PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เพื่อไทยเร่งศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินคุณสมบัติตู่ ยังคาใจธรรมนัส

ภาค ปชช.ล่าชื่อแก้ไข รธน. พปชร.แบ่งเค้กคนอกหัก ทักษิณงดจัดเบิร์ธเดย์ 70

เพื่อไทยขยี้แผลจริยธรรม ครม.ประยุทธ์ 2 “ชวลิต” เร่งศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดคุณสมบัติ “บิ๊กตู่” ทิ้งไว้หลังถวายสัตย์ฯยิ่งเสียหาย “สุทิน” เขย่านายกฯอย่าไปตั้งคนมัวหมองสังคมเคลือบแคลงนั่ง รมต. ซัด “อุตตม” มีมลทินปล่อยกู้กฤษดานคร ขุดอดีต “ธรรมนัส” ประพฤติผิดร้ายแรงถูกถอดยศ “อนุสรณ์” ท้าเปิดหลักฐานคัดค้านเงินกู้ แซะ “สมคิด” อย่าหลบข้างหลังแจงเอี่ยวตั้ง บอร์ดกรุงไทย “เรืองไกร” ยกคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ยุใช้ ม. 44 ยับยั้งนั่ง รมว.คลัง ป้องกันถูกซักฟอก พปชร.แบ่งเค้กเลขาฯ-ที่ปรึกษา รมต. “วิษณุ” การันตี ส.ส.เป็นข้าราชการการเมืองได้ ถึงศาลฯ รับคำร้อง “ประยุทธ์” ไม่ต้องหยุดทำหน้าที่ นายกฯ สั่งปราบเว็บไซต์กุข่าวใส่ร้ายรัฐบาล ภาคประชาชนเล็งล่า 5 หมื่นชื่อแก้รัฐธรรมนูญ ตัดตอนสืบทอดอำนาจ คสช. เด็ก พท.หนุน “ทักษิณ” วางมือพักผ่อน

ขณะที่รายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯไปเรียบร้อยแล้ว พรรคเพื่อไทยยังคงเดินหน้าตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรี พุ่งเป้าไปที่ประเด็นจริยธรรม ความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) นอกเหนือจากนายอุตตม สาวนายน ที่มีเสียงคัดค้านการดำรงตำแหน่ง รมว.คลังแล้ว ยังมีชื่อนายธรรมนัส พรหมเผ่า ว่าที่ รมว.แรงงาน ก็ตกเป็นเป้าที่จะถูกตรวจสอบด้วย

พท.เร่งศาลฯชี้ขาดคุณสมบัติ “บิ๊กตู่”

เมื่อวันที่ 7 ก.ค. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้อง ส.ส. 111 คน ให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กรณีมีลักษณะต้องห้ามการเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ว่า กรณีดังกล่าวทางข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ตลอดจนพยานหลักฐานไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะที่ผ่านมาศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 3578/2560 ที่มีนายสมบัติ บุญงามอนงค์ เป็นจำเลย ข้อหาขัดคำสั่ง คสช.ไม่ไปรายงานตัวตามประกาศ คสช. ในคำพิพากษาศาลได้ชี้สถานะ พล.อ.ประยุทธ์ว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย หมายถึงเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐอย่างชัดเจน เพื่อมิให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความเสียหาย หากศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นเช่นเดียวกับศาลฎีกา

ทิ้งไว้หลังถวายสัตย์ฯยิ่งเสียหาย

“ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญควรเร่งวินิจฉัยคำร้องดังกล่าว ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาภายหลังที่มีการเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณไปแล้ว จะเกิดความเสียหายตามมาหลายด้าน โดยเฉพาะความเชื่อมั่นประเทศจะมีผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง”

“สุทิน” ฉะอย่าตั้งคนมีมลทินเป็น รมต.

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ให้สัมภาษณ์ถึงการตรวจสอบการทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นจองกฐินจ้องล้มรัฐบาล เพียงแต่เตือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ว่าการคัดคนเป็นรัฐมนตรีต้องให้ได้คนดีที่สุดไม่มีอะไรด่างพร้อย แต่ชื่อว่าที่รัฐมนตรีที่ออกมามี 2 คนที่อยากให้นายกฯดูอีกทีว่าเหมาะสมหรือไม่ คือนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่มีชื่อเป็น รมว.คลัง เพราะมีมลทินมัวหมองเรื่องการปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย ให้บริษัทในกลุ่มกฤษดานครและนายธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา แกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มีข่าวเป็น รมว.แรงงาน


ระบุสังคมคาใจอดีตของ “ธรรมนัส”

“เราพบข้อมูลมีมลทินมัวหมองตอนรับราชการเคยประพฤติผิดร้ายแรงจนถูกถอดยศ และอาจมีส่วนพัวพันหลายคดีที่เป็นที่รับทราบของสังคม แม้คดีจะจบแต่สังคมยังไม่หายแคลงใจ เราเตือนด้วยความหวังดี นอกจาก 2 คนนี้แล้วจากการตรวจสอบเชื่อว่าอาจพบอีกหลายคน สุดท้ายแล้วถ้าคนเหล่านี้มาเป็นรัฐมนตรี จะถือว่าการเริ่มต้นของรัฐบาลไม่เป็นที่ศรัทธาของประชาชน แต่เรายังอยากให้เวลากับรัฐบาลในการทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชนก่อน ส่วนการตรวจสอบนั้นเราจะเดินหน้าต่อไปทั้งการยื่นอภิปรายหรือยื่นให้ประธานสภาฯส่งศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติได้หรือไม่ต่อไป” นายสุทินกล่าว

ท้า “อุตตม” โชว์หลักฐานค้านปล่อยกู้

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมือง พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการตรวจสอบนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กรณีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทยโดยมิชอบว่า การตั้งคนที่สังคมสงสัย มีคำถาม ไม่น่าไว้วางใจมารับตำแหน่งในรัฐบาลเหมือนท้าทายประชาชน อาจเกิดวิกฤติศรัทธารอบใหม่ นายอุตตมมีชื่อเป็น รมว.คลัง ทั้งที่เคยมีประวัติลงนามอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในเครือกฤษ-ดานคร 9,900 ล้านบาทโดยมิชอบ สมัยเป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยเมื่อปี 2546 แม้นายอุตตมพยายามบอกว่าตัวเองไม่ผิด แต่ต้องเอาพยานหลักฐานมาเปิดเผยต่อสังคมให้หายเคลือบแคลงว่า เหตุใดจึงเป็นผู้ลงนามเข้าร่วมประชุมอนุมัติสินเชื่อที่ผิดกฎหมายให้เครือกฤษดานคร นายอุตตมมีพยานหลักฐานหรือรายงานการประชุมที่แสดงว่าไม่เห็นด้วยหรือคัดค้านการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวหรือไม่

“สมคิด” อย่าหลบแจงตั้งบอร์ดกรุงไทย

“การปล่อยเงินกู้ครั้งนี้ รวมถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ต้องชี้แจงด้วยว่าเกี่ยวข้องแค่ไหนกับการตั้งบอร์ดกรุงไทยในขณะนั้น เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ อย่าไปหลบหลังกัน รัฐบาลประยุทธ์ 2 เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ถ้าถึงขั้นหามืออาชีพมาทำงานแทนคนที่ประชาชนไว้วางใจไม่ได้ ประชาชนก็รู้สึกสิ้นหวัง” นายอนุสรณ์กล่าว

บี้ใช้ ม.44 ยับยั้ง “อุตตม” นั่ง รมว.คลัง

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวว่า วันที่ 8 ก.ค. เวลา 11.00 น. จะไปยื่นเรื่องต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ให้ตรวจสอบนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่มีรายชื่อเป็นแคนดิเดต รมว.คลัง แต่ถูกทักท้วงมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องคดีการปล่อยเงินกู้ 9,900 ล้านบาท สมัยเป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยโดยไม่สุจริตนั้น แม้นายอุตตมจะโพสต์ข้อความว่าไม่มีความผิด แต่คำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องดังกล่าวระบุไว้ส่วนหนึ่งว่า คณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยมีเจตนาฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องการให้สินเชื่อ ที่เล็งเห็นได้ว่าจะเรียกคืนไม่ได้ และมีเจตนาช่วยเหลือจำเลยให้ได้รับอนุมัติสินเชื่อ 9,900 ล้านบาท โดยไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของธนาคาร

สกัดความเสียหาย กันถูกซักฟอก

“จากคำพิพากษาดังกล่าว คำว่าคณะกรรมการบริหารย่อมหมายความรวมถึงนายอุตตมด้วย เพียงแต่ตามรายชื่อที่ถูกส่งฟ้องต่อศาลไม่มีชื่อนายอุตตมเป็นจำเลย จึงไม่สามารถลงโทษเกินขอบเขตคำฟ้องที่ถูกส่งมาได้ รัฐธรรมนูญมาตรา 160(4) ระบุรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามมา จึงขอให้นายกฯใช้อำนาจมาตรา 44 ในฐานะหัวหน้า คสช.ยับยั้งการแต่งตั้งนายอุตตมเป็น รมว.คลัง เหมือนที่เคยสั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหาเรื่องการทุจริต เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นตามมาหรือป้องกันไม่ให้นายกฯโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายเรืองไกรกล่าว

พปชร.แบ่งเค้กเลขาฯ–ที่ปรึกษา รมต.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า วันที่ 9 ก.ค. พรรคจะประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. เพื่อหาข้อสรุปผู้ที่จะไปดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ได้แก่ เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี หลัง ส.ส.บางส่วนพลาดเก้าอี้รัฐมนตรี เบื้องต้นวางไว้หลายแนวทาง ทั้งเปิดให้ ส.ส.มาดำรงตำแหน่งเพื่อมีประสบการณ์ด้านกา.รบริหาร เพราะมี ส.ส.บางส่วนแสดงความประสงค์ โดยให้เหตุผลว่าดำรงตำแหน่งได้ รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดข้อห้ามไว้ และไม่ขัดมาตรา 184 และ 185 ของรัฐธรรมนูญ ปี 60 ที่ได้บัญญัติเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ไว้ เช่น หาก ส.ส.คนใดมีบริษัทด้านพลังงาน แต่ไปดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองในกระทรวงศึกษาธิการไม่น่าขัดมาตราดังกล่าว แต่มีบางส่วนคัดค้านเสี่ยงถูกร้องให้ตีความในภายหลัง และหวั่นมีปัญหาการแบ่งเวลาทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาฯ จากปัญหารัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำด้วย

ดัน ส.ส.–ปาร์ตี้ลิสต์สอบตกได้โควตา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ มีกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคบางส่วนเสนอให้ผู้สมัคร ส.ส.ที่สอบตก แต่ต้องมาเป็นอันดับ 2 ที่มีคะแนนสูง 2-3 หมื่นคะแนนมานั่งเก้าอี้ดังกล่าว เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดสร้างฐานเสียงให้กับตัวเองและพรรคได้ และมีเสนอให้พิจารณาจากผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ไม่มีโอกาสได้เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.และสมาชิกพรรคไปดำรงตำแหน่งนี้ด้วย รวมถึงเสนอให้พิจารณาแบบคละกันไป เมื่อเลือกแนวทางไหนต้องออกเป็นมติพรรค เพื่อป้องกันปัญหาเกิดความไม่พอใจภายในพรรคซ้ำรอยกับการจัดโผ ครม. โดยพรรคจะทยอยส่งชื่อหลัง ครม. ชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้วและต้องส่งไปตรวจสอบคุณสมบัติก่อนเช่นเดียวกับรัฐมนตรีต่อเก้าอี้ ขรก.การเมือง


“วิษณุ” ยัน ส.ส.เป็น ขรก.การเมืองได้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี ส.ส.จะดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี ได้หรือไม่ว่า รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ส.ส.เป็นข้าราชการไม่ได้ แต่อนุญาตให้เป็นข้าราชการการเมืองได้ ทั้งนายกฯรัฐมนตรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นได้ทั้งหมด เหมือนอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ในไทยมีสมัยหนึ่งตอนปี 2540 ที่ต้องลาออก ส่วนที่ผ่านมาพรรคการเมืองมักนำผู้สมัคร ส.ส.สอบตกมาเป็นข้าราชการการเมืองนั้น ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญห้าม ส.ส. เป็นเรื่องของแต่ละพรรคพิจารณา และไม่เกี่ยวกับว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 184 และ 185 ที่เป็นเรื่องขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องสถานะ รัฐธรรมนูญอนุญาตให้ ส.ส.เป็นข้าราชการการเมืองได้ แต่จะไปเกิดตอนโหวตในสภาฯ เช่น สมมติมีเรื่องของตัวเองเข้าไปจะลงมติไม่ได้

ถ้าศาลฯรับคำร้อง “บิ๊กตู่” ไม่ต้องยุติหน้าที่

นายวิษณุกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องดีที่ประธานสภาฯส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะเหตุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ เพราะเมื่อมี ส.ส.สงสัยก็ทำให้ชัดเจน ไม่มีปัญหา เมื่อถามว่า หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า นายกฯยังปฏิบัติหน้าที่ได้ ไม่ได้บอกว่าผิดอะไร ไม่มีเรื่องต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพราะคำร้องเป็นการขอตีความสถานะเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องสงสัยว่าทำผิดกฎหมายหรือทุจริต ส่วนกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นคนละมาตรากัน ดังนั้นนายกฯสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีผลกระทบอะไร


“ชวน” ส่งศาล รธน.ชี้ขาดตามหน้าที่

เมื่อเวลา 11.45 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะเหตุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ว่า ตามกระบวนการหากมีผู้ยื่นคำร้องเข้ามาในฐานะประธานสภาฯ ต้องทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่นเดียวกับคำร้องที่ให้ตรวจสอบ ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ส่วนระยะเวลาการพิจารณาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ

ส.ส.แต่งกายต้องรู้กาลเทศะ

นายชวนยังกล่าวถึงกรณีที่ขอให้วินิจฉัยเรื่องการแต่งกายของสมาชิก ส.ส.ว่า ตามขั้นตอนต้องรอข้อบังคับการประชุมสภาฯก่อน เมื่อข้อบังคับได้ข้อสรุปแล้ว ในฐานะประธานสภาฯจะเป็นผู้กำหนด มองว่าเป็นเรื่องกาลเทศะ ยกตัวอย่างกรณีแต่งตัวสวยๆไปร่วมงานศพ มันอาจจะไม่สวย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกาลเทศะ ไม่น่ามีปัญหาอะไร สมาชิก ส.ส.เป็นผู้ใหญ่แล้วน่าจะรู้ว่าความเหมาะสมอยู่ตรงไหน การแต่งกายบางกรณียกเว้นได้ อย่างสมาชิก ส.ส.ผู้พิการได้เข้ามาปรึกษาและขออนุญาตแต่งกายด้วยชุดกางเกงขาสั้น หากสวมกางเกงขายาวอาจลำบากก็อนุโลมให้ ส่วนกรณีรายอื่นรวมทั้งการแต่งกายตามเพศสภาพ ยังไม่มาขออนุญาต เรื่องการแต่งกายคาดว่าจะมีการพิจารณาแล้วเสร็จในสัปดาห์นี้ ตนสนับสนุนให้ใช้วัสดุผ้าไทย ไหมไทย เป็นส่วนหนึ่งในการแต่งกาย แต่เราต้องมากำหนดว่าจะเป็นวันใดคงต้องรอข้อบังคับก่อน เมื่อข้อบังคับกำหนดไว้ อย่างไร ประธานสภาฯจะกำหนดอีกครั้ง

หยอกจะนุ่งผ้าขาวม้ามาเหรอ

นายชวนกล่าวอีกว่า ในอนาคตการประชุมสภาฯ ไม่ได้มีเพียงแค่วันพุธและพฤหัสบดี ต่อไปอาจประชุม 5 วันต่อสัปดาห์ ต้องค่อยว่ากันอีกครั้งแต่ตอนนี้ทุกคนควรจะรู้ว่ากาลเทศะในห้องประชุมเป็นอย่างไร เราต้องให้ความสำคัญเรื่องการประพฤติ ปฏิบัติตน ส่วนหนึ่งคือเรื่องของการแต่งกายด้วย เมื่อถามว่า จะให้กลับมาสวมชุดสูทสากลใช่หรือไม่ นายชวนกล่าวว่า สมาชิกส่วนใหญ่สวมชุดสูทสากลมีเพียงบางคนเท่านั้นที่ไม่ได้ใส่ ส่วน ส.ส.หญิงมีความหลากหลายอยู่อาจสืบเนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีข้อบังคับหรือระเบียบที่แน่นอน เมื่อถามว่ามีหลายคนระบุว่าให้มองผลงานมากกว่าการแต่งกาย นายชวน ตอบแบบติดตลกว่า “จะนุ่งผ้าขาวม้ามาเหรอ” อยู่ที่กาลเทศะ ผลงานก็ต้องมี ไม่ใช่ว่าจะแต่งตัวอย่างไร ผู้ปฏิบัติหน้าที่ต้องมีผลงาน การแต่งกายต้องเคารพสถานที่และกาลเทศะ

ทีมเศรษฐกิจ ปชป.ชง 1 ที่นา 1 แก้มลิง

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย แถลงว่าหลังทีมเศรษฐกิจทันสมัยลงพื้นที่รับฟังปัญหาเกษตรกรอีสานที่ จ.ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ปัญหาหลักสำคัญต้องเร่งแก้ไขทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลางและระยะยาว เช่น ปัญหาแหล่งน้ำหลายพื้นที่ขาดแคลนเนื่องจากฝนแล้ง แม้จะทำฝนเทียมแต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกที่ เช่น อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ พื้นที่เกษตรสำคัญ จะทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงเกษตรฯ ประสานทำฝนเทียม ระยะยาวควรสร้างแก้มลิง 1 ที่นา 1 แก้มลิงเก็บกักน้ำไว้ใช้ตลอดปี จะเสนอไปยัง รมว.เกษตรฯให้ดำเนินการ

เชื่อมือ “เสี่ยต่อ” พลิกฟื้นเกษตรกรได้

นายปริญญ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรมีเกือบทุกชุมชนยังไม่สามารถแก้ไขได้จริงจัง ทีมงานจะหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ทั้งระบบ การพักหนี้ การสร้างองค์ความรู้ให้เกษตรกร สร้างวินัยการออมไม่ให้ก่อหนี้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญต้องเพิ่มรายได้ เพิ่มเงินในกระเป๋าเกษตรกร เพื่อลดภาระหนี้สิน อาทิ จัดทำแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในชุมชน แปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าระดับพรีเมียม ส่วนปัญหาชาวนาโดยเฉพาะสายพันธุ์ข้าวที่พยายามพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ แต่กลับไม่ได้คุณภาพ ควรจะเน้นพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น ทั้งกระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ ควรหารือร่วมกันวางแนวทางแก้ปัญหามีเป้าหมายสร้างความยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย เชื่อว่ารัฐมนตรีของพรรคจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้

กปปส.แห่เบิร์ธเดย์ 70 ปี “สุเทพ”

เมื่อเวลา 08.30 น. ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ทำบุญครบรอบวันคล้ายวันเกิดอายุ 70 ปี พร้อมครอบครัวเทือกสุบรรณ มีอดีตผู้สมัคร ส.ส. และ ส.ส.พรรครวมพลังประชาชาติไทย อดีตแกนนำ กปปส. รวมถึง ส.ส.และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นายสุพล จุลใส นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม นายวิทยา แก้วภราดัย รวมถึงอดีตแกนนำ กปปส.ที่เป็นว่าที่รัฐมนตรีใน ครม.ประยุทธ์ 2 คือนายถาวร เสนเนียม และนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มากันพร้อมหน้า โดยนายสุเทพกราบสักการะรูปเหมือนและถวายผ้าไตรจีวรหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ อดีตเจ้าอาวาสวัด ก่อนร่วมสวดมนต์ฟังพระธรรมเทศนา ตักบาตรพระสงฆ์ 70 รูป ที่อาคารปัญญานันทานุสรณ์ จากนั้นนายถาวรได้มอบกระเช้าผลไม้ พร้อมสวมกอดกล่าวอวยพรว่า ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงและมีกำลังใจเข้มแข็ง ต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยต่อสังคม นำพาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป


“เทือก” แนะพรรคร่วมอดทนปรับตัว

ต่อมาเวลา 10.55 น. นายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่าวันเกิดปีนี้คงไม่ต้องฝากอะไรถึงประเทศ แต่อยากฝากให้ตัวเองไม่รู้ว่าจะเหลือเวลาของชีวิตอีกเท่าไหร่ แต่เวลาที่เหลือทั้งหมดตั้งใจจะทำความดี ทำประโยชน์ให้ประเทศและ 3 สถาบันหลักของชาติ ส่วนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่มาร่วมงาน ทุกคนถือเป็นพี่น้องร่วมอุดมการณ์กับตน คบค้าสมาคมกันมานาน ไม่จำเป็นต้องอยู่พรรคเดียวกัน อยู่พรรคไหนร่วมมือกันได้ แต่การประสานทำงานให้เป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะรัฐบาลจากต่างพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย รัฐบาลจากพรรคการเมืองหลากหลายอาจเหมือนกันบางเรื่อง ต่างในหลายประเด็น ต้องปรับตัวเข้าหากัน เรียนรู้ทำงานร่วมกันให้ได้ แม้ต้องอดทนกับคนบางกลุ่มบางประเภทก็จำเป็น เมื่อถามว่า ความแตกต่างดังกล่าว หมายถึงการทำงานร่วมกับ พปชร.อาจมีปัญหาใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า วันนี้คงไม่ไปหาศัตรูเพิ่ม ไม่อยากวิพากษ์–วิจารณ์ใครให้เสียหาย

เชียร์ “บิ๊กตู่” เหมาะสุดไม่ห่วง รบ.ปริ่มน้ำ

นายสุเทพกล่าวอีกว่า สำหรับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค รปช. คงต้องรอดูหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาว่าจะให้ดำรงตำแหน่งใดก็ทำงานในตำแหน่งนั้น เป้าหมายพรรคมีอย่างเดียวคือให้ประเทศ ประชาชนมีความสุข คนที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นี้คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ชูเป็นนายกฯมาตลอด เพื่อปฏิรูปให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤติไปได้ จึงไม่มีเรื่องต่อรองตำแหน่ง เสนอให้เราทำอะไรก็พร้อม แม้ไม่ให้อะไรเราเลยเราก็ทำหน้าที่ต่อไปได้ ไม่มีปัญหา ส่วนที่ฝ่ายค้านเริ่มตรวจสอบคุณสมบัติ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอะไรน่าตกใจ ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบตั้งแต่นายกฯลงไปถึงผู้ช่วยรัฐมนตรี ขอให้ทำไปตามหน้าที่ ฝ่ายรัฐบาลมีหน้าที่ทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป เมื่อมีคนสงสัยต้องอธิบายเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้กังวลที่ฝ่ายค้านจะตรวจสอบคุณสมบัตินายกฯเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นบุคคลที่เหมาะสม มีความดี เป็นนายกฯที่ดีได้ในระบอบประชาธิปไตย กรณีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำไม่กังวลเสถียรภาพรัฐบาล มีเสียงมากกว่าเพียง 1 เสียงก็ทำงานได้ ยิ่งมีเสียงน้อยยิ่งต้องทำงานจริงจังและระมัดระวัง ต้องสร้างผลงานให้ประชาชนเห็นและศรัทธา

นายกฯสั่งปราบเว็บกุข่าวใส่ร้าย รบ.

พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อความในโซเชียลมีเดียระบุรัฐบาลจะให้นักเรียนทั่วประเทศเรียนเพิ่มในวันเสาร์ แล้วหยุดเพียงวันอาทิตย์วันเดียว เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.ว่า ไม่เป็นความจริง ทุกอย่างยังเป็นปกติ ทราบที่มาเว็บไซต์ที่กุข่าวใส่ร้ายรัฐบาลแล้ว เช่น tawatnews.com Jaa7News.com Coo8news.com ปล่อยข่าวบิดเบือนบ่อยครั้ง สร้างความสับสนทั้งเพิ่มเรียนวันเสาร์ ผู้หญิงต้องเกณฑ์ทหาร ยกเลิกอาหารกลางวันเด็ก นายกฯสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงดิจิทัลฯ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสืบหา รวบรวม ปราบปรามเด็ดขาด ถือเป็นภัยความมั่นคง

ภาค ปชช.ขยับล่า 5 หมื่นชื่อแก้ รธน.

ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ประธานกลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย แถลงข่าวรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ว่า ภาคประชาชนเห็นตรงกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีเนื้อหาลิดรอนเสรีภาพของประชาชน มีเจตนาแอบแฝงการสืบทอดอำนาจเผด็จการของ คสช.ทั้งบทบัญญัติว่าด้วยอำนาจหน้าที่วุฒิสภา อำนาจหน้าที่คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังไม่เป็นของประชาชน แต่เป็นของชนชั้นปกครอง ทางกลุ่มฯจะรณรงค์ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อร่วมกันไม่ต่ำกว่า 50,000 รายชื่อ ยื่นต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เพื่อให้สภาฯนำเข้าสู่วาระพิจารณาแก้ไขต่อไป

ลั่นนี่คือทางรอดประเทศไทย

จากนั้นทางกลุ่มฯได้จัดเสวนาหัวข้อ “ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560=ทางรอดประเทศไทย” มีวิทยากร อาทิ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และนายสมยศ พฤกษา-เกษมสุข ประธานกลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย ร่วมเสวนา โดยนายชวลิตกล่าวว่า ต่อให้มี 10 ประยุทธ์ 10 สมคิด ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ได้ ไม่ได้ดูถูกขอให้ดู 5 ปีผ่านมาแก้ปัญหาให้บ้านเมืองได้หรือไม่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐบอกว่ารัฐธรรมนูญนี้ออกแบบมาเพื่อพวกเขา บอกเป็นฉบับปราบโกง แต่มีองค์กรอิสระใดบ้างกล้าตรวจสอบรัฐบาล ป.ป.ช.ตรวจสอบคนในรัฐบาลได้หรือไม่ ออกแบบมาเพื่อพรรคพลังประชารัฐ ปูทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ

“สมยศ” อัดยับ รธน.60 ฉบับโจรานุโจร

ด้านนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญสูงถึง 20 ฉบับ เฉลี่ยรัฐธรรมนูญละ 3 ปีกว่าๆ เป็นประเทศที่ใช้รัฐธรรมนูญเปลืองที่สุด โดยเฉพาะฉบับปี 2560 ถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับ “โจรานุโจร” ที่มาจากการรัฐประหาร โดยโจรร่างโดยโจร เพื่อโจรทั้งหลาย ขณะที่กระบวนการยกร่างนั้น ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เป็นเพียงการยกร่างโดยบุคคลบางคณะจัดทำประชามติแบบมัดมือชก เนื้อหารัฐธรรมนูญมีการล็อกสเปก ห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ ส.ว.เลือกนายกฯ องค์กรอิสระตรวจสอบรัฐบาลไม่ได้

บทเรียน ลต.24 มี.ค.คนผิดหวัง กกต.

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ 1,215 คน เมื่อวันที่ 3-6 ก.ค.เรื่องบทเรียนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 โดยเรื่องประชาชนที่สมหวัง ร้อยละ 42.67 ระบุว่าคนรุ่นใหม่ตื่นตัวออกไปใช้สิทธิมากขึ้นร้อยละ 38 ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ร้อยละ 21.33 ผู้สมัครที่เลือกชนะเลือกตั้ง พรรคที่ชอบได้ ส.ส.หลายคน สำหรับเรื่องที่ผิดหวัง ร้อยละ 54.75 ปัญหาการทำงานของ กกต.การเลือกตั้งไม่โปร่งใส ประกาศผลล่าช้า ร้อยละ 30.68 ยังคงขัดแย้งแตกแยก มีเลือกตั้งก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองได้ และร้อยละ 18.29 เลือกตั้งผ่านมานานแล้วแต่ประเทศไม่เดินหน้า ยังไม่มีรัฐบาล

เบื่อข่าวแย่งเก้าอี้ เชื่อการเมืองแย่ลง

ขณะที่สิ่งที่ประชาชนประทับใจในการจัดตั้งรัฐบาล ร้อยละ 47.18 มีนักการเมืองรุ่นใหม่เกิดขึ้น ได้นักการเมืองมีความรู้ความสามารถ ร้อยละ 32.66 ประชาชนตื่นตัว คนรุ่นใหม่สนใจติดตามข่าวสารการเมืองไทยมากขึ้น ร้อยละ 26.21 เป็นรัฐบาลจากหลายพรรค มีนโยบายหลากหลาย ส่วนสิ่งที่อยากลืมร้อยละ 43.39 ระบุว่าการแบ่งโควตาแย่งชิงตำแหน่งกัน เห็นแก่ประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ร้อยละ 36.61 ผู้ชนะการเลือกตั้งไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่คำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ร้อยละ 22.03 ความล้มเหลวของระบบการเมืองไทย ได้นักการเมืองหน้าเดิมๆมาบริหารประเทศ ทั้งนี้การคาดการณ์ต่อการเมืองไทย เรื่องความวุ่นวายทางการเมือง ร้อยละ 60.52 ระบุว่าแย่ลง ความมั่นคงทางการเมือง อายุรัฐบาล ร้อยละ 57.92 ระบุแย่ลง การทำงานเพื่อประชาชนของรัฐบาล ร้อยละ 47.96 ระบุว่าแย่ลง การประชุมสภาฯทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ร้อยละ 43.85 ระบุว่าแย่ลง ขณะที่การปฏิบัติงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ร้อยละ 42.69 ระบุว่าดีขึ้น

มอง พปชร.ร้าวแตกแยกชัดเจน

วันเดียวกัน นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “รู้สึกอย่างไรกับปัญหาพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)” สำรวจเมื่อวันที่ 4-5 ก.ค.จาก 1,262 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 26.86 ระบุว่าพรรคพลังประชารัฐแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด ร้อยละ 20.13 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เข้าใจการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ต้องมีการแบ่งปันอำนาจ ร้อยละ 19.41 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์แค่พยายามจะทำให้ได้ ครม.ชุดใหม่ที่ดีที่สุด ร้อยละ 18.54 ระบุว่าความเห็นต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องปกติ ร้อยละ 16.64 ระบุว่ากลุ่มสามมิตรเล่นการเมืองแบบเดิมๆ ใช้จำนวน ส.ส.กดดันขอเก้าอี้รัฐมนตรี ร้อยละ 10.54 ระบุว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ควรทำตามคำพูดว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ร้อยละ 7.05 ระบุว่ากลุ่มสามมิตรสมควรได้รัฐมนตรีตามที่ผู้ใหญ่ในพรรครับปากไว้ ร้อยละ 2.06 ระบุว่านายสุริยะเหมาะสมกับตำแหน่ง รมว.พลังงาน ร้อยละ 1.19 ระบุว่านายสุริยะเหมาะสมกับตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรม ร้อยละ 0.87 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลาจัดตั้งรัฐบาลนานเกินไป ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง และร้อยละ 27.42 ตอบว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ติง “บิ๊กตู่” ควรเน้นบริหารมากกว่าศึกใน

เมื่อถามถึงความเห็นของประชาชนต่อการดำเนินการทางการเมืองในอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.69 ระบุว่า ควรให้ความสำคัญกับการบริหารประเทศ มากกว่าปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 28.53 ระบุว่าหากมีปัญหามากนักให้ลาออก เลิกเป็นนายกฯ ร้อยละ 24.17 ระบุว่าหากมีปัญหามากนักยุบสภาเลือกตั้งใหม่

เด็ก พท.หนุน “ทักษิณ” วางมือพักผ่อน

ส่วนกระแสข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะประกาศยุติบทบาททางการเมืองในวันที่ 26 ก.ค. วันคล้ายวันเกิดครบรอบ 70 ปี วันเดียวกัน นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะวางมือเพราะนายทักษิณอายุมากแล้ว มีภารกิจมากมาย ก่อนหน้านี้นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล แกนนำพรรคเพื่อไทย เพิ่งประกาศวางมือทางการเมืองไป หากนายทักษิณวางมือจริงก็ดีจะได้พักผ่อน ทำงานมาเยอะแล้ว คงไม่มีปัญหากระทบพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคบริหารจัดการพรรคกันเองได้ ทุกวันนี้จัดการปัญหาในพรรคได้ลงตัว ทุกวันนี้แม้นายทักษิณไม่วางมือก็เหมือนวางมือ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับการบริหารงานภายในพรรค เกรงว่าจะมีปัญหาคนนอกแทรกแซงพรรคตามที่รัฐธรรมนูญห้ามไว้อยู่แล้ว


“เจ๊หน่อย” กระทุ้ง กทม.ขันนอตเก็บขยะ

วันเดียวกัน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่านายสุรชาติ เทียนทอง อดีต ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย แจ้งมาว่าข้อร้องเรียนของชาว กทม.มากที่สุดเรื่องหนึ่งคือการจับเก็บขยะทิ้งช่วง จากอาทิตย์ละครั้งเป็น 2 อาทิตย์ครั้งหรือบางที่นานๆครั้ง ส่งผลกระทบประชาชนอย่างยิ่ง ขอให้ผู้ว่าฯ กทม.และ ผอ.เขตเร่งมาจัดการด่วน เพราะได้รับแจ้งมาด้วยว่า 1 ต.ค.ที่จะถึงนี้ กทม.จะขึ้นค่าเก็บ ค่ากำจัดขยะ อัตราต่ำที่สุดเดือนละ 80 บาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 4 เท่าตัว การเพิ่มค่าเก็บค่ากำจัดขยะเป็นเรื่องถกเถียงกันได้หลายแง่มุม แต่เมื่อเพิ่มแล้วอยากให้นำเสนอให้ประชาชนได้รู้ด้วยว่าจะมีวิธีการบริหารจัดการขยะอย่างไรให้มีคุณภาพสูงขึ้นตามไปด้วย ไม่ใช่เพิ่มอัตราค่าเก็บค่ากำจัดขยะไปเรื่อยๆ แต่ขยะกองสูงและทิ้งช่วงเก็บนานขนาดนี้

ผสานคน 3 รุ่นขับเคลื่อนเพื่อไทย

ช่วงเย็น คุณหญิงสุดารัตน์เดินทางลงพื้นที่พบปะพูดคุยปัญหาด้านการเกษตรกับกลุ่มเกษตรกร ที่โรงเรียนวัดเกาะแก้ว อ.ราชสาส์น จ.ฉะเชิงเทรา จากนั้นให้สัมภาษณ์ถึงการปรับโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยว่า เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญทำให้การทำงานของพรรคการเมืองลำบากมากขึ้นจึงต้องปรับตัว รองรับความท้าทายกลไกรัฐธรรมนูญที่บิดเบี้ยว ใช้อำนาจรัฐโดยไม่ละอายต่อความยุติธรรม ความถูกต้อง การปรับโครงสร้างพรรคจะมีสัดส่วนคนทำงานระหว่างคนรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่ผสมผสาน ดึงศักยภาพคนทั้ง 3 รุ่น ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะพรรคเพื่อไทยมีคนรุ่นใหญ่มากด้วยประสบการณ์ คนรุ่นกลางรู้เท่าทันโลกเป็นสะพานเชื่อมกับคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาพร้อมความคิดใหม่ๆ รู้เท่าทันเทคโนโลยี ส่วนการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่วันที่ 12 ก.ค.นั้น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เหมาะสมเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ประกาศวางมือมีความรู้ความสามารถ ทุ่มเทเสียสละให้พรรคมานาน เชื่อว่ายังให้คำปรึกษาแนะนำช่วยงานพรรคต่อไป ยืนยันว่านายภูมิธรรมไม่ทิ้งพรรคแน่นอน

แย่งเก้าอี้เทกระโถน 'พปชร.'ผวาซ้ำรอย'ครม.' วิษณุยันบิ๊กตู่ทำหน้าที่ได้!



    "ชวน" แจงยื่นศาล รธน.ตีความคุณสมบัติ "ประยุทธ์" ทำตามหน้าที่ "วิษณุ" การันตีหากศาลรับวินิจฉัยนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่กระทบรัฐบาล อ้างไม่ใช่เรื่องผิด กม.หรือทุจริต "เพื่อไทย" แนะศาลเร่งวินิจฉัยก่อนนายกฯ นำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ ขณะที่ "เรืองไกร" จ่อบุกทำเนียบฯ บี้ "บิ๊กตู่" ใช้ ม.44 ฟัน "อุตตม" ปมปล่อยกู้กรุงไทย พปชร.เตรียมกำหนดหลักเกณฑ์วางคนนั่ง ขรก.การเมืองหวั่นซ้ำรอยโผ ครม. ครบ 70 ปี "ลุงกำนัน" คึกคัก มั่นใจเสียงปริ่มน้ำไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล ย้ำหนุน "ลุงตู่" เป็นนายกฯ ไม่มีต่อรองตำแหน่ง "จตุพร" ไม่รีบ ขยี้รัฐบาลฟันธงพังด้วยสนิมภายใน
    เมื่อวันอาทิตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สิ้นสุดลงเฉพาะตัว เพราะเหตุเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ว่า ตามกระบวนการ หากมีผู้ยื่นคำร้องเข้ามาในฐานะประธานสภาฯ ต้องทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่นเดียวกับคำร้องที่ให้ตรวจสอบ ส.ส.ถือหุ้นสื่อ ทั้งนี้ระยะเวลาการพิจารณาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ 
    ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ไม่มีอะไร ก็ดี ทำให้ชัดเจน ในเมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสงสัยก็ไม่มีปัญหา

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากศาลรับคำร้องจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า นายกฯ ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะเป็นแค่การตีความเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าผิดอะไร 
    เมื่อถามว่า แล้วหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนชั่วคราว เหมือนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่มีเรื่องการหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน เพราะคำร้องของนายกฯ เป็นการตีความสถานะว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสงสัยว่าทำผิดกฎหมายหรือทุจริต ส่วนกรณีนายธนาธรนั้น เป็นคนละมาตรากัน ดังนั้น นายกฯ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ไม่มีผลกระทบอะไร
    นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีประธานสภาฯ ส่งคำร้องของ ส.ส.จำนวน 111 คน ที่ร้องขอตรวจสอบคุณสมบัติของพล.อ.ประยุทธ์ว่า กรณีดังกล่าวทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ตลอดจนพยานหลักฐานไม่มีอะไรซับซ้อน ขณะเดียวกันศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 3578/2560 ระหว่างพนักงานอัยการ โจทก์ และนายสมบัติ บุญงามอนงค์ จำเลย ข้อหาขัดคำสั่ง คสช.ไม่ไปรายงานตัวตามประกาศ คสช. โดยในคำพิพากษาศาลได้ชี้สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ซึ่งหมายถึงเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐอย่างชัดเจน

     "เพื่อไม่ให้การบริหารราชการแผ่นดินเกิดความเสียหาย หากศาล รธน.มีความเห็นเช่นเดียวกับศาลฎีกา ดังนั้น ศาลรัฐธรรมนูญควรเร่งวินิจฉัยคำร้องดังกล่าว ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณตน หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้น โดยมีคำวินิจฉัยภายหลังการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ จะเกิดความเสียหายตามมาอย่างมากมายหลายด้าน โดยเฉพาะความเชื่อมั่นประเทศ จะมีผลกระทบตามมาอย่างรุนแรง จึงเป็นเหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญควรเร่งวินิจฉัยก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์จะนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้า ฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตนฯ ดังกล่าวข้างต้น" นายชวลิตกล่าว 

ชง"บิ๊กตู่"ใช้44ฟันอุตตม

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) เปิดเผยว่า เตรียมยื่นเรื่องถึง พล.อ.ประยุทธ์  โดยขอให้หัวหน้า คสช.ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ดำเนินการกับนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อ้างเหตุอนุมัติสินเชื่อวงเงิน 9,900 ล้านบาท ที่ศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้ว แม้นายอุตตมจะไม่ถูกฟ้องและออกมาประกาศว่าไม่มีความผิดก็ตาม และขอให้พิจารณาความเหมาะสมที่จะให้ไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 160 (4) หรือไม่ ด้วยกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนว่า รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็น

ที่ประจักษ์ โดยจะไปยื่นที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ 8 ก.ค. เวลา 11.00 น.
     "ในคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วนั้น เกิดขึ้นในสมัยที่นายอุตตมเป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยอยู่ด้วย คำพิพากษาศาลฎีการะบุไว้ส่วนหนึ่งว่า คณะกรรมการบริหารมีเจตนาฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการให้สินเชื่อที่เล็งเห็นว่าจะเรียกคืนไม่ได้แล้ว คณะกรรมการบริหารยังมีเจตนาช่วยเหลือจำเลยได้รับอนุมัติสินเชื่อ โดยไม่ได้รักษาประโยชน์ของธนาคารผู้เสียหาย ซึ่งในคำพิพากษานี้ย่อมหมายรวมถึงนายอุตตมรวมอยู่ด้วย" นายเรืองไกร กล่าว 
     นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า รัฐบาลประยุทธ์ 2 จะทำเหมือนที่เคยทำในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาไม่ได้แล้ว วันนี้มีสภาผู้แทนราษฎร การตรวจสอบภาคประชาชนเข้มข้นขึ้น การสืบค้นตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การตั้งคนที่สังคมมีคำถาม มีความสงสัยว่าไม่น่าไว้วางใจมารับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล เหมือนเป็นการท้าทายประชาชน เรื่องนี้อาจเกิดวิกฤติศรัทธารอบใหม่ นายอุตตมเป็นหัวหน้าพรรคพปชร. มีชื่อเป็น รมว.การคลัง แต่ระหว่างนายอุตตม เป็นกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยเมื่อปี 2546 ได้ลงนามอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มเครือกฤษดามหานคร จำนวน 9,900 ล้านบาท 
    "นายอุตตมต้องเอาพยานหลักฐานออกมาเปิดเผยต่อประชาชนและสังคมให้หายเคลือบแคลงสงสัยว่าเหตุใดจึงเป็นผู้ลงนามเข้าร่วมประชุมอนุมัติสินเชื่อที่ผิดกฎหมายให้เครือกฤษดามหานคร นายอุตตมมีพยานหลักฐานหรือรายงานการประชุมที่แสดงว่านายอุตตมไม่เห็นด้วย หรือคัดค้านการอนุมัติสินเชื่อดังกล่าวหรือไม่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ต้องออกมาชี้แจงด้วยว่าเกี่ยวข้องแค่ไหนกับการตั้งบอร์ดกรุงไทยในขณะนั้น อย่าไปหลบหลังกัน" นายอนุสรณ์กล่าว
    ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จ.ขอนแก่น นายเอกราช  ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรค พปชร. ในฐานะประธานกลุ่มเพื่อนเอกราช เปิดเผยว่า ขณะนี้ การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลโดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์เสร็จสิ้นแล้ว ในความจริงแล้วกลุ่ม ส.ส.อีสานแม้จะไม่พอใจ แต่เราก็จะต้องให้โอกาส เพื่อที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้ไปได้ ถ้าเอาความไม่พอใจแล้วเราไม่ร่วมเลยก็คงไม่ใช่ ดังนั้นการจัด ครม.ชุดใหม่นี้ จะให้พอใจทุกคนก็คงไม่ถูก แต่ถ้าในโอกาสต่อไปมีการปรับ ครม. เราก็คงจะมีโอกาสที่จะแก้ไข อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของนายกฯ ซึ่ง ส.ส.ของเราได้มีโอกาสนำเรียนนายกฯ ไปแล้ว ว่าพื้นที่ภาคอีสานตอนบนนั้นยังคงมีช่องโหว่ ซึ่งนายกฯ ได้รับปัญหาไปแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไข
พปชร.อีสานรอลุ้นปรับ ครม.
    "ว่าที่รัฐมนตรีทุกตำแหน่งจากพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคนั้น ทุกคนเหมาะสมในทุกตำแหน่ง ถ้าจะบอกว่าไม่ใช่เลยก็คงไม่ถูก เราต้องให้เกียรติท่านนายกฯ เมื่อจัดโผ ครม.มาแล้ว ทุกคนก็ต้องยอมรับ จึงขอให้ทุกคนให้โอกาส ครม.ชุดใหม่ และให้โอกาสพิสูจน์ฝีมือ ถ้าพิสูจน์ฝีมือแล้วไม่ได้ ก็ควรที่จะพิจารณาตัวเอง เมื่อทำงานแล้วคุณทำงานตามที่ได้รับมอบหมายในอำนาจหน้าที่ที่ได้รับไป หากทำไม่ได้ คุณก็ต้องถอยออกมาให้คนอื่นทำ"
    นายเอกราชกล่าวด้วยว่า วันนี้ไม่มีปัญหาอะไรในการทำงานร่วมในของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลและว่าที่รัฐมนตรี เพราะ ส.ส.อีสานทุกคนเคารพและให้เกียรตินายกฯ ที่จะขับเคลื่อนประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนา
     ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรค พปชร.ว่า วันที่ 9 ก.ค. พรรค พปชร.จะมีการประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส. เพื่อหาข้อสรุปผู้ที่จะไปดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ได้แก่ เลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรี หลังจาก ส.ส.บางส่วนพลาดเก้าอี้รัฐมนตรี จากที่หารือกันไว้เบื้องต้นกำหนดไว้หลายทางเลือก คือให้ผู้ที่เป็น ส.ส.ไปดำรงตำแหน่งเพื่อมีประสบการณ์ด้านการบริหาร เนื่องจากมี ส.ส.บางส่วนแสดงความประสงค์จะไปดำรงตำแหน่งข้าราชการเมือง โดยให้เหตุผลว่าสามารถดำรงตำแหน่งได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดข้อห้ามเอาไว้ และไม่ขัดมาตรา 184 และ 185 ของรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ได้บัญญัติเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ไว้ เช่น หาก ส.ส.คนใดมีบริษัทด้านพลังงาน แต่ไปดำรงตำแหน่งข้าราชการในกระทรวงศึกษาธิการ ไม่น่าจะขัดมาตราดังกล่าว แต่บางส่วนคัดค้านเนื่องจากมองว่าหากแต่งตั้งไปจะเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญในมาตรา 184 และ 185 และถูกยื่นตีความในภายหลังได้ และหวั่นมีปัญหาการแบ่งเวลาทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา ที่ถือว่าอันตราย เนื่องจากรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำ
    ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ทำให้บางส่วนเสนอให้ผู้เป็น ส.ส.สอบตกมาดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองดีกว่า แต่ต้องได้รับเลือกมาเป็นอันดับ 2 ที่มีคะแนนสูง 2-3 หมื่นคะแนน เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดในฐานเสียงของตัวเองได้ และอาจพิจารณาจากผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ไม่มีโอกาสได้เลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส.และสมาชิกพรรคไปดำรงตำแหน่ง หรือจะพิจารณาแบบผสมคละกันไป แต่ต้องออกเป็นมติพรรค เพื่อป้องกันปัญหาเกิดความไม่พอใจภายในพรรคซ้ำรอยกับการจัดโผ ครม.ก่อนพรรคจะทยอยส่งชื่อผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง หลัง ครม.ชุดใหม่ถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว และต้องส่งไปตรวจสอบคุณสมบัติก่อนเช่นเดียวกับรัฐมนตรี
    ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ส.ส.เป็นข้าราชการไม่ได้ แต่อนุญาตให้เป็นข้าราชการการเมืองได้ ทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นได้ทั้งหมด เหมือนอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ส.ส.สามารถดำรงตำแหน่งข้าราชการเมืองพร้อมกันได้ ส่วนในไทยมีสมัยหนึ่ง ตอนปี 2540 ที่ต้องลาออก ส่วนที่ผ่านมาที่พรรคการเมืองมักนำผู้สมัคร ส.ส.ที่สอบตกมาเป็นข้าราชการการเมืองนั้น ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญห้าม ส.ส. เป็นเรื่องของแต่ละพรรคที่จะพิจารณาว่าจะให้ ส.ส.มาเป็นหรือไม่
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 184 และ 185 ที่เป็นเรื่องขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับการขัดกันของผลประโยชน์ เพราะเป็นเรื่องสถานะ ซึ่งรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ ส.ส.เป็นข้าราชการการเมืองได้ และทำท่าจะส่งเสริมให้เป็นด้วย ดังนั้น เป็นคนละเรื่องกับผลประโยชน์ทับซ้อน แต่มันจะไปเกิดตอนโหวตในสภา เช่น สมมุติมีเรื่องของตัวเองเข้าไป จะลงมติไม่ได้ ส่วนจะมีปัญหาเรื่องการจัดสรรเวลาของทั้งสองตำแหน่งหรือไม่ เป็นเรื่องที่ตัว ส.ส.จะต้องไปจัดสรรเวลาเอง
ปชป.-ภท.ฟิตดันนโยบาย
    นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย แถลงว่า หลังจากทีมเศรษฐกิจทันสมัยได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคอีสาน ที่ จ.ขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม พบปัญหาหลักที่สำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว เช่น ปัญหาแหล่งน้ำที่หลายพื้นที่เกิดความขาดแคลนเนื่องจากฝนแล้ง แม้จะมีการแก้ไขด้วยการทำฝนเทียม แต่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกที่ เช่น อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด พื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ตนจะทำหนังสือถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อประสานในการทำฝนเทียม ส่วนระยะยาวควรมีการสร้างแก้มลิง 1 ที่นา 1 แก้มลิง เพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดปี โดยจะเสนอไปยัง รมว.เกษตรและสหกรณ์ที่มาจากพรรค ปชป.ให้ดำเนินการ
     นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องหนี้สินเกษตรกร ซึ่งมีเกือบทุกชุมชนที่ยังไม่สามารถไขปัญหาได้อย่างจริงจัง โดยทางทีมงานจะมีการหารือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ทั้งระบบ การพักหนี้ การสร้างองค์ความรู้ให้กับเกษตรกร สร้างวินัยการออมเพื่อมิให้ก่อหนี้เพิ่มขึ้น และที่สำคัญต้องมีการเพิ่มรายได้ หรือเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับเกษตรกร เพื่อลดภาระหนี้สิน อาทิ จัดทำแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในชุมชน การแปรรูปสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าระดับพรีเมียม เช่น เน้นการเกษตรอินทรีย์ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มช่องทางการขายผลผลิตการเกษตร เช่น ทางออนไลน์ 
     "ส่วนปัญหาของชาวนา โดยเฉพาะสายพันธุ์ข้าวที่พบว่ามีความพยายามพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น แต่กลับไม่ได้คุณภาพ เห็นว่าเราควรจะเน้นพัฒนาสายพันธุ์ข้าวที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น โดยกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ควรจะหารือร่วมกัน แนวทางแก้ปัญหาเหล่านี้จะต้องมีเป้าหมายคือสร้างความยั่งยืน ไม่ฉาบฉวย เพราะมิเช่นนั้นก็จะเจอปัญหาแบบเดิมๆ เพื่อเศรษฐกิจดีขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีก็จะตามมา เชื่อว่ารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์จะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้" นายปริญญ์กล่าว 
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอนโยบายของพรรค เพื่อยกร่างเป็นนโยบายรัฐบาลว่า พรรค ภท.มอบหมายให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค เป็นหัวหน้าทีมนำเสนอและชี้แจงนโยบายของพรรคในการหารือร่างนโยบายรัฐบาล โดยนโยบายด้านสาธารณสุขนั้น ตนยืนยันว่าจะผลักดันแต่ละนโยบายไปพร้อมๆ กัน ทั้งนโยบายกัญชาเสรี ยกระดับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และการปรับปรุงระบบประกันสุขภาพ
    เมื่อถามว่า บางนโยบายของพรรค ภท.ที่อาจทับซ้อนกับนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล นายอนุทินกล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะหากนโยบายทับซ้อนหรือใกล้เคียงกัน แสดงว่าพรรคการเมืองมีความเห็นสอดคล้องกัน สำหรับพรรค ภท. เราพยายามจัดตำแหน่งรัฐมนตรีให้ไปอยู่ในกระทรวงที่สามารถผลักดันนโยบายของพรรคได้ หากกระทรวงไหนที่พรรค ภท.เป็นเจ้ากระทรวง อาจจะลำดับความสำคัญโดยยกนโยบายของพรรคขึ้นมาได้สะดวกมากกว่า แต่ถ้ากระทรวงไหนที่พรรค ภท.ไม่ได้เป็นเจ้ากระทรวง ก็เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการที่ต้องพูดคุยประสานงานกับรัฐมนตรีว่าการจากพรรคอื่น รวมถึงข้าราชการในการผลักดันทำนโยบายให้สำเร็จ ทั้งนี้ มั่นใจว่านโยบายทั้งหมดของพรรค ภท.จะได้รับการยอมรับ เพราะไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดจะเห็นแย้งกับเรา ขณะเดียวกันพรรค ภท.ก็พร้อมสนับสนุนนโยบายของพรรคอื่น หากเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
      นายอนุทินยืนยันว่า ตัวแทนของพรรคจะนำนโยบายที่ได้รณรงค์หาเสียงไปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการยกร่างนโยบายของรัฐบาลที่จะนำเสนอต่อรัฐสภา หนึ่งในนั้นคือนโยบาย "แก้หนี้ กยศ." ด้วย ซึ่งต้องดูว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยได้นำเสนอนโยบายแก้หนี้ กยศ.หรือไม่ และจะขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างไรต่อไป และในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ พรรคภูมิใจไทยได้ที่นั่งรัฐมนตรีช่วยฯ 1 ตำแหน่ง จะมีการแบ่งงานอย่างไรด้วย และได้ดู กยศ.หรือไม่ด้วย
70ปี"ลุงกำนัน"คึกคัก
    วันเดียวกัน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) และอดีตเลขาธิการ กปปส. ฟังเทศน์ทำบุญวันคล้ายวันเกิดครบ 70 ปี ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี เหมือเช่นทุกปี โดยมีครอบครัว กรรมการบริหารพรรค ส.ส. รปช. และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงมวลชนอดีตแนวร่วมกลุ่ม กปปส.ร่วมทำบุญ อาทิ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ส.ส.พรรค พปชร. และอดีตแกนนำ กปปส.  , นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้า ปชป., นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา ปชป, นายชุมพล จุลใส ส.ส.ชุมพร, นายอิสสระ สมชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงอดีต ส.ส. ส่วน ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค รปช. ติดภารกิจไม่สามารถเดินทางมาร่วมทำงานได้ 
    ทั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น นางศิริวรรณและนายถาวรเข้ามอบดอกไม้อวยพรวันเกิดให้กับนายสุเทพ โดยนายถาวรกล่าวอวยพรขอให้มีสุขภาพแข็งแรง และมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยต่อความมั่นคง และพาบ้านเมืองก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
     ขณะที่นายสุเทพกล่าวว่า ยืนยันจะทำพรรครวมพลังประชาชาติไทยให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน รับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความมุ่งมั่นต่อไป มาถึงวันนี้ก็ไม่มีอะไรฝากถึงประเทศแล้ว ขอฝากถึงตัวเองอย่างเดียวว่า จะใช้เวลาที่เหลือตั้งใจทำความดีทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ไม่ต้องสอนใคร สอนตัวเอง มาถึงวันนี้ก็ภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ให้ประเทศชาติ ตามกำลังความสามารถ ถ้ามีเวลาก็จะทำต่อไป
     นายสุเทพกล่าวถึงความคาดหวังต่อการเมืองไทย ว่า ไม่มีใครได้สมบูรณ์แบบ ส่วนตัวก็คาดหวังเห็นการปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปการเมือง บางอย่างก็เป็นไปในทิศทางที่น่าพึงพอใจ บางอย่างก็เป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนก็จะต้องช่วยกันทำต่อไป
     ส่วนที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์หลายคนยังคงมาร่วมงานทำบุญอวยพรวันเกิดเช่นทุกปี จะตีความได้ถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมากขึ้นหลังเปลี่ยนหัวหน้าพรรคคนใหม่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า นักการเมืองไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน ถ้าเป็นผู้มีอุดมการณ์ทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ก็คบกันได้ ร่วมมือกันได้ทั้งนั้น ซึ่งคนเหล่านี้เป็นพี่น้องที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่พรรคเดียวกัน อยู่พรรคไหนก็ร่วมมือกันได้
     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค ปชป. ไม่ได้มาร่วมงานทำบุญวันเกิดของนายสุเทพเหมือนกับทุกปีที่มาร่วมโดยตลอด ภายหลังจากที่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์ประกาศไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้นายสุเทพออกมาระบุว่าหากนายอภิสิทธิ์ไม่มีตนก็คงมาไม่ถึงจุดนี้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการไม่ปรากฏตัวของนายอภิสิทธิ์ในวันนี้หรือไม่
     นายสุเทพกล่าวยอมรับว่า การประสานงานการทำงานภายในพรรคร่วมรัฐบาลรอบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีนักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันหลายเรื่องหลายประเด็น ซึ่งต้องปรับตัวเข้าหากัน และเรียนรู้ที่จะทำงานด้วยกันให้ได้ ซึ่งตนเองถือหลักว่าขอให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัย ขอให้ประชาชนมีความสุข แม้จะต้องอดทนกับคนบางกลุ่มบางประเภทก็จำเป็น แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อให้ประเทศปลอดภัย ประชาชนมีความสุข สถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงแข็งแรง  
    "ไม่กังวลเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล แม้มีเสียงปริ่มน้ำ โดยมีเสียงมากกว่าฝ่ายค้านเพียงหนึ่งเสียงก็ทำงานได้ และยิ่งเสียงน้อยยิ่งต้องทำงานด้วยความจริงจัง ระมัดระวัง ทำผลงานให้ประชาชนเห็น ให้ประชาชนศรัทธา และขอให้ทุกคนในคณะรัฐบาลทุ่มเททำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่มีความสุข ประเทศเดินหน้าไปได้"
ย้ำหนุน"ลุงตู่"ไม่ต่อรองเก้าอี้
    สำหรับกรณีที่มีรายงานว่า ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค จะได้ตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ต้องรอความชัดเจนจากพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หากได้ตำแหน่งใดก็คงพร้อมทำหน้าที่ เพราะที่ผ่านมาพรรค รปช.ย้ำแนวทางสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีมาตลอด เพื่อทำการปฏิรูปประเทศ ไม่เคยพูดถึงว่าจะต้องได้ตำแหน่งอะไร ดังนั้นเมื่อมีการจัดรัฐบาลจึงไม่ได้มีข้อต่อรองอะไร หากไม่ให้อะไรเลยก็พร้อมทำหน้าที่ต่อไป
     ส่วนกรณีฝ่ายค้านยื่นศาลรัฐธรรมนูญขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ นายสุเทพกล่าวว่า ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่มีอะไรน่าตกใจ ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ตรวจสอบ ฝ่ายรัฐบาลก็มีหน้าที่ทำงานให้ประเทศชาติ ให้กับประชาชน เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่มีความเหมาะสม เป็นรัฐมนตรีที่ดีได้ในระบอบประชาธิปไตย
    ที่ร้านกาแฟพีซคอฟฟี่แอนด์ไลบรารี่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5 มีการจัดกิจกรรมต่อลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้เดินทางมาร่วมงาน พร้อมกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองตอนหนึ่งว่า ขอยก 2 คำโบราณคือ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม และกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ วันนี้คนไทยไม่ได้มีความตื่นเต้นกับโฉมหน้าคณะรัฐมนตรีว่าใครจะมาเป็น เพราะคงไม่มีใครดีกว่าใคร มีแต่ใครยี้กว่าใคร ความขัดแย้งในบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะการแย่งชิงเก้าอี้รัฐมนตรี คนที่ไม่ได้ก็จะสะสมอารมณ์ไว้ คนที่ได้ก็ไม่คิดว่าอายุรัฐบาลนี้จะนาน เพราะฉะนั้นก็ต้องรีบปล้นแบบลนลาน ปล่อยให้เขาทำไปแล้วเราค่อยมาจับเรื่องทุจริตเอาทีหลัง คือคำว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม 
         "ส่วนอีกคำหนึ่งกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ คือเรื่องธรรมนูญ ไม่ว่าใครก็เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะไปเร็ว แต่ถ้า สมาชิกวุฒิสภา 250 คนยังอยู่ใน 5 ปีนี้ ยังมีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ ได้อีก จะเลือกตั้งอย่างไรก็กลับมาเหมือนเดิม วันนี้หลายองค์กรเริ่มขยับตัวเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องรีบทำ ไม่ว่าจะเป็นภาคประชาชนหรือพรรคการเมืองจะต้องร่วมกัน ลำพังพรรคการเมืองไม่มีวันที่จะทำสำเร็จได้ อยู่ที่กระแสสังคม กระแสประชาชน หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ถ้าไม่มีกระแสประชาชนก็ไม่สามารถทำได้ วันนี้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นตัวตั้ง รัฐบาลให้เขาพังของเขาเอง ข้อดีของเรือเหล็กมีข้อดีอยู่ข้อเดียวคือ เป็นปะการังเทียมได้ ทุกคนต้องรู้ว่าเรือเหล็กกำลังมีสนิม ไม่ได้มาจากข้างนอก แต่หากเป็นสนิมใน อย่างไรก็ต้องจมไปเป็นปะการังเทียม" นายจตุพรกล่าว 
          นายจตุพรกล่าวอีกว่า ทั้งสองเรื่องที่พูดถึง คือ ปล่อยให้รัฐบาลทำงานไป ไม่ว่า 3 เดือน 6 เดือน เวลาไม่น่าไกลกว่านี้ เพื่อให้เขาได้ทะเลาะกันต่อไป ถ้าเราเข้าไปเร็ว ก็ตีกันเร็ว และทำให้เขาอยู่นานขึ้น ส่วนของรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย เมื่อแต่ละฝ่ายมีการขยับกันแล้วอย่างเป็นรูปธรรม เราก็จะมีการขยับอย่างเป็นรูปธรรมตามกระบวนการ
ปชช.เบื่อ พปชร.แตกแยก
        ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “รู้สึกอย่างไรกับปัญหาพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)” ระหว่างวันที่ 4-5 ก.ค.2562 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,262 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนเกี่ยวกับปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพปชร.ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 26.86 ระบุว่าพรรค พปชร.มีความแตกแยกอย่างเห็นได้ชัด, ร้อยละ 20.13 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เข้าใจการเมืองแบบประชาธิปไตยที่ต้องมีการแบ่งปันอำนาจ, ร้อยละ 19.41 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์แค่พยายามจะทำให้ได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่ดีที่สุด 
    ร้อยละ 18.54 ระบุว่าความเห็นต่างเป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ, ร้อยละ 16.64 ระบุว่ากลุ่มสามมิตรเล่นการเมืองแบบเดิมๆ ใช้จำนวน ส.ส.กดดันขอเก้าอี้รัฐมนตรี,  ร้อยละ 10.54 ระบุว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ควรทำตามคำพูดว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี,  ร้อยละ 7.05 ระบุว่ากลุ่มสามมิตรสมควรได้ตำแหน่งรัฐมนตรีตามที่ผู้ใหญ่ในพรรครับปากไว้, ร้อยละ 2.06 ระบุว่านายสุริยะเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน, ร้อยละ 1.19 ระบุว่านายสุริยะเหมาะสมกับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม, ร้อยละ 0.87 ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ใช้เวลานานเกินไปในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง 
    เมื่อถามถึงความเห็นต่อการดำเนินการทางการเมืองในอนาคตของ พล.อ.ประยุทธ์ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.69 ระบุว่าควรให้ความสำคัญกับการบริหารประเทศมากกว่าปัญหาภายในพรรค พปชร. รองลงมา ร้อยละ 28.53 ระบุว่าหากมีปัญหามากนัก ก็ลาออก เลิกเป็นนายกฯ, ร้อยละ 24.17 ระบุว่า หากมีปัญหามากนัก ก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่, ร้อยละ 22.50 ระบุว่าควรแบ่งปันอำนาจให้เหมาะสมเพื่อความอยู่รอดของรัฐบาล, ร้อยละ 12.84 ระบุว่าควรใช้อำนาจอย่างเด็ดขาด แม้ว่ารัฐบาลอาจจะอายุสั้นก็ตาม, ร้อยละ 6.02 ระบุว่าควรหาตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ให้กับ ส.ส. ที่ผิดหวังไม่ได้เป็นรัฐมนตรี, ร้อยละ 5.55 ระบุว่าไม่ควรเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.เพื่อจะได้ลอยตัวจากปัญหา, ร้อยละ 5.23 ระบุว่า ควรเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อแก้ไขปัญหาภายในพรรค พปชร., ร้อยละ 2.54 ระบุว่าควรเตรียมงูเห่า จากพรรคฝ่ายค้านในกรณีวิกฤติ เพื่อให้มาสนับสนุนนายกรัฐมนตรี 
     สวนดุสิตโพล เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง บทเรียนทางการเมืองหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม โดยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,215 คน ระหว่างวันที่ 3-6 ก.ค.2562 สรุปผลได้ ดังนี้ 1.หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มี.ค.2562  เรื่องที่ประชาชน “สมหวัง” คือ อันดับ 1 ประชาชน คนรุ่นใหม่ตื่นตัว ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น 42.67%,  อันดับ 2    ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  38.00%, อันดับ 3 ผู้สมัครที่เลือกชนะเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ชอบได้ ส.ส.หลายคน 21.33%
      2.หลังการเลือกตั้ง เรื่องที่ “ผิดหวัง” คือ อันดับ 1ปัญหาการทำงานของ กกต. การเลือกตั้งไม่โปร่งใส ประกาศผลล่าช้า 54.75%, อันดับ 2 ยังคงขัดแย้ง แตกแยก ถึงจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการเมืองได้ 30.68%, อันดับ 3 เลือกตั้งผ่านมานานแล้วแต่ประเทศไม่เดินหน้า ยังไม่มีรัฐบาล 18.29% 
     3.บทเรียนจากการเลือกตั้งที่คิดว่า “เป็นประโยชน์” ต่อการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป คือ อันดับ 1ต้องมีระบบตรวจสอบการนับคะแนนที่เป็นมาตรฐาน โปร่งใส 43.63%, อันดับ 2 การทำหน้าที่ของ กกต.ต้องเป็นกลาง ตรวจสอบได้ 33.05%, อันดับ 3 กระตุ้นให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ช่วยกันเป็นหูเป็นตา 26.00% 
      4.สิ่งที่ “ประทับใจ” ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ คือ อันดับ 1 มีนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้น ได้นักการเมืองที่มีความรู้ความสามารถ 47.18%, อันดับ 2 ประชาชนตื่นตัว คนรุ่นใหม่สนใจติดตามข่าวสารการเมืองไทยมากขึ้น 32.66%, อันดับ 3 เป็นรัฐบาลที่มาจากหลายพรรคการเมือง มีนโยบายที่หลากหลาย 26.21%
      5.สิ่งที่ “อยากลืม” ในการจัดตั้งรัฐบาล คือ อันดับ 1 การแบ่งโควตา แย่งชิงตำแหน่งกัน เห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง 43.39%, อันดับ 2ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่คำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน 36.61%, อันดับ 3 ความล้มเหลวของระบบการเมืองไทย ได้นักการเมืองหน้าเดิม ๆ เข้ามาบริหารประเทศ 22.03%
      6.การจัดโผ ครม.เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ณ วันนี้ ประชาชนคาดการณ์ต่อการเมืองไทยในด้านต่างๆ ต่อไปนี้อย่างไร? ข้อ 1 ความวุ่นวายทางการเมือง ดีขึ้น 4.92% แย่ลง 60.52% เหมือนเดิม 34.56%, ข้อ 2ความมั่นคงทางการเมือง/อายุรัฐบาล ดีขึ้น 9.74% แย่ลง 57.92% เหมือนเดิม 32.34%, ข้อ 3 การทำงานเพื่อประชาชนของรัฐบาล ดีขึ้น 12.49% แย่ลง 47.96% เหมือนเดิม 39.55%, ข้อ 4 การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ดีขึ้น 15.95%    แย่ลง 43.85% เหมือนเดิม 40.20%, ข้อ 5 การปฏิบัติงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ดีขึ้น 42.69% แย่ลง 26.13%    เหมือนเดิม 31.18%.



หรือจะเจริญรอยยิ่งลักษณ์

    วันนี้แล้วสินะ.......
    (๘ ก.ค.๖๒) "ธนาธร" จะต้องไปขึ้นศาลรัฐธรรมนูญคดี "หุ้นสื่อ" ตามนัด 
    หลังขอเลื่อนมาครั้งหนึ่ง เมื่อปลาย พ.ค.!
    ความจริงในประเด็น นายธนาธร "เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง" ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๙๘(๓) หรือไม่ นั้น
    มัน "จบประเด็น" ในตัวมันเองไปแล้ว
    คือ ทั้งบริคณห์สนธิ, แบบ ว., สสช.๑ และแบบ ส.บช.๓ (แบบนำส่งงบ) ของบริษัท วี-ลัค มีเดีย  จำกัด ที่ธนาธรถือหุ้น
    ยืนยันความเป็น "หุ้นสื่อ" ทั้งทางเป็นจริงและทางเอกสารตามที่ยื่นกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะแจ้ง 
    ประเด็นที่กล่าวอ้างและต้องพิสูจน์ในชั้นศาล ก็อยู่ตรงว่า.......
    ณ วันที่ธนาธรไปยื่นสมัครเป็น ส.ส.เมื่อ ๖ กุมภา ๖๒ นั้น
    ธนาธรโอนหุ้นไปหมดแล้วจริงหรือ?
    หรือ.....
    ยังถือครองหุ้นอยู่ โดยโอนกันหลังวันยื่นสมัครรับเลือกตั้งแล้ว?
    นายธนาธรให้สัมภาษณ์นักข่าว เมื่อ ๓๐ เม.ย.ตอนเข้าชี้แจง กกต.ว่า
    "รายละเอียดที่เข้าชี้แจง ตอบไปตามเอกสาร ๒๖ รายการ และเดี๋ยวจะมีการโพสต์หลักฐานดังกล่าวผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก 
    ทั้งนี้ ในการประชุม มีการพูดคุยรายละเอียดกันน้อยมาก แต่ประเด็นคือ 
    กกต.ไม่สามารถตอบตามหลักการได้ว่า 'ผิดตรงไหน' มีหลักฐานใด ที่ไม่เชื่อว่า ผมโอนหุ้นวันที่ ๘  มกราคม ๒๕๖๒ แต่ กกต.ไม่สามารถตอบได้"
    กรณีนี้ กกต.ตอบไม่ได้ หรือใครงั่งก็ไม่ทราบนะ..ธนาธร!?
    แต่ตาม บอจ.๕ ที่ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ยื่นต่อ "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" ปรากฏว่า 
    โอนหุ้นกัน วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๒ 
    คือโอนหลังธนาธรไปยื่นสมัครเป็น ส.ส.แล้ว!?
    ตรงนี้ นายปิยบุตร ให้สัมภาษณ์นักข่าว ด้วยดีกรีผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์สอนกฎหมายธรรมศาสตร์ ในประเด็น บอจ.๕ นี้ ว่า
    "เมื่อเราถามว่าเอกสาร บอจ.๕ สืบค้นมาเมื่อวันที่เท่าไหร่ กกต.ไม่สามารถตอบได้ 
    ขณะที่เอกสาร บอจ.๕ ไม่ใช่สิ่งที่จะยืนยันว่าโอนหุ้นดังกล่าว แต่ กกต.กลับเชื่อฝั่งผู้ร้อง ที่ยึดตามเอกสาร บอจ.๕"
    เมื่อธนาธร-ปิยบุตรไม่ยึด บอจ.๕ แต่กลับยึด "ลัง"
    ฉะนั้น วันนี้........
    น่าจะทำให้พอมองเห็น เอกสาร "เป็นลัง" ช่วยให้รอด หรือลังพาไปหาคุก เดี๋ยวก็รู้
    บอจ.๕ นั่นน่ะ ไม่ต้องสืบค้นหรอกท่านอาจารย์ 
    ใครก็ได้ ไปที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีข้อมูลทุกบริษัทเป็นบริการสาธารณะอยู่แล้ว อยากรู้บริษัทไหน ก็ไปเปิดดูได้ 
    ปิยบุตรสุดหล่อนี่ ยิ่งพูด ยิ่งทำให้ฉงน เป็นอาจารย์สอนกฎหมายได้อย่างไร?
    แต่ชักไม่แน่ใจแฮะ.........
    ว่าวันนี้ ธนาธรจะไปศาลตามนัดหรือไม่ เพราะ ๒-๓ วันมานี้ เห็นธนาธรมีความเคลื่อนไหว เป็นข่าวแปลกๆ
    เลี้ยงหะรู-หะรา ชนิดหมาชะเง้อ ข้าวปลาอาหาร ทั้งไวน์แดง-ไวน์ขาว ๒๐ กว่าคน ราคา ๖๐๐
    บ้างว่า "เลี้ยงส่ง" บ้าง ว่าสังสรรค์ "ธนาธร-พรรณิการ์-ปิยบุตร" กับชาวคณะบ้าง?
    อีกทั้งธนาธร โพสต์รูปครอบครัวชนิดไม่เคยมาก่อนและข้อความลงไอจี โพสต์ทูเดย์ เขานำมาเป็นข่าว ว่า
    เมื่อวันที่ ๕ ก.ค.๖๒ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมภาพอบอุ่นกับลูกๆ ครอบครัว 
    โดยระบุแคปชั่นในภาพ ดังนี้ “Quality time กับครอบครัว ก่อนลุยทัวร์ยุโรปและสหรัฐอเมริกา”
    “ช่วง ๙-๑๕ ก.ค.ผมจะเดินสายพบนักการเมืองและรัฐบาลของประเทศ เบลเยียม เยอรมัน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา 
    และพบกับตัวแทนของ EU เพื่ออัปเดตสถานการณ์การเมืองไทยหลังเลือกตั้ง”
    “ใครที่อยู่ลอนดอน ๑๑ ก.ค.นี้ ผมได้รับเชิญไปเลคเชอร์ที่ London School of Economics ไปร่วมฟังกันได้นะครับ ๑๘.๐๐ น.เป็นต้นไป”
    สื่อโซเชียล จับสังเกตกันมาก วิจารณ์ไปหลายด้าน-หลายมุม แต่หนักไปในทาง แอ๊ะ..แอ๊ะ..ตาวิเศษเห็นนะ
    ผู้ใช้นาม "เดรัจฉานแฉ" โพสต์ไว้ด้วยข้อความ ว่า.......
    ธนาธรเผ่นแล้ว!!!
    ตีเนียนทัวร์ยุโรปกับอเมริกา ก่อนมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ ก็จะหมดโอกาสหนี งานนี้มีสิทธิไปยาว
    ธนาธรโพสต์ภาพครอบครัวแล้วบอกว่า จะไปทัวร์ยุโรปกับอเมริกา ๙-๑๕ กรกฎาคมนี้ 
    แหม่พอเห็นวันที่ เรานี่ก็เห็นภาพเลย พี่ตี๋จะรีบไปไหนจ๊ะ
    ตอนแรกขอศาลเลื่อนส่งเอกสารคำชี้แจงกรณีถือหุ้น วีลัค ซึ่งจะครบ ๓๐ วัน ตามที่ศาลอนุญาตในวันที่ ๘ ออกไปอีก ๑๕ วัน 
    พอศาลไม่ให้เลื่อน นาทอนจะส่งเอกสารในวันที่ ๘ แล้วบินไปทัวร์ยุโรปกับอเมริกาวันที่ ๙ เลยหราาา
    ใจคอจะไม่รอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ว่างั้นเหอะ
    ถ้าศาลมีคำวินิจฉัยว่า พี่ตี๋มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง พี่ตี๋จะกลับเมืองไทยรึเปล่าจ๊ะ 
    เพราะถ้าศาลวินิจฉัยว่าผิด กกต.ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่า พี่ตี๋จงใจฝ่าฝืนกฎหมายหรือเปล่า 
    ถ้า กกต.เห็นว่าจงใจ ก็จะต้องกล่าวโทษทางอาญาด้วย ซึ่งตรงนี้ มีโทษจำคุก ๑-๑๐ ปี และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แล้วพี่ตี๋จะกลับมาให้โง่เหรอ
    ไหนจะต้องโดนเรื่องเอกสารเท็จ ที่อ้างว่าโอนหุ้นให้แม่ตั้งแต่วันที่ ๘ มกราคม ๖๒ อีก 
    งานนี้ แม่ต้องขึ้นเบิกความเป็นพยาน ถ้าพิสูจน์แล้วเป็นเท็จ แม่ก็จะซวยไปด้วย 
    เพื่อความปลอดภัย หนีไปตั้งหลักฟังคำวินิจฉัย ที่คาดเดาได้ว่าจะออกมาแบบใดในต่างประเทศดีกว่า
    ยังมีคดีให้พรรคยืมเงิน กับคดีอื่นๆ อีก มีสิทธิติดคุกทั้งนั้น ถ้ากลับมาแล้วโดนฟ้องคดีอาญา ต้องขอประกันตัวสู้คดี ศาลอาจมีคำสั่งห้ามออกนอกประเทศ ก็จะหมดโอกาสหนี งานนี้มีสิทธิไปยาว
    #หนีตามทักษิณ
    #ธนาธรเผ่นแล้ว
    ครับ...ทำเอาผมชักเป๋ตามเหมือนกัน คือชักสองจิต-สองใจว่า วันนี้ ธนาธรจะมาศาลมั้ย?
    หรือจะเป็นอย่างชนชาวโซเชียลตีปลาหน้าไซ?
    มันก็มีประเด็นให้สงสัยนะ........
    ศาลนัดวันที่ ๘ แล้วรุ่งขึ้นวันที่ ๙ ก.ค.คนถูกแขวนตำแหน่ง ส.ส.กลับโอ่อวด 
    เดินสายพบนักการเมืองและรัฐบาลของประเทศ เบลเยียม เยอรมนี อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา 
    แถมเป็นโพสต์เน้น "แฟมิลีแมน" อันไม่เคยปรากฏมาก่อน ในด้านอวดภาพยกครอบครัวไปทัวร์ต่างประเทศ
    จาก "ศาลนัดพร้อม" ธรรมดาๆ........
    ลีลาธนาธร ดึงดูดให้ชาวบ้าน-ชาวเมืองต้องสนใจ 
    วันนี้ ต้องลุ้นกันว่า ธนาธรจะเจริญรอยตามยิ่งลักษณ์วันศาลนัดในคดีจำนำข้าวอย่างนั้นหรือไม่?
    แต่ผมว่า "ไม่" หรอก!
    ประกาศตนเป็นผู้สืบต่อคณะราษฎรล้มอำนาจกษัตริย์สถาปนาประชาธิปไตย ๒๔๗๕ ทั้งที
    "นัดแล้วไม่มา" จะเสียทั้งฟิวเจอริสตา ลามเสียถึงหมาโน่นเลย!
    พูดกันตามขั้นตอน วันนี้ ยังไงๆ ก็ยังไม่ใช่วันตัดสินชี้ขาด ไม่จำเป็นต้องหลบ-ต้องหนี
    ธนาธรมีกุนซือกฎหมายเป็นโหลเหมือนทักษิณ ดังนั้น ย่อมรู้ขั้นตอน 
    ก็คงประมาณว่า ขึ้นศาลแล้ว รุ่งขึ้นก็บินเลย จึงวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้าอย่างนั้น
    ผมก็พยายามมองพ่อของฟ้า-ธนาธรของช่อในแง่ดี รูปหล่ออย่างธนาธร ไม่หนีหรอก
    แค่พาครอบครัวไปตากสมอง ปรับความเข้าใจกันบ้างเป็นธรรมดา
    ฉะนั้น ก็อย่าไปจ้องจับอะไรเขาให้มากนักเลย ให้เขาเดินสายไปลอนดอนเถอะ
    นักเรียนชายชื่อ "ทักษิณ" นักเรียนหญิงชื่อ "ยิ่งลักษณ์" เขารอฟังเลกเชอร์อยู่.

ว่าที่ รมต. รอ stand by อาจมีแย่งชามข้าวรอบใหม่!



หลังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำรายชื่อ ครม.ประยุทธ์ 2/1 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายไปแล้ว เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างนี้ก็อยู่ในช่วงการรอการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการต่อไป

      โดยมีข่าวว่า ว่าที่รัฐมนตรี แต่ละคน ได้รับแจ้งอย่างไม่เป็นทางการจากคนในทำเนียบรัฐบาลว่า ให้เตรียมสแตนด์บายเพื่อทำภารกิจสำคัญก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ช่วงนี้โดยเฉพาะหลัง 10 ก.ค. พยายามอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียง ห้ามเดินทางไกล อย่าพยายามไปต่างจังหวัดที่จะใช้เวลาการเดินทางกลับกรุงเทพฯ นานเกินควร และขอให้รอการติดต่อ เปิดมือถือไว้ตลอด 24 ชม.


ขณะเดียวกัน สิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลทำควบคู่กันไปตอนนี้ก็คือ การเตรียมยกร่าง พิมพ์เขียวนโยบายรัฐบาล ที่จะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาก่อนเข้าบริหารประเทศ ซึ่งพอแถลงเสร็จก็เป็นอันว่า รัฐบาลประยุทธ์ 2/1 มีสภาพเป็นรัฐบาลสมบูรณ์แบบ และทำให้รัฐบาลรักษาการเวลานี้ ที่มีรัฐมนตรียังนั่งทำงานอยู่หลายกระทรวงต้องพ้นหน้าที่ไปโดยทันที เช่นเดียวกับ คสช. ที่ก็จะปิดฉาก สลายร่าง อย่างเป็นทางการ หลังรัฐบาลแถลงนโยบายและเข้าบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ   

      อีกประเด็นที่ต้องจับตาก็คือ หลัง ครม.เข้าทำงานแล้ว ก็จะต้องมีการตั้ง ข้าราชการฝ่ายการเมือง เพื่อไปทำงานเป็นสตาฟฟ์หน้าห้องรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็น กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี, ที่ปรึกษารัฐมนตรี, เลขานุการรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสามตำแหน่ง เป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการ มีเงินเดือน-เงินประจำตำแหน่ง ห้องทำงานให้ 

      โดยมีข่าวว่า หลายพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพลังประชารัฐ-ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทยและพรรคอื่นๆ เช่น ชาติไทยพัฒนา จัดทัพวางตัวบุคคลกันไว้บ้างแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้หลัก รัฐมนตรีคนไหนสนิทกับใคร ทำงานเข้าขากับใคร อยากดันใคร ก็จะเสนอชื่อคนนั้นมาเป็นทีมงานของตัวเอง 

      อย่าง พลังประชารัฐ ก็มีข่าวว่า 9 ก.ค.นี้ในการประชุมพรรค จะมีการหารือกันเรื่องวางหลักเกณฑ์ตั้งคนไปเป็นข้าราชการการเมือง โดยมีข่าวว่ายังไม่ได้ข้อสรุปจะใช้หลักตั้งคนอย่างไร เพราะมีบางคนในพรรคเสนอว่าควรให้ ส.ส.ไปนั่งทำงาน เพราะอย่างน้อยจะได้ประสานงานกับรัฐมนตรีได้คล่อง จะเป็นประโยชน์ในการทำพื้นที่ให้กับ ส.ส.ของพรรค แต่บางคนในพลังประชารัฐ เห็นแย้ง โดยบอกว่า ควรเอาพวก สอบตก แต่ตกแบบมีลุ้น คือ เกือบได้  โดยเฉพาะพวกทำคะแนนได้เยอะ หลัก 2-3 หมื่นคะแนน  จนมาเป็นฐานคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค ก็ควรมีรางวัลปลอบใจให้ หรือไม่ก็ตั้งพวกลงปาร์ตี้ลิสต์แต่อันดับไม่ถึง ให้ไปทำงานหน้าห้องรัฐมนตรี โดยเฉพาะพวกที่ช่วยงานพรรคมาตลอด ข่าวบอกว่า เรื่องนี้ในพรรคพลังประชารัฐ ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ เพราะมีคนอยากเป็นเยอะ ทั้งรุ่นใหญ่-รุ่นใหม่ เพราะได้ทั้งเงินเดือน-หน้าตา-เครดิตทางการเมือง  จนคนในพรรคเริ่มเสียว หวั่นเกรงจะกลายเป็น ศึกแย่งชามข้าวรอบใหม่ หลังศึกแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีในพลังประชารัฐ ทำเอาหลายคนจบแบบจุกๆ มาแล้ว 

      จนมีการบอกกันว่า เรื่องนี้หากจะเอาสูตรไหน ก็ต้องออกเป็นมติพรรค ให้เป็นบรรทัดฐาน ป้องกันปัญหาฮึ่มๆ ตามมาภายหลัง.

จรัญ พงษ์จีน : ฟอร์มรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” งานนี้ ใครได้-ใครเสีย

ในที่สุดคลื่นลมการเมืองที่แปรปรวนขนาดหนักในพรรค “พลังประชารัฐ” และทำท่าจะแคนนอน กระทบชิ่งถึงการฟอร์มรัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ให้ชะงักงันไปพอสมควร ก็กลับเข้าสู่ “ภาวะปกติ”

ระเบิดลงโดย “กลุ่มสามมิตร” นำทัพด้วยมวยใหญ่ “สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-อนุชา นาคาศัย” เล่นบทเสือทลายห้าง ช้างทลายโรง เสนอจุดยืน 5 ข้อ เนื้อหาโดยสรุปคือ

รายชื่อคณะรัฐมนตรี ต้องเป็นไปตามข้อตกลงเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ว่า

1. “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

2. “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

3. “นายอนุชา นาคาศัย” จะได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

หากมีการเปลี่ยนแปลงและสลับตำแหน่งจากเดิม ทางกลุ่มมีความเห็นว่า รัฐบาลจะขาดบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ จะทำให้การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการยอมรับและศรัทธาของประชาชน

“เมื่อมีการประกาศรายชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว หากรายชื่อไม่ตรงกับความเห็นของกลุ่มที่ตกลงกันเบื้องต้น ทางกลุ่มจะหารือเพื่อแสดงจุดยืนอีกครั้ง”

“สมศักดิ์-สุริยะ-อนุชา” ไม่ได้ไปหาหมอ ไปแต่ตัวเปล่าๆ โชว์แสนยานุภาพให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการดึง ส.ส.ในเครือข่าย แสดงขุมกำลังมากถึง 31 นาย เกือบจะครึ่งหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐเลยก็ว่าได้

31 เสียง จะล้มยักษ์ ชักคอช้างได้ง่ายดายสำหรับรัฐบาล “ปริ่มน้ำ”

ดังนั้น พลันที่ “กลุ่มสามมิตร” อวดอิทธิฤทธิ์ ทำให้การเมืองเรื่องการฟอร์มรัฐบาล “ตู่ 2/1”องศาเดือดขึ้นมาทันที

แต่สโลว์โมชั่นยังไม่ทันจบ สถานการณ์พลิกผัน อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา “กลุ่มสามมิตร” ที่ว่าแน่ กลับลำ 360 องศา “เสือ” กลายเป็น “แมว” ประกาศ “ตีหมอบ” โยนผ้าทุกกรณี

สุดท้ายโผรัฐมนตรีในสัดส่วนของกลุ่มสามมิตร ออกไฮโลก็ไร้ปัญหา “สมศักดิ์ เทพสุทิน”หนังเหนียวอยู่เพียงผู้เดียว เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ขณะที่ “นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ถอยไปตั้งรับในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมโดยดุษณี

ส่วน “นายอนุชา นาคาศัย” ผู้เป็นน้องรักของ 2 ส. พลีชีพอีกตามเคย ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และหลุดออกจากสารบบ ในรัฐบาล “ตู่ 2/1” ทุกตำแหน่ง

 

การถอยกรูดชนิดหลังชนกำแพงของ “กลุ่มสามมิตร” ถูกมองว่าเสียมวยไม่เป็นท่า หมดรูป

แต่มองอีกมุมถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน อย่างน้อยที่สุด ลบคำสบประมาทที่ว่า ศึกเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มีนาคม “กลุ่มสามมิตร” ทุ่มทุนสร้างอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่นำทัพพ่ายป่าราบในภาคอีสาน และมี ส.ส.อยู่ในสังกัดตัวเป็นๆ แค่ 6 ที่นั่ง จากสุโขทัย 2 ที่นั่ง ราชบุรี 2 ที่นั่ง และชัยนาท 2 ที่นั่งเท่านั้น รายจ่ายท่วมมากกว่ารายรับหลายสิบเท่า

แต่การแสดงโชว์พลังในวันขู่ฟอดยื่นคำขาด ปรากฏว่า “กลุ่มสามมิตร” มีพิษสงเกินคาดหมาย มี ส.ส.ในสังกัดมากถึง 31 คน เกือบครึ่งของพรรคพลังประชารัฐ

หยิบยื่นความเป็นความตายให้กับรัฐบาล “บิ๊กตู่” ได้สบายๆ

“โฟกัส” ไปดูขุมกำลังใน “พปชร.” ดังที่เคยนำมาขยับขยาย มีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน

1. “กลุ่มสามมิตร”

2. “กลุ่มสี่กุมารทอง”

และ 3. “กลุ่ม กปปส.”

หัสเดิม “กลุ่มสี่กุมารทอง” ค่อนข้างจะมีพลังไฮเพาเวอร์เหนือกว่าใคร เพราะตัดสินใจไขก๊อกออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี เพื่อมาปฏิบัติภารกิจนำ “พล.อ.ประยุทธ์” กลับตึกไทยคู่ฟ้า ตามใบสั่งของ “ศูนย์อำนาจ”

หัวหน้าป้อมค่าย “สี่กุมารทอง” ที่ยืนทะมึนทึนคอยกำกับฉาก ดังที่ทราบว่าคือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”

“สมคิด” สนิทสนมกับ “ส.สมศักดิ์ เทพสุทิน” มาตั้งแต่สมัยรัฐบาล “ยุคทักษิณ” ที่ฝ่ายหนึ่งเป็นรองนายกฯ อีกฝ่ายเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เคารพผูกพันกันมาตลอด

พอปี่กลองทางการเมืองเชิดฉิ่งว่าจะมีเลือกตั้ง บังเอิญว่า “สี่กุมารทอง” ประสบการณ์อ่อนปวกเปียก แต่ได้รับมอบหมายให้เป็น “แม่ทัพ” นำพรรค พปชร. หนทางแห่งชัยชนะจึงยากลำบาก

ต้องอาศัยมือเก๋า ประสบการณ์โชกโชนมาเสริมใยเหล็ก “สมศักดิ์” กับ “สุริยะ” เป็นคอหอยกับลูกกระเดือก เลยถูกดึงมาช่วยอีกแรง พร้อมน้องเลิฟ “อนุชา นาคาศัย”

ช่วงออกจากจุดสตาร์ต “กลุ่มสามมิตร” กับ “สี่กุมารทอง” แยกกันเดินร่วมกันตี สามัคคีกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

ขณะที่อีกมุ้งคือ “กลุ่มอดีต กปปส.เก่า” สี่ซ้าห้าคนถูกดึงตัวมาสร้างภาพลักษณ์ให้กับ “พล.อ.ประยุทธ์”

ประกอบด้วย “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ” กับ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” และ “สกลธี ภัททิยกุล” 2 คนแรก ประกบซ้าย-ขวา อยู่ทำเนียบ คนหลังถูกวางตัวให้เป็นรองผู้ว่าฯ กทม.

“กลุ่มสี่กุมารทอง” กับ “กปปส.เก่า” ใน พปชร.มีความ “ลักลั่น” กันอยู่ในตัวมากพอสมควร “ฝ่ายแรก” มีตำแหน่งใหญ่ในพรรคทุกคน แต่ “ฝ่ายหลัง” ได้หยิบชิ้นปลามันในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และเบอร์ต้นๆ

แกนนำ 2 กลุ่ม เหยียบตาปลากันมาเรื่อย และมาถึงจุดแตกหักตอนตัดตัวเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี

“สี่กุมารทอง” ไม่ได้เป็น ส.ส.เลยแม้แต่รายเดียว “กลุ่ม กปปส.เก่า” ชั่งตวงวัดความสำคัญ ด้วยการเรียงตามลำดับไหล่ เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ การมีที่นั่งเบอร์ 1 บัญชีรายชื่อ หรือ 5 อันดับแรก ต้องได้ขานชื่อนั่งรัฐมนตรีกระทรวงเกรดเอก่อน

ขณะที่ “สี่กุมารทอง” แม้ไม่สมัคร ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ แต่ถือว่าเป็นผู้เสียสละ ลาออกมาก่อตั้งพรรค ทำงานหนักหน่วงกว่า

รอยร้าวใน “พปชร.” ยังระอุต่อไป แบบ “สองรุมหนึ่ง” โดย “กลุ่มสามมิตร” จับมือกับ “กลุ่มสี่กุมารทอง” กินโต๊ะ “กลุ่ม กปปส.เก่า”

ถ้าไม่มีท้าวมาลีวราชห้ามทัพ รับรอง “สนุกแน่”