง่างาม เหมือนเป็นคู่กรณีต่อกัน ตามล้างตามเช็ดกันได้ทุกเรื่อง ลักษณะนี้ควรไปที่ศาลจะสง่างามกว่า
และถ้าขืนทำต่อไปในอนาคตคงต้องออกมาตรา 44 ยกเว้นว่าทำอะไรไม่ผิดอีก
ส่วนโครงการอุทยานราชภักดิ์ พอเกิดขึ้นในยุคทหารเรืองอำนาจก็ไม่อยากให้มีข่าวออกมาว่ามีการทุจริต แต่หลีกไม่พ้นแล้ว เพราะมีบุคคลในรัฐบาลพูดเองว่ามีการทุจริตก็ต้องเดินหน้าตรวจสอบ แต่จะทำได้เนียนแค่ไหน ถ้าทำไม่เนียนวันหลังก็ปรากฏว่าทำไม่ถูกต้อง ภาพของรัฐบาลก็เสียหาย
และไม่ใช่ไปบอกว่ากองทัพบกไม่มีอะไร ถ้ามีไปถามเอาเอง คนมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้ แต่ต้องทำให้ประชาชนรับได้
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลและ คสช. การร่างรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเป็นห่วงอะไรเป็นพิเศษ นายชัยเกษม บอกว่า ประเทศไทยมาถึงวันนี้เหนื่อย
รัฐบาลจะไปไม่รอดถ้าไม่ปรับกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน การร่างรัฐธรรมนูญต้องยึดหลักประชาธิปไตย
แต่ขณะนี้เริ่มชัดเจนทั้งที่มาของ ส.ส. และ ส.ว. ที่มาของนายกรัฐมนตรี องค์กรที่จะตัดสินวิกฤติของประเทศ นายชัยเกษม บอกว่า การออกแบบให้กลุ่มบุคคลหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด สามารถคานอำนาจรัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ เพราะคนออกแบบเชื่อว่ารัฐบาลเข้ามาแล้วจะไม่สุจริต
ความจริงรัฐบาลไหนเข้ามาไม่สุจริตจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเต็มที่ แต่จะกำหนดให้องค์กรต่างๆมาช่วยปกครองประเทศกับรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้
องค์กรที่มาไม่ใช่เทวดามีขึ้นมาแล้วจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้มาจากประชาชน อาจจะทำหน้าที่ได้ดี แต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่ได้ไม่ดี ฉะนั้นถ้าออกแบบระบบให้วิตถารก็ไม่ไหวไปไม่ได้
ในหลักการนิรโทษกรรมมาถึงวันนี้ควรจะยกเว้นใครบ้าง และควรกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญไว้อย่างไร เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมเดินหน้าสู่การปรองดอง นายชัยเกษม บอกว่า อีกไม่กี่วันรัฐธรรมนูญก็ออกมาแล้วคงจะรู้
แต่พอออกมาอีกกลุ่มหนึ่งอาจจะบอกว่าแรงไป และโทษบางอย่างอาจจะกันไว้เลยว่าเป็นโทษที่รุนแรง หรืออาจจะให้รับโทษกึ่งหนึ่งจะได้เบาหน่อย
วันนี้รัฐบาลต้องตัดสินว่าจะเอาอย่างไร.
ทีมการเมือง

DEMO ยางพารา ซู พุฒิชาติ





มีการเตรียมแต่งเพลง ไว้สำหรับเคลื่อนไหวของกลุ่มชาวสวนยาง




เปิดชื่อ 5 ผู้สมัครเข้ารอบสุดท้ายสรรหา ผอ.ไทยพีบีเอส คาดรู้ผล 14 ม.ค.นี้


คณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการ "ไทยพีบีเอส" เปิดชื่อผู้สมัครที่ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายจาก 13 คน เตรียมส่งชื่อให้คณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอส คัดเลือก  คาดรู้ผล 14 ม.ค.นี้
default tpbs
วันที่ 7 มกราคม เว็บไซต์"ไทยพีบีเอส" รายงานระบุคำให้สัมภาษณ์ของนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอสเปิดเผยว่ากรรมการได้พิจารณาคัดเลือกผู้สมัครและกลั่นกรองให้เหลือ 5 คน โดยมีรายชื่อผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกรอบที่ 1 ดังนี้
1. ผศ.นลินี สีตะสุวรรณ
2. นายสุระ เกนทะนะศิล 
3. นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ 
4. นายศักดิ์ชัย พฤฒิภัค 
5. นายกฤษดา เรืองอารีรัชต์
นายเดชอุดม กล่าวว่า วันที่ 7 มกราคานี้ ผู้สมัคร 13 คน ได้มาแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหา โดยใช้เวลาคนละ 30 นาที ก่อนที่คณะกรรมการจะคัดเลือกเหลือ 5 คน หลังจากนี้ คณะกรรมการสรรหาจะนำรายชื่อพร้อมประวัติและผลงานของทั้ง 5 คน เสนอต่อประธานคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอสเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพิจารณาคัดเลือกรอบสุดท้ายและแต่งตั้งผู้อำนวยการไทยพีบีเอส โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอสจะประชุมในวันที่ 14 ม.ค.2559 เพื่อคัดเลือกและแต่งตั้งผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ผอ.ไทยพีบีเอสคนใหม่
สำหรับผู้สมัครทั้ง 13 คน   ได้แก่
1.นายพัฒนะพงศ์ จันทรานนทวงศ์
2.ผศ.นลินี สีตะสุวรรณ
3.นายสุระ เกนทะนะศิล
4.นายวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์
5.นายวีระยุทธ โชคชัยมาดล
6.นายศักดิ์ชัย พฤฒิภัค
7.นายสะหะศักดิ์ กลิ่นสุวรรณ
8.นายอนุพงษ์ ไชยฤทธิ์
9.นางสุวรรณา บุญกล่ำ
10.นายสุรภากร ศรีวุฒิวงศ์
11.นายธนกร ศรีสุขใส
12.นายกฤษดา เรืองอารีย์รัชต์
13.นายยุทธนา วรุณปิติกุล
การสรรหาผู้อำนวยการไทยพีบีเอสคนใหม่ มีขึ้นหลังจากคณะกรรมการนโยบายไทยพีบีเอสมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เลิกสัญญาจ้าง นายสมชัย สุวรรณบรรณ ผอ.ไทยพีบีเอส เมื่อวันที่ 9 ต.ค.2558 โดยชี้แจงว่านายสมชัยได้กระทำผิดสัญญาจ้าง เรื่องการปฏิบัติงานตามแผนงานที่ได้รับความเห็นชอบให้บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนด และการจัดทำรายงานแสดงผลการปฏิบัติงานเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายทุกสามเดือน การเลิกจ้างผู้อำนวยการไทยพีบีเอสครั้งนี้ มีผลให้ผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ ส.ส.ท. พ้นจากตำแหน่งตามวาระของผู้อำนวยการด้วย ส่วนคณะกรรมการบริหารทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งทันที ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ด้วย

ไพศาล:การตั้งสังฆราช

′ไพศาล′ออกตัวเเรง ติงแก๊งวิ่งราวอำนาจพระสังฆราช ย้ำ ′บิ๊กตู่′มีอำนาจใช้ดุลยพินิจ 
https://t.co/MuoQ2zQYr8
##kook kai

  เมื่อวันที่ 7 มกราคม นาย พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.
อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol กล่าวถึงประเด็นที่มีการกล่าวถึงในทำนองว่า การเลือกสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่ ว่าต้องตั้งเรื่องจาก "มหาเถรสมาคม" เพราะไม่เคยมีประเพณีปฏิบัติเป็นอย่างอื่น และมหาเถรสมาคมไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกองค์อื่น เพราะถูกบังคับตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 แล้วว่า ต้องเป็นสมเด็จที่มี "อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ซึ่งไม่ใช่พรรษา" ว่า

อย่าคิดว่าเคยวิ่งราวชิงอำนาจสมเด็จพระสังฆราชสำเร็จมาหนหนึ่งแล้ว จะทำซ้ำได้อีก คนเขารู้ทันกันหมดแล้ว ครั้งนั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กำลังปฏิบัติพระภารกิจในพระอุโบสถวัดบวร พวกแก๊งวิ่งราวกลับตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อ้างว่าสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ เป็นบาปนักบาปหนา จนหลวงตาพระมหาบัวและพระป่ากว่า 400 รูปประชุมสงฆ์ ลงพรหมทัณฑ์สวดคว่ำบาตรไม่ให้ไปสวรรค์นิพพานได้อีก จนบัดนี้ก็ยังแก้ไม่ตก

นายไพศาล กล่าวต่อว่า "มาครั้งนี้ ก็ทำท่าจะวิ่งราวอีกแล้ว กำลังหลอกใครต่อใครว่าการตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็นอำนาจของมหาเถร ที่ต้องเลือกตามอาวุโสโดยสมณศักดิ์ แล้วนายกฯ เป็นแค่ไปรษณีย์ จะต้องนำความกราบบังคมทูลไปตามนั้น นี่มันเตรียมการวิ่งราวกันชัด ๆ"

ทั้งนี้ ขอประกาศให้รู้โดยทั่วกันว่า หนึ่ง การนำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช เป็นอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจใช้ดุลยพินิจว่าสมควร หรือถึงเวลา หรือเหมาะสมที่จะนำความกราบบังคมทูลเมื่อใด อย่างไร ใครจะมาบังคับไม่ได้

และสอง ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะนำความขึ้นกราบบังคมทูล ก็ต้องพิจารณา 4 ประการ
(1) มหาเถรให้ความเห็นชอบว่าสมควรเสนอสมเด็จพระราชาคณะรูปใด

(2) สมเด็จพระราชาคณะรูปนั้น มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์

(3) สมเด็จพระราชาคณะที่มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์นั้น สามารถปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ต้องเสนอสมเด็จพระราชาคณะลำดับถัดไปโดยลำดับ

(4) สมเด็จพระราชาคณะรูปนั้น จะทรงเป็นสกลมหาสังฆปริณายก คือเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของคณะสงฆ์ทั้งประเทศและของพุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ จะสามารถทำหน้าที่ถวายพระธรรมและคำอธิบายทางพระพุทธศาสนาแก่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้หรือไม่ มีความบริสุทธิ์ในศีล มีจริยาวัตรอันงาม ไม่ต้องคดีอาญาแผ่นดิน ไม่ตกเป็นที่ครหานินทาเรื่องหนีภาษี เรื่องสั่งสมทรัพย์สิน เรื่องรับสินบน เรื่องตั้งคนปาราชิกให้ดำรงสมณศักดิ์ เรื่องตั้งตนเสมอเจ้า มอบพัดยศแก่ผู้ที่ไม่ไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อรับพระราชทานเสียเอง เหล่านี้ เป็นต้น

เมื่อนายกรัฐมนตรีพิจารณาโดยชอบ และเห็นสมควรนำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว ยังเป็นอำนาจของคณะมนตรีที่จะกลั่นกรองตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม จากนั้นยังเป็นพระราชอำนาจที่จะทรงสถาปนาอีกด้วย

"การที่ขบวนการวิ่งราวอำนาจอ้างแต่เพียงอำนาจมหาเถรอ้างแต่เพียงอาวุโสโดยสมณศักดิ์เพียงสองเรื่องแล้วตัดอำนาจความถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้นทั้งปวงจึงเป็นเรื่องที่สาธุชนทั้งหลายพึงเข้าใจ พึงติเตียน บ้านเมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง เราจึงอยู่รอดปลอดภัยกันมาได้ จงวางใจเถิด" นายไพศาล กลาวทิ้งท้าย

cr..matichon online

อิหร่านกับอินเดียจับมือสหรัฐสะดุ้ง

ข่าวจากสำนักข่าวอินเดียส่วนมากผมจะอ่านแบบผ่านๆ เพราะส่วนมากจะมีเนื้อข่าวนิดเดียวแต่ขนเยอะตามประสาแขกอินเดีย ต้องมีการเกริ่นว่า นาร้ายย นารายณ์ ก่อนสามรอบถึงจะพูดเนื้อข่าวออกมา   แต่ข่าวจากสำนักข่าวอินเดียเอ็กเพสข่าวนี้ผมเอามาผสมกับสำนักข่าวจากรัสเซียที่เป็นข่าวเดียวกันแล้วค่อยกระชับมีเนื้อข่าวเพิ่มขึ้นอีกหน่อย
   
   
เวลานี้อิหร่านและอินเดียจับมือกันขายน้ำมันเป็นเงินรูปีแล้ว โดยถีบเปโตรดอลล่าทิ้งแบบขัดใจอเมริกายิ่งนัก  เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่อิหร่านกับอินเดียตกลงซื้อขายกันเป็นรูปีมาหลายปีแล้ว โดยปี 2013 ตกลงกันว่าอินเดียจะจ่ายเงินค่าน้ำมันเป็นรูปี 45% และที่เหลือเป็นดอลล่า เพราะอิหร่านเองโดนอเมริกาแซงชั่นมานานตั้งแต่ยุคอิมหม่ามโคไมนี ย่อมขาดเงินดอลล่ามาหมุนเวียนในการค้าขายกับประเทศอื่นที่ไม่ได้แซงชั่นอิหร่านแต่อยากขายของให้อิหน่านเป็นดอลล่า  
   
   
แต่เวลานี้อิหร่านหลุดจากการแซงชั่นแล้วโดยอเมริกาและยุโรปปลดการแซงชั่น หลังจากอิหร่านตกลงตามข้อเสนอโดยส่งยูเรเนียมทั้งดิบและปรับปรุงสภาพแล้วออกไปนอกประเทศทั้งหมด โดยอิหร่านตัดสินใจส่งให้รัสเซียมิตรรักเก็บรักษาเอาไว้ให้  ดังนั้นอิหร่านวันนี้จึงไม่เดือดร้อนเรื่องดอลล่าอีกแล้ว  จึงตกลงกับอินเดียว่าจะขายน้ำมันทั้งหมดเป็นอินเดียรูปีโดยโอนเงินเข้าธนาคารในอินเดียที่เป็นบัญชีของบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่านทั้งหมดนั่นง่ายดี เนื้อข่าวมีอย่างนี้ครับ
Ditching the dollar, Iran and India have agreed to settle all outstanding crude oil dues in rupees in preparation to future trade in their national currencies. The dollar dues — $6.5 billion equaling 55 per cent of oil payment — would be deposited in National Iranian Oil Co account with Indian banks
อย่าสับสนเรื่อง 55% นะครับ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละผมไม่ชอบอ่านข่าวจากสำนักข่าวอินเดียก็เพราะแบบนี้แหละ  ถ้าไม่รู้เรื่องที่ทั้งสองตกลงกันก่อนเรื่อง 45%  ที่ขายเป็นรูปีตั้งแปี 2013 ก็อ่านแล้วงงตายห่ะ   ส่วนยอดเงินนั้นคือ 6.5พันล้านเหรียญ ไม่น้อยเลยทีเดียว แบบนี้อเมริกากระอักเลือดแน่อน  ดอลล่าวูบไปจากตลาดน้ำมันไม่ใช้น้อย  
    
   
และอีกอย่างต้องไม่ลืมว่าอิหร่านนั้นเป็นเศรษฐีน้ำมันมาตั้งแต่ยุคพระเจ้าชาร์ปาเลวีแล้วนะครับ มีเงินฝากไว้ที่อเมริกามหาศาลพอถึงยุคปฎิวัติอิหร่านโดยอิมหม่ามโคไมนี อเมริกาแซงชั่นอิหร่านแล้วยึดเงินที่อิหร่านฝากไปทั้งหมด  ถึงวันนี้อิหร่านก็ยังไม่ได้เงินที่ฝากไว้คืน  ผมเชื่อว่าถ้าอิหร่านทวงเงินก้อนนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยอเมริกาสะดุ้งแน่เพราะมันเป็นเงินไม่น้อยเลย  ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะหลักหลายพันล้านเหรียญ  
 
   
 ************************************************************************
    
ตรงนี้ผมคุยเล่นๆเรื่องคนอิหร่านจากที่ผมเคยสัมผัสมากับตัวเองครับ  ใครไม่อยากอ่านข้ามไปอ่านข่าวต่อข้างล่างได้เลยครับ
   
หลายๆคนจะมองว่าคนอิหร่านนั้นเหมือนมารร้ายตามที่อเมริกาเป่าหูมาเป็นสิบปี  แต่ผมบอกได้เลยว่าคนอิหร่านนั้นคบง่ายที่สุดแล้วในบรรดาแขกอาหรับทั้งหลาย  และเป็นคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรเหมือนพวก อียิปต์ หรือ ตุรกี ที่ผมถือว่าเป็นแขกคบยาก   ผมมีเพื่อนเป็นอิหร่านหลายคนสมัยที่ยังทำมาหากินอยู่ในมหาวิทยาลัย  แต่ละคนนั้นนิสัยดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่นแม้จะต่างศาสนา  และผู้หญิงอิหร่านก็หน้าตาคมเข้มสวยมากเกือบทุกคน ไม่ได้คุลมเป็นไอ้โม่งไปทุกคนตามภาพที่เห็นออกมาจากข่าวฝั่งอเมริกาหรอกครับ   พวกเธอมีเสรีภาพที่จะเปิดหน้าแต่ตัวตามแฟชั่นเดินกับสามีออกไปช็อบปิ้งได้ตามปกติไม่ต่างกับสมัยพระเจ้าซาร์ยังปกครองอยู่   และบรรดาเมียๆ ของคนอิหร่านนี้ชอบทำอาหารมากทุกบ้าน   เพียงแต่ชมว่าพวกเธอทำอาหารอร่อยเพียงครั้งเดียว พวกเธอจะผลัดกันส่งอาหารอิหร่านให้ผมกินจนบรรดาสามีเรียนจบกลับบ้านเลยทีเดียว  และเป็นแบบนี้ทุกคนเสียด้วยจนกลายเป็นว่าพวกสามีเธอกินอะไรต้องมีของผมใส่กล่องมาฝากด้วย โดยผลัดกันนัดสลับส่งอาหารมาวันละบ้าน ผมกินแต่อาหารใส่เครื่องเทศบ่อยๆ จนผมมีกลิ่นตัวเหมือนแขกไปเลย  ผมมีเพื่อเป็นอิหร่านที่มาเรียนหลายรุ่น  สิบกว่าคน ผมยังไม่เจอคนอิหร่านทำตัวเลวมีนิสัยเป็นแขกเห็นแก่ตัวเหมือนแขกทั่วไปเลยสักคน   ถ้าไม่ติดว่าผมมีเมียแล้วจะหาเมียเป็นอิหร่านที่รัฐบาลส่งมาเรียนต่อต่างประเทศสักคนน่าดี   
   
   
และอีกอย่างคือคนอิหร่านเข้ามารับราชการในราชสำนักสยามหรือเข้ามาค้าขายกับสยามตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาแล้วนะครับ  ลูกหลานอิหร่านที่กลายเป็นคนไทยยังมีเต็มเมืองทั้งสายบุนนาคพุทธและบุนนาคมุสลิม ล้วนสืบเชื้อสายมาจากท่านเจ้าพระยาบวรราชนายก เฉกอะหมัด ทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีแขกจากสายอื่นหรือประเทศอื่นเข้ารับราชการกรมท่าหรือกรมอื่นเลยในครั้งกรุวศรีอยุธยา ทั้งที่แขกพวกนั้นอยู่ใกล้สยามมากกว่าอิหร่าน  สายเจ้าเมืองทางใต้ของสยามในยุคเมื่อสามสี่ร้อยปีก่อนล้วนแต่มีเลือดอิหร่านไม่มากก็น้อยกันทั้งนั้น เวลานี้ ตระกูล บุนนาค อหะหมัดจุฬา อากาหยี่ และนนทเกษ ล้วนแต่มาจากอิหร่านตั้งแต่สมัยอยุธยาทั้งนั้น
  
 *********************************************************************************************
   
  
โม้เรื่องคนอิหร่านกับสาวอิหร่านมากไปแล้ว ผมต่อเรื่องอิหร่านขายน้ำมันให้อินเดียดีกว่า   การที่มีการตกลงขายเป็นรูปีนั้นเป็นเพราะอิหร่านเรียลนั้นเป็นค่าเงินที่ใช้ในประเทศ ไปแลกนอกประเทศก็ไม่มีใครเอาเพราะติดแซงชั่นจากอเมริกามานาน แต่ครั้งนี้ดอลล่าโดนถีบออกไปจากระบบทั้งหมดโดยอิหร่านยอมรับรูปีอินเดียล้วนๆ นั้นน่าจะทำให้อเมริกาหนวดกระดิกพอสมควร  เพราถ้าจะคิดตัวเลขแล้วจากตามข่าวแล้ว ปีละสามพันล้านดอลล่าหายวูบไปจากตลาดน้ำมันของอิหร่าน  นี่ยังไม่รวมที่จีนกับรัสเซียกอดคอกันถีบเปโตรดอลล่าทิ้งโดยซื้อขายเป็นเงินหยวนกับเงินรูเบิ้ลล้วนๆ อีกนะครับ ค่าเงินต่อปีไม่น้อยเลยทีเดียวแถยังจ่ายล่วงหน้าอีกด้วย  และเวลานี้รัสเซียกับกลุ่มยูโรก็ตกลงเรื่องการซื้อขายแกสเป็นเงินยูโรกับเงินรูเบิ้ลแล้ว  ถ้ารวมๆทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาไม่กีปี ตลาดเงินของเปรโตรดอลล่าของอเมริกาหายไปปีละนับหลายพันล้านเหรียญ หรืออาจจะชนหมื่นล้านเหรียญเลยทีเดียวถ้ารวมทั้งโลก
   
   
เรื่องนี้ถ้าถอยหลังไปอีกไม่กี่สิบปี ซัดดัม ฮุดเซ็น ปธน.ของอิรักเป็นผู้ค้าน้ำมันคนแรกที่ตกลงว่าจะไม่ใช้เปโตรดอลล่าแล้วในการขายน้ำมันให้ประเทศอื่น แต่จะยอมรับเงินสกุลอื่นแทน   ผลออกมาก็คือซัดดัมโดยอเมริกาถล่มจนตายคาประเทศ  ประเทศที่เคยเจริญรุ่งเรื่องถึงกับแหลกยับไปทั้งประเทศรวมถึงกรุงแบกแดกที่รุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้าและตลาดเงินมานับพันปีก็ล่มสลายพังไปทั้งเมือง   เรื่องนี้มันเป็นเพราะ ซัดดัม ฮุดเซน ดันแหกคอกบอกว่าจะไม่ใช้เปโตรดอลล่าในการขายน้ำมันนี่แหละครับ  ไม่ใช่เรื่องบุกคูเวตเพียงอย่างเดียวตามที่ข่าวสายตะวันตกออกมาให้โลกรู้ตามนั้น  เรื่องนี้ทางฝั่งรัสเซียก็พูดเรื่องนี้ออกมาว่า 
This is truly a bold move by Iran, a country literally surrounded by American military bases. We shouldn't forget what happened to Iraq after it announced that it was dumping the dollar.The difference, of course, is that Iran has a little friend called "Russia".
นี่คือการเคลื่อนไหวอย่างกล้าหาญอย่างแท้จริงของอิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศที่โดนล้อมกรอบโดยฐานทัพอเมริกา  เราไม่ควรจะลืมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอิรักหลังจากประกาศว่าจะไม่ใช้เงินดอลล่า  แต่สิ่งที่แตกต่างนั่นก็คืออิหร่านมีเพื่อตัวเล็กๆ ที่ชื่อว่า "รัสเซีย"
 
สื่อทางฝั่งรัสเซียจบข่าวได้สะใจมากครับ  เพื่อนตัวเล็กๆ ที่ชื่อรัสเซีย แต่ดันมีอาวุธยิงไม่อั้นข้ามทะเลดำทะเลแดงมาพันกว่ากิโลเมตรเข้าถล่มไอซิสจนอเมริกาตะลึงตาค้างมาแล้วเมื่อสองเดือนก่อน