PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เพลงเพื่อชีวิตสิ้นมนต์ขลัง

เพลงเพื่อชีวิตสิ้นมนต์ขลัง

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีประกาศจากเพจสมุทรปราการทูเดย์ว่า ตามกำหนดเดิมจะมีงานแสดงคอนเสิร์ตสองขุนพลเพลงคือคาราบาวพบพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ณ สนามฟุตบอลสมุทรปราการยูไนเต็ด นั้น ปรากฏว่าทางผู้จัดประกาศยกเลิกการจัดงานแล้ว เนื่องจากติดขัดด้วยเหตุผลบางประการ รายละเอียดในใบโฆษณาอธิบายว่า บัตรคอนเสิร์ตนี้มีจำนวนเพียง ๒,๐๐๐ ใบ ผู้จัดขอให้จองล่วงหน้าเพราะจะไม่มีบัตรขายหน้างาน แต่คำประกาศขอยกเลิกการจัดงานมีรายละเอียดแต่เพียงว่า “เนื่องจากติดประกาศกฎอัยการศึก ทำให้ไม่สามารถจัดงานตามกำหนดได้”
เหตุผลเบื้องหลังการล้มเลิกการจัดงานนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการขายบัตรได้น้อยกว่าที่คาดหมาย ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนกระแสที่มีการกล่าวกันมาหลายปีแล้วว่า เพลงเพื่อชีวิตนั้นตายแล้ว ความตายของเพลงเพื่อชีวิตนั้น ไม่เพียงมาจากความนิยมของประชาชนที่ลดลงอย่างมาก แต่ยังมาจากการที่เพลงเพื่อชีวิตที่ร้องกันอยู่ในขณะนี้ได้หมดบทบาททางการเมืองและสังคมไปแล้ว เพราะขณะนี้นักร้องเพลงเพื่อชีวิตคนสำคัญหลายคนกลายเป็นพวกไร้อุดมการณ์ รับใช้กระแสหลัก ต่อต้านประชาธิปไตย และต่อต้านขบวนการประชาชน
โดยประวัติศาสตร์ความเป็นมา เพลงเพื่อชีวิตได้เริ่มพัฒนามาจากกระแสของขบวนการนักศึกษาเมื่อสมัย ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖ อันนำมาซึ่งการเกิดเพลงที่รับใช้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของขบวนการนักศึกษา เพลงแรกที่ถูกแต่งขึ้นมาตั้งแต่ก่อน ๑๔ ตุลา คือ เพลงสานแสนทอง โดย สุรชัย จันทิมาทร ภายใต้ได้แรงบันดาลใจจากเพลงโฟล์กตะวันตกที่ต่อต้านสงครามเรียกร้องสันติภาพ ต่อมา หลังกรณี ๑๔ ตุลา เมื่อได้รับอิทธิพลแนวคิดแบบสังคมนิยม เพลงเพื่อชีวิตได้มีความหมายชัดเจนขึ้นในลักษณะที่ว่า จะต้องเป็นเพลงที่มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตและความทุกข์ยากของประชาชนระดับล่าง และต้องมีลักษณะต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีงามกว่า เพลงเพื่อชีวิตที่โด่งดังมากในยุคแรก เช่น เพลงคนกับควายที่แต่งโดย สมคิด สิงสง และ เพลงเปิบข้าว ที่นำมาจากบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์
ภายใต้กระแสสูงของการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา ได้มีวงดนตรีเพื่อชีวิตเกิดขึ้นมาหลายวง ที่มีชื่อเสียงคือ วงคาราวาน นำโดย สุรชัย จันทิมาธร เพลงที่โด่งดังในสมัยนั้น เช่น ข้าวคอยฝน นกสีเหลือง อเมริกันอันตราย ตาคำ เป็นต้น วงกรรมาชน ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีชื่อเสียงจากเพลง เพื่อมวลชน และการนำเอาเพลงของจิตร ภูมิศักดิ์ มาร้องเป็นส่วนใหญ่ นักร้องคนสำคัญคือ กุลศักดิ์(จิ้น) เรืองคงเกียรติ วงอื่นก็เช่น กงล้อ ของ นักศึกษาธรรมศาสตร์ คุรุชน ของกลุ่มนักศึกษาวิทยาลัยครู โคมฉาย ของ กลุ่มนักศึกษารามคำแหง วงรุ่งอรุณ ของกลุ่มนิสิตวิศวกรรม จุฬาลงกรณ์ และ ที่น่าสนใจมากคือ วงต้นกล้า ซึ่งนำเอาดนตรีไทยมาเล่นเป็นดนตรีเพื่อชีวิต เพลงที่สำคัญ คือ เพลง เจ้าการะเกด คนทำทาง เป็นต้น ด้วยความวิตกของชนชั้นปกครองขณะนั้น จึงได้ห้ามเพลงเพื่อชีวิตทั้งหมดออกเผยแพร่ทางวิทยุและโทรทัศน์ เพลงเพื่อชีวิตจึงจำกัดวงอยู่ในขบวนการนักศึกษา
เมื่อเกิดการปราบปรามประชาชนและรัฐประหารในกรณี ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๙ นักดนตรีเพื่อชีวิตแทบทั้งหมด ได้เดินทางเข้าสู่เขตป่าเขา เพลงเพื่อชีวิตที่ขับขานเปลี่ยนเป็นเพลงปฏิวัติ ด้วยความมุ่งหวังปฏิวัติประเทศไทยไปสู่สังคมใหม่ เพลงปฏิวัติเหล่านี้ได้เผยแพร่ผ่านวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย มีเพลงที่น่าประทับใจที่เป็นที่ร้องกันต่อมา เช่น บินหลา คำสัญญา จากลานโพธิ์ถึงภูพาน ถั่งโถมโหมแรงไฟ อรุโณทัย เป็นต้น สำหรับในเขตเมือง เพลงเพื่อชีวิตยังเป็นสิ่งต้องห้ามตลอดสมัยปฏิรูปของธานินทร์ กรัยวิเชียร จนกระทั่งต่อมา เมื่อเกิดรัฐประหาร ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๐ บรรยากาศทางการเมืองผ่อนคลายลง เพลงเพื่อชีวิตฟื้นคืนในขบวนการนักศึกษาก็เกิดวงเพื่อชีวิตขนาดเล็ก เช่น พลังเพลง ฟ้าสาง เพลงที่น่าสนใจ เช่น ศรัทธาเมื่อมาค่าย น้องใหม่ เป็นต้น ด้วยเนื้อหาที่ลดความรุนแรงลง จึงสามารถเผยแพร่ออกสื่อมวลชนได้ และวงแฮมเมอร์กลายเป็นวงเพื่อชีวิตแรกสุดที่มีชื่อเสียง โดยการนำเพลงบินหลาซึ่งเป็นเพลงในเขตป่าเขามาดัดแปลงเนื้อเพลงจนกลายเป็นที่นิยม และต่อมา ก็ได้ออกชุดเพลงปักษ์ใต้บ้านเราเป็นที่โด่งดังเป็นชุดที่สอง
ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ การต่อสู้ในเขตป่าเขาเริ่มสลายตัว นักดนตรีเพื่อชีวิตต้องกลับมาประกอบอาชีพในสังคม สุรชัย จันทิมาทร กลับมาฟื้นวงคาราวาน และโด่งดังจากเพลง คืนรัง ต่อมา ก็มีวงเพื่อชีวิตอื่นเกิดขึ้นมา เช่น คนด่านเกวียน โฮป คีตาญชลี เป็นต้น แต่วงดนตรีเพื่อชีวิตยุคใหม่ที่โด่งดังที่สุดกลายเป็นวงคาราบาว โดย ยืนยง โอภากุล(แอ๊ด คาราบาว) ที่เริ่มเป็นที่รู้จักจากเพลง แป๊ะขายขวด วณิพก ท.ทหารอดทน และมีชื่อเสียงขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของประเทศเมื่อออกเพลงชุด เมดอินไทยแลนด์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗
การที่การปฏิวัติลดกระแสลงนับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๔ เป็นต้นมา ทำให้เพลงเพื่อชีวิตปรับเปลี่ยนเนื้อหา กลายเป็นเพลงเล่าเรื่องชีวิตในสังคม โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เปลี่ยนแปลงสังคม สถานะก็กลายเป็นเพลงที่ร้องกันในสถานบันเทิง และเพลงเพื่อชีวิตก็กลายเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นและประชาชนทั่วไป ทำให้ยอดขายตลับเทปสูงอย่างมาก นอกจากนี้ ยังเกิดธุรกิจผับเพื่อชีวิต ซึ่งก็คือร้านขายสุราและอาหารที่ร้องเพลงเพื่อชีวิต ทำให้เรื่องเพลงเพื่อชีวิตกลายเป็นธุรกิจสำคัญ และแม้จะมีนักร้องเพื่อชีวิตรุ่นใหม่เข้ามาสู่ตลาดมากขึ้น ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสังคม หรืออุดมการณ์ทางการเมืองอะไรอีก ในขณะที่นักร้องเพื่อชีวิตชั้นนำกลายเป็นคนร่ำรวยที่ห่างจากชีวิตประชาชนชนชั้นล่างมากยิ่งขึ้น
จุดเปลี่ยนทางการเมืองสำคัญก็คือเมื่อเกิดขบวนการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักร้องเพื่อชีวิตแทบทั้งหมดต่างเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่นำโดย สนธิ ลิ้มทองกุล ต่อมา นักร้องเพลงเพื่อชีวิตเหล่านี้ ทั้ง ซูซู มาลีฮวนนา คีตาญชลี ประทีป ขจัดพาล ยงยุทธ ด้ามขวาน เศก ศักดิ์สิทธิ์ โฟล์กเหน่อ ฯลฯ ก็พัฒนากลายเป็นนักร้องประจำการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลือง เป็นฝ่ายสนับสนุนกระแสหลัก แต่งเพลงสนับสนุนชนชั้นนำ ต่อต้านประชาชนคนยากจน และคัดค้านประชาธิปไตย แม้กระทั่งหลังกรณีกวาดล้างปราบปรามประชาชนคนเสื้อแดง เมื่อ พ.ศ.๒๕๕๓ นักร้องเพลงเพื่อชีวิตที่ถือว่าเป็นระดับครูอย่าง สุรชัย จันทิมาทร กลับแสดงออกถึงทัศนคติรังเกียจเหยียดหยามคนเสื้อแดงอย่างชัดเจนเสมอมา จากนั้น เมื่อเกิดการรัฐประหาร ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๗ แอ๊ด คาราบาว ก็สร้างปรากฎการณ์โดยแต่งเพลง “นาวารัฐบุรุษ”มอบให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร
จึงกลายเป็นว่า นักร้องเพลงเพื่อชีวิตเพียงส่วนน้อยที่อยู่ฝ่ายคนเสื้อแดง จน อาเลก โชคร่มพฤกษ์ แต่งหนังสือชื่อ เพลงเพื่อชีวิตตายแล้ว และกลุ่มนักร้องเพื่อชีวิตที่อยู่ฝ่ายคนเสื้อแดง ยินดีมากกว่าที่จะเรียกเพลงของพวกเขาว่า "เพลงไพร่” หรือ “เพลงคนเสื้อแดง” เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับพวกเพลงเพื่อชีวิตของนักร้องฝ่ายเหลืองเหล่านั้น
ผลกระทบที่สำคัญอย่างหนึ่งต่อกลุ่มเพลงเพื่อชีวิตเอง คือ ความนิยมเพลงเพื่อชีวิตก็ตกต่ำลงอย่างมาก ภาพยนตร์เรื่อง “ยังบาว” หรือ”คาราบาวเดอะมูฟวี” ที่สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ต้องการเล่าความเป็นมาของวงดนตรีคาราบาวสมัยแรก ก็มีคนดูน้อยจนน่าใจหาย และคอนเสิร์ตเพื่อชีวิตหลายครั้งที่จัดขึ้นก็ล้มในลักษณะนี้
คงต้องสรุปว่า บทเพลงเพื่อชีวิตทั้งมวล สิ้นบทบาททางประวัติศาสตร์แล้ว
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
โลกวันนี้วันสุข ฉบับที่ ๔๙๓วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๗

ไล่ออก อดีตรองเลขาฯ สปส.เอาเงินประกันสังคมไปลงทุนเสียหาย 300 ล้าน

ไล่ออก อดีตรองเลขาฯ สปส.เอาเงินประกันสังคมไปลงทุนเสียหาย 300 ล้าน
อกพ. แรงงาน มีมติไล่ออก อดีตรองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ฐานเอาเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนก่อความเสียหาย 300 ล้านบาท พร้อมลงโทษจัดหางานจังหวัดนครปฐม ให้ออกจากราชการ กรณีทุจริตงบบริหารแรงงานต่างด้าวสมัยเป็นแรงงาน จ.ตาก
นายนคร ศิลปอาชา ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงการประชุมอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนกระทรวงแรงงาน (อกพ.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อทบทวนคำสั่งลงโทษ นายบุญมี พันธงชัย จัดหางานจังหวัดนครปฐม อดีตจัดหางานจังหวัดตาก ในความผิดฐานทุจริตงบประมาณการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวพื้นที่จังหวัดตาก โดย ป.ป.ช. เห็นควรให้ลงโทษวินัยร้ายแรง คือ ให้ออกจากราชการ ซึ่งกระทรวงแรงงานก็ต้องปฏิบัติตามที่ ป.ป.ช.มีหนังสือมา อย่างไรก็ตาม จะต้องดูเรื่องของความเป็นธรรม เนื่องจากนายบุญมีได้ร้องขอความเป็นธรรมมาด้วย
นายนคร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติไล่ออก อดีตรองเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว 5 - 6 ปี ในความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท กรณีนำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุน ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ทักท้วงมา เนื่องจากการพิจารณาความผิดเดิม กระทรวงลงโทษเพียงตักเตือนและภาคทัณฑ์ ทั้งนี้ การพิจารณาเรื่องดังกล่าวได้พิจารณาอย่างเป็นธรรม เนื่องจากนโยบายของรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เน้นในเรื่องความโปร่งใส ตรวจสอบได้

จารุพงศ์ โพสFB

วันที่ 10 ธ.ค.57 ณ มหานครนิวยอร์ค
อาคารสำนักงานใหญ่ องค์การสหประชาชาติ
ผม ในฐานะเลขาธิการองค์การเสรีไทยฯ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณสุนัย จุลพงศธร และคณะ ได้เข้าพบและเยี่ยมคารวะ นาย Sang Hyun Song ประธานศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC ในโอกาสเข้าร่วมประชุมการรณรงค์ให้รัฐต่างๆเข้าเป็นสมาชิก ICC ณ ที่ทำการสำนักงานใหญ่สหประชาติ กรุงนิวยอร์ค เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นรูปธรรม
หากรัฐต่างๆ เข้าร่วมเป็นภาคี ICC ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะดำเนินการฟ้องศาล ICC ได้ด้วยตนเอง หากผู้มีอำนาจรัฐทำการเข่นฆ่าประชาชน เนื้อหาโดยสรุปจากการหารือ มีดังนี้
"เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อบทบาทของ ICC ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเนื่องจากไทยได้ร่วมลงนามเป็นสมาชิก ICC มาตั้งแต่ปี 2543 แล้ว จึงเห็นว่า หากจะนำองค์การเสรีไทยที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาแล้ว เข้าเป็นสมาชิก ICC เพื่อร่วมรณรงค์กับองค์กรของ ICC ในนาม CICC ที่รับผิดชอบในภาคพื้นแปซิฟิค
เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเข้าร่วมลงนาม และให้สัตยาบันกับศาล ICC ให้การเป็นสมาชิกเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองชีวิตคนไทยอย่างมาก เพราะคนไทยต้องตายจากกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ในลักษณะการสังหารอย่างโหดร้ายกลางเมืองหลวงหลายต่อหลายครั้ง แต่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไม่สามารถที่จะดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้เลย จึงจำเป็นที่ไทยต้องเชื่อมต่อระบบความยุติธรรมกับ ICC"
ด้วยความเชื่อมั่นต่อพลังประชาธิปไตยของประชาชน
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
เลขาธิการองค์การเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย


“ไพศาล” แนะ ต้องร่างรัฐธรรมนูญตามความเห็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ

“ไพศาล” แนะ ต้องร่างรัฐธรรมนูญตามความเห็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ
นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เปิดเผยเมื่อเช้าวันนี้ แนะ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญให้ร่างรัฐธรรมนูญตามความเห็นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติถ้าขัดขืนหรือร่างตามใจชอบและสภาปฏิรูปแห่งชาติไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็จะตกไป และต้องยุบคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญด้วย
กรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่เอาด้วยกับการที่ประชาชนจะเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่า นายวิษณุ เครืองาม เป็นรองนายกรัฐมนตรี ไม่ทราบว่าให้ความเห็นแทนคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญหรืออย่างไร เพราะเป็นคนละส่วนกัน คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้รับความเห็นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ จึงยังทำอะไรไม่ได้ และไม่น่าจะมาออกความเห็นว่า เอาหรือไม่เอา เพราะรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติที่จะต้องส่งความเห็นในการร่างรัฐธรรมนูญไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องยกร่างรัฐธรรมนูญตามความเห็นสภาปฏิรูปแห่งชาติและไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง เมื่อยกร่างแล้ว จะต้องส่งไปให้ คสช. รัฐบาล และสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อพิจารณา ถ้าหน่วยงานเหล่านี้ไม่เอาด้วย ร่างรัฐธรรมนูญก็จะตกไป และจะต้องยุบคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีความชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องร่างรัฐธรรมนูญตามความเห็นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็ไม่เคยมีมติว่าจะเอาหรือไม่เอา กับความเห็นของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ถ้าจะพูดถึงอำนาจว่าจะเอาหรือไม่เอา ก็เป็นอำนาจของสภาปฏิรูปแห่งชาติ จึงต้องทำความเข้าใจกันให้ถูกต้อง จะได้ไม่ได้หลงผิดหรือสับสน ดังที่เป็นอยู่

อดีต ปธน.โปแลนด์แฉมีคุกลับในไทยจริง

อดีตประธานาธิบดีโปแลนด์ แฉว่า CIA มะกันมีคุกลับในประเทศตนเอง แถมพ่วงคนแดนไกล มีเอี่ยวด้วย
นายอเล็กซานเดอร์ ควาสนิวสกี อดีตประธานาธิบดีโปแลนด์ ได้ออกมายอมรับว่า สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐ ( CIA ) ได้จัดตั้งคุกลับสำหรับสอบปากคำผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายบนแผ่นดินของประเทศโปแลนด์จริง ในระหว่างปี ค.ศ.2545 - 2546 (ราว 10 ปีที่แล้ว)
เขาบอกว่า ในการเยือนทำเนียบขาวเมื่อปี 2546 เขาเคยบอกกับอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ว่าไม่ควรร่วมมือกันในเรื่องนี้ เพราะ วิธีสอบปากคำที่ใช้เป็นวิธีที่ไม่อาจยอมรับได้ และไม่สมเหตุสมผล
นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของโปแลนด์ ออกมายอมรับต่อสาธารณะ ว่ามีคุกลับของซีไอเออยู่ในประเทศจริงๆ
------------------------->
จาการสืบย้อนหลัง ปี 2545 ประมาณกลางปี และในสมัยกลุ่มไทยไม่รักไทย คนแดนไกล เป็นนายกฯ ได้ยอมขายชาติอธิปไตยของไทย ยอมให้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA ได้เดินทางเข้ามาเจรจากับทางการไทย โดยใช้งบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาทในการก่อสร้างคุกลับในไทย CIA ใช้ชื่อรหัสว่า “ไซต์กรีน (Site Green)”
ซึ่งงบก้อนนี้ดึงมาจากงบประมาณสำหรับการต่อสู้กับกลุ่มตอลิบาน ในอัฟกานิสถาน จากนั้นนำนาย อาบู ซูไบดา หัวหน้าฝ่ายวางแผนโจมตี นักโทษอัลกออิดะห์ ถูกจับกุมในขณะที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกขังในเดือนมีนาคม 2545 ที่ปากีสถาน และนายรัมซี บินอัลชิบห์ 1 ในผู้ร่วมวางแผนก่อวินาศกรรม
และหลังจากนั้น CIA ย้ายแกนนำระดับสูงของกลุ่มอัลกออิดะห์มายังไทย โดยนาย ซูบาได ถูกขังเดี่ยวเป็นเวลา 47 วัน ก่อนที่ CIA จะเริ่มต้นการสอบปากคำแบบพิเศษตลอด 24 ชม.ในวันที่ 4 สิงหาคม 2545 เวลา 11.50 น. และทรมานแกนนำอัลกออิดะห์ผู้นี้ 17 วันติดต่อกัน
นาย ซูไบดา ถูกทรมานโดยใช้น้ำรดหน้าถึง 83 ครั้ง และยังถูกขังให้นอนภายในกล่องขนาดเท่าโลงศพนานราว 266 ชม. ในระยะเวลา 20 วันของการสอบปากคำในช่วงปี 2545 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บูช รับทราบความเคลื่อนไหวตลอด จากการรายงานสรุปประจำวันของ CIA สหรัฐฯ
นาย ซูไบดา ถูกย้ายตัวจากคุกลับในไทยในเดือนธันวาคม 2545 ไปยังโปแลนด์ และต่อจากนั้นถูกส่งต่อไปยังคุกกวนตานาโม และยังคงถูกขังที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นคุกลับในไทยนี้ ถูกปิดดำเนินการใน เดือนมิถุนายน 2546
------------------------->
ตายละว่า..ฮิวแมนไรท์ว๊อซ องค์กรมนุษยชน นาโต้ เพนตากอน เอฟบีไอ นาซ่า เคเอฟซี แม็คโดนัล ฯลฯ ช่วยออกมารับสารภาพกับ CNN , BBC สื่อไซออนิสต์ทั้งหลาย ให้เผยแพร่ข่าวไปทั่วโลกถึงประชาชน 7 พันล้านคนด่วน
เราขอเรียกร้องให้สหรัฐ หยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ร้ายแรงทั้งที่โปแลนด์ อาฟกานิสถาน อ่าวกวนตานาโม ที่มีคุกลับใช้วิธีทรมาน และควรเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการปรับทัศนคติ และการปรองดอง ขออย่าทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยความรุนแรง
นี่แหละคือความลับดำมืดมานานกว่า 10 ปี ที่มะกันต้องหนุนกลุ่มเผาไทย รัฐบาลเลือกตั้งประชาธิปไตย ล่ะ เพราะว่ามันสะดวกในการซื้อขายชาติ แบบยื่นหมูยื่นแมว กว่ารัฐบาลอนุรักษ์นิยมประชาธิปไตยยุคนี้
ประชาชนไทยตาสว่างได้แล้ว เลือก ส.ส.ผิดแบบนี้จะพาชาติหายนะ เข้าสู่สงครามและก่อการร้าย เขย่าๆๆ...เผาไทย , คนแดนไกล , จอร์จ บุช , โอบามา เรียบร้อยดีไหม มีอะไรจะให้ช่วยก็บอก
ถ้ามะกันขืนมาแหยม ว่าไทยเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือ ค้ามนุษย์อีก จะแฉ ให้สิ้นว่า CIA ใครมา สถานทูตเกี่ยวอย่างไร ยังมีแฉ อีกเยอะ แต่เห็นว่าเป็นเพื่อนกันมา 180 ปี เลยออมกำลังอุ่นเครื่องเผาหัวฉี่ปริบแค่นี้ก่อน
แต่ถ้ารัฐบาลมะกันแหยมหน้ามายุ่งกับไทยอีก เจอแฉจัดหนัก เยี่ยวราดเต็มกางเกงแน่ (^_^)
@ เสธ น้ำเงิน1
http://www.facebook.com/thailandcoup


งานเข้า "บุช"

คนตระกูลบุช เพื่อนรักทักกี้ ที่กำลังเจอข้อหาร้ายแรง การสอบสวนที่อื้อฉาว กลุ่มก่อการร้ายอัลเคดา การไล่ล่า บิน ลาเดน สุดขอบฟ้า ชวนชาวโลกต่อต้านการก่อการร้าย และปราบปรามกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง โดยเฉพาะประเทศ ที่มีทรัพยากรน้ำมันมหาศาล แล้วเพรียกหาแต่สิทธิมนุษยชน และเที่ยวชี้นิ้วกราดไปทั่วว่า เป็นผู้ก่อการร้าย และเผด็จการ ลองมาดูประวัติคนตระกูล "บุช"
ปี 1992 ประธานาธิบดี ” George Bush ผู้พ่อ” ลงสมัครชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รอบ 2 พ่ายแพ้ต่อ ”บิล คลินตัน” กลุ่มอภิมหาเศรษฐีอเมริกัน ในนามของ ” Carlye Group" บริษัทจัดการสินทรัพย์ ทางเลือกระดับโลก ซึ่งมีบทบาทในธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ได้เสนอตำแหน่งที่ปรึกษา กลุ่มธุรกิจบริษัทให้กับ ”บุชผู้พ่อ” เนื่องจากมีสัมพันธ์ที่ดีกับ นักธุรกิจชาวอาหรับ โดยดึง Carlye Group ให้เข้าไปซื้อกิจการบริษัท ที่ทำการฝึกอบรมหน่วยองครักษ์ ของราชวงศ์ซาอุฯ โดยตรง แล้วยังชักชวน สมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ นักธุรกิจอาหรับ รวมไปถึงครอบครัว ”บิน ลาเดน” ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วน ใน “Carlye Group”
”George Bush” ได้รับการอุ้มชู จากครอบครัวบิน ลาเดนมาโดยตลอด ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัส ทหารสหรัฐฯในซาอุฯ 5 ราย ก็เสียชีวิตจากการถูก ลอบวางระเบิดโดยกลุ่มก่อการร้าย ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์โยงใย กับ ”อัล-กออิดะห์” อีกครั้ง…. แต่ผู้ต้องสงสัยที่ถูกทางการซาอุฯ จับกุมตัวไว้ได้ ก็ถูกประหารชีวิตทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ ร่วมทำการสอบสวน…
”คาลิด อัล มิห์ดาร์” กับ ”นาวาฟ อัล ฮาซมี” ผู้ซึ่ง เชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ควบคุมเครื่องบิน ไฟลท์ที่ พุ่งชนอาคารเพนตากอน ในเหตุการณ์ 9/11 เคยพักอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนการบิน ค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของคนทั้งสอง ก็ว่ากันว่าได้รับการช่วยเหลือโดยเจ้าหญิง ”ไฮฟา” ภรรยาของเจ้าชาย ”บันดาร์” เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำสหรัฐฯ ที่มีความสนิทสนมกับครอบครัว อดีตประธานาธิบดี ”บุช” ในชนิดแทบจะเป็น สมาชิกครอบครัวเดียวกันก็ว่าได้…
“บุชผู้ลูก” ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ด้วยการสนับสนุนของ “Carlye Group” และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมัน ก่อนเกิดเหตุการณ์ 9/11 CIA และ FBI ต่างยืนยันต่อประธานาธิบดีอเมริกัน ถึงความเป็นไปได้ว่า การโจมตีสหรัฐฯ ด้วยการวินาศกรรมอาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และมีการระบุเอาไว้ชัดเจนว่า กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ น่าจะมีความเกี่ยวพันกับ ”โอซามะบิน ลาเดน” ผู้นำองค์กร ”อัล-กออิดะห์”!!!
ท่าทีของประธานาธิบดี ” George Bush” ไม่ได้แสดงปฏิกิริยากระตือรือร้น ระหว่างที่เครื่องบิน 2 ลำกำลังพุ่งหัวดิ่งเข้าชน ตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ ”บุชผู้พ่อ” และผู้บริหาร George Bush ก็กำลังยืนดูที.วี. ร่วมกับ ”ชาฟิก บิน ลาเดน” พี่ชายต่างมารดาอีกราย ของโอซามา และบรรดาสมาชิกราชวงศ์ ซาอุดิอาระเบีย… เนื่องในโอกาสการพบปะประชุม ของบรรดาผู้บริหารกลุ่มธุรกิจ “Carlye Group” ที่ตรงกับวันนั้น…และวินาทีนั้นพอดิบพอดี…
“ซาเล็ม บิน ลาเดน” และ ”คาลิบ บิน มาห์ฟูซ” นายธนาคารชาวอาหรับ ผู้ดูแลกิจการธนาคารในเครือของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย จ้าง ”จิม บาธ” เพื่อนสนิท ” บุช ผู้ลูก ” ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ CIA ให้ เข้าไปตีสนิทกับ นักธุรกิจชาวอาหรับ ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่าง ”ตระกูลบิน ลาเดน” กับ ”ตระกูลบุช” เริ่มมีความผูกพันกัน และกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หน่วยงาน CIA . ในระยะนั้นได้กลายเป็น ผู้รับจ้างฝึกหน่วยทหารองครักษ์ให้ กับราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย พร้อมกับร่วมทำธุรกิจการบิน กับนักธุรกิจอาหรับ ในขณะที่หลังจาก ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” พ้นกำหนดการเป็นอาสาสมัครรับใช้ชาติ และเริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจของครอบครัว ด้วยการจัดตั้ง บริษัทขุดเจาะน้ำมันชื่อว่า ”อาร์บัสโธ” เงินลงทุนก้อนใหญ่ของบริษัทนับล้านดอลลาร์ ก็ได้มาจากครอบครัว ”บิน ลาเดน” ที่ลงทุนผ่าน ”จิม บาธ” นั่นเอง…
เมื่อประธานาธิบดี ”จิมมี่ คาร์เตอร์” วางโครงการที่จะให้ เงินสนับสนุนแก่ กลุ่มนักรบอิสลาม ที่เรียกกันว่า ”มูจาฮิดีน” ในอัฟกานิสถาน เพื่อให้ต่อต้าน กองกำลังของโซเวียตรัสเซี ย ที่บุกเข้ายึดประเทศอัฟกานิสถาน ในช่วงของรัฐบาลประธานาธิบดี ”โรนัลด์ เรแกน” ซึ่งมี ”บุชผู้พ่อ” ดำรงตำแหน่ง รองประธานาธิบดี ”โอซามา บิน ลาเดน” น้องชายคนโปรดของ ”ซาเล็ม” ได้เข้าร่วมทำสงครามญิฮาด เพื่อขับไล่รัสเซียร่วมกับ พวกมูจาฮิดีน ในอัฟกานิสถานขึ้นมาทันที…
นับตั้งแต่นั้นมา “ซาเล็ม” ก็ได้ขยายบทบาท ใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกัน ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกำลังสำคัญ ที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุน ทางการเงินให้กับ แผนการลับของรัฐบาลประธานาธิบดี ”เรแกน” เพื่อจัดตั้งกลุ่มกบฏ ต่อต้านรัฐบาลฝ่ายซ้ายของนิคารากัว ที่รู้จักกันในนาม ”กบฎคอนทรา” เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 3-4 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ
ไม่เพียงเท่านั้น… เมื่อบริษัทน้ำมันของ ”บุชผู้ลูก” เกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา “ซาเล็ม”และ ”คาลิด”ก็กลายเป็นผู้ยื่นมือ เข้าประคับประคองพลิกฟื้น ฐานะของกิจการน้ำมันแห่งนี้ ด้วยการทุ่มเงินลงทุนผ่าน ”บาธ”
เมื่อโซเวียต จำต้องถอนกำลังออกจาก อัฟกานิสถาน “โอซามะ บิน ลาเดน” ในฐานะผู้นำของบรรดานักรบอิสลาม ที่ได้รับการฝึกปรือโดยหน่วยงาน CIA . มาอย่างช่ำชอง ได้เดินทางกลับ ซาอุดิอาระเบีย และได้เสนอต่อ สมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ อาสาจะรวบรวมบรรดา นักรบอิสลามต่อสู้กับกองทัพซัดดัม แทนที่จะเปิดโอกาสให้กองกำลังสหรัฐฯ ใช้ซาอุดิอาระเบียเป็นฐานทัพในการขับไล่ ”ซัดดัม” ให้ออกจากคูเวต…แต่ข้อเสนอนี้ได้รับการปฏิเสธ
การลองสังหาร บินลาเดน กลับ เป็นเรื่องที่คนอเมริกัน ทุกคนเห็นด้วย เพราะไม่รู้เบื้องหลังที่แท้จริง


มะกันเตือนพลเมืองในไทย

สหรัฐฯเตือนคนอเมริกันในไทยระวังก่อการร้าย***
การเปิดเผยรายงานการทรมานนักโทษของ CIA โดยวุฒิสภาสหรัฐฯ กลายเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก เมื่อมีหลายประเทศถูกพาดพิงว่ามีส่วนช่วยสหรัฐฯคุมขังและทรมานนักโทษ รวมถึงประเทศไทย จนสหรัฐฯถึงกับต้องเตือนคนอเมริกันในไทยให้ระวังการแก้แค้นจากกลุ่มก่อการร้าย
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนให้คนอเมริกันใน 2 ประเทศ คือไทยและอัฟกานิสถาน ระวังการตกเป็นเป้าของการก่อการร้าย ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยก็เตือนพลเมืองอเมริกันให้เตรียมพร้อมรับมือกับการประท้วงต่อต้านสหรัฐฯ และการบุกทำลายผลประโยชน์ของชาวอเมริกันในไทย เนื่องจากไทยและอัฟกานิสถาน เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่ถูกอ้างถึงในรายงานของวุฒิสภา ว่าด้วยการทรมานนักโทษคดีก่อการร้ายของหน่วยสืบราชการลับสหรัฐฯ หรือ CIA ว่าเป็นที่ที่ CIA ใช้เป็นสถานที่กักกันและทรมานนักโทษ
การประกาศเตือนครั้งนี้เกิดขึ้น หลังจากการเปิดเผยรายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับวิธีการสอบสวนและทรมานผู้ต้องหาที่เกี่ยวพันกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ในช่วงหลังเหตุการณ์ 9/11 ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก โดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHRC ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สหรัฐฯลงโทษเจ้าหน้าที่ ที่ทรมานนักโทษตามกฎหมาย เนื่องจากกระทำการขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
ขณะเดียวกัน SITE องค์กรที่ทำหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ของกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมทั่วโลก ก็รายงานว่านับตั้งแต่มีการเปิดเผยรายงานฉบับนี้จากวุฒิสภาสหรัฐฯ ก็มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักในเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงทั่วโลก โดยมีการประกาศจากกลุ่มนักรบญิฮาดหลายกลุ่มว่าจะต้องมีปฏิบัติการแก้แค้นสหรัฐฯอย่างสาสมที่ล่วงละเมิดพี่น้องมุสลิม


ม็อบน้ำมันเถื่อนที่สะเดา

มันเกิดขึ้นแล้ว ที่นี้ ที่เดียวในโลก.....
(๙ ธค.๕๗) เมื่อเวลาประมาณ ๑๖.๑o น.
กลุ่มผู้ค้าน้ำมันเถื่อน รายย่อย ปาดังฯ อ.สะเดา จ.สงขลา-
ที่บริเวณหน้าด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา ฯ กลุ่มผู้ค้า
น้ำมันเถื่อนรายย่อย ตามแนวพรมแดนไทยมาเลเซีย
อ.สะเดา จ.สงขลา ประมาณ ห้าสิบ คน รวมตัวชุมนุมปิด
หน้าด่านขาออก สืบเนื่องจาก กลุ่มค้าน้ำมันเถื่อน ขอให้
จนท.ด่านศุลกากรผ่อนปรนการนำเข้าน้ำมันเถื่อนจากประเทศ
มาเลเซีย แต่ทางด่านยอมให้ ขนน้ำมันเถื่อนได้ แต่เฉพาะ
ถังเดิมที่ติดมากับรถ ตอนนี้รอประชุม ๔ ฝ่าย
(ฉก.ร.๕ สภ.ปาดัง อำเภอ ด่าน)...
เบื้องต้น ผกก.สภ.ปาดัง เชิญแกนนำออกไปคุยนอกรอบทีละคน....
....เออๆถ้ายอมมัน เด๋วพวกค้ายาบ้าเอามั่ง...คอยดูไป....
...


ตบหน้ามะกันฉาดใหญ่คุกลับทรมานเชลย

Cr:ทหารปฏิรูปประเทศไทย
วันที่ 11 ธ.ค.57 ตบหน้าฉาด..มะกันแฉ ประจานกันเอง ทุบตี แก้ผ้า ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในโลก
สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ ประนามวิธีการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายของ CIA หลังเหตุการ 11 กันยายน ที่มีการสอบสวนกับแบบเข้มข้น จนบางครั้งเลยเถิดไปเป็นการทรมาน เช่น การบังคับให้อดนอน ทำให้สำลักน้ำ ทุบตี และเปลิ้องผ้า (เลื่อนดูภาพที่ภาพ และดูเอกสารลับ)
** เรื่องเดิมอดีตประธานาธิบดีโปแลนด์ แฉว่า CIA มะกันมีคุกลับในประเทศตนเอง แถมพ่วงคนแดนไกล มีเอี่ยวด้วย คลิ๊กที่https://www.facebook.com/thailandcoup/posts/4002670701404
โดยบอกว่า " เป็นการกระทำที่โหดร้าย" อีกทั้งยังไม่ได้ผล เนื่องจากไม่ได้ข้อมูลที่เป้นประโยชน์ต่อประเทศแต่อย่างใด นางไดแอนน์ เฟนสเตน ประธานคณะกรรมาธิการสอบสวนเรื่องนี้ระบุว่า ผลการสอบสวนที่ออกมาเป็น “ความด่างพร้อย” ทั้งต่อคุณค่า และประวัติศาสตร์อเมริกัน
ทั้งนี้ กรรมาธิการฯ ได้ศึกษาเอกสาร รวม 6.3 ล้านหน้า ก่อนที่จะจัดเป็นเป็นรายงานฉบับเต็ม 6,300 หน้า แต่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้เพียง 525 หน้าเท่านั้น
------------------>
การทำทรมาน ละเมิดมนุษยชน ก่อการร้าย ทำไมอเมริกา เห็นมนุษยไม่เท่ากัน ทั้งทำให้สำลักน้ำ ทุบตี และ แก้ผ้าเปลือย ประเทศไทยแค่ปรับทัศนคติเองนะ เอ้าพวกเชิดชูเสรีภาพอเมริกาไปไหน ขอเสียงหน่อย..แต่เมื่อเขาอย่างปิดความลับ เราจะเปิด เพราะเรื่องร้าวฉาน คืองานของเรา..สงส๊าน สงสาร นักโทษเหล่านั้นมาก
กะจองงอง กะจองงอง เจ้าข้าเอ้ย เรื่องแบบนี้เราต้องขยาย เผื่อชาวโลกที่ไม่รู้อีก 7 พันล้านคนจะได้รู้กันทั่วๆ และจับกลุ่มนินทากันให้แซด หยะแหยงพวกละเมิดสิทธิมนุษยชนอ่ะ (^_^)
@ เสธ น้ำเงิน1
http://www.facebook.com/thailandcoup


ปฏิกริยาคุกลับในไทย

 คุกลับCIAไทยปฏิกริยา

ไทยโพสต์
Thursday, 11 December, 2014 - 00:00

ผงะ!ไทยคุกลับCIA วุฒิสภาสหรัฐเปิดผลสอบ สุดโหดทารุณกรรมมนุษย์

   ไทยแลนด์ติดร่างแหการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกามหามิตร รายงาน กมธ.วุฒิสภาสหรัฐเปิดโปงซีไอเอใช้วิธีทารุณทรมานรีดเค้นข้อมูลจากผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายหลังอัลกออิดะห์ก่อวินาศกรรม 9/11 บางส่วนกระทำในคุกลับซึ่งรวมถึงที่ตั้งอยู่ในไทยด้วย สถานทูตสหรัฐเตือนทันควัน คนอเมริกันในไทย, อัฟกานิสถานและปากีสถานระวังเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรุนแรง 
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมาธิการการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐได้เผยแพร่รายงานผลการสอบสวนการทารุณทรมานผู้ต้องสงสัยของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) แล้วเมื่อค่ำวันอังคารที่ 9 ธันวาคมตามเวลาประเทศไทย ก่อนการเผยแพร่รายงานฉบับคัดย่อของรายงานลับนี้ รัฐบาลสหรัฐได้เตรียมมาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้าด้วยการสั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสถานทูตและสถานที่ตั้งของสหรัฐทั่วโลก 
    รายงานฉบับนี้ใช้เวลาไต่สวนนาน 5 ปีโดยเป็นการทบทวนเอกสารของซีไอเอจำนวนถึง 6.3 ล้านหน้า จนได้ผลการสอบสวนฉบับเต็มที่มีความหนา 6,700 หน้า อย่างไรก็ดี รายงานที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารซึ่งผ่านการตรวจทานแล้วเป็นบทคัดย่อและบทสรุปที่มีความหนาราว 500 หน้าที่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้เท่านั้น เนื้อหาสำคัญกล่าวโทษซีไอเอว่าใช้วิธีการโหดร้ายทารุณในการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายและอัลกออิดะห์ที่จับกุมได้หลังเหตุการณ์วินาศกรรมสหรัฐ 11 กันยายน 2544 อีกทั้งซีไอเอยังชักนำให้ฝ่ายการเมืองและสาธารณชนเข้าใจผิดๆ ว่าวิธีที่ใช้กับนักโทษใน "ที่มืด" หรือคุกลับตามที่ต่างๆ ของสหรัฐนั้น "ประสบผลสำเร็จ" 
    วิธีการสอบปากคำด้วยการทารุณทรมานที่ใช้ มีอาทิ การบังคับให้อดนอนนานถึง 180 ชั่วโมง, ให้นักโทษยืนหรืออยู่ในท่าที่สร้างความเจ็บปวดเป็นเวลานานๆ, จับขังในหีบเล็กขนาดเท่าโลงศพนายหลายชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีที่สหรัฐใช้จัดการกับอะบู ซูเบย์ดาห์ ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้ในไทย, การทำให้สำลักน้ำหรือวอเตอร์บอร์ดดิง, การตบตี และการขู่ว่าฆ่า, ทำร้าย หรือละเมิดทางเพศต่อสมาชิกครอบครัวของนักโทษ 
    ส.ว.ไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ ประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้จากพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดทำรายงานฉบับย่อเพื่อเผยแพร่ กล่าวว่า ผลการสอบสวนนี้ถือเป็นรอยด่างในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา 
    ด้านจอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการซีไอเอ กล่าวว่า ซีไอเอเคยทำสิ่งผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้ แต่เขายังคงยืนกรานว่าเทคนิคขู่เข็ญนักโทษทำให้สหรัฐได้ข้อมูลข่าวกรองที่ช่วยให้ป้องกันแผนการโจมตี, จับกุมผู้ก่อการร้าย และรักษาชีวิตคนไว้ได้
    จอร์จ เทเน็ต ผู้อำนวยการซีไอเอในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่มีการใช้วิธีการนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะสั่งยุติในปี 2551 ได้กล่าวปกป้องโครงการส่งตัวผู้ร้าย, กักขังและรีดเค้นข้อมูลของสหรัฐว่า นำไปสู่การจับกุมแกนนำอัลกออิดะห์ได้หลายรายที่ช่วยป้องกันการโจมตีนองเลือดและรักษาชีวิตคนอเมริกันนับพันนับหมื่น
    รายงานกล่าวว่า ประธานาธิบดีบุชลงนามอนุมัติโครงการนี้เมื่อปี 2555 แต่ซีไอเอไม่ได้รายงานรายละเอียดของโครงการนี้ต่อบุชจนกระทั่งผ่านมาถึงปี 2549 ขณะนั้นบุชมีความไม่สบายใจเมื่อได้เห็นภาพนักโทษรายหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้กับเพดานและขับถ่ายใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
    รายงานกล่าวด้วยว่า ซีไอเอได้รับอนุญาตให้ใช้วิธีการทารุณ เช่น ทำให้สำลักน้ำ, อดนอน, ขังไว้ในที่แคบ และวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมได้ภายหลังการจับกุมอะบู ซูเบย์ดาห์ สมาชิกอัลกออิดะห์ ได้ที่ปากีสถานเมื่อปี 2555 ซูเบย์ดาห์ถูกส่งตัวข้ามแดนมาคุมขังในสถานที่ปิดลับในเมืองไทยในเวลาต่อมา ซีไอเอเชื่อว่าเขามีข้อมูลเกี่ยวกับแผนการก่อการร้าย ซูเบย์ดาห์โดนทรมานจนภายหลังมีปัญหาทางจิต
    ในฐานะที่ไทยตกเป็นหนึ่งในประเทศที่รายงานกล่าวถึงว่า เป็นที่ตั้งของคุกลับของสหรัฐที่ใช้ในการทารุณทรมานเพื่อรีดเค้นปากคำนักโทษ จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐเกรงว่าผลประโยชน์และพลเมืองของตนในไทย รวมถึงในอัฟกานิสถานและปากีสถาน จะตกเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วย 
    สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันพุธว่า สถานทูตสหรัฐในอัฟกานิสถาน, ปากีสถาน และไทย ได้ออกคำเตือนพลเมืองชาวอเมริกันถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการประท้วงต่อต้านอเมริกาและเกิดความรุนแรงต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ รวมถึงพลเมืองชาวสหรัฐ สืบเนื่องจากการเปิดเผยรายงานของวุฒิสภาครั้งนี้ คำเตือนขอให้ชาวอเมริกันใน 3 ประเทศนี้ระแวดระวังต่อสิ่งรอบข้างและเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัยตามความเหมาะสม รวมถึงการหลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมหรือสถานการณ์ที่มีการเผชิญหน้ากัน
    นอกจากนี้ รายงานกล่าวสถานกงสุลสหรัฐในจังหวัดเชียงใหม่ ก็ออกคำเตือนแบบเดียวกันด้วย 
    รายงานฉบับนี้ทำให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาประณามสหรัฐ ยูเอ็นกล่าวว่า โครงการนี้ของสหรัฐละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ขณะที่กลุ่มต่อสู้เพื่อสิทธิผู้ถูกคุมขัง "CAGE" จากอังกฤษ ระบุว่ารายงานนี้เป็นหลักฐานชัดเจนที่สามารถใช้ดำเนินคดีทางอาญา ส่วนองค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ชี้ว่า การดำเนินการของซีไอเอเป็นการทำผิดกฎหมายและไม่มีวันที่จะชอบด้วยเหตุผล 
กระทั่งรัฐบาลเกาหลีเหนือ ซึ่งโดนยูเอ็นตำหนิเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในประเทศ ยังเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นตำหนิสหรัฐที่ใช้วิธีการ  "ทารุณทรมานอย่างป่าเถื่อน".

///

สุวพันธุ์ ยืนยัน ไทยไม่มีคุกลับ-ทรมานนักโทษ

ทำเนียบฯ  11 ธ.ค. – รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยัน ไม่เคยมีคุกลับ หรือ การทรมานนักโทษในประเทศไทย เชื่อ เป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ  ยอมรับข่าวที่ออกมาต้องเพิ่มมาตราการรักษาความปลอดภัย

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กรณีรายงานของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา สหรัฐฯ เปิดโปงสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ใช้วิธีทารุณทรมานรีดเค้นข้อมูลจากผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย หลังอัลกออิดะห์ก่อวินาศกรรม 9/11 บางส่วนกระทำในคุกลับ ซึ่งรวมถึงที่ตั้งอยู่ในไทยด้วย ว่า ไทยไม่เคยมีคุกลับ หรือการทรมาณนักโทษในประเทศ และไม่มีความร่วมมือกับ CIA เกี่ยวกับคุกลับตามที่มีการกล่าวอ้าง

“เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ และในรายงานดังกล่าว ไม่มีข้อความใดระบุถึงไทย เป็นการตีความไปเอง” นายสุวพันธุ์ กล่าว พร้อมย้ำว่า ไทยไม่ได้เป็นคู่กรณีกับประเทศใด และรัฐบาลชุดปัจจุบันยึดหลักอธิปไตย และไม่ปฏิบัติขัดต่อกฎหมาย

ต่อกรณีที่มีข่าวว่า สถานทูตสหรัฐฯ เตือนคนอเมริกันในประเทศที่ถูกอ้างถึง ให้ระวังเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรุนแรง ไทยมีความเข้มงวดกับผลกระทบที่จะตามมาหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า  หน่วยงานด้านความมั่นคงและการข่าว ติดตามงานด้านความมั่นคงในทุกมิติโดยไม่ประมาท รวมถึง เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย  ทั้งในประเทศ รวมถึง สถานทูตสหรัฐฯ ที่มีการพาดพิงถึง

“ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานภัยคุกคามในลักษณะดังกล่าว” นายสุวพันธุ์ กล่าว  ส่วนไทยจะประท้วงรายงานชิ้นนี้หรือไม่ คาดว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจรณา  .- สำนักข่าวไทย

///
คุกลับ

กลายเป็นกระแสข่าวขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับคุกลับ หรือ แบล็กไซต์ (Black Sites) ของ CIA (สำนักงานข่าวกรองของสหรัฐ) ในประเทศไทย ซึ่งข่าวเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้เคยตีพิมพ์ข่าว ในปี 2548 ว่า CIA ได้กักขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ไว้ใน คุกลับ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในต่างประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน หลายประเทศในยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศไทยด้วย

คุกลับ เหล่านี้ ใช้กักขังเพื่อสอบสวน เหล่าผู้ก่อการร้ายเครือข่ายอัลเคดา ที่ถูก CIA อุ้ม และจับตัวได้ในหลายประเทศทั่วโลก เพราะกฎหมายสหรัฐ ห้ามไม่ให้จับกุม คุมขังผู้ต้องสงสัย โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม และจำเลยมีสิทธิตั้งทนายเพื่อสู้คดี  แต่ผู้นำสหรัฐในขณะนั้น คือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ลงนามคำสั่งให้อำนาจ CIA ใช้ทุกวิธีการเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหว และแผนการก่อวินาศกรรม รวมถึงมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการสอบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ 9/11

โดย คุกลับ ซึ่งเป็น 1 ในแผนปฏิบัติการของ CIA แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ คุกลับระดับที่ 1 หรือ First Tier มีไว้สำหรับคุมขังแกนนำระดับสูงของอัลเคดา ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ CIA โดยเฉพาะ และคุกลับระดับที่ 2 หรือ Second Tier ที่จะใช้คุมขังเฉพาะผู้ก่อการร้ายระดับรองลงมา

สำหรับ คุกลับ ในประเทศไทย วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ถือเป็นคุกลับระดับที่ 1 ระดับเดียวกับคุกลับที่อ่าวกัวตานาโม ของคิวบา และเคยใช้ควบคุมแกนนำระดับสูงของอัลเคดา ถึง 2 คน คือ นายรัมซี บินอัลชิบห์ 1 ในผู้ร่วมวางแผนก่อวินาศกรรมในเหตุการณ์ 9/11 และนายอาบิน ซูบัยดะห์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนโจมตีของอัลเคดา 

โดย คุกลับ ในประเทศไทย เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA ได้เดินทางเข้ามาเจรจากับทางการไทย ประมาณกลางปี 2545 โดยใช้งบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาทในการก่อสร้าง ซึ่งงบก้อนนี้ดึงมาจากงบประมาณสำหรับการต่อสู้กับกลุ่มตอลิบาน ในอัฟกานิสถาน 

แต่หลังจากที่ Human Rigth Watch องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาเผยแพร่รายงานถึงคุกลับว่ามีจัดตั้งในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้รัฐบาลไทยได้ทำหนังสือยืนกรานให้สหรัฐ ปิดคุกลับที่ดำเนินการอยู่ ในเดือนมิถุนายน 2546 โดยแกนนำผู้ก่อการร้ายทั้ง 2 คน ได้ถูกส่งตัวไปยังคุกลับในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งยังดำเนินกิจกรรมดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน

สถานีโทรทัศน์ ABC NEWS ได้รายงานการมีอยู่ของคุกลับในประเทศไทยอีกครั้ง ในเดือนธันวาคม 2548 จนทำให้พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ออกมาตอบโต้ว่า ไม่เคยมีการก่อสร้างคุกลับ บริเวณคลังสินค้าเก่าของฐานทัพอากาศ และไม่เคยได้รับการติดต่อจาก CIA 

มีกระแสข่าวว่า คุกลับ ตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศสหรัฐ  บางกระแสข่าวก็ว่า ตั้งอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา บางก็ว่า อยู่ที่อุดรธานี จะจริงหรือไม่จริง กระแสข่าวเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ลึกลับจริงๆ ราวกับกระแสข่าว เรื่องการตั้ง  “AREA 51 ขึ้นเพื่อทำการวิจัย และทดลองด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ รวมถึงการกักขัง ผู้มาเยือนจากต่างดาว มีการทำให้เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่อง เป็นจริงเป็นจัง เช่นเดียวกับคุกลับในประเทศไทย ที่ยังไม่สามารถถอดรหัสได้ว่า มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงแค่การกุข่าวเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลไทย

/////

นักโทษคุกลับ CIA ในไทยยื่นฟ้องอังกฤษแล้ว

ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2554 00:00:07 น.
นายสบาย

คุกลับของซีไอเอในไทย ขัง, ทรมาน, รีดความลับจากนักโทษมุสลิม ที่จับมาได้จากทั่วโลกมันมีจริงรึ

4 ธ.ค.2009 "วอชิงตัน โพสต์" ลงข่าวแฉ ซีไอเอ มีคุกลับอยู่ใน 28 ประเทศ ในทุกทวีปรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งขณะนั้น "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อนักข่าวถามปฏิเสธว่า...ไม่มี

"บิน ลาดิน" สั่งนักรบมุสลิมจี้เครื่องบินพาณิชย์เหนือฟ้าสหรัฐ บินเข้าชน ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่นิวยอร์ก พังทั้ง 2 ตึก และพุ่งชน ตึกเพนตากอน กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่วอชิงตัน ดี.ซี. พังไปด้วยซีกหนึ่ง เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2001

แล้ว "จอร์จ ดับเบิลยู บุช" ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้สั่งซีไอเอเปิด "ปฏิบัติการเกินธรรม"extraordinary rendition program. อีกชื่อเรียกว่า Black site Project  ล่า "บิน ลาดิน" มีการตะครุบตัวมุสลิมหัวรุนแรงในทุกประเทศทั่วโลกมารีด แต่นำตัวกลับเข้ามาในแผ่นดินสหรัฐไม่ได้ กฎหมายไม่อนุญาตให้จับคนที่ไม่มีหลักฐานว่าทำผิด ซีไอเอจึงขอให้ชาติที่เป็นสมุน ขอใช้สถานที่ซักแห่งหนึ่งเป็นคุกลับ ซึ่งผู้นำรัฐบาลใน 28 ประเทศ...โอเค.

คุกลับใครพูดก็ไม่เชื่อ เพิ่งจะมีคนแรกที่พูดแล้วคนทั้งโลกเชื่อก็คือ นาย

Abdul hakim Belhadj  นักรบมุสลิมลิเบีย ที่เคยถูกซีไอเอจับมาขังทรมานที่คุกลับในสนามบินดอนเมือง, ไทย

เขาคือนักโทษที่ยังไม่ตาย  นายเบลฮาดจ์ เป็นคนกรุงตริโปลี, ลิเบีย เกลียดสหรัฐมาก อายุ 38 เขาหนีไปอยู่ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นทหารช่วยรบกับกองทัพสหรัฐที่รุกรานอัฟกาฯ

แล้วกลับมาลิเบีย เป็นหัวหน้าใหญ่กองทัพใต้ดินขับไล่ กัดดาฟี...the emir of the Libyan Islamic Fighting Group  รบๆ ไปสู้ไม่ไหว จึงหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง ร่อนเร่ไปอัฟกาฯ, บังกลาเทศ กระทั่งมีนาคม 2004 ถูกซีไอเอจับได้ขณะลงเครื่องที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย พร้อมนาง Fatima Boucher  เมียที่กำลังท้อง 4 เดือน  ซีไอเอเอาตัวผัวเมียขึ้นเครื่องเจ็ตเล็ก มาขังไว้ที่คุกลับในสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ

ห่างมา 7 ปี 2011 ขณะนี้อายุ 45 นายเบลฮาดจ์ จึงได้เล่าสู่ชาวโลกฟังว่า คุกลับในไทยมันมีจริงๆ

หลังจากประชาชนลิเบียเลิกกลัว ลุกฮือขับไล่ กัดดาฟี นาโตฉวยโอกาสเข้าแจม ส่งเครื่องบินมาช่วยทิ้งระเบิด โดยนักรบประชาชนลิเบียรุกภาคพื้นดิน รบ 8 เดือน ต้น ก.ย.2011 กัดดาฟีหนีออกจากตริโปลี

ระหว่างที่สงครามยังติดพันอยู่ ได้มีเอ็นจีโอชาวมะกันคนหนึ่งได้ค้นตู้เก็บเอกสารของ "นายมูสสา คูสา" อดีต รมว.ต่างประเทศรัฐบาลกัดดาฟี ที่หนีไปภักดีอังกฤษก่อน กัดดาฟีแพ้ และคนนี้เป็นอดีต ผอ.หน่วยข่าวกรองของ กัดดาฟี ทำให้มีเอกสารลับเก็บไว้ในตู้มหาศาล

หนึ่งในนั้นเป็นเอกสารที่ หน่วยข่าวกรองอังกฤษ เอ็มไอ 6 แจ้งข่าวมาให้นายคูสาทราบว่า ซีไอเอจับนายเบลฮาดจ์ได้ และเอ็มไอ 6 ที่ทำงานลับร่วมกับกัดดาฟี มาตั้งแต่ยุค "นายกฯ โทนี่ แบลร์" กำลังนำตัวเบลฮาดจ์พร้อมเมีย ขึ้นเครื่องเจ็ตออกจากบางกอก มาส่งให้ที่ตริโปลี

กัดดาฟีขังเบลฮาดจ์ไว้ในเรือนจำ Abu Salim  ในปีแรกทรมานสาหัสมาก ถูกผูกข้อแขน 2 ข้างห้อยกำแพงยืนตลอด และไม่ให้อาบน้ำ 1 ปีเต็ม เพื่อให้บอกข้อมูลเกี่ยวกับ "บิน ลาดิน"  ขัง 7 ปี ต้นปี 2011 ประชาชนลิเบียชุมนุมขับไล่กัดดาฟีกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ "นายซาอิฟ อัล อิสลาม" ลูกชายคนโตของกัดดาฟี ได้ใช้ยุทธวิธีดีกับฝ่ายต่อต้าน เรียกว่ายุทธการ "de-radicalisation" แปลว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อัล อิสลาม ได้สั่งปล่อยนักรบมุสลิมหัวรุนแรง 170 คนออกจากเรือนจำ โดยบอกนักข่าวว่า คนพวกนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมอีกแล้ว (were no longer a danger to society.)  ทันทีที่พ้นเรือนจำ นายเบลฮาดจ์ได้รับตำแหน่งเป็น ผบ.กองกำลังต่อต้านกัดดาฟี... a commander of the anti-Gaddafi forces  ร่วมกับกองทัพนาโตเข้าตีที่ตั้งกัดดาฟีตามเมืองต่างๆ จนฆ่ากัดดาฟีได้

ขณะนี้ เบลฮาดจ์ได้เป็น ผบ.ทหารของรัฐบาลปฏิวัติลิเบีย และจะได้รับการสนับสนุนให้ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในทันทีที่การเลือกตั้งครั้งแรกมีขึ้น

จากการค้นพบเอกสารส่งข่าวลับของเอ็มไอ 6 ถึงนายมูสสา ทำให้ "เดวิด คาเมรอน" นายกฯ อังกฤษสั่งสอบสวนทันที ถ้าพบว่าเอ็มไอ 6 มีส่วนร่วมทรมานนักโทษ ก็ผิดกฎหมาย ต้องลงโทษ

คาเมรอน รู้ดีเหตุนี้เกิดในสมัยนายกฯ แบลร์ พรรคแรงงาน จึงฉวยโอกาสตื้บซะเลย

"เดอะ การ์เดียน" หนังสือพิมพ์อังกฤษ ได้สัมภาษณ์นายเบลฮาดจ์ลงตีพิมพ์ยาวเหยียด เมื่อ 4 ก.ย.2011  แล้วชาวโลกก็ได้รู้ว่าคุกลับซีไอเอในไทย มันอยู่ที่สนามบินดอนเมือง

เบลฮาดจ์เล่าให้ เดอะ การเดี้ยน ฟังว่า ตัวเขาถูก ซีไอเอทรมานสาหัส ฉีดยากล่อมประสาท, ให้นอนบนก้อนน้ำแข็ง, ลงแช่ในถังน้ำแข็ง และใช้วิธีทรมานที่มะกันชื่นชอบที่สุด ใช้ครั้งแรกในการสอบสวนเชลยศึกทหารญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย นั่นก็คือวิธีที่เรียกว่า Water Barding

จับเหยื่อนอนหงายลงบนพื้น มัดแขนมัดขาอย่างแน่น เอาผ้าบางๆ คลุมหน้า แล้วเอาน้ำราดบนผ้าช้าๆ

น้ำที่ราดลงบนผ้าบางจะไหลเข้าจมูกและปาก ร้องก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ได้ ต้องกลั้นหายใจและปิดปากตามจังหวะน้ำที่ราดลงมา แล้วเมื่อเกร็ง, ดิ้นรนมากๆ กระดูกแขนขาหักได้

คุกลับ...จะมาเล่นงานผู้มีอำนาจในไทย คนที่ขายอธิปไตยไทยให้ซีไอเอรึไม่....เวลานี้น่าลุ้นมากขึ้น

20 ธ.ค.2011 "Mailonline" สื่ออังกฤษรายงานข่าวว่า นายเบลฮาดจ์ได้เซ็นมอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้องรัฐบาลอังกฤษแล้ว ให้ชดใช้ ซึ่งทนายคาดว่าชนะแน่ และจะได้เงินชดเชยไม่น้อยกว่า 1 ล้านปอนด์

ถ้าทนายของเบลฮาดจ์พาผู้พิพากษาอังกฤษมาเผชิญสืบ มาดูคุกลับในไทยให้เห็นของจริงแก่ตาละก็...!

ท่านนายกฯ ปู ถามพี่ทักษิณหน่อยสิ   ใครอนุญาตซีไอเอเปิดคุกลับในไทย  ปี 2004 (พ.ศ.2547) พี่ทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรีไทยอยู่.อาจจะรู้

//////

สหรัฐยอมรับแล้วว่าเคยมีคุกลับในเมืองไทย

ในที่สุดก็ออกมายอมรับ (เสียที) แล้วครับ ยังจำได้ไหมที่หนังสือพิมพ์สหรัฐออกมาเปิดเผยว่า CIA มีคุกลับอยู่ในหลายชาติรวมถึงเมืองไทยครับ ทางการไทยก็ปฏิเสธ ส่วนฑูตสหรัฐก็ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ตอนนี้การสอบสวนก็สรุปออกมาแล้วว่ามีจริง ๆ ครับผม 

WAR ON TERROR 
US admits to torture at secret jail inside Thailand

By: BANGKOK POST and AGENCIES 
Published: 4/03/2009 at 12:00 AM 
Newspaper section: News

The United States government has admitted for the first time that it had a secret jail in Thailand where suspected al-Qaeda operatives were flown in to be interrrogated, including being subjected to "waterboarding".

Federal prosecutors revealed the details in documents submitted to a court in New York as part of a Freedom of Information Act lawsuit brought by the American Civil Liberties Union. Prosecutors also revealed that 92 videotapes made and stored in Thailand of the questionable interrogation techniques had been personally ordered to be destroyed by the then head of the CIA, Jose A Rodriguez Jr.

The tapes concerning two detainees, Abu Zubaydah and Abd al-Rahim al-Nashiri, were destroyed as the US Congress and the courts were intensifying their scrutiny of the agency's detention and interrogation programme. The civil liberties union is asking a judge to hold the agency in contempt for destroying the tapes.

In a speech on Monday in Washington, Attorney-General Eric Holder said "waterboarding is torture" and he would never authorise the technique.

In November 2005, the Washington Post and ABC News ran stories accusing the CIA of using "rendition" flights to transfer alleged al-Qaeda operatives to Thailand. Mr Zubaydah was arrested in Pakistan while Mr al-Nashiri was arrested in the United Arab Emirates.

The reports claimed the CIA had a secret jail in Thailand where it subjected those prisoners to interrogation techniques deemed illegal under the Geneva Conventions.

But Thai authorities were quick to deny the reports.

Supreme Commander Gen Ruengroj Mahasaranont said the ABC News report was "just fiction" and "exaggerated".

A statement was issued by the Foreign Ministry saying: "Our investigations with relevant government agencies reveal that there have been no such secret prisons in Thailand."

The air force's Civil Affairs Directorate said foreign agencies had never been allowed to use air force bases for "any secret operations". Only some official military activities like joint military exercises were allowed, the directorate's statement said.

The air force questioned the credibility of ABC's sources and said members of the Thai media were welcome to visit its airbases to investigate the allegation further.

The Bangkok Post accepted this offer and a reporter was given a tour of the Udon Thani airbase, then touted as the most likely site of a CIA torture facility. The US used airbases at Udon Thani, Nakhon Phanon, Nakhon Ratchasima, U-tapao and a smaller one at Takhli in Nakhon Sawan during the Vietnam war.

"There is no fact in the unfounded claims," government spokesman Surapong Suebwonglee said at the time.

Mr Surapong said Bangkok was probably mentioned because it helped catch Hambali, an Indonesian accused of being Osma bin Laden's key link to Southeast Asia, in 2003.

Thailand's security cooperation with the US would have to be done "in an open and legitimate manner", he said.

In the 2005 report, ABC News said Mr Zubaydah was first held in Thailand in an unused warehouse on an active airbase. It also said that after he recovered from life-threatening wounds, incurred during his arrest, he was made to stand long hours in a cold cell and strapped feet-up to a "water board" until he begged for mercy and began to cooperate.

In "waterboarding", a detainee is strapped to a board, dunked under water and made to believe he might be drowned.


Mr Zubaydah has never been charged and remains at the US-run Guantanamo Bay prison facility in Cuba.

Mr al-Nashiri became the first person to be charged over the bombing of the USS Cole while it was in port in Yemen. He was captured in 2002 and held in secret locations before being transferred to Guantanamo Bay in 2006.

Last month the new Barak Obama government dropped those charges but said he remains a "high value" detainee at Guantanamo.

http://www.bangkokpost.com/news/local/1 ... e-thailand
/////

หน.กบฏลิเบียเผยถูกCIAจับขังคุกในไทย



อับเดล ฮาคิม เบลฮัจ หัวหน้ากลุ่มกบฏลิเบีย เปิดเผยว่า ในสมัยที่ตนเป็นผู้นำกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เมื่อปี 2547 ได้ถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐณฯ (ซีไอเอ) จับกุมตัว และนำไปกักขังที่เรือนจำในประเทศไทย อีกทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ทรมานอย่างหนัก เพื่อพยายามเค้นคำสารภาพ ภายหลังจากที่ถูกกักขังที่ไทยสักพักหนึ่ง ก็ถูกย้ายมากักขังต่อที่ลิเบีย

ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว มีขึ้นภายหลังหนังสือพิมพ์อังกฤษ ดิ อินดิเพนเดนท์ รายงานอ้างแฟ้มเอกสารลับที่พบในกรุงตริโปลี ซึ่งระบุว่า หน่วยข่าวกรองของอังกฤษและสหรัฐฯ ได้เคยร่วมมือกับระบอบกัดดาฟี อย่างใกล้ชิดระหว่างเริ่มทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว

โดย อับเดล ฮาคิม เบลฮัจ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ(เอพี)ว่า เคยถูกควบคุมตัว ปี 2004 ที่ มาเลเซีย จากนั้นถูกส่งตัวไปยังคุกลับของประเทศไทย ที่เขาถูกทรมาน โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือซีไอเอ ก่อนจะถูกส่งตัวต่อไปยังลิเบีย และติดคุกนาน 7 ปี ภายใต้รัฐบาลของกัดดาฟี