PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

คสช. ใช้ มาตรา 44 จัดประมูล 4G คลื่น 900MHz รอบใหม่ ตัด JAS ออก


Cr:kapook
คสช. ใช้ มาตรา 44 จัดประมูล 4G คลื่น 900MHz รอบใหม่ ตัด JAS ออกจากการประมูล ตั้งราคาเริ่มต้น 75,654 ล้านบาท ส่วนลูกค้าเอไอเอส จะคุ้มครองจนถึง 30 มิถุนายน 2559 หรือจนกว่าจะออกใบอนุญาตให้ผู้ชนะประมูล
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา มีการประกาศคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 16/2559 เรื่อง การประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม ตามมาตรา 44 ให้กรรมการ กสทช. จัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 เมกะเฮิร์ตซ์ ช่วงความถี่วิทยุ 895-905 เมกะเฮิร์ตซ์ คู่กับคลื่น 940-950 เมกะเฮิร์ตซ์
สำหรับการจัดประมูล จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้ที่ขอรับใบอนุญาตเป็นการทั่วไป เว้นแต่ผู้ที่เคยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ กสทช. โดยราคาประมูลรอบแรก กำหนดที่จำนวน 75,654 ล้านบาท และวางหลักประกันจำนวน 3,783 ล้านบาท
ขณะที่การสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ฉบับที่ 2) จะมีการคุ้มครองชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559 หรือจนกว่า กสทช. จะออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่แก่ผู้ชนะการประมูล


ไม่ตั้งพรรค....ยังไม่มี นักการเมืองในใจ ที่จะเป็นนายกฯได้. ปัดเป็นนายกฯคนนอก



ไม่ตั้งพรรค....ยังไม่มี นักการเมืองในใจ ที่จะเป็นนายกฯได้. ปัดเป็นนายกฯคนนอก
บิ๊กตู่ ยัน คสช.ไม่คิดตั้งพรรค เพื่อ ลงเลือกตั้ง ผมเองก็ไม่คิดลงสมัครเลือกตั้ง ระบุตั้งพรรคการเมืองต้องใช้เงิน จะเอาเงินที่ไหน แล้วหวังเอาคืนอีก อยากเป็น รมต.กันอีก เพื่ออะไร พร้อม ปฏิเสธข่าว คสช.เตรียมเลือก"นายกฯคนนอก"หลังเลือกตั้งไว้แล้ว ไม่มี จะ "ส."ไหน ...เผยยังไม่เห็นใครเหมาะเลย ที่มีอยู่ก็ยังไม่ชอบ....อย่าค้าน สว.โหวตนายกฯ เพราะ สส.เป็นคนเสนอ ก็ต้องมาจาก สส.นักการเมือง ยกเว้น สถานการณ์ รุนแรง ตีกัน หานายกฯไม่ได้ ถึงจะเลือก นายกฯคนนอก แล้วใครจะมาเลือกผมเป็นนายกฯคนนอกหรือไง ....ถามจะให้ผมเป็นนายกฯคนนอกหรือ ทำไมต้องผมอีก อยู่กันโดยไม่มีผม ไม่ได้รึไง....อย่าให้ประเทศ ต้องถึงวันนั้นเลย ช่วยกัน ยันไม่ได้อยากมาเลย ยัน ไม่มีชื่อผม หรือพลเอกประวิตร จะเป็นนายกฯคนนอก

ล็อกพรรคเล็กตัวแทนทหาร

ล็อกพรรคเล็กตัวแทนทหาร

updated: 10 เม.ย 2559 เวลา 09:00:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

คําถามพ่วงร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ กลายเป็นของร้อนเพิ่มอุณหภูมิการเมืองให้ระอุกระทบชิ่งไปถึงชะตากรรมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย

หลังที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นด้วยให้ใส่คำถามพ่วงร่างรัฐธรรมนูญในการออกเสียงประชามติท่วมท้น 152 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 167 เสียง

"เพื่อให้การปฏิรูปมีความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรระบุในบทเฉพาะกาลว่า ระหว่าง 5 ปีแรกตั้งแต่มีการประชุมรัฐสภาครั้งแรก ให้ที่ประชุมร่วมของรัฐสภาให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีได้"

พรรคเพื่อไทยแซงหน้าเข้าโค้งประชามติแถลงจุดยืนไปก่อนหน้านี้แล้วว่า จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงแม้ว่าจะออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ในช่วงแรก ทว่ากลับมีท่าทีชัดเจนขึ้นว่าจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในวันครบ 70 ปีของพรรค

หลังหินที่ถูกโยนถามทาง-หยั่งกระแสคนการเมืองยัดอำนาจใส่มือ ส.ว.สรรหา สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีทั้งคนใน-คนนอกได้ รวมถึงสามารถลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ จนคนในพรรคประชาธิปัตย์ต่างบ่นกันอุบว่าการให้เป็นรัฐธรรมนูญย้อนยุคไปไกลกว่าที่คิด

ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ท่าทีของ 2 พรรคใหญ่-พรรคขนาดกลางว่า สาเหตุที่พรรคใหญ่ 2 พรรค ไม่เห็นด้วยให้ ส.ว.สามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ว่า คงไม่ใช่เฉพาะพรรคการเมืองเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย แต่รวมถึงประชาชนทุกคน เพราะ ส.ว.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ต่างมั่นใจว่า พรรคของตัวเองมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้งได้ จึงไม่เห็นด้วยกับการให้อำนาจส.ว.สรรหาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ 

ยกเว้นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ไม่มีทีท่าว่าจะไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญออกมาเป็นอย่างไร นอกจากนี้ยังชื่นชมผลงานของรัฐบาล-คสช.ว่า ทำงานดีเป็นที่น่าพอใจ 

ดังนั้นพรรคเหล่านี้จึงเป็นพรรคที่จะมีโอกาสได้เป็นตัวแทนของทหารหากมีการเลือกตั้ง และเป็นการสร้างอำนาจการต่อรองให้กับพรรคขนาดกลางให้สามารถมีไพ่เล่นในมือมากขึ้น 

รอง ผบ.ตร.นำทีมสนธิทหาร-ป่าไม้บุกจับไม้เถื่อน “อดีต ส.ส.เพื่อไทย” มูลค่า 50 ล้านบาท

รอง ผบ.ตร.นำทีมสนธิทหาร-ป่าไม้บุกจับไม้เถื่อน “อดีต ส.ส.เพื่อไทย” มูลค่า 50 ล้านบาท
Cr:ผู้จัดการ
นครปฐม - รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สนธิกำลังทหาร ป่าไม้จู่โจมจับไม้เถื่อน ไม้กระยาเลย ไม้ชิงชัน และไม้พะยูง กว่า 700 แผ่น มูลค่ารวมกว่า 50 ล้านบาทของ “ก่อเกียรติ ตันติวิริยะ” อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดนครปฐม หลัง จนท.แกะรอยเส้นทางขนไม้มานานจนพบ ขณะที่อดีต ส.ส.คนดังอาศัยช่วงชุลมุนหายตัว เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตามตัวมาดำเนินคดี เผยนับเป็นครั้งประวัติศาสตร์การติดตามไล่ล่า ยันเป็นหนึ่งในการปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาล

เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.คืนวันที่ 11 เม.ย.59 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ธนเกียรติ ชอบชื่นชม ผู้บัญชาการศูนย์รักษาความปลอดภัยกองบัญชาการกองทัพไทย นายสมชัย มาเสถียร รองฺอธิบดีกรมป่าไม้ พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายปฏิบัติการ ศปป.4 กอ.รมน. นายชีวะภาพ ชีววะธรรม หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ นายสมชาย นุชนานนท์นารถ นักวิชาการป่าไม้ ชำนาญการ กรมป่าไม้ กำลังเจ้าหน้าที่ทหาร พล.ร.9 กำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้กว่า 30 นาย ร่วมกันแถลงผลการจับกุมแหล่งเก็บไม้ผิดกฎหมายที่โรงงานแปรรูปไม้ เลขที่ 29/2 ม.2 ต.บางไทรป่า อ.บางเลน จ.นครปฐม โดยพบไม้กระยาเลย และไม้พะยูงที่มีไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมายจำนวนมาก ตามนโยบายกวาดล้างผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นของรัฐบาล
พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.เปิดเผยว่า การบุกจู่โจมพบแรงงานที่กำลังทำงานต่างวิ่งหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ซึ่งจากผลการตรวจพบไม้กระยาเลยแปรรูปหวงห้าม ประมาณ 700 แผ่น/เหลี่ยม เป็นไม้พะยูง ประมาณ 20 ท่อน ที่เหลือเป็นไม้ชิงชัน คิดเป็นปริมาตรไม้ 100 ลูกบาศก์เมตร มูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท เลื่อยโซ่ยนต์ 2 เครื่อง อาวุธปืนลูกซองยาวแบบ 5 นัด 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 39 นัด เครื่องกระสุนปืนขนาด .357 จำนวน 14 นัด อุปกรณ์เสพยาเสติด 1 ชุด สมุดเช็คธนาคารกรุงเทพ 8 เล่ม
โดยเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายชำนาญ สิริยะเสถียร อายุ 48 ปี และ น.ส.ปรียากาญจน์ ผ่านสำแดง อายุ 45 ปี โดยแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันมีไม้กระยาเลยหวงห้ามแปรรูปไว้ในความครอบครองเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้มีไม้กระยาเลยแปรรูปหวงห้ามไว้ในความครอบครองโดยไม่มีหลักฐานการได้มา มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีเลื่อยโซ่ยนต์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนติดตามดูพฤติกรรมการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าทางภาคเหนือ มาพักที่จังหวัดนครปฐม เพื่อส่งต่อต่างประเทศ โดยมีนายทุนชาวไทยร่วมกับชาวจีน และได้ติดตามมาตรวจยึดได้ไม้พะยูง ไม้ชิงชัน และไม้ประดู่ ได้กว่า 700 ท่อนเหลี่ยม มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท โดยไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้เป็นไม้หวงห้าม ราคาในประเทศลูกบาศก์ละ 5 แสนบาท หากมีการลักลอบออกไปประเทศจีนจะมีมูลค่ามหาศาล
จากการตรวจยึดที่ผ่านมา รายนี้นับว่าเป็นรายใหญ่ที่สุด จากการตรวจสอบไม่พบตราประทับ และเป็นไม้ที่เลื่อยออกมาจากป่าทางภาคเหนือเมื่อไม่นานนี้ โดยดูจากกายภาพ และรอยเลื่อย ลอยชักลาก จากการตรวจสอบหลักฐานพบใบเบิกทางนำไม้ หรือของป่าเคลื่อนที่ ออกโดยที่ทำการศาลากลางจังหวัดเชียงราย ลงวันที่ 20 เมษายน 2558 ระบุปลายทางมายังโรงเลื่อยจักรก่อเกียรติค้าไม้ ซึ่ง นายชำนาญ ยืนยันว่า โรงไม้ดังกล่าวเป็นของ นายก่อเกียรติ ตันติวิริยะ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดนครปฐม ซึ่งไม่ได้อยู่ในที่ตรวจค้น โดยเบื้องต้น อายัดไม้ทั้งหมดโดยมีทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง จนกว่าจะมีการสอบสวนดำเนินคดีแล้วเสร็จ หรือมีการเคลื่อนย้ายเก็บรักษาที่อื่นต่อไป
พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายที่เข้าตรวจค้นเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่ง พล.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้ลงนามคำสั่งให้ดำเนินการติดตามเป้าหมายตามที่ได้รับร้องเรียน และเกาะติดสถานการณ์มาหลายเดือน ซึ่งพบว่า โรงไม้ดังกล่าวมีเอกสารระบุบริษัทก่อเกียรติค้าไม้ จำกัด ซึ่งเป็นของ นายก่อเกียรติ สิริยเสถียร และเอกสารระบุ บริษัท บางเลนค้าไม้ จำกัด ซึ่งเป็นของ น.ส.ปรียกาญจน์ ผ่านสำแดง และขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นพบ นายก่อเกียรติ ยังอยู่ในบริเวณโรงงาน แต่ได้อาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไป เหลือเพียง น.ส.ปรียกาญจน์ เป็นผู้มารับเป็นตุ๊กตาแทนเจ้าของจริง
โดยการทำความผิดครั้งนี้มีโทษมาก และเป็นขบวนการใหญ่ โดยจะเจ้าหน้าที่ให้ติดตามตัว นายก่อเกียรติ สิริยะเสถียร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และจะได้แจ้งข้อกล่าวหาเดียวกับผู้ที่ถูกจับกุมทั้ง 2 ไปก่อน และเจ้าหน้าที่มีความมั่นใจในพยานหลักฐานที่ติดตามมาทั้งหมดว่าจะสามารถดำเนินคดีเอาความผิดต่ออดีต ส.ส.รายนี้ได้อย่างแน่นอน
นายสมชัย มาเสถียร รองฺอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า การแกะรอยติดตามครั้งนี้ถือว่าเป็นการบุกจับกุมครั้งใหญ่ที่เจ้าหน้าที่กรมป่าไม่นั้นติดตามมานาน และวางแผนอย่างรัดกุม ซึ่งจำนวนไม้ที่พบนับเป็นการจับที่มีการพบไม้กระยาเลยที่มีจำนวนมาก และหากมีการแปรรูปไปแล้วจะมีการเพิ่มมูลค่าได้อย่างมหาศาล โดยจะมีการขยายผลติดตามขบวนการใหญ่ต่อไป

“บิ๊กตู่” เขียนจม.จากใจนายกฯ ชี้น้ำขาดเกิดจากนโยบายหนุนภาคเกษตรแบบไร้การควบคุม

“บิ๊กตู่” เขียนจม.จากใจนายกฯ ชี้น้ำขาดเกิดจากนโยบายหนุนภาคเกษตรแบบไร้การควบคุม
เมื่อวันที่ 12 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เขียนคอลัมน์จากใจนายกรัฐมนตรีในจดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน ฉบับที่ 24 เรื่องน้ำแล้งตอนหนึ่งว่า น้ำกินน้ำใช้สำคัญที่สุดสำหรับการดำรงชีวิตของคน ในขณะที่ทรัพยากรน้ำเป็นส่วนสำคัญในโครงการสร้างพื้นฐานหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แต่เมื่อวัฎจักรของน้ำถูกรบกวนจนเสียสมดุล จนเป็นที่มาของภัยแล้งส่งผลสาหัสกับเกษตรกรไทย ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินตนพยายามให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเพื่อสร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำในประเทศและได้ประมาณความเสี่ยงเพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนตระหนักถึงภัยแล้งที่ได้เผชิญ อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางพระราชทานการพิทักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ ป่ากับการพัฒนาสังคมแบบพึ่งตัวเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นที่ประจักษ์ด้วยโครงการพัฒนาแหล่งน้ำกว่า 4,000 โครงการ แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา มีการละเลยให้ผืนป่าต้นน้ำถูกทำลาย 10 ล้านไร่ จากนโยบายสนับสนุนเกษตรกรรมที่ไร้การควบคุม รวมถึงการทำลายแหล่งน้ำต้นทุนจากการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาดไม่เกิดความสมดุลเพื่อเอาใจบางกลุ่มถือเป็นการทำลายน้ำของชาติจนกระทบน้ำต้นทุนในปัจจุบันที่ 71 เปอร์เซ็นต์ใช้ในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นผู้ใช้น้ำกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศ
นายกฯเขียนว่า วันนี้รัฐบาลประยุกต์แนวทางพระราชทานจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบอย่างบูรณา 12 ปีเพื่อสร้างสมดุลการผลิต และใช้น้ำทุกมิติและเอาชนะภัยแล้งอย่างยั่งยืน ต้องไม่ผิดซ้ำสอง โดยใช้กลไกประชารัฐเชื่อมโยงห่วงโซ่คุณค่าทุกระดับตั้งแต่ต้นทางการผลิต กลางทาง การแปรรูป และปลายทางการตลาด จึงเป็นการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่หลอมรวมภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมให้เป็นเนื้อเดียวกัน และหากพลังประชารัฐเกิดจากทุกภาคส่วน เราจะต้องร่วมมือกันสร้างห่วงโซ่ประชารัฐให้แข็งแรงจะต้องเข้มแข็มไปด้วยและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พบมท.รายงานตัวเลขสถิติผิดเพียบ

พบสถิติเว็บมหาดไทยระบุปี 57 กาฬสินธุ์ รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนทะลุ 24 ล้านต่อเดือน

พบข้อมูลสถิติเว็บกระทรวงมหาดไทยระบุปี 57 กาฬสินธุ์ เฉลี่ยรายได้/ครัวเรือน 24 ล้านต่อเดือน ขัดกับข้อมูล สนง.สถิติแห่งชาติระบุเพียง 13,921 บาท ขณะที่ตัวเลขจำนวนคดีที่จับกุมได้ในภาคเหนือปี ทะลุ 131 ล้าน ผู้สูงอายุภาคใต้ปี 57 ระบุมีถึง 330 ล้านคน

11 เม.ย. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กมีผู้นำสถิติเกี่ยวกับรายได้จำแนกตามภาคและรายจังหวัด ที่นำมาจากเว็บไซต์กระทรวงมหาดไทย จาก 'สถิติข้อมูลที่สำคัญ กระทรวงมหาดไทย ไตรมาศ3:2558' มาเผยแพร่พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ความถูกต้องของข้อมูลสถิติดังกล่าว โดยรายงานฉบับดังกล่าวระบุว่า จัดทำโดย ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยมีข้อมูลที่ถูกตั้งข้อสงสัย เช่น พบว่า ในปี 2557 ภาคเหนือมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีคือ 162 ล้านบาท รองลงมาคือภาคใต้ 51 ล้านบาท ต่อหัวต่อปี และภาคกลาง 32 ล้านบาท ส่วนภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยต่อปี 14 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดกาฬสินธุ์มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนต่อเดือนถึง 24 ล้านบาท อันดับ มุกดาหาร 7 ล้านบาทต่อเดือน และตาก 5 ล้านบาทต่อเดือน

ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ http://service.nso.go.th/ ระบุว่าปี 56 รายได้เฉลี่ย จ.กาฬสินธุ์มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนต่อเดือน เพียง  13,921 บาท  ส่วน จ.มุกดาหาร  16,494 บาทต่อเดือน และ จ.ตากเพียง 17,020 เท่านั้น 

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมข้อมูลในเว็บไซต์กระทรวงมหาดไทย หรือ www.moi.go.th นั้น มีส่วน 'ข้อมูลสารสนเทศ' ซึ่งเมื่อคลิ๊กเข้าไปจะมีส่วนของ 'ศูนย์ข้อมูลกลางกระทรวงมหาดไทยและจังหวัด' โดยเฉพาะในส่วนของ 'องค์ความรู้เรื่องสถิติ/วิเคราะห์ข้อมูล(45 กลุ่มเรื่อง/32 ตัวชี้วัด)' เมื่อคลิ๊กเข้าไปจะพบ  องค์ความรู้เรื่องสถิติ/วิเคราะห์ข้อมูลฯ  โดย 2. รายงานสถิติข้อมูลสำคัญกระทรวงมหาดไทยและจังหวัด เมื่อคลิ๊กเข้าไปจะพบกับ สถิติข้อมูลสำคัญกระทรวงมหาดไทย  ตั้งแต่ปี 51 - ปี 58 โดยมีการแยกเป็นรายไตรมาสด้วย
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ไม่เพียงข้อมูลรายได้ต่อหัวที่ดูผิดปกติและไม่สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติแล้ว ตารางแสดงจำนวนคดีที่จับกุมได้ จำแนกรายภาค ปี พ.ศ.2556 - 2558 นั้นก็ดูเป็นตัวเลขที่ผิดปกติ เมื่อข้อมูลแสดงว่า ในภาคเหนือมีจำนวนคดีที่จับกุมได้ในปี 56 ถึง 131 ล้าน ขณะที่ปี 57 ลดลงมาเหลือเพียง 16,238 เท่านั้น ส่วนภาคกลาง ปี 56 มีเพียง 59,888 แต่ปี 57 มีถึง 62 ล้าน เป็นต้น ซึ่งข้อมูลไม่ตรงกับตารางในรายงานถิติข้อมูลที่สำคัญ กระทรวงมหาดไทย ประจําปี พ.ศ. 2557 หน้า 66 ดังตารางด้านล่าง
 
รวมทั้งตัวเลขผู้สูงอายุในตารางตารางแสดงจำนวนผู้สูงอายุจำแนกรายภาค ปี พ.ศ.2555 - 2557 หน้า 120 ในส่วนของภาคใต้ปี 57 ระบุมีถึง 330 ล้านคน ขณะที่ปี 56 มีเพียง 3,862 คน เท่านั้น
 
ตารางแสดงจำนวนผู้สูงอายุจำแนกรายภาค ปี พ.ศ.2555 - 2557 หน้า 120 (ที่มา :  'สถิติข้อมูลที่สำคัญ กระทรวงมหาดไทย ไตรมาศ3:2558')
 
 
อย่างไรก็ตามสถิติดังกล่าวไม่ได้มีความผิดปกติเฉพาะในรายงานไตรมาศ 3:2558 แต่ ไตรมาศ 2:2558 และ 1:2558 ก็มีความสอดคล้องกัน และหากย้อนกลับไปดู ตารางแสดงการเปรียบเทียบรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี จําแนกรายภาค ปี พ.ศ.2555 - 2557 ในส่วนรายงานสถิติข้อมูลสำคัญกระทรวงมหาดไทย ประจำปี 2557 ที่ตัวเลข รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี ภาคเหนือ ปี 56 อยู่ที่ 159 ล้าน ปี 55 อยู่ที่ 60 ล้าน ภาคกลาง ปี 56 อยู่ที่ 82 ล้าน ปี 55 อยู่ที่ 214 ล้าน ภาคอีสานปี 56 อยู่ที่ 131 ล้าน เช่นเดียวกับปี 55 ที่อยู่ที่ 131 ล้านเช่นกัน ขณะที่ภาคใต้ปี 56 อยู่ที่ 113 ล้านและปี 55 อยู่ที่ 144 ล้าน เป็นต้น