PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เรียกแรงงานกต.ถกใต้

"บิ๊กโด่ง" เรียก ก.ต่างประเทศ-ก.แรงงาน ถกปัญหาใต้ เร่งรวบรวมข้อมูลนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในต่างประเทศ เล็งหามาตรการ ป้องกัน การถูกบ่มเพาะจากกลุ่มที่นิยมความรุนแรงในอนาคต /

พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล เป็นประธานการประชุมประสานงานระหว่างผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กับกระทรวงต่างประเทศและกระทรวงแรงงาน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของกลุ่มภารกิจงานที่ 3 เรื่องการสร้างความเข้าใจทั้งในและต่างประเทศ และสิทธิมนุษยชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดการบูรณาการ 

โดยมีการหารือในการสร้างความเข้าใจกับองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ, การรวบรวมข้อมูลนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในต่างประเทศ, การเสริมสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศ (ประเทศมุสลิม) และการแต่งตั้งผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ประจำประเทศมาเลเซีย 

โดยมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษฯ กลุ่มภารกิจงานที่ ๓, พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้แทนพิเศษฯ กลุ่มภารกิจงานที่ ๒, คณะที่ปรึกษาหัวหน้าผู้แทนพิเศษฯ, พล.อ.สุทัศน์ จารุมณี หัวหน้าสำนักงาน คปต.ส่วนหน้า, นายวิทวัส ศรีวิหค รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, นายวิชัย คงรัตนชาติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน, พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร รองเลขาธิการ ศอ.บต., นายนันทพงศ์ สุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สล.คปต.) และ ผู้แทน กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้าเข้าร่วมประชุม

มีการหารือเรื่องการเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขององค์การระหว่างประเทศ (IGOs) และองค์กรเอกชน (NGOs) จากต่างประเทศ จำนวนมาก 

ตามที่รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการรับรู้และแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ปรากฏว่า มีบางองค์การเข้ามาดำเนินการในลักษณะที่ขัดแย้งกับแนวทางของภาครัฐ และเคลื่อนไหว ให้ข้อมูลแก่ประชาชนในสิ่งที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล 

ที่ประชุมเห็นชอบให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มข้นต่อการดำเนินการตามที่กลไกเดิมได้กำหนดไว้ นั่นคือ กลไกของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแนวทางของภาครัฐต่อองค์การระหว่างประเทศ (IGOs) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น การการพัฒนาความสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง การเปิดเผยการดำเนินงานที่มีการเคลื่อนไหวและบทบาททางลบต่อรัฐของขององค์การระหว่างประเทศ (IGOs) และองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) เป็นต้น

ส่วนประเด็นการรวบรวมข้อมูลนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในต่างประเทศ เพื่อการดูแลและอำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษา พร้อมกับการสร้างความเข้าใจเพื่อป้องกันการดำเนินกิจกรรมของนักศึกษาที่ส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐ 

ดังนั้น การจัดทำฐานข้อมูลนักศึกษาให้มีความครบถ้วน สมบูรณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งที่ผ่านมา ศอ.บต. ได้ดำเนินการโดยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงศึกษาธิการ สนับสนุนข้อมูล พร้อมกับให้นักศึกษาลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของสถานทูตและสถานกงศุลของไทย 

และที่ประชุมเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างแรงจูงใจนักศึกษาก่อนเดินทาง ให้มีการเตรียมความพร้อมของตนเองในการเข้าสู่ตลาดแรงงานเพื่อสร้างอาชีพ หรือได้คุณวุฒิเพื่อศึกษาต่อ

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นหารือถึงการเสริมสร้างความเข้าใจกับกลุ่มประเทศมุสลิม เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทั้งในระดับรัฐบาลและหน่วยงาน ซึ่งสามารถส่งผลต่อการดูแลให้ความช่วยเหลือนักศึกษาและคนไทยที่พำนักในประเทศนั้น และป้องกัน
การถูกบ่มเพาะจากกลุ่มที่นิยมความรุนแรงในอนาคต 

ซึ่งที่ประชุมให้ กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้าฝ และ ศอ.บต. ส่งข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และข้อมูลเชิงประจักษ์ต่างๆ ที่ต้องการชี้แจง ตามช่องทางสื่อสารเดิมให้กระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนพิเศษฯ กลุ่มภารกิจงานที่ ๓ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประเทศดังกล่าวต่อไป

ส่วนการแต่งตั้งผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ประจำประเทศมาเลเซีย ซึ่งผู้แทนพิเศษฯ มีมติเห็นชอบด้วยนั้น ที่ประชุมวันนี้มีมติให้นำข้อเสนอดังกล่าวส่งคณะทำงานโครงสร้างบุคลากรไทยที่ประจำการในต่างประเทศ ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อประชุมพิจารณาในวันที่ ๑๙ มิ.ย.๖๐
 
พลเอก อุดมเดช  ได้กล่าวก่อนปิดการประชุมว่า จากการปฏิบัติของกระทรวง
การต่างประเทศ ในการรับ คณะ OIC  และผู้ชี้ขาดทางศาสนาของอียิปต์ รวมถึงการไปชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่กรุงเจนีวา กระทรวงการต่างประเทศได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความรอบคอบในการใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาด และมีศักยภาพในการรักษาผลโยชน์ของชาติด้วยวิธีทางการทูต  

จึงขอให้หน่วยในพื้นที่ ทั้งด้านความมั่นคงและการพัฒนา ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศในการสนับสนุนข้อมูลที่ถูกต้อง ทันสมัย ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานในการเสริมสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศยิ่งๆขึ้นต่อไป

อบรมระเบิด

"บิ๊กแก้ว" ผบ.พล.ม.2 รอ. แจกเบอร์โทร  จิตอาสา-จนท. สายด่วนปรึกษา แจ้งเหตุ/ติวเข้มจนท. จิตอาสาชุมชน สังเกต วัตถุระเบิด-ลักษณะผู้ก่อเหตุ ใน14 เขตเสี่ยง กทม. ชี้ คนร้ายพุ่งเป้าทำร้าย ปชช. เป้าหมายอ่อนแอ 
          

พล.ต.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.พล.ม.2รอ. เปิดอบรมมาตรการรักษาความปลอดภัยพื้นที่เสี่ยง 14 เขต ของ พล.ม.2 รอ. ให้กับกำลังพล เจ้าพนักงาน และเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัตถุระเบิด ระเบิดแสวงเครื่อง การจดจำตำหนิรูปพรรณสัณฐานผู้ต้องสงสัย

รวมถึงการจัดตั้งและขยายผลจากแหล่งข่าวประชาชน ภายหลัง เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆโดยรอบ จนเกิดอันตรายต่อประชาชนและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก 

โดยมีวิทยากรมาให้ความรู้ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ EOD จากกรมสรรพาวุธทหารบก กรมข่าวทหารบก สำนักงานตํารวจแห่งชาติ(สตช.)
          
พล.ต.เฉลิมพล กล่าวเปิดการอบรมว่า เพื่อเป็นการปฏิบัติตามนโยบายของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.)ให้เสริมสร้างความมั่นคงกับทุกภาคส่วนซึ่งทุกภาคส่วนต้องตระหนัก ถึงผลกระทบจากภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา การอบรมครั้งนี้เพื่อให้พวกเรามีความรู้ตามลักษณะของการก่อเหตุ มีองค์ความรู้ในลักษณะเดียวกัน เพื่อหาคำให้การประสานงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อการปฏิบัติพวกเราในฐานะที่รับผิดชอบในพื้นที่ ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่ สถานประกอบการ กทม.เจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เป็นผู้ดูแลหลักในเรื่องของการดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน

จากเหตุที่เกิดขึ้น เขาทำกับพื้นที่ที่อ่อนแอต่อการรักษาความปลอดภัย และให้มีผลกระทบต่อประชาชนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่หรือพื้นที่ที่ล่อแหลม แต่เริ่มขยายวง กว้างขึ้น ถือเป็นเรื่องที่เราต้องดูแลประชาชน 

ในขณะเดียวกันต้องทำความเข้าใจกับประชาชนให้มีส่วนร่วม เพราะมีคนมาทำร้ายสังคม มีคนที่คิดแบบนี้อยู่ เป็นการทำร้ายสังคมที่รุนแรง ส่งผลต่อการบาดเจ็บ เสียชีวิต กระทบต่อความเชื่อมั่นต่างๆ การท่องเที่ยว

พล.ต.เฉลิมพล กล่าวว่า ในส่วนของกองกำลังรักษาความสงบ (กกล.รส.)ช่วยไปดูแลในพื้นที่และประสานงานเพื่อเป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ที่ได้เน้นย้ำในการดำเนินการ 2 ประการคือ ให้อบรมเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องและขยายผลเพิ่มเติม และ กล้องวงจรปิดหรือกล้อง CCTV จะช่วยติดตามตัวผู้ก่อเหตุ ในกรณีที่เราไม่สามารถป้องกันเหตุได้
        
 
โดย อยากให้ทุกคนเรียนรู้จากลักษณะที่เขาก่อเหตุ ที่ต้องการก่อเหตุกับบุคคลทั่วไปคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ต้องขยายวงออกไปอีก เพราะการก่อเหตุ หรือการก่อวินาศกรรม จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปพื้นที่ที่มีความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัย เช่น โรงไฟฟ้า สถานที่เก็บน้ำมัน เป็นพื้นที่ที่มีความเข้มแข็งและมีระบบการเฝ้าระวังป้องกัน
          
พล.ต.เฉลิมพล กล่าวว่า การดูแลรักษาความปลอดภัย แบ่งเป็นการดูแลพื้นที่ ต้องไปทบทวนว่าในพื้นที่เราสามารถรักษาความปลอดภัยได้หรือไม่ มีทางเข้า-ออก กี่ช่องทาง มีกล้องวงจรปิด หรือเจ้าหน้าที่คัดกรองเพียงพอหรือไม่และ ในส่วนของบุคคล ต้องมีทักษะในการสังเกตว่าคนที่มาใช้บริการกับคนที่จ้องก่อเหตุมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร

         
ซึ่ง คนก่อเหตุต้องมาดูสถานที่ ไม่ต่ำกว่า 2-3 ครั้ง จะไม่มาแล้วก่อเหตุทันที เนื่องจากเขาต้องการข้อมูลจากภายในสถานที่ก่อเหตุ ว่าตรงไหนเป็นอะไร และมีทีมงานอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อช่วยดูให้ปลอดคน แล้วดำเนินการก่อเหตุ 

แต่ในกรณีที่มีคนในรู้เห็นเป็นใจ โดยทั่วไปแล้วเขาจะมาอยู่ในพื้นที่ รอให้มั่นใจว่าหลังก่อเหตุแล้ว ตัวเขาจะปลอดภัย ถึงจะดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติในพื้นที่ปัจจุบันมีทหารลงไปร่วมปฏิบัติหากมีอะไรขอให้ประสานกับเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งเราพร้อมดำเนินการ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยกับประชาชน และหากมีอะไรสามารถโทรติดต่อประสานงานกับผมโดยตรงได้” พล.ต.เฉลิมพล กล่าว พร้อมบอก เบอร์โทรมือถือ

ชื่อชั้นเด่นเลย ‘ขายดี’

ชื่อชั้นเด่นเลย ‘ขายดี’

2 ชั่วโมง 15 นาที เป็นระยะเวลาที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. นำทีม ครม.ชี้แจงหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2561 วงเงิน 2.9 ล้านล้านบาท ต่อที่ประชุม สนช.
ไม่ใช่ว่ากลัวน้ำลายจะบูด เพราะงดพูดออกไมค์กับสื่อมาหลายวัน
แต่เพราะคือหน้าที่ผู้นำรัฐบาล ผู้นำประเทศ ต้องแจงรายละเอียดความจำเป็นในการใช้งบฯของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ
เป็นอีกเวทีที่ผู้นำย้ำความเชื่อมั่นในสถานการณ์เศรษฐกิจประเทศ โดย “บิ๊กตู่” ยืนยันเศรษฐกิจไทยปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 3.3—3.8 เพิ่มจากปี 2559 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2
จากการฟื้นตัวของการส่งออก เศรษฐกิจคู่ค้า ราคาสินค้าในตลาดโลก และการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐ
ถึงแม้ว่าจะเป็นการจัดงบฯแบบขาดดุล แต่ผู้นำยืนยัน ปัจจุบันฐานะเงินคงคลัง 182,515 ล้านบาท มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ 184,469 ล้านบาท
คลังประเทศยังมั่นคง
แล้วก็อย่างที่เห็น ถึงแม้จะงดให้สัมภาษณ์สื่อยาวๆไป แต่ใจความหลักทิศทางประเทศก็ต้องจับสัญญาณที่ผู้นำจะเอื้อนเอ่ยในหลายเวทีหลายโอกาส กระทั่งลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน เกษตรกร
และแน่นอน ในบรรยากาศที่เหมือนได้ยินเสียงปี่กลองเลือกตั้ง “บิ๊กตู่” ย้ำโรดแม็ปคืนอำนาจอีกครั้ง ขั้วฝ่ายการเมืองต่างๆก็เริ่มเคลื่อนไหวเป็นพรวน
ล่าสุด แว่วข่าวจากค่ายเพื่อไทย “ตัวหลอกหลบไป-ตัวจริงมาแล้ว”
ต่อเนื่องจากการถูกเอ่ยชื่อในหลายวงวิเคราะห์ ที่ถูกพาดพิงนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ต้องออกมาปฏิเสธกระแสข่าว
บอกปัดอยู่ใน “บัญชีตัวเลือก” ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”
ในเหตุผล ไม่เคยกับใครในพรรคเพื่อไทย ไม่สนใจและไม่เกี่ยวข้องใดๆทางการเมืองมานานแล้ว
นายสุรเกียรติ์ระบุ ปัจจุบันทำหน้าที่ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองของเอเชีย (APRC) องค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่มีสมาชิกเป็นอดีตผู้นำในเอเชียและยุโรป 25 คน
มีงานปาฐกถาและบรรยายทุกเดือน รวมทั้งทำงานการกุศลช่วยสังคม
พูดทำนองไม่ว่าง ยังไม่พร้อมไปเป็น “นอมินี” ให้ใคร
ปัดฟื้นสัมพันธ์กับ “นายใหญ่” หลังจากหลังรัฐประหารปี 2549 นายสุรเกียรติ์ แยกตัวไปเป็นประธานที่ปรึกษานโยบายพรรคเพื่อแผ่นดินช่วงสั้นๆ และเว้นวรรคการเมืองในบ้านเลขที่ 111 พรรคไทยรักไทย
พร้อมกระแสปมร้อน สถานะ “พยานปากเอก” ทำ “สัมพันธ์สะบั้น” จนใครๆมองว่ายากจะกลับมาต่อติด
แต่ก็นั่นแหละ วงข่าววงวิเคราะห์ก็มองกันในมุมที่ว่า
นักธุรกิจโคตรฉลาดอย่าง “ทักษิณ” โชว์ให้เห็นมาหลายรอบ แล้ว ถึงสไตล์ วิน—วิน หนักหนาสาหัส ชนิดจ้องพิฆาตกัน สุดท้ายยังกลับมาดีลร่วมงานกันได้
เพียงแต่คิวนี้ไม่รู้ว่า ไม่มีมูล หรือ “ความแตก” แหยงโดนจับจ้องจากศูนย์อำนาจที่สัญญาณไม่ชัด
ชื่อ “สุรเกียรติ์” อาจต้องจบข่าว พับเก็บไว้ก่อน
เพราะอีกทางก็มีอีกหลายบิ๊กเนม ที่เหมาะกับโหมดต่างๆ ปัจจัยที่ “นายใหญ่” จะเลือก
กระทั่งอีกสูตรพิเศษมาแรง ใช้บริการรุ่นพี่รุ่นน้องรั้วสามพราน “อดีตบิ๊กสีกากี” ที่มีทั้งยังอยู่ล่มหัวจมท้ายในพรรค
รวมทั้งรายที่เจอไฟต์บังคับ จำต้องแยกไปสร้างโปรไฟล์ พิงขั้วอำนาจปัจจุบัน
สำหรับ “สุรเกียรติ์” แม้ยืนยันไม่ได้ไปเอี่ยวกับค่ายเพื่อไทย
แต่ในห้วงที่รัฐธรรมนูญเปิดช่อง “คนนอก” เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
ชื่อชั้นย่อมติดเรตติ้งขายดีไม่แพ้บิ๊กเนมรายอื่นๆ.
ทีมข่าวการเมือง