PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กระทรวงต่างประเทศตุรกีประณามรัฐบาลไทยส่งตัวผู้หนีภัยชาวอุยกูร์ให้จีน

กระทรวงต่างประเทศตุรกีประณามรัฐบาลไทยส่งตัวผู้หนีภัยชาวอุยกูร์ให้จีน ด้านทางการไทยเรียกทูตตุรกีเข้าพบหารือเรื่องบุกรุกสถานกงสุลแล้ว ขณะที่มีกลุ่มผู้ประท้วงเพิ่มที่สถานทูตไทยกรุงอังการา
กระทรวงต่างประเทศตุรกีออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย กรณีส่งตัวผู้หนีภัยชาวอุยกูร์ 109 คนให้กับทางการจีน โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายสากลด้านมนุษยธรรม และรัฐบาลไทยยังกระทำการดังกล่าวลงไปแม้ทางการตุรกีจะได้พยายามเจรจาแล้วหลายครั้งหลายหน ทั้งนี้ ตุรกีซึ่งมีความใกล้ชิดทางเชื้อสายและวัฒนธรรมกับชาวอุยกูร์ จะติดตามชะตากรรมของชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด
ส่วนที่สถานเอกอัครราชทูตไทยกรุงอังการาในวันนี้ มีกลุ่มผู้ประท้วงชาวอุยกูร์ราว 100 คนมารวมตัวกันที่ด้านนอก โดยมีเจ้าหน้าที่ของตุรกีคอยรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ มีรายงานว่าตำรวจตุรกีได้ควบคุมตัวผู้ประท้วง 9 คนในเหตุบุกทำลายทรัพย์สินสถานกงสุลไทยในนครอิสตันบูลก่อนหน้านี้ ไปสอบสวนแล้ว
นายเสข วรรณเมธี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยเข้าพบ เพื่อหารือถึงเหตุการณ์กลุ่มคนบุกรุกสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ นครอิสตันบูลแล้ว และว่าทางการตุรกีได้ให้คำมั่น จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในตุรกีอย่างเต็มความสามารถ ทั้งได้เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยของสถานเอกอัครราชทูตฯ ด้วยแล้ว
ก่อนหน้านี้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการบุกรุกสถานกงสุลไทยว่า กลุ่มผู้ประท้วงที่ทำลายทรัพย์สินของทางการไทย เป็นชาวอุยกูร์กลุ่มเดียวกับที่ไทยส่งกลับไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าไทยยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตุรกีอยู่ ที่ผ่านมาทางการไทยดำเนินการส่งตัวโดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนและเคารพกฎหมายสากล โดยจีนรับรองความปลอดภัยและจะใช้กลไกของกระบวนการยุติธรรมกับชาวอุยกูร์ และขออธิบายให้ชาวมุสลิมได้ทราบว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลไทยจะไปทำลายใครทั้งสิ้น แต่มุ่งหวังให้เกิดความสงบสุขมากที่สุดเท่านั้น
ภาพประกอบ: ผู้ประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงอังการา ประเทศตุรกี


สัญญานศก.จากจีน ดาราเจ๊งหุ้นถ้วนหน้าสูญนับหมื่นล้าน

ดาราจีนกุมขมับเจ๊งหุ้นถ้วนหน้า “เจ้าเวย” สูญเงินนับหมื่นล้านบาท

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
9 กรกฎาคม 2558 21:00 น. (แก้ไขล่าสุด 9 กรกฎาคม 2558 22:21 น.)
ดาราจีนกุมขมับเจ๊งหุ้นถ้วนหน้า “เจ้าเวย” สูญเงินนับหมื่นล้านบาท
เจ้าเวย สูญเงินถึง 4,000 ล้านหยวน (21,864 ล้านบาท) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
        นอกจากนักลงทุนจำนวนมากแล้วนักแสดงสาวชื่อดังในวงการบันเทิงจีนอย่าง “เจ้าเวย”, “ฟ่านปิงปิง” และ “จางจื่ออี๋” ก็เจ๊งหุ้นขาดทุนมโหฬารในวิกฤติหุ้นตกในจีนแผ่นดินใหญ่ในขณะนี้ด้วย
      
       หลังเคยทำกำไรถึง 200 ล้านหยวน (1,093 ล้านบาท) จากการซื้อหุ้นบริษัท Talent Television Film เมื่อช่วงต้นปี ล่าสุด ฟ่านปิงปิง หนีไม่พ้นต้องขาดทุนถึง 120 ล้านหยวน (655 ล้านบาท) จากปัญหาตลาดหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่ในขณะนี้
      
       ส่วน จางจื่ออี๋ และครอบครัวก็สูญเงินไปถึง 400 ล้านหยวน (2,186 ล้านบาท) จากตลาดหุ้นในช่วงนี้ด้วย
      
       แต่ที่หนักที่สุดก็คือเจ้าของบท “องค์หญิงกำมะลอ” อย่าง เจ้าเวย กับสามีที่สูญเงินรวมกันถึง 4,000 ล้านหยวน (21,864 ล้านบาท) จากการถือหุ้น Alibaba Pictures ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หลังหุ้นจำนวน 9.18% ของเธอในบริษัทดังกล่าวเคยมีมูลค่าสูงสุดถึง 5,400 ล้านหยวน (29,517 ล้านบาท) จากมูลค่า 4.40 เหรียญฮ่องกงต่อหุ้น แต่วันนี้มูลค่าหุ้นได้ลดลงเหลือเพียงแค่ 1.6 เหรียญฮ่องกงต่อหุ้น ทำให้หุ้นในส่วนของ เจ้าเวย มีมูลค่าเหลือเพียง 1,400 ล้านหยวน (7,652 ล้านบาท) นั่นเอง
      
       เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจ้าเวย ได้ควักเงินประมาณ 3,000 เหรียญฮ่องกง (13,126 ล้านบาท) เพื่อซื้อหุ้นของ Alibaba Pictures จนกลายเป็นผู้ถึงหุ้นอันดับ 2 รองจาก แจ็ค หม่า 
      
       โดยเมื่อไม่กี่เดือนก่อน Forbes เพิ่งจะยกให้ เจ้าเวย เป็นดาราหญิงที่รวยที่สุดในโลก โดยเชื่อกันว่าเธอ และสามีมีทรัพย์สินรวมกันประมาณ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (67,886 ล้านบาท) เลยทีเดียว
      
       “ตลาดหุ้นจีน” ตกฮวบลงอย่างแรงระลอกนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
       กระแสวิตกลามหนักผู้ลงทุนฮ่องกง แห่เทขายทิ้งหุ้นจีน
ดาราจีนกุมขมับเจ๊งหุ้นถ้วนหน้า “เจ้าเวย” สูญเงินนับหมื่นล้านบาท
ฟ่านปิงปิง ขาดทุนถึง 120 ล้านหยวน (655 ล้านบาท)
       
ดาราจีนกุมขมับเจ๊งหุ้นถ้วนหน้า “เจ้าเวย” สูญเงินนับหมื่นล้านบาท
จางจื่ออี๋ และครอบครัวก็สูญเงินไปถึง 400 ล้านหยวน (2,186 ล้านบาท)
       
ดาราจีนกุมขมับเจ๊งหุ้นถ้วนหน้า “เจ้าเวย” สูญเงินนับหมื่นล้านบาท
เจ้าเวย ในวันแถลงข่าวของ Alibaba Pictures
       

ศาลยกฟ้อง กปปส. คดีขวางการเลือกตั้ง กรณีล้อมเขตเลือกตั้งดินแดง

ศาลยกฟ้อง กปปส. คดีขวางการเลือกตั้ง กรณีล้อมเขตเลือกตั้งดินแดง

ศาลสั่งยกฟ้อง กรณี กปปส. ปิดล้อมเขตดินแดง ขวางเลือกตั้ง ศาลเห็นว่า การชุมนุมของ กปปส. เป็นการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมายตามคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นคนนำกุญแจไปคล้องเพื่อปิดทางเข้าออก<--break- />
9 ก.ค. 2558 สำนักข่าวทีนิวส์ รายงานว่า ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก  เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพษาได้มีคำพิพากษา คดีที่กลุ่มผู้ชุมคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ยกกำลังไปปิดล้อมสำนักงานเขตดินแดง  ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การชุมนุมของ กปปส. เป็นการชุมนุมที่ชอบด้วยกฎหมายตามคำวินิจฉัยของ ศาลรัฐธรรมนูญ โดยเป็นการชุมนุมโดยสงบที่หน้าสำนักงานเขตดินแดง นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่า จำเลยทั้งหมดเป็นคนนำกุญแจไปคล้องเพื่อปิดทางเข้าออกสำนักงานเขตดินแดง  ตามคำให้การของพนักงานอัยการ  ศาลพิจารณาแล้วยกฟ้อง
ทางด้าน วิโรจน์ ภูมิศิริสวัสดิ์ หนึ่งในทีมทนาย  กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญที่ได้รับความสนใจจากหลายๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นการตัดสินคดีแรกในข้อหาเดียวกัน คือกรณีการขัดขวางการเลือกตั้ง จากการชุมนุมของ กลุ่ม กปปส.

หนูหริ่ง เคลียร์ภาพคู่กับคู่ขัดแย้งทางการเมือง

สมบัติ บุญงามอนงค์ โพสFB ภาพและคำอธิบาย หลังจากมีเสียงวิจารณ์ถ่ายรูปคู่กับบุคคลฝ่ายตรงข้าม
//////////////
"ไม่ใช่คำชี้แจง"
ภาพคู่อลงกรณ์
ตอนที่ผมนัดกินกาแฟกับคุณอลงกรณ์ในกิจกรรมที่เรียกว่า "กาแฟปฏิรูป" มีคนโทรไปแจ้งที่พรรคเพื่อไทยว่าเขาแอบเห็นสองคนนี้นั่งกินกาแฟคุยกันที่ร้านสตาร์บัคในทำนองว่าอาจมีอะไรลึกลับ ทั้ง ๆ ที่ระหว่างการคุยมีสื่อมวลชนมานั่งฟังการสนทนาเกือบสิบคน
ภาพคู่ทักษิณ
ผมตามไปสัมภาษณ์คุณทักษิณที่เกาหลีใต้ก่อนเหตุการณ์นิรโทษกรรม เป็นการพบกันครั้งแรกในชีวิต ที่ตัดสินใจไปพบก็เพราะอยากถามคุณทักษิณเรื่องการปฏิรูปพรรคเพื่อไทย มีนักจัดรายการวิทยุออน์ไลน์และพวกสนับสนุนพรบ สุดซอย ไปบอกว่าผมเป็นคนวางงานเสนอร่าง พรบ นิรโทษกรรมสุดซอยให้ทักษิณ เพื่อหลอกให้พังอะไรทำนองนี้
ภาพคู่เต้มดแดง
ผมรู้จักเต้ตั้งแต่หลัง รปห 49 เขาอยู่กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ระหว่างที่ผมรณรรงค์ไม่รับ พรบ สุดซอย เต้มดแดงเป็นฝ่ายสนับสนุน ด่าทอผมรุนแรง แต่พอถึงวันกิจกรรม 10,000 UP ที่ราชประสงค์ เต้มดแดงก็มาปรากฏตัวข้างผมและขอถ่ายรูป ตอนนั้นผมคิดว่าต่อให้เราเห็นต่างกันอย่างไรในทางการเมือง(พรบ สุดซอย) แต่เราก็รู้จักกันเคยร่วมต่อสู้ด้วยกัน จึงถ่ายรูปแสดงไมตรีจิตอย่างที่เห็นส่งออกไป มิตรสหายที่เฝ้าติดตามความขัดแย้งทางความคิดของเราสองคนก็สบายใจ ชื่นชมต่อภาพที่เกิดขึ้น แต่ทุกวันนี้เต้มดแดงเขาก็ยังด่าทอผมไม่จบไม่สิ้นบนเฟสของเขา
ภาพคู่อี้แทนคุณ
ผมและอี้เรียนหลักสูตร "สร้างเสริมสังคมสันติสุข" ของสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรนี้เรียน 9 เดือน มีบุคคลทางการเมืองหลากสีไปนั่งเรียนด้วยกัน อี้เป็นคนอัธยาศัยดี เขารู้จักผมก่อนที่โลกใบนี้จะมีกีฬาสีเหลือง-แดง ในงานด้านอาสาสมัคร แม้ผมจะขึ้นเวทีดีเบตทางการเมืองร่วมกันหลายครั้ง ความเห็นทางการเมืองของเราสองคนก็เหมือนกันบ้างต่างกันบ้างเป็นธรรมดา และอี้เป็นคนหนึ่งที่ประกาศไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร คสช ตั้งแต่ต้น ภาพที่เห็นคืออี้พยายามนวดแก้พังผืดที่แขนหลังจากที่ผมเล่าเรื่องนี้ระหว่างการพูดคุยกับเพื่อนในชั้นเรียน
ผมไม่อยากบอกว่าสิ่งที่เขียนไปข้างบนเป็นคำชี้แจง เพราะผมไม่คิดว่าผมต้องชี้แจงอะไร เอาเป็นว่าเล่าให้ฟัง ใครมีปัญหาก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่เรื่องของผม


นิธิ เอียวศรีวงศ์: รัฐฆาตกรรม

มติชนสุดสัปดาห์ 3-9 กรกฎาคม 2558


หลังการสังหารหมู่กลางเมืองใน พ.ศ.2553 ผมได้ยินบางท่านพูดว่า "หากไม่ฆ่า จะปล่อยให้เกิดความเสียหายแก่บ้านเมืองมากไปกว่านี้หรือ"

ในตอนนั้น การสืบสวนสอบสวนเรื่อง "เผาบ้านเผาเมือง" โดยเฉพาะอาคารศูนย์การค้าขนาดใหญ่ยังไม่เริ่มขึ้น ฉะนั้น ผู้พูดคงหมายความว่า หากปล่อยไป พวกเสื้อแดงย่อม "เผาบ้านเผาเมือง" เป็นวงกว้างกว่านั้น แต่ต่อให้สมมติว่าการสืบสวนสอบสวนในภายหลัง ตลอดจนคำพิพากษาของศาล ยืนยันว่าพวกเสื้อแดงเป็นผู้วางเพลิงอาคารเอกชนและสถานที่ราชการจริง ผมก็ยังคิดว่า การที่รัฐฆ่าประชาชน ทำความเสียหายแก่บ้านเมืองเสียยิ่งกว่าอาคารใดๆ ถูกเผา

เพราะเมื่อไรก็ตามที่รัฐลงมือฆ่าประชาชนอย่างไม่เลือกหน้าได้ เมื่อนั้นก็ไม่เหลือเหตุผลใดที่เราจะรวมตัวกันเป็นรัฐ โดยพื้นฐานเลยแล้ว เราทุกคนเข้ามาอยู่ในรัฐ ก็เพราะเชื่อว่ารัฐให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตเราได้มากที่สุด ภายนอกรัฐ เราอาจถูกละเมิดจนถึงแก่ชีวิตได้ง่าย เพราะภายนอกไม่มีกลไกลงโทษฆาตกรรม จึงไม่มีเครื่องยับยั้งฆาตกรรม

รัฐจึงทำฆาตกรรมไม่ได้ หรืออย่างน้อยการฆาตกรรมโดยรัฐจะต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ละเอียด ที่จะตรวจสอบและยับยั้งมิให้การฆาตกรรมโดยรัฐเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ฆาตกรรมโดยรัฐเป็นอันตรายต่อมหาชนยิ่งกว่าผัวฆ่าเมีย โจรฆ่าเหยื่อ หรือแม้แต่ผู้ก่อการร้ายฆ่าฝูงชน

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสีเสื้อ และไม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยหรือเผด็จการด้วย ตราบเท่าที่รัฐมีค่าพอจะตั้งอยู่ได้สืบไป เมื่อนั้นรัฐทำฆาตกรรมประชาชนไม่ได้



ผมคิดถึงเรื่องนี้เพราะการเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มดาวดินและธรรมศาสตร์เสรีฯและนักศึกษาจากกลุ่มอื่นเมื่อเร็วๆนี้หากเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษามีคน (ชั่ว) อยู่เบื้องหลัง การจับกุมคุมขังนักศึกษา และไล่เอาผิดคนที่อยู่เบื้องหลัง ก็คงทำให้การเคลื่อนไหวซบเซาลง เพราะหาผู้อื่นมาสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีกไม่ได้ แต่หากเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นการกระทำโดยสำนึกอิสระของเขาเอง ก็จะรู้ดีว่า การจับกุมคุมขังนักศึกษาหรือคนที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลัง จะไม่ทำให้การเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจเผด็จการอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมายุติลงได้ การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงเป็นแค่จุดเริ่มต้น และข้างหน้านั้นน่ากลัวแก่ทุกฝ่าย

ผมเชื่ออย่างหลัง

ดังนั้นเมื่อการเคลื่อนไหวลักษณะนี้ขยายตัวกว้างขวางขึ้นจึงวิตกว่ารัฐจะทำฆาตกรรมซ้ำอีกอย่างที่ได้เคยทำมาหลายครั้งหลายหนแล้วไม่ใช่เพราะรัฐโง่ ไม่เรียนรู้บทเรียนในอดีตว่าการฆาตกรรมหมู่กลางเมือง บั่นรอนฐานความชอบธรรมที่มีอยู่น้อยนิดให้หมดไป แต่เพราะไม่มีทางเลือกอะไรอื่นต่างหาก ไม่ว่าผู้คุมอำนาจรัฐจะเป็นทหารหรือพลเรือน เมื่อหมดทางเลือกทางการเมือง ก็มักหันเข้าหาการฆาตกรรมเสมอ

คิดดูแล้วกัน ระหว่างการฆาตกรรมประชาชนกับการประกาศยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลพลเรือนยังเลือกการฆาตกรรม ทั้งๆ ที่เมื่อแพ้การเลือกตั้ง ก็มิได้ต้องถูกชำระโทษในเรื่องใดทั้งสิ้น หากเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร จะรับการสิ้นอำนาจพร้อมกับโทษอีกมากมายที่อาจถูกยกขึ้นมาชำระเพื่อเอาผิดได้หรือ

ฆาตกรรมจึงเป็นสิ่งที่รัฐไทยเลือกอยู่บ่อยๆ และเลือกอย่างง่ายเกินไป ในขณะที่วัฒนธรรมไทยที่จะยับยั้งการฆาตกรรมโดยรัฐก็อ่อนแอลงตามลำดับไปพร้อมกัน



ฆาตกรรมเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจของรัฐโบราณทั้งหลายรวมทั้งไทยด้วยไม่ใช่เพราะรัฐเข้มแข็งจึงสามารถฆ่าคนได้ตามใจชอบตรงกันข้ามเพราะรัฐโบราณอ่อนแอต่างหาก จึงใช้การฆาตกรรมกลางเมืองเพื่อข่มให้ข้าแผ่นดินทั้งหลายเกรงกลัวรัฐ วิธีฆ่าก็ทำให้หวาดเสียวด้วยความสยดสยองต่างๆ นานา เพื่อตอกย้ำความกลัวให้ฝังแน่นในกมลสันดานของข้าแผ่นดิน

ฆาตกรรมประชาชนเป็นเครื่องมือของรัฐอ่อนแออย่างไรผมขอยกตัวอย่างให้เห็นสักเรื่องหนึ่งกบฏชาวบ้านอีสานหรือที่เรียกว่ากบฏผีบุญในสมัยร.5แยกตัวเองไปตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่ ซึ่งมีระเบียบทางสังคมแบบใหม่และไม่ขึ้นกับรัฐ ในทางยุทธวิธีจึงถูกปราบได้ง่ายมาก (เปรียบเทียบกับกบฏซายาซานของพม่า มีผู้เข้าร่วมขบวนการจำนวนมากกว่ากันมาก) เพียงยกทหารไปล้อมไว้ จนเสบียงอาหารหมด ก็ต้องยอมแพ้แต่โดยดี แต่รัฐบาลสมัย ร.5 ไม่มีกำลังทหารสมัยใหม่มากพอจะทำเช่นนั้นได้ อีกทั้งต้องรีบปราบผู้แข็งข้อโดยเร็ว เพื่อป้องกันมิให้มหาอำนาจถือเป็นเหตุแทรกแซง-ล้วนมีเหตุจากความอ่อนแอของรัฐทั้งนั้น-จึงต้องใช้ยุทธวิธีรุนแรงในการปราบ

นั่นคือส่งกองทัพสมัยใหม่ขนาดเล็กของตนเองไปปราบ ยิงปืนใหญ่สมัยใหม่เข้าใส่ ร่างที่กระเด็นกระดอนขึ้นเพราะแรงระเบิดตกกลับถึงพื้นเป็นศพ เพียงเท่านี้ชาวบ้านก็วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น หมดทางต่อสู้ ที่เหลือก็ให้ทหารไล่จับมาเป็นพวงๆ ... จบ



แม้มีกองทัพสมัยใหม่ที่ทำให้รัฐผูกขาดความรุนแรงได้แล้วการประหารชีวิตในพื้นที่สาธารณะก็ยังดำเนินต่อมาเพื่อข่มข้าราษฎรให้กลัวจนเมื่อได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วการประหารชีวิตจึงถูกเก็บงำไว้ในที่รโหฐาน แม้กระนั้นการประหารในพื้นที่สาธารณะก็ถูกนำกลับมาใช้ใหม่เมื่อ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจได้ เพื่อใช้ประโยชน์จากการข่มให้กลัวใหม่อีกครั้งหนึ่ง

การฆาตกรรมหมู่ประชาชนเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนตุลาคม2516แต่วัฒนธรรมไทยได้พัฒนามาจนถึงจุดที่ไม่อาจรับการฆาตกรรมโดยรัฐอย่างเปิดเผยเช่นนั้นได้แล้วจึงทำให้ผู้สั่งทำฆาตกรรมกลายเป็น"สามทรราช"

อาจเป็นเพราะพลังทางวัฒนธรรมเช่นนั้นในสังคมไทยยังพอมีอยู่ ผู้วางแผนฆาตกรรมหมู่ในอีกสามปีต่อมา จึงพยายามสร้างภาพการฆาตกรรมหมู่ครั้งนั้น ให้เป็นฝีมือของชาวบ้านผู้จงรักภักดี แม้กระนั้นในการบุกยึดธรรมศาสตร์ ก็ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่รัฐและอาวุธของรัฐ เช่น มีภาพนายตำรวจในเครื่องแบบมีบุหรี่ห้อยอยู่มุมปาก ในขณะที่ยกปืนเล็งไปข้างหน้า (สสส. จึงต่อต้านการสูบบุหรี่ เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาวะทางสังคมกว่าการการฆาตกรรมโดยรัฐ) ผู้ยึดอำนาจได้ในตอนเย็นของวันที่ 6 ตุลาคม ปฏิเสธความเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมหมู่ในตอนเช้า (แม้กระนั้นก็รีบออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ทันที)

อย่างน้อยจนถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519 การฆาตกรรมโดยรัฐยังต้องทำแบบซ่อนรูป ไม่กล้าเปิดเผยเต็มที่

ฆาตกรรมหมู่โดยรัฐในเดือนพฤษภาคม 2535 แม้กระทำอย่างเปิดเผยไม่ซ่อนรูป แต่ผลก็คือผู้กระทำต้องยุติบทบาททางการเมืองของตนไปโดยสิ้นเชิง ซ้ำยังทำให้เกิดความตระหนกแก่สาธารณชนไทยอย่างมากพอที่จะเปิดโอกาสให้รัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน โยกย้ายนายทหารระดับสูงในกองทัพได้อย่างสะดวก



ผมควรกล่าวด้วยว่าตลอดเวลานับตั้งแต่พคท.หันมาต่อสู้ด้วยกองกำลังติดอาวุธรัฐได้ฆาตกรรมประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่การฆาตกรรมนั้นกระทำโดยไม่เปิดเผย หรือทำให้ดูประหนึ่งว่าเป็นการต่อสู้กันด้วยกำลังอาวุธกับ "ข้าศึก" ซึ่งมีอาวุธเหมือนกัน ในความเป็นจริงประชาชนที่ไม่มีอาวุธจำนวนมากถูกฆ่าอย่างทารุณ เช่น ทิ้งระเบิดนาปาล์มลงหมู่บ้านชาวเขา ถีบลงจาก ฮ. เพื่อปิดปากผู้ถูกสอบสวนอย่างทารุณ หรือจับลงถังแดงเผาทั้งเป็น แต่เมื่อฆาตกรรมเหล่านี้ถูกเปิดเผยหลัง 2516 สังคมไทยก็แสดงอาการยอมรับไม่ได้ แสดงว่าวัฒนธรรมที่ยับยั้งการฆาตกรรมโดยรัฐในสังคมไทยยังพอมีพลังอยู่บ้าง

แต่วัฒนธรรมดังกล่าวอ่อนพลังลงอย่างมากในฆาตกรรมหมู่โดยรัฐในเดือนเมษายน-พฤษภาคม2553อย่างน้อยประชาชนจำนวนมากเห็นว่าการที่รัฐฆ่าประชาชนกลางเมืองทำความเสียหายแก่บ้านเมืองน้อยกว่าศูนย์การค้าถูกเผาการฆาตกรรมโดยรัฐไม่ได้เป็นความชั่วในตัวมันเอง ยังต้องมีเงื่อนไขบางอย่างซึ่งทำให้มันเลวร้าย หรือไม่เลวร้ายได้ ดังนั้น ในเงื่อนไขที่เอื้ออำนวย รัฐอาจทำฆาตกรรมหมู่ประชาชนอย่างไรก็ได้

คำวินิจฉัยของศาลว่า การฆาตกรรมโดยรัฐในปี 2553 ไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ทำให้การฆาตกรรมโดยรัฐกลายเป็นความผิดทางการเมือง ไม่ใช่ความผิดอาญาตามปรกติ เท่ากับขยายเงื่อนไขของการฆ่าให้แก่รัฐขึ้นไปอีก เพราะเงื่อนไขทางการเมืองย่อมยืดหยุ่นให้รัฐมีความชอบธรรมที่จะฆ่าได้ในอีกหลายกรณี ... จนแทบจะหาขีดจำกัดไม่ได้ คำวินิจฉัยนี้จึงเท่ากับสาปให้สังคมไทยไม่มีวันดิ้นหลุดจากรัฐฆาตกรรมไปได้ชั่วกัลปาวสาน

โดยสรุปก็คือ กลไกทางวัฒนธรรมและกระบวนการยุติธรรมของไทย ในการต่อสู้กับรัฐฆาตกรรม อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ และนี่คือความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างฉกาจฉกรรจ์ที่สุด



รัฐสมัยใหม่มีอำนาจมากอย่างที่ไม่มีรัฐอะไรมาเทียบได้คำสอนเรื่องธรรมราชาก็ดีรัฐเป็นสะพานเชื่อมต่อไปยังพระนิพพานก็ดีอาจมีพลังที่จะยับยั้งการใช้อำนาจรัฐในทางโฉดร้ายได้ในรัฐโบราณซึ่งรัฐไม่ได้สั่งสมอำนาจไว้เต็มเปี่ยมไปหมดทุกด้านอย่างรัฐสมัยใหม่ แต่เพราะรัฐสมัยใหม่มีอำนาจอย่างล้นเหลือ จึงต้องมีกติกาที่แน่นหนาในการควบคุมรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกติกาการเข้าสู่อำนาจ หรือกติกาการใช้อำนาจ ประชาชนต้องร่วมมือกันในการบังคับให้ใช้กติกานั้นอย่างเคร่งครัด ไม่ยอมจำนนต่อข้ออ้างใดอย่างง่ายๆ เพราะจะนำไปสู่การสังหารหมู่ประชาชน เพื่อป้องกันไฟไหม้ตึกอีก

นี่คือเหตุผลที่สำนักงานอัยการต้องอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลยุติธรรมเกี่ยวกับคดีที่รัฐทำฆาตกรรมโดยเล็งเห็นผลไว้แล้วในพ.ศ.2553เรื่องนี้เงียบหายไปจนผมไม่ทราบว่าทางสำนักงานอัยการได้อุทธรณ์ตามที่ได้ประกาศไปในตอนแรกแล้วหรือยังหากไม่ได้อุทธรณ์ ผมไม่ทราบว่าได้หมดเวลาไปแล้วหรือยัง หากคดีถูก "ไม่อุทธรณ์" จนตกไปแล้ว นักกฎหมายต้องร่วมกันคิดว่าจะรื้อฟื้นคดีนี้ให้กลับมาสู่การพิจารณาของกระบวนการยุติธรรมใหม่ได้อย่างไร

คดีที่ค้างศาลคดีนี้มีความสำคัญ ถึงยังไม่อาจสาวไปถึงผู้สั่งการแก่กำลังพลให้ปฏิบัติการฆ่าอย่างเหี้ยมโหดได้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำคดีเพื่อสาวไปถึงได้ในภายหน้า นับเป็นการฆาตกรรมโดยรัฐคดีแรก ที่เราสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเอาผิดผู้รับผิดชอบได้ ทหารผู้ปฏิบัติการในครั้งนั้น ต่างก็ยังถืออำนาจอยู่เต็มมือในบัดนี้ เพราะฉะนั้นเขาเหล่านั้นนั่นแหละ หากสามารถลอยนวลไปกับคดีฆาตกรรมใน 2553 ก็จะเป็นผู้สั่งการฆาตกรรมได้อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ต้องนึกลังเลแต่อย่างใด



ผมคิดว่านี่เป็นหลักการอันเดียวกับควรยกเลิกโทษประหารชีวิตนอกจากสถิติจากสังคมต่างๆทั่วโลกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าโทษประหารไม่ได้ช่วยยับยั้งอาชญากรรมรุนแรงแต่อย่างไรเรายังไม่ควรปล่อยให้มีเงื่อนไขใดๆ ให้แก่รัฐในการฆ่าประชาชน ฆาตกรรมโดยรัฐเป็นความผิดร้ายแรงในทุกเงื่อนไข หากเจ้าหน้าที่ของรัฐฆ่าคนเพื่อป้องกันชีวิตตนเองหรือผู้อื่น จำเป็นต้องมีกระบวนการตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นอย่างเคร่งครัด ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น

ถือมีดเข้าโรงพักเพื่อทำร้ายเจ้าพนักงานก็ยังยิงให้หมดสมรรถนะที่จะทำร้ายได้ไม่จำเป็นต้องยิงให้ถึงตาย

ต้องพิสูจน์ให้หมดความสงสัยได้อย่างขาวสะอาดในทุกกรณีว่าวิสามัญฆาตกรรมเป็นวิสามัญจริงคือจำเป็นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ถ้ารัฐไม่เหลืออำนาจในการฆ่าอีกเลย ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จะทำวิสามัญฆาตกรรมได้ ก็ต่อเมื่อได้ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบแล้วเท่านั้น

ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าเราทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันทำให้การฆาตกรรมโดยรัฐ เป็นทางเลือกที่เลือกไม่ได้ หรือถึงเลือกก็จะขาดทุนย่อยยับ รัฐฆาตกรรมในมือของเผด็จการเป็นอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด

วิกฤตหนี้กรีซ-ฟองสบู่หุ้นจีนแตก ฟ้อง “ธนาคารกลาง” ไร้ยาวิเศษปกปัก ศก.

วิกฤตหนี้กรีซ-ฟองสบู่หุ้นจีนแตก ฟ้อง “ธนาคารกลาง” ไร้ยาวิเศษปกปัก ศก.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 กรกฎาคม 2558 22:43 น. (แก้ไขล่าสุด 9 กรกฎาคม 2558 09:14 น.)
วิกฤตหนี้กรีซ-ฟองสบู่หุ้นจีนแตก ฟ้อง “ธนาคารกลาง” ไร้ยาวิเศษปกปัก ศก.
นักลงทุนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้อยู่ในอาการเคร่งครียด หลังการร่วงลงอย่างปัจจุบันทันด่วนของฟองสบู่ตลาดหลักทรัพย์จีน ที่ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ราคาหุ้นดิ่งลงถึง 30% คิดเป็นมูลค่าถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว
        รอยเตอร์ - “วิกฤตหนี้กรีซ” และ “ตลาดหุ้นจีนไหลรูด” สะท้อนให้เห็นว่า “ธนาคารกลาง” ไม่สามารถเยียวยาอาการป่วยไข้ทางเศรษฐกิจได้ทั้งหมด ซ้ำร้ายยังฟ้องถึง “การไร้อำนาจควบคุม” ซึ่ง “บีไอเอส” ระบุว่า เป็นหนึ่งในภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดของระบบการเงินโลก 
      
       วาทะ “จะทำทุกทาง” เพื่อปกป้องเงินยูโรของ มาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เมื่อสามปีที่แล้ว อธิบายได้อย่างชัดเจนที่สุดถึงการดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง ของธนาคารกลางที่มีอำนาจและรู้จักตัวเอง ซึ่งช่วยปลอบประโลมตลาดโลกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตภาคการเงินจนระบบการธนาคารและสินเชื่อพังครืนเป็นแถบ ๆ เมื่อ 8 ปีที่แล้ว
      
       จากอเมริกาถึงยุโรปและเอเชีย ตลาดการเงินได้รับการประคบประหงมและปกป้องด้วยอำนาจไร้ขีดจำกัดของบรรดาธนาคารกลาง ผ่านการพิมพ์ธนบัตรใหม่เพื่อปัดเป่าผลกระทบเชิงระบบและภาวะเงินฝืด
      
       อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว ใช่ว่าธนาคารกลางจะสามารถปกป้องค่าเงิน หยุดยั้งภาวะถดถอย สร้างงาน กระตุ้นอัตราเงินเฟ้อ ฟื้นตลาดหุ้น ฯลฯ ได้เสมอไป
      
       ดังกรณีของวิกฤตหนี้กรีซที่มีบางคนคาดการณ์ว่า หากกรีซเป็นประเทศแรกที่ต้องออกจากสหภาพสกุลเงินที่เคยประกาศไว้ว่า ไม่สามารถแตกแยกได้ จะทำให้วลีทองของดรากีถูกรื้อฟื้นมาทบทวนใหม่อีกครั้ง
      
       แน่นอนว่า อีซีบีไม่ต้องการผลักไสเอเธนส์ออกจากยูโรโซน แต่การ “ทำทุกทาง” อาจไม่เพียงพอในการปกปักรักษาบูรณาภาพของระบบเงินตราสกุลเดียวที่ประกอบด้วยสมาชิก 19 ชาติได้อีกต่อไป หากอำนาจที่ได้รับมอบหมายกลับขัดขวางไม่ให้อีซีบีอัดฉีดสภาพคล่องฉุกเฉินแก่ระบบแบงก์กรีซอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
      
       ยิ่งถ้าเอเธนส์ยังตกลงกับเจ้าหนี้ไม่ได้ด้วยแล้ว อีซีบีคงไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินที่ละเมิดกฎของตัวเองได้เช่นเดียวกัน
วิกฤตหนี้กรีซ-ฟองสบู่หุ้นจีนแตก ฟ้อง “ธนาคารกลาง” ไร้ยาวิเศษปกปัก ศก.
นายอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐนตรีกรีซ(ซ้ายสุด) นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี(ที่ 2 จากซ้าย) และนายฟรังซัวส์ ออลลองด์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส(ขวาสุด) ร่วมด้วยเหล่าผู้นำอียู หารือกันที่สำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป ก่อนเข้าร่วมประชุมฉุกเฉินอียูในวันอังคาร(7ก.ค.) หลังชาวกรีซ โหวตโน ต่อข้อเสนอช่วยเหลือตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ระหว่างประเทศ
        กระนั้น อีซีบีจะยังคงยืนกรานว่า จะใช้อำนาจทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตหนี้กรีซลุกลามไปยังสมาชิกยูโรโซนชาติอื่นๆ แต่ปัญหาก็คือ ผลพวงจาก “เกร็กซิต” ไม่ได้มีแค่ด้านการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบทางการเมืองภายในพวกประเทศที่ต้องอดทนแบกรับมาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งถือเป็นภาวะการลุกลามที่อยู่เหนือการควบคุมของอีซีบี
      
       เช่นเดียวกัน ความสามารถของธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (พีเพิลส์ แบงก์ ออฟ ไชน่า หรือ พีบีโอซี) ธนาคารกลางแดนมังกร ในการบริหารแบบจุลภาคต่อเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก และตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังถูกท้าทายอย่างดุเดือด
      
       หลังจากช่วยปลุกภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ผ่านนโยบายผ่อนคลายด้านสินเชื่อในช่วงปีที่ผ่านมา มาตอนนี้ ทั้งพีบีโอซีและหน่วยงานผู้คุมกฎอีกหลายแห่งของรัฐบาล กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมการระเบิดอย่างปัจจุบันทันด่วนของฟองสบู่ ที่ภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ได้ส่งผลให้ราคาหุ้นดิ่งลงถึง 30% คิดเป็นมูลค่าถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว
      
       ที่น่าเป็นห่วงคือ หลังจากลดดอกเบี้ยและผ่อนคลายข้อกำหนดในการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ไปเมื่อปลายเดือนที่แล้ว แถมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่บริษัทการเงินที่รัฐสนับสนุน แต่ตลาดกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อมาตรการเหล่านี้เพียงผิว ๆ เท่านั้น
      
       นอกจากนั้น จากข้อเท็จจริงที่ว่า 85% ของการซื้อขายหุ้นในจีนมาจากนักลงทุนรายย่อย สถานการณ์นี้จึงอาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ในขณะที่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอลงต่ำกว่า 7% เป็นครั้งแรกนับจากวิกฤตการเงิน
วิกฤตหนี้กรีซ-ฟองสบู่หุ้นจีนแตก ฟ้อง “ธนาคารกลาง” ไร้ยาวิเศษปกปัก ศก.
ชาวกรีกจำนวนมากยังคงแห่ออกมาถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม หลังประชาชนโหวตโนประชามติเงินช่วยเหลือตามเงื่อนไขของเจ้าหนี้ ซึ่งทำให้สถานการณ์ทางการเงินในกรีซผันผวนอย่างหนัก และมีความกังวลกันว่า อีกไม่นานหลังจากนี้ กรีซอาจจะออกจากยูโรโซน
        การสูญเสียอำนาจการควบคุมของแบงก์ชาติจีนแม้ในช่วงสั้น ๆ จึงนำมาซึ่งคำถามที่ว่า จริงหรือที่พวกธนาคารกลางนั้น “มีอำนาจไม่สิ้นสุด” อย่างที่เคยเชื่อกันมาพักหนึ่ง
      
       สตีเฟน เจน จากกองทุนป้องกันความเสี่ยง เอสแอลเจ มาโคร พาร์ตเนอร์ส ชี้ว่า ถ้าพีบีโอซีไม่สามารถพยุงตลาดหุ้นได้ จะถือเป็นธนาคารกลางแห่งแรกที่ล้มเหลวในการพยายามชี้นำตลาดสินทรัพย์ที่อยู่ใต้การบริหารจัดการมีการกำหนดเป้าหมาย และนักลงทุนจะเริ่มสงสัยว่า ธนาคารกลางโดยทั่วไปอาจมาถึงจุดหักเหที่ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนลดลง
      
       ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) ได้ออกมาเตือนว่า การสูญเสียอำนาจการควบคุมของธนาคารกลาง ที่หลายแห่งกำลังมีปัญหาขาดแคลนวิธีการในการจัดการภาวะตลาดทรุดหนักหรือเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกะทันหันนั้น เป็นหนึ่งในภัยคุกคามร้ายแรงที่สุดของระบบการเงินโลก
      
       รายงานประจำปีที่ 85 ของบีไอเอส เสริมว่า นโยบายทางการเงินแบกภาระหนักและนานเกินไป และถึงเวลาแล้วที่จะหันมาปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจังเพื่อผ่อนเพลาภาระของนโยบายการเงินและรัฐบาลที่มีหนี้สินจำนวนมาก
      
       ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษที่กังวลว่า อัตราดอกเบี้ยใกล้ 0% ซึ่งพวกเขาใช้มานานปี อาจจะไม่ได้เพียงแค่บิดเบือนการลงทุนเท่านั้น แต่ยังจะสร้างปัญหาสังคมจากการเพิ่มความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ ดังนั้น พวกเขาจึงพากันส่งสัญญาณว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
      
       ทว่า หากปัญหาตลาดหุ้นจีนหรือหนี้กรีซลุกลาม กลายเป็นวิกฤตการเงินครั้งใหม่ที่เขย่าความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโลก ธนาคารกลางของอเมริกาและของอังกฤษ ก็อาจยังไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างที่วางแผนไว้ ถึงแม้ขณะนี้จะเป็นช่วงขาขึ้นในตลาดการเงินที่ยาวนานที่สุดช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ก็ตาม

เตือน “ไฟแดง” อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย “ไม่ปกติรุนแรง” สิงหา’58 น่าห่วง อึ้งเศรษฐกิจแย่ “ยอดขาย” ร่วง!


เตือน “ไฟแดง” อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย “ไม่ปกติรุนแรง” สิงหา’58 น่าห่วง อึ้งเศรษฐกิจแย่ “ยอดขาย” ร่วง!
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ได้ขึ้น “ไฟเหลือง”  ระบบเตือนภัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ที่ได้เผยแพร่เอาไว้ในเว็บไซต์สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (http://www.oie.go.th ) โดยได้ระบุเอาไว้ด้วยว่าเป็น “การคาดการณ์เดือน มิถุนายน – สิงหาคม 2558” ซึ่งถือได้ว่าเป็น การเตือนภัยระยะต้นจากระบบเตือนภัย
โดยได้อธิบายถึงปัจจัยด้านลบและด้านบวกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการเตือนภัยดังกล่าว ซึ่งได้มีการชี้ให้เห็นว่า “ด้านบวก” คือ “ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจของไทย (LEI) ส่งสัญญาณดีขึ้น ตามการขยายตัวขององค์ประกอบส่วนใหญ่ ยกเว้นเงินทุนจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาลและดัชนีส่วนกลับราคาน้ำมัน (โอมาน)”
ส่วน “ด้านลบ” ปรากฏว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของไทย (BSI) ส่งสัญญาณชะลอลง ตามความเชื่อมั่นที่ปรับลดลงในเกือบทุกองค์ประกอบโดยเฉพาะด้านการผลิต และผลประกอบการ” รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ รวมทั้งปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศประกอบกัน 
นอกจากนี้ยังได้มีการอธิบายเพิ่มเติมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยเอาไว้ว่า OIE CLI ชะลอลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 100.10 ทำให้คาดว่าในอนาคต 1-3 เดือนข้างหน้า (มิถุนายน – สิงหาคม 2558) ทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยมีแนวโน้มชะลอลง สะท้อนจากค่าดัชนีฯ อยู่ระดับใกล้เคียงเส้นมาตรฐาน (ระดับมาตรฐาน 100.00) เป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากตัวแปรในประเทศที่สำคัญยังถูกบั่นทอนลงจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ตัวแปรต่างประเทศในภาพรวมส่งสัญญาณชะลอลง ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมโลก นอกจากนี้มีปัจจัยที่ต้องติดตาม เช่น ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และการปรับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน เว็บไซด์ “ศูนย์สารสนเทศยานยนต์” AUTOMOTIVE INTELLIGENCE UNIT ( http://data.thaiauto.or.th ) ของ สถาบันยานยนต์ ได้แจ้งเตือน “ไฟแดง”ของ “ระบบสัญญาณเตือนภัยภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ เดือน สิงหาคม 2558” ซึ่งมีข้อความกำกับด้วยว่า “ระบบเตือนภัยส่งสัญญาณเตือนไม่ปกติในระยะรุนแรง”
ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับกระแสข่าวในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมาว่า “ยอดขายรถยนต์ประเทศไทยตกต่ำอย่างรุนแรง” และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2556 “เนชั่นสุดสัปดาห์” รายงานเอาไว้ว่า “วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยถึงตลาดรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2558 ว่า มีปริมาณการขาย 56,942 คัน ลดลง 18.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 21.1% ตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มีอัตราการเติบโตลดลง 16.2% เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งสถาบันทางการเงินที่ยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ประกอบกับกำลังซื้อที่ยังไม่ขยายตัว อันเป็นผลมาจากรายได้เกษตรกรที่ทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้สภาพคล่องในระบบและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนลดลง”
koli

ผบ.ทบ.ยันคสช.ต้องแจงนศ.ขบวนการประชาธิปไตยใหม่จนกว่าจะเข้าใจ

ประเทศชาติพัง...!!!
ผบ.ทบ.ยันคสช.ต้องแจงนศ.ขบวนการประชาธิปไตยใหม่จนกว่าจะเข้าใจ หลังเปิดแถลงต้านรัฐบาล-คสช.อีก ยันรัฐไม่มีสิทธิ์โกรธ วอนอาจารย์ที่หนุนคิดใหม่ หากปล่อยชุมนมบานปลาย ประเทศชาติพัง ลั่น "เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธใคร รัฐบาลใจเย็น ที่จะแก้ปัญหาให้ได้ ถ้านศ.บอกว่าจะทำต่อไป เราก็ต้องบอกว่าผมก็จะพยายามทำให้ท่านเข้าใจให้ได้" ติงอย่าบอกว่านักศึกษายังเป็นเด็กเยาวชนไม่ควรรับโทษทัณฑ์ ซึ่งเรื่องนี้ก็ใช่ แต่หากปล่อยเลย ก็จะก่อตัวบานปลาย

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเปิดตัวกลุ่มนักศึกษาขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ที่จะเคลื่อนไปต่อ ว่า เรื่องนี้จะต้องมีการทำความเข้าใจกับตัวนักศึกษา และผู้ปกครอง ต่อไป  แต่บางคนก็ไปบิดเบือนกล่าวหาว่าเจ้าหน้าทีไปข่มขู่ ซึ่งเป็นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ก็บอกว่าเรื่องนี้พยายามแก้ไข และอยากให้เรื่องสงบ และไม่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ เพราะส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าเราต้องการความสงบเรียบร้อย และไม่ต้องการให้มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากจะพูดบ่อย ๆ เพราะจะเป็นเรื่องของการจุดประเด็น

"การแก้ไขปัญหาเราจะต้องพยายามสร้างความเข้าใจ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปโกรธใคร รัฐบาลก็มีความใจเย็น ที่จะแก้ไขปัญหาให้ได้ ถ้านักศึกษาบอกว่า จะทำต่อไป เราก็ต้องบอกว่า ผมก็จะพยายามทำให้ท่านเข้าใจให้ได้ พยายามให้ท่านร่วมมือให้ได้ เพราะถ้าไม่ได้ประเทศชาติก็พัง "

“จะมาบอกว่าไม่เห็นเป็นไรเลย จะเคลื่อนไหวต่อไป ซึ่งการทำแบบนี้ หรือ ผู้ที่บอกว่าใจปรารถนาดีกับประเทศ ก็ต้องเข้าใจว่าควรจะสนับสนุนหรือไม่ควรสนับสนุนอย่างไร จะมาบอก ว่านักศึกษายังเป็นเด็กเยาวชนไม่ควรรับโทษทัณฑ์ ซึ่งเรื่องนี้ก็ใช่และเป็นอีกแง่มุมหนึ่ง แต่ในโอกาส และ สถานการณ์แบบนี้หากปล่อยเลย ๆ ก็จะก่อตัวบานปลายจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อประเทศชาติ ซึ่งเรื่องนี้มันตอบปัญหาด้วยตัวของมันเองอยู่แล้วว่าจะต้องมีปัญหาต่อไปหากยังเป็นแบบนี้

ดังนั้นอย่าไปทำอะไรเลย ที่สำคัญนายกรัฐมนตรีไม่สบายใจที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้ ใครที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ หรือ อาจารย์ผู้ใหญ่ที่ออกมาเตือนสติอาจารย์บางท่าน ซึ่งส่วนใหญ่เข้าใจ แต่บางท่านไปมองในแง่มุมไม่ครบ และไปมองผลในเพียงส่วนเดียวว่าผมจะต้องปฏิบัติต่อเยาวชนที่ไม่ควรได้รับโทษต่าง ๆ ซึ่งพวกเราเข้าใจดี แต่ท่านกรุณามองภาพความมั่นคงกว้าง ๆ ไม่เช่นนั้นประเทศเราจะมีปัญหา” พล.อ.อุดมเดช กล่าว

พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า รัฐบาล และ คสช. จะพยายามอย่างยิ่งในการประคับประคองบ้านเมืองที่ยังไม่เรียบร้อย และจะต้องปฏิรูปให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อให้พื้นฐานแน่นหนา และเป็นมาตรฐานเพื่อให้ประเทศชาติอยู่ต่อไป หากมองแง่มุมเดียวไม่มองภาพกว้างปัญหาจะเกิดขึ้น

"ขอกราบเรียนอาจารย์บางท่านว่าขอให้เข้าใจ และร่วมมือกัน อย่าส่งเสริมในทางไม่ดี และขอขอบคุณอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ออกมาเตือนสติลูกศิษย์ และคิดว่าทุกคนควรทำความเข้าใจและพากันไปในทางที่ดี
นักศึกษาก็ขอให้เรียนหนังสือเพื่อก้าวต่อไป และมีอาชีพอนาคตในการวางรากฐาน หากชีวิตตัวเองดี ส่วนร่วมก็จะดี และประเทศชาติก็จะดีไปด้วย บางท่านยังอยู่ความคิดที่อาจจะเป็นมุมที่มองรัฐบาลไม่ลึกซึ้งว่ารัฐบาลไม่ได้หวังอะไร แต่อยู่เพื่อปูพื้นฐานที่มั่นคง และเป็นรากฐานต่อไปในอนาคตเท่านั้น ” พล.อ.อุดมเดช กล่าว


ฉะแผน ‘คว่ำโอ่ง’ กลัวน้ำท่วมกรุงเทพฯ ต้นเหตุแล้งวิกฤติ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 ก.ค. 2558 15:48


โปรดฟังอีกครั้ง ประธานสภาเกษตรกร จ.อุตรดิตถ์ ย้ำ วิกฤติแล้งเข้าขั้นสาหัส เขื่อนสิริกิติ์เหลือน้ำใช้งานได้อีก 22 วัน ชี้ เป็นความผิดพลาดจากแผน ‘คว่ำโอ่ง’ ระบายน้ำแบบไม่เกิดประโยชน์ เพียงเพราะกลัวว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ...  
เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 58 นายบัญชา อรุณเขต ประธานสภาเกษตรกร จ.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์มีแค่ 3,234 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำเหลือใช้ 384 ล้าน ลบ.ม. หรือ 4% เท่านั้น ปัจจุบันมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างฯ 12 ล้าน ลบ.ม. และทางเขื่อนสิริกิติ์ได้ระบายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคบริเวณลุ่มน้ำน่าน และผลักดันน้ำเค็มวันละ 17 ล้าน ลบ.ม.
ทั้งนี้ หากไม่มีฝนตกบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ ปริมาณน้ำในอ่างก็จะเหลือใช้งานเพียง 22 วันเท่านั้น ถือว่าสถานการณ์น้ำในอ่างอยู่ในขั้นวิกฤติ จะส่งผลกระทบต่อการเกษตรบริเวณท้ายเขื่อน อย่างไรก็ตาม วิกฤติแล้งที่กำลังเผชิญอยู่เวลานี้ เกิดจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดตั้งแต่ ปี 2555 หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ เมื่อ ปี 2554
นายบัญชา กล่าวด้วยว่า การระบายน้ำที่มีอยู่ในครั้งนั้น เริ่มตั้งแต่ เดือนธันวาคม ปี 2554 ต่อเนื่องมาจนถึง ปี 2555 เป็นการสั่งระบายน้ำแบบไม่เกิดประโยชน์ต่อการอุปโภคบริโภค เหมือนกับการคว่ำโอ่ง เพียงเพราะคิดว่า ถ้าไม่ระบายน้ำออกจากเขื่อน จะทำให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ซ้ำรอย ปี 2554 หากไม่มีการสั่งปล่อยระบายน้ำดังกล่าว เชื่อว่าจะไม่เกิดวิกฤติแล้งแบบนี้
"การระบายน้ำครั้งนั้นเป็นการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด จนเกิดวิกฤติแล้งอยู่ทุกวันนี้ แทนที่จะปล่อยไปตามปกติ ซึ่งทุกเขื่อนจะรู้ และเข้าใจสถานการณ์ต้นทุนน้ำอยู่แล้วว่า จะระบายน้ำมากหรือน้อยในช่วงเวลาใด เขื่อนแต่ละแห่งเขามีประสบการณ์อยู่แล้ว" นายบัญชา กล่าว.

ประเด็นเงินหมื่นล้านนายกฯ

ประเด็น “ประยุทธ์โอนงินกว่าหมื่นล้านไปสิงคโปร์” มาจากโซเชียลมีเดีย หรือมาจากปากประยุทธ์เอง? เพราะถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีคนเห็น “โพสต์ข่าวลือ” ที่ประยุทธ์กล่าวถึง เจ้าหน้าที่ MICT กับปอท.เองก็งงว่าข่าวเรื่องนี้มาจากไหน ขนาดผอ.สำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศยังไม่เคยเห็นโพสต์ที่ว่า (“ICT งง ข่าวนายกโอนเงินมาจากไหน” https://youtu.be/kShxoN8_0f4)
Timeline ของเรื่องนี้เริ่มตอน 8.30 น. วันที่ 6 ก.ค. ประยุทธ์กล่าวเปิดงาน United Nations Public Service Awards (UNPSA) ที่ทำเนียบรัฐบาล พูดตอนหนึ่งว่า “วันนี้โซเชียลมีเดียอะไรเยอะไปหมด อย่างเมื่อเช้าก็มาบอกว่าผมโอนเงินหมื่นล้านไปไว้ในบัญชีที่สิงคโปร์ ซึ่งมีต้นตอมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมจะเอาเงินมาจากไหนหมื่นล้าน ถ้ามีคงไม่นั่งอยู่อย่างนี้หรอก” (http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx…)
จากนั้นให้สัมภาษณ์ด้านนอกห้องประชุม เวลา 9.00 น. นักข่าวคนหนึ่งเอาประเด็นโอนเงินหมื่นล้านมาถามประยุทธ์ ๆ บอกปฏิเสธ “ก็ไม่รู้ดิว่าใครเอาไปเขียนในโซเชียล เขียนแล้วมันใช่มั้ยล่ะ ลองใช้สมองวิเคราะห์สิ ถ้าจะเชื่อก็ตามใจ ก็เขาก็ตามว่ามันมาจากไหน พอแล้ว!” (https://youtu.be/Wcrto2GAUlw) สื่อเอาไปเขียนตรงกันหลายฉบับ (เช่นhttp://www.thairath.co.th/content/509750 และhttp://www.dailynews.co.th/politics/332939 เป็นต้น) ส่วน Bangkok Post เอาลงตอนตีห้าของวันที่ 7 ก.ค.วันรุ่งขึ้น แต่มีการแถมว่า ในข่าวลือบอกว่าทั้งประยุทธ์และภรรยาเป็นคนโอนเงินดังกล่าว (http://www.bangkokpost.com/…/pm-denies-cash-transfer-rumours)
วันนี้ 9 ก.ค. มีรายงานข่าว “ทหารใช้ ม.44 บุกรวบหญิง วัย 45 ปี ต้นตอโพสต์เฟซฯ กุข่าว นายกฯ-ภรรยา โอนเงินหมื่นล้านบาท ไปสิงคโปร์ นำตัวไปสอบ เตรียมออกหมายจับเพิ่ม ผบ.ตร.จ่อ แถลงข่าวด้วยตัวเอง พรุ่งนี้ที่ สตช.”
น่าสงสัยว่าตกลงใครเป็นต้นตอของข่าว “ประยุทธ์โอนเงินหมื่นล้าน” กันแน่? เท่าที่มีหลักฐานตอนนี้คือประยุทธ์พูดเองว่ามีโซเชียลมีเดียเขียนอย่างนั้น เป็นไปได้หรือเปล่าว่าเขาเข้าใจผิด เพราะช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา WSJ เปิดโปงว่านายกฯ มาเลย์ได้รับเงินโอนนับหมื่นล้านจากการทุจริต (นาจิบ ราซัก "นายกฯมาเลย์" พัวพันทุจริตนับหมื่นล้านบาทhttps://youtu.be/6eSNdcMYXwk) อย่างไรก็ตี น่าอนาถใจมากที่ใช้อำนาจเถื่อนตามม.44 อุ้มผู้ต้องสงสัยไปควบคุมตัว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการแจ้งข้อหาอะไร อุ้มก่อน หาข้อหาทีหลังเสมอยุคนี้