PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

กรณี ธรรมกาย ท้าทาย “มาตรา 44” ท้าทาย “คสช.”

ความละเอียดอ่อนอย่างยิ่งของกรณี “ธรรมกาย” มิได้อยู่ที่การตัดสินใจใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อเป็นอาวุธและเป็น“เครื่องมือ” ในการจัดการ
หากแต่อยู่ที่ว่า “ได้ผล” หรือไม่
คำว่า “ได้ผล” นี้หากประเมินจากพื้นฐานและความล้มเหลวจากปฏิบัติการ 2 ครั้งเมื่อเดือนมิถุนายนและเมื่อเดือนธันวาคม 2559
ก็ต้องถือว่า “สำเร็จ”
เพราะเมื่อ 2 ครั้งก่อน การบุกเข้าไปภายในวัดพระธรรมกายดำเนินไปได้แต่ด้วยความทุลักทุเลอย่างยิ่ง
ทั้งสามารถเข้าไปได้เพียง “บางส่วน”
แต่ปฏิบัติการครั้งใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 สามารถเข้าไปได้ทั้งโซน A โซน B และโซน C แทบไม่เหลือพื้นที่ใดที่ไม่สามารถเข้าไปไม่ได้
แต่หากว่า “ได้ผล” คือสามารถจับกุมพระเทพญาณมหามุนีหรือไม่
คำตอบไม่ว่าจะเป็นคำแถลงในวันที่ 17 ไม่ว่าจะเป็นคำแถลงในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ก็คือ ไร้ร่องรอยของพระเทพญาณมหามุนี
ตรงนี้ต่างหากที่ได้กลายเป็น “คำถาม”
คำถามแรกสุดย่อมพุ่งเป้าไปยังประเด็นอันเกี่ยวกับ “การข่าว” ไม่ว่าจะเป็นการข่าวของดีเอสไอ ไม่ว่าจะเป็นการข่าวของตำรวจ
หรือแม้กระทั่งการข่าวของ “ทหาร”
เป็นอันว่า ที่ดีเอสไอเสนอเป็นเป้าหมายใน “หมายค้น” ไม่มีความแจ่มชัด เสมอเป็นเพียงการคาดคะเนว่าน่าจะอยู่ที่ใด
แต่ไม่มี “ฐาน” ความเป็นจริงอย่างจริงแท้
เป็นอันว่า ที่ดีเอสไออ้างว่าได้ส่งเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้าไปเสาะหาข่าวภายในวัดพระธรรมกาย ก็อาจจะใช่
แต่ประเด็นอยู่ที่ “ประสิทธิภาพ” และ “ความแม่นยำ”
ไม่ว่าจะมองจากด้านของ “ดีเอสไอ” ไม่ว่าจะมองจากด้านของ “ตำรวจ” ไม่ว่าจะมองจากด้านของ “ทหาร” ต้องยอมรับในความสำคัญของ “การข่าว”
เพราะ “การข่าว” คือองค์ประกอบ 1 ในการกำหนด “แผน”
ตลอด 2 วันของการลุยเข้าไปในพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ตลอด 2 วันของการเจาะทะลวงเข้าไปแต่ละอาคาร แต่ละห้อง จึงดำเนินไปอย่างชนิดที่เรียกว่า
“มะงุมมะงาหรา”
คำถามต่อมาก็สืบเนื่องจากกรณีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในกรณีของ “วัดพระธรรมกาย” เมื่อเริ่มต้นก็คำนึงแต่ในด้านของความเฉียบขาด
ขณะเดียวกัน ก็มองข้าม “ผลสะเทือน” จาก “มาตรา 44”
มาตรา 44 คือความต่อเนื่องจากมาตรา 17 อันดำรงอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2502 ในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
และก็ต่อเนื่องมาถึงยุค จอมพลถนอม กิตติขจร
ความรับรู้ของคนในยุคหลัง คือ ความเด็ดขาด เพราะว่าได้ให้อำนาจเป็นทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ อยู่ในตัวคนเดียว
แม้กระทั่ง “ประหาร” ก็สามารถทำได้
จินตภาพแรกของการใช้มาตรา 44 ต่อกรณีวัดพระธรรมกาย คือความคิดรวบยอดว่าปัญหานี้ร้ายแรงเกินกว่าจะใช้อำนาจตามปกติได้
จึงเกิดความคาดหวังว่าทุกอย่างจะ “สัมฤทธิ์”
นั่นหมายถึงว่า ปัญหาอันเนื่องแต่วัดพระธรรมกายจะต้องยุติ ขณะเดียวกัน ปัญหาอันเนื่องแต่พระเทพญาณมหามุนี จะต้องจบสิ้น
นั่นก็คือ สามารถนำตัวพระเทพญาณมหามุนีไปขึ้นศาลได้
แต่แล้วก็ปรากฏจากคำแถลงตลอด 3-4 วันจากดีเอสไอ ปรากฏว่า ไม่สามารถตอบได้ว่าพระเทพญาณมหามุนีอยู่ที่ใด
ตราบใดที่ยังไม่สามารถจับตัวพระเทพญาณมหามุนีได้ ตราบนั้นปัญหาของวัดพระธรรมกายก็ยังดำรงอยู่
คำถามนี้ไม่ได้พุ่งไปยัง “ดีเอสไอ” ไม่ได้พุ่งไปยัง “ตำรวจ” เท่านั้น หากแต่ยังเลยเถิดไปยัง “คสช.” ไปยัง“รัฐบาล”
และไปอยู่ที่ “มาตรา 44” อย่างมิอาจปฏิเสธได้

เหตุที่ม็อบกล้าท้าทาย

ไม่ต้องมาขู่จะมาสร้างม็อบ จะมาต่อต้าน

ตามอาการที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม เสียงแข็งใส่ “ตุ๊ดตู่” นายจตุพร พรหมพันธุ์ หัวขบวนกลุ่มเสื้อแดง นปช. กรณีที่ประกาศเบิ้ลใส่ คสช. หากการปรองดองของรัฐบาลไม่มีความคืบหน้าใน 3 เดือน นปช.เสื้อแดงพร้อมจะตั้งเวทีคู่ขนาน

งานนี้เชื่อเลยว่า “พี่ใหญ่” ตั้งใจกระแทกแกนนำแดง แฝงสัญญาณพวกจ้องท้าทาย

ในบรรยากาศม็อบเริ่มกลับมาออกฤทธิ์ออกเดช

ตามรูปการณ์ล่าสุดพระสงฆ์จำนวนหนึ่งของสำนักธรรมกายตั้งแถวเดินฝ่าแนวสกัดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมประกาศผ่านลำโพงจะออกมารับญาติโยมที่เข้าวัดไม่ได้

ยื้อยุดฉุดกระชากลากถูจนบาดเจ็บเลือดออกทั้งสองฝ่าย

เป็นช็อตต่อเนื่องจากการที่เครือข่ายธรรมกายระดมพลผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อยึดคืนพื้นที่

เจ้าหน้าที่อึดอัด พระเริ่มตบะแตก

แนวรบด้านธรรมกายทำท่าเผด็จศึกไม่ง่าย ในจังหวะที่แนวรบม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินจังหวัดกระบี่บุกถึงข้างทำเนียบฯ จนรัฐบาลทหาร คสช.ต้องปล่อยตัวแกนนำพร้อมสั่งให้กระทรวงพลังงานแจ้งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (อีเอชไอเอ) ใหม่

ตามเงื่อนไขที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ประกาศเลยว่า ถ้าอีเอชไอเอไม่ผ่านรัฐบาลก็พร้อมถอยยุติโครงการ

ผู้นำรัฐบาลทหารไม่กล้าลุยหักดิบ ต้องกู้สถานการณ์ม็อบต้านโรงไฟฟ้าให้กลับบ้านไปก่อน

ปมร้อนม็อบโรงไฟฟ้า ต่อเนื่องธรรมกาย สถานการณ์สะท้อนอำนาจพิเศษชักจะไม่ขลัง

“กระบองยักษ์” มาตรา 44 เริ่มโดนท้าทายจากพวกไม่กลัวตาย

ตามเหลี่ยมเชิงทางการเมืองถือว่า รัฐบาลท็อปบูตเสียรังวัดไม่น้อย

ทั้งๆที่อ่านกันตามเนื้อผ้า ปมคาราคาซังของสำนักธรรมกาย ประเมินจากกระแสผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็เห็นด้วยกับการเดินหน้า “เคลียร์”

ลัทธิที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ

พฤติการณ์เข้าข่ายขบวนการบิดเบือนคำสอนพระศาสดา อาศัยศรัทธาความเชื่อของสาวกบิดเบือนคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงินสหกรณ์ออมทรัพย์เครดิตยูเน่ียน ที่ผู้ร่วมก่อการส่วนหนึ่งถูกตัดสินความผิดเข้าไปชดใช้กรรมในเรือนจำ

พฤติกรรมทางโลกที่ไม่ได้บ่งบอกถึงความเจริญทางธรรม

ที่สำคัญโดยเครือข่ายโยงใยกับกลุ่มการเมือง กลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ สีขาว สีเทา สีดำ ถ้าไม่ดำเนินการให้เกิดความชัดเจนในยุคที่รัฐบาลทหารมีอำนาจพิเศษเด็ดขาด

ก็ไม่ต้องพูดถึงรัฐบาลจากการเลือกตั้งต่อไปจะจัดการได้

ในสถานการณ์เดียวกันกับประเด็นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดกระบี่ ตามความจำเป็นที่สังคมส่วนใหญ่ แม้แต่ประชาชนในพื้นที่ซึ่งสะท้อนผ่านอดีต ส.ส.รุ่นลายครามอย่างนาย พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ก็รับรู้ถึงปัจจัยในด้านความมั่นคงทางพลังงานรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้

ไม่ต้องเสี่ยงเจอกับวิกฤติไฟดับทั้ง 14 จังหวัด เหมือนเมื่อปี 2556

เพราะฉะนั้น ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ต้องสร้าง ไม่มีทางเลี่ยงไฟต์บังคับ

และทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นม็อบแฝงพวกโหนสถานการณ์เตะตัดขา แบบที่มีการออกมาดักทางนักการเมือง เอ็นจีโอ นักวิชาการ ที่ผสมโรงม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน

เป็นขบวนการผสมทั้งขั้วตรงข้ามและแนวร่วมฝ่ายเดียวกันที่หวังล่มเรือแป๊ะ

แต่จับทาง “นายกฯลุงตู่” ยังไม่เสี่ยงลุยจนสุดซอย

นั่นก็เพราะ “รัฐบาลท็อปบูต” เองก็มี “รูรั่ว”

ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงเหมือนช่วงแรกที่ยึดอำนาจ

สถานการณ์ของผู้นำที่กำลังเหนื่อยกับปมของน้องชายอย่าง “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ที่กลายเป็นบ่อน้ำมัน ล่อเป้าตำบลกระสุนตกให้พี่ชาย

ต้นทุนหน้าตักหดหายไปพอสมควร

บทดุดันเลยลดระดับลงตามเครดิตความชอบธรรม.

ทีมข่าวการเมือง

ข่าว21/2/60

โรงไฟฟ้าถ่านหิน

นายกฯ เข้าทำเนียบแล้ว เตรียมประชุม ครม. จับตาความชัดเจน ตามมติ กพช. ทบทวน EHIA เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือไม่

ความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงเช้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เดินเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลแล้ว เพื่อเป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี ประจำสัปดาห์ ที่ตึกบัญชาการ 1 ในเวลา 09.00 น. ซึ่งในจะวันนี้ติดตามว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติอย่างไรเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กรณีการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ภายหลังนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ทบทวนรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA)

ส่วนวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีที่น่าสนใจอื่น ๆ นั้น ทางด้านกระทรวงคมนาคมจะเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบินพลเรือน (พ.ศ....) ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศจะเสนอการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ กรณีสาธารณรัฐโกตดิวัว ด้านกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเสนอร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยความร่วมมือต่อต้านการค้ามนุษย์
----------
มท.1 ยังไม่พบม็อบต้านโรงไฟฟ้าถ่านหินขยายวงกว้าง กำชับ ผู้ว่าฯ ดูแลให้เกิดความเรียบร้อย เร่งสอบคุณสมบัติ ผู้ว่าฯ กปภ.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการเคลื่อนไหวคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อย และให้การสนับสนุนถ้าจะต้องดำเนินการ ในเรื่องของการศึกษารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ  หรือ EHIA ซึ่งเป็นการดูแลความสงบเรียบร้อยโดยทั่วไป ส่วนข้อกังวลการต่อต้านว่าจะขยายวงกว้างในพื้นที่ภาคใต้นั้น ขณะนี้เหตุการณ์ยังปกติ ไม่มีอะไรขยาย ไม่ได้มีการเตรียมรับสถานการณ์หลัง ครม. มีมติพิจารณาหลักเกณณ์ EIA และ EHIA อย่างไร ในวันนี้ เพราะทุกอย่างปกติ การดำเนินการต้องเป็นไปด้วยเหตุและผล

พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. แสดงความเห็นถึงคุณสมบัติของ นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค หรือ กปภ. ว่า ได้มอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารพิจารณา สอบถามไปยังหน่วยงานที่จะชี้แจงได้ว่าการจัดสรรบุคคลเข้ามาเป็นผู้ว่า กปภ. เป็นไปอย่างชอบธรรมและมีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ โดยหน่วยงานที่จะชี้เรื่องคุณสมบัติ คือ อัยการสูงสุด
------------
นายกฯ ประชุม คสช. ก่อน ประชุม ครม. ปฏิเสธสัมภาษณ์สื่อเรื่องทบทวน EIA - EHIA

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว ซึ่งในวันนี้จะมีการประชุม คสช. ในระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพก่อน โดยนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนว่าจะมีการทบทวนหรือเริ่มต้นกระบวนการศึกษาการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ขึ้นใหม่

ทั้งนี้ ในการประชุม คสช. คาดว่า จะมีการรายงานความคืบหน้าในขั้นตอนของการนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับออกเสียงประชามติขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายตามลำดับขั้นตอนเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจะมีหารือถึงการทำรายละเอียดสาระสำคัญเพื่อเตรียมเผยแพร่รัฐธรรมนูญต่อสาธารณชน

ขณะเดียวกัน จะมีการรายงานสถานการณ์ในภาพรวม หลังมีการเจรจากับแกนนำเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินในการคัดค้านมติเดินหน้าโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหินกระบี่ รวมถึงปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. มาตรา 44 ให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม และให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นภายในวัด
------------
นายกฯ รอผล EIA ก่อนเดินหน้าโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ ขออย่านำมาเป็นประเด็น - ยันรัฐบาลไม่ได้ถอยหลัง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการชุมนุมค้ดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ว่า ที่ผ่านมามีการสั่งการให้ชะลอไว้และขณะนี้ได้ให้กลับไปทำความเข้าใจในการทำกระบวนการศึกษาการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ขึ้นมาใหม่ อย่างน้อยจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี และสามารถใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินได้ในปี 2566 - 2567 ซึ่งเดิมคาดว่าจะสามารถใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินได้ในปี 2565 ขออย่านำมายกมาเป็นประเด็น เบื้องต้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้กลับไปกันหมดแล้ว หากผลระบุว่าทำไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่ต้องคำนึงและยอมรับในอนาคต รวมถึงต้องหาวิธีการอื่นว่าต้องทำอย่างไร เพราะทุกอย่างต้องดำเนินการตามขั้นตอน นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการระดับสูงที่ทำงานเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศในทุกด้านด้วย ดังนั้น ขออย่าวิตกว่ารัฐบาลถอยหลัง เนื่องจากเรื่องนี้มีมานานแล้วแต่การชะลอไว้เพื่อให้มีคณะกรรมการไตรภาคี เพราะมักอ้างว่าไม่มีส่วนร่วม จึงขอใช้โอกาสนี้เข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่จัดหาแหล่งพลังงานให้กับประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาในกรุงเทพมหานครนั้น รัฐบาลมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อย และบังคับกฎหมายเท่าที่จำเป็น พร้อมมองว่า ประชาชนอาจจะมีปัญหาเรื่องความเข้าใจจึงไม่อยากดำเนินคดีใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนกรณีการคัดค้านโครงการเขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร นั้น ได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะโครงการดังกล่าวมีมานานแล้ว และจะต้องทำ EIA และ EHIA ใหม่เช่นกัน
--------
ชาวท่าแซะ ยื่นนายกฯ เรียกร้องยุติสร้างเขื่อน พร้อมเสนอบริหารจัดการน้ำเขื่อนคุริงให้สมบูรณ์แบบแทนการสร้างใหม่

ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะได้เข้ายื่นหนังสื่อร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยตัวแทนของกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำ กล่าวว่า ตามที่ผู้ว่า
ราชการจังหวัดชุมพร เสนอแนวคิดจะย้ายประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ของบริษัทวิจิตรภัณฑ์ จึงขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ยุติการสนับสนุนการสร้างเขื่อนท่าแซะอีกต่อไป และดำเนินการตามข้อเสนอที่ผ่านมา ส่วนประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากเขื่อนท่าแซะ ขออยู่ที่เดิมเพราะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว พร้อมกับเสนอเรื่องการจัดการน้ำให้อนุรักษ์ต้นน้ำไว้ แทนที่จะสร้างเขื่อนท่าแซะ และควรบริหารการจัดการเขื่อนคุริงให้สมบูรณ์แบบและจัดการสร้างฝายมีชีวิตน่าจะยั่งยืนกว่าการสร้างเขื่อนท่าแซะ

ทั้งนี้ ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ต้นน้ำท่าแซะ กล่าวว่า จ.ชุมพร เตรียมเดินหน้าผลักดันการก่อสร้างเขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร รวมถึงกรณีที่ทางทหารจากมณฑลทหารบกที่ 44 ค่ายเขตอุดมศักดิ์ ได้เชิญตัวแกนนำกลุ่มผู้คัดค้านจำนวน 15 ราย ไปยังค่ายเขตอุดมศักดิ์ เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมา และการถูกสกัดการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ จนทำให้ต้องใช้วิธีเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยรถตู้แทน
//////////////
ธรรมกาย

นายกฯ ย้ำ ใช้ ม.44 ควบคุมวัดพระธรรมกายต่อ ไม่มีการยกเลิก ขออย่ายุยง แนะพระธัมมชโยมอบตัวตามกระบวนการ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงข้อเสนอจากพระลูกวัดพระธรรมกายให้ยกเลิกมาตรา 44 ที่ประกาศให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ ว่า ยืนยันว่าไม่ยกเลิกมาตรา 44 เนื่องจากยังนำผู้ที่กระทำความผิดมาดำเนินคดีไม่ได้ ก็ยังไม่สามารถยกเลิกได้ และวัดพระธรรมกายยังต้องเป็นพื้นที่ควบคุมต่อไปจนกว่ามีการมอบตัวหรือดำเนินคดี จากนั้นก็ต้องมีการบริหารจัดการใหม่ ขณะเดียวกัน ขออย่ายุยงปลุกปั่น และยืนยันว่าไม่ว่ามาตราใดก็ตาม หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวอีกว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า 7 วัน จะได้ข้อยุติว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป โดยวันนี้มีการทำงานร่วมกัน ทั้ง สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมหาเถรสมาคม เพื่อดูว่าจะทำอย่างไร ให้วัดพระธรรมกายเป็นสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าไปได้โดยทั่วไป ไม่มีความแตกต่างจากวัดอื่น ๆ ส่วนเรื่องคดีความก็เป็นเรื่องของบุคคล หากใครทำความผิดก็ว่ากันตามกระบวนการ และขอให้ไปบอกบุคคลที่ทำความผิดให้มามอบตัว ไม่ใช่ไล่เจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมถามกลับว่าพระเอาผ้าปิดจมูกมีความเหมาะสมหรือไม่
---------
พล.อ.ประวิตร ยันไม่ยกเลิก ม.44 ควบคุมวัดพระธรรมกาย - ไม่จำเป็นขอศาลขยายกรอบเวลาหมายค้น ไร้กังวลศิษย์ชวนคนมาปกป้อง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า จะไม่ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช.ตาม ม.44 ในการประกาศให้วัดพระธรรมกาย เป็นพื้นที่ควบคุม เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจค้นวัดได้ และไม่จำเป็นขอศาลขยายกรอบเวลาหมายค้น เพราะเป็นที่ควบคุมอยู่แล้ว ซึ่งคำสั่งนี้จะใช้จนกว่าการดำเนินการตรวจค้นภายในวัดจะเป็นที่พอใจของทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนกรณีที่เมื่อคืนนี้สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชญติการามวรวิหาร กรรมการมหาเถรมหาคม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ได้ร่วมหารือกับวัดพระธรรมกาย และดีเอสไอ ก็มีแนวโน้มที่ดี จึงอาจเป็นไปได้ว่าในวันพรุ่งนี้ ที่จะครบกำหนด 7 วัน หลังออกมาตรา 44 จะสามารถคลี่คลายปัญหาได้ ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยกล่าวไว้

พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังยืนวันไม่กังวลที่วัดพระธรรมกาย เชิญชวนศิษยานุศิษย์มาปกป้องวัด เพราะเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบความเคลื่อนไหวอยู่แล้ว และยังไม่กังวลต่อกระแสข่าวว่าจะมีมวลชนมาปิดล้อมเจ้าหน้าที่อีกชั้น
-------
พล.อ.เฉลิมชัย ห่วงการปะทะกัน ในการควบคุมวัดพระธรรมกาย ขอทุกฝ่ายอดทน ยึดขั้นตอนกฎหมาย ย้ำ จะไม่ยอมให้เกิดสูญเสีย 

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีการเข้าค้นวัดพระธรรมกาย และการติดตัว พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จนทำให้การเกิดเหตุปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กับพระสงฆ์และประชาชน ว่า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับใช้กฎหมายตามขั้นตอน และเกิดความยุ่งยากเนื่องจากมีพื้นที่กว้าง รวมถึงมีประชาชนอยู่ภายในวัดเป็นจำนวนมากด้วย โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดตามขั้นตอนของกฎหมาย และแบ่งเป็น 2 กรอบ คือ ภายในและภายนอก ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหารได้รับผิดชอบในกรอบภายนอก พร้อมยอมรับว่า ห่วงในเรื่องของการเผชิญหน้ากัน และทำให้เกิดการปะทะกันได้ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความระมัดระวังในการดำเนินการ ที่จะต้อง รอบคอบ อดทน และควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้

ทั้งนี้ ยังยืนยันในการดำรงตามเจตนารมณ์และความมุ่งหมายในการบังคับใช้กฎหมายให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งบางครั้งจะต้องยอมเสียเวลา แต่จะไม่ยอมให้เกิดสูญเสีย ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน เพราะ
เป็นคนไทยด้วยกันเอง จึงขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานก่อน ส่วนกรณีที่พระสงฆ์ วัดพระธรรมกาย จำนวน 14 รูป ที่ยังไม่เข้ามาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ จะทำให้เกิดการปะทะกันอีกหรือไม่

ผู้บัญชาการทหารทบ กล่าวว่า ไม่ทำเกิดเหตุขึ้น แต่จะมีการเผชิญหน้ากัน ดังนั้น ต้องใช้เวลาให้คนภายในวัดได้นั่งสวดมนต์ เพื่อมีสติ และมีปัญญา จากนั้นก็จะรู้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง และต้องเน้น
การทำความเข้าใจ ตั้งสติ นึกคิด และคำนึงถึงภาพรวม
---------
"วัฒนา" FB ม.44 เผด็จการครองเมือง ชี้ชัด ประกาศพื้นที่วัดพระธรรมกาย เป็นเขตควบคุมไม่ถูกต้อง ขัด รธน. ชั่วคราว 

นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Watana Muangsook" เรื่อง ม.44 เผด็จการครองเมือง ว่า คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 5/2560 ที่กำหนดให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายกระบวนการยุติธรรมทางอาญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ขัดต่อมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่อนุญาตให้ออกคำสั่งเพื่อ "ป้องกัน ระงับ หรือปราบปราม การกระทำ
อันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน"

นอกจากนี้ คดีที่อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายถูกกล่าวหาว่าฟอกเงินและรับของโจรเกิดตั้งแต่ปี 2552 - 2554 จึงไม่เหลือเหตุที่จะต้องออกคำสั่งเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามสิ่งใดต่อไปอีกแล้ว วัดพระธรรมกายเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย พุทธศาสนิกชนจึงมีสิทธิ์ที่จะเข้าวัดตามความเชื่อของตน

หัวหน้า คสช. ไม่มีอำนาจออกคำสั่งควบคุมห้ามประชาชนหรือพระสงฆ์เข้า - ออกวัด ความผิดฐานฟอกเงินหรือรับของโจรเป็นคดีอาญาทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในหมวดความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และเป็นการกล่าวหาต่อตัวบุคคลซึ่งไม่เกี่ยวกับวัดที่เป็นองค์กรทางศาสนา และการกระทำที่อ้างเป็นความผิดยุติลงนานแล้ว เหลือเพียงการนำตัวอดีตเจ้าอาวาสเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เหมือนคดีอาญาอื่นอีกนับหมื่นคดีที่ยังติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีไม่ได้

ทั้งนี้ นายวัฒนา ทิ้งท้ายว่า การยกกำลังเจ้าหน้าที่หลายพันคนในชุดพร้อมรบ ไปปิดล้อมวัดเพื่อจับกุมพระที่มีอายุกว่า 70 ปี ห้ามคนเข้าออก ทำลายทรัพย์สินของวัด ทำร้ายประชาชนและพระสงฆ์ รวมทั้งออกคำสั่งให้พระกว่า 10 รูป มารายงานตัว หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกคือการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ส่วนที่อ้างว่าต้องการดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ยิ่งรับฟังไม่ได้ เพราะรัฐต่างหากที่ฝ่าฝืนกฎหมาย หากรู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่นและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายก็จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ฝ่ายที่ต้องถูกประณาม คือ รัฐที่เลือกปฏิบัติ ใช้อำนาจเกินเลยขอบเขต ยั่วยุให้เกิดความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชน อันเป็นการสุมไฟความขัดแย้งให้ขยายวงกว้าง
--------------
ศิษย์ธรรมกาย ปักหลักสวดมนต์ทั้งคืน ค้าน ม.44 ไร้เหตุปะทะซ้ำสอง - ตร. ยังตรึงกำลังเข้มงวด เร่งสอบมือดีโรยตะปูเรือใบหน้ารถ

บรรยากาศที่ถนนเลียบคลองแอน ทางเข้าประตู 5 และ 6 ของวัดพระธรรมกาย เช้านี้ยังคงมีพระและศิษย์ของวัดพระธรรมกายปักหลักค้างคืนและสวดมนต์กันอย่างต่อเนื่อง โดยนั่งสวดมนต์กันตั้งแต่ประตู 5 ของวัด เรื่อยมาตามถนนเลียบคลองแอน ประมาณ 200 เมตร โดยอยู่ในพื้นที่ห่างจากตำรวจประมาณ 10 เมตร ตามที่เจรจากับทางดีเอสไอ เพื่อลดการเผชิญหน้า โดยทางศิษย์วัดได้กางเต็นท์และนำสแลนสีเขียวมาปิดไว้บริเวณด้านหน้าเต็นท์และมีป้ายข้อความค้านการใช้ ม.44 ควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย ทั้งภาษาไทย จีน และ อังกฤษ โดยพบว่าเจ้าหน้าที่ได้อำนวยความสะดวกให้พระสงฆ์บางส่วนได้เดินออกไปบิณฑบาตด้านนอก และยังมีศิษย์ของวัดพระธรรมกายบางส่วนได้เดินทางกลับด้วย

นอกจากนี้ ยังพบว่าพระและศิษย์ของวัดพระธรรมกายที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เข้าไปด้านในไม่ได้ ปักหลักอยู่บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ริมฟุตปาธ โดยร่วมกันสวดมนต์ ทำกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา พร้อมเตรียมเสบียงน้ำดื่ม ขนม และข้าวสาร มารวมไว้ด้านหน้าเต็นท์อีกจำนวนมาก

ขณะที่การดูแลรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังเป็นไปอย่างเข้มงวด พบยังคงมีการตรึงและปิดทางเข้าออกประตูวัดพระธรรมกาย โดยเฉพาะทางเข้าถนนเลียบคลองแอน ไม่อนุญาตให้
พระและศิษย์ผ่านเข้าไปด้านใน แต่อำนวยความสะดวกให้ออกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ทราบว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์ผชิญหน้าหรือกระทบกระทั่งกัน แต่ตำรวจได้ตรวจพบตะปูเรือใบ ถูกนำมาโรยไว้หน้ารถยนต์ปากทางเข้าถนนเลียบคลองแอน โดยอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นฝีมือของบุคคลใด
--------------------------
พระวัดธรรมกาย เผย ถูกทหารไล่ลงจากรถ ขณะออกบิณฑบาต ยอมรับเสบียงเริ่มขาดแคลน 

พระมหาสุรัตน์ อัคครตโน พระผู้ดูแลงานด้านอาเซียน วัดพระธรรมกาย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพื่อขอความเป็นธรรม หลังกลับจากบิณฑบาต และเดินทางกลับเข้าวัดบริเวณประตู 5 และ 6 วัดพระธรรมกาย โดยยืนยันว่าพระสงฆ์ในวัดพระธรรมกายออกบิณฑบาตทุกวัน และในวันนี้มีประชาชนให้ติดรถกลับมาที่วัด แต่มาเจอทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ กลับให้พระสงฆ์ลงจากรถและเดินเท้ากลับมาไกล 4 ถึง 5 กิโลเมตร และยอมรับว่าในวัดมีอาหารเก็บไว้จริง แต่เริ่มขาดแคลนเนื่องจากไม่ทราบเวลาว่าเจ้าหน้าที่จะควบคุมพื้นที่อีกกี่วัน

และชี้แจงถึงอุโมงค์ความยาว 3 กิโลเมตร บริเวณอาคารภาวนา 60 ปี ว่าเป็นเพียงอุโมงค์ส่งน้ำ รวมถึงเครื่องไฮเปอร์ แบริก แชมเบอร์ ว่าเป็นเครื่องรักษาอาการป่วย ไม่ใช่เครื่องทำเบบี้เฟซตาม
กระแสข่าว ขอให้สื่อมวลชนรายงานตามข้อเท็จจริง

ขณะที่บรรยากาศบริเวณถนนเลียบคลองแอน ทางเข้าประตู 5 - 6 วัดพระธรรมกาย พระสงฆ์ยังคงนั่งปักหลักสวดมนต์ปิดทางเข้าออกประตูวัด โดยมีตำรวจสับเปลี่ยนกำลังดูแลความเรียบร้อยทาง
เข้าออกตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาด้านใน ส่วนลูกศิษย์วัดรวมถึงพระสงฆ์ที่เดินทางมายังคงตั้งเต๊นท์ปักหลักอยู่บริเวณตลาดกลางคลองหลวงฝั่งตรงข้ามและสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง
--------------------
วัดพระธรรมกาย ประกาศสงบสันติ ปฏิเสธความรุนแรง ลั่น เหตุใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากมือที่ 3 ไม่ใช่ฝีมือลูกศิษย์วัด

ความเคลื่อนไหวในแอปพลิเคชั่นไลน์กลุ่ม "News วัดพระธรรมกาย" มีการเผยแพร่ข้อมูลระบุว่า ประกาศสำนักสื่อสารองค์กร วันที่ 21 ก.พ. 2560 เวลา 09.00 น. เนื่องจากมีการเตือนมาจากพี่น้องสื่อมวลชนและโซเชียลเน็ตเวิร์ก ว่า จะมีการแทรกตัวของมือที่สาม อาจจะมาในรูปแบบแต่งกายคล้ายพระหรือประชาชน มาทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วป้ายความผิดให้กับพระและสาธุชนภายในวัด

ดังนั้น วัดพระธรรมกายขอประกาศ ว่า วัดและลูกศิษย์ยึดหลัก อนูปวาโท (ไม่ว่าร้ายกัน), อนูปฆาโต (ไม่ทำร้ายกัน), ปาฏิโมกเขจะสังวโร (สำรวมในศีลและปาฏิโมกข์) และหลัก "สงบ สันติ อหิงสา" วัดพระธรรมกาย ปฏิเสธความรุนแรงทุก ๆ ประการ ดังนั้น หากมีความรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้นจากมือที่สาม วัดพระธรรมกายขอปฏิเสธว่า ไม่ใช่การกระทำของลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย

พระสนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย
21 ก.พ. 2560
------------------
ดีเอสไอ ประชุมร่วมตำรวจ วางแผนค้นวัดพระธรรมกายวันที่ 6 ด้านวัดออกประกาศเตือน ระวังพระปลอมแฝงตัวทำร้ายเจ้าหน้าที่ 

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชาญเทพเสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และเจ้าหน้าที่ระดับสูงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมกันที่
สภ.คลองหลวง เพื่อประเมินสถานการณ์วางแนวทางปฏิบัติการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายในวันนี้ หลังเมื่อวานเกิดเหตุชุลมุนที่ประตู 5 และ 6 ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนต้องรอผลการประชุมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ขณะที่ประตูทางเข้าวัดพระธรรมกาย พบว่า ลูกศิษย์บางส่วนได้เดินทางออกจากวัด และยังคงมีกำลังตำรวจตรึงกำลังอยู่บริเวณโดยรอบ และตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมายังคงมีศิษย์ของวัดพระธรรมกายเดินทางมาอย่างต่อเนื่อง แต่เหตุการณ์โดยรอบยังเป็นไปตามปกติ

ด้านวัดพระธรรมกายได้ออกแถลงการณ์จากสำนักสื่อสารองค์กร เตือนว่า อาจมีมือที่สามแฝงตัวมาในรูปแบบแต่งกายคล้ายพระสงฆ์หรือลูกศิษย์มาทำร้ายเจ้าหน้าที่ และโยนความผิดให้กับทางวัด รวมถึงประกาศห้ามสื่อมวลชน ประกอบด้วย สำนักข่าวทีนิวส์ อัมรินทร์ และสำนักข่าวเนชั่น เข้าไปภายในวัดพระธรรมกายตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยไม่มีการชี้แจงเหตุผล
--------------------
ชุดสืบสวนดีเอสไอ เข้าตรวจค้น วัดพระธรรมกาย ฝั่งประตู 4 หาพระธัมชโย ปรับแผน Live Facebook ให้ประชาชนดูการทำงาน

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่าขณะนี้ ทาง พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ ได้นำชุดสืบสวนเข้าไปตรวจค้นวัดพระธรรมกาย โดยเข้าทางประตูที่ 4 ของวัด เพื่อหาตัวพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย ผู้ต้องหาตามหมายจับ ส่วนจะเป็นการเข้าไปตรวจค้นอาคารและจุดใดนั้น ไม่ขอเปิดเผยแต่เชื่อว่าทางชุดสืบสวนมีข้อมูลและเป้าหมายในการเข้าตรวจค้นอยู่แล้ว ส่วนผลการตรวจค้นจะเป็นอย่างไรจะได้มีการแถลงให้ทราบภายหลัง พร้อมระบุการตรวจค้นครั้งนี้ยอมรับว่า ที่ประชุมมีมติปรับแผนในการตรวจค้นโดยจะทำการ Live Facebook แทนการนำสื่อมวลชนเข้าไป เพื่อให้ประชาชนได้เห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ ว่าการเข้าตรวจค้นนั้นปราศจากอาวุธและความรุนแรง หลังจากทางวัดพระธรรมกายกังวล และได้แจ้งเตือนว่าอาจจะมีผู้ไม่หวังดีปลอมเป็นพระและศิษย์ของวัด แฝงตัวปะปนทำร้ายเจ้าหน้าที่ และวัดได้แจ้งห้ามไม่ให้สื่อ 3 สำนักเข้าไปในวัด

ทั้งนี้ ทางดีเอสไอ ได้มีการพูดคุยกับวัดพระธรรมกาย ว่า ขอให้สื่อสารกับศิษยานุศิษย์ ว่า เจ้าหน้าที่ต้องการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายเพื่อหาผู้ต้องหาตามหมายจับ ไม่ได้ใช้กำลังความรุนแรง กับพระและกลุ่มผู้ชุมนุม ขอให้ทางวัดสื่อสารกับพระลูกวัดและกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งทางวัดธรรมกายได้รับปากว่าจะไปพูดคุยให้

รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวถึงกรณีการเรียกพระ 14 รูป เข้าให้ปากคำ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ และทางดีเอสไอยังไม่ได้ดำเนินการออกหมายจับแต่อย่างใด ซึ่งทุกอย่างเป็นตาม
ขั้นตอนของกฎหมาย
-----------------
รอง ผบช.ภ.1 ตรวจกำลังประตู 5 วัดพระธรรมกาย ภาพรวมยังเรียบร้อย ยันไม่เพิ่มกำลัง - จ่อตรวจสอบพ่อค้าแม่ค้าขนส่วนประกอบอาหารเข้าพื้นที่ 

พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 ลงพื้นที่บริเวณถนนเลียบคลองแอนฝั่งประตู 5 วัดพระธรรมกาย เพื่อตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ โดยระบุว่า ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหามบุคคลภายนอกเข้า - ออก วัดพระธรรมกายตามประกาศใช้อำนาจมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ซึ่งที่ผ่านมาการตรวจคัดกรองพบมีดพก 1 เล่ม บริเวณประตู 8 วัดพระธรรมกาย ซึ่งขณะนี้กำลังตรวจสอบอยู่

รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวว่า ภาพรวมวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่จำเป็นต้องปรับกำลังหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติม โดยยังใช้กำลังจากตำรวจอารักขาควบคุมฝูงชน ตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จำนวน 26 กองร้อย สับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน โดยให้ประจำจุดต่าง ๆ ส่วนเรื่องภายในของวัดพระธรรมกาย และเรื่องอื่น ๆ ปฏิเสธที่จะออกความเห็น โดยระบุว่า มาตรวจกำลังเท่านั้น และขอให้เป็นหน้าที่ของ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ

พร้อมยอมรับว่า เตรียมประสานดีเอสไอ ให้ตรวจสอบกรณีพ่อค้าแม่ค้าได้นำส่วนประกอบอาหารเข้าไปภายในวัดพระธรรมกาย โดยพ่อค้าแม่ค้าอ้างว่าได้ขอเอกสารลงบันทึกประจำวันการเข้าออกแล้วที่ สภ.คลองหลวง เนื่องจากมองว่าน้ำหนักไม่เพียงพอ ซึ่งจะได้กลับไปพิจารณาว่าต้องใช้อะไรเพิ่มเติมบ้าง พร้อมกำชับหัวหน้าชุดอารักขาควบคุมฝูงชนเข้มงวดคัดกรองคนเข้าออกมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาประชุมที่ สภ.คลองหลวง และในเวลา 17.00 น. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย จะประชุมกันอีกครั้งที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 โดยจะสรุปภาพรวมการปฏิบัติ วันที่ 6 อีกครั้ง
---------------------
ผบ.ตร. เผย ดีเอสไอ ต้องค้นวัดวันนี้ให้ได้หลังศิษย์จำนวนหนึ่งยังไม่ยอม ย้ำ ม.44 จับกุม "พระธัมมชโย" ได้ ปัดขี่ช้างจับตั๊กแตน ใช้กำลังมากจับพระรูปเดียว

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภาพรวมสถานการณ์เกี่ยวกับการเข้าตรวจค้นและดูแลความปลอดภัยบริเวณวัดพระธรรมกาย ยังเป็นไปอย่างปกติ และขณะนี้ทางดีเอสไอรอเข้าไปตรวจค้น โซน A และ B ของวัด โดยมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งของวัดไม่ยินยอมให้เข้าไปตรวจค้น

ส่วนการตรวจค้นนั้นทางดีเอสไอ จะเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจะต้องค้นวันนี้ให้ได้ โดยมีเป้าหมายในการเข้าตรวจค้นอยู่แล้ว ส่วนการใช้ ม.44 นั้น ย้ำว่าหากพบการกระทำผิดก็ต้องดำเนินคดี เชื่อว่าประชาชนรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูกอยู่แล้ว จึงขออย่าทำผิด ทั้งนี้ ได้ปฏิเสธไม่ทราบ 2 มหาเศรษฐี คอยหนุนหลัง และให้การช่วยเหลือพระธัมมชโย ส่วนทางวัดใช้โซเชียลปลุกระดมคนนั้น มีการป้องกันอยู่แล้ว พร้อมเรียกร้องให้พระธัมมชโยมอบตัวต่อสู้คดี อย่านำมวลชนมาเป็นเครื่องมือในการปกป้องตนเอง พร้อมขอให้สื่อให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วย

ส่วนสถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ ทางดีเอสไอจะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์แต่อย่างน้อยกำหนดไว้ 7 วัน ทั้งนี้ เห็นว่าศิษย์ควรให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นตามหมายศาล ซึ่งการไม่ให้ค้นมองว่าอาจมีเจตนาไม่ดี เพราะหากให้ค้นยอมทำตามกฎหมายเรื่องก็จบ

ผบ.ตร. ย้ำว่า ม.44 สามารถจับกุมพระธัมมชโยได้แน่นอน เพราะกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย พร้อมกล่าวว่าไม่ได้รู้สึกหนักใจ แต่มองว่าการกระทำของวัดในขณะนี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เป็นการกระทำแบบนักเลงมากกว่า โดยย้ำตำรวจไม่ใช้ความรุนแรง เพราะไม่มีความจำเป็น และยืนยันตำรวจไม่ได้พกอาวุธ รวมทั้งสนับมือตามที่มีกระแสข่าว

ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่ได้ให้ราคากรณีพระธัมมชโยไม่มอบตัว แต่เวลาถูกจับกุมอย่าเรียกร้องขอปล่อยตัวแล้วกัน พร้อมระบุยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับกำลังดูแลภายในวัด แต่ตนเองเป็นห่วงประชาชนคนบริสุทธิ์ในบริเวณนี้มากกว่า จึงใช้กำลังจำนวนมาก ไม่ใช่การขี่ช้างจับตั๊กแตน มาจับพระเพียงรูปเดียว
-------------------
รองโฆษก ดีเอสไอ เผยล่าสุดดำเนินคดีคนทุบกำแพงวัดพระธรรมกายแล้ว - วอนออกจากพื้นที่ ห้ามเข้าวัดเพิ่ม

พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เดินทางมาตรวจสอบการปฏิบัติงานของกำลังพลที่ประตู 5 วัดพระธรรมกาย พร้อมเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มีการดำเนินคดี ในส่วนบุคคลที่ทุบกำแพงวัดแล้วพร้อมย้ำเจตนาของเจ้าหน้าที่ คือนำบุคคลตามหมายจับมาดำเนินคดีเท่านั้น สำหรับผู้ที่ต้องการออกจากวัด ก็สามารถออกได้ไม่มีการจับกุมใด ๆ โดยการเจรจาจะทำคู่ขนานกับการปฏิบัติตามกฎหมาย พร้อมขอความร่วมมือพระและบุคคลให้ออกนอกพื้นที่ควบคุมพิเศษ และบุคคลนอกวัดห้ามไม่ให้เข้าไปภายในวัดเพิ่มเติม โดยเมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้นจะคืนพื้นที่ให้โดยเร็วที่สุด

รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ กล่าวว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าคณะจังหวัด ได้เข้าไปเจรจากับทางวัดพระธรรมกายเพื่อเข้าตรวจค้นเพิ่มเติมโดยช่วงบ่ายจะมีการประเมินถึงสถานการณ์การตรวจค้นต่อไป

ส่วนกรณีที่พ่อค้าแม่ค้าอ้างว่าได้นำเอกสารการลงบันทึกประจำวันที่ สภ.คลองหลวง เพื่อเข้าไปในพื้นที่นั้น ขอไปตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนนี้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อย บริเวณทางเข้าถนนเลียบคลองแอน เนื่องจากมีประชาชนและศิษย์ของวัดพระธรรมกาย ต้องการเข้าไปในพื้นที่ควบคุมพิเศษ แต่ไม่ได้รับการอนุญาต
---------------------
ชาวบ้านรวมตัวเรียกร้องยกเลิก ม.44 อ้างเดือดร้อนหนัก เข้า - ออกไม่ได้ ขาดอาหารน้ำดื่ม ปัดจัดฉากเรียกความเห็นใจ

บรรยากาศถนนเลียบคลองแอน ฝั่งประตู 5 วัดพระธรรมกาย ได้มีแม่ค้าประชาชนที่อ้างว่าได้รับความเดือนร้อนจากการประกาศใช้ ม.44 ประกาศให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษประมาณ 60 คน ได้มารวมตัวได้พร้อมชูป้ายข้อความคัดค้านการใช้ ม.44 และบอกถึงผลกระทบที่ได้รับ ทั้งความเดือนร้อนจากการเข้า - ออกพื้นที่ไม่ได้ อาหาร และน้ำดื่ม เริ่มขาดแคลน พ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถทำมาค้าขายได้ โดยยืนยันว่าออกมาเรียกร้องด้วยการนำเด็กและคนป่วยออกมานั้นไม่ได้เป็นการจัดสร้าง หรือสร้างสถานการณ์ขึ้น แต่ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลคืนอิสรภาพให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านและเด็กได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ส่งตัวแทนมารับเรื่องดังกล่าวเพื่อสะท้อนไปยังเจ้าหน้าที่รัฐ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับเข้าไปภายในวัด โดยไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวาย หรือการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีกำลังตำรวจตระเวนชายแดนยืนดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ห่างจากกลุ่มผู้ที่ออกมาชุมนุมคัดค้าน ขณะที่กลุ่มพระและศิษย์ของวัดพระธรรมกายยังคงปักหลักสวดมนต์ สลับกับการเทศนาธรรมต่อเนื่องตลอดทั้งวัน

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ขณะนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งได้เข้าไปตรวจค้นอาคารภาวนา 60 ปี ในวัดพระธรรมกาย ตามหมายศาลอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังได้ทำการตรวจค้นพื้นที่รอบนอกของวัดพระธรรมกาย ก่อนจะประชุมสรุปและประเมินสถานการณ์ในเวลา 17.00 น.
----------------------
พระสนิทวงศ์ น้ำตาคลอ ขอให้ยกเลิก ม.44 ยัน พระธัมมชโย ไม่ใช่อาชญากร 

พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้ออกมาเปิดใจต่อสื่อมวลชน บริเวณประตู 7 วัดพระธรรมกาย ว่า ขอความเมตตาต่อภิกษุสามเณร ภายในวัด หลังเจ้า
หน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษนำกำลังเข้าตรวจค้น ภายในวัดตามมาตรา 44 โดยเชื่อว่าขณะนี้ประเด็นการเข้าตรวจค้น ไม่ใช่เป็นเรื่องการค้นหาหรือจับกุมพระธัมมชโยแล้ว พร้อมทั้งอ้างว่าศิษยานุศิษย์ที่เจาะและทุบกำแพงเข้ามาภายในวัดนั้น กระทำกันเอง เนื่องจากต้องการเข้ามาภายในวัดเพื่อปกป้องพระสงฆ์ พร้อมทั้งอ้างว่าอาหารภายในวัดเริ่มขาดแคลน

ขณะเดียวกัน หลังจากเกิดปะทะกันกับเจ้าหน้าที่บริเวณประตู 5 เมื่อวานนี้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างพักรักษาตัว ซึ่งอีก 2 - 3 วัน จึงจะสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ซึ่งผู้
ได้รับบาดเจ็บไม่กล้าให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเนื่องจากกังวลในคำสั่งมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยตนมีความห่วงใยในเรื่องความรุนแรง เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ และ
ขอให้ยกเลิกมาตรา 44 เพราะวัดไม่ได้ไปไหน ยังคงตั้งอยู่ตรงนี้ และตนก็ทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือเท่านั้น เพราะยกอาคารในวัดให้ดีเอสไอตรวจสอบ

นอกจากนี้ พระสนิทวงศ์ ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า รู้สึกกดดัน เพราะเดินไปไหนมาไหน ภายในวัดต้องพกบัตรประชาชนตลอดเวลา ย้ำว่าเป็นคนไทยด้วยกัน และพระธัมมชโยไม่ใช่อาชญากร
////////////////
ปรองดอง

นายกฯ ชี้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิป.ย.ป.ทั้ง 4 คณะเกือบครบแล้ว ยันรัฐบาลดำเนินการแก้วิกฤตขาดแคลนแรงงานทุกด้าน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ว่า ขณะนี้ได้จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้ง 4 คณะของป.ย.ป. เกือบครบแล้ว และที่ได้มีการเรียกมาปรึกษาหารือกันตลอดเวลาอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องตอบว่าจะตั้งแล้วเสร็จเมื่อใด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงปัญหาวิกฤตขาดแคลนแรงงาน  ว่า ได้มีการพูดในเรื่องดังกล่าวหลายครั้งแล้ว ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนแรงงาน มีความร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีการพัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการผลิตคนให้ตรงกับความต้องการ ที่ดำเนินการในทุกเรื่อง จึงขออย่าถามเรื่องดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลนี้ดำเนินการทุกอย่าง
-----
แกนนำพรรคเพื่อไทย หารือ แนวทางสร้างความปรองดอง 10 ประเด็น ตามโจทย์ ป.ย.ป. ก่อนนัดวัน เสนอกระทรวงกลาโหม 

บรรยากาศ ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ล่าสุด บรรดาแกนนำพรรค ทยอยเข้าหารือแล้ว นำโดยพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคนายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองหัวหน้าพรรค
นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขา นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา ทีมกฎหมายพรรค นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่ากากระทรวงการต่างประเทศ และอดีต สส.เชียงใหม่ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีต สส.นครพนม ซึ่งวันนี้ จะเป็นการหารือคัดเลือกตัวบุคคล และกำหนดวัน เพื่อไปพูดคุยต่อคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการ ป.ย.ป. ที่กระทรวงกลาโหม รวมถึงกำหนดแนวทางการความเห็นในประเด็น10ประเด็นที่กระทรวงกลาโหม ขอความร่วมมือ

อย่างไรก็ตาม ทางพรรคเพื่อไทยยังไม่กำหนดวันเข้าพบคณะทำงานของกระทรวงกลาโหม เนื่องจากรอความเห็นในที่ประชุม คาดว่า ภายหลังหารือเสร็จ จะมีความชัดเจนมากขึ้น
-------------------
พรรคเพื่อไทย นัดถกปรองดอง 8 มี.ค. ขอรัฐบาลจริงใจ ฟังคิดเห็นต่าง ไม่ชัด "ยิ่งลักษณ์" ร่วมรอดูเหมาะสม

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เบื้องต้นพรรคเพื่อไทย เห็นพ้องที่จะเข้าร่วมหาหารือ
แนวทางสร้างความสามัคคีปรองดองกับคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการ ป.ย.ป. วันพุธที่ 8 มีนาคมนี้ โดยมีตัวแทนจากทีมคณะที่ปรึกษาและคณะกรรมการบริหารพรรค รวมถึงคณะทำงานที่ติดตามการสร้างความสามัคคีปรองดองและหาทางออกของประเทศ ไม่เกิน 10 คน นำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการรองหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค ส่วนรายละเอียดข้อเสนอแนะ คณะกรรมการบริหาร จะหารือเพิ่มเติมก่อนสรุปอีกครั้ง ทั้งนี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เบื้องต้น พรรคเพื่อไทย อยากให้รัฐบาลแสดงความจริงใจในการสร้างความปรองดอง และเร่งสร้างบรรยากาศของการยอมรับความเห็นต่าง รวมถึงบรรยากาศความร่วมมือในการหาทางออกอย่างสันติวิธี ไม่ใช่เพียงเปิดเวที ในขณะที่สังคมยังมีความขัดแย้ง และมีการใช้วาทกรรมอยู่

สำหรับการให้ความเห็นครั้งนี้ จะมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วยหรือไม่นั้น ต้องหารือเรื่องความเหมาะสมกันอีกครั้ง
--------------
"ชูศักดิ์" พร้อมแสดงจุดยืน 6 ข้อ รับ เพื่อไทย ตอบคำถาม 10 ข้อ ป.ย.ป. ยาก เพราะไม่เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี 

นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้รับ 10 คำถามจากคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง แต่หลายคำถามเป็นเรื่องการ
ปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ซึ่งทางพรรคเพื่อไทย ก็ตอบได้ยาก เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ขณะที่คำถามเรื่องการสร้างความปรองดองก็มีเพียงแค่ 3 คำถาม
เท่านั้น นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะไปแสดงจุดยืนของพรรคถึงหลักการปรองดอง 6 ข้อ ประกอบด้วย ความเป็นกลาง ความเป็นอิสระของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ การค้นหาความจริงและเยียวยาผู้
เสียหาย และผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ตั้งข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในการเจรจา เพราะหากมีเงื่อนไขตั้งแต่แรก เช่น การห้ามคุยเรื่องอดีต หรือเรื่องนิรโทษกรรม ก็จะไม่ใช่หลักการสร้างความปรองดอง

ขณะเดียวกัน ต้องไม่สร้างปัญหาความขัดแย้งใหม่ และผลสรุปการสร้างความสามัคคีปรองดอง ควรเป็นความตกลงเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย ไม่ใช่การออกคำสั่งหรือการตรากฎหมายข้อบังคับ
----------------
ปลัด กห. ฟังความเห็นปรองดอง 3 พรรคเล็ก เข้าหารือเป็นวันที่ 6 พรุ่งนี้งด เชิญการเมือง เตรียมรวบรวมความเห็น 14 พรรค ส่งต่อ

บรรยากาศการประชุมคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ในคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฯ ซึ่งในวันนี้ถือเป็นวันที่ 6 แล้ว และได้เชิญพรรคปฏิรูปไทย พรรคพลังคนกีฬา และพรรคเพื่อชีวิต เข้ามาให้ความเห็นและข้อเสนอ ในการสร้างความสามัคคีปรองดอง ตามกรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญและแนวทาง 10 ด้านที่คณะกรรมการบริหาราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ได้กำหนดไว้ โดยในวันพรุ่งนี้ ทางคณะอนุกรรมการฯ จะมีการรวบรวมความเห็นของพรรคการเมืองที่มาให้ความเป็นในชุดแรกก่อน ตั้งแต่วันที่ 14 - 21 ก.พ. 2560 ก่อนส่งต่อให้แก่คณะอนุกรรมการคณะอนุกรรมการพัฒนาบูรณาการข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง มี พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 2 ของกระบวนการสร้างความสามัคคีปรองดอง

อย่างไรก็ตาม ในการเชิญพรรคการเมืองเข้ามาหารือ ก็จะมีการเรียงลำดับตามตัวอักษร ซึ่งขณะนี้มีพรรคการเมืองใหญ่ และพรรคการเมืองเล็กมาให้ความเห็นแล้ว 14 พรรค ทั้งนี้ ทางพรรคเพื่อไทย
ได้ส่งหนังสือตอบรับเข้าร่วมแล้ว โดยจะเดินทางมาให้ข้อคิดเห็นในวันที่ 8 มีนาคม นี้
--------
พล.อ.เฉลิมชัย ยัน เชิญทุกพรรคร่วมพูดคุยปรองดอง ไม่รู้จะมีการเปิดเวทีคู่ขนาน ชี้ ประสบความสำเร็จแล้วครึ่งทาง เพราะทุกฝ่ายร่วมมือ

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกระบวนการสร้างความปรองดองที่บางพรรคการเมือง ระบุว่า ยังไม่ได้หนังสือเชิญ หรือบางกลุ่มจะเปิดเวทีคู่ขนานกับรัฐบาล ว่า รัฐบาลจะมี
การเชิญทุกพรรค ทุกกลุ่ม โดยเรียงตามตัวอักษร และการตอบรับก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละฝ่ายในการเข้ามาแสดงความเห็น ทั้งนี้ สำหรับการเปิดเวทีคู่ขนาน ส่วนตัวยังไม่ทราบข่าว ทราบ
เพียงการออกมาแสดงความเห็นในเรื่องการกำหนดกรอบเวลากระบวนการปรองดอง

อย่างไรก็ตาม มองว่า ขณะนี้การสร้างความปรองดองสำเร็จไปแล้วครึ่ง เพราะมีหลายพรรคการเมือง ได้ตกลงในการเข้าร่วมพูดคุย และส่วนที่เหลือ คือ นำความคิดเห็นทั้งหมดมาทำให้ตกผลึกเป็นภาพรวม ซึ่งหากทุกคนมองประโยชน์ชาติเป็นส่วนรวม ก็ยอมรับสัญญาประชาคม นั่นคือได้ข้อยุติ และหากอนาคตมีปัญหาก็ค่อย ๆ แก้ต่อไป
-----------------------
พล.อ.เฉลิมชัย ย้ำ เรื่องปรองดอง ขอทุกฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อบ้านเมืองเดินหน้า ยันต้องใช้เวลาพิจารณาข้อเสนอทุกฝ่ายตามกระบวนการ

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการเปิดกว้างในการให้แกนนำกลุ่มการเมืองที่มีข้อสงสัยเข้ามาพูดคุยโดยตรง ว่า ขั้นตอนที่ 3 นั้น มีกระบวนการคิดกัน แต่ยังไม่ตกผลึก จึงต้องขอดูข้อเสนอก่อน เนื่องจากขณะนี้ ยังไม่แล้วเสร็จ

ทั้งนี้ หากขั้นตอนดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะมาดูเรื่องความต้องการของแต่ฝ่าย ซึ่งอาจจะมีการคุยนอกรอบ เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม อยากให้ทุกคนถอยคนกันคนละก้าว เพื่อให้บ้าน
เมืองเดินต่อไปได้
-----------

////////////
สื่อมวลชน

กมธ. สื่อ สปท. คงสัดส่วนรัฐร่วมเป็นกรรมการวิชาชีพสื่อ แต่ยอมถอยเหลือเพียง 2 คน

พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน (สปท.) เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า กรรมาธิการได้ข้อสรุปเรื่องโครงสร้างของสภาวิชาชีพ โดยยังคงไว้ 13 คน แต่ปรับแก้ที่มา ซึ่งจากเดิมที่เป็นตัวแทนสื่อมวลชน 4 คน เพิ่มเป็น 5 คน ขณะที่ 4 คน ที่มาจากภาคราชการได้ปรับลดเหลือ 2 คน โดยคงมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับงานสื่อเอาไว้ และให้ 2 คนที่เหลือ คัดสรรจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นผู้คัดเลือก 1 คน และมาจากกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคอีก 1 คน สำหรับสัดส่วน 4 คน สุดท้าย ยังคงให้เป็นตัวแทนจากวิชาชีพต่าง ๆ

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก ยังคงเห็นว่า ใบประกอบวิชาชีพสื่อยังมีความจำเป็นเพื่อกำหนดมาตรฐานของสื่อ โดยจะต้องมีการอบรม ก่อนออกใบประกอบวิชาชีพ และมีการจดทะเบียนประวัติข้อมูลเอาไว้ ทั้งนี้ กรรมาธิการจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะกรรมการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หรือ วิป สปท. อีกครั้งในวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ นี้ ก่อนนำเข้าสู้ที่ประชุม สปท. ต่อไป
------------
ป.ป.ช. บูรณาการงานประชาสัมพันธ์ ขยายผลแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริต หวัางสื่อมวลชนทุกแขนงให้ความร่วมมือ

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการบูรณาการการทำงานด้านประชาสัมพันธ์ร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ อาทิ บุคคลที่เป็นเจ้าของสถานีหรือเจ้าของ
รายการ เคเบิ้ลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุหลักประจำจังหวัด ภายใต้โครงการสัมมนาสัมมนาเครือข่ายประชาสัมพันธ์เพื่อขยายผลการดำเนินงานเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต
และประพฤติมิชอบ จำนวน 3 ครั้ง ในจังหวัดขอนแก่น สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ โดยในวันที่ 21 - 22 กุมภาพันธ์ ได้จัดการกิจกรรมเป็นการการเสวนาหัวข้อ “บทบาทสื่อมวลชนกับการมีส่วนร่วมในภารกิจ ด้านการป้องกันการทุจริต” โดยมี นางสุวณา สุวรรณจูฑะ กรรมการ ป.ป.ช. นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา นางสาวอรัญญา เกตุแก้ว ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาการประชาสัมพันธ์

สำหรับการจัดกิจกรรมดังกล่าว มุ่งหวังส่งเสริมความร่วมมือกับเครือข่ายสื่อมวลชนอย่างเป็นระบบ สามารถนำไปสู่การรับรู้ เกิดความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการประพฤติปฏิบัติตนตามค่านิยมที่ดี นับเป็นกิจกรรมหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 อีกด้วย
//////////////
เครือข่ายไซซะนะ

ผบ.ทบ. เผยผลหารือเยือน สปป.ลาว แลกเปลี่ยนการข่าวก่อการร้าย ขอส่งตัวคนผิดตามขั้นตอน ยัน มีฝ่ายมั่นคงดูโดยตรง

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก พร้อมภริยา และคณะได้เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ภายหลังจากเดินไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วานนี้ (20 ก.พ. 60) ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่า ในการเดินทางเยือน สปป.ยาว อย่างเป็นทางการ โดยได้มีการหารือร่วมกันตามกรอบที่ครอบคุมไปถึงความร่วมมือในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหายาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ การแพทย์ทหาร และการเลือกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการก่อการร้าย ร่วมถึงการแก้ปัญหาชายแดน และประเด็นสำคัญ คือ การยืนยันเพื่อไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มใช้ประเทศเราเป็นทางผ่านในการก่อความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะเดียวกัน ยังได้มีการพูดคุยถึงประเด็นที่มีผู้ที่กระทำความผิดหลบซ่อนอยู่ที่ สปป.ลาว ว่า ได้มีพูดคุยในทุกระดับ พร้อมมีการขอความร่วมมือในเรื่องดังกล่าวด้วย โดยไม่ได้เจาะจงประเด็นใดโดยตรง เพียงแต่แสดงความกังวลไป และทุกครั้งที่พบปะกันก็จะมีการคุยในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และมีขั้นตอน โดยขอให้รอผลการดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น มีคณะฝ่ายความมั่นคงดูแลโดยตรงอยู่แล้ว และยืนยันว่า มีการดำเนินการตามขั้นตอนมาอย่างต่อเนื่อง

"รองนายกฯ" ฮึ่ม! ลั่นไม่ปล่อย "ธรรมกาย" สร้างอาณาจักรเป็นเอกภาพ

"รองนายกฯ" ฮึ่ม! ลั่นไม่ปล่อย "ธรรมกาย" สร้างอาณาจักรเป็นเอกภาพ ชี้จนท.ตรวจสอบกรณีพระจริงหรือพระปลอม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีการใช้ มาตรา 44 ประกาศให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมว่า ประกาศดังกล่าว ไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา เราใช้ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุม แต่เรื่องของหมายค้นมีกำหนดเวลา ถ้าพ้นกำหนดก็ยังมีมาตรา 44 ประกาศพื้นที่ควบคุมอยู่ ไม่ต้องขอหมายค้นเพิ่ม ในส่วนกรณีที่วัดพระธรรมกาย เรียกร้องให้ยกเลิกประกาศดังกล่าวนั้น ถ้าจะยกเลิกต้องมีความพร้อมทั้งหมด เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปอยู่ข้างในนั้นได้ ต้องตรวจค้นพื้นที่ได้ จะปล่อยให้เป็นเอกภาพทำอะไรก็ทำได้ได้อย่างไร ต้องมีเจ้าหน้าที่เข้าไป จะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่นั้น ไม่สามารถตอบได้ ต้องให้ประชาชนพอใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ทางเรายืนยันเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปไม่มีอาวุธ เพราะพยายามไม่ให้มีการกระทบกระทั่ง 

ต่อข้อถามที่ว่า มีกระแสข่าวว่าพระในวัดพระธรรมกายไม่ได้เป็นพระ แต่เป็นคนที่เกณฑ์มาจากโรงงานในพื้นที่จ.ปทุมธานีหรือไม่ ว่า เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบความชัดเจนว่าใครเป็นพระ หรือใครมาจากที่ไหนไม่ต้องกังวล ส่วนกระแสข่าวที่วัดพระธรรมกายจะเกณฑ์คนมาล้อมเจ้าหน้าที่อีกชั้นนั้น เรื่องดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น ภาพรวมรัฐบาลก็ดำเนินการตามกฎหมาย จะเกณฑ์มาล้อมทำไม 

ส่วนจะมีการป้องกันไม่ให้คนเข้ามาเติมในวัดพระธรรมกายหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมสามารถคิดในสิ่งที่คุณถามได้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง ถ้าสื่อคิดได้ แล้วผมคิดไม่ได้ ผมก็ยืนตรงนี้ไม่ได้” 

ต่อข้อถามที่ว่ากรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีการประชุมเพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม เป็นผู้ดูแล ตกลงกันแล้วว่า วัดพระธรรมกาย ตัวแทน มส. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จะเป็นผู้เข้าไปดูในพื้นที่ต่าง ๆ วัดพระธรรมกายก็เห็นด้วย 

ตอข้อถามที่ว่าหากคุยกันได้เช่นนี้แสดงว่า เรื่องอาจจะจบภายใน 7 วันเหมือนที่ ผบ.ตร.พูด พล.อ.ประวิตร ตอบว่าเรื่องจะจบวันไหนก็วันนั้นเมื่อตกลงกันได้ถือว่าเป็นแนวทางที่ดี อย่างไรก็ตามหากไม่พบพระธัมมชโย จะดำเนินการอย่างไรต่อไปนั้น เป็นเรื่องของ มส. ไม่ใช่ตน

ปฏิบัติการค้นหาพระธัมมชโยวันที่ 4 ยังตึงเครียด! ธรรมกายถาม หาไม่เจอความผิดใคร? ดีเอสไอแจงจะรีบคืนพื้นที่ให้20/2/60

  • ปฏิบัติการบุกค้นวัดพระธรรมกายในวันที่ 4 ยังตึงเครียด หลังเจ้าหน้าที่ขอความร่วมมือให้บุคคลไม่เกี่ยวข้องออกนอกวัด พร้อมขนกำลังเพิ่มเพื่อตรึงทางเข้า-ออก ทำให้มีการปะทะของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นระยะ
  • ธรรมกายตั้งคำถามเจ้าหน้าที่ต้องการอะไร? ระบุพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตลอดทั้ง 3 วันที่ผ่านมา แต่ยังหาไม่เจอ ความผิดใคร?
  • ดีเอสไอชี้แจงแค่ขอความร่วมมืองดกิจกรรมภายในวัดช่วงสั้นๆ เพื่อให้ปฏิบัติการจบสิ้นโดยเร็วที่สุด และจะรีบคืนพื้นที่ให้ ยืนยันไม่มีมาตรการกีดกันคนออกนอกพื้นที่

 
     นับเป็นวันที่ 4 แล้วสำหรับปฏิบัติการบุกค้นวัดพระธรรมกายเพื่อตามหาตัวพระธัมมชโยมาดำเนินคดีตามหมายจับข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร
     แต่จนถึงนาทีนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพระธัมมชโยอยู่ที่ไหนกันแน่
     หลังเวลา 15.00 น. ของวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอขีดเส้นตายให้พระสงฆ์จากวัดอื่นๆ และประชาชนที่ไม่ได้มีที่อยู่ในวัดออกจากพื้นที่วัดพระธรรมกาย เพื่อเปิดทางให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการตรวจค้นต่อได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ส่วนพระภิกษุ สามเณร และประชาชนที่มีที่อยู่ในบริเวณวัดต้องมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่บริเวณประตู 6 โดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจะเข้าตรวจสอบหนังสือสำคัญของพระภิกษุ หรือ ‘ใบสุทธิ’ และพนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบบัตรประชาชนและดำเนินการลงทะเบียน
 


 
     แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปดูเหมือนมาตรการดังกล่าวจะไม่เป็นผล อีกทั้งยังมีการเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่กับพระสงฆ์ และศิษยานุศิษย์ภายในวัดเป็นระยะๆ เพิ่มความตึงเครียดให้กับสถานการณ์ของทั้ง 2 ฝ่าย
     นอกจากนี้ดีเอสไอยังเผยแพร่ประกาศพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่ง คสช. ที่ 5/2560 ที่ 4/2560 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560 เรื่องให้มารายงานตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยระบุรายชื่อพระสงฆ์ 14 รูป ให้มารายงานตัวภายในเวลา 18.00 น. โดยมีรายชื่อพระธัมมชโยรวมอยู่ด้วย
     ด้านศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการสั่งการให้จัดกำลังสนับสนุนปฏิบัติการเพิ่มเติม ทั้งกองร้อยควบคุมฝูงชน ตำรวจภูธร ภาค 2 และภาค 7 กองร้อยควบคุมฝูงชนหญิง ตำรวจนครบาล และกองร้อยควบคุมฝูงชน ตำรวจตระเวนชายแดน รวม 8 กองร้อย เพื่อตรึงกำลังภายในพื้นที่เพิ่มเติมจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์


 
วัดธรรมกายตั้งคำถาม 'ค้น 3 วันไม่เจอแล้วเราผิดอะไร?'
     ล่าสุดเช้าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ดูเหมือนสถานการณ์จะยังไม่สามารถคลี่คลายโดยง่าย เพราะในช่วงเช้ายังเกิดการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับพระสงฆ์และศิษยานุศิษย์ที่พยายามจะออกจากพื้นที่วัด กลายเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งล่าสุดที่ประตู 5 และประตู 6 ของวัดพระธรรมกาย จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งทางฝั่งเจ้าหน้าที่และทางฝั่งวัด
     ด้าน พระภาสุระ ทนฺตมโน หัวหน้ากององค์กรระหว่างประเทศ สำนักต่างประเทศ วัดพระธรรมกาย ระบุกับ The Momentum ว่าสถานการณ์ตอนนี้ทางวัดยังคงรอความเคลื่อนไหวจากทางการว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ขณะนี้ยังมีการล็อกดาวน์พื้นที่โดยห้ามคนเข้าออก และมีการล้อมวัดด้วยกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 5,000 นาย ขณะที่ประชาชนและพระสงฆ์ภายในวัดมีจำนวนนับหมื่นคน


 
     “ยิ่งมีข่าวออกมาว่าให้พระออกนอกพื้นที่ ญาติโยมที่ตกใจก็เริ่มทยอยกันเข้าวัดมากขึ้นตลอดทั้งวันตั้งแต่เมื่อคืนวาน ส่วนญาติพี่น้องของคนที่อยู่ในวัดก็เกิดความเป็นห่วง ทำให้ยิ่งเข้ามาจนมีจำนวนมากขึ้น
     “ตั้งแต่มีมาตรา 44 สั่งการมา เราเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด อยู่ที่ว่าเขาจะทำอะไรกับเรา ตอนนี้ทุกคนกลัวนะ เราไม่ได้มีกองกำลัง เราใช้กำลังไม่เป็น โยมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ทุกคนมีความกลัวอยู่แล้ว แต่วัดนี้เกิดจากการที่ทุกคนช่วยกันบริจาคและสร้างขึ้นมา และเขาก็เป็นเจ้าของที่นี่ ที่นี่คือบ้านของเขา ที่ผ่านมาเราก็อนุญาตให้ตำรวจตรวจค้นพื้นที่ได้เต็มที่ 3 วันผ่านไปคุณหาไม่เจอ แต่ทำไมคุณถึงไม่กลับ คือถ้าเราไม่ได้ให้ความร่วมมือตลอด 3 วัน ก็พอเข้าใจได้ว่าเราขัดขืน คงต้องใช้กำลัง แต่นี่คือเรายอมสุดๆ แล้ว 3 วันอยากค้นอะไรก็ให้ค้น พาเข้าไปทุกที่ แล้วทำไมถึงต้องสั่งให้พระออกนอกพื้นที่ โดยไม่มีมาตรการรองรับอะไร ที่เห็นคือมีรถผู้ต้องขังมาจอดรอ แล้วพระออกไปต้องขึ้นรถหรือเปล่า ถ้าขึ้นรถแล้วจะจับสึกใช่ไหม คือไม่มีการสื่อสารอะไรเลย ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน
     “เราไม่ได้ร้องขอเกี่ยวกับเรื่องคดีหลวงพ่อนะ เพราะเรื่องคดีก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่เราขอให้เลิกเถอะ อะไรที่มันละเมิดสิทธิ กดขี่ประชาชน คุณจะเข้ามาตอนไหนก็ได้ จะยึดอะไรก็ได้ จะบุกจับใครก็ได้ แบบนั้นมันน่ากลัวเกินไป คนในวัดก็ไม่มีใครมีอาวุธ แค่บุกเข้ามาก็กลัวกันหมดแล้ว”
 

 
     นอกจากนี้พระภาสุระยังเปิดเผยด้วยว่าบรรยากาศภายในวัดยังคงเป็นไปด้วยความสงบ แม้หลายคนจะตื่นกลัวกับปฏิบัติการล่าสุดของเจ้าหน้าที่ที่พยายามเข้ามาบุกค้นในตอนกลางคืน แต่กิจกรรมหลักๆ ภายในวัดยังเป็นการสวดมนต์ และนั่งสมาธิตามจุดต่างๆ ของวัด ขณะที่เสบียงอาหารภายในวัดกำลังเหลือน้อยลงทุกที เพราะเดิมทีทางวัดเตรียมเสบียงไว้ประมาณ 3-4 วัน เพราะไม่คิดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อจนถึงนาทีนี้
     “ทางวัดมีคำถามอย่างเดียวคือ คุณค้น 3 วันแล้ว แต่คุณไม่เจออะไร ถามว่านี่เป็นความผิดของเราเหรอ แล้วทำไมคุณถึงไม่กลับไป”
 

 
ดีเอสไอยืนยัน ต้องการตรวจค้นให้เสร็จ เพื่อคืนพื้นที่ให้ไวที่สุด
     ทางด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ และรองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Momentum ว่าเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเช้าเกิดจากความพยายามของทางวัดที่พยายามจะออกจากวัดเพื่อจะพาประชาชนภายนอกเข้าไปสมทบภายในวัดเพิ่มเติม พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวที่มีการเตรียมรถขนส่งผู้ต้องขังไว้นอกวัดว่า
     “นั่นเป็นข่าวลือในโซเชียลมีเดียที่เขาต้องการจะดึงคนไว้ในวัด เพราะเจ้าหน้าที่ประกาศชัดเจนแล้วตั้งแต่วันแรก หรือแม้แต่เมื่อวานก็ยังมีการประกาศอย่างต่อเนื่องว่าสำหรับบุคคลที่อยู่ในวัด เจ้าหน้าที่พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับบ้านตลอด ประตูเปิดอยู่ตลอดสำหรับการออกจากวัด ไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ว่าเราขอความร่วมมือในการงดที่จะเข้าไปทำกิจกรรมภายในวัดช่วงนี้เท่านั้น เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติการในพื้นที่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากเรามีปฏิบัติการที่ยังไม่เสร็จสิ้น การที่มีบุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เกิดความล่าช้า
     “ระหว่างการตรวจสอบทั้ง 3 วันที่ผ่านมา ยังมีบุคคลภายนอกเข้ามาทำกิจกรรมในวัดอยู่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด คือพระท่านก็อำนวยความสะดวกตามสมควร แต่ในปฏิบัติการจริงก็ยังมีคนเข้าออกอยู่ ทำให้เราไม่สามารถที่จะเข้าไปตรวจสอบในจุดที่เราสงสัยได้บางจุด ก็เลยเห็นว่าถ้าจะปฏิบัติงานได้เร็ว สะดวก และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ก็ควรที่จะต้องมีการร้องขอความร่วมมือให้งดทำกิจกรรมในช่วงสั้นๆ ก่อน เพื่อที่จะให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องในวัดจริงๆ นำการตรวจค้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และเจ้าหน้าที่จะได้รีบคืนพื้นที่โดยเร็วเช่นกัน”
     รองโฆษกดีเอสไอยังชี้แจงว่า กรณีที่มีการขึ้นทะเบียนบุคคลที่จะอยู่ภายในวัดเป็นมาตรการเพื่อป้องกันความสับสน และป้องกันบุคคลที่ 3 ยืนยันว่าไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปดำเนินคดีกับใครทั้งสิ้น ส่วนคนป่วยที่อยู่ในพื้นที่เจ้าหน้าที่พร้อมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ขอเพียงแจ้งเจ้าหน้าที่หน้าประตูว่ามีความประสงค์จะออกนอกพื้นที่เท่านั้นเอง
 

 
     นอกจากนี้ ในช่วงเที่ยงที่ผ่านมายังมีการเจรจาระหว่าง พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กับ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้กลุ่มพระสงฆ์และญาติโยมที่นั่งสวดมนต์อยู่บริเวณฝั่งทางเข้าประตู 5 และประตู 6 ของวัด และเจ้าหน้าที่ที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณนั้นถอยออกห่างจากกันฝั่งละ 10 เมตร เพื่อลดความตึงเครียดในการเผชิญหน้า พร้อมยังได้ข้อยุติในการเจรจาโดยทางวัดจะยอมเลิกใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อประชาสัมพันธ์ปลุกระดม แต่จะเปิดบทสวดมนต์แทน
     ด้านกระแสข่าวที่จะมีการตัดน้ำ ตัดไฟ ภายในวัด รองอธิบดีดีเอสไอยืนยันว่ายังไม่มีการดำเนินการ ส่วนทางวัดได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ทบทวนมาตรการดังกล่าว เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนภายในวัด และบริเวณรอบวัดเป็นจำนวนมาก
 

 
พยาบาล สื่อ และญาติโยมเฝ้ารอบริเวณรอบวัด
     จากการลงพื้นที่บริเวณวัดพระธรรมกาย ทีมงาน The Momentum พบว่าบริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรคลองหลวงยังมีเจ้าหน้าที่พยาบาลตั้งศูนย์ฉุกเฉินเพื่อรองรับผู้บาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุปะทะด้วย
     โดย พีระ รุ่งเรือง หัวหน้า สภ.อ.คลองหลวง มูลนิธิร่วมกตัญญู เปิดเผยว่า ขณะนี้มีรถพยาบาลจากโรงพยาบาลปทุมธานี โรงพยาบาลสามโคก โรงพยาบาลคลองหลวง และมูลนิธิร่วมกตัญญูเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินอยู่ราวๆ 20 คัน มีเจ้าหน้าที่พยาบาลประมาณ 60 คน คอยสับเปลี่ยนเวรอยู่ตลอดเวลา ตามการร้องขอจากทางสาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี โดยใช้พื้นที่ด้านหน้าสถานีตำรวจเป็นพื้นที่คัดกรองผู้ได้รับบาดเจ็บ และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่พร้อมให้การช่วยเหลือกับทุกฝ่ายโดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นฝ่ายไหน
     โดยช่วงเช้าที่ผ่านมามีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการปะทะ 2 รายจากทางฝ่ายวัดพระธรรมกาย ซึ่งขณะนี้นำส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
     นอกจากกำลังเจ้าหน้าที่จากภาคส่วนต่างๆ แล้ว บริเวณรอบๆ วัดยังมีประชาชนบางส่วนมาเฝ้ารอฟังข่าวความเคลื่อนไหว และรอรับญาติที่ติดอยู่ในพื้นที่วัด
     ขณะที่หลายคนนั่งสวดมนต์รอ ท่ามกลางผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักที่มาเฝ้ารอทำข่าวเป็นจำนวนมาก
 









บิ๊กตู่.....ถาม พระวัดธรรมกาย ทำไมต้อง ปิดหน้าปิดตา ใส่หน้ากาก ด้วย



เหอๆ.....!!!
บิ๊กตู่.....ถาม พระวัดธรรมกาย ทำไมต้อง ปิดหน้าปิดตา ใส่หน้ากาก ด้วย เป็นหวัดกันหมดหรือ? ถามมันเหมาะสมมั้ย....เปรย ใครหาว่าผมจะให้ไปยึดพระพุทธรูปทองคำ ที่วัดธรรมกาย อยู่ตรงไหน ผมยังไม่รู้เลย มีจริงหรือเปล่า แล้ว มั่นใจได้ยังไงว่า เป็นทองคำจริง ที่เอาเงินเอาทองที่คนศรัทธามาสร้าง เพราะขนาดเงิน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ยังรั่วเลย....ยันไม่ยกเลิก ม.44 ยังไม่เสร็จภารกิจ

คำคม "บิ๊กเจี๊ยบ" กับ ปฏิบัติการ "ปิดล้อม ธรรมกาย"



คำคม "บิ๊กเจี๊ยบ" กับ ปฏิบัติการ "ปิดล้อม ธรรมกาย"
"บางครั้ง เราอาจจะต้องยอม เสียเวลา แต่จะไม่ยอมให้มีการ เสียเลือดเนื้อ หรือเสียชีวิต"

"ไม่ใช่เป็นที่ตั้งทางทหารฝ่ายข้าศึก ที่เข้าตีแล้วก็จบ แต่เป็นคนไทยด้วยกันเอง ต้องทำความเข้าใจ ให้ตั้งสติ"‬
"หากทำแบบไม่คิดอะไรเลย ก็เป็นเรื่องง่าย แค่ใช้กำลังบุกเข้าไป ก็จะมีการปะทะเสียเลือดเนื้อ บาดเจ็บเสียความรู้สึก เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน
อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง ให้พระและลูกศิษย์วัดที่อยู่ภายในวัด ได้นั่งสวดมนต์ เมื่อมีสติ ก็จะมีปัญญา ก็จะรู้ว่าอะไรที่เป็นข้อเท็จจริง ทุกอย่างก็น่าจะคลี่คลายไปได้"
"เจ้าหน้าที่ต้องรอบคอบ อดทนและควบคุมอารมณ์ให้ได้ กลัวว่าจะนำไปสู่การปะทะกัน "
"ทุกอย่างมีเริ่มต้น ก็จะต้องมีตอนจบ"
พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผบทบ./เลขาฯคสช.