PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ปฏิกริยาคุกลับในไทย

 คุกลับCIAไทยปฏิกริยา

ไทยโพสต์
Thursday, 11 December, 2014 - 00:00

ผงะ!ไทยคุกลับCIA วุฒิสภาสหรัฐเปิดผลสอบ สุดโหดทารุณกรรมมนุษย์

   ไทยแลนด์ติดร่างแหการละเมิดสิทธิมนุษยชนของสหรัฐอเมริกามหามิตร รายงาน กมธ.วุฒิสภาสหรัฐเปิดโปงซีไอเอใช้วิธีทารุณทรมานรีดเค้นข้อมูลจากผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายหลังอัลกออิดะห์ก่อวินาศกรรม 9/11 บางส่วนกระทำในคุกลับซึ่งรวมถึงที่ตั้งอยู่ในไทยด้วย สถานทูตสหรัฐเตือนทันควัน คนอเมริกันในไทย, อัฟกานิสถานและปากีสถานระวังเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรุนแรง 
    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมาธิการการข่าวกรองของวุฒิสภาสหรัฐได้เผยแพร่รายงานผลการสอบสวนการทารุณทรมานผู้ต้องสงสัยของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) แล้วเมื่อค่ำวันอังคารที่ 9 ธันวาคมตามเวลาประเทศไทย ก่อนการเผยแพร่รายงานฉบับคัดย่อของรายงานลับนี้ รัฐบาลสหรัฐได้เตรียมมาตรการป้องกันไว้ล่วงหน้าด้วยการสั่งเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยตามสถานทูตและสถานที่ตั้งของสหรัฐทั่วโลก 
    รายงานฉบับนี้ใช้เวลาไต่สวนนาน 5 ปีโดยเป็นการทบทวนเอกสารของซีไอเอจำนวนถึง 6.3 ล้านหน้า จนได้ผลการสอบสวนฉบับเต็มที่มีความหนา 6,700 หน้า อย่างไรก็ดี รายงานที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารซึ่งผ่านการตรวจทานแล้วเป็นบทคัดย่อและบทสรุปที่มีความหนาราว 500 หน้าที่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้เท่านั้น เนื้อหาสำคัญกล่าวโทษซีไอเอว่าใช้วิธีการโหดร้ายทารุณในการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายและอัลกออิดะห์ที่จับกุมได้หลังเหตุการณ์วินาศกรรมสหรัฐ 11 กันยายน 2544 อีกทั้งซีไอเอยังชักนำให้ฝ่ายการเมืองและสาธารณชนเข้าใจผิดๆ ว่าวิธีที่ใช้กับนักโทษใน "ที่มืด" หรือคุกลับตามที่ต่างๆ ของสหรัฐนั้น "ประสบผลสำเร็จ" 
    วิธีการสอบปากคำด้วยการทารุณทรมานที่ใช้ มีอาทิ การบังคับให้อดนอนนานถึง 180 ชั่วโมง, ให้นักโทษยืนหรืออยู่ในท่าที่สร้างความเจ็บปวดเป็นเวลานานๆ, จับขังในหีบเล็กขนาดเท่าโลงศพนายหลายชั่วโมง ซึ่งเป็นวิธีที่สหรัฐใช้จัดการกับอะบู ซูเบย์ดาห์ ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับได้ในไทย, การทำให้สำลักน้ำหรือวอเตอร์บอร์ดดิง, การตบตี และการขู่ว่าฆ่า, ทำร้าย หรือละเมิดทางเพศต่อสมาชิกครอบครัวของนักโทษ 
    ส.ว.ไดแอนน์ ไฟน์สไตน์ ประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้จากพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดทำรายงานฉบับย่อเพื่อเผยแพร่ กล่าวว่า ผลการสอบสวนนี้ถือเป็นรอยด่างในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา 
    ด้านจอห์น เบรนแนน ผู้อำนวยการซีไอเอ กล่าวว่า ซีไอเอเคยทำสิ่งผิดพลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้ แต่เขายังคงยืนกรานว่าเทคนิคขู่เข็ญนักโทษทำให้สหรัฐได้ข้อมูลข่าวกรองที่ช่วยให้ป้องกันแผนการโจมตี, จับกุมผู้ก่อการร้าย และรักษาชีวิตคนไว้ได้
    จอร์จ เทเน็ต ผู้อำนวยการซีไอเอในสมัยของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ที่มีการใช้วิธีการนี้ ก่อนที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จะสั่งยุติในปี 2551 ได้กล่าวปกป้องโครงการส่งตัวผู้ร้าย, กักขังและรีดเค้นข้อมูลของสหรัฐว่า นำไปสู่การจับกุมแกนนำอัลกออิดะห์ได้หลายรายที่ช่วยป้องกันการโจมตีนองเลือดและรักษาชีวิตคนอเมริกันนับพันนับหมื่น
    รายงานกล่าวว่า ประธานาธิบดีบุชลงนามอนุมัติโครงการนี้เมื่อปี 2555 แต่ซีไอเอไม่ได้รายงานรายละเอียดของโครงการนี้ต่อบุชจนกระทั่งผ่านมาถึงปี 2549 ขณะนั้นบุชมีความไม่สบายใจเมื่อได้เห็นภาพนักโทษรายหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้กับเพดานและขับถ่ายใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
    รายงานกล่าวด้วยว่า ซีไอเอได้รับอนุญาตให้ใช้วิธีการทารุณ เช่น ทำให้สำลักน้ำ, อดนอน, ขังไว้ในที่แคบ และวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมได้ภายหลังการจับกุมอะบู ซูเบย์ดาห์ สมาชิกอัลกออิดะห์ ได้ที่ปากีสถานเมื่อปี 2555 ซูเบย์ดาห์ถูกส่งตัวข้ามแดนมาคุมขังในสถานที่ปิดลับในเมืองไทยในเวลาต่อมา ซีไอเอเชื่อว่าเขามีข้อมูลเกี่ยวกับแผนการก่อการร้าย ซูเบย์ดาห์โดนทรมานจนภายหลังมีปัญหาทางจิต
    ในฐานะที่ไทยตกเป็นหนึ่งในประเทศที่รายงานกล่าวถึงว่า เป็นที่ตั้งของคุกลับของสหรัฐที่ใช้ในการทารุณทรมานเพื่อรีดเค้นปากคำนักโทษ จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐเกรงว่าผลประโยชน์และพลเมืองของตนในไทย รวมถึงในอัฟกานิสถานและปากีสถาน จะตกเป็นเป้าหมายการโจมตีด้วย 
    สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันพุธว่า สถานทูตสหรัฐในอัฟกานิสถาน, ปากีสถาน และไทย ได้ออกคำเตือนพลเมืองชาวอเมริกันถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการประท้วงต่อต้านอเมริกาและเกิดความรุนแรงต่อผลประโยชน์ของสหรัฐ รวมถึงพลเมืองชาวสหรัฐ สืบเนื่องจากการเปิดเผยรายงานของวุฒิสภาครั้งนี้ คำเตือนขอให้ชาวอเมริกันใน 3 ประเทศนี้ระแวดระวังต่อสิ่งรอบข้างและเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัยตามความเหมาะสม รวมถึงการหลีกเลี่ยงสถานที่ชุมนุมหรือสถานการณ์ที่มีการเผชิญหน้ากัน
    นอกจากนี้ รายงานกล่าวสถานกงสุลสหรัฐในจังหวัดเชียงใหม่ ก็ออกคำเตือนแบบเดียวกันด้วย 
    รายงานฉบับนี้ทำให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาประณามสหรัฐ ยูเอ็นกล่าวว่า โครงการนี้ของสหรัฐละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ขณะที่กลุ่มต่อสู้เพื่อสิทธิผู้ถูกคุมขัง "CAGE" จากอังกฤษ ระบุว่ารายงานนี้เป็นหลักฐานชัดเจนที่สามารถใช้ดำเนินคดีทางอาญา ส่วนองค์กรฮิวแมนไรต์วอตช์ชี้ว่า การดำเนินการของซีไอเอเป็นการทำผิดกฎหมายและไม่มีวันที่จะชอบด้วยเหตุผล 
กระทั่งรัฐบาลเกาหลีเหนือ ซึ่งโดนยูเอ็นตำหนิเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในประเทศ ยังเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นตำหนิสหรัฐที่ใช้วิธีการ  "ทารุณทรมานอย่างป่าเถื่อน".

///

สุวพันธุ์ ยืนยัน ไทยไม่มีคุกลับ-ทรมานนักโทษ

ทำเนียบฯ  11 ธ.ค. – รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยัน ไม่เคยมีคุกลับ หรือ การทรมานนักโทษในประเทศไทย เชื่อ เป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ  ยอมรับข่าวที่ออกมาต้องเพิ่มมาตราการรักษาความปลอดภัย

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กรณีรายงานของคณะกรรมาธิการวุฒิสภา สหรัฐฯ เปิดโปงสำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ใช้วิธีทารุณทรมานรีดเค้นข้อมูลจากผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย หลังอัลกออิดะห์ก่อวินาศกรรม 9/11 บางส่วนกระทำในคุกลับ ซึ่งรวมถึงที่ตั้งอยู่ในไทยด้วย ว่า ไทยไม่เคยมีคุกลับ หรือการทรมาณนักโทษในประเทศ และไม่มีความร่วมมือกับ CIA เกี่ยวกับคุกลับตามที่มีการกล่าวอ้าง

“เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ และในรายงานดังกล่าว ไม่มีข้อความใดระบุถึงไทย เป็นการตีความไปเอง” นายสุวพันธุ์ กล่าว พร้อมย้ำว่า ไทยไม่ได้เป็นคู่กรณีกับประเทศใด และรัฐบาลชุดปัจจุบันยึดหลักอธิปไตย และไม่ปฏิบัติขัดต่อกฎหมาย

ต่อกรณีที่มีข่าวว่า สถานทูตสหรัฐฯ เตือนคนอเมริกันในประเทศที่ถูกอ้างถึง ให้ระวังเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรุนแรง ไทยมีความเข้มงวดกับผลกระทบที่จะตามมาหรือไม่ นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า  หน่วยงานด้านความมั่นคงและการข่าว ติดตามงานด้านความมั่นคงในทุกมิติโดยไม่ประมาท รวมถึง เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย  ทั้งในประเทศ รวมถึง สถานทูตสหรัฐฯ ที่มีการพาดพิงถึง

“ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานภัยคุกคามในลักษณะดังกล่าว” นายสุวพันธุ์ กล่าว  ส่วนไทยจะประท้วงรายงานชิ้นนี้หรือไม่ คาดว่ากระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้พิจรณา  .- สำนักข่าวไทย

///
คุกลับ

กลายเป็นกระแสข่าวขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับคุกลับ หรือ แบล็กไซต์ (Black Sites) ของ CIA (สำนักงานข่าวกรองของสหรัฐ) ในประเทศไทย ซึ่งข่าวเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ได้เคยตีพิมพ์ข่าว ในปี 2548 ว่า CIA ได้กักขังผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ไว้ใน คุกลับ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในต่างประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน หลายประเทศในยุโรปตะวันออก รวมถึงประเทศไทยด้วย

คุกลับ เหล่านี้ ใช้กักขังเพื่อสอบสวน เหล่าผู้ก่อการร้ายเครือข่ายอัลเคดา ที่ถูก CIA อุ้ม และจับตัวได้ในหลายประเทศทั่วโลก เพราะกฎหมายสหรัฐ ห้ามไม่ให้จับกุม คุมขังผู้ต้องสงสัย โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม และจำเลยมีสิทธิตั้งทนายเพื่อสู้คดี  แต่ผู้นำสหรัฐในขณะนั้น คือ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้ลงนามคำสั่งให้อำนาจ CIA ใช้ทุกวิธีการเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหว และแผนการก่อวินาศกรรม รวมถึงมีอำนาจอย่างเต็มที่ในการสอบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ 9/11

โดย คุกลับ ซึ่งเป็น 1 ในแผนปฏิบัติการของ CIA แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ คุกลับระดับที่ 1 หรือ First Tier มีไว้สำหรับคุมขังแกนนำระดับสูงของอัลเคดา ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ CIA โดยเฉพาะ และคุกลับระดับที่ 2 หรือ Second Tier ที่จะใช้คุมขังเฉพาะผู้ก่อการร้ายระดับรองลงมา

สำหรับ คุกลับ ในประเทศไทย วอชิงตัน โพสต์ ระบุว่า ถือเป็นคุกลับระดับที่ 1 ระดับเดียวกับคุกลับที่อ่าวกัวตานาโม ของคิวบา และเคยใช้ควบคุมแกนนำระดับสูงของอัลเคดา ถึง 2 คน คือ นายรัมซี บินอัลชิบห์ 1 ในผู้ร่วมวางแผนก่อวินาศกรรมในเหตุการณ์ 9/11 และนายอาบิน ซูบัยดะห์ หัวหน้าฝ่ายวางแผนโจมตีของอัลเคดา 

โดย คุกลับ ในประเทศไทย เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA ได้เดินทางเข้ามาเจรจากับทางการไทย ประมาณกลางปี 2545 โดยใช้งบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาทในการก่อสร้าง ซึ่งงบก้อนนี้ดึงมาจากงบประมาณสำหรับการต่อสู้กับกลุ่มตอลิบาน ในอัฟกานิสถาน 

แต่หลังจากที่ Human Rigth Watch องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาเผยแพร่รายงานถึงคุกลับว่ามีจัดตั้งในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย ทำให้รัฐบาลไทยได้ทำหนังสือยืนกรานให้สหรัฐ ปิดคุกลับที่ดำเนินการอยู่ ในเดือนมิถุนายน 2546 โดยแกนนำผู้ก่อการร้ายทั้ง 2 คน ได้ถูกส่งตัวไปยังคุกลับในประเทศแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งยังดำเนินกิจกรรมดังกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน

สถานีโทรทัศน์ ABC NEWS ได้รายงานการมีอยู่ของคุกลับในประเทศไทยอีกครั้ง ในเดือนธันวาคม 2548 จนทำให้พลอากาศเอก คงศักดิ์ วันทนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ออกมาตอบโต้ว่า ไม่เคยมีการก่อสร้างคุกลับ บริเวณคลังสินค้าเก่าของฐานทัพอากาศ และไม่เคยได้รับการติดต่อจาก CIA 

มีกระแสข่าวว่า คุกลับ ตั้งอยู่ในฐานทัพอากาศสหรัฐ  บางกระแสข่าวก็ว่า ตั้งอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภา บางก็ว่า อยู่ที่อุดรธานี จะจริงหรือไม่จริง กระแสข่าวเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ลึกลับจริงๆ ราวกับกระแสข่าว เรื่องการตั้ง  “AREA 51 ขึ้นเพื่อทำการวิจัย และทดลองด้านวิทยาศาสตร์อวกาศ รวมถึงการกักขัง ผู้มาเยือนจากต่างดาว มีการทำให้เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่อง เป็นจริงเป็นจัง เช่นเดียวกับคุกลับในประเทศไทย ที่ยังไม่สามารถถอดรหัสได้ว่า มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงแค่การกุข่าวเพื่อดิสเครดิตรัฐบาลไทย

/////

นักโทษคุกลับ CIA ในไทยยื่นฟ้องอังกฤษแล้ว

ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2554 00:00:07 น.
นายสบาย

คุกลับของซีไอเอในไทย ขัง, ทรมาน, รีดความลับจากนักโทษมุสลิม ที่จับมาได้จากทั่วโลกมันมีจริงรึ

4 ธ.ค.2009 "วอชิงตัน โพสต์" ลงข่าวแฉ ซีไอเอ มีคุกลับอยู่ใน 28 ประเทศ ในทุกทวีปรวมทั้งประเทศไทย ซึ่งขณะนั้น "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อนักข่าวถามปฏิเสธว่า...ไม่มี

"บิน ลาดิน" สั่งนักรบมุสลิมจี้เครื่องบินพาณิชย์เหนือฟ้าสหรัฐ บินเข้าชน ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่นิวยอร์ก พังทั้ง 2 ตึก และพุ่งชน ตึกเพนตากอน กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ที่วอชิงตัน ดี.ซี. พังไปด้วยซีกหนึ่ง เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2001

แล้ว "จอร์จ ดับเบิลยู บุช" ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้สั่งซีไอเอเปิด "ปฏิบัติการเกินธรรม"extraordinary rendition program. อีกชื่อเรียกว่า Black site Project  ล่า "บิน ลาดิน" มีการตะครุบตัวมุสลิมหัวรุนแรงในทุกประเทศทั่วโลกมารีด แต่นำตัวกลับเข้ามาในแผ่นดินสหรัฐไม่ได้ กฎหมายไม่อนุญาตให้จับคนที่ไม่มีหลักฐานว่าทำผิด ซีไอเอจึงขอให้ชาติที่เป็นสมุน ขอใช้สถานที่ซักแห่งหนึ่งเป็นคุกลับ ซึ่งผู้นำรัฐบาลใน 28 ประเทศ...โอเค.

คุกลับใครพูดก็ไม่เชื่อ เพิ่งจะมีคนแรกที่พูดแล้วคนทั้งโลกเชื่อก็คือ นาย

Abdul hakim Belhadj  นักรบมุสลิมลิเบีย ที่เคยถูกซีไอเอจับมาขังทรมานที่คุกลับในสนามบินดอนเมือง, ไทย

เขาคือนักโทษที่ยังไม่ตาย  นายเบลฮาดจ์ เป็นคนกรุงตริโปลี, ลิเบีย เกลียดสหรัฐมาก อายุ 38 เขาหนีไปอยู่ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นทหารช่วยรบกับกองทัพสหรัฐที่รุกรานอัฟกาฯ

แล้วกลับมาลิเบีย เป็นหัวหน้าใหญ่กองทัพใต้ดินขับไล่ กัดดาฟี...the emir of the Libyan Islamic Fighting Group  รบๆ ไปสู้ไม่ไหว จึงหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง ร่อนเร่ไปอัฟกาฯ, บังกลาเทศ กระทั่งมีนาคม 2004 ถูกซีไอเอจับได้ขณะลงเครื่องที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์, มาเลเซีย พร้อมนาง Fatima Boucher  เมียที่กำลังท้อง 4 เดือน  ซีไอเอเอาตัวผัวเมียขึ้นเครื่องเจ็ตเล็ก มาขังไว้ที่คุกลับในสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ

ห่างมา 7 ปี 2011 ขณะนี้อายุ 45 นายเบลฮาดจ์ จึงได้เล่าสู่ชาวโลกฟังว่า คุกลับในไทยมันมีจริงๆ

หลังจากประชาชนลิเบียเลิกกลัว ลุกฮือขับไล่ กัดดาฟี นาโตฉวยโอกาสเข้าแจม ส่งเครื่องบินมาช่วยทิ้งระเบิด โดยนักรบประชาชนลิเบียรุกภาคพื้นดิน รบ 8 เดือน ต้น ก.ย.2011 กัดดาฟีหนีออกจากตริโปลี

ระหว่างที่สงครามยังติดพันอยู่ ได้มีเอ็นจีโอชาวมะกันคนหนึ่งได้ค้นตู้เก็บเอกสารของ "นายมูสสา คูสา" อดีต รมว.ต่างประเทศรัฐบาลกัดดาฟี ที่หนีไปภักดีอังกฤษก่อน กัดดาฟีแพ้ และคนนี้เป็นอดีต ผอ.หน่วยข่าวกรองของ กัดดาฟี ทำให้มีเอกสารลับเก็บไว้ในตู้มหาศาล

หนึ่งในนั้นเป็นเอกสารที่ หน่วยข่าวกรองอังกฤษ เอ็มไอ 6 แจ้งข่าวมาให้นายคูสาทราบว่า ซีไอเอจับนายเบลฮาดจ์ได้ และเอ็มไอ 6 ที่ทำงานลับร่วมกับกัดดาฟี มาตั้งแต่ยุค "นายกฯ โทนี่ แบลร์" กำลังนำตัวเบลฮาดจ์พร้อมเมีย ขึ้นเครื่องเจ็ตออกจากบางกอก มาส่งให้ที่ตริโปลี

กัดดาฟีขังเบลฮาดจ์ไว้ในเรือนจำ Abu Salim  ในปีแรกทรมานสาหัสมาก ถูกผูกข้อแขน 2 ข้างห้อยกำแพงยืนตลอด และไม่ให้อาบน้ำ 1 ปีเต็ม เพื่อให้บอกข้อมูลเกี่ยวกับ "บิน ลาดิน"  ขัง 7 ปี ต้นปี 2011 ประชาชนลิเบียชุมนุมขับไล่กัดดาฟีกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ "นายซาอิฟ อัล อิสลาม" ลูกชายคนโตของกัดดาฟี ได้ใช้ยุทธวิธีดีกับฝ่ายต่อต้าน เรียกว่ายุทธการ "de-radicalisation" แปลว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อัล อิสลาม ได้สั่งปล่อยนักรบมุสลิมหัวรุนแรง 170 คนออกจากเรือนจำ โดยบอกนักข่าวว่า คนพวกนี้ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมอีกแล้ว (were no longer a danger to society.)  ทันทีที่พ้นเรือนจำ นายเบลฮาดจ์ได้รับตำแหน่งเป็น ผบ.กองกำลังต่อต้านกัดดาฟี... a commander of the anti-Gaddafi forces  ร่วมกับกองทัพนาโตเข้าตีที่ตั้งกัดดาฟีตามเมืองต่างๆ จนฆ่ากัดดาฟีได้

ขณะนี้ เบลฮาดจ์ได้เป็น ผบ.ทหารของรัฐบาลปฏิวัติลิเบีย และจะได้รับการสนับสนุนให้ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีในทันทีที่การเลือกตั้งครั้งแรกมีขึ้น

จากการค้นพบเอกสารส่งข่าวลับของเอ็มไอ 6 ถึงนายมูสสา ทำให้ "เดวิด คาเมรอน" นายกฯ อังกฤษสั่งสอบสวนทันที ถ้าพบว่าเอ็มไอ 6 มีส่วนร่วมทรมานนักโทษ ก็ผิดกฎหมาย ต้องลงโทษ

คาเมรอน รู้ดีเหตุนี้เกิดในสมัยนายกฯ แบลร์ พรรคแรงงาน จึงฉวยโอกาสตื้บซะเลย

"เดอะ การ์เดียน" หนังสือพิมพ์อังกฤษ ได้สัมภาษณ์นายเบลฮาดจ์ลงตีพิมพ์ยาวเหยียด เมื่อ 4 ก.ย.2011  แล้วชาวโลกก็ได้รู้ว่าคุกลับซีไอเอในไทย มันอยู่ที่สนามบินดอนเมือง

เบลฮาดจ์เล่าให้ เดอะ การเดี้ยน ฟังว่า ตัวเขาถูก ซีไอเอทรมานสาหัส ฉีดยากล่อมประสาท, ให้นอนบนก้อนน้ำแข็ง, ลงแช่ในถังน้ำแข็ง และใช้วิธีทรมานที่มะกันชื่นชอบที่สุด ใช้ครั้งแรกในการสอบสวนเชลยศึกทหารญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย นั่นก็คือวิธีที่เรียกว่า Water Barding

จับเหยื่อนอนหงายลงบนพื้น มัดแขนมัดขาอย่างแน่น เอาผ้าบางๆ คลุมหน้า แล้วเอาน้ำราดบนผ้าช้าๆ

น้ำที่ราดลงบนผ้าบางจะไหลเข้าจมูกและปาก ร้องก็ไม่ได้ หายใจก็ไม่ได้ ต้องกลั้นหายใจและปิดปากตามจังหวะน้ำที่ราดลงมา แล้วเมื่อเกร็ง, ดิ้นรนมากๆ กระดูกแขนขาหักได้

คุกลับ...จะมาเล่นงานผู้มีอำนาจในไทย คนที่ขายอธิปไตยไทยให้ซีไอเอรึไม่....เวลานี้น่าลุ้นมากขึ้น

20 ธ.ค.2011 "Mailonline" สื่ออังกฤษรายงานข่าวว่า นายเบลฮาดจ์ได้เซ็นมอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้องรัฐบาลอังกฤษแล้ว ให้ชดใช้ ซึ่งทนายคาดว่าชนะแน่ และจะได้เงินชดเชยไม่น้อยกว่า 1 ล้านปอนด์

ถ้าทนายของเบลฮาดจ์พาผู้พิพากษาอังกฤษมาเผชิญสืบ มาดูคุกลับในไทยให้เห็นของจริงแก่ตาละก็...!

ท่านนายกฯ ปู ถามพี่ทักษิณหน่อยสิ   ใครอนุญาตซีไอเอเปิดคุกลับในไทย  ปี 2004 (พ.ศ.2547) พี่ทักษิณยังเป็นนายกรัฐมนตรีไทยอยู่.อาจจะรู้

//////

สหรัฐยอมรับแล้วว่าเคยมีคุกลับในเมืองไทย

ในที่สุดก็ออกมายอมรับ (เสียที) แล้วครับ ยังจำได้ไหมที่หนังสือพิมพ์สหรัฐออกมาเปิดเผยว่า CIA มีคุกลับอยู่ในหลายชาติรวมถึงเมืองไทยครับ ทางการไทยก็ปฏิเสธ ส่วนฑูตสหรัฐก็ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ ตอนนี้การสอบสวนก็สรุปออกมาแล้วว่ามีจริง ๆ ครับผม 

WAR ON TERROR 
US admits to torture at secret jail inside Thailand

By: BANGKOK POST and AGENCIES 
Published: 4/03/2009 at 12:00 AM 
Newspaper section: News

The United States government has admitted for the first time that it had a secret jail in Thailand where suspected al-Qaeda operatives were flown in to be interrrogated, including being subjected to "waterboarding".

Federal prosecutors revealed the details in documents submitted to a court in New York as part of a Freedom of Information Act lawsuit brought by the American Civil Liberties Union. Prosecutors also revealed that 92 videotapes made and stored in Thailand of the questionable interrogation techniques had been personally ordered to be destroyed by the then head of the CIA, Jose A Rodriguez Jr.

The tapes concerning two detainees, Abu Zubaydah and Abd al-Rahim al-Nashiri, were destroyed as the US Congress and the courts were intensifying their scrutiny of the agency's detention and interrogation programme. The civil liberties union is asking a judge to hold the agency in contempt for destroying the tapes.

In a speech on Monday in Washington, Attorney-General Eric Holder said "waterboarding is torture" and he would never authorise the technique.

In November 2005, the Washington Post and ABC News ran stories accusing the CIA of using "rendition" flights to transfer alleged al-Qaeda operatives to Thailand. Mr Zubaydah was arrested in Pakistan while Mr al-Nashiri was arrested in the United Arab Emirates.

The reports claimed the CIA had a secret jail in Thailand where it subjected those prisoners to interrogation techniques deemed illegal under the Geneva Conventions.

But Thai authorities were quick to deny the reports.

Supreme Commander Gen Ruengroj Mahasaranont said the ABC News report was "just fiction" and "exaggerated".

A statement was issued by the Foreign Ministry saying: "Our investigations with relevant government agencies reveal that there have been no such secret prisons in Thailand."

The air force's Civil Affairs Directorate said foreign agencies had never been allowed to use air force bases for "any secret operations". Only some official military activities like joint military exercises were allowed, the directorate's statement said.

The air force questioned the credibility of ABC's sources and said members of the Thai media were welcome to visit its airbases to investigate the allegation further.

The Bangkok Post accepted this offer and a reporter was given a tour of the Udon Thani airbase, then touted as the most likely site of a CIA torture facility. The US used airbases at Udon Thani, Nakhon Phanon, Nakhon Ratchasima, U-tapao and a smaller one at Takhli in Nakhon Sawan during the Vietnam war.

"There is no fact in the unfounded claims," government spokesman Surapong Suebwonglee said at the time.

Mr Surapong said Bangkok was probably mentioned because it helped catch Hambali, an Indonesian accused of being Osma bin Laden's key link to Southeast Asia, in 2003.

Thailand's security cooperation with the US would have to be done "in an open and legitimate manner", he said.

In the 2005 report, ABC News said Mr Zubaydah was first held in Thailand in an unused warehouse on an active airbase. It also said that after he recovered from life-threatening wounds, incurred during his arrest, he was made to stand long hours in a cold cell and strapped feet-up to a "water board" until he begged for mercy and began to cooperate.

In "waterboarding", a detainee is strapped to a board, dunked under water and made to believe he might be drowned.


Mr Zubaydah has never been charged and remains at the US-run Guantanamo Bay prison facility in Cuba.

Mr al-Nashiri became the first person to be charged over the bombing of the USS Cole while it was in port in Yemen. He was captured in 2002 and held in secret locations before being transferred to Guantanamo Bay in 2006.

Last month the new Barak Obama government dropped those charges but said he remains a "high value" detainee at Guantanamo.

http://www.bangkokpost.com/news/local/1 ... e-thailand
/////

หน.กบฏลิเบียเผยถูกCIAจับขังคุกในไทย



อับเดล ฮาคิม เบลฮัจ หัวหน้ากลุ่มกบฏลิเบีย เปิดเผยว่า ในสมัยที่ตนเป็นผู้นำกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เมื่อปี 2547 ได้ถูกเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐณฯ (ซีไอเอ) จับกุมตัว และนำไปกักขังที่เรือนจำในประเทศไทย อีกทั้งยังถูกเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ทรมานอย่างหนัก เพื่อพยายามเค้นคำสารภาพ ภายหลังจากที่ถูกกักขังที่ไทยสักพักหนึ่ง ก็ถูกย้ายมากักขังต่อที่ลิเบีย

ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว มีขึ้นภายหลังหนังสือพิมพ์อังกฤษ ดิ อินดิเพนเดนท์ รายงานอ้างแฟ้มเอกสารลับที่พบในกรุงตริโปลี ซึ่งระบุว่า หน่วยข่าวกรองของอังกฤษและสหรัฐฯ ได้เคยร่วมมือกับระบอบกัดดาฟี อย่างใกล้ชิดระหว่างเริ่มทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายเมื่อ 10 ปี ที่แล้ว

โดย อับเดล ฮาคิม เบลฮัจ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศ(เอพี)ว่า เคยถูกควบคุมตัว ปี 2004 ที่ มาเลเซีย จากนั้นถูกส่งตัวไปยังคุกลับของประเทศไทย ที่เขาถูกทรมาน โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือซีไอเอ ก่อนจะถูกส่งตัวต่อไปยังลิเบีย และติดคุกนาน 7 ปี ภายใต้รัฐบาลของกัดดาฟี


ไม่มีความคิดเห็น: