PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2560

"บิ๊กป้อม"...พลิ้ววว !!

"บิ๊กป้อม"...พลิ้ววว !!
ชี้ "นายกฯ บิ๊กตู่" บอก Donald Trump ว่า ปีหน้าจะประกาศ "วันเลือกตั้ง "...นั้นไม่ใช่ บอกว่า จะประกาศว่า ปีหน้า เลือกตั้ง แน่ หลังจาก กม.ลูก เสร็จแล้ว ใน150วัน เมื่อกม.ลูกเสร็จ จึงจะบอกว่า เลือกตั้ง วันไหน
ส่วนการที่ฝ่ายนักการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ไม่มั่นใจ นั้น พลเอกประวิตร กล่าวว่า ก็ยึดตามโรดเแมพ จะไม่มั่นใจยังไง เพราะ 150 วัน กม.ลูก เสร็จ ก็นับไป ก็เป็นวันเลือกตั้ง นักข่าว ไปพูดกันเองว่า ปีหน้าเลือกตั้ง แต่บอกว่า ปีหน้าจะประกาศ วันเลือกตั้ง แต่ รอกม.ลูก

ผงฝุ่น การเมือง กรณี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เขี้ยว คม คสช.

ผงฝุ่น การเมือง กรณี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เขี้ยว คม คสช.


กรณีของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงความพยายามของ คสช. ความพยายามของรัฐบาลในการสร้างพันธมิตรใน “แนวร่วม”

เหมือนกับที่มีการทอดสะพานให้พรรคเพื่อไทย

อย่างเช่นการเชิญตัวแทนพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมในการเสนอความเห็นในประเด็นว่าด้วยการปรองดอง สมานฉันท์

ให้น้ำหนักพอๆ กับพรรคประชาธิปัตย์

ไม่ว่าในกรณีอันเกี่ยวกับเรื่องการปรองดอง สมานฉันท์ ไม่ว่าในกรณีอันเกี่ยวกับการแต่งตั้งให้ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นส่วนหนึ่งภายในคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ

เป็นการยื่นมือแห่งไมตรีมาอย่างแน่นอน

ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะคิดและตัดสินใจอย่างไร ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะคิดและตัดสินใจอย่างไร

ทั้งหมดคือประเด็น ทั้งหมดคือปัญหา

หากประเมินจากผลสะเทือนอันเนื่องแต่ความพยายามของ คสช. ต่อพรรคเพื่อไทยและต่อ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ต้องยอมรับในความเขี้ยวความคมของ คสช.

เป้าหมายมิได้อยู่ที่พรรคเพื่อไทย หากแต่อยู่ที่ “กองเชียร์”

คำถามก็คือ พรรคเพื่อไทยจะไปร่วมทำไมในเมื่อกรณีปรองดอง สมานฉันท์ เสมอเป็นเพียงเรื่องของรูปแบบ เป็นพิธีกรรมเท่านั้น

แต่ที่สุดพรรคเพื่อไทยก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือ

เพราะหากไม่ร่วมมือโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะถูกมองว่าเป็นปัจจัยรั้งดึงและทำให้การปรองดอง สมานฉันท์ กลายเป็นปัญหาก็จะตามมา

เห็นหรือไม่ในความเขี้ยวของ คสช.

ยิ่งในกรณีของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยิ่งมากด้วยความแหลมคมและทวีความร้อนแรงในทางการเมือง

พลันที่มีชื่อ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็น 1 ในคณะกรรมการในประเด็นอันเกี่ยวกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ คสช.ก็รอดูอย่างเยือกเย็น

รอดูเหมือนกับ “กองเชียร์” ของ คสช.

ผลก็คือ ภายใน “แนวร่วม” ที่เคยชมชอบต่อพรรคเพื่อไทย ชมชอบต่อ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เกิดปฏิกิริยาอย่างร้อนแรง

ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร

เสียงด่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็ดังกระหึ่ม แม้ในอีก 2 วันต่อมา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะออกมาปฏิเสธเทียบเชิญของ คสช.

แต่อารมณ์ค้างก็ยังดำรงอยู่ในหมู่คนที่เคยชื่นชอบ

ปฏิกิริยาเช่นนี้ 1 สะท้อนให้เห็นว่าอารมณ์และความหงุดหงิดของบางพวกบางกลุ่มต่อ คสช.นั้นรุนแรง ล้ำลึก

ขณะเดียวกัน 1 ก็ดำเนินไปในลักษณะ “สุดโต่ง”

เป็นความเรียกร้องต้องการในเชิงที่ว่า หากเห็นใครไม่เป็นไปตามที่ตนหรือพวกตนต้องการให้เป็นใครคนนั้นก็ต้องกลายเป็นศัตรู

ศัตรูที่ต้องทำลายล้าง ไม่ยอมร่วม “ฟ้าเดียวกัน”

หากมองจากกรณีปรองดอง สมานฉันท์ หากมองจากกรณีการส่งเทียบเชิญให้กับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็ต้องยอมรับในความมากด้วยเขี้ยวมากด้วยคม

เป็นเขี้ยวและคมจาก “คสช.”

ไม่ต้องทำอะไรมากก็สามารถ “ปั่น” สถานการณ์ให้เกิดการทะเลาะวิวาทอย่างทันทีทันควันในอีกฝ่ายอย่างร้อนแรง เปี่ยมด้วยอารมณ์

ทุกอย่างดำเนินไปตามหลัก “การศึกมิหน่ายเล่ห์” โดยแท้

ไม่เป็นไร

ไม่เป็นไร

“แก่นแท้ของกลยุทธ์ คือการเลือกว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”

“สิ่งใดที่เรารู้ว่าจะทำได้ไม่ดี...ก็ควรเลือกที่จะไม่ทำ”

เป็นเหตุผลแบบเท่ๆ ของ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม รัฐบาลนายกฯปู ที่ประกาศไม่รับตำแหน่งกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล คสช.

“แม่ลูกจันทร์” ตรวจสอบรายชื่อคณะกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน ที่นายกฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ รวมทั้งสิ้น 70 คน

พบว่ามีตัวท็อปๆระดับหัวกะทิจริงๆไม่กี่คน

โดยเฉพาะชื่อที่โดดเด่นกระเด้งเข้าตาที่สุดมีอยู่ 2 คน

1, ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม
2, ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง

น่าเสียดาย ดร.ชัชชาติ และ ดร.สมชัย ต่างขอถอนตัวไม่เข้าร่วมจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีทั้งคู่เลย

“แม่ลูกจันทร์” มองโลกแง่ดี ถึงแม้ ดร.ชัชชาติ และ ดร.สมชัย ไม่ร่วมเป็นกรรมการทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ก็ไม่เป็นไร

ยังเหลือคณะกรรมการอีก 68 คนที่จะร่วมกันจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติให้เสร็จสมบูรณ์ภายใน 120 วัน
และต้องเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นประชาชนอีก 45 วัน

จากนั้นจึงเสนอให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติชุดใหญ่ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อความรอบคอบใน 60 วัน

ก่อนส่งแผนยุทธศาสตร์ชาติเวอร์ชั่นสุดท้ายให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติลงมติเห็นชอบอีก 60 วัน

สรุปว่ากว่าแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยังต้องอุ้มท้องอีก 9 เดือน กว่าจะคลอดออกมาเป็นตัว

“แม่ลูกจันทร์” ขออนุญาตย้อนกลับมาวิเคราะห์การที่ “ดร.ชัชชาติ” อดีต รมว.คมนาคม รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธไม่รับนิมนต์เป็นกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาล คสช.

คาดว่าน่าจะมาจากสาเหตุ 3 ประการคือ...

1, ดร.ชัชชาติ ไม่เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเป้าหมายแท้จริงของรัฐบาลต้องการให้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีออกมาอย่างไร??

2, การวางแผนยุทธศาสตร์ชาติล่วงหน้าถึง 20 ปี เป็นเรื่องใหญ่ที่จะมีผลกระทบถึงอนาคตประเทศโดยตรง

การจะเร่งรีบจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้เสร็จภายในเวลาสั้นๆ เพียง 120 วัน มันน้อยเกินไป

3, ดร.ชัชชาติ เป็นผู้เสนอแผนยุทธศาสตร์ปฏิรูปโครงสร้างประเทศครบวงจรในยุครัฐบาลนายกฯปู
(แต่เดินหน้าไม่ได้เพราะติดด่านศาลรัฐธรรมนูญ)

ความเจ็บปวดมันยังคาอยู่ในกล่องดวงใจ

แต่อย่างไรก็ดี...ถึงแม้ ดร.ชัชชาติ จะไม่รับเทียบเชิญเป็นกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของรัฐบาล คสช.

แต่แผนยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศที่ ดร.ชัชชาติ ทำไว้ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วยังทันสมัยสามารถหยิบมาใช้ได้อย่างสบายแฮ

เหมือนบะหมี่มาม่าเทน้ำร้อนปุ๊บกินได้เลย

ฉะนั้น ถ้าคณะกรรมการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จะก๊อบปี้แผนยุทธศาสตร์ของ ดร.ชัชชาติ มาใช้บ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย

สิ่งใดทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าได้จงหยิบฉวยมาใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

แหม...ของดีๆทั้งนั้น ถ้าไม่เอามาใช้ก็เสียดายแย่น่ะซีโยม.

"แม่ลูกจันทร์"

สัญญาณชัดก็ต้องขยับ

สัญญาณชัดก็ต้องขยับ

ชัดเจนและมีน้ำหนักมากกว่าพูดในเมืองไทย

กับช็อตที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ได้ยืนยันระหว่างการหารือแบบ “โฟร์อาย” คุยกันสองต่อสองกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ว่าประเทศไทยจะยึดหลักประชาธิปไตยสากลเดินหน้าตามโรดแม็ปในการปฏิรูปประเทศ

โดยในปี 2561 จะมีการประกาศกำหนดเลือกตั้งอย่างชัดเจน

ไม่มีการเลื่อนใดๆทั้งสิ้น

เมื่อประกาศแล้วก็จะมีกรรมวิธีของการเลือกตั้ง คือนับไปอีก 150 วัน ตามกฎหมายหลังจากประกาศ
นายกรัฐมนตรีระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ถาม แต่เป็น พล.อ.ประยุทธ์เองที่ได้แสดงความเชื่อมั่นออกไป ถือเป็นการแสดงความจริงใจตอบกลับการต้อนรับอย่างดียิ่งของผู้นำสหรัฐอเมริกา ที่ให้เกียรติ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้นำรัฐบาลทหาร คสช.ที่ได้รับเชิญเข้าไปนั่งในห้องรูปไข่ ทำเนียบขาว วอชิงตัน ดี.ซี.

ไม่มีอาการตั้งแง่ใส่ผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

เรื่องของเรื่อง งานนี้น่าจะกระตุกความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้กล้านำเงินมาลงทุนในเมืองไทย เพราะผู้นำ คสช.ได้ย้ำสัญญาประชาคมในเวทีระดับโลกให้ได้ยินกันดังๆ

เลือกตั้งตามโรดแม็ป อย่างไรเสียก็คงเบี้ยวยากแล้ว

และแนวโน้มก็ต้องส่งสัญญาณเชิงบวกต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ แบบที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กัปตันทีมเศรษฐกิจ ยืนยันในทุกเวทีเลยว่า ยังไงก็ต้องมีการเลือกตั้งแน่

เพียงแต่ช่วงเวลาตามโรดแม็ปที่เหลืออยู่จากนี้ไป จะเป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายน่าจะต้องร่วมมือกันทำให้ดีที่สุด เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแรง เดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคง

ว่ากันตามนี้ ธงของทีมงาน คสช.ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน

และมาถึงตอนนี้ ประเมินตามที่ “นายกฯลุงตู่” รับปากกับประธานาธิบดี “ทรัมป์” จะประกาศกำหนดเลือกตั้งกันอย่างชัดเจนในปี 2561 นั่นหมายถึงโปรแกรมที่เหลืออยู่รัฐบาล คสช.ก็ต้องเร่งปั่นเนื้องานในโหมดปฏิรูป ตามทิศทางอย่างที่นายสมคิดปูทางนำร่องไว้

ไม่เหลือเวลาให้รำมวยกันอีกแล้ว

โดยเฉพาะแนวการบริหารแบบชักเข้า ชักออก ดาบอาญาสิทธิ์มาตรา 44 เสื่อมฤทธิ์ลงทุกที

หรือสดๆร้อนๆกับปรากฏการณ์แบบที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ยอมรับว่า พล.อ. ประยุทธ์ต่อสายข้ามทวีปมาจากสหรัฐฯ

แสดงความเป็นห่วงเรื่องร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังพิจารณา โดยไม่ได้มีที่มาจากคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด

พร้อมยืนยันนอนยันกันเลยว่า จะไม่มีการเก็บภาษีน้ำชาวนาเด็ดขาด

ในจังหวะที่ “บิ๊กเต่า” พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ก็สำทับอีกทางว่า “นายกฯลุงตู่” ได้ส่งข้อความผ่านไลน์มาหาในอารมณ์งงๆกับเรื่องกฎหมายภาษีน้ำ

“กูไปสั่งมันตอนไหนวะ”

“ลุงตู่” ผวากระแสต้าน ต้องรีบตัดตอนแรงปะทะที่พุ่งเข้าใส่

“ภาษีน้ำ” ทำรัฐบาล คสช.สำลัก

หนีก็ไม่ออก แก้ตัวก็ลำบาก ตามสภาวะที่แรงต้านถูกกระพือมาจากทีมงานแม่น้ำ 5 สาย ฝีมือเรียกแขกของ สนช. ฝ่ายคุมเกมอำนาจด้วยกันเอง

“เขี่ยลูก” ไปเข้าทางขบวนการ “เจาะยาง” รัฐบาล คสช.

แบบที่นักการเมืองทุกป้อมค่ายดาหน้าออกมาถล่มปมภาษีน้ำ ปลุกอารมณ์ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ให้ก่นด่ารัฐบาลประจาน ฝีมือบริหารที่เอาแต่รีดภาษี

“ลุงตู่” กับ “สมคิด” โดนด่าฟรีไป

ที่สำคัญมันเป็นอะไรที่สะท้อนภาวะแม่น้ำ 4 สาย เริ่มไหลออกนอกทิศทาง ต่างฝ่ายต่างยัดไส้วาระของตัวเอง เร่งเกมในห้วงท้ายเทอมรัฐบาล ปลายทางโรดแม็ป คสช.

ขณะที่ ครม.ก็เต็มไปด้วยตัวถ่วงน้ำหนักรอบเอว “นายกฯลุงตู่”

ดูตามเงื่อนไข สถานการณ์ตอกย้ำไฟต์บังคับ หลังเดือนตุลาคมคงมีจังหวะขยับใหญ่

“ประยุทธ์” ต้องปรับแนวเพื่อเข้าร่อง “รัฐบาลเพื่อการปฏิรูป”.


ทีมข่าวการเมือง