PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2557

ศึกตำนานเลือด อุเทนฯ-ปทุมวัน

พลิกแฟ้มคดีดัง : สืบทอดศึกตำนานเลือด อุเทนฯ-ปทุมวัน

ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานถึง 77 ปี ตำนานศึกสองสถาบัน ปทุมวัน-อุเทนถวาย ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเพียรพยายามหาทางออกอย่างไรก็ไร้ผล

ตรงกันข้ามกลับทวีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะ 2 เหตุการณ์ล่าสุด ยกพวกตะลุมบอนที่หน้าสถาบันนิติเวชวิทยาและหน้าห้างมาบุญครอง

อะไรคือสาเหตุอันเป็นจุดก่อกำเนิดและการดำรงอยู่ของปัญหาของสองสถาบัน ?

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เดิมทีชื่อ "โรงเรียนก่อสร้างอุเทนถวาย" เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2475 เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี รมว.ศึกษาธิการ ดำริให้ก่อตั้งขึ้น

ในที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบนเนื้อที่ 2 ไร่ ระยะแรกเปิดรับนักเรียน 3 แผนก คือ ประถมวิสามัญ มัธยมวิสามัญ และช่างฝีมืองานไม้

ตลอดเวลาการเรียนการสอนมีการเปลี่ยนหลักสูตรเรื่อยมา กระทั่งปี 2542 ได้เปิดการสอนในระดับปริญญาตรีต่อเนื่องจากระดับ ปวส.ในสาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาการจัดการงานก่อสร้าง

สาขาวิศวกรรมโยธา และยุบการสอนระดับชั้น ปวช.ออกไป เนื่องจากเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เชื่อกันว่าทำให้ปัญหาการยกพวกตะลุมบอนดำรงอยู่

"จากการสำรวจพบว่า ระดับ ปวช.เป็นระดับชั้นที่เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทบ่อยที่สุด จึงยุบการสอนไปแล้วมาเปิดการสอนระดับปริญญาตรีแทน แต่ปัญหาก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม" สาคร สิธิเดชากุล อายุ

44 ปี ศิษย์เก่าอุเทนถวาย รุ่น 51 เจ้าของบริษัทซีวิว โซลูชั่น จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างใน จ.ภูเก็ต เท้าความ

ขณะที่สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นโรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2475 ในนามโรงเรียนอาชีพช่างกล ณ ตึกพระคลังข้างที่ ตรอกกัปตันบุช ถนนสีลม

เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยคณะนายทหารเรือนำโดย น.อ.พระประกอบกลกิจ ด้วยต้องการให้ปลูกฝังอาชีพช่างให้เยาวชนไทย

หลังจากนั้นได้ย้ายไปตั้งแทนที่กรมแผนที่ทหารบก และต่อมาปี 2480 ได้เช่าที่ดินตรงข้ามสนามกีฬาแห่งชาติ ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นวังของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ

พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ แล้วย้ายโรงเรียนมาตั้งอยู่ที่นี่ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2482 ตั้งชื่อใหม่ว่าอาชีวศึกษาชั้นสูงแผนกช่างกลและเป็น ช่างกลปทุมวัน จนปี 2541 ได้ยก
ฐานะเป็นสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน

สาคร เล่าว่า ตั้งแต่เข้ามาศึกษาที่อุเทนถวายก็พบเห็นความขัดแย้งและยกพวกตะลุมบอนระหว่างสองสถาบันแล้ว โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร แต่ส่วนตัวเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องของวุฒิภาวะและ
ความคึกคะนองของวัยรุ่น ประกอบกับปทุมวัน-อุเทนถวายมีที่ตั้งอยู่ใกล้กัน จึงมีเหตุขัดแย้งกันบ่อย ยิ่งห้างมาบุญครองและสยามสแควร์เปิดแรกๆ เป็นจุดศูนย์รวมของกลุ่มวัยรุ่น เลยเห็นว่าทั้งสองสถาบันมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันบ่อย อย่างไรก็ตามหลังๆ มานี้ สาครรู้สึกหดหู่ใจทุกครั้งเมื่อเห็นการทะเลาะวิวาทของทั้งสองสถาบัน มีความสูญเสียเกิดขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามจะมีอีกหลายคนที่เสียใจ

ขณะที่อีกหลายคนก็จะสูญเสียโอกาสในชีวิตไป

 ศิษย์เก่าอุเทนฯ ยืนยันเสียงหนักแน่นว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา รุ่นพี่ไม่มีการสั่งสอนให้ทำร้ายห้ำหั่นสถาบันใด ไม่มีใครอยากให้เรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้น แต่จะพยายามสอนให้รักเพื่อน รักพี่ รักน้อง มี
อะไรให้ช่วยเหลือกัน

"ไม่ว่าสถาบันไหนๆ ก็รักสถาบัน รักเพื่อน รักพี่ รักน้องไม่แตกต่างกัน ถ้าผมไม่ได้อยู่อุเทนฯ ถ้าเพื่อนโดนทำร้ายผมก็ต้องช่วย"

สาครยกตัวอย่างหนึ่งเมื่อครั้งจบออกมาแล้วสมัครงาน เขาได้งานทำทันทีทั้งที่เจ้าของบริษัทยังไม่เห็นหน้าด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลเพียงว่าจบจากอุเทนถวาย ซึ่งทำให้มีทุกวันนี้ได้ก็ด้วยความรักเพื่อน
พ้องและพี่น้องนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สาครเฝ้ามองรุ่นน้องอยู่ทุกวันนี้เห็นว่า การยกพวกตีกันของสองสถาบันไม่ได้มากไปกว่าเมื่อครั้งอดีต เพียงแต่ปัจจุบันรุนแรงมากขึ้น มีการใช้ระเบิด ใช้ปืน ต่างกับสมัยก่อนที่มีอย่างดีก็แค่มีด ไม้ และคัตเตอร์ ประกอบกับยุคนี้สื่อเข้าถึงและแพร่กระจายข่าวได้รวดเร็วกว่าเท่านั้น

มุมมองของปัญหาของสาครส่วนหนึ่งไม่ต่างอะไรกับ "ชนินทร์ นุ่มศิริ" ศิษย์เก่าช่างกลปทุมวัน รุ่น 43 อดีตอาจารย์สอนช่างกลปทุมวันมายาวนานถึง 22 ปี มองว่าปัญหาของปทุมวัน-อุเทนฯ ก็เหมือนกับสถาบันอื่นๆ เพียงแต่ทั้งสองสถาบันนี้อยู่ใกล้กัน อยู่ใจกลางเมือง ใจกลางชุมชน เมื่อเกิดอะไรขึ้นจึงเป็นที่จับตามองมากกว่า อย่างไรก็ดีปัญหาการต่อยตีของสองสถาบันสั่งสมมานาน

สำหรับเขามองว่าสมัยยังเรียนอยู่การทะเลาะเบาะแว้งเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย ไม่มีการรุมทำร้ายหรือใช้อาวุธรุนแรงเหมือนสมัยนี้ตรงกันข้ามกับสมัยนี้ที่มีความเชื่อผิดๆ ต้องเก็บแต้ม ทำคะแนน ถึงจะเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนฝูง !?!

"ผมไม่อยากเชื่อว่าเด็กเหล่านี้ทำไมถึงยอมรับความคิดและค่านิยมผิดๆ จากรุ่นพี่ที่สั่งสมมา ทั้งที่ตัวเองเรียนระดับปริญญาตรีแล้ว ผมเห็นกับตาว่าเด็กเชื่อรุ่นพี่มากกว่าครู เขายอมยกมือไหว้รุ่นพี่ แต่ไม่ไหว้ครู หนำซ้ำครูผู้หญิงเห็นตั้งวงเหล้าในสถาบันว่ากล่าวตักเตือน เขาไม่พอใจโยนระเบิดปิงปองใส่ก็มี"

สำหรับแนวทางแก้ไขนั้น อาจารย์ชนินทร์ เชื่อว่า ทุกคนต้องช่วยกัน โดยเฉพาะสถาบันครอบครัว เนื่องจากครูจะดูแลได้ในช่วงหนึ่งเท่านั้น คนที่อยู่ใกล้เด็กมากที่สุดคือเพื่อนและรุ่นพี่ บางครั้งชวนกันไปทำสิ่งผิด เด็กก็คิดว่าเพื่อนและรุ่นพี่ของเขาคือคนที่เป็นห่วงเขาและเขาไว้ใจได้ที่สุด นอกจากนี้ การยกระดับการศึกษาด้วยการยุบ ปวช.แล้วมาสอนปริญญาตรีก็มีส่วนด้วย ปริญญาตรีสอนให้เรียนรู้การใช้ชีวิต แต่ระดับ ปวช.ต้องมีครูคอยจ้ำจี้จ้ำไช รวมถึงการบริหารการศึกษาโดยเน้นเรื่องธุรกิจเป็นหลัก

เมื่อไรจะเลิกตีกัน ?

"ไม่รู้ว่าความขัดแย้งจะจบลงตรงไหน ผมอยากให้มันยุติลงเร็วๆ เพราะสถาบันก็ยกระดับเป็นปริญาตรีแล้ว หมายถึงพวกเราอยู่ในระดับปัญญาชน" เก่ง นักศึกษาปี 1 อุเทนฯ

"ตอบยาก เพราะถ้าอุเทนฯ หยุดปทุมวันจะหยุดหรือเปล่า มันเป็นเรื่องความหวาดระแวง ที่ผ่านมาจับมือยุติความขัดแย้งแล้ว แต่ก็มีคนตายคนเจ็บตลอด" ต้น บัณฑิตใหม่หมาดจากรั้วอุเทนฯ

"อยากจะจบนะ แต่ใครจะรับรองความปลอดภัย ไปถามใครก็อยากให้จบความขัดแย้งทั้งนั้น ทุกวันนี้จะมาเรียนหรือไปไหนมาไหนก็ระแวง ไม่เป็นสุขเหมือนกับนักศึกษาที่อื่น" พจน์ นักศึกษาปทุมวัน

"มันมีมานานแล้วจะให้หยุดทันทีคงไม่ได้ ใครจะรับรองความปลอดภัยให้ ไม่นานมานี้ผมกับเพื่อนขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ใส่ชุดยูนิฟอร์มของบริษัท แค่เห็นสวมแหวนรุ่นปทุมวันก็ตามมาเอามีดแทง

แล้ว" ติ๊ก บัณฑิตปทุมวันที่เตรียมเข้ารับปริญญาปลายปีนี้

ทางแก้-ทางออก

แอ๊ด คาราบาว ศิษย์เก่าอุเทนถวาย

สาเหตุที่ตีกันอย่างทุกวันนี้ เป็นค่านิยมและความเข้าใจผิดๆ ถูกปลูกฝังโดยพวกรุ่นพี่ตัวดี เข้าไปยุแหย่ให้น้องๆ คล้อยตาม อยากให้ครูคอยเข้มงวดดูแล อย่าให้รุ่นพี่เหล่านี้มาคอยเสี้ยมรุ่นน้อง สมัยผมเรียนก็มีรุ่นพี่พวกนี้มาชักจูงให้รักษาเกียรติสถาบัน เป็นรุ่นน้องก็ทำตามๆ กันไป พอจบออกมาก็คิดได้ว่าที่ทำมันไร้สาระ จึงอยากจะฝากบอกต่อกับรุ่นน้องๆ จงยึดถือสิ่งที่ถูกต้อง ออกไปทำงานให้สังคมจะดีกว่ามัวมานั่งทะเลาะเบาะแว้งกัน สถาบันเองก็ต้องเอาตัวหัวโจกออกไป รวมถึงรุ่นพี่ที่จบไปแล้วอย่าให้มามีส่วนเกี่ยวข้องอีก

สมบัติ เมทะนี ศิษย์เก่าอุเทนถวาย

สมัยที่ผมเรียนไม่มีเหตุการร์รุนแรงแบบนี้ สมัยก่อนมีการปลูกฝังทำกิจกรรมร่วมกันของทั้งสองสถาบันอยู่เป็นประจำ ทำให้นักเรียนรักกัน การชกต่อยมีบ้างในกลุ่มเด็กผู้ชาย แต่ไม่ได้ใช้มีดแทงกันหรือไล่ยิงกันเหมือนทุกวันนี้ ครูต้องเป็นคนโน้มน้าวจิตใจให้เด็กๆ ได้คิด ปัจจุบันทั้งสองสถาบันลืมเรื่องนี้ ลืมที่จะปลูกฝังเรื่องของความรัก ความสามัคคีกัน ถ้าครูสามารถดึงตรงนี้กลับมาได้ จะช่วยลดการทะเลาะวิวาทของเด็กลงได้

มนตรี สินทวิชัย หรือครูยุ่น เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก

ปัญหาความรุนแรงกระจายไปทั่วทุกที่ สะท้อนว่าวัยรุ่นนิยมใช้ความรุนแรงและใช้อาวุธมากขึ้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องควบคุมการจำหน่ายอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นมีดสปาร์ตาไปจนถึงปืน ซึ่งหาซื้อได้

ง่ายมาก เมื่อควบคุมได้โอกาสในการใช้ความรุนแรงก็จะน้อยลง แล้วหากิจกรรมให้เด็กมารวมกลุ่มกัน ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำๆ เลิกๆ ส่วนสื่อเองก็อย่ากระพือปมขัดแย้งโดยไม่จำเป็น
///////////////
วันพฤหัสบดี ที่ 29 มกราคม 2552
ศึก"อุเทนฯ-ปทุมวัน" ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ..!
Posted by ..ปาปารัสโซ่.. , ผู้อ่าน : 13240 , 15:13:35 น.  
หมวด : ตำรวจ-อาชญกรรม
 พิมพ์หน้านี้     โหวต 0 คน


  กับช่องว่างที่เหลือน้อยที่สุดระหว่าง 2สถาบัน

การเสียชีวิตของ"นศ.อุเทนฯ"ที่ถูกจ่อยิงหน้าเซเว่นฯอย่างอุกอาจ-โหมเหี้ยมคือภาพบาดตา- ของเหล่า"ชาวถิ่นสีน้ำเงิน"ทุกคนและหลายคน-รวมทั้งสังคมก็ด่วนสรุปร่วมกันว่า ..ต้องเป็นฝีมือคู่อริเก่าอย่าง"ปทุมวัน" มิมีผิด

และคล้อยหลังเพียง 4 วันจากนั้นได้เกินเหตุการณ์กับ "นศ.ปทุมวัน" และถูกยิงตายเช่นกัน..

ภาษานักเลงจะบอก "เลือดแลกเลือด"

เหล่าชาว"ฟันเฟืองทอง" ก็สรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้เช่นกันว่า นี่คือฝีมือริเก่าคู่แค้นเดิมอย่าง "อุเทนฯ"แน่นอน

 ความเขม็งเกลียวระหว่าง 2 สถาบันอีกครั้ง รอเพียงแต่ว่า..ใครจะเริ่มก่อน...(อีกครั้ง)

ยิ่งไปดูประวัติศาสตร์ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสำหรับ 2 สถาบัน..เพราะก่อตั้งสถาปนาสถาบันในยุค 2475 โน่น

ชื่อเสียงเก่าๆคือ
-อุเทนถวาย หรือ ( โยธา-พญาไท)
-ปทุมวัน (นายร้อยเจริญผล)

ในสายตาเด็กช่าง 2 สถาบันนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ในสายตาคนภายนอก..จะมอง"อุเทนฯ"มุมบวกกว่า เพราะคนมีชื่อเสียง ดารา-นักร้อง จะประกาศตัวเสมอว่าข้าคือ "ศิษย์เก่า" ตัวจริง-เสียงจริง

ขณะที่"ปทุมวัน"จะโด่งดังในสายวิชาชีพมากกว่า

โปรดจับตา"วันบลูเดย์" หรือชาววันสีน้ำเงินจะรวมตัวในวันสถาปนา"อุเทนฯ" คือ 1 ก.พ.ของทุกปี ...
ข่าวแว่วๆว่า ร.ร.ปิดยาว 28-30 ม.ค. แต่วันที่ 1 ก.พ.ศิษย์เก่า-ปัจจุบันจะรวมตัว...
ต้องดูว่าของจะขึ้น -องค์จะลงหรือไม่...

ขณะที่" ปทุมวัน" 1 สิงหาฯ คือวันสถาปนาของทุกปี

ตำนานนักเลง-นักเรียน คือสิ่งที่เราพบในเมืองกรุงฯขณะที่นักเรียน-นักเลงในต่างจังหวัด..น้อยๆมาก
แทบจะนับคดีได้...

มีภาษานักเลงที่เขียนไว้บนรถเมลล์สายหนึ่งว่า

" ใครขอซื้อชีวิต ยอมปลิดให้
เอาชีวิตนั้นไซร้ เป็นมูลค่า
มรึงกล้าซื้อ กูขายตามราคา
หากเสียท่า นั้นอีกเรื่องไม่เคืองกัน.."

ยิ่งมองลึกลงไปในสายตาของชาวอาชีวะ
เรามีพ่อองค์เดียวกัน -สายวิชาชีพเหมือนกัน
แต่ทำไมแค่สีเสื้อที่ต่างกัน..
เราจะนั่งรถเมลล์คันเดียวกันไม่ได้
เราจะนั่งผ่านหน้าสถาบันอื่นๆไม่ได้
เราจะปรองดองกันไม่ได้

เพราะว่า "ศักดิ์ศรี" หรือขัวโขน ใช่หรือไม่
แต่หากเป็นอัตลักษณ์ที่ถ่ายทอดจากรุ่น-สู่รุ่นต่างหาก
ประวัติศาสตร์ที่...กดทับความถูกต้อง-ดีงาม
เหยียบศพเพื่อนต่างสถาบัน...เพื่อให้กรูโดดเด่น

แต่ลืมไปว่า ....
ชีวิตเด็กช่าง -ช่างบัดซบสิ้นดี
(ในสายตาที่คนอื่นมองเข้าไป)
/////////////////
"ปทุมวัน-อุเทน" มะเร็งร้ายดื้อยา

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
20 มกราคม 2553 11:27 น.

ในช่วงเปิดศักราช 2553 ต้องยอมรับเลยว่าปีขาล นั้นดุๆสมชื่อจริงๆ โดยเฉพาะกรณีนศ. ช่างกลปทุมวัน กับ ก่อสร้างอุเทนถวาย ตีกันข้ามภพข้ามชาติ มาจนถึงทุกวันนี้ ต่างพาเหรดกันขึ้นหน้าหนึ่งเป็นข่าวเด่นประเด็นดังต่อเนื่องกันหลายวัน และมีทีท่าว่าจะไม่หยุด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลพวงของลักษณะสังคมไทยที่รักพวกพ้อง รักสถาบัน เป็นลักษณะนิสัยแบบอิงหมู่ของคนไทย
     
       มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย เดิมทีชื่อ "โรงเรียนก่อสร้างอุเทนถวาย" เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2475 เมื่อเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี รมว.ศึกษาธิการ ดำริให้ก่อตั้งขึ้นในที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบนเนื้อที่ 2 ไร่ ส่วนสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน เป็นโรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2475 ในนามโรงเรียนอาชีพ
ช่างกล ณ ตึกพระคลังข้างที่ ตรอกกัปตันบุช ถนนสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยคณะนายทหารเรือนำโดย น.อ.พระประกอบกลกิจ ด้วยต้องการให้ปลูกฝังอาชีพช่างให้เยาวชนไทย ก่อนย้ายมาตั้งอยู่ที่ตั้งในปัจจุบันเมื่อปี 2482 ตั้งชื่อใหม่ว่าอาชีวศึกษาชั้นสูงแผนกช่างกลและเป็น ช่างกลปทุมวัน จนปี 2541 ได้ยกฐานะเป็นสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน
     
       มหากาพย์ของ 2 สถาบันแห่งนี้ถ้าจะให้สาวไส้ละก็ยาวเป็นหางว่าวแน่ๆ ว่ากันว่าสมัยก่อนความขัดแย้งของทั้งสองสถาบันไม่ทราบเกิดจากสาเหตุอันใด แต่น่าเชื่อเป็นเรื่องของวุฒิภาวะและความคึกคะนองของวัยรุ่น ประกอบกับทั้งสองสถาบันอยู่ใกล้กัน จึงมีเหตุขัดแย้งกันบ่อย แต่ ณ ตอนนี้ทุกฝ่ายคงต้องลงมาดูเป็นการด่วน เพราะนับวันเริ่มจะทวีความรุนแรงขึ้น แม้ครั้งหนึ่งการกระทบกระทั่งของทั้งสองสถาบันอาจเป็นแค่การขีดพ้นสีตามผนังกำแพง ประกาศศักดาว่า "กูพ่อใคร" "ใครใหญ่" จนเริ่มค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็นการชกต่อย ยกพวกตะลุมบอน ตามประสาวิธีชีวิตของลูกผู้ชายในยุคนั้น
     
       แต่ปัจจุบันเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม วันเวลาเวียนผ่านเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น ทั้งสองเริ่มคิดกลวิธีต่างๆที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องบาดเจ็บล้มตาย แม้หลายฝ่ายจะเพียรพยายามให้ทั้งสองสถาบันหย่าศึกลงก็ตาม สุดท้ายมันก็แค่เป็นการจัดฉากสร้างภาพให้ดูดีขึ้นในสายตาของสังคมเท่านั้น "ขอโทษนะครับไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหารนะท่าน" มาตราการสั่งห้ามโน่นห้ามนี้ ทำอะไรทรชนเหล่านี้ไม่ได้หรอก ประเภทจับมือออกสื่อบอกให้คนทั้งโลกว่ารักกันแล้วนะ หรือออกมาแสดงเจตนารมย์ว่าจะยุติศึก "แล้วเห็นเปล่า..ทำได้ไหม" ตอนเค้าทำกันเหล่าทรชนพวกนี้อยู่หรือมาร่วมกะเค้าหรอ พวกมันจะมาร่วมทำแมวน้ำอะไร
     
       คดีความของทั้งสองในปีที่ผ่านมามากมายก่ายกองเต็มโรงพัก สน.ปทุมวัน เจ้าของท้องที่ไปหมด ว่ากันว่าคดีส่วนใหญ่ยังจับผู้กระทำผิดไม่ได้ มีผู้คนบาดเจ็บล้มตายในเหตุนองเลือดของทั้งสองสถาบันอยู่โข แม้กระทั่งประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กับเหตุการณ์ก็ผลอยโดนลูกหลงไปกับเค้าด้วย เพราะอะไร? ทำไมต้องตีกัน? ตีกันแล้วได้อะไร? สะใจหรอ? บาดเจ็บล้มตายใครละที่เสียใจ? เคยคิดได้ไหม? คำถามเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำหลังเกิดเรื่องราวการทะเลาะวิวาทขึ้น
     
       มาที่เหตุการณ์ปมขัดแย้งล่าสุดที่ทำให้ศึก"ปทุมวัน-อุเทน"ระอุขึ้นอีก จนทำให้หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวอยู่หลายสัปดาห์ติด จนทำให้ประเด็นเป็นที่สนใจของสังคมมากขึ้น เริ่มจากช่วงปีส่งท้าย เมื่อวันที่10 ธ.ค.52 เมื่อเวลา 05.00 น.นายณัตถพันธุ์ คลองรอด นศ.ชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนจิสติกส์ นอนจมกองเลือด เสียชีวิตอยู่ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย หลังการสอบสวนทราบภายหลังว่าผู้ก่อเหตุในครั้งนี้เป็นฝีมือของนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันที่ขี่ จยย.และใช้อาวุธปืนยิงเข้ามาภายในสถาบัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต แม้จะสามารถจับคนร้ายที่ร่วมกันลงมือได้แล้ว 1 ราย แต่ยังเหลืออีก 2 รายที่ยังหลบหนี
     
       มาวันที่ 12 ม.ค.53 เวลา 11.00 น. สองคนร้ายควบ จยย.กราดยิงนักศึกษาเทคโนฯ ปทุมวัน ขณะเดินบนฟุตปาธหน้าสถาบัน ทำให้มีนักศึกษาปทุมวันบาดเจ็บ 3 ราย โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพได้ขณะที่คนร้ายก่อเหตุ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามสืบพบว่าจยย.ที่คนร้ายใช้เป็นของนักศึกษาอุเทนถวาย โดยคดีอยู่ระหว่างตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ไม่ถึงสัปดาห์ตำรวจปทุมวันสามารถรวบ 17 นักศึกษาปทุมวัน รุมแทงช่างซ่อมมือถือห้างมาบุญครองได้รับบาดเจ็บ โดยอ้างเตรียมยกพวกตะลุมบอนกับนักศึกษาคู่อริ แต่นึกว่าช่างซ่อมมือถือเป็นนักศึกษาคู่อริจึงเข้าทำร้าย
     
       จนกระทั่งพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.มีมาตราการควบคุมสถานศึกษาทั้งสองสถาบันเตรียมนำกฎหมายอั้งยี่ซ่องโจรมาใช้ในการดำเนินคดีกับรุ่นพี่ทั้ง 2 สถาบันที่ให้การสนับสนุนในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท พร้อมประกาศ"เคอร์ฟิว" ห้ามนักศึกษาอยู่ภายในสถาบันหลังเวลา 20.00 น.และเข้าตรวจค้นสถาบันทั้งสอง โดยเริ่มที่เทคโนฯ ปทุมวัน จากการตรวจค้นพบเพียงอุปกรณ์การนอนรถเข็นของห้างเทสโก้โลตัสจำนวน 2 คัน เหล้า เบียร์ น้ำแข็ง โซดา ภายในอาคารสโมสรนักศึกษา และประทัดยักษ์ ส่วนที่อุเทนถวายก็โดนตรวจค้นเช่นกันพบอาวุธมีด 13 เล่ม กระสุนปืนสำหรับซ้อมขนาด .38 1 นัด มีดคัตเตอร์ 1 เล่ม ประทัดยักษ์ 7 ดอก ไพ่ 2 สำรับ น้ำเต้าปูปลา 2 คู่ โซดา 1 ขวด กระป๋องเบียร์ที่ทุบจนแบน 1 กระสอบ และถุงนอน
     
       แม้มาตราการป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทของทั้งสองสถาบันจะถูกนำมาใช้ หรือใช้กำลังตำรวจเข้าไปตั้งกองรักษาการณ์อยู่ภายในทั้งสองสถาบันก็ตาม อาจเป็นไปได้ที่ต้องการหยุดไฟที่กำลังร้อน ให้เบาลงแค่ชั่วคราว แต่สังคมมองปัญหาที่เกิดขึ้นมันซ้ำซากจำเจ จนเอือมระอาเต็มที่กับการกระทำของทั้งสองสถาบัน ใครต่อใครหลายคนต้องมาจบชีวิตกับแค่สีเสื้อไม่เหมือน ศักดิ์ศรีของสถาบัน ที่ถูกปลังฝังมาแบบผิดๆ
     
       สุดท้ายคนที่เสียใจที่สุดก็คือพ่อแม่ ที่ต้องร้องไห้มารับศพลูก แปลกชะมัดโตๆกันแล้วพูดคุยก็ภาษาเดียวกัน ชื่อนำหน้าก็เป็น"นาย"อยู่บนแผ่นดินเดียวกันที่ชื่อ"ไทย" รักเคารพ"พ่อหลวง"องค์เดียวกัน แต่ใยมาย่ำยีกันเองถึงเลือดตกยางออก ฤาจะให้ต้องงัดมาตราการเด็ด"ยุบ"ทิ้งทั้งสองสถาบันจะดีไหมจะได้หมดปัญหาจะได้ปิดตำนานศึก"ปทุมวัน-อุเทน"และเหลือไว้เป็นความทรงจำที่(ไม่)น่าจำอีกต่อไป.

       "หนุ่มน้อย"
       เขาเดินเข้าออกในซอยทุกวัน เพื่อนฝูงทุกคนต่างรักใคร่เขา
       ทุกๆ ตอนเช้าแต่งตัวไปเรียน ไม่เคยจะเกจะขาด
       พ่อแม่ภูมิใจ มีลูกผู้ชายเอาการเอางานเอาเรียน
       ก็ชีวิตนี้ดั่งไม้ใกล้ฝั่ง หวังพึ่งพาลูกชายคนเดียว
       โอ.โฮ๊ะ.โอ...เจ้าเด็กหนุ่มของพ่อ... โอ.โฮ๊ะ.โอ...เจ้าเด็กหนุ่มของแม่
       ตกเย็นเลิกเรียนกลับบ้านตามเคย ห้อยโหนรถเมล์อย่างเก่า
       คิดถึงกับข้าว บนจานใบเก่ามีแม่กับพ่อล้อมวง
       แต่แล้วทันใด โลกมืดดับไป มีสัตว์ร้ายมองดูคล้ายว่าเป็นคน
       ทำร้ายร่างกายรุมตีจนตาย แล้วสลายร่างหายในหมู่คน
       พ่อแม่รู้ข่าวร้ายร่ำร้องแทบวางวายกลิ้งเกลือกลงกับกองเลือดของลูก
       ลูกฉันทำอะไร เขายังไม่ควรตาย หนุ่มน้อยผู้มีอนาคตไกล
       แค่สีเสื้อไม่เหมือนคำสอนแต่ปางไหน นี่สีใครนั่นสีมึง นี่สีกู
       ความหวังพังทลายแต่นี้จะอยู่อย่างไร เพราะหัวใจเพียงดวงเดียวแหลกสลาย
       ตั้งแต่บัดนี้ ไม่มีอีกแล้ว เด็กหนุ่มคนดีประจำซอย
       พ่อแม่ก็หายครอบครัวสลาย ไม่สายทุกคนก็ลืม
     
       เนื้อร้องในบทเพลง "หนุ่มน้อย" ของ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ น่าจะสะท้อนภาพศึกช่างกลปทุมวันกับช่างก่อสร้างอุเทนถวายได้เป็นอย่างดี

สถานการณ์ข่าว17ก.ย.57

@นายกมอบนโยบายห้ามขรก.พลาดทุจริต ร่วมยุติขัดแย้งทำปรองดองลุยปฏิรูปปัดต่างตอบแทน-ยันไม่คิดตั้งพรรคการเมือง
@ประยุทธ์อารมณ์ดีร้องเพลงคืนความสุข-จับตากริชสุดาขอคนเห็นต่างคุย
@คุมพล.ท.มนัสพวกอีก7ฟ้องอัยการศาลทหารคดียึดอาวุธล่าอีก4รวมจักรภพ
@นายกฯขู่ถ้านร.ตีกันจะสั่งปิดรร.จนกว่าตร.สอบเสร็จ
@ผลผ่าศพ2ฝรั่งพบคราบอสุจิ,แผลต่อสู้รอผลDNA1วัน-ตร.คาดฝีมือเพื่อน
///////

นายกรัฐมนตรี เตรียมประชุมส่วนราชการ มอบนโยบายทำงาน 1 ปี บ่ายนี้ คาด ช่วงเช้าเข้า ทบ. ประชุมหน่วยขึ้นตรง

ภารกิจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ทำเนียบรัฐบาล วันนี้ เวลา 13.30 น. เตรียมเป็นประธานการประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการ หลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อหารือถึงแผนปฏิบัติการดำเนินงานที่แต่ละกระทรวงจะต้องไปจัดทำให้สอดคล้องตามนโยบายรัฐบาลและดำเนินการตามแผนให้สัมฤทธิ์ผลภายในระยะเวลา 1 ปี ส่วนช่วงเช้า คาดว่า นายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้ากองบัญญาการกองทัพบก เนื่องจาก วันนี้มีประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก ที่ต้องมอบหมายงานให้ทำงานควบคู่ทั้ง คสช. และรัฐบาล ขณะที่บรรยากาศการรักษาความปลอดภัยทั้งในและโดยรอบทำเนียบรัฐบาล ยังคงมีการวางกำลังตำรวจและทหารดูแลอย่างเข้มงวด
----
นายกรัฐมนตรี เตรียมประชุมข้าราชการระดับสูง พร้อมมอบนโยบายการทำงาน ขณะถ่ายทอดสดช่อง 11

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด บรรดารัฐมนตรี รวมถึงข้าราชการระดับสูง เริ่มทยอยรวมตัวที่ห้องประชุม ตึกสันติไมตรีแล้ว โดยในเวลา 13.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เตรียมเป็นประธานการประชุมชี้แจงนโยบายรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ต่อผู้บริหารระดับสูง ประกอบด้วย ปลัดกระทรวง หัวหน้าผู้ตรวจราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ภายหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แล้ว ขณะเดียวกัน จะมีการมอบหมายแผนปฏิบัติงาน หรือ Action Plan ให้หน่วยงานแต่ละด้าน สานต่อนโยบายที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร และต้องทำตามแผนให้สัมฤทธิ์ผลภายในระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้ ช่วงที่นายกรัฐมนตรีมอบนโยบาย จะมีการถ่ายทอดสดผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์
-------
นายกมอบนโยบาย ขรก.ร่วมขับเคลื่อนประเทศ ยุติความขัดแย้ง รับฟังความคิดเห็นทุกฝ่าย พร้อมเร่งลุยแก้เศรษฐกิจ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. มอบนโยบายรัฐบาลต่อข้าราชการระดับสูง เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพราะข้าราชการเป็นกลไกในการขับเคลื่อนประเทศ และที่ผ่านมาอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมานาน ทำให้สภาพเศรษฐกิจชะงักลง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ทำความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ

ซึ่งตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คสช. หลังควบคุมอำนาจการปกครอง สามารถแก้ปัญหาได้หลายส่วนและสภาวะบ้านเมืองปัจจุบันสงบสุข ทั้งนี้ รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าปฏิรูปประเทศที่กำหนดไว้ 11 ด้าน ตามโรดแมประยะที่ 2 ของรัฐบาล ส่วนการแต่งตั้งตำแหน่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่มีสัดส่วนของทหารนั้น ไม่ได้เป็นการตอบแทนใคร แต่ไม่ต้องการให้เกิดการทุจริต
--------
นายกฯ ขอคนเห็นต่างที่อยู่ต่างประเทศกลับมาคุยกัน ตามความเคลื่อนไหวกลุ่มต้านต่อเนื่อง เตรียมนำ ครม. ลงพื้นที่ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ภายหลังการมอบนโยบายของรัฐบาลแก่ผู้บริหารระดับสูงและข้าราชการ ว่ายังคงมีการติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต่อต้านที่อยู่ในต่างประเทศ น.ส.กริชสุดา คุณะเสน รวมถึง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ส่วนตัวอยากขอให้กลุ่มผู้เห็นต่างที่อยู่ในต่างประเทศเดินทางกลับมาพูดคุยกันเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้า

พร้อมกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดเผยว่า จะมีการนำคณะรัฐมนตรีเดินทางลงพื้นที่ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ขณะที่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ส่วนตัวจะมีการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ ซึ่งเบื้องต้นจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ร่วมร้องเพลงคืนความสุขให้ประชาชนกับผู้สื่อข่าวก่อนเดินทางเข้าถึงตึกไทยคู่ฟ้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
-----------
พล.อ.ประยุทธ์ ยัน ใช้งบประมาณคุ้มค่า ลุยปราบโกง แก้ค้ามนุษย์ แจง ครม. ทุก 3 ด. - รอผลสอบไมค์

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ยืนยันกับข้าราชการระดับสูง ว่า การเข้ามาของรัฐบาล ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ทำเพื่อชาติ พร้อมย้ำการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่า สำหรับปัญหาเร่งด่วนที่สำคัญ ทั้งยาเสพติด การทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหาอาชญากรรม การค้ามนุษย์ เป็นปัญหาน่ากลัวที่ต้องเร่งแก้ไข โดยขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจการทำงานที่ต้องร่วมมือกัน และรายงานผลสัมฤทธิ์ของแต่ละหน่วยงานและหน่วยงานต่อคณะรัฐมนตรีทุก 3 เดือน

ทั้งนี้ ทุกกระทรวง ทุกฝ่ายต้องมีความอดทน เพราะประชาชนมีความเดือดร้อน จึงต้องลงพื้นที่เข้าหาประชาชน เพื่อไม่ให้ประชาชนออกมาชุมนุมอีก ส่วนความขัดแย้งในโรงเรียนที่ยกพวกตีกัน ต่อไปต้องสั่งปิดทันที

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ขณะนี้กำลังรอผลตรวจสอบขั้นตอนการจัดซื้อไมโครโฟนของห้องประชุมคณะรัฐมนตรีอยู่
////////////
วินธัย เผย คสช. ปรับโครงสร้างสอดคล้องรัฐบาล ขณะยังไม่ยกเลิกกฎอัยการศึก ด้านคดีชุดดำให้เป็นหน้าที่ตำรวจ

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผย สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ในการปรับโครงสร้างใหม่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของรัฐบาล โดยจะดูแลด้านความมั่นคงพร้อมกับเป็นที่ปรึกษา ทั้งนี้ การยกเลิกกฎอัยการศึก ไม่ได้มีการวางกรอบระยะเวลา แต่จากที่ผ่านมาถือว่ามีความสงบเรียบร้อยขึ้น ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มที่ยังเคลื่อนไหวอยู่และมีการประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งขอร้องให้เห็นแก่ประเทศชาติ เพื่อให้มีการเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ทาง คสช. และรัฐบาล จะเร่งสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่นานาประเทศ

อย่างไรก็ตาม กรณีการจับกุมตัวชายชุดดำนั้น ขอให้เป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะมีการดำเนินการตามพยานหลักฐานอย่างแน่นอน
//////////
"พล.อ.สมเจตน์" เป็น ปธ. ประชุม กมธ.ร่างข้อบังคับ สนช. แทน "พีระศักดิ์" หลังติดภารกิจต่างประเทศ 

บรรยากาศที่รัฐสภา ล่าสุด คณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม รองประธานคณะกรรมาธิการคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานกรรมาธิการแทน นายพีระศักดิ์ พอจิตร ที่ติดภารกิจประชุมในต่างประเทศ

โดยที่ประชุมมีการเชิญสมาชิก สนช. ที่เสนอคำแปรญัตติเข้าร่วมประชุม ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อร่างพระราชบัญญัติผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม สนช. ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่างข้อบังคับชุดเดิมเพื่อพิจารณา รวมทั้งมีการกำหนดแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการ โดยสรุปคือให้รับคำแปรญัตติโดยสมาชิกที่ประสงค์จะแปรญัตติต้องแสดงความจำนงภายในวันที่ 12-15 กันยายนที่ผ่านมา จากนั้นได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการรวบรวมและประมวลคำแปรญัตติ

ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการจะต้องจัดทำรายงานการพิจารณาเสนอต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งในวันศุกร์ที่ 19 กันยายนนี้
---------
วิป สนช. ประชุมพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับ ที่ คสช. เสนอให้สภาพิจารณา เตรียมบรรจุเข้าสู่วาระ

บรรยากาศที่รัฐสภาล่าสุด ได้เริ่มต้นการประชุมคณะกรรมาธิการสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชั่วคราว หรือ วิป สนช. โดยมี พลเอก มารุต ปัชโชตะสิงห์ รองประธานคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม และมีวาระการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. พิจารณาจำนวน 2 ฉบับ

รวมทั้งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง และร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งที่ประชุมได้เชิญตัวแทนตุลาการศาลปกครองเข้าร่วมประชุม เนื่องจากก่อนหน้านี้ตุลาการศาลปกครองได้รวมรายชื่อ 101 รายชื่อยื่นต่อประธาน สนช. ขอให้ชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง เพราะเห็นว่าเนื้อหาบางส่วนยังไม่ครอบคลุม อีกทั้งยังไม่มีการส่งร่าง พ.ร.บ. ให้กับผู้พิพากษาของศาลปกครองให้พิจารณาก่อนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่คณะตุลาการศาลปกครองเข้าชี้แจงรายละเอียดต่อคณะกรรมาธิการนั้น ไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนติดตามรับฟังด้วย
///////////
"วิษณุ" เตรียมร่วม ป.ป.ช. ชี้แจงขั้นตอนบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1

บรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาล ล่าสุด การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยในภาคเช้า ตั้งแต่เวลา 10.00 น. นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย จะร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. การร่วมชี้แจงขั้นตอนการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของรัฐมนตรี ภายหลังรับตำแหน่งต่อ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน ซึ่งประชุมร่วมกับรัฐมนตรีหรือตัวแทนรัฐมนตรีของทุกกระทรวง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ได้ยืนยันภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี วานนี้ว่า จะต้องชี้แจงทั้งหมด เพราะไม่มีอะไรปิดบัง
---
รองเลขาธิการ ป.ป.ช. ชี้แจงขั้นตอนแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ ครม. ยัน ต้องยื่นภายใน 30 วัน หมดเขต 3 ต.ค. นี้

นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวภายหลังการเข้าชี้แจงรายละเอียดการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะรัฐมนตรี ว่า การชี้แจงในวันนี้เพื่อให้รัฐมนตรี และข้าราชการทางการเมืองเข้าใจหลักเกณฑ์ และวิธีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งตามกฎหมาย จะต้องยื่นภายใน 30 วัน คือวันที่ 3 ตุลาคม และในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2557 ป.ป.ช. จะเปิดเผยต่อสาธารณะ โดยบุคคลที่จะต้องยื่นบัญชี คือ คณะรัฐมนตรี และคู่สมรส รวมถึงบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ โดยขณะนี้ ยังไม่มีรัฐมนตรีคนใดยื่นเข้ามา รวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย ขณะเดียวกัน ได้มีการยื่นในตำแหน่งอื่นตามกฎหมาย ป.ป.ช. ที่ให้ข้าราชการระดับสูง ตั้งแต่ อธิบดี ปลัดกระทรวง รวมถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ ยื่นบัญชีทรัพย์สิน โดยข้อห้ามคือถือหุ้นเกินร้อยละ 5 แต่หากประสงค์ที่จะถือหุ้น ต้องแจ้งต่อประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยจะต้องโอนให้นิติบุคคลที่มีอำนาจบริหารหลักทรัพย์แทน ภายใน 90 วัน และแจ้งกลับมายัง ป.ป.ช. ภายใน 10 วัน หลังจากนั้น ป.ป.ช. จะเป็นผู้เปิดเผยกับสาธารณชนต่อไป
/////////
"ภุชงค์" เผย สรรหา สปช. คกก.ตัดเหลือด้านละ 50 คน ครบทั้ง 11 ด้านแล้ว ส่วนภูมิภาคเสร็จแล้ว 49 จังหวัด

นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้มีการประชุมเพื่อคัดสรรสมาชิก สปช. อีก 7 ด้านที่เหลือ โดยตอนนี้เสร็จสิ้นครบทั้ง 11 ด้านแล้ว ซึ่งจะมีการนำรายชื่อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อไป ส่วนในระดับจังหวัดแล้วเสร็จ 49 จังหวัดแล้ว กำหนดวันสุดท้ายคือวันที่ 22 กันยายนนี้

ทั้งนี้ นายภุชงค์ กล่าวว่า ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ องค์กรนิติบุคคลเสนอชื่อได้เพียง 2 คนเท่านั้น ขณะเดียวกัน จากการตรวจสอบมีองค์กรนิติบุคคลที่ยื่นเสนอรายชื่อบุคคลมากกว่า 2 คน มี 20 องค์กร ส่วนบุคคลที่ถูกเสนอชื่อเพื่อรับการสรรหาทั้งส่วนกลางและระดับจังหวัดนั้น มีเพียง 220 คนเท่านั้น

เลขาธิการ กกต. ยังกล่าวว่า สมาชิก สปช. ทั้ง 11 ด้าน จำนวนด้านละ 50 รายชื่อ และสมาชิก สปช. จังหวัด จำนวน 5 รายชื่อ ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีรายชื่อรั่วไหลอย่างแน่นอน
---------------
รองเลขาธิการ กกต. เผย วันนี้ ที่ ร.1 พัน.4 รอ. มีการประชุมของกรรมการสรรหาใน 7 ด้าน คาดจะดำเนินคัดเลือกบุคคลครบทั้ง 7 ด้าน

นายบุญยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ในวันนี้ (17 ก.ย.) ที่ ร.1 พัน.4 รอ. มีการประชุมของคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ใน 7 ด้าน เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. อาทิ ด้านการศึกษา ด้านการเมือง ด้านสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

นอกจากนี้ ด้วยตนในฐานะเลขานุการ ในการสรรหา สปช. ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการประชุม และอำนวยความเรียบร้อยตลอดการประชุมของคณะกรรมการสรรหา สปช. วันนี้

ทั้งนี้ นายบุญยเกียรติ กล่าวอีกว่า การประชุมของคณะกรรมการสรรหาทั้ง 7 ด้านวันนี้ คาดว่าจะได้ตัวบุคคลครบทั้ง 7 ด้าน ซึ่งภายหลังจากนี้ เมื่อคณะกรรมการสรรหาทั้ง 11 ด้าน คัดเลือกบุคคลได้แล้ว ก็จะนำรายชื่อปิดผนึก ส่งต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แบบลับ
-----------
  ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. วันนี้ (17กย) บรรยากาศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ภายหลังการปิดรับการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ซึ่งช่วงเวลานี้ อยู่ใน
กระบวนการคัดเลือกบุคคล ส่วนของจังหวัด และในส่งกลางทั้ง 11 ด้าน

   โดยในวันที่ เมื่อเวลา 9.00 น ที่ผ่านมา ที่ร1 พัน 4 รอ. ได้มีการประชุมของคุณกรรมการสรรหา ใน 7 ด้าน อาทิ คือด้านการศึกษา ด้านการเมือง ด้านสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฏหมายและกระบวนการยุติธรรม และด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น

   ด้านของการสรรหา สปช. ส่วนของจังหวัด ขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว 49 จังหวัด และในอีก 28 จังหวัด จะดำเนินการคัดเลือกในช่วงระหว่างวันที่ 17-22 กันยายน 2557 นี้

   ขณะที่ นายภุชงค์ นุตราวงค์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีที่ นายบรรยงค์ สุวรรณผ่อง คณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ด้านอื่นๆ ที่ได้ตั้งขอสังเกตุ โดยโพสข้อความเฟสบุ๊กส่วนตัว ถึงการสรรหาสมาชิก สปช. ส่วนของข้อผิดพลาดของการส่งบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ขององค์กรและนิติบุคคลว่า มีบางองค์กร นิติบุคคล ที่ส่งรายชื่อบุคคลมากกว่ากำหนด ตามที่ตามพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการสรรหาสมาชิก สปช. กำหนดไว้

  โดยเชื่อว่าการกระทำที่ขัดต่อกฏหมายในครั้งนี้    ด้านของนิติบุคคล และบุคคลนั้น ไม่มีเจตนากระทำผิด หรือเอาเปรียบบุคคลเข้ารับการสรรหา สปช. รายอื่นๆ โดยเกิดขึ้นจากความเข้าใจคลาดเคลื่อน และการรู้เท่าไม่ถึงการ

  อย่างไรก็ตาม ภายหลังการตรวจสอบคุณสมบัติบุคคลเสนอชื่อเข้ารับการสรรหา สปช. พบว่ามีองค์กร และนิติบุคคลเสนอชื่อเกินกว่า 2 ด้าน มีถึง 20 องค์กร และบุคคลเสนอชื่อ เกินกว่า 1 ด้าน มี 203 คน
---------
เลขาธิการ กกต. เผย วันนี้ คกก. สรรหา สปช. 11 ด้าน ประชุมเคาะ 50 คน ใน 7 ด้าน พร้อมกัน ขณะ สปช. ส่วนจังหวัด เคาะแล้ว 49 จว.

นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ เลขาธิการ กกต. เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. ว่า ในวันนี้ (17 ก.ย.) มีการประชุมของคณะกรรมการสรรหาใน 7ด้าน อาทิ คือ ด้านการศึกษา ด้านการเมือง ด้านสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งได้เริ่มการประชุมแล้ว ที่ ร.1 พัน.4 รอ. เวลา 09.00 น. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ภายหลังการประชุมหากคณะกรรมการสรรหา สปช. ได้คัดเลือกบุคคลได้ครบแล้วทั้ง 11 ด้าน คาดว่าในวันที่ 19 กันยายน นี้ จะนำบัญชีรายชื่อเสนอต่อคณะรักษา
ความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เพื่อพิจารณาคัดเลือกต่อไป

ขณะเดียวกัน ส่วนการสรรหาในส่วนของจังหวัด ได้ดำเนินการครบแล้ว 49 จังหวัด และในอีก 28 จังหวัด จะมีการดำเนินการคัดเลือกในช่วงระหว่างวันที่ 17 - 22 กันยายน 2557

พร้อมกันนี้ ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ในบางจังหวัด ที่ได้ดำเนินการคัดเลือกบุคคลแล้ว ก็ได้เข้ายื่นบัญชีรายชื่อซองเอกสารปิดผนึกเป็นความลับ ต่อสำนักงาน กกต. ในส่วนหนึ่งแล้ว ซึ่งคาดว่า เช้าของวันที่ 23 กันยายน นี้จะรวบรวมรายชื่อทั้ง 77 จังหวัด เสนอต่อ คสช. ต่อไป

---------
/////////////
กสทช. ยังไม่คุ้มครองช่อง 3 เสี่ยงจอดำ 28 ก.ย. ระหว่างนี้รอฝ่ายกฏหมายพิจารณา ย้ำจะหาทางออกร่วมกันให้ดีที่สุด 

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม กสทช. ได้รับทราบเรื่องที่ช่อง 3 ขอให้ กสทช. ทบทวนมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ที่ให้ช่อง3 สิ้นสุดการทำหน้าที่เป็นฟรีทีวี และมติที่ให้ผู้ให้บริการโครงข่ายดาวเทียมและเคเบิลทีวีถอดช่อง3 อนาล็อก ออกจาก
ผังรายการของช่อง

โดยที่ประชุม ได้ให้ช่อง 3 ทำหนังสือยืนยันว่าผู้ที่ลงนามในหนังสือมีอำนาจในการลงนามหรือไม่ เนื่องจากหนังสือที่ส่งมารายชื่อไม่เหมือนกัน ซึ่งหากเป็นผู้มีอำนาจลงนามจริง จะนำเรื่องส่งให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาให้ความเห็นว่าจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ หากรับแล้วจะมีมาตรการคุ้มครองหรือไม่อย่างไร

ทั้งนี้ ในระหว่างที่อยู่ในการพิจารณา มติ กสท. จะยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งช่อง 3 อนาล็อกจะต้องจอดำในวันที่ 28 ก.ย. นี้ หลังครบ
กำหนด 15 วันที่สำนักงานได้ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้บริการโครงข่ายทราบ

อย่างไรก็ตาม กรรมการ กสทช. ทุกคนเชื่อและจะพยายามไม่ทำให้เกิดปัญหาจอดำ โดยจะหาทางออกร่วมกันให้ดีที่สุด ซึ่งคาดว่าจะมีการ
พิจารณาอีกครั้งในการประชุมบอร์ดสัปดาห์หน้า ส่วนกรณีที่เครือข่ายภาคประชาชนเฝ้าระวังสื่อวิทยุและโทรทัศน์ มายื่นหนังสือขอให้
กสทช. เพิกถอนสัมปทานและใบอนุญาตของช่อง 3 ที่ประชุมมีมติให้ส่งเรื่องดังกล่าวให้ กสท. พิจารณาต่อไป
//
กสทช. อนุมัติเงินชดเชยบอลโลกให้อาร์เอสเพิ่มอีกกว่า 369 ล้านบาท พร้อมเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ กสทช.
เรื่องหลักเกณฑ์การจัดลำดับบริการโทรทัศน์ พ.ศ. ....

นายฐากร ตัณฑสิทธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า
ที่ประชุม กสทช. มีมติเห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยกรณีการถ่ายทอดการแข่งขันบอลโลก 2014 ให้บริษัท อาร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล
บรอสคาสติ้ง แอนด์ สปอร์ต แมเนจเมนท์ จำกัด (อาร์เอส) เพิ่มเติมอีก 369.859 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งลดลงจากวงเงินที่ กสทช. อนุมัติไว้เดิมกว่า 57 ล้านบาท ทั้งนี้ หากบริษัท อาร์เอส เห็นว่าวงเงินดังกล่าวยังไม่เหมาะสมสามารถอุทธรณ์ต่อ กสทช. ได้

นอกจากนี้ ที่ประชุม กสทช. ยังได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์การจัดลำดับบริการโทรทัศน์ พ.ศ. .... ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ไปรับฟังความคิดเห็นสาธารณะตามมาตรา 28 ได้ โดยหากร่างประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้ประชาชนสามารถรับชมฟรีทีวีทั้ง 24 ช่อง และช่องบริการสาธารณะ ได้ในลำดับช่องที่ 1-36
ในทุกระบบ (ทุกแพลตฟอร์ม) เหมือน ๆ กัน ส่วนช่องรายการอื่น ๆ จะเรียงตั้งแต่ลำดับช่อง 37 เป็นต้นไป
///////////
โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.ต.อ.สมยศ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. มีผล 1 ตุลาคม

ประกาศจากสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตำรวจ มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พ้นจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 131 ตอนพิเศษ 183 ลงวันที่ 17 กันยายน 2557
//////
รองผู้บังคับการกองปราบ เผยส่งสำนวนให้อัยการศาลทหาร จ.สระบุรี ในคดี พล.ท.มนัส พกปืนไม่มีใบอนุญาตตามหมายจับศาล

พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบ เปิดเผยว่า ตามที่พนักงานสอบสวน ได้นัดหมายให้ พล.ท.มนัส เปาริก อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 กับพวก ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทหารบกสระบุรี ข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงคราม ที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย มาพบเพื่อนำตัวส่งฟ้องต่ออัยการศาลทหารจังหวัดสระบุรี ที่กองปราบปราม

ในวันนี้ ล่าสุด พนักงานสอบสวน กองปราบปราม ได้นัดหมาย พล.ท.มนัส กับพวก ไปพบที่อัยการศาลทหารจังหวัดสระบุรี แล้ว โดยพนักงานสอบสวน ได้ส่งสำนวนให้อัยการศาลทหารจังหวัดสระบุรีแล้ว

สำหรับคดีนี้ ถือเป็นคดีสำคัญที่มีความเชื่อมโยงกับการใช้อาวุธสงคราม และนำไปสู่การจับกุม ซึ่งจากพยานหลักฐานพบความเชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องรวม 11 คน และศาลได้อนุมัติหมายจับไว้แล้ว สามารถจับกุมได้แล้ว 7 คน และหนีหมายจับ 4 คน หนึ่งในนั้น มี นายจักรภพ เพ็ญแข รวมอยู่ด้วย ซึ่งฝ่ายสืบสวนของคณะทำงาน จะได้เร่งติดตามผู้ที่หลบหนีมาดำเนินคดีต่อไป
/////////
ผลผ่า 2 ศพ พบคราบอสุจิ และบาดแผลต่อสู้ รอผลตรวจ DNA คาดรู้ผลภายใน 24 ช.ม.

พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ เปิดเผย ผลการผ่าชันสูตพลิกศพ 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เสียชีวิต ที่เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ว่า เบื้องต้นศพของ นางสาวฮานนาห์ วิคตอเรีย อายุ 24 ปี เสียชีวิตจากการถูกของแข็งที่ศีรษะ และมีเพศสัมพันธ์ก่อนเสียชีวิต เนื่องจากพบคราบอสุจิในบริเวณช่องคลอด แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด ส่วน นายเดวิด วิลเลียม พบร่องรอยซึ่งเกิดจากการถูกของแข็งกระทบศีรษะ และพบบาดแผลที่บริเวณหลังฝ่ามือทั้งสองข้าง อีกทั้งยังเชื่อว่าเป็นการต่อสู้ รวมถึงมีน้ำในปอด จึงเชื่อว่าผู้ตายอาจถูกทำร้ายและลากลงน้ำก่อนเสียชีวิต ส่วนกรณีพบคราบอสุจิบริเวณทวารหนักของผู้ตายนั้น จากการตรวจสอบไม่พบร่องรอยดังกล่าว ส่วนของแข็งที่ทุบบริเวณใบหน้าและศีรษะของผู้ตายคาดเป็นของแข็งไม่มีคม

ทั้งนี้ ผู้บังคับการนิติเวชวิทยา กล่าวด้วยว่า การตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ จากหลักฐานเส้นผมในมือและคราบอสุจิที่อยู่ในช่องคลอดของฝ่ายหญิง ซึ่งจะมีการนำหลักฐานดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนนำผลดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับผู้ต้องสงสัย เพื่อหาตัวคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุในคดีต่อไป
/////////////////
เจ้าที่ตำรวจ นำผู้ต้องหา ยิง น.ศ.เทคนิคกรุงเทพ และ น.ศ.ช่างปทุมวัน ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ ซ.วัดศรีบุญเรือง  


เจ้าหน้าที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 4 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.หัวหมาก กว่า 200 นาย นำผู้ต้องหายิงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ และ นักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

โดยจุดแรกเป็นบริเวณซอยวัดศรีบุญเรือง ถนนรามคำแหง ผู้ต้องหาก่อเหตุยิง นายพชร กัมพลาศิริ อายุ 21 ปี นักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา สำหรับการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะมีทั้งครอบครัวผู้เสียหาย และเพื่อนร่วมสถาบันมามุงดูจำนวนมาก ซึ่งต่างอยู่ในอารมเศร้าเสียใจ และโกรธแค้น

ขณะที่บิดาของผู้เสียชีวิตกล่าวว่า หากเป็นไปได้ก็อยากทำให้ตายตามบุตรชายไปและย้อนถามไปถึงพ่อแม่ของผู้ก่อเหตุ ว่าเลี้ยงลูกอย่างไรถึงให้มีจิตใจโหดร้ายถึงเพียงนี้ พร้อมระบุว่าอยากให้กรณีของลูกชายตนเป็นจุดเริ่มต้นในการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง โดยจากนี้ เจ้าหน้าที่จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปทำแผนต่อที่บริเวณรถไฟฟ้าใต้ดินบางซื่อ


////////
นายกสมาคมรถร่วม ขสมก.  เข้าพบ "ประจิน" พรุ่งนี้ ถกขึ้นค่าโดยสาร 2 บาท ให้รัฐช่วยหาแหล่งเงินทุน 

นายวิทยา เปรมจิตร์ นายกสมาคมพัฒนารถร่วมบริการเอกชน หรือ รถร่วมบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00 น. ตนเองพร้อมด้วยสมาคมรถร่วม ขสมก. จะเข้าพบ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยจะมีการหารือเรื่องให้ภาครัฐเข้าช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งการจัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ การพัฒนารถโดยสาร รวมทั้งการขอขึ้นค่าโดยสาร 2 บาท ซึ่งรถเมล์ร้อน ก็จะมีอัตราค่าโดยสารอยู่ที่ 10 บาท จากปกติ 8 บาท รถเมล์ปรับอากาศปรับขึ้นระยะทางละ 2 บาท เพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ
หลังจากที่ต้นทุนด้านแรงงานและอะไหล่รถปรับขึ้น

ประวัติช่างกลปทุมวัน

ประวัติช่างกลปทุมวัน


ประวัติช่างกลปทุมวัน 

80 ปี ช่างกลปทุมวัน



จากปี พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน ปี พ.ศ. 2555 เป็นเวลา 80 ปี ถ้าเป็นข้าราชการก็เกษียณอายุไปนานแล้ว แต่ช่างกลปทุมวัน ซึ่งล้มลุกคลุกคลานมานาน มีลูกศิษย์ที่จบจากสถาบันนี้ออกไปรับใช้ชาติบ้านเมืองเป็นจำนวนมาก จากโรงเรียนที่สอนระดับ ปวช. เลื่อนระดับเป็นวิทยาลัยที่สอนระดับ ปวส. และกระทั่งได้ยกฐานะเป็นสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ที่สอนในระดับปริญญาตรี จะเห็นได้ว่าสถาบันของเรามิได้ชราไปตามตัวเลข มีแต่ความเจริญก้าวหน้าต่อไป และสิ่งที่น่าภูมิใจของพวกเราก็คือพระราชทานนามคำว่า ปทุมวัน ยังคงอยู่กับสถาบันของเรา
ฉะนั้นขอให้เราทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันจงช่วยกันเทิดทูลคำว่าปทุมวัน ไว้ในดวงใจ จงรักษาชื่อเสียงของสถาบัน ซึ่งเป็นที่หล่อหลอมให้พวกเราทุกคนมีความเป็นสุภาพบุรุษ มีความอดทน ซื่อสัตย์ และจงรักภักดี
เราศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน (ช่างกลปทุมวัน) ขอกราบขอบพระคุณคณะนายทหารเรือที่ได้ตระหนักถึงการปลูกฝังวิชาชีพช่างกล ให้กับกุลบุตรของชาติ จึงได้มีโรงเรียนสอนวิชาชีพช่างกลขึ้นในสมัยนั้น จนกระทั่งได้รับการพัฒนาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 80 ปี กว่าจะถึงวันนี้ (อาจารย์สมศักดิ์ เบญจาทิกุล)

ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนมีความภาคภูมิใจที่ได้จบจากสถาบันแห่งนี้ และระลึกในบุญคุณของครูอาจารย์ ที่สั่งสอนจนเราจบออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพ ดูแลพ่อแม่ลูกเมียได้ในทุกวันนี้  สมควรที่พวกเราชาวช่างกลปทุมวัน ทั้งศิษย์เก่า ตลอดจนน้องปัจจุบัน จะแสดงความกตเวทิตาคุณ กับโรงเรียนของเรา โดยประพฤติปฎิบัติตนแต่ในทางที่ถูกที่ควร เป็นนักศึกษาที่ดีของโรงเรียน เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ สมดังที่เป็นศิษย์เก่า หรือนักศึกษาเทคโนโลยีปทุมวัน (ช่างกลปทุมวัน)


ร่วมกันรักษาช่างกลปทุมวันเพื่อให้ลูกหลานได้มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน จบมาเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศเรา


80 ปี ช่างกลปทุมวัน ตำนานช่างกลเมืองไทย ความภาคภูมิใจของพวกเรา

ร่วมซึมซาบรากเหง้าความเป็นมาของโรงเรียนเรา



ประวัติสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน (ช่างกลปทุมวัน) The First of Engineer ข้อมูล 27 สิงหาคม 2555

สถาบันเทคโนโลยีปทุมวันเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาระดับปริญญาสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่พัฒนามาเป็นลำดับดังนี้


โรงเรียนอาชีพช่างกล (โรงเรียนช่างกลเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย พ.ศ. 2475  2478)
ในปี พ.. 2467 ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 ทำให้เงินงบประมาณในการบริหารประเทศไทยขาดแคลน จึงมีการดุลข้าราชการ คือลดรายจ่ายรัฐด้วยการลดจำนวนข้าราชการ และยุบหรือควบรวมหน่วยงานราชการให้ลดน้อยลง ทางกองทัพเรือก็งดรับนักเรียนนายเรือทั้งพรรคนาวินและพรรคกะลิน (สมัยนั้นการเรียนของโรงเรียนนายเรือมีการแบ่งหลักสูตรการเรียนการสอนออกเป็น 2 แผนก คือ แผนกพรรคนาวิน ซึ่งเรียนเกี่ยวกับการควบคุมการเดินเรือ และแผนกพรรคกะลิน ซึ่งเรียนเกี่ยวกับช่างกลเรือ) จนกระทั่งปี พ.๒๔๗๑ กองทัพเรือเปิดรับนักเรียนนายเรืออีกแต่รับเฉพาะพรรคนาวิน ถึงปี พ.ศ. 2473 ยังไม่มีนโยบายจากกองทัพที่จะเปิดรับนักเรียนนายเรือพรรคกะลินอีก (พ.ศ. 2479 ทางกองทัพเรือเปิดรับนักเรียนนายเรือพรรคกะลินอีกครั้งหนึ่ง หลังจากหยุดรับมา 12 ปี) นาวาเอกพระประกอบกลกิจ (เจ๋อ จันทรเวคิน) ขณะนั้นมียศเป็นนาวาตรีหลวงประกอบกลกิจ ซึ่งดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนนายเรือแผนกพรรคกะลิน และโรงเรียนนายทหารเรือชั้นสูงแผนกพรรคกะลิน มีความรู้สึกห่วงใยเรื่องวิชาช่างกลของคนไทยจะไม่เจริญก้าวหน้าต่อไปในกาลข้างหน้า และคนที่มีความรู้วิชาช่างกลของคนไทยย่อมร่อยหรอหมดสิ้นไปทีละน้อย ๆ เพราะการเรียนฝ่ายช่างกล ในเวลานั้นยังไม่มีโรงเรียนสอนวิชาช่างกลแบบนี้ที่อื่นเลย ที่มีก็สอนในระดับวิศวกรรม (นายช่าง) ของมหาวิทยาลัยคือวิศวกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านจึงคิดที่จะจัดตั้งโรงเรียนช่างกล ในระดับ Technical College ด้วยจุดประสงค์ ที่ต้องการสร้างช่างฝีมือมาทำงานรับช่วงจากวิศวกร (นายช่าง) และปลูกฝังและสนับสนุนอาชีพช่างกลให้กับเยาวชนไทยเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศ และมิให้อาชีพช่างกลตกในมือของชาวต่างชาติ (ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนในขณะนั้น) ท่านจึงได้หารือกับ เรือเอกทิพย์ ประสานสุข ร.น. และพลเรือตรีสงบ จรูญพร ร.น. ซึ่งขณะนั้น ต่างก็มียศเป็นเรือโทในฐานะเป็นศิษย์ของท่าน ถึงความประสงค์แรงกล้าที่จะจัดตั้งโรงเรียนอาชีพช่างกล



นาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. (เจ๋อ จันทรเวคิน) บิดาผู้ให้กำเนิดโรงเรียนช่างกลปทุมวัน



พลเรือตรีสงบ จรูญพร ร.น. และเรือเอกทิพย์ ประสานสุข ร.น. ผู้ช่วยเหลือในการก่อกำเนิดโรงเรียนช่างกลปทุมวัน

โดยขอให้ เรือเอกทิพย์ ประสานสุข ร.น. และพลเรือตรีสงบ จรูญพร ร.น. ได้ช่วยกันชักชวนบรรดาเพื่อนทหารชั้นผู้น้อย และท่านเอง (นาวาเอกพระประกอบกลกิจ) จะได้ชักชวนบรรดาเพื่อนนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และออกหนังสือเวียนขอความร่วมมือเรี่ยรายเงินจากบรรดาทหารเรือคนละ 100 บาท แต่เก็บเป็นรายเดือน ๆ ละ 5 บาท เก็บจนกว่าจะครบ 100 บาท เพื่อจัดตั้งโรงเรียนอาชีพช่างกล มีคณะทหารเรือผู้ร่วมอุดมการณ์ 111 ท่าน ดังนี้
คลิกดูรายละเอียดที่หัวข้อเลยครับ







จาริกานุสสรณ์ผู้ร่วมก่อตั้งโรงเรียนอาชีพช่างกล

โรงเรียนอาชีพช่างกล

เมื่อได้ทุนในชั้นต้นแล้ว ก็ดำเนินการหาสถานที่ในการจัดการเรียนการสอน โดยได้ เช่าอาคาร ชั้น ที่มีรั้วรอบของพระคลังข้างที่ (คือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน) อยู่ในตรอกกัปตันบุช (ปัจจุบันคือซอยเจริญกรุง 30 ซึ่งอยู่ระหว่างไปรษณีย์กลางกับท่าน้ำสี่พระยา) ถนนเจริญกรุง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม. (ปัจจุบันคือที่ดินว่างเปล่ารอการพัฒนา 2555) ชั้นบนใช้เป็นห้องทำงานของครูและห้องเรียนทฤษฎี ชั้นล่างเป็นโรงฝึกงาน เปิดทำการสอนครั้งแรกในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2475 (ตรงกับวันจันทร์ แรม 15 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก จ.ศ.1294 หรือ ค.ศ. 1932) โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนอาชีพช่างกล เป็นโรงเรียนช่างกลแห่งแรกของประเทศไทย




ตราสัญลักษณ์โรงเรียนอาชีพช่างกล เป็นรูปสมอไขว้กับเฟืองจักร มีใบชัยพฤกษ์อยู่เบื้องล่าง ที่ห่วงสมอมีรัศมี ความหมาย รูปสมอแสดงให้รู้ว่าโรงเรียนนี้ก่อกำเนิดมาจากทหารเรือ เฟืองจักรแสดงว่าสอนวิชาช่างกล ใบชัยพฤกษ์ แสดงถึง การมีโชคชัย ชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่าง  รัศมีความหมาย แสงสว่างแห่งความรู้ นำทางไปสู่ความสำเร็จ และ ความเจริญรุ่งเรือง

หมายเหตุ ที่เปิดสอนครั้งแรกในเดือนสิงหาคม เพราะในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่โรงเรียนต่าง ๆ เปิดเทอมกัน คณะผู้ก่อตั้งโรงเรียนซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกคณะราษฎร์สายทหารเรือติดภารกิจหลักในเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน 2475





ถนนเจริญกรุงบริเวณแถวสี่พระยาในยุค พ.ศ. 2470 ภาพจาก Internet


โดยมีนาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. เป็นผู้อำนวยการ ได้ติดต่อขอเชิญเรือเอกหลวงสุรภัฎพิศิษฐ์ ร.น. เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียน และสอนวิชาช่างทั่วไปและการฝึกหัดงานให้นักเรียน เรือเอกสงวน คงศิริ ร.น. เป็นอาจารย์ผู้ปกครอง และสอนวิชาคำนวณ เรือโทสมบุญ กายะสุต ร.น. สอนวิชาช่างทั่วไปและการฝึกหัดงานให้นักเรียน และยังได้คณะทหารเรือร่วมอุดมการณ์และอดีตทหารเรือที่เกษียณอายุราชการร่วมอาสาเป็นครูมาทำหน้าที่อบรมสั่งสอนให้ความรู้แก่นักเรียน สำหรับอาจารย์ที่สอนประจำ ก็มีส่วนในการบำรุงโรงเรียนนี้ด้วย เพราะได้เงินเดือนค่าสอนในอัตราต่ำมาก เรียกได้ว่ามาสอนให้โดยมิได้หวังผลตอบแทนอะไร มีครูช่วยสอน 3 ท่าน คือ นายไจ้จิ๋ว สุขชื่น ต่อมามี นายตึ๋ง อินทรสะอาด , นายเลื่อน กาญจนเสถียร การรับนักเรียนในรุ่นแรก กำหนดความรู้ชั้นประถมปีที่ 3 หรือเทียบเท่า หลักสูตร 2 ปี ยังไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนเพื่อปลูกฝังความนิยมให้เกิดขึ้นเสียก่อน เมื่อเรียนจบทางโรงเรียนจะออกใบประกาศนียบัตรให้ มีนักเรียนรุ่นแรก 34 นาย เรียงตามเลขที่ดังนี้
1. นายอเนก อารียมิตร
2. นายประเสริฐ พุ่มชูศรี
3. นายชลอ สุกุมาลพันธุ์
4. นายอัมพร ทัพพะรังสี
5. นายเค้า เหลืองทองคำ
6. นายทองสุก กุยโกมุด
7. นายอุทัย ศรีจันทร์
8. นายไว สีห์อุไร
9. นายสง่า เขียนจำนงค์
10. นายช้อย ชัยะ
11. นายบุญหนุน มุกสิกโปดก (อาจารย์ช่างกลปทุมวัน)
12. นายเงิน แก้วแดง
13. ศรีธน ศักดิ์ศรี
14. นายทองหล่อ อุปถัมภานนท์
15. นายกมล เหมาคม
16. นายแสวง หงส์ทอง
17. นายเกษม บุญยกาญจน์
18. นายอรุณ ปรีดีขนิฐ
19. นายโมริส จุลละมณฑล
20. นายจรูญ กาญจนสภา
21. นายสนั่น ประสานสุข
22. นายวรเทพ อัญชัญญาติ
23. นายประทุม อาคุศิริ
24. นายมณฑล บังอร
25. นายจันทร์ เนื่องยินดี
26. นายสำรวย ชาคร
27. นายสุ่นเก็ง แซ่ตัน
28. นายเอี้ยว มลิวรณ
29. นายเศียร สิทธิรักษ์
30. นายบุญล้อม รอดอารีย์
31. นายนองช้อย หยันสกุล
32. นายเกษม เปรมศรี
33. นายบุญมี สุขสุเมฆ
34. นายกมล สาระมา
รายนามอาจารย์สมัยแรก




รูปหมู่ครูและนักเรียนโรงเรียนอาชีพช่างกล พ.ศ. 2475



หลักสูตรการสอนใช้หลักสูตรของโรงเรียนนายเรือแผนกพรรคกะสิน โดยมีการศึกษาวิชาทางตำรา (ทฤษฎี) ในภาคครึ่งวันเช้า ในภาคบ่ายให้นักเรียนฝึกภาคปฏิบัติ เพื่อให้นักเรียนได้มีความชำนาญ มีความอดทนและไม่กลัวต่อความสกปรกโสมม เป็นช่างกลที่ดีในอนาคต ตลอดจนปลูกฝังระเบียบวินัยความรักและสามัคคีระหว่างพี่เพื่อนและน้องตามระบบของทหารเรือ
สำหรับอุปกรณ์ในการเรียนการสอนก็สั่งซื้อเข้ามาทีละเล็กละน้อยสำหรับฝึกหัด เช่น เตาเผาเหล็ก ทั่ง ค้อน ปากกาจับงาน เครื่องกลึง ฯลฯ สำหรับเครื่องจักรบางชิ้นก็ได้รับมอบจากกรมอู่ทหารเรือ
วิชาช่างที่เรียนมี ดังนี้  ช่างตีเหล็ก , ช่างตะไบ , ช่างบัดกรีและประสาน , ช่างปรับ , ช่างยนต์ , ช่างไฟฟ้า , ช่างกลึง , ช่างหล่อ , ช่างเดินเครื่องจักร และช่างออกแบบ ทางกองทัพเรือยังได้ให้การอุปการะและสนับสนุน โดยการจัดครูไปช่วยสอนและอนุญาตให้นักเรียนไปฝึกงานภาคปฏิบัติที่กรมอู่ทหารเรือ และในโรงงานของโรงเรียนนายเรือฝ่ายพรรคกะลิน

โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล (โรงเรียนช่างกลรัฐบาลแห่งแรกของประเทศไทย)

โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล (โรงเรียนช่างกลรัฐบาลแห่งแรกของประเทศไทย) พ.ศ. 2478 - 2482

ข้อมูล 29 สิงหาคม 2555




รูปหมู่ครูและนักเรียนโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล พ.ศ. 2475



พ.ศ. 2477 แผนกการพิมพ์กรมแผนที่ทหารบก ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งอยู่ติดท่าเรือราชินีเหนือ ซอยท่าข้าม ถนนมหาราช ตำบลท่าเตียน (ปัจจุบันคือแขวงพระบรมมหาราชวัง) อำเภอชนะสงคราม (เขตพระนคร) จังหวัดพระนคร มลฑลกรุงเทพ ฯ ปํจจุบันคือบริเวณที่ตั้งอาคารเสาวภาผ่องศรีในโรงเรียนราชินีล่าง จึงได้ถือโอกาสย้ายโรงเรียนอาชีพช่างกลจากตรอกกัปตันบุชมาอยู่ที่อาคารนี้แทน เพราะสถานที่กว้าง ใกล้ท่าน้ำ สะดวกแก่การข้ามไปฝึกงานที่กรมอู่ทหารเรือ หรือยืมเรือกลไฟจากกองเรือกลทหารเรือมาให้นักเรียนฝึกหัดให้มีความรู้ความชำนาญได้รู้ได้ใช้ของจริง ทั้งสะดวกในการขอความอนุเคราะห์จากกนายทหารเรือให้มาช่วยสอนทฤษฎีช่างในบางโอกาส และสะดวกแก่การควบคุมของผู้อำนวยการโรงเรียน เพราะที่ตั้งโรงเรียนอยู่ใกล้ปากคลองตลาดชาวบ้านมักเรียกชื่อช่างกลปากคลองตลาด
ลักษณะโรงเรียนเป็นอาคาร ชั้น มีรั้วสังกะสีกั้นเขตกับโรงเรียนราชินีล่าง ชั้นบนใช้เป็นห้องทำงานของครูและห้องเรียนทฤษฎี 1 ห้อง ชั้นล่างเป็นโรงฝึกงาน ช่างกลึง ช่างตะไบ และช่างยนต์ ส่วนช่างเหล็กตั้งเป็นเพิงอยู่นอกตึกเรียน มีเครื่องกลึง เครื่องยนต์ และเครื่องจักรไอน้ำสำหรับฝึกอย่างละ เครื่อง จึงต้องผลัดกันใช้ห้องเรียนทฎษฎีระหว่างนักเรียนชั้น ปี และชั้น ปี การฝึกภาคปฎิบัติส่วนหนึ่งต้องไปอาศัยฝึกที่กรมอู่ทหารเรือหรือโรงฝึกงานของโรงเรียนนายเรือ โดยกรรเชียงเรือข้ามฝากไปเรียนครึ่งวัน จากการกรรเชียงเรือทุกวันทำให้โรงเรียนได้ถ้วยแข่งเรือมาหลายใบ





ตราสัญญลักษณ์โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล




โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล (โรงเรียนช่างกลรัฐบาลแห่งแรกของประเทศไทย) พ.ศ. 2478 - 2481



แผนที่บริเวณที่ตั้งโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล เมื่อปี 247แผนที่จากห้องปฎิบัติการแผนที่ประวัติศาสตร์ คณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





เส้นทางการกรรเชียงเรือจากรร.มัธยมอาชีพช่างกลไปกรมอู่ทหารเรือ ระยะทางไม่ใกล้เลย ได้กำลังแขนอย่างดีเมื่อพายทวนน้ำ แผนที่จากห้องปฎิบัติการแผนที่ประวัติศาสตร์ คณะสถาปัตย์กรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




แผนที่บริเวณที่ตั้งโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล ปัจจุบัน พ.ศ. 2555 แผนที่จากเวบไซต์รู้ทันน้ำ




ในปีนี้เอง กระทรวงธรรมการหรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน ใคร่จะขยายการศึกษาวิชาอาชีพต่าง ๆ ตามโครงการการศึกษาของชาติ วิชาช่างกล เป็นวิชาชีพแขนงหนึ่งที่กระทรวงธรรมการเห็นว่ามีความสำคัญ และมีนโยบายที่จะส่งเสริมอยู่แล้ว จึงได้ขอความร่วมมือให้กองทัพเรือโอนโรงเรียนอาชีพช่างกลที่อยู่ในความดูแล ของนาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. ให้มาอยู่ในสังกัดกระทรวงธรรมการ นาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. ผู้อำนวยการโรงเรียนมีความยินดีที่จะมอบให้กระทรวงธรรมการ แต่ทว่าในปีนั้นกระทรวงธรรมการยังไม่มีงบประมาณพอที่จะรับมอบ จึงขอให้ชะลอเรื่องไว้ก่อน





ที่ตั้งรร.มัธยมอาชีพช่างกล ในบริเวณ รร.ราชินี ภาพจากเวบโรงเรียนราชินี(http://www.rajini.ac.th/school/map.html)







ตรงบริเวณอาคารเสาวภาผ่องศรีคือบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล ภาพจากเวบโรงเรียนราชินี (http://www.rajini.ac.th/school/mapin.html)





รูปที่ตั้งโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกลที่อยู่ในบริเวณโรงเรียนราชินี ภาพจาก Internet




ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณปากคลองตลาด เมื่อ พ.ศ. 2489 (ภาพถ่ายทางอากาศของ วิลเลียมฮันด์ จากหอจดหมายเหตุ หอสมุดแห่งชาติ)  รูป Imag_0325





ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณปากคลองตลาด เมื่อ พ.ศ. 2489 (ภาพถ่ายทางอากาศของ วิลเลียมฮันด์ จากหอจดหมายเหตุ หอสมุดแห่งชาติ) รูป Imag_0328





ภาพถ่ายทางอากาศบริเวณปากคลองตลาด เมื่อ พ.ศ. 2489 (ภาพถ่ายทางอากาศของ วิลเลียมฮันด์ จากหอจดหมายเหตุ หอสมุดแห่งชาติ)  รูป Imag_0335



กรมอู่ทหารเรือ
โรงเรียนอาชีพช่างกล
โรงเรียนราชินี
สถานีตำรวชพระราชวัง
สยามมิวเซียม หรือกระทรวงพาณิชย์เดิม
กองแยกธาตุ (กรมวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันคือโรงเรียนราชบพิธ)
กรมพลาธิการทหารบก (ปัจจุบันคือโรงเรียนราชบพิธ)
หอทะเบียนที่ดิน คือกรมที่ดินในปัจจุบัน
ถนนราชินี
ตลาดท่าเตียน
วัดโพธิ์
ถนนอัษฎางค์





จากวัดกัลยาณ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรเรียนราชินีมองไปยังกรมอู่ทหารเรือ






ภาพถ่ายโรงเรียนราชินีในปัจจุบัน 




ภาพถ่ายทางอากาศกรมอู่ทหารเรือ เมื่อ พ.ศ. 2489 (ภาพถ่ายทางอากาศของ วิลเลียมฮันด์ จากหอจดหมายเหตุ หอสมุดแห่งชาติ) รูป Imag_0332





ภาพถ่ายทางอากาศกรมอู่ทหารเรือปัจจุบัน (พ.ศ. 2555)



พ.ศ. 2478 พลเรือเอก หลวงสินธุสงครามชัย ร.น. เป็นออกทุนสนับสนุนโรงเรียนอาชีพช่างกลด้วยผู้หนึ่ง ตั้งแต่ครั้งเป็นเสนาธิการกองทัพเรือ และยังคงให้การสนับสนุนจนท่านได้เป็นแม่ทัพเรือ และในปีเดียวกันนี้ ท่านได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการปัจจุบัน)ท่านได้นำเรื่องของโรงเรียนอาชีพช่างกลเข้าปรึกษาจอมพล ป. พิบูลสงคราม ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยความเมตตากรุณาของท่านผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน และด้วยสายตาที่มองกาลไกล ท่านได้เห็นความสำคัญในเรื่องวิชาชีพช่างกล ว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลควรจะต้องอุ้มชู เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติในอนาคต และให้ประชาชนของชาติได้รับการศึกษาเล่าเรียนวิชาช่างกลไว้ เพื่อได้เป็นวิชาอาชีพที่จะได้นำไปประกอบการงานให้เป็นประโยชน์ต่อราชการ ส่วนตัวและครอบครัว ให้ได้มีอาชีพการทำงานที่เป็นปึกแผ่นอยู่ดีกินดี จึงได้รับโรงเรียนอาชีพช่างกลจากนาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. มาสังกัดอยู่ในกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ กรกฎาคม พ.ศ. 2478 พร้อมอนุมัติเงินงบประมาณให้โรงเรียนปรับปรุงโรงงานและเครื่องจักรกลต่าง ๆ และได้เปลี่ยนนามของโรงเรียนใหม่ว่า "โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล" ระเบียบในการรับสมัครนักเรียน ต้องสำเร็จวิชาสามัญชั้นมัธยมปีที่ เป็นอย่างต่ำ (เทียบปัจจุบันคือผู้ที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที 1) และอายุไม่น้อยกว่า 15 ปี ไม่เกิน 18 ปี วางหลักสูตรการเรียนไว้ ปี ไม่เก็บค่าเล่าเรียน วิชาที่สอน ช่างกลพื้นฐานเพื่อปูพื้นฐานการทำงานช่าง คือช่างตะไบ , ช่างตีเหล็ก , ช่างบัดกรีและช่างฟิตปรับ ให้มีความละเอียดประณีตในการปฏิบัติงานช่าง วิชาช่างกลหลักที่สอนคือ ช่างกลโรงงาน , ช่างเครื่องยนต์ , ช่างไฟฟ้า , เครื่องจักรไอน้ำ , และวิชาเขียนแบบช่างช่างกล ส่วนวิชาสามัญจะเรียน คณิตศาสตร์ , กลศาสตร์ , ภาษาไทย , ภาษาอังกฤษ และพลศึกษา ส่วนนาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. ยังคงรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนต่อมา และเรือเอก หลวงสุรภัฎพิศิษฐ์ ร.น. เป็นอาจารย์ใหญ่เช่นเดิม เลขประจำตัว 1 เริ่มนับใหม่จากรุ่นนี้ (ไม่ได้นับเลขประจำตัวต่อจากนักเรียนโรงเรียนอาชีพช่างกล ซึ่งมี 78 คน) นักเรียนรุ่นนี้ส่วนใหญ่โอนมาจากนักเรียนอาชีพช่างกลรุ่นปี 2477 เพราะเรียนจบแล้วได้วุฒิจากกระทรวงศึกษา การแต่งกายของครูต้องสวมเสื้อนอก กระดุม 5 เม็ด กางเกงขายาว นักเรียนแต่งกาย 3 แบบ คือ แต่งกายนายสิบยุวชนทหาร กางเกงขาสั้น สวมถุงเท้ายาวสีดำรองเท้าดำ หรือแต่งเครื่องแบบลูกเสือสมุทรเสนา เหมือนจ่าทหารเรือแต่ใส่กางเกงขาสั้น และสวมเสื้อขาวแขนสั้น กางเกงขายาวสีน้ำเงิน


มกราคม พ.ศ. 2479 เรือเอกหลวงสุรภัฎพิศิษฐ์ ร.น. ย้ายไปรับราชการกรมเจ้าท่า เรือโทสมบุญ กายสุต ร.น. ทำหน้าที่รักษาการแทนอาจารย์ใหญ่
กลางปีนี้นาวาเอกพระประกอบกลกิจ ร.น. ผู้อำนวยการโรงเรียนต้องไปราชการประเทศญี่ปุ่น กองทัพเรือจึงมีคำสั่งที่ 42/79 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2479 แต่งตั้งให้ พล.ร.ท. พระวิจิตรนาวี (แดง ลางคุณแสน) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแทน และแต่งตั้งให้นาวาตรีหลวงกลกิจกำจร ร.น. (ถมยา รังคะกะลิน) เป็นอาจารย์ใหญ่ ในปีการศึกษานี้เปลี่ยนการเปิดเทอมต้นจากจันทร์แรกของเดือนสิงหาคม เป็นกลางเดือนพฤษภาคมเหมือนโรงเรียนทั่วไป และปีนี้นักเรียนโรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล ซึ่งเรียนหลักสูตร ปี เรียนจบหลักสูตรและออกไปเป็นรุ่นแรกจำนวน 67 คน
กองทัพเรือยังคงให้ความอุปการะให้นักเรียนไปฝึกงานที่กรมอู่ทหารเรือ และจัดอาจารย์จากโรงเรียนนายทหารเรือเข้าสอบภาคทฤษฎี และวิชาอื่น ๆ อีกด้วย



พ.ศ. 2480 กระทรวงศึกษาธิการได้เปลี่ยนระเบียบรับนักเรียนใหม่ รับนักเรียนที่สอบวิชาสามัญชั้นมัธยมปีที่ ได้ (เทียบปัจจุบันคือผู้ที่จบการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที 3) และเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาเป็น ปี และยังไม่เก็บเงินค่าเล่าเรียนตามเดิม ในเดือนพฤศจิกายน 2480 นาวาตรี หลวงกลกิจกำจร ร.น. (ถมยา รังคะกะลิน) ย้ายไปรักษาราชการในตำแหน่งนายช่างใหญ่ โรงน้ำตาล จังหวัดลำปาง นาวาตรี ขุนประพุธพิชากล ร.น. (พุฒ นิยมตรุษ) รักษาราชการแทน
เดือนกุมภาพันธ์ 2481 นาวาตรี หลวงดำเนินนาวากล ร.น. (จันทร์ รัชตชาติ) มารับราชการในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ปีนี้เริ่มเก็บค่าเล่าเรียนปีละ 20 บาท แบ่งเก็บเป็น ภาค ภาคต้น บาท ภาคกลาง บาท ภาคปลาย บาท กระทรวงศึกษาธิการจัดงบประมาณเป็นค่าใช้สอยให้แก่โรงเรียนปีละ 3,500 บาท


รูปป้ายที่ระลึก มีข้อความว่า โรงเรียนมัธยมอาชีพช่างกล นต.หลวงประพรรดิ์จักร์กิจ ให้เป็นสมบัติของโรงเรียน เมื่อพุทธศักราช 2479 
โดยมีเรือกรรเชียงแปะไว้ให้ระลึกถึงสมัยที่เรียนอยู่ปากคลองตลาด ซึ่งต้องกรรเชียงเรือไปฝึกภาคปฎิบัติที่กรมอู่ทหารเรือทุกวัน


เนื่องจากวันที่  1  สิงหาคม  เป็นวันคล้ายวันสถาปนา  ช่างกลปทุมวัน  เลยนำข้อมูลเล็กๆๆ  น้อยๆๆ   มาเเชร์กันครับ  ใครไม่พอใจ  ต้องขออภัยมา  ณ  ที่นี้ด้วยครับ

เนื้อหาโดย: โงกุล