PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กอ.รมน.ประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงาน ตามแนวทาง "พลเอกประยุทธ์-พลเอกธีรชัย"



กอ.รมน.ประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงาน ตามแนวทาง "พลเอกประยุทธ์-พลเอกธีรชัย"
เน้น สร้างอุดมการณ์ความรักชาติ จงรักภักดี มีจิตสำนึกด้านความมั่นคง มีคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ เร่ง จัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคง ให้ทันสมัยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล/คสช และพร้อมรับมือ ภัยก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ
พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ลธ.รมน.) เป็นประธาน การประชุมมอบแนวทางการปฏิบัติงาน ปี 2559 ตามนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ./ผอ.รมน. และ พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ./รอง ผอ.รมน. เพื่อเร่งรัดภารกิจงานด้านต่างๆ ของ กอ.รมน.
พล.ต.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน. กล่าวว่า ด้านกิจการมวลชนและสารนิเทศ ขอให้ความสำคัญอย่างสูงสุดในการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยบูรณาการด้านมวลชนของ กอ.รมน. ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เสริมสร้างมวลชนทุกกลุ่มทุกประเภทของ กอ.รมน. ให้มีอุดมการณ์ความรักชาติ ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มีจิตสำนึกด้านความมั่นคง มีคุณธรรม จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อประเทศชาติ
ด้านนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง ให้ความสำคัญในการจัดทำยุทธศาสตร์ความมั่นคง ต้องมีความทันสมัยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล/คสช. สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ด้านบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เน้นการนำแรงงานเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนให้ถูกต้อง และการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวให้อยู่ในขอบเขตที่สามารถควบคุมได้ ทั้งในด้านสังคมจิตวิทยา วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ที่พักอาศัย และความมั่นคง
ด้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ให้มีการบูรณาการข้อมูลข่าวสารด้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในราชอาณาจักรได้ทันต่อสถานการณ์ และนำไปเป็นประโยชน์ในการติดตามและแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ
ด้านการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติ ให้เร่งรัดการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการบุกรุกพื้นที่ การตัดไม้ทำลายป่า และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลแผนที่แนวป่าไม้ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงยึดถือยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เป็นหลัก สนับสนุนการพูดคุยเพื่อสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างเพื่อแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้กรอบของกฎหมาย การปฏิบัติให้สานต่อนโยบายเดิมคือ ผบ.หน่วยในพื้นที่จะต้องควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ไว้ให้ได้
ด้านการสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เน้นให้มีการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีความก้าวหน้าและมั่นคงแล้วมาใช้เป็นตัวอย่างหรือเป็นศูนย์การเรียนรู้ในการนำกำลังพลส่วนราชการ และประชาชนเข้าไปศึกษาเรียนรู้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิต

บิ๊กหมู ผบทบ. กระชับอำนาจ อีก2 คำสั่ง ตามวงรอบ โยกย้าย 171 ผู้พัน และ276 พันเอก-พันโท

กระชับพาวเว่อร์ ....
บิ๊กหมู ผบทบ. กระชับอำนาจ อีก2 คำสั่ง ตามวงรอบ โยกย้าย 171 ผู้พัน และ276 พันเอก-พันโท จัดทัพ คุมกำลัง พอเบาะๆ ทั้งเหล่าราบ ม้า ปืน รบพิเศษ แต่ ไม่แตะ เด็กนายกฯ ไม่ขยับ ในร.21รอ. และให้โบนัสยศสูงขึ้น แก่ เด็กบิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช และ สาย บิ๊กอู๊ด พลเอกวลิต โรจนภักดี รอง ผบทบ. แต่โยกพ้นคุมกำลัง ส่งเด็กในคาถา คุมกำลัง ร.31รอ. พล.ร.2รอ. ขยับ พล.ร.9 และทัพภาค1 ทัพน้อย1 ใหม่ กระชับอำนาจในมืออีกรอบ ส่งนายทหารคนสนิท ใกล้ชิด ลงคุมกำลังในพื้นที่กรุงเทพฯ สลับนายทหารในถิ่นบูรพาพยัคฆ์ เพื่อถ่ายเลือดใหม่เพื่อ ในการชับอำนาจ ทั้งเปลี่ยนหลายตำแหน่งในทหารม้า ทหารปืนใหญ่ เพื่อง่ายต่อการสั่งการในฐานะ ผบ.กกล.รส. ฮือฮาส่ง "ทส.บิ๊กป้อม "ขึ้น รองผบ.กรมทหารม้า และโยก "ถิรเดช" เป็น ผบ.พัน.ร.มทบ.11 คุม เรือนจำ เด้ง พันเอกวิบูลย์" เด็กบิ๊กป้อม ไป มทบ.12 ขยับ "เด็กวลิต" พ้นคุมกำลัง ให้พันเอก ปลอบใจ
บิ๊กหมู พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนามในคำสั่ง2 คำสั่ง เรื่องให้นายทหารรับราชการและปรับเงินเดือน ลง ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2558 แต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอก-พันโท ตำแหน่ง รองผู้บังคับการการกรม(รองผบ.กรม) และ ผู้บังคับกองพัน(ผบ.พัน.)ในคำสั่งกองทัพบกที่ 603/2558 จำนวน 171 นาย และคำสั่ง 604/2558 จำนวน 276 นาย
คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารครั้งนี้ถือเป็นการปรับย้าย อีกครั้ง ตามวงรอบ ของ ผบทบ.ใหม่ ต่อจากคำสั่งโยกย้ายนายทหารระดับ รองผบ.พล - ผู้บังคับการกรม เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่เคยสร้างความฮือฮา มาแล้ว
แต่ในการปรับทัพจัดแถวนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน หรือโผผู้พันครั้งนี้ พลเอกธีรชัย เอแบบเบาะๆ ส่วนใหญ่จะส่งทหารใกล้ชิดลงดูแลพื้นที่สำคัญในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก โดยเฉพาะตำแหน่งคุมกำลังในกองทัพภาค 1 พล.ร.2 รอ. ซึ่งเป็นขุมกำลังหลักสำคัญ และในฐานะที่ โดตมาในถิ่นบูรพาพยัคฆ์
โดยไม่มีการแตะต้อง นายทหารในสายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใน ร.21รอ.
ภาพรวมเป็นการขยับ นายทหาร ในสาย พบเอกประวิตร ที่ต้องขยับขึ้น ตามวงรอบ เพราะคุมกำลังมาครบเทอม2-3ปี ขึ้น แล้ว เอา ลูกน้องที่สนิทสนม มาคุมกำลัง และไม่มีการย้ายคนของ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร รมช.กห. /อดีตผบ.ทบ. เพราะ ลูกน้องสายตรง บิ๊กโด่ง ในทบ. มีน้อยมาก อยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ เป็นคนของ พลเอก ประยุทธ พลเอกประวิตร แะ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา โดยคนที่ถูกขยับ ก็ได้ยศสูงขึ้น เพื่อไม่ให้ถูกมองว่า ขัดแย้ง
ในสายบูรพาพยัคฆ์ ---พ.อ.จิรสิทธิ์ จันทรมี เสธ.ร.2 รอ. เป็น รองผบ.ร.2 รอ. พ.อ.วรยศ เหลืองสุวรรณ เสธ.ร.12 รอ.เป็น รองผบ.ร.2 รอ. พ.อ.อนิรุจน์ ดิษฐประชา เสธ.ร.29 เป็นรองผบ.ร.19
เสธ.ด้วง พ.อ.ยอดอาวุธ พึ่งพักตร์ รองผอ.กกพ.ทภ. กลับถิ่นเก่า เป็น รองผบ.ร.31 รอ.
เสธ.ชิน พ.อ.ชินสรณ์ เรืองศุข เสธ.ม.1 รอ.นายทหารคนสนิท บิ๊กปัอม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กห. เป็น รองผบ.ม.1 รอ. จ่อคิว คุมกำลังทหารม้า หน่วยปฏิวัติกลางกรุง
พ.อ.ลิขิต อุ่นประดิษฐ์ รองผอ.กยก.นปอ.เป็น รองผบ.ปตอ.1 พ.อ.ชาคริต คิดประเสริฐ รองผอ.กกร.นปอ. เป็น รองผบ.ปตอ.2 พ.อ.เกษม ส่งสุข รองเสธ.ศปภอ.ทบ. เป็น รองผบ.ปตอ.2
ในส่วนของ กรมทหารปืนใหญ่ที่1 รักษาพระองค์ ที่เพิ่งมีการเปลี่ยน ผบ.ป.1รอ. จาก ผู้การโจ้ พันเอก คชาชาต บุญดี มาเป็น พันเอกนิมิตต์ สุวรรณรัฐ ในโผโยกย้ายที่แล้ว นั้น ก็มีแค่ขยับ พ.อ.สิฐิจักษ์ ร่มโพธ์ชี เสธ.ป.1 รอ. เป็น รองผบ.ป.1รอ.
นายทหารสาย บิ๊กหมู ได้คุมกำลัง กันถ้วนหน้า เช่น ผู้พันยิ้ม พ.ท.มลชัย ยิ้มอยู่ หน.กพ.ทบ.(ตท.39) เป็น ผบ.ร.31 พัน.3 รอ. พ.ท.กฤษดา หิรัญโรขน์ ผช.ฝอ.5 ทภ.1 เป็น ผบ.ร.31 พัน.2 รอ. พ.ท.ไพศาล พิศาลยุทธาพงษ์ หน.ฝกบ.พล.ร.2 รอ. เป็น ผบ.ร.2 พัน.1 รอ. พ.ท.อภิชัย จูสนิท หน.ฝกร.พล.ร.2 รอ เป็น ผบ.ร.12 พัน.2 รอ.
พ.ท.กิตติ ประพิตรไพศาล ผบ.ร.12 พัน.1 รอ. เป็นผบ.ร.12 พัน.3 รอ. พ.ท.ชัยณรงค์ กาสี หน.ฝยก.พล.ร.2 รอ.เป็น ผบ.ร.12 พัน.1 รอ. พ.ท.นพดล ภาคาผล ผช.ฝกพ.ทภ.1 เป็น ผบ.ร.19 พัน.1 พ.ท.สรายุทธ ศรลัมพ์ ผช.ฝยก.ทภ.1 เป็น ผบ.ร.9 พัน.2
พ.อ.ชายธนัญชา วาจรัต หน.กส.ทบ.เป็น ผบ.กรมทหารพราน 13 พ.อ.วรรธ อุบลเดชประชารักษ์ เสธ.ร.19เป็น ผบ.กรมทหารพราน 14
แต่ที่ฮือฮา เกินคาด คือ ผบ.ทบ.ย้าย ผู้พันต๋อง พันเอกวิบูลย์ ศรีเจริญสุขยิ่ง ไป ผบ.ศูนย์ฝึก นักศึกษาวิชาทหาร มทบ.12 สระแก้ว ส่ง เสธ.โหล่ พันเอก ถิรเดช ลิ้มคุณากูล (ตท.34) เด็ก บิ๊กต๊อก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม นั่งผบ.พันร.มทบ.11 แทน เพื่อมาคุมเรือนจำ มทบ.11 คุมมือระเบิดราชประสงค์ เอง ทั้งๆที่ พันเอกวิบูลย์ เพิ่งเป็น ผู้พัน แค่2 ปี แถมเป็นเด็ก บิ๊กป้อม พลเอก ประวิตร
นอกจากนั้น มีการ ขยับ ผู้พันหมี พันโท มหิธร บุญครอง ไปเป็น หัวหน้า กองยุทธการ มทบ.12 โดยให้เป็น พันเอก แล้วให้ พันโท เริงณรงค์ ชาวล้อม มาเป็น ผบ.ม.พัน30 รอ. คุมกำลังทหารม้า ของ พล ร 2 รอ. แทน
ทั้งนี้ พันโท มหิธร เป็น น้องรักของ พลเอก วลิต โรจนภักดี รอง ผบทบ. ที่เป็นที่รู้กันว่า มีเรื่องคาใจกับ พบเอกธีรชัย มายาวนาน แต่ พลเอกประวิตร ก็ยังส่ง พลเอกวลิต จาก รองเสธ.ทหาร บก.กองทัพไทย มาเป็น รอง ผบทบ. อยู่ ถ้ำทบ.เดียวกบ พลเอกธีรชัย

ประธาน สปท.ลั่น! ยึดหลัก"โซเครติส"ทำงาน "2+2=4" ใครก็สั่งไม่ได้!

วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17:40:08 น.



เมื่อวันที่ 16 ต.ค. เวลา 08.30 น. ที่รัฐสภา  ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) พร้อมด้วยนายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสปท.คนที่ 1  น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธาน สปท. คนที่ 2 ได้เป็นประธานมอบนโยบายการบริหารราชการแก่ผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  โดยเมื่อถามว่า หนักใจหรือไม่ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ที่การทำงานตรงนี้ถูกมองว่าถูกคสช.สั่งซ้ายหันขวาหันได้

โดย ร.อ.ทินพันธุ์ กล่าวว่า ผมเป็นนักวิชาการ เปลี่ยนอาชีพมาหลายอาชีพ สุดท้ายมาเป็นอ.มหาวิทยาลัย  สื่อมวลชนอาจจะยังไม่เคยรู้ เล่าให้ฟังอาจจะตกใจ แต่จะเล่าให้ฟังว่า ตอนผมเข้าโรงเรียนนายร้อยจปร. อาจารย์ท่านหนึ่งยศพันเอกถามนักเรียนทุกคนในห้องว่า อาชีพที่พวกเราทำอยู่เป็นอาชีพอะไร นักเรียนนายร้อยตอบกันทั่วห้องไม่มีใครถูก จนกระทั่งอาจารย์เฉลยว่าอาชีพทหารคือการฆ่าคน ผมก็ตกใจ ปัจจุบันผมจึงเปลี่ยนอาชีพมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเต็มตัว เป็นนักวิชาการเต็มตัว ดังน้ัน ผมจะทำงานตามหลักสัจธรรมของโซเครติส  ซึ่งต้อง 2+2 = 4 จะเท่ากับ 3 ไม่ได้ หลักสัจธรรมสำคัญที่สุด ดังนั้น นักวิชาการต้องรักษาสัจธรรม คนไทยต้องรับผิดชอบสังคมส่วนรวม ดังนั้น นักวิชาการจะมาถูกสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ มันอยู่ที่การศึกษา การศึกษาคือการแสวงหาสัจธรรม และการค้นพบ จุดยืนผมอย่างนี้ ผมจึงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ สมัยผมอยู่กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผมพูดอะไรไปก็อาจสามารถเปลี่ยนใจท่านได้

หมายเหตุ ทั้งนี้ โสกราตีส เป็นนักปราชญ์ชาวกรีก เป็นอาจารย์ของเพลโต และเป็นอาจารย์ปู่ของอริสโตเติส (อริสโตเติลลูกศิษย์ของเพลโต) ซึ่งนักรัฐศาสตร์และนักกฎหมายทุกคนจะต้องรู้ ในทางประวัติศาสตร์ปรัชญาการเมืองมีความสำคัญคือเป็นผู้ที่ยอมตายเพื่อรักษากฎหมาย แม้ถูกลงโทษตัดสินประหารชีวิตจากข้อกล่าวหาที่ไม่สมเหตุสมผล ก็ยินดีจะถูกประหารชีวิตโดยไม่หนีและไม่หวาดหวั่น

ด่วน ! ปปช.เผย รับยากที่จะเอาผิดเรื่องทุจริตการจัดซื้อ "GT 200"

จากกรณีมีการไต่สวนคดีการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT 200 ซึ่งถูกพิสูจน์ในเวลาต่อมาว่าเป็นแค่อุปกรณ์ลวงโลก ไม่สามารถตรวจหาวัตถุระเบิดได้จริงตามที่โฆษณาสรรพคุณ ที่ผ่านมาประเทศอังกฤษดำเนินคดีกับบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายจนผู้บริหารติดคุกไปแล้ว แต่ในประเทศไทยคดียังไม่ชี้มูล
ล่าสุดวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีที่กล่าวหา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ. ในขณะนั้น) กับพวก จัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT 200 โดยมิชอบ กล่าวถึงความคืบหน้าของคดีว่า การไต่สวนคดีนี้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากเป็นเรื่องลึกลับ แน่นอนว่าประสิทธิภาพของ GT 200 ไม่ได้เรื่อง แต่การจะวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ทุจริตหรือไม่ ยังต้องการอะไรมากกว่าเรื่องของประสิทธิภาพ เพราะเรื่องการตัดสินใจและเจตนาการจัดซื้อของเจ้าหน้าที่พิสูจน์ลำบาก
ส่วนการแสวงหาพยานหลักฐาน ก็มีข้อขัดข้องทางเทคนิค โดยเฉพาะการขอความร่วมมือไปยังบริษัทที่จำหน่ายในประเทศอังกฤษ ก็ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลต่อ ปปช. อย่างไรก็ตาม จะพยายามอย่างเต็มที่ คาดว่าต้นเดือนพฤศจิกายนจะสามารถวินิจฉัยได้ว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกร้องได้หรือไม่

จุดจบของ ISIS กำลังใกล้เข้ามา….เมื่อพญาหมีขาว ส่งฝูงบินรบพิฆาตปูพรม

จุดจบของ ISIS กำลังใกล้เข้ามา….เมื่อพญาหมีขาว ส่งฝูงบินรบพิฆาตปูพรมไม่ยั้ง ตัดน้ำเลี้ยงและเสบียง…งานนี้บอกคำเดียว ISIS อยู่ยากแล้ว!!!!


รัฐอิสลาม (ISIS) แทบจะจำนนต่อความพ่ายแพ้ หลังจากที่รัสเซียตัดเสบียงและนำ้เลี้ยงขนานใหญ่ ด้วยการส่งฝูงบินพิฆาต โจมตีกว่า กว่า 41  ครั้ง ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
Vladimir-Putin-612212
โดยแหล่งข่าวทางการทหารแจ้งว่า การโจมตี ISIS เกิดขึ้นในหลายสิบครั้ง  ในจังหวัดอาเลปโปซีเรีย, Hama, Idlib ลาเดียและ EZ-Zur โดยการระเบิดศึกของรัสเซียกับกลุ่มไอเอสเริ่มมาตั้งแต่ปลายเดือนที่เเล้วจนกระทั่งปัจจุบัน โจมตีฐานที่มั่นไอเอสไปแล้วมากมายจนขณะนี้ถอยร่นไม่เป็นท่าแล้ว
โดยโฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า “เครื่องบินทิ้งระเบิด  Su-24M ส่งระบุ เป้าหมายของกลุ่มการก่อการร้ายใกล้เมืองอาเลปโป ได้อย่างแม่นยำ
ISIS-366917
“โดยขณะนี้กลุ่มไอเอสมาแผนใหม่ โดยหลังจากประชุมเชิงปฏิบัติการ เกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้าย ตอนนี้แนวทางของไอเอสคือการใช้วัตถุระเบิดที่ใช้ในการโจมตีด้วยระเบิดฆ่าตัวตาย.”
อย่างไรก็ดีด้านเครื่องบิน Su-34 และเครื่องบินทิ้งระเบิด Su-24M เอาออกจากฐานทัพอากาศใน Khmeimim  พร้อมกับเครื่องบินโจมตี Su-25SM มาเพื่อถล่มฐานที่มั่นไอเอสแล้ว และการโจมตีโดย Su-25SM  รวมไปถึงเครื่องบินสนับสนุนใกล้ Huraytan สามารถทำลายคลังอาวุธของกลุ่มและและเครื่องใช้อื่นๆ รวมไปถึงคลังน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
Vladimir-Putin-366918
งานนี้ยังไม่รู้ว่าต่อไปแนวทางทั้ง พญาอินทรีย์อย่างอเมริกา และพญาหมีขาวรัสเซียจะไปจบกันตงที่ใด เมื่อเกมส์เดิมพนันของทั้งสองฝ่ายในตอนนี้สูงจนไม่อาจถอยหลังได้แล้ว…..

ที่มา : EXPREESS

บทวิเคราะห์:ความโชคร้ายของสหรัฐฯในการท้าทายอำนาจของจีนอย่าง “ผิดที่ผิดเวลา”

บทวิเคราะห์:ความโชคร้ายของสหรัฐฯในการท้าทายอำนาจของจีนอย่าง “ผิดที่ผิดเวลา”

เมื่อไม่นานมานี้เกมของสหรัฐฯที่ใช้ปัญหาทะเลจีนใต้มาปิดล้อมจีนนั้นดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะมีคนบางคนในสหรัฐอเมริกาที่อยากเห็นจีนต้องเผชิญกับปัญหาด้านความมั่นคงจากการท้าทายของประเทศที่อยู่รอบๆจีน ซึ่งความคิดอันร้ายกาจนี้ยังมีจุดประสงค์อื่นที่มากกว่านี้

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่ แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯและออสเตรเลียได้มีจัดการประชุมรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและกระทรวงต่างประเทศในการประชุม 2+2 ก็ได้มีคำประกาศที่แข็งกร้าวมากยิ่งขึ้นโดยกล่าวว่า “สหรัฐฯจะบินผ่านน่านฟ้าและเดินเรือผ่านน่าน้ำใดใดก็ตามที่ไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ”

และจากการรายงานของสื่อสหรัฐฯ ทหารเรือสหรัฐฯหลายคนได้แย้มข้อมูลว่ากองทัพเรือสหรัฐฯกำลังเตรียมที่จะส่งเรือเข้าไปในพื้นที่ที่ห่างจากบริเวณที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือแนวปะการังแห่งหนึ่งในหมู่เกาะสแปรตลี่ในทะเลจีนใต้ไม่เกิน12 ไมล์ทะเล ซึ่งการเดินหมากครั้งนี้อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้เพราะ รอแค่การอนุมัติจากรัฐบาลโอบามาเพียงเท่านั้น

พลเอก แฮร์รี แฮร์ริส ผู้บัญชาการกองทัพเรือสหรัฐฯกล่าวกับสื่อว่าสหรัฐฯกำลังจะแสดงให้จีนเห็นว่าสหรัฐฯไม่ยอมรับการสร้างเกาะเทียมใหม่ของจีนในทะเลจีนใต้

อันดับแรกคำกล่าวของสหรัฐฯที่บอกว่าจีนได้ถมเกาะเทียมขึ้นมาใหม่นั้นไม่มีหลักฐานรองรับ เพราะสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่คือขยายพื้นที่เพิ่มไปบนแนวปะการังเดิมที่พ้นน้ำขึ้นมาโดยการก่อสร้างของจีนนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะตามธรรมชาติที่มีอยู่ดั้งเดิมของเกาะดังนั้นการที่บอกว่าจีนสร้างเกาะขึ้นมาใหม่จึงไม่สมเหตุสมผล
อันดับที่สอง แผนการที่สหรัฐฯจะเดินเรือเข้ามาในบริเวณห่างจากเกาะไม่เกิน 12 ไมล์ทะเลนั้นมีจุดประสงค์ที่ซับซ้อนมากกว่านั้น โดยมีผู้วิจารณ์ว่าการเข้ามามีส่วนร่วมในทะเลจีนใต้นั้นไม่ใช่จุดประสงค์หลักของสหรัฐฯแต่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่สหรัฐฯต้องการคือหนุนกลยุทธ์การถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การกระทำครั้งนี้ของสหรัฐฯในทางหนึ่งคือต้องการทำให้จีนลำบาก ทำให้จีนหาทางออกไม่ได้ อีกทางหนึ่งก็เป็นการแสดงอำนาจของสหรัฐฯว่าสหรัฐฯยังคงมีตำแหน่งเป็น“พี่ใหญ่”ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้ “ลิ่วล้อ”ทั้งหลายในภูมิภาคยังคงเชื่อฟังคำพูดของสหรัฐฯ
หากมองในระยะยาว คนของสหรัฐฯที่อยากจะปราบจีนด้วยอาวุธนั้นต้องการเห็นจีนเดินหมากผิดในการรับมือกับการยั่วยุครั้งนี้และทำให้จีนมีปัญหาด้านความมั่นคงจน"เอาตัวไม่รอด" ซึ่งนี่คือการขัดขวางการผงาดขึ้นทางเศรษฐกิจของจีน แถมยังมีประเทศบางประเทศแถวๆนี้ที่เชียร์แผนการนี้ของสหรัฐฯเพราะไม่หวังดีต่อจีนเช่นกัน แต่ทว่าจริงๆแล้วเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
"สรรพสิ่งบนโลกล้วนแต่รู้จักยับยั้งชั่งใจตนเอง" เมื่อมองสถาณการณ์โลกในปัจจุบัน รวมถึงแนวโน้มการพัฒนาของจีนแล้วความโชคร้ายของสหรัฐฯในการท้าทายอำนาจจีนก็คือมันเกิดขึ้นอย่าง“ผิดที่ผิดเวลา”
เมื่อมองจากสภาพแวดล้อมทั่วโลกแล้ว สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในด้านกลยุทธ์ของทั่วโลกมาโดยตลอด แต่ทว่าไม่กี่ปีมานี้กลายเป็นผู้ที่ไร้ซึ่งเหตุผล ทั้งพัวพันวุ่ยวายกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งยังกัดทะเลจีนใต้ไม่ปล่อย และกลยุทธ์แบบนี้สุดท้ายก็จะทำให้ตนเองเสียผลประโยชน์ที่มีในภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก ซึ่งกล่าวได้ว่าได้ไม่คุ้มเสีย ดังจะเห็นได้จากหลังจากที่รัสเซียได้มีปฏิบัติการโจมตีกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย แต่สหรัฐฯกลับไม่ได้มีมาตรการหรือกลยุทธ์ใดๆที่มีประสิทธิภาพเลย

และถ้าหากสหรัฐฯยังคงยืนหยัดที่จะทำเช่นนี้ต่อไป แนวโน้มการพัฒนาของสถานการณ์จะพิสูจน์ให้เห็นว่ากลยุทธ์ที่ “ขาดการคิดไตร่ตรอง”นี้จะอยู่ได้อีกไม่นานเพราะสุดท้ายก็จะพัง

ตั้งแต่ที่จีนเริ่มพัฒนาขึ้นมา คนในสหรัฐฯบางกลุ่มก็ได้สร้างวิกฤติและอุปสรรคต่างๆให้จีนมาแล้วหลายครั้ง แต่จีนก็สามารถข้ามผ่านมันมาได้ และครั้งนี้จีนก็คงไม่ยอมให้การพยายาม “ขัดขา”จีนในปัญหาทะเลจีนใต้ของสหรัฐฯกลายมาเป็น”สิ่งกีดขวาง”บนเส้นทางการพัฒนาของจีนเช่นกัน ดังนั้นสหรัฐฯควรจะคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนที่จะทำอะไรลงไป
(ผู้เขียน ซ่าว จิ้น / บรรณาธิการ เฉิน จิ้ง / Xinhua Internationalรายงาน)

'พล.ร.อ.ณรงค์' ยันเดินหน้าชะลอโครงการ สสส.ไม่สอดคล้องวัตถุประสค์

วันศุกร์ ที่ 16 ตุลาคม 2558 เวลา 14:53 น สำนักข่าวอิศรา

รองนายกรัฐมนตรีชมสปริต 'ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์' ลาออก ผจก.สสส. เปิดทางตรวจสอบเป็นไปโดยง่าย ระบุจำเป็นต้องชะลอโครงการไม่สอดคล้องวัตถุประสงค์ จนกว่าจะตรวจสอบเสร็จ
kritsada
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 16 ตุลาคม 2558 ที่อาคารเรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก่อนการประชุมว่า ทราบข่าวการลาออกของ ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ แล้ว โดยก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับท่านถึงปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การลาออกครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เเต่ต้องขอยกย่องในความรับผิดชอบที่แสดงออกในฐานะผู้นำ เพื่อแสดงความโปร่งใสในขั้นตอนการดำเนินการตรวจสอบ
"การลาออกครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ท่านมีความผิดหรือว่ากระทำผิด แต่ภายใต้บริบทที่เกิดขึ้นของสังคมที่อาจจะสงสัยเรื่องขั้นตอนการทำงานของ สสส.ที่ไม่สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง"
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า การทักท้วงที่เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ซึ่งจะต้องพิจารณาในรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง ส่วนการแต่งตั้งรักษาการผู้จัดการ สสส. เพื่อทำหน้าที่นั้นอาจจะมอบหมายให้รองผู้จัดการ สสส.ปฏิบัติหน้าที่แทน ทั้งนี้จะทำการชะลอคำร้องขอลาออกของ ทพ.กฤษดาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ บอร์ด สสส. ซึ่งต้องพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถามว่าจะมีการชะลอโครงการที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามเเละตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.)หรือไม่ พลเรือเอกณรงค์ ยืนยันว่า อาจจะต้องชะลอโครงการเหล่านั้น ตามคำแนะนำของท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อเอามาตรวจสอบกับวัตถุประสงค์ทั้ง 6 ข้อที่มีขึ้นตอนจัดตั้งกองทุน สสส. จนกว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จว่า โครงการเหล่านั้นถูกต้องตามวัตถุประสงค์จึงจะสามารถดำเนินโครงการต่อได้
ส่วนจะมีกี่โครงการที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์คงต้องขึ้นอยู่กับ คตร. ทั้งนี้ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า จะมีโครงการใดบ้าง เนื่องจากครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งเเรกหลังผลสอบของ คตร.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังใช้เวลาการประชุมคณะกรรมการ สสส. กว่า 3 ชั่วโมง พลเรือเอกณรงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมมีมติรับทราบการลาออกของ ทพ.กฤษดาเเล้ว เเละพิจารณาเเต่งตั้งรองผู้จัดการ สสส.ขึ้นมารักษาการในตำเเหน่งเเทน จนกว่าจะมีการคัดเลือกผู้จัดการ สสส.คนใหม่ 
ทั้งนี้ ในการเข้าไปชี้เเจงต่อ คตร.นั้น จะเป็นหน้าที่ของรองผู้จัดการ สสส. เเต่อาจเชิญ ทพ.กฤษดา เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่งท่านยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการที่ คตร.เห็นว่าไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ จะต้องส่งเรื่องดังกล่าวมายัง สสส. เพื่อหารือร่วมกัน เนื่องจากความหมายของคำว่า สุขภาวะ เเละสุขภาพ ค่อนข้างกว้าง ทำให้การตีความเเตกต่างกัน เเต่มิได้ลงลึกในรายละเอียดไปถึงโครงการที่คาดว่ามีปัญหา
"โครงการที่ คตร.ตีความไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์นั้น ต้องยืนยันว่า ไม่ได้ระบุทำผิด เเต่ต้องมาพิจารณาพูดคุยหารือเเละดูให้ชัดเจนว่าเข้าข่ายหลักเกณฑ์ทั้ง 6 ข้อหรือไม่ เเละวัตถุประสงค์จัดตั้งกองทุน สสส.หรือไม่" พลเรือเอกณรงค์ กล่าว เเละว่า วันนี้ไม่ได้บอกใครผิด เเต่เนื่องจากมีการโจมตีเเละให้ข้อมูลอีกด้าน ก็จะเป็นต้องตรวจสอบเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคนในสังคม .

ขรก.สภาฯนัดแต่งดำประท้วงไม่เอาเลขาสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่วันจันทร์นี้




วันที่ 16 ต.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้าราชการสภาผู้แทนราษฎร นัดแต่งกายชุดดำ เตรียมประท้วงไม่เอาเลขาสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ในวันจันทร์ที่ 19 ต.ค.นี้ หลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 37/2558 เรื่องการกำหนดตำแหน่งเพิ่ม และการแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่ง โดยให้นายจเร พันธุ์เปรื่อง พ้นจากตำแหน่ง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และให้นายนัฑ ผาสุข พ้นจากตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา มาดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแทน


แก้วสรร ให้สติ รัฐ ตั้งหลักใหม่ หนีกับดับ “รัฐ ATM”



สายตรงภาคสนาม
8 ชม.
แก้วสรร ให้สติ รัฐ ตั้งหลักใหม่ หนีกับดับ “รัฐ ATM” สร้างสังคมสวัสดิการ ทำ ปชช.เข้มแข็ง ไม่จมกับ “ขอทานนิยม” งอมืองอเท้า รอรัฐช่วย ให้การศึกษาคน คือต้นทุนเศรษฐกิจ เตือน ไม่เลิกของฟรี ระวัง ฌาปนกิจฟรี หวัง ปฏิรูป รื้อความคิดใหม่สร้างประเทศ
ความคิดขงจื๊อของลีกวนยู : รัฐคือพ่อที่สร้างลูกให้เข็มแข็ง
แก้วสรร อติโพธิ
- ท่ามกลางเสียงโอดโอยของก๊กการเมืองชินวัตรว่า การคำเนินคดีจำนำข้าวจะทำให้ไม่มีใครกล้าช่วยชาวนาอีกต่อไปแล้ว... น่าสงสารชาวนาจริงๆ
- ท่ามกลางธนบัตรที่ปลิวว่อนผันไปสู่บ้านนอกตำบลละ ๕ ล้านบาทโดยไม่มีเป้าหมายใด
ท่ามกลางการลดแลกแจกแถมของบีโอไอให้ต่างชาติมาลงทุน
ในภูมิศาสตร์เศรษฐกิจที่ฝันเอาเองว่าจะเป็นซุปเปอร์คลัสเตอร์ แล้วพร่ำบ่นว่าเราต้องพอเพียง ต้องเข้มแข็งได้ด้วยตนเอง วัตรปฏิบัติเหล่านี้เป็นเรื่องซ้ำซากที่วางอยู่บนหลักคิด “รัฐคือATM” อย่างเหนียวแน่น และจะผูกรัดให้สังคมเศรษฐกิจไทยต้องดักดานต่อไปอย่างไม่มีกำหนดไม่ว่าจะเขียนอะไรกันไว้ในกฎหมายที่เรียกว่ารัฐธรรมนูญหรือพระราชบัญญัติปฏิรูปนานาก็ตาม
บทความต่อไปนี้เขียนขึ้น ๓ ปีมาแล้ว เมื่อครั้งนายกฯอภิสิทธิ์กำลังจะยุบสภา
เห็นว่ายังเหมาะแก่กาลที่กำลังฝันกันว่าจะปฏิรูป กำลังคิดจะเลือกตั้งเช่นทุกวันนี้พอดี ผมจึงขอนำมาเสนออีกครั้งหนึ่งดังนี้
........................................
กำลังท่วมประเทศอย่างหนัก ทั้งการนำร่องในยุคทักษิณแล้วติดตามมาในยุคขิงแก่และประชาธิปัตย์ ยิ่งมาถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภาในปี ๒๕๕๔ 

นี้ก็ยิ่งจะเห็นของขวัญประชานิยมเหล่านี้เกลื่อนไปหมดเลยทีเดียวดังตัวอย่างค่าใช้จ่าย ในโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรคนั้น เมื่อสิบปีก่อนที่เริ่มโครงการก็อยู่ที่ ๑๔๐๐ บาทต่อหัว แล้วก็เพิ่มขึ้นทุกปีไม่มีหยุดจนถึง ๒๔๐๐ บาทต่อหัวในปีงบประมาณ ๒๕๕๒ มาปีนี้ก็จะขอเพิ่มอีก ๗๐๐ บาท ซึ่งเมื่อรวมกับสวัสดิการสุขภาพของข้าราชการและผู้ใช้แรงงานอีก ๑๖% ด้วยแล้ว
งบประมาณสวัสดิการสุขภาพไทยในปีหน้าก็จะเกาะกินงบแผ่นดินถึงสองแสนล้านบาทเลยทีเดียว ในด้านความคิดก็ยังฝังรากลึกลงเนื้อในไปเรื่อยๆอีกด้วย ดังตัวอย่างกรณีสวัสดิการสุขภาพตามระบบประกันสังคมที่ลูกจ้างควักเงินเดือนมากองไว้โดยมีนายจ้างและรัฐสมทบเงินด้วยนั้น ก็มีการปลุกปั่นกันว่าไม่เสมอภาคถูกเอาเปรียบ เพราะคนทั่วไปไม่ต้องออกเงินก็ได้รับการรักษาฟรีจากกองทุนบัตรทอง ลูกจ้างจึงควรจะมารับการรักษาฟรีตามระบบนี้จะดีกว่าเพราะต่างก็ก็เสียภาษีให้รัฐเหมือนกัน
ข้อเรียกร้องให้คนที่รับผิดชอบตัวเองได้อยู่แล้ว ให้ต้องกลับไปอยู่ในระบบขอทานเหมือนกับคนอื่นอย่างนี้ มาจากการกำเริบของโรคประชานิยมที่น่าวิตกมาก จำเป็นต้องถูกท้วงติงด้วยระบบคิดตรงข้ามให้ได้คิดกันเสียใหม่ ซึ่งก็มีตัวอย่างจากสวัสดิการสังคมของสิงค์โปร์ ที่นายกฯลีกวนยู ได้ยึดแนวคิดตามลัทธิขงจื๊อมาเป็นหลักได้ อย่างเฉียบคมยิ่ง และแตกต่างจากลัทธิ “ขอทานนิยม” หรือ “เอื้ออาทรนิยม”เป็นอย่างมาก ดังผมจะขอสังเขปมาเสนอในทำนองปุจฉา-วิสัชนาไว้ ดังนี้
ถาม สวัสดิการสังคมของสิงค์โปร์มีที่มาของเงินมาจากไหน
ตอบ นายกฯลีกวนยู จัดตั้ง “ระบบบังคับออมทรัพย์”ขึ้น ให้คนสิงค์โปร์ทุกคนต้องเปิดบัญชีธนาคาร กว่าสิบปีมานี้ สินค้าประชานิยมเพื่อสวัสดิการของชาวบ้าน โดยงบประมาณแผ่นดิน ภาระด้านงบประมาณของโครงการประชานิยมนี้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี นอกจากเนื้องบประมาณแผ่นดินในโครงการประชานิยมจะเพิ่มขึ้นแล้ว เจ๋งๆทุกห่วงโซ่การผลิตและบริการจับกลุ่มเข้าด้วยกันอย่างพร้อมหน้า ไม่งอมืองอเท้าขอการบริโภคหรือความช่วยเหลือจากรัฐ
ยกสินค้าของสิงค์โปร์ขึ้นไปสู่ตลาดระดับบน เป็นบัญชีสวัสดิการของตนเองและครอบครัว เงินจากบัญชีนี้จะไหลไปรวม เป็น กองทุนที่พักอาศัย ให้กู้ยืมซื้อบ้านหลังแรก เป็นกองทุนประกันสุขภาพ ที่ถ้วนหน้าจริงๆ และเป็น เบี้ยยังชีพยามชรา ด้วย
ถาม แล้วรัฐไม่ช่วยอะไรเลยหรือ
ตอบ รัฐมีเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสุขภาพด้วย แต่ลำพังเงินออมเหล่านี้ก็มีกองทุนของรัฐนำไปลงทุนหาประโยชน์ตอบแทนได้เป็นอันมากอยู่แล้ว
มาซื้อกิจการโทรคมนาคมชินคอร์ปที่เมืองไทย ก็เงินออมพวกนี้นี่แหละครับ
ถาม นายกฯ ลีกวนยู เอาความชอบธรรมมาจากไหน มาบังคับให้ราษฎรต้องออมทรัพย์อย่างนี้
ตอบ พ่อแม่คุณเคยซื้อกระปุกออมสินให้คุณบ้างไหม?
ถาม เคยครับ ท่านให้ผมเหลือเงินค่าขนมมาหยอดกระปุกให้ได้ทุกวันเลย อาจารย์ล่ะครับ
ตอบ เหมือนกันครับ พอกระปุกเต็มเอาไปฝากออมสินท่านเติมเงินฝากให้ผมอีกด้วย นี่แหละครับนายกฯลีกวนยูก็คิดอย่างนี้ว่า รัฐต้องรู้จักสร้างราษฎรเหมือนพ่อแม่ที่ต้องรู้จักสร้างลูก สร้างให้รู้จักสร้างตนเองและครอบครัว
สังคมสิงค์โปร์ต้องสร้างจากคนสิงค์โปร์ที่เคารพตัวเองและรักครอบครัวเป็นหลัก นี่คือหลักในลัทธิขงจื๊อที่ชัดเจนมาก เป็นที่มาของนโยบายหลายอย่างของสิงค์โปร์
ถาม นโยบายอะไรบ้างครับ
ตอบ ลีกวนยูเขียนไว้ว่า เขาไม่เห็นด้วยกับสวัสดิการจากรัฐหรือสังคม เพราะทำให้คนไม่ทำงาน ส่วนคนที่ทำงานเสียภาษีก็จะสิ้นกำลังใจที่ถูกเอาเปรียบ เขาสรุปว่าเขาต้องการ Social ที่ Fair ไม่ใช่ Social Welfare อย่างบ้านอื่นเมืองอื่น ด้วยเหตุนี้เขาจึง ใช้วิธีบังคับออมเพื่อตนเองและครอบครัว มาเป็นฐานสวัสดิการทั้งสังคม งานสร้างตัวเองที่เหลือเขาก็ให้รัฐลงมาทุ่มเทอย่างเต็มที่
ถาม งานอะไรที่เหลือครับ
ตอบ สิงค์โปร์ทุ่มเทการศึกษาในด้านคุณภาพอย่างสุดตัว ไม่ใช่ให้เรียนฟรีแต่เด็กคิดเงินทอนยังไม่ถูกเหมือนบ้านเรา ครูของเขาเงินเดือนสูงเท่าวิศวกรคัดมาจาก ๕% แรกของคนหนุ่มคนสาวในแต่ละรุ่น ในระดับอุดมศึกษาเขาทุ่มเทสร้างสถาบันวิจัยไบโอเทคอย่างถึงไหนถึงกันทั้งคนและอาคาร หาได้มีแต่ตึกอุทยาน กับนักวิจัยเงินเดือนจี๊ดเดียวเหมือนของเรา
นโยบายนี้ลีกวนยูบอกเหมือนขงจื๊ออีกว่า การศึกษาของลูกคือหน้าที่ของพ่อที่สำคัญที่สุด ซึ่งคนรุ่นเขาก็เป็นพ่อที่ทำงานหนักมากจริงๆ
ถาม ด้านเศรษฐกิจล่ะครับ
ตอบ เขาไม่งมจมอยู่กับการอุ้มชูผู้ประกอบการ หากแต่ทุ่มเทสร้างสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่เจ๋งมากๆ มีคลัสเตอร์หรือกลุ่มการผลิตเก่งๆหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มจะมี SMEs เฉพาะที่เกี่ยวกับการขนส่งทางเรือและทางอากาศนี่จะเก่งมากๆ แค่นิตยสารของสายการบินนี่ เขาก็มีคลัสเตอร์การพิมพ์รับงานจากสายการบินต่างๆได้หนึ่งในสามของตลาดโลกแล้ว คุณอย่าไปเห็นว่าเขาทำแค่ซื้อของถูกที่นี่ไปขายแพงที่โน่นเท่านั้น ภาคการผลิตจริงที่เก่งๆของเขาก็มีมาก
ในภาพรวมแล้วลีกวนยูและคณะ เขาได้สร้างคนของเขาให้เป็นคนที่แข็งแรงในความรับผิดชอบต่อตนเองและครอบครัว จากนั้นเขาก็สร้างโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพจริงๆให้แก่ราษฎร แล้วเสริมด้วยสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่ดี ให้ผู้ประกอบการสร้างความเก่งกาจของกลุ่มการผลิตต่างๆ ขายได้ราคาจนสั่งสมเป็นความมั่งคั่งของตนเองและประเทศชาติได้
ถาม รัฐบาลของเขามีคอรัปชั่นไหม ? 
ตอบ เรื่องคอรัปชั่นสำหรับลีกวนยูผมไม่เคยได้ยิน เคยได้ยินแต่ลูกสะใภ้ของเขา ลีกวนยูโด่งดังมากในเรื่องความซื่อตรง ยุคของเขาเวนคืนที่ดินตัดถนนต้องเป็นเส้นตรงบ้านคนจนคนรวยไม่มีละเว้น เจอสุสานตระกูลของเขาเอง เขาก็ยังให้เดินตรงไปข้างหน้า เขาไม่เคยเอาข้อสอบรั่วมาให้ลูกติวก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนผู้นำบางคนเลย
ถาม คนคอร์รัปชั่นขึ้นเป็นผู้นำแล้วสร้างบ้านสร้างเมืองได้แบบสิงค์โปร์มีไหม
ตอบ คอรัปชั่นแปลว่าเน่าเปื่อย คนเน่าเปื่อยจะเห็นตำแหน่งเป็นอำนาจ เป็นประโยชน์ที่ต้องแสวงหา ไม่ใช่เห็นเป็นหน้าที่ ที่ต้องทุ่มเททั้งสมองและกายใจเพื่อแผ่นดินเกิด ผู้นำที่คอรัปชั่นจึงสร้างบ้านสร้างเมืองไม่ได้ มีแต่ราคาคุยเช่นคุยว่า ๖ เดือนหมดปัญหาจราจร หรือ ๖ เดือนผมกลับมาทุกคนอู้ฟู่แน่เป็นต้น
ถาม บ้านเมืองเราจะเลี้ยวกลับมาสร้างคนกันจริงๆ แบบสิงค์โปร์ได้ไหมครับ ?
ตอบ ต้องเลิกพูดเลิกเน้นเรื่องฟรีๆ เช่น เรียนฟรี รักษาฟรี หรือเอื้ออาทรต่างๆนานากันเสียที ปล่อยไว้อย่างนี้อีกหน่อยคงมีโลงฟรี ฌาปนกิจฟรี ลอยอังคารฟรี เป็นแน่
ถาม แล้วประกันสุขภาพบัตรทองนี่จะว่าอย่างไรครับ
ตอบ อย่าเอาผู้ใช้แรงงานมาร่วมกองทุนนี้ ต้องเอาลูกเมียผู้ใช้แรงงานแยกไปอยู่ประกันสังคมด้วย ต้องเอาระบบจ่าย ๓๐ บาทกลับคืนมาใช้ จะได้เลิกเห็นโรงพยาบาลเป็นโรงทานแจกยาเสียที คัทเอาท์ที่มีใบหน้ารัฐมนตรีประกาศว่า บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกโรคนั้นก็เลิกเสียที จะเลือกตั้งแล้วยังเอาเงินชาวบ้านมาหาเสียงให้ตัวเองอยู่ได้ ไม่อายบ้างเลยหรือ ?
.............................

อ่านทุกบรรทัด!"ข่าวสด" ถาม "สสส."ตอบ-ปมชงงานให้ "สถาบันอิศรา"

วันอังคาร ที่ 25 มีนาคม 2557 เวลา 22:52 สำนักข่าวอิศรา

"..ที่ตั้งข้อสงสัยเรื่องทุนที่ให้สถาบันอิศรา ผลการตรวจสอบบัญชีจากสตง.ทุกปีที่ผ่านมา ยังไม่พบข้อบกพร่อง ผลการประเมินทางด้านเนื้อหาโครงการก็ยังเป็นไปตามเป้าหมายทุกประการ.."
tryytytytytytyt
หมายเหตุ : เมื่อเวลา 20.50 น. วันที่ 25 มีนาคม 2557 หนังสือพิมพ์ข่าวสด ในเครือมติชน ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม (สสส.) อดีตรองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ดูแลและอนุมัติโครงการและงบประมาณให้สถาบันอิศรา ภายใต้มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย
โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "อ่านระหว่างบรรทัด คำชี้แจงจาก "สสส." ชงงานให้ "สถาบันอิศรา"
พร้อมระบุเนื้อหาคำให้สัมภาษณ์ดังนี้ 
ภายหลังจากสถาบันอิศรา ภายใต้มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ถูกเปิดเผยโครงการด้านปฏิรูปและพัฒนาระบบสื่อสารเพื่อสุขภาวะทั้งสิ้น 14 โครงการ มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2551-2558 งบประมาณทั้งสิ้น 96,470,000 บาท โดยมีกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นผู้สนับสนุน
วงการนักสื่อสารมวลชนก็ตั้งคำถามถึงความโปร่งใส และหลักการของ สสส. ในประเด็นเรื่อง "สุขภาวะ" ทันที ว่าสอดคล้องกับเนื้อหาข่าวสารจากสำนักข่าวอิศราอย่างไร
รศ.ดร.วิลาสินี พิพิธกุล อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม (สสส.) อดีตรองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ดูแลและอนุมัติโครงการงบประมาณรวมเกือบร้อยล้านบาท เปิดห้องที่สำนักงาน สสส. ให้สัมภาษณ์ยาวเหยียด
ตั้งแต่ประเด็นเรื่อง "สุขภาวะ" หลักการในการให้ทุน ความสัมพันธ์กับองค์กรสื่อ ไปจนถึงมุมมองเรื่องประชาธิปไตย
@ตกลงว่าความหมายของ "สุขภาวะ" คืออะไร
ส่วนตัวมองว่าการให้ความหมายกว้างๆ น่าจะเป็นผลในทางบวกไม่ใช่หรือ แต่ถ้านิยาม "สุขภาวะ" ของ สสส. เราหมายถึง Healthy and well being ซึ่งไม่ได้หมายถึงร่างกายที่ไม่เจ็บป่วยอย่างเดียว หรือแค่การรักษาพยาบาลที่ดี แต่รวมถึงคุณภาพชีวิตในการเป็นอยู่ คือ อยู่เย็นเป็นสุข
ตรงนี้ สสส.ไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่นำมาจาก ที่ประชุมองค์การอนามัยโลก ก่อนออกมาเป็นกฎบัตรออตตาวา (Ottawa Charter) เริ่มขึ้นในปี 1986 ที่ประเทศแคนนาดา
จุดเด่นของกฎบัตรออตตาวา ยังพูดถึงพาร์ทเนอร์ชิพ เป็นการสร้างความร่วมมือ การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับชุมชนไปถึงระดับนโยบาย หมายความว่า สสส. ไม่ได้ทำงานอยู่ฝ่ายเดียว แต่ทำงานกับเครือข่ายต่างๆ ทั่วประเทศ สรุปว่า สสส. ต้องการให้คนในสังคมมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่ดี รวมถึงสุขภาพทางปัญญาด้วย ซึ่งบทบาทของสื่อเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ช่วยสร้างสุขภาวะทางปัญญา
@หลักการให้ทุนสนับสนุนสื่ออยู่ตรงไหน
ที่กล่าวมาข้างต้น นำมาสู่การออกแบบยุทธศาสตร์งานของ สสส. ซึ่งที่ประชุมบอร์ดกองทุนฯ ได้กำหนดให้มีทั้งสิ้น 15 แผนงาน อาทิ แผนควบคุมการบริโภคยาสูบ แผนควบคุมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แผนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว ส่วนแผนงานที่เกี่ยวข้องกับสื่อโดยตรงอยู่ในแผนที่ 10 ชื่อแผนสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546
สำหรับแผนที่ 10 มียุทธศาสตร์อยู่ 2 ส่วน คือ 1.Media for Health คือ สนับสนุนสื่อที่มีพลังสร้างสรรค์ เพื่อให้เนื้อหาด้านสุขภาวะไปถึงกลุ่มเป้าหมายของ สสส. เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นต้น และส่วนที่ 2.Healthy Media คือ ส่งเสริมการทำงานให้มีระบบสื่อที่ดี กรณีสถาบันอิศราอยู่ในปีกหลังนี้
หัวใจสำคัญคือ สสส.จะจับมือกับพันธมิตรสื่อ ร่วมกันทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายให้มีสื่อที่ดี ส่งเสริมให้คนทำสื่อมีศักยภาพมีจริยธรรมในวิชาชีพ
เราทำงานกับวิชาชีพสื่อ ไปจนถึงสื่อพื้นบ้าน สื่อภาคประชาชน สื่อศิลปวัฒนธรรม สื่อเด็ก สื่อคนด้อยโอกาส เราเข้าไปหนุนเสริมให้เกิดสื่อที่เหมาะสมกับกลุ่มคนเหล่านี้ อย่ามองว่าเราเททั้งหมดลงไปที่สถาบันอิศรา เราทำงานกับกลุ่มชายขอบเยอะมาก แนวทางคือเราเลือกจะทำงานกับหน่วยงานสื่อที่มีพันธกิจในการพัฒนาศักยภาพสื่ออยู่แล้ว เราจะไม่ทำงานกับองค์กรสื่อรายฉบับหรือรายช่องที่ทำหน้าที่นำเสนอเนื้อหาเท่านั้น
ตัวเราเองเป็นอาจารย์ด้านนิเทศศาสตร์มาทั้งชีวิต ยึดหลักการมาตลอดว่าไม่แทรกแซงเนื้อหาข่าวสารของสื่อ เราเคารพการทำงานของสื่อทุกที่ รวมถึงไม่มีโครงการไปสนับสนุนการผลิตเนื้อหาข่าวสารของสื่อด้วย
@ทำไมถึงเน้นการสนับสนุนไปที่สถาบันอิศรา
เพราะสถาบันอิศราทำงานกับสมาคมสื่อหลายองค์กรมาก ทั้งสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ สภาการหนังสือพิมพ์ และชมรมนักข่าวต่างๆ รวมทั้งเครือข่ายนักวิชาการนิเทศศาสตร์ด้วย การที่ สสส. สนับสนุนสถาบันอิศราต้องเข้าใจด้วยว่าสถาบันอิศราไม่ใช่แค่คนไม่กี่คน แต่เป็นตัวแทนของกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ตรงนี้ พอนึกภาพออกใช่ไหม

@ ใน 14 โครงการ ระยะกว่า 7 ปี งบประมาณกว่า 96 ล้านบาทที่สนับสนุนสถาบันอิศรา มีรายละเอียดเป็นอย่างไร
ต้องบอกว่า 14 โครงการใหญ่เล็กไม่เท่ากัน อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท 1.โครงการส่งเสริมระบบสื่อ เป็นโครงการใหญ่ เฉลี่ยปีละ 12 ล้านบาท ตรงส่วนนี้สถาบันอิศราทำงานร่วมกับภาคีสื่ออื่นๆ ด้วย 2.โครงการจัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารงานสื่อ ทั้งรุ่นต้น รุ่นกลาง และรุ่นสูง แต่ละปีมีผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน
และ 3.โครงการระยะสั้น ดำเนินการประมาณ 6-12 เดือน เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือของเครือข่ายต่างๆ ที่จะดึงสื่อมาร่วมเป็นภาคีในการขับเคลื่อนสังคมบางประเด็น ไม่ได้เป็นโครงการประจำ อย่างเช่น 3 ปีก่อน มีการขับเคลื่อนเรื่องปฏิรูปสังคม ตอนนั้นภาคีพันธมิตรทั้งหลายเห็นความจำเป็นต้องมีสื่อมาร่วมด้วย เลยคิดว่าจะทำอย่างไรให้สื่อเห็นความสำคัญ
เราจึงเห็นว่าต้องทำเวทีเสวนาการมีส่วนร่วมของสื่อมวลชนในการปฏิรูป และไม่ใช่สื่อในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่หมายถึงสื่อทั้งประเทศ ก็ไปจัดมาทุกภูมิภาค โครงนี้ไม่ใช่โครงการหลักและใช้เงินน้อยมาก ใช้เพียงหลักแสนด้วยซ้ำไป แต่มีสื่อมาเข้าร่วมเป็นร้อยคน โครงการลักษณะนี้ได้มอบให้สถาบันอิศราเป็นผู้ดำเนินการจัดเวที
ถ้าพูดรวมๆ 14 โครงการ เกือบร้อยล้านอาจจะดูเยอะ จึงต้องแยกประเภทให้ดู จะเห็นจุดประสงค์ เป้าหมายและวิธีดำเนินงานที่แตกต่างกัน และคนที่เข้ามามีส่วนร่วมก็แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลา สสส. จะทบทวนแต่ละโครงการ เราจะมีการตรวจสอบเยอะมาก ทั้งการตรวจสอบการใช้เงิน สสส. ส่งผู้ตรวจสอบบัญชีไปดู ซึ่งทำตามขั้นตอนของสำนักตรวจเงินแผ่นดิน (สตง).ทุกขั้นตอน
และโครงการต่างๆของ สสส.ก็ต้องส่งให้ สตง. ตรวจเช่นเดียวกัน แต่ละปีก็ต้องทำรายงานส่งให้คณะรัฐมนตรีตรวจสอบ ก่อนส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาตรวจสอบด้วย และก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น เราเองก็ต้องส่งรายงานให้คณะกรรมการบริหารแผนตรวจสอบเช่นกัน ซึ่งมีการประชุมทุกเดือน มากกว่านั้นยังมีคณะกรรมการติดตามการทำงานของภาคต่างๆ อยู่เสมอ แล้วต้องมีผลประเมินด้วย
@สถาบันอิศราเสนอโครงการดังกล่าวมาด้วยตัวเอง ?
ไม่ใช่, เราเป็นคนไปชวนมาเอง การให้ทุนของ สสส. มีแบบเชิงรุกและเชิงรับ ที่ผ่านมา 90 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนโครงการเป็นเชิงรับ ซึ่งเปิดโอกาสหน่วยงานต่างๆ หรือประชาชนทั่วไปเสนอเข้ามา
ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์เป็นเชิงรุก ซึ่งจะมีงบประมาณที่สูงกว่า งบประมาณ 38 ล้านบาทต่อปี เพราะถือว่าเป็นการพัฒนางานร่วมกัน เชิงรุกที่ว่านี้ สสส. จะเสาะแสวงหาภาคีที่มีศักยภาพ สถาบันอิศราอยู่ในกลุ่มนี้ เวลาจะชวนใครมาเราต้องเห็นว่าเขามีบทบาทอยู่แล้ว
แต่ส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีโครงการมากที่สุด ทั้งกระทรวงต่างๆ หน่วยงานภาคประชาสังคม ภาควิชาการ ลดหลั่นกันลงมา ไม่ใช่สถาบันอิศราเป็นเบอร์ 1 ในการผูกขาดการได้ทุน
หรือถ้าเปรียบเทียบกว่าทำไมประชาไท หรือ TCIJ ได้ทุนน้อยกว่า ต้องบอกว่าขอบเขตงานไม่เท่ากัน ต้องยอมรับว่าสถาบันอิศราเป็นเครือข่ายที่ใหญ่กว่า แต่โครงการไหนที่ขอบเขตงานใกล้เคียงกัน ทุนก็เท่ากัน
@ส่วนหนึ่งเพราะ สสส.มีความคุ้นเคยกับสถาบันอิศรามาก่อน จึงง่ายต่อการเป็นภาคีร่วมกัน?
พูดว่าง่ายคงไม่ได้ คำนี้ดูอันตรายไปหน่อย เพราะกระบวนการของ สสส.เยอะมากอย่างที่อธิบายไปแล้ว ต่อให้เป็นภาคีเก่าแก่ทำงานด้วยกันมาหลายปี แต่ก็ต้องมีการประเมินผลทุกปี เริ่มนับศูนย์ใหม่หมด หากผลประเมินออกมาไม่ดี หรือตรวจสอบพบว่าทุจริตบางเรื่อง ก็ไม่ง่ายที่จะให้ทุนต่อได้ และหากสถาบันอิศราเปลี่ยนผู้อำนวยการ เราก็ไม่สนใจ ถ้าองค์กรยังรักษาคุณภาพการทำงานได้ดี
แต่ละโครงการ สสส.ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ ความสำเร็จของ สสส. อยู่ที่หน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพโครงการ สามารถดำเนินพันธกิจของเขาต่อไปได้เอง หรือสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง เราก็จะค่อยๆ ถอนตัวออก
สสส.มีหลายหมื่นโครงการ อาจจะไปหารือกันต่อว่าข้อมูลที่คนทั่วไปสามารถสืบค้นได้ในเว็บไซต์ สสส. ควรมีอะไรบ้าง แทนที่จะมีแค่ชื่อโครงการ ก็อาจเพิ่มรายละเอียดสั้นๆ เข้าไปด้วย
@ ทราบว่าสถาบันอิศรา ภายใต้มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย มีคุณมานิจ สุขสมจิตร ประธานฯ และยังเป็นที่ปรึกษากองทุนด้านการตลาดและการสื่อสารเพื่อสังคมของสสส.ด้วย ?
เรามีระเบียบในการระมัดระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ มีคณะกรรมการตรวจสอบที่เข้มข้นมาก ไม่เคยมีประเด็นเรื่องผลประโยชน์กรณีนี้
และโครงการเหล่านี้คุณมานิจไม่เคยเกี่ยวข้องเลย การดำเนินการต่างๆ คุณมานิจก็มอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสถาบันอิศรามาดำเนินการ และคุณมานิจจะออกตัวเสมอว่า หากมีวาระที่มาจากสถาบันอิศรา จะขอไม่ร่วมประชุมด้วย
ส่วนที่ตั้งข้อสงสัยเรื่องทุนที่ให้สถาบันอิศรา ผลการตรวจสอบบัญชีจากสตง.ทุกปีที่ผ่านมา ยังไม่พบข้อบกพร่อง ผลการประเมินทางด้านเนื้อหาโครงการก็ยังเป็นไปตามเป้าหมายทุกประการ
@ ความสัมพันธ์ส่วนตัวของสสส.กับองค์กรภาคี มีผลในการประเมินของโครงหรือไม่
ไม่มี, ยืนยันได้เลย ถ้ามีตัวเองอยู่ไม่ได้แล้ว เชื่อว่ามีเกียรติมีศักดิ์ศรีพอที่จะไม่เอาตัวเองมาทำให้เกิดความเสียหาย บอกแทนทุกคนใน สสส.ได้เลยว่าการมาเริ่มทำงานที่นี่ แต่ละคนไม่ได้เริ่มจากศูนย์ บางคนมาจากรองอธิบดี รองปลัด บอกตรงๆว่าคนที่มาทำงานที่นี่ไม่ได้ต้องการมาแสวงหาประโยชน์ แต่ต้องการมาสร้างคุณประโยชน์ เป็นแบบนี้จริงๆ
อย่ามอง สสส.เป็นแค่องค์กรให้ทุน อยากให้มองว่า สสส.เป็นสถาบันทางสังคมที่ชวนทุกคนมาทำงานขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความอยู่เย็นเป็นสุขดีกว่า สมัยนี้พูดคำว่าดีหรือเลวก็อันตราย (หัวเราะ) ใช่ไหม ใช้คำภาษาชาวบ้าน ง่ายๆว่าอยู่เย็นเป็นสุข และส่วนตัวก็เป็นคนที่ถือเรื่องอุดมการณ์มากๆ ไม่ใช่เรื่องดีหรือเลว แต่เป็นเรื่องคำมั่นสัญญา หลักการ จรรยาบรรณวีชาชีพ รับรองได้ว่าตัวเองจะไม่ปล่อยให้ สสส.เพลี่ยงพล้ำกลายเป็นฝ่ายแทรกแซงสื่อเสียเอง
@ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเมืองมีผลต่อทุกมิติของสังคม ที่ผ่านมา สสส.เองก็ถูกตั้งคำถามว่าลอยอยู่เหนือความขัดแย้ง เช่น วันนี้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ สื่อก็มีน้ำเสียงในข่าวต่างกันไป นอกจากศักยภาพขององค์กรสื่อที่ไปสนับสนุน เอาชัดๆ ว่า สสส.ได้พิจารณาทัศนคติด้านประชาธิปไตยขององค์กรภาคีบ้างหรือไม่
เราเป็นองค์กรที่ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมือง และไม่ได้เป็นหน่วยงานตรวจสอบสื่อ เป็นหน้าที่ของผู้บริโภคสื่อทุกคน และต้องสะท้อนกลับไป หากเห็นว่าสื่อทำหน้าที่บกพร่อง ผู้บริโภคต้องมีความเข้มแข็งในการตรวจสอบ
บทบาทของ สสส. คือทำให้ผู้บริโภคมีความคุณภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้บริโภคจะต้องไปตรวจสอบเรื่องเลือกตั้ง อันนี้ไม่เกี่ยว
คำถามนี้เป็นเรื่องอัตวิสัย ตอบลำบาก ต่อให้บอกว่ามีเส้นแบ่งที่ชัดเจน คุณก็อาจจะไม่เชื่ออีก แต่เอาเป็นว่าเรายังสามารถทำงานกับสื่อทุกค่ายได้ เราไม่ได้ทำงานกับค่ายความคิดเดียว แต่สนับสนุนทุกกลุ่มที่มีศักยภาพและมีความตั้งใจ มีความหวังดี อยากร่วมกันทำงานขับเคลื่อนสร้างเสริมสุขภาวะ
และนอกจากภาคีที่ทำงานด้านพัฒนาศักยภาพสื่อ ตามยุทธศาสตร์ของเรา คือ อยากเห็นสื่อแข็งแรง มีคุณภาพ มีจรรยาบรรณ ยังมีอีกกลุ่มที่เราทำงานด้วยคือกลุ่มผู้บริโภคสื่อ ซึ่งเราอยากเห็นความตื่นตัวในการตรวจสอบสื่อเช่นกัน
ส่วนสื่อจะเชิดชูประชาธิปไตยหรือไม่ ต้องให้ประชาชนเป็นฝ่ายตัดสิน สิ่งที่เราส่งเสริมผู้บริโภค คือ เป็นผู้รับสื่อที่เท่าทัน ประเมินและหาเหตุผลในการนำเสนอข่าวสารของสื่อนั้นๆ ได้ด้วยตัวเอง
ที่ถามประเด็นประชาธิปไตย เราคิดว่าประชาธิปไตยก็เป็นอุดมการณ์ทางสังคมที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข เป็นเป้าหมายของสังคมสุขภาวะ ถูกต้องไหม แต่ สสส.ไม่ได้มีหน้าที่ไปชี้ผิดหรือถูกว่าคุณเป็นสื่อที่ไม่มีประชาธิปไตย ตรงนี้เป็นหน้าที่ตัดสินของประชาชน
เราเพียงช่วยโอบอุ้ม สร้างบรรยากาศนำพาไปในทิศทางที่เราคิดว่าเป็นสังคมประชาธิปไตย เราคิดแบบนี้ เราไม่สามารถเอาความคิดเห็นส่วนตัวทางการเมืองเข้ามากระทบกับองค์กร ทำแบบนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะเราเป็นสถาบันทางสังคมที่เป็นของทุกคน ไม่ได้แยกว่าใครสีอะไร ถ้าอยากร่วมกันทำให้สังคมอยู่ดีมีสุข เรายินดีเลย

(อ่านประกอบ: "มติชน" ถาม "ผอ.อิศรา"ตอบ! ปมรับงบ "สสส."-จ้องเล่นนักการเมืองบางฝ่าย)

'ทพ.กฤษดา' ทิ้งเก้าอี้ ผู้จัดการ สสส. เปิดทางให้ตรวจสอบการทำงาน

วันศุกร์ ที่ 16 ตุลาคม 2558 เวลา 11:32 นสำนักข่าวอิศรา

ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสสส. เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน  ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้ผู้มีความรู้ความสามารถมาบริหารแทน พร้อมยืนยันไม่มีการทุจริตเรื่องการเบิกใช้งบ ช่วงบ่ายเตรียมยื่นใบลาออกต่อบอร์ด สสส.
16
วันที่ 16 ตุลาคม เวลา 11:00 น. ณ อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซอยงามดูพลี เขตสาทร กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน  ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้ผู้มีความรู้ความสามารถมาบริหารแทน พร้อมกับยืนยันไม่มีการทุจริตเรื่องการเบิกใช้งบ โดยช่วงบ่ายเตรียมยื่นใบลาออกต่อคณะกรรมการ สสส.
จากนั้น เวลาประมาณ 12.00 น. ทพ.กฤษดา ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “Krissada Raungarreerat” ชี้เเจงกรณีการตัดสินใจลาออกจากตำเเหน่ง ว่า สสส. เป็นองค์กรที่ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล เมื่อมีผู้ตั้งคำถามกับ สสส. เพื่อให้เป็นมาตรฐานความโปร่งใสของสังคม และสบายใจกับทุกฝ่าย ผมจะขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการ สสส. โดยผมจะยื่นหนังสือลาออกต่อ ประธานคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม ในช่วงบ่ายนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้กลไกการตรวจสอบทำงานได้อย่างเต็มที่ และแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธ์ โปร่งใสของผมและ องค์กร สสส.
"ถึงแม้ผมไม่ได้เป็น ผจก. สสส. แล้ว ผมยังคงจะเดินหน้าทำงานเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ผมมีความชื่นชมและเชื่อมั่นในความตรงไปตรงมาของท่าน พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา ตามที่ท่านได้ให้ข่าวว่าจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ข้อมูลพร้อมกัน ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายจะได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน"
ผู้จัดการ สสส.ยังชี้เเจงผ่านเฟซบุ๊ก เชื่อมั่นในความรอบรู้และความเป็นนักวิชาการของ ศ.นพ.ปิยะสกล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสุขภาพ จะได้ช่วยทำความชัดเจนถึงขอบเขตของการสร้างเสริมสุขภาพ ตามหลักสากลที่ได้รับการยอมรับ
"ผมมีความเคารพและเชื่อมั่นในความเที่ยงธรรมของนายกรัฐมนตรี ที่จะรับฟังข้อมูลและข้อเท็จจริง สุดท้ายนี้ผมเชื่อมั่นในความถูกต้อง ความดี และเชื่อมั่นในสื่อมวลชนทุกท่าน ที่จะช่วยดูแลองค์กรที่มีคุณประโยชน์องค์กรนี้"
ทั้งนี้ มีรายงานว่า เวลา 14:00 น. พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซอยงามดูพลี เขตสาทร กรุงเทพฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ดำรงตำเเหน่งผู้จัดการ สสส. ตั้งเเต่ปี 2553 โดยเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเเละผลักดันโครงการเเละกิจกรรมปลอดเหล้าเเละบุหรี่ให้เป็นรูปธรรม อาทิ สวดมนต์ข้ามปี งดเหล้าเข้าพรรษา รวมถึงรณรงค์ลดการบริโภคน้ำตาลในเด็ก
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ผู้จัดการ สสส. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตอนหนึ่งระบุ หากผมจะโดนปลด หรือดำเนินการใด ๆ ก็พร้อมจะยอมรับทุกประการ เเละขอร้องภาคีทุกคน ไม่ให้เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น แต่อยากขอให้ ช่วยกันสื่อสารงานของทุกคนออกไป ว่าสร้างประโยชน์ให้กับสังคมไทยอย่างไรบ้าง?

"บิ๊กหมู"ย้ายผู้พันทบ. 171 ตำแหน่ง ฮือฮา ย้าย"เด็กบิ๊กต๊อก" เสียบแทนเด็กบิ๊กป้อม

วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 18:24:42 น มติชน


เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ลงนามในคำสั่งกองทัพบกที่   603/2558 เรื่องให้นายทหารรับราชการและปรับระดับเงินเดือน จำนวน 171 ตำแหน่ง ลงวันที่ 15 ต.ค.2558 ซึ่งเป็นการโยกย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพัน โดยการปรับย้ายครั้งนี้เป็นไปตามวาระปกติ มีตำแหน่งสำคัญประกอบด้วย พ.ท.มลชัย ยิ้มอยู่ หน.กพ.ทบ. และเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการของพล.อ.ธีรชัย เป็น ผบ.ร.31 พัน 3 รอ. พ.ท.ชุติภัทร วรรณทอง ผบ.ช.พัน 52 ช.1 รอ. เป็นผบ.ช.พัน 112 ช.1 รอ. พ.ท.องอาจ แจ่มดี ฝอ.3 ช.1 รอ.เป็น ผบ.ช.พัน 52 ช.1 รอ.  พ.ท.กฤษดา หิรัญโรจน์  ผช.ฝอ.5 ทภ.1 เป็นผบ.ร.31 พัน 2 รอ.  พ.ท.นัฐพล วิเชียรวรรณ ผบ.ป.พัน 11 รอ. เป็นผบ.ป.พัน 1 รอ.  พ.ท.โชคดี  อัมพรดิษฐ ผช.ผปยส.ป.1 รอ. เป็น ผบ.ป.พัน 11 รอ.  พ.ท.ไพศาล พิศาลยุทนาพงษ์ หน.ฝกบ.พล.ร.2 รอ. เป็น ผบ.ร.2 พัน 1 รอ.  พ.ท.อภิชัย จูสนิท หน.ฝกร.พล.ร.2 รอ. เป็นผบ.ร.12 พัน 2 รอ.

พ.อ.เสกสรรค์ พรหมศักดิ์ ผบ.ร.13 พัน 3 รอ. เป็นรอง ผบ.ร.12 รอ. พ.ท.กิตติ ประพิตรไพศาล ผบ.ร.12 พัน 1 รอ. เป็น ผบ.ร.12 พัน 3 รอ.  พ.ท.ชัยณรงค์ กาสี หน.ฝยก.พล.ร.2 รอ.เป็น ผบ.ร.12 พัน 1รอ.  พ.ท.วรชิน เยาวรัตน์ ผช.ฝกบ.ทภ.1 เป็น ผบ.ช.พัน 2 รอ. พ.อ.วรรธ อุบลเดชประชารักษ์ เสธ.ร.19 เป็นผบ.กรม.ทพ.14   พ.ท.พงศ์พัฒน์ ห้องสินหลาก ผบ.ร.19 พัน.1 เป็นเสธ.ร.19  พ.ท.นพดล ภาคาผล ผช.ฝกพ.ทภ.1 เป็น ผบ.พัน.ร.19 พัน 1  พล.ท.รณวรรณ พจน์สถิต ผบ.ร.9 พัน 2 เป็น เสธ.ร.9  พ.ท.สรายุทธ  ศรลัมพ์ ฃผช.ฝยก.ทภ.1 เป็น ผบ.ร.9 พัน 2 ขณะที่พ.ท.มหิธร บุญครอง ผบ.ม.พัน 30 พล.ร.2 รอ. น้องรักของพล.อ.วลิต โรจนภักดี รองผบ.ทบ. เป็น หน.กยก.มทบ.12  พ.ท.เริงณรงค์ ชาวล้อม ผช.ฝยก.ทภ.1 เป็น ผบ.ม.พัน 30 พล.ร.2 รอ.  พ.อ.วิบูลย์ ศรีเจริญสุขยิ่ง ผบ.พัน.ร.มทบ.11 เด็กของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถูกย้ายไปเป็น ผบ.ศฝ.นศท.มทบ.12  พ.อ.ถิรเดช ลิ้มคุณากุล ฝสธ.ประจำผู้บังคับบัญชานายทหารคนสนิทของพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม มาเป็น ผบ.พัน.ร.มทบ.11  พ.ท.กฤษฎา จินเลิศ ผช.ฝยก.ทภ.1 เป็น ผบ.ช.พัน.9


พ.อ.ชายธนัญชา วาจรัต หก.กส.ทบ. เป็น ผบ.กรม ทพ.13  พ.ท.อวยชัย จุลเหลาจเร พล.ร.3 เป็น ผบ.ร.3 พัน 3  พ.ท.ธานินทร์ ดมหอม หน.ฝขว.พล.ร.6 เป็น  ผบ.ร.23 พัน.1  พ.ท.ปฏิภาณ พนาพิศาล ผช.ฝปยส.ป.3 เป็น ผบ.ป.พัน 3 พ.ท.วีระวัฒน์ ท้าวพิมพ์หน.ฝขว.พล.ร.3 เป็น ผบ.ร.13 พัน.3  พ.ท.กล้าณรงค์ วิสุตกุล รอง เสธ.ร.16 เป็น ผบ.ร.16 พัน.2 พ.ท.เอนก พรหมทา  รอง ศฝ.นศท.มทบ.23 เป็น ผบ.ม.พัน 6  พ.ท.สหะภาพบุตรลา  รองเสธ.ร.8 เป็น  ผบ.ร.8 พัน 3  พ.ท.พงษ์เทพ เทพคำรามหน.ฝกพ.พล.ร.6  เป็น ผบ.ร.6 พัน.3  พ.ท.สรพงษ์ ลือขจร ผช.ฝยก.ทภ.2 เป็นผบ.พัน.ร.มทบ.21 พ.ท.ภาสกร  ปลอดในเมืองชญ.พล.พัฒนา 2 เป็นผบ.ช.พัน. 3 พ.ท.ชนกานต์ แสงศร หน.ฝยก.พล.ร.4 เป็น ผบ.ร.14พัน.2 พ.ท.เฉลิมชาติ สุขเกษ ผบ.พัน.พัฒนาที่ 3 เป็น ผบ.ช.พัน.4 พ.ท.สุพรรณ  ร้อยพุทธ ผช.ฝยก.ทภ.3 เป็น ผบ.ม.พัน.13พ.ท.จิตรพล รุจานันท์ รองเสธ.ม.3 เป็น ผบ.ม.พัน.10พ.ท.เชิดพงศ์ ช่วยบำรุง หน.ฝกร.พล.ม.1 เป็น ผบ.ม.พัน.18 พ.ท.ณัฐวุฒิ เอี่ยมสูงเนินผช.ฝอ.5 ทภ.3 เป็น ผบ.ป.พัน.20 พ.ท.วุทธิพัฒน์ ปรัชญ์ฐากรณ์ หน.ฝกพ.พล.ม.1 เป็น ผบ.ม.พัน 26 พ.ท.อนุวัช ปัญญานนท์รองเสธ.ม.2 เป็น ผบ.ม.พัน.7


พ.ท.โกเมธ รัตนผ่องใส หน.ฝยก.พล.ร.5 เป็น ผบ.ร.15 พัน 2  พ.ท.วัชราวุธยิ่งยง หน.ฝผค.พล.พัฒนาที่ 4 เป็นผบ.ช.พัน.15  พ.อ.อิศรา จันทะกระยอม ผบ.กรม.ทพ.41 เป็น ผบ.กรม.ทพ.44  พ.อ.สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง เสธ.ร.153 เป็น ผบ.กรม.ทพ.41  พ.ท.ธายุทธ  สวนกูล รองเสธ.ร.15 เป็น ผบ.ร.25 พัน.1  พ.ท.ชาคริต หยังหลัง ผบ.หน่วยฝึก นศท.มทบ.46  เป็นผบ.ป.พัน.25  พ.ท.บรรเทิง ขำมี หน.นสศ.เป็น ผบ.รพศ.4 พัน  พ.ท.อรรถกร ด่านสกุล รองผบ.พัน ปพ. เป็นผบ.พัน.ร.รพศ.ศสพ.  พ.ท.พณศธร โพธิ์กล่ำ หน.ฝกบ.พล.ม.2 รอ. เป็น ผบ.ม.พัน 23 รอ. พ.ท.วีระชัย ผองแก้ว หน.ฝขว.พล.ม.2 รอ.เป็น ผบ.ม.พัน.17 รอ.  พ.ท.ธนพล วงษ์สวัสดิ์ ผบ.ม.พัน 11 รอ. เป็น ผบ.ม.พัน.1 รอ.  พ.ท.อำนาจ วชิรศักดิ์โสภานะ รองเสธ.ม.4 รอ. เป็น ผบ.ม.พัน.11 รอ.  พ.ท.จิรเดช พงศ์สุวรรณ หน.ฝกบ.ศปภอ.ทบ. เป็น ผบ.ปตอ.พัน.1 รอ.  พ.ท.เฉลิมพล ยังประดับ  ผช.ปอ.กขว.ปฏิบัติการ นปอ.เป็น ผบ.ปตอ.พัน.7  พ.ท.สุพจน์  เจิมเกตุ หน.ฝกบ.พล.ปตอ. เป็นผบ.ปตอ.พัน.2  พ.ท.มานพ เกล็ดกฤช ผบ.พัน.รร.ร.ศร. เป็น ผบ.ศร.พัน.1  และพ.ท.ธนยศ ศุกระพรรณนา ผบ.พัน.รร.ม.ศม. เป็นผบ.พัน.ศม.

ด้าน วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหารชื่อดัง โพสต์เฟสบุ๊ก ระบุว่า โผผู้พัน ทบ.บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย ผบ.ทบ.ย้าย ผู้พันต๋อง พันเอกวิบูลย์ ศรีเจริญสุขยิ่ง ไป ผบ.ศูนย์ฝึก นักศึกษาวิชาทหาร มทบ.12 สระแก้ว ส่ง เสธ.โหล่ พันเอก ถิรเดช ลิ้มคุณากูล (ตท.34) เด็ก บิ๊กต๊อก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม นั่งผบ.พันร.มทบ.11 แทน เพื่อมาคุมเรือนจำ มทบ.11 คุมมือระเบิดราชประสงค์ เอง ทั้งๆที่ พันเอกวิบูลย์ เพิ่งเป็น ผู้พัน แค่2 ปี แถมเป็นเด็ก บิ๊กป้อม พลเอก ประวิตร

หมอ..หมอ"การเมือง"ในสสส. เปลว สีเงิน

16102558 หมอ..หมอ"การเมือง"ในสสส. เปลว สีเงิน
@ ความเห็นฉันท์สหาย
วันนี้ ออกคิดต่างจากพี่เปลว
12. หมอประเวศ วะสี : ปัจจัยที่กำหนดสุขภาพมากกว่า 80 %
อยู่นอกแวดวงการสาธารณสุข อย่าไปตีกรอบว่า อะไรอยู่นอกหรือในหน้าที่ แต่ถือผลประโยชน์ของประชาชน เป็นตัวตั้ง จะไม่ดีกว่าหรือ
@ ปฏิรูประบบสุขภาพ: ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจความหมายของสุขภาพขององค์การอนามัยโลก
เพราะทรรศนะเก่ากำลังทำลายกลไกดีๆในสังคมไทยอย่างไม่น่าเชื่อ???
13. ชัยวัฒน์ สุรวิชัย : ปัญหาใหญ่ของประเทศไทย คือคนไทย
โดยเฉพาะ “ นักการเมือง ข้าราชการนายทุน “ มักมีกรอบคิดที่แคบ
ทำตามอำนาจเพื่อตนเอง
คิดแคบใจแคบ ขาดความรู้ความเข้าใจ ใช้สติปัญญาน้อยไป
ในการมองปัญหาของสังคมไทยที่โยงใยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในยุคทุนโลกาภิวัฒน์
ต้องมองให้กว้างให้ไกล มองไปให้เห็นถึงประชาชนประเทศไทย มากกว่าตนเอง
การสรุปประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้เข้าใจปัญหาได้ดีขึ้น
@ การแก้ปัญหาสุขภาพของประเทศไทย
ที่ลำพังการแก้ด้วยระบบสาธารณสุขเก่าไม่ได้ผล ทั้งๆที่ใช้งบมหาศาล เพราะมองแต่สุขภาพคน
แต่ไม่ได้มองสิ่งแวดล้อมโดยร่วม ที่ก่อปัญหาต่อสุขภาพของชาวบ้าน
นี่ยังไม่นับ ปัญหาที่เกิดจากนักการเมืองนายทุนธุรกิจ ที่เน้นธุรกิจมากกว่า ชีวิตคน
เมื่อมีการกำเนิด สสส. ขึ้น
ได้สร้างผลงานให้เกิดขึ้น ลงไปติดดิน ถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง
เพราะมองทั้งตัวคน สภาพสังคมเศรษฐกิจการเมืองวัฒธรรม
@ ฉะนั้นขอให้ทุกฝ่ายจงมีสติ คิดให้รอบคอบ มองภาพรวมของปัญหา
อย่าเอา กรอบคิดของข้าราชการเก่า ที่มีความขัดแย้งฯ เป็นตัวนำ
อย่าเอา เรื่องข้ออ่อนและข้อบกพร่อง ที่เกิดขึ้น มาเป็นตัวตัดสิน
อย่าเอา เรื่องงบประมาณ ที่ความจริงไม่ได้มาก มาชี้นำ
อะไรที่เป็นข้ออ่อน ก็แก้ไขปรับปรุงให้ดีให้ถูก
@ ต้องรักษาหลักการใหญ่ที่มีคุณค่า มีความหมายของสสส.ต่อชาวบ้าน
อย่าให้กระแสจากข้าราชการนักการเมืองทุนธุรกิจผ่านสื่อ มาทำลาย
สสส. เป็นองค์กรหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับเชื่อถือจากองค์กรอนามัยโลก
และส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพจากทั่วโลก
ฝากให้ผู้นำรัฐบาล ที่จะคืนความสุขให้ประชาชน ได้คิดให้ลึก
ขอให้ประชาชนและชาวบ้านฯ จงออกมาปกป้องรักษาสิ่งที่ดีงามไว้คู่ไทย.
................................
พี่เปลว พูด :

เอออ...ว่าจะไม่คุยเรื่อง สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) เพราะเห็นว่า "เพลิงอยู่ในวงจำกัด" แค่เรื่องตรวจสอบการทำงานว่าเป็นไปตามวัตุประสงค์แค่ไหน?

แต่เมื่อวาน (๑๕ ต.ค.๕๘) นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตสปช. ท่าจะสนิท-ลึกซึ้งกับนายกฯ ประยุทธ์เอามากๆ จึงรู้ล่วงหน้า ออกมาฟันธงฉับๆ

“เชื่อว่ามีการทำหนังสือเตรียมเสนอให้นายกฯ ลงนามให้ สสส.หยุดกิจการชั่วคราวเพื่อปรับปรุง พร้อมทั้งปลดผู้จัดการ และยุบบอร์ด สสส.ใช้ทหารเข้าบริหารแทน เช่นเดียวกับ สปสช.ที่ผ่านมา...ฯลฯ...”
ผมงงเต๊กเลย.........!

เพราะที่หมอพลเดชพูด ตรงข้ามที่นายกฯ ประยุทธ์พูดว่า....

"ให้ คตร.ตรวจทุกวัน จะได้ไม่ต้องมีการกล่าวอ้างว่าไม่มีความเป็นธรรม แต่ไม่ได้ชี้ว่าผิดหรือถูก เพราะข้อกฎหมายหรือระเบียบเดิม กองทุนต่างๆ เขียนไม่ชัดเจน มีวิธีการพิจารณาที่กว้างเกินไป ขณะนี้ ฝ่ายกฎหมายพิจารณาอยู่ ร่างระเบียบใหม่ ทบทวนใหม่ เพราะกองทุนเหล่านี้ หยุดไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อน"
และตรงข้ามที่ พล.อ.ชาตอุดม ติตถะสิริ ประธาน คตร.พูดว่า...
"รายงานผลสอบกับนายกฯ ไปแล้ว ซึ่งพบการใช้งบประมาณส่วนหนึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ โดยนายกฯสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขไปดูเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อให้การใช้งบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนนี้....."
เนี่ย...นายกฯ บอกให้ คตร.ตรวจทุกวัน ไม่ได้ให้ชี้ว่าผิดหรือถูก และการทำงานของ สสส.หยุดไม่ได้
ส่วนจะปรับ-เปลี่ยนองค์กรยังไง อยู่ระหว่างให้ฝ่ายกฎหมายทำอยู่!
แล้วหมอพลเดชพูดเป็นตุ-เป็นตะ เตรียมให้นายกฯ ลงนาม สั่ง สสส.หยุดกิจการ?
ทั้งปลดผู้จัดการ เปลี่ยนบอร์ด ซึ่งนั่น...เท่ากับปล้น "ยึดกิจการ" ทำเหมือนกองโจร ไม่ใช่รัฐบาลทำ
ร้ายยิ่งกว่า "รื้อบาร์เบียร์" ด้วยซ้ำ!
การพูดแบบนี้ หมอพลเดชอาจได้ แต่นายกฯ จะเสียหรือไม่ ผมไม่รู้?
ที่บอก "เชื่อมีการทำหนังสือเตรียมเสนอให้นายกฯ ลงนาม" นั่นน่ะ....
เชื่อจากอะไร นายกฯ บอก ใครบอก หรือเข้าทรงเอา หรือมโนตามวิสัยประจำ?
ที่พูดและถามประเด็นนี้ เพราะ.......
ผมไม่เชื่อ จะมีผู้บริหารคนไหนในโลก จะสั่งองค์กรหยุดกิจการกึ่งรัฐ ด้วยแค่จะตรวจสอบการทำงานคน?
องค์กรนั้น ไม่มีอะไรต้องผิด ถ้าจะมีผิด ก็ตรงบางคน ก็แก้ตรงบางคน ไม่ใช้แก้แบบทุกคนในองค์กร "ผิดหมด"
สสส.ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. ถ้าจะปรับ-เปลี่ยนไปจากเดิม ต้องไปเริ่มจากกฎหมาย ไม่ใช่จากปลายนิ้วชี้ "สั่งหยุดกิจการ" เหมือนผับ, บาร์
ส่วนการ "ปลดผู้จัดการ-ยุบบอร์ด"...นี่แยกเป็นอีกประเด็น
"ปลดผู้จัดการ"....
ขึ้นอยู่กับผลสอบ สตง.-คตร. และจาก รมว.ยุติธรรม รมว.สาธารณสุข ที่นายกฯ ให้ลงไปดูแต่ละเรื่อง ว่าหนัก-เบาสถานใด
ถ้าเบา ผลสรุปชัดแล้ว จบได้ที่นายกฯ
แต่ถ้าหนัก คงต้องไปตั้งต้นที่ ป.ป.ช.และไปจบที่ศาล!
นายกฯ เป็นประธานกองทุนตามกฎหมายอยู่แล้ว การปลดก่อนมีผลสอบ ใครเขาก็ไม่ทำให้เกิด "กรดไหลย้อน" กับตัวเอง!
แต่การสั่ง "พักงาน" มีความเป็นได้ ขึ้นอยู่กับผลสอบในมือนายกฯ
กรณี สสส. ผู้จัดกาารคือ "ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์" ดูท่านมั่นใจตัวเองมาก โต้ทุกเม็ด ไม่เว้นกระทั่งนายกฯ......
"...ประเด็นที่ระบุ ว่าการใช้งบประมาณไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เกิดจากการตีความที่ไม่เหมือนกัน เนื่องจาก คตร.และ สตง.ตรวจสอบโดยมองในมุมของผู้ตรวจสอบบัญชี ทำให้ข้อมูลหลายอย่างอาจคลาดเคลื่อนของตัวเลข หรือการตีความที่ผิดพลาด ทำให้มองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ สสส.ยืนยันว่าไม่มี"
แถมโพสต์ fb "จดหมายเปิดผนึก" เป็นยิ่งลักษณ์ ๒ ว่า........
"หากผมจะโดนปลด หรือดำเนินการใดๆ ก็พร้อมจะยอมรับทุกประการ หลายวันนี้ สสส.โดนกล่าวหาและโจมตีด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ทั้งที่ สสส.เป็นองค์กรมีความโปร่งใส และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศอย่างมากมาย ........อย่างไรก็ตาม หลายหน่วยงานที่กล่าวหา เพราะความไม่เข้าใจ และมองสุขภาพในแบบที่แคบ หากองค์กรเหล่านี้เปิดโอกาสให้ สสส.ได้เข้าไปชี้แจง พูดคุยทำความเข้าใจบ้าง ก็น่าจะเห็นและเข้าใจสุขภาพแบบที่ สสส.ทำ ว่ามีประโยชน์เพียงใด.....
ที่ผ่านมา สสส.ยังไม่มีโอกาส แม้แต่จะชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงใดๆ ให้กับหน่วยงานที่เข้ามาตรวจสอบเหล่านี้เลย ข้อสรุปของหน่วยงานเหล่านี้ จึงมีขัอมูลที่ไม่ถูกต้อง และทำให้สังคมเข้าใจผิดต่อ สสส.อย่างมาก"
ก็กล้าดี แต่กล้าถูกเรื่อง ถูกที่ ถูกคน หรือไม่นั่น เป็นอีกเรื่อง เช่น โต้ว่า "คตร.และ สตง.ตรวจสอบโดยมองในมุมของผู้ตรวจสอบบัญชี ทำให้ข้อมูลหลายอย่างอาจคลาดเคลื่อนของตัวเลข หรือการตีความที่ผิดพลาด ทำให้มองว่ามีผลประโยชน์" นั้น
ต้องถือว่าเป็น "ตรรกะเฉพาะตัว" จริงๆ!?
ยิ่งที่โต้ว่า..."เป็นการกล่าวหา, โจมตีด้วยข้อมูลไม่ถูกต้อง, คตร.-สตง.-นายกฯ "มองมุมแคบ " ไม่เปิดโอกาสชี้แจง"
เป็นความกล้าบนการลืมกำเนิด สสส. คือ สสส.ไม่ใช่ธุรกิจทุนวงศ์ตระกูลส่วนตัวใคร แต่เป็นเงินจากประชาชนที่รัฐไปรีดมาให้จากเหล้า-บุหรี่ อีกทั้งตัวเองก็บอก "พร้อมให้ตรวจสอบ" ฉะนั้น การตรวจสอบ เป็นเรื่องปกติ
เมื่อเขาตรวจสอบ ในความเป็นทองบริสุทธิ์ที่ยืนยัน อยู่เฉยๆ เขาอยากตรวจอะไรก็ให้เขาตรวจ ไฟนั้น...จะเป็นแค่ไฟเตาผิง ที่ให้ความอุ่น
แต่จากประเด็นที่โต้ แสดงถึงไม่เข้าใจยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีการทำงานของทหาร
อีกทั้งไม่เข้าใจว่า "คนที่หลอมมาจากเบ้าทหาร การท้าทาย-ดูแคลน ผลมันคืออะไร?
จากไฟเตาผิง ดูท่าจะเหมือนไฟไหม้ห้องพระบิ๊กจิ๋วไปเสียแล้ว!
และเท่าที่ ทพ.กฤษดาโพสต์ แสดงว่าตัดสินใจ "สละตำแหน่ง" ก่อนนายกฯ มีคำสั่งอย่างหนึ่ง-อย่างใด ซึ่งก็เห็นใจ และเข้าใจได้
แต่ที่หมอพลเดชแถลงอีกตอน ว่า
"สสส.มีศัตรูหลายด้าน โดยเฉพาะองค์กรนี้ใช้งบประมาณจากภาษีเหล้า-บุหรี่ เพื่อรณรงค์ให้คนงดดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำให้กลุ่มทุนทั้งในและต่างประเทศไม่พอใจอยู่แล้ว
...........แต่สาเหตุใหญ่มาจาก "บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ" ที่ได้รับผลกระทบมากจากการออกมารณรงค์ลดการสูบบุหรี่ในประเทศไทย จนมีผลกระทบต่อบริษัทที่ผลิตบุหรี่ทั้งใน และต่างประเทศ
นอกจากนั้น "ยังมีส่วนในการยกร่างกฎหมายด้านสุขภาพ ที่เกี่ยวกับการลดอัตราการดื่มสุราและสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะถูกยุบองค์กร ซึ่งการตัดสินใจยุบหรือไม่ผู้ที่ตัดสินใจคือนายกฯ"
สรุปสั้นๆ ชัดๆ ตามที่หมอพลเดชต้องการสื่อถึง คือ
เหนือรัฐบาล คสช.ต่อ สสส.ครั้งนี้ คือ....
"บริษัทบุหรี่ข้ามชาติ"!?
นับเป็นจิกซอว์ "ร้ายกาจ" จริงๆ ร้ายกาจถึงขั้นว่า สมมุติหมอกฤษดาลาออกจากผู้จัดการ สสส. แทนที่จะจบ
อาจต้อง "เจ็บต่อ" จากความหวังดีของ "เพื่อน" ลักษณะนี้?!
หมอพลเดช "ต้องการอะไร" กันแน่ ที่ออกมาพูดครั้งนี้ ก็แก้ผ้าโทงๆ อยู่ตรงนี้เอง..........
"ทางออกที่จะทำให้องค์กรอิสระต่างๆ เดินหน้าต่อไปก็มีอยู่....ฯลฯ.... ซึ่ง สสส.มีการประชุมกันทุกเดือนที่สวนสามพราน พบว่าสถานการณ์หนักมาก ล่าสุดนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นรองนายกฯ ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งต้องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
และตรงนี้เองที่ กลุ่มประชาสังคม ได้มีโอกาสเสนอแนวทางการทำงานแบบประชารัฐต่อนายสมคิด
ซึ่งในหลักการเป็นที่ยอมรับ ทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เห็นด้วย และมีการพูดถึงการทำงานแบบ "ประชารัฐ" ไปแล้วหลายครั้ง
การพัฒนาดังกล่าว สสส.น่าจะมีส่วนเข้ามาทำงานยกระดับกระบวนการประชารัฐและสร้างเสริมสุขภาพไปพร้อมๆ กัน"
โถ...ที่แท้ก็ "แก๊งสามพราน"!
สสส.ตั้งด้วยวัตุประสงค์อะไร ที่นายกฯ สอบ สอบเพราะใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ใช่มั้ย?
และนี่...แสดงว่าเอาเงิน สสส.ไปเกาะรองนายกฯ สมคิดออกฉาก "ประชารัฐ" โดยจับนายกฯ เป็นหลักประกันในการ "ใช้เงินผิดประเภท" อีกแล้วละซีท่า
เขาถึงว่า...พวกหมอ "หัวดี"!?