PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

นงนุช สิงหเดชะ: อเมริกาจะถล่มไทย ถ้าจำคุก "ยิ่งลักษณ์"??

บทความพิเศษ

มติชนสุดสัปดาห์ 6-12 มีนาคม 2558


หลังจากคดีรับจำนำข้าวเดินทางมาถึงจุดไคลแมกซ์ เมื่ออัยการสูงสุดได้ฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็ปรากฏว่าเกิดปฏิกิริยาออกไปในแนวดราม่าในฝั่งของผู้สนับสนุนเธอ บ้างก็ขู่ว่าคุกจะแตกถ้าจำคุกหรือดำเนินคดียิ่งลักษณ์

ดราม่าหลักๆ ก็คือการหวังพึ่งอเมริกาให้เป็นผู้ช่วยเหลือยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีมาตลอด นับจากรัฐบาลของเธอถูกรัฐประหาร

เริ่มจากมวลชนของเธอส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่น"ไลน์" แพร่กระจายไปทั่วหลังเกิดรัฐประหารวันแรกๆ ว่า "ด่วน อเมริกายกพลขึ้นบกเข้าไทยวันนี้เพื่อโค่นคณะรัฐประหาร"

พร้อมกับลงท้ายยืนยันความน่าเชื่อถือว่าข่าวนี้มาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้

นี่เป็นงานถนัดของคนบางกลุ่มที่หนุนหลังยิ่งลักษณ์ที่จะทำให้มวลชนของตนหลงเชื่ออย่างหัวปักหัวปำ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นเท็จเพียงใดก็ตาม

ซึ่งต่อมาภายหลังก็ถูกพิสูจน์ด้วย "ไลน์" ปลอมแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เมื่อมีการจับกุมตัวผู้ส่งข้อความเท็จนี้ผ่านไลน์ได้เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งไม่ผิดคาด เพราะปรากฏว่าผู้ต้องหาเป็นคนในกลุ่มเสื้อแดง ระดับแกนนำเสียด้วย

นี่เป็นเพียงไลน์ปลอม เพียงชิ้นเดียวที่มีการจับได้พร้อมหลักฐานชัดเจน แต่ยังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้ ในเครือข่ายนี้ ได้ปลอมข้อความในลักษณะดังกล่าวมากี่ครั้งแล้ว

และไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่"เล่นแรง" ด้วยการส่งข่าวปลอมที่ไม่เป็นมงคลผ่านไลน์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมปีที่แล้วหรือไม่ จนทำให้ตลาดหุ้นไทยรูดลงวันเดียว 138 จุด มากที่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย

ซึ่งความจริงน่าจะมีการสอบสวนขยายผล เพื่อเปิดให้เห็นชัดว่าพวกไหนที่มีนิสัยแบบนี้มาช้านาน จะได้ปฏิเสธไม่ออกอีก



ถัดมา เมื่อคดีจำนำข้าวงวดเข้ามา ก็มีการปล่อยข่าวว่าอเมริกาจะให้ยิ่งลักษณ์ลี้ภัยที่สถานกงสุลสหรัฐในเชียงใหม่ เพื่อให้หลบหนีคดี ซึ่งก็เป็นกระแสข่าวเดียวกับช่วงที่เกิดรัฐประหารใหม่ๆ ว่า สถานทูตสหรัฐอเมริกา ในกรุงเทพฯ จะเปิดให้ยิ่งลักษณ์และคณะเข้าไปลี้ภัยเพื่อตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น สู้กับคณะรัฐประหารเพื่อเอาอำนาจคืนมา

ล่าสุดนี้คอลัมนิสต์สีแดงบางคน ก็เขียนในทำนองมีความหวังอย่างเรืองรองว่าสหรัฐอเมริกาจะเข้ามาแทรกแซงประเทศไทย ในยุค คสช.

โดยยกตัวอย่างในอดีตหลายประเทศว่าหากผู้นำประเทศใดดำเนินนโยบายไม่ถูกใจอเมริกาก็จะถูกอเมริกาเข้ามาแทรกแซง ด้วยการหนุนหลังฝ่ายตรงข้ามให้รัฐประหารโค่นล้มผู้นำประเทศรายนั้น

คอลัมนิสต์คนที่ว่านี้ยกตัวอย่างกรณีของชิลี ที่สหรัฐอเมริกาหนุนหลังให้ นายพลออกุสโต ปิโนเชต์ รัฐประหารยึดอำนาจ จาก ดร.อาเยนเด (ผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี) แต่อเมริกาไม่ชอบเพราะอาเยนเดเป็นรัฐบาลสังคมนิยม จึงส่งหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาไปปลุกปั่นคนชั้นสูงและชั้นกลางไม่ให้ยอมรับนโยบายเศรษฐกิจของอาเยนเด

แต่สิ่งที่คอลัมนิสต์ผู้นี้ไม่ได้เอ่ยถึงกรณีของปิโนเชต์ก็คือหลังจากอาเยนเดเสียชีวิต (คาดว่าฆ่าตัวตาย) ปิโนเชต์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ได้กวาดล้างฝ่ายตรงข้ามโดยอ้างว่าเพื่อกวาดล้างคอมมิวนิสต์

เขาสังหารประชาชนไปกว่า3,000 ราย คนจำนวนมากถูกทรมาน

ส่งผลให้ประชาชนราว 2 แสนรายต้องอพยพหนีออกนอกประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกาจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์สนับสนุนปฏิบัติการของปิโนเชต์

ปิโนเชต์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่โหดเหี้ยมที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก เขาตกเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลกเมื่อมีความพยายามจะขอตัวเขาไปลงโทษในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ



คอลัมนิสต์รายนี้แสดงความหวังว่าอเมริกาจะเข้าแทรกแซงประเทศไทย ด้วยการปิดล้อมทางเศรษฐกิจ ไม่ให้ประเทศไทยมีเพื่อน (ซึ่งเป็นร่องความคิดเดียวกับคนในฝั่งทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ในขณะนี้) เพื่อบีบให้ไทยไม่มีทางเดินในโลก (ไม่รู้ว่าฝันกลางวันหรือเปล่า)

พร้อมกับทิ้งท้ายว่า หาก คสช. ทำอะไรไม่ถูกใจอเมริกา เขาหวังจะเห็นหรือเชื่อว่าอเมริกาเข้ามาปฏิบัติการทางจิตวิทยา (แบบเดียวกับที่อเมริกาส่งคนไปปฏิบัติการจิตวิทยาในชิลี) เพื่อให้ คสช. เป็นทรราช

โดยนัยยะของคอลัมนิสต์รายนี้ น่าจะหมายถึงว่า มีโอกาสที่อเมริกาจะส่งสายลับเข้ามาปฏิบัติการทางจิตวิทยาเพื่อกวาดล้างคนชั้นกลางและสูง ที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

แบบเดียวกับที่กวาดล้างฝ่ายที่ถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในชิลี



การเมืองไทยสะท้อนให้เห็นว่าคนเรามีความคิดที่ย้อนแย้งสับสนอย่างน่าประหลาดใจ อย่างกรณีคอลัมนิสต์รายนี้ที่ฟังแล้วไม่ชอบการรัฐประหาร แต่ในขณะเดียวกันกลับชอบใจหากการรัฐประหารนั้นสนับสนุนและแทรกแซงโดยอเมริกา แม้ว่าผลจากการแทรกแซงของอเมริกา จะทำให้เกิดการเข่นฆ่าและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางแบบเดียวกับชิลีก็ตาม

บางคนก็แปลกที่โวยวายสุดขั้วต่อการรัฐประหารที่ยังไม่ได้ฆ่าใครแม้แต่คนเดียวอ้างว่ากฎอัยการศึกทำให้คนหวาดกลัว ขาดเสรีภาพ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ถึงขนาดออกแคมเปญ "ปลุกพลเมืองสู้ความกลัว" กันเลยทีเดียว

แต่ไม่รู้ว่าพลเมืองฝ่ายไหนกันแน่ที่กลัวกฎอัยการศึกอย่างที่อ้างเพราะพลเมืองส่วนใหญ่น่าจะกลัว "ระเบิดเอ็ม 79" ที่ปลิวมาทุกคืนตั้งแต่ปลายปี 2556 จนถึงก่อนวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ต่างหาก

คนเขาแยกแยะได้ว่าอะไรน่ากลัวกว่ากัน ระหว่างกฎอัยการศึก-รัฐประหาร ที่ไม่ได้ฆ่าใครสักคน กับของจริงที่ทำให้ถึงตายได้ทุกเมื่ออย่างระเบิดเอ็ม 79



ขณะนี้มีการสร้างกระแสเพื่อเชิดชูยิ่งลักษณ์ให้มีสภาพเหมือน ออง ซาน ซูจี ของพม่า (ที่เคยถูกรัฐบาลทหารพม่ากักบริเวณ) เพื่อดึงความสนใจของต่างชาติให้มารุมบีบ คสช. และก็คล้ายว่าจะได้เป็นหัวเชื้อให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงไทยเพื่อช่วยเหลือยิ่งลักษณ์

แต่อย่าลืมว่าแม้ขบวนการเชียร์ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ อาจประสบความสำเร็จในการดึงอเมริกาเข้าแทรกแซงไทย หรืออเมริกาอาจประสบความสำเร็จหนุนหลังฝ่ายตรงข้ามโค่นอำนาจ คสช. หรือแม้กระทั่งประสบความสำเร็จในการใช้กำลังอาวุธเข้ายึดประเทศไทย

แต่ก็อาจจะเจอด่านสำคัญคือพลังจากประชาชนอีกฝ่ายที่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามีพลังอยู่ไม่น้อยตั้งแต่ปลายปี 2556 เป็นต้นมา

ปัจจุบันนี้ ความรู้สึกของคนไทยที่มีต่ออเมริกา ไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว ไม่ได้ welcome แบบในอดีต โดยเฉพาะนับจากอเมริกาแสดงอาการเลือกข้าง เลือกสีทางการเมือง และที่สำคัญสนับสนุนขบวนการที่มีแนวคิดยกเลิกมาตรา 112

หากต้องการความสงบอย่างยั่งยืน ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการแก้ปัญหาภายในให้ได้ก่อน

ชัยชนะของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ จะยั่งยืนหรือ ถ้าเพียงแค่ได้แรงสนับสนุนจากชาติตะวันตก แต่ไม่สามารถชนะใจคนในประเทศอีกกลุ่มใหญ่

อยากเป็นอย่างอิรักในปัจจุบัน หรือเหมือนชิลีในอดีต ก็รีบเชื้อเชิญอเมริกาเข้ามาไวๆ

ลีกวนยูอาการทรุดหนัก


17 มี.ค.58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานแถลงการณ์จากทำเนียบนายกรัฐมนตรี นายลี เซียน ลุง เกี่ยวกับนายลี กวน ยู ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 91 ปี และบิดาของนายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งกำลังพักรักษาตัวจากโรคปอดบวม อยู่ภายในแผนกอภิบาลผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลกลางสิงคโปร์ ( เอสจีเอช ) มีอาการทรุดลง เนื่องจากพบการติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งแพทย์กำลังทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
สุขภาพของนายลี กวน ยู เริ่มทรุดโทรมลงอย่างชัดเจน หลังการเสียชีวิตของภรรยาซึ่งแต่งงานกันมานานถึง 63 ปี คือนางกวา ค็อก ชู เมื่อปี 2553 โดยนายลี กวน ยู เดินทางเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเอสจีเอชตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ท่ามกลางกระแสข่าวลือแพร่ออกมาเป็นระยะ ว่าอดีตผู้นำสิงคโปร์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว
นายลี กวน ยู ได้รับการยกย่องอย่างมากจากประชาคมโลก ให้เป็นผู้พลิกฟื้นประเทศเกาะขนาดเล็กอย่างสิงคโปร์ จนกลายเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งนายลี กวน ยู บริหารสิงคโปร์ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศยาวนานถึง 31 ปี นับตั้งแต่ปี 2502

ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว "แหวน"

ศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว "น้องแหวน" !!
ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ประกอบด้วย นางสาวณัฏฐธิดา มีวังปลา , นางวาสนา บุษดี , และนายนเรศ อินทรโสภา
โดยให้เหตุผลว่าพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาไว้ ประกอบกับพฤติการแห่งคดีเป็นเหตุร้ายแรง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า หากปล่อยตัวชั่วคราวน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน และอาจเสียหายต่อการสอบสวนได้
ฝากขังผู้ต้องหาที่เรือนทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ให้พนักงานสอบสวนนำตัวมาฝากขังอีกครั้งในวันที่ 28 มีนาคม 2558
Cr. เฟสบุ๊ค ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี


จาตุรนต์ ฉายแสง:พลเรือนขึ้นศาลทหาร : การชี้แจงที่คลาดเคลื่อน

พลเรือนขึ้นศาลทหาร : การชี้แจงที่คลาดเคลื่อน

"...ในความเป็นจริงผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรงไม่ค่อยได้ขึ้นศาลทหาร... ผู้ที่ล้มล้างการปกครองหรือสมคบกันเป็นกบฏก็ไม่ได้ขึ้นศาลทหาร ยังลอยนวลอยู่ทั้งนั้นด้วยซ้ำ".

จาตุรนต์ ฉายแสง
17 มีนาคม 2558

---------------------------------------

พลเรือนขึ้นศาลทหาร : การชี้แจงที่คลาดเคลื่อน

"ในความเป็นจริงผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรงไม่ค่อยได้ขึ้นศาลทหาร... ผู้ที่ล้มล้างการปกครองหรือสมคบกันเป็นกบฏก็ไม่ได้ขึ้นศาลทหาร ยังลอยนวลอยู่ทั้งนั้นด้วยซ้ำ

ผู้ที่ต้องขึ้นศาลทหารส่วนใหญ่กลับไม่ได้ทำความผิดในข้อหาร้ายแรง แต่ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจเท่านั้น"

การชี้แจงเกี่ยวกับการให้คดีขึ้นศาลทหารคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงอย่างมากทั้งการชี้แจงของทางคณะผู้แทนประเทศไทยแห่งองค์การสหประชาชาติประจำ ณ นครเจนีวาและการชี้แจงของพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิดที่อ้างคำชี้แจงของรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหาร

คณะผู้แทนประเทศไทยแห่งองค์การสหประชาชาติประจำ ณ นครเจนีวาว่า “การใช้ศาลทหารนั้น เราใช้ในเฉพาะคดีที่มีข้อหาร้ายแรงเท่านั้น ข้อหาความผิดรวมถึงครอบครองอาวุธและคดีฆาตกรรม จำเลยพลเรือนในคดีศาลทหารได้รับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมเหมือนกับในศาลพลเรือน รวมทั้งสิทธิที่จะมีทนายความและได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์”

ส่วนพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิดชี้แจงโดยอ้างคำชี้แจงของรองเจ้ากรมพระธรรมนูญทหารที่ว่า"...พลเรือนจะขึ้นศาลทหารเฉพาะ ในกรณีความผิดร้ายแรง ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 107-112 ซึ่งเกี่ยวกับความผิดต่อสถาบัน และประกาศฉบับที่ 113-118 เช่น การล้มล้างเปลี่ยนแปลง แบ่งแยกราชอาณาจักร หรือสะสมอาวุธ สมคบกันเป็นกบฏ ซึ่งผู้กระทำผิดในคดีร้ายแรง ภายใต้กฎอัยการศึก ต้องขึ้นศาลทหาร เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง

พร้อมทั้งชี้แจงว่า กระบวนการยุติธรรมของศาลทหารกับศาลพลเรือนไม่มีความแตกต่างกัน"

เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้ควรทราบว่าพลเรือนต้องขึ้นศาลทหารในเรื่องใดบ้าง

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ประกาศให้บรรดาคดีความผิดตามที่กำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตราชอาณาจักร และในระหว่างที่ประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ในอำนาจพิจารณาคดีของศาลทหาร

1. ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา

(1) ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 112

(2) ความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 ถึง มาตรา 118 ยกเว้นซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 หรือพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

2. ความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ที่ว่าคำชี้แจงข้างต้นคลาดเคลื่อนก็เพราะเป็นคำชี้แจงที่ต้องการให้ผู้ฟังคำชี้แจงนี้เข้าใจผิดว่าพลเรือนที่ต้องขึ้นศาลทหารนั้นมีแต่ผู้ที่กระทำความผิดอย่างร้ายแรงเท่านั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงผู้ที่กระทำความผิดร้ายแรงไม่ค่อยได้ขึ้นศาลทหาร ความผิดข้อหาฆาตกรรมไม่ได้ขึ้นศาลทหารอย่างที่ชี้แจง ส่วนผู้ที่ล้มล้างการปกครองหรือสมคบกันเป็นกบฏก็ไม่ได้ขึ้นศาลทหาร ยังลอยนวลอยู่ทั้งนั้นด้วยซ้ำ

ผู้ที่ต้องขึ้นศาลทหารส่วนใหญ่กลับไม่ได้ทำความผิดในข้อหาร้ายแรง แต่ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจเท่านั้น

ที่เห็นได้ชัดเช่นการตั้งข้อหาตามมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญาที่ว่า

มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือ มิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินเจ็ดปี

มีการตั้งข้อหาตามมาตรานี้จากการแสดงความเห็นที่ต่างจากคณะคสช.ทั้งๆไม่มีการกระทำตามที่ระบุไว้ในมาตรานี้

ข้อหาอีกประเภทหนึ่งคือการขัดคำสั่งคสช. ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่เพียงแต่ไม่ใช่การกระทำความผิดที่ร้ายแรงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการกระทำที่ไม่ได้ผิดกฎหมายบ้านเมืองตามปรกติแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำไป

ความคลาดเคลื่อนอีกประการที่สำคัญมากคือที่บอกว่ากระบวนการยุติธรรมของศาลทหารกับศาลพลเรือนไม่มีความแตกต่างกัน ถ้าทำผิดก็ถูกลงโทษเหมือนกัน ข้อนี้ผมขออนุญาตไม่ชี้แจงอะไรมาก นอกจากจะชี้ให้เห็นความต่างเพียงประการเดียวเท่านั้นคือพลเรือนที่ขึ้นศาลทหารนี้ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ ฎีกาเหมือนผู้ที่ขึ้นศาลพลเรือน

ผมเพียงให้ข้อเท็จจริง การให้พลเรือนขึ้นศาลทหารจะถูกผิดอย่างไร ผมขอไม่แสดงความเห็นในโอกาสนี้เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินคดีในศาลทหารและกำลังร้องเรียนเรื่องนี้อยู่ครับ

สงครามโลกใกล้เปิดฉาก?

Alexander Bortnikov ในทำเนียบขาวและกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเชิญไปประชุมหัวข้อต่อต้านลัทธิความรุนแรง ที่วอชิงตัน ดีซี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์นั้น Bortnikov คืออดีตมือหนึ่งของ KGB ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการ FSB (Federal Security Service) สามารถเจรจาเรื่องความมั่นคงของรัสเซียได้ทุกเรื่อง ที่น่าสังเกตคือ EU ห้ามเดินทางเข้ายุโรปเนื่องจากการแซงชั่น แต่สหรัฐฯกลับไม่มีชื่อ Bortnikov อยู่ในแบล็คลิสต์ ไม่ห้ามเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา และโอบามายังฝากข้อความมาถึงปูตินด้วยว่า สงครามโลกใกล้เข้ามาแล้ว และปูติน "อาจจะ" ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ความพยายามจุดชนวนสงครามของสหรัฐฯอย่างเร่งร้อนในเวลานี้นั้น ก็เนื่องมากจาก "ตะวันตก" ฆ่าบาริส เนียมต์โซฟ เพื่อปลุกกระแสให้คนรัสเซียต่อต้านปูติน แต่ไม่สำเร็จ ด้านปูตินรู้ตัวว่าไม่ปลอดภัยจึงต้องซุ่มเงียบ เมื่ออยู่นิ่งๆก็จะเห็นความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามที่ลุกลี้ลุกลนเต็มที่
The Russian Ministry of Defence (MoD) has declared a 'state of war' - activating the 'Dead Hand' nuclear order issued to The Strategic...
YOURNEWSWIRE.COM

ซ้ำรอย สนช. ! เผยรายชื่อล่าสุด สปช. 12 ราย ยังตั้งคน “สกุลเดียวกัน” เป็นผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ชำนาญการ

ซ้ำรอย สนช. ! เผยรายชื่อล่าสุด สปช. 12 ราย ยังตั้งคน “สกุลเดียวกัน” เป็นผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ชำนาญการ-ผู้ช่วยดำเนินงานอยู่ รับเงิน 1.5-2.4 หมื่น/เดือน “เทียนฉาย” ไร้คนช่วยงาน
PIC tienchai 17 3 58 1
เป็นอันว่าสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่แทนสำนักงานเลขาธิการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คำสั่งแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ชำนาญการ และผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว สปช. แก่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา
โดยข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยเป็นเพียงตารางสรุปรายชื่อบุคคลเพื่อปฏิบัติงานให้แก่สมาชิก สปช. ข้อมูลสิ้นสุด ณ วันที่ 12 มี.ค. 2558 เท่านั้น
ส่วนก่อนหน้านี้จะมี สปช. คนใดโยกย้ายหรือสลับสับเปลี่ยนใครเข้ามาบ้าง มิอาจทราบได้ !
อย่างไรก็ดีตามข้อมูลล่าสุดที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯ “จัดเรียง” มาให้ ก็พบว่ายังมี สปช. บางราย ที่ยังคงแต่งตั้ง “เครือญาติ” เข้ามาดำรงตำแหน่งช่วยงานอยู่ดีนับสิบราย
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำข้อมูลล่าสุด จากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯ รายชื่อบุคคลเพื่อปฏิบัติงานให้แก่ สปช. ที่พบว่า “นามสกุลเดียวกัน” มาเสนอให้เห็นกันชัด ๆ ดังนี้
1.นายกิตติภณ ทุ่งกลาง แต่งตั้ง น.ส.ภัสสร ทุ่งกลาง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
2.นางกูไชหม๊ะวันชาฟีหน๊ะ มนูญทวี แต่งตั้ง นายอาบีดีน มนูญทวี เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
3.นายจรัส สุทธิกุลบุตร แต่งตั้ง นายณรงค์ชัย สุทธิกุลบุตร เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 2 หมื่นบาท
4.นายเจริญศักดิ์ ศาลากิจ แต่งตั้ง นายพิสุทธิ์ ศาลากิจ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว รับเงินเดือน 2.4 หมื่นบาท
5.นายทิวา การกระสัง แต่งตั้ง นายสกนธ์ การกระสัง เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
6.นายธีรศักดิ์ พานิชวิทย์ แต่งตั้ง นายณัฐชนน พานิชวิทย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
7.พล.อ.อ.มนัส รูปขจร แต่งตั้ง นายวัชรเดช รูปขจร เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
8.นายวันชัย สอนศิริ แต่งตั้ง น.ส.ฉัตรทิพย์ สอนศิริ เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว รับเงินเดือน 2 หมื่นบาท
9.นายสยุมพร ลิ่มไทย แต่งตั้ง นายอิศร์ ลิ่มไทย เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
10.นายสุวัช สิงหพันธุ์ แต่งตั้ง พ.ต.หญิง ธัญนุช สิงหพันธุ์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
11.นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ แต่งตั้ง น.ส.พนิดา สอนหลักทรัพย์ เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
12.นางอุบล หลิมสกุล แต่งตั้ง น.ส.พนมดา หลิมสกุล เป็นผู้ช่วยดำเนินงานประจำตัว รับเงินเดือน 1.5 หมื่นบาท
นอกจากนี้ยังมีรายชื่อที่น่าสนใจ เช่น “เทียนฉาย กีระนันนท์” หัวขบวน สปช. รวมไปถึง สปช. อีก 4-5 ราย ที่ไม่ได้แต่งตั้งบุคคลใดเข้ามาช่วยงานเลยแม้แต่คนเดียว !
เรียกได้ว่า “ทำงานแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ” ก็ว่าได้
ทั้งหมดคือรายชื่อ “ล่าสุด” ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ชำนาญการ-ผู้ช่วยดำเนินงานของ สปช. ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯ “ป้อน” มาให้ ซึ่งเหลือ สปช. ที่แต่งตั้งเครือญาติเพียงเท่านี้ 
แต่ก่อนหน้านี้ไม่รู้มีมากกว่านี้หรือไม่ เนื่องจากสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนฯ ไม่ยอมให้คำสั่งฉบับเต็ม
ท่ามกลางเสียงซุบซิบที่สำนักงานสภาผู้แทนฯว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มี สปช. “บางราย” ดำเนินการสับเปลี่ยนโยกย้ายให้ “เครือญาติ-คนใกล้ชิด” พ้นตำแหน่งกันเป็นว่าเล่น หลังจากที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)  ถูกนำข้อมูลมาเปิดเผยไปก่อนหน้านี้
ผนวกกับคำพูดของ “เทียนฉาย” ที่ว่า หากพบ สปช. รายใดแต่งตั้ง “เครือญาติ” เข้ามาช่วยงาน จะดำเนินการตามมติของคณะกรรมาธิการสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) คือขอให้ “เชิญออก” ทันที
ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าจะสามารถทำได้อย่างที่เอ่ยไว้หรือไม่ ?
พร้อมกับต้องย้ำชัด ๆ ดัง ๆ อีกครั้งว่า เมื่อท่านพูดเราจะฟัง เมื่อท่านลงมือทำเราถึงจะเชื่อ !

แถลงการณ์ เครือข่ายสมัชชาประชาชนไทยเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษย์ชน

แถลงการณ์ เครือข่ายสมัชชาประชาชนไทยเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษย์ชน ( 3 องค์กร ได้แก่ เครือข่ายเสรีไทยยูเค, แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นสช.) และ แนวร่วมเสรีไทยเดนมาร์ก )
เรื่อง ขอยกย่อง สดุดี ความกล้าหาญของน้องๆในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558
ด้วยเหตุการณ์การเคลื่อนไหวของน้องๆนักศึกษาในกรณีการคัดค้าน การนำพลเรือนขึ้นสู่ศาลทหาร เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 ซึ่งได้ประจักษ์แก่คนไทยและคนที่สนใจติดตามสถานการณ์ในประเทศไทยจากทั่วโลก ให้เห็นถึงความกล้าหาญของเยาวชนไทย ที่มีหัวใจที่กล้าแกร่ง ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของเผด็จการทหาร ไม่เกรงกลัวต่อการถูกจับกุมตัว แต่อย่างใด น้องๆเหล่านี้ ได้ปลุกประกายไฟให้ความกล้าหาญให้ลุกโชน ขึ้นมาอีกครั้งในหัวใจของพี่น้องผู้รักประชาธิปไตย
ทางเครือข่ายสมัชชาประชาชนไทยเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษย์ชน 3 องค์กร ขอประกาศให้น้องๆได้รับรู้ว่า ทางองค์กรเครือข่ายสมัชชาฯ ซึ่งหลายคนเป็นเพื่อน เป็นรุ่นพี่ หรือรุ่นป้า รุ่นน้า รุ่นอา รวมถึงรุ่นพ่อ รุ่นแม่ ที่เคยผ่านการต่อสู้ในหลายเหตุการณ์ยังคงติดตามและเฝ้าดู รวมถึงพร้อมจะเข้าร่วมในการเคลื่อนไหวของน้องๆเหล่านี้ ตลอดเวลา และขอให้น้องๆได้รับรู้ว่า น้องๆยังมีเพื่อนร่วมเส้นทางของน้องๆอีกมากมาย......
" …พวกเธอไม่ได้โดดเดี่ยว ยังคงมีเพื่อนร่วมเส้นทางอีกมากมายที่พร้อมจะเคียงข้างกับพวกเธอ..."
ประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2558
องค์กร เครือข่ายเสรีไทย ยูเค
องค์กร แนวร่วมขบวนการเสรีไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นสช.)
องค์กร แนวร่วมเสรีไทยเดนมาร์ก


คดี2มือบึ้มละเมิดศาล

.....วันนี้ที่ 17 มีนาคม 2558 ศาลอาญาได้เบิกตัว นายมหาหิน ขุนทอง และนายยุทธนา เย็นภิญโญ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุปาระเบิดใส่ลานจอดรถศาลอาญา เมื่อตอนหัวค่ำวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมา มาไต่สวนกรณีที่นายประยุทธ ศิริล้น ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ยื่นคำร้องกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
.....คำร้องกล่าวสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2558 เวลากลางคืน นายมหาหิน ผู้ถูกกล่าวหา ที่ 1 ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า ทะเบียน วงต 967 โดยมีนายยุทธนา ผู้ถูกกล่าหาที่ 2 นั่งซ้อนท้าย มาตามถนนรัชดาภิเษก จนมาถึงบริเวณประตูทางออกของศาลอาญา นายมหาหินได้ชะลอความเร็วและนายยุทธนาได้ขว้างระเบิดสังหารชนิดอาร์จีดี 5 (RGD-5) รหัส 57 ใส่บริเวณลานจอดรถศาลอาญา ได้รับความเสียหาย ก่อนหลบหนีไป แต่ถูกเจ้าหน้าที่ช่วยกันจับกุมตัวได้ บริเวณสำนักงานอัยการสูงสุด ชั้นสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ให้การรับสารภาพ เหตุเกิดที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
.....ศาลได้ไต่สวนพยานรวม 3 ปาก แล้วมีคำสั่งว่าข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1) และ 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และ 180
.....จึงให้จำคุกนายมหาหินและนายยุทธนา ผู้ถูกกล่าวหา คนละ 5 เดือน
.....การที่ศาลอาญา ลงโทษบุคคลทั้งสองฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีความแพ่ง มาตรา 31ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 500 บาท นั้น
.....ไม่เกี่ยวกับความผิดฐานร่วมพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289,80 และความผิดฐานมีอาวุธที่ใช้ในราชการสงครามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พรบ.อาวุธปืน ฯลฯ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างสอบสวนของพนักงานสอบสวน และต้องดำเนินคดีโดยฟ้องต่อศาลทหารตามประกาศของ คสช. ครับ

จับอีก3รวมแหวาน ทีมบึ้มศาลอาญา ชี้เดี่ยวระเบิดพารากอน เป้าหมาย 5 จุด

จับอีก 3 รวม “แหวน” ทีมบึ้มศาลอาญา ชี้เอี่ยวระเบิดพารากอน เป้าหมาย 5 จุด
Cr:ผู้จัดการ
จับเพิ่มอีก 3 คนร้าย รวม “แหวน” ก่อเหตุลอบวางระเบิดหน้าห้างสรรพสินค้าพารากอน และปาระเบิดใส่ศาลอาญา รัชดาฯ ยันมีผู้ว่าจ้างเป็นคนเดียวกัน โดยมีเป้าหมายระเบิดถึง 5 จุด ทั้งกรมทหารราบที่ 11-สวนลุมพินี-ทางลงรถไฟใต้ดินจตุจักร-ศาลอาญา และลานจอดรถโรงแรมสยามแคมปินสกี้ เผยออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 17 หมาย จับได้แล้ว 12 ราย
วันนี้ (17 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.น.6 พล.ต.ต.รณกร ศุภสมุทร ผบก.กองสรรพาวุธ เป็น ผบก.ประจำภ.3 พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 พ.ต.อ.อารยะพันธุ์ พุกบัวขาว รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ภานุเดช สุขวงศ์ ผกก.สน.พหลโยธิน พ.ต.อ.ชัยรพ จุณณวัตต์ ผกก สน.โชคชัย และเจ้าหน้าที่ทหาร นำโดย พ.อ.วิจารณ์ จดแตง ผอ.กฎหมาย กอ.รมน. หัวหน้าส่วนปฏิบัติคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คสช. แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดีวางระเบิดศาลอาญา 3 ราย
ประกอบด้วย 1. นายณเรศ อิทรโสภา อายุ 32 ปี ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, มีเครื่องกระสุนปืนและยุทธภันฑ์ทางทหารที่นายทะเบียนไม่สามารถอนุญาตให้ได้, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร
2. น.ส.วาสนา บุษดี ข้อหาร่วมกันก่อการร้าย, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันใช้จ้างวานให้บุคคลอื่นกระทำผิดฐานพยายามฆ่า, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, มีเครื่องกระสุนปืนและยุทธภันฑ์ทางทหารที่นายทะเบียนไม่สามารอนุญาตให้ได้, มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และ 3. นางณัฎฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน ข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันใช้จ้างวานให้บุคคลอื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่า
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า คดีปาระเบิดที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการดำเนินการ 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เหตุเกิดเมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ มีผู้จ้างวาน คือ นายอเนก ซานฟราน ได้โอนเงินจำนวน 5 หมื่นบาทผ่านทางนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ นำมาให้กับนายวสุ เอี่ยมลออ เพื่อเป็นค่าจ้างในการดำเนินการ จากนั้นนายวสุได้โอนเงินเข้าบัญชีของ น.ส.วาสนา ทั้งนี้ นางณัฎฐธิดารู้จักกับนางสุภาพร และเป็นผู้แนะนำนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ ที่สามารถวางระเบิดได้ 5 จุด คือ กรมทหารราบที่ 11, สวนลุมพินี, ทางลงรถไฟใต้ดิน จตุจักร, ศาลอาญา และลานจอดรถโรงแรมสยามแคมปินสกี้ โดยมีข้อตกลงว่าต้องได้ค่าจ้างจุดละ 10,000 บาท จากนั้น น.ส.วาสนาได้โอนเงินให้นายสุรพลก้อนแรก 15,000 บาท แต่เมื่อรับเงินไปแล้วแต่ไม่สามารถลงมือก่อเหตุได้
พล.ต.ต.ชยพลกล่าวอีกว่า เมื่อการลงมือครั้งแรกไม่สำเร็จ กลุ่มผู้จ้างวานจึงติดต่อไปที่นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา โดยนายวิระศักดิ์สามารถดำเนินการได้และเป็นผู้จัดหาระเบิดอาร์จีดี 5 และอาวุธปืนมามอบให้กับนายมหาหิน ขุนทอง และนายยุทธนา เย็นภิญโญ ให้เป็นผู้ลงมือก่อเหตุปาระเบิดใส่ศาลอาญา รัชดาฯ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. ทั้งนี้ การดำเนินการทั้งสองครั้งนี้กลุ่มผู้จ้างวานเป็นกลุ่มเดียวกัน และต้องการก่อเหตุให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
ด้านผู้สื่อข่าวถามว่า นางณัฎฐธิดา หรือแหวน มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ต.ต.ชยพลกล่าวว่า เกี่ยวข้องในเรื่องของการเงิน โดยนางณัฎฐธิดารู้จักกับนายสุรพล และกลุ่มผู้จ้างวานคือนางสุภาพร และนายอเนกผ่านทางเฟซบุ๊ก อย่างไรก็ตาม หากพยานหลักฐานสามารถเชื่อมโยงไปถึงใครอีกก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
มีรายงานว่า นางณัฏฐธิดาเคยเป็นพยาบาลอาสาสมัคร พยานคดี 6 ศพ วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร เมื่อปี 53 ด้วย




ทั้งนี้ พนักงานสอบสวน บช.น.ขออนุมมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวทั้งหมด 17 หมาย จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 12 ราย ยังคงเหลือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ผู้ต้องหาความผิดตามมาตรา 112 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 49/255, นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ อายุ 44 ปี ผู้ร่วมประชุมวางแผน, นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้นำอาวุธมาให้กลุ่มผู้ต้องหาก่อเหตุ ยังคงหลบหนีอยู่, นายวสุ เอี่ยมลออ และนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร ที่ 42/58
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่คณะพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 รายเสร็จสิ้นจะนำตัวไปฝากขังที่ศาลทหารในวันที่ 18 มีนาคมต่อไป

ทหารเรียกตัว 3 แกนนำแพทย์หนุน นพ.ณรงค์ รายงานตัว

ทหารเรียกตัว “หมอประชุมพร” พร้อมแพทย์ที่ออกมาเคลื่อนไหวรวม 3 คน เข้าพบ ชี้สร้างความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ หลังหนุน 'นพ.ณรงค์'อดีตปลัดสธ.


ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 นพ.สรุเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามในคำสั่งที่ สธ 0201/0159 เรื่อง การรักษาความสงบของบ้านเมือง ส่งถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(นพ.สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง เนื้อความว่า "เนื่องจากขณะนี้อยู่ในช่วงการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ และมีกลไกสร้างความปรองดองสมานฉันท์ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการประสานจากฝ่ายความมั่นคง ขอให้ส่วนราชการโดยเฉพาะหน่วยงานในภูมิภาคทุกระดับ ได้โปรดสนองนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยเฉพาะการขึ้นป้ายที่มีข้อความให้ประชาชนเห็นภาพลักษณ์ของความไม่สมานฉันท์อันจะทำให้ภาพลักษณ์ความสงบของประเทศเสียหาย ซึ่งมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจ เป็นต้น 

ในการนี้สธ.ขอให้หน่วนงานในสธ.ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค กรมต่างๆ ตลอดจนหน่วยงานในกำกับสธ.ได้โปรดสอดส่องทำความเข้าใจโดยผู้บังคับบัญชาตามลำดับขั้นในส่วนภูมิภาคขอให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงเป็นผู้กำกับติดตาม ทำความเข้าใจใจเจตนารมณ์ เพื่อสนองนโยบายของฝ่ายวามมั่นคงต่อไป

ด้านพญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ที่ปรึกษาสมาพันธ์แพทย์รพ.ศูนย์ /รพ.ทั่วไป เปิดเผยว่า วันนี้(17มี.ค58) ตนได้รับหมายเรียกตัวจากกองบัญชาการรักษาความสงบเรียบร้อย จ.สุรินทร์ ซึ่งเขียนมาชัดเจนว่าเกี่ยวกับการชุมนุมคัดค้านการย้ายนพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งตอนนี้ไม่ได้มีการชุมนุมแล้ว เพียงแค่ถ่ายรูปกับป้ายคัดค้านภายในห้อง ลงโชเชียลมีเดียเท่านั้น แต่เรื่องนี้กลับถูกระบุว่ามีผลต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งถือเป็นคำสั่งที่ไม่ค่อยเหมาะสม เหมือนกับว่าเราทำความผิดแล้ว ต้องถูกควบคุมตัวพูดง่ายๆ ส่วนตัวคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด และงานที่ทำอยู่ตอนนี้ถือว่าเต็มมืออยู่แล้ว ทหารจะมาทำแทนตนหรือไม่ จะตัดชิ้นเนื้อ จะอ่านสไลด์แทนตนหรือไม่ เพราะงานที่ทำอยู่ก็ล้นมืออยู่แล้ว 
ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวเป็นหนังสือด่วนที่สุด เลขที่ คสช.(รส)2.67/22 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2558 ลงนามโดย พล.ต.มนัส หนูวัฒนา ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดสุรินทร์ เรื่องขอเชิญเจ้าหน้าที่พบปะทำความเข้าใจ เนื่องด้วยปรากฏข่าวสารว่าเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสุรินทร์ ประกอบด้วยกลุ่มนายแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่บางส่วน นัดชุมนุมแสดงออกเกี่ยวกับคำสั่งย้ายปลัดประทรวงสาธารณสุขในวันที่ 17 มีนาคม 2558 เวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลสุรินทร์นั้น

เพื่อมิให้การแสดงออกดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้งของสังคมส่วนรวม ตลอดจนความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดสุรินทร์ จึงขอความร่วมมือจากท่านให้เชิญแกนนำของเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลจังหวัดสุรินทร์ ที่นัดหมายชุมนุม มาพบปะพูดคุยกับผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของจังหวัดสุรินทร์ ในวันที่ 17 มีนาคม 2558 เวลา 09.30 น. ณ กองบัญชาการกองกำลังรักษาความสงบจังหวัดสุรินทร์ ค่ายวีรวัฒน์โยธิน อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย 1. พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ 2. พญ.พรรณทิพย์ มูลศาสตร์สาทร 3. นพ.อิสระ อริยชัยพาณิชย์
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/639536#sthash.qq7oBs1b.dpuf

นายกฯ อยากให้สงบฯ ไม่มีข่าวเขียน จะเลี้ยงดูนักข่าวเอง

นายกฯ อยากให้สงบฯ ไม่มีข่าวเขียน จะเลี้ยงดูนักข่าวเอง สอนปลูกมะนาว กินเอง แก้มะนาวแพง
นายกฯ บิ๊กตู่ แนะ ปลูกมะนาวกินเอง วิธีแก้มะนาวแพง ลูกละเกือบสิบบาท ช่วยตัวเองด้วย บอกเรื่องธรรมดา หน้าแล้ง คนปลูกมะนาวเขาก็รอขายอยู่
นายกฯเผยประชุม ครม.60เรื่อง ต้องกินข้าวบนโต๊ะประชุมเลย ถ้าไม่งั้น มาดิโตรงการไหน อยากให้ผ่าน ไม่มีครม.นี้ ผมซักทุกเรื่องละเอียด
นายกฯแขวะนักข่าว ชอบให้บ้านเมืองขัดแย้ง จะได้มีข่าวเขียนเยอะๆหริอไง ผมไม่อยากให้มีข่าวเลย จะได้สงบ นักข่าวไม่มีงานทำ ผมจะรับเลี้ยงเอง หางานให้ทำ ไปทำรางรถไฟ


หนังสือพิมพ์รัฐบาล

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2558
'หนังสือพิมพ์รัฐบาล'อุดจุดบอดงานพีอาร์

'หนังสือพิมพ์รัฐบาล'อุดจุดบอดงานพีอาร์

'หนังสือพิมพ์รัฐบาล' อุดจุดบอดงานพีอาร์ : โดย...จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง สำนักข่าวเนชั่น

 
                        การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันอังคารที่ 10 มีนาคม ที่ผ่านมา จู่ๆ มีเจ้าหน้าที่มาเดินแจกเอกสารให้แก่สื่อมวลชน และทุกคนที่อยู่หน้าตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุม ครม. จนกระทั่งหลังประชุมจบลง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้นำเอกสารชิ้นนี้มาอวดให้สื่อมวลชน และยอมรับว่านี่คือ “เอกสารจดหมายข่าวของรัฐบาล” และไม่ได้ต้องการโชว์ผลงาน แต่ทำเพื่อต้องการให้รู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปบ้าง
 
                        จากการตรวจสอบที่ไปที่มาของเอกสารชุดดังกล่าว จนได้ความทราบว่าเป็นชิ้นงานของ “กรมประชาสัมพันธ์” ที่ใช้ชื่อเอกสารที่มีรูปเล่มคล้ายหนังสือพิมพ์ ขนาด A3 หรือแท็บลอยด์ มีชื่อหัวหนังสือพิมพ์ว่า “จดหมายข่าวเพื่อประชาชน” มีความหนา 8 หน้า พิมพ์สี่สีทั้งเล่ม และผู้ที่มาเดินแจกก็เป็นเจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ ที่มี “อภินันท์ จันทรังสี" อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์มายืนดูลูกน้องเดินแจกเอกสารอยู่วงนอกด้วยตัวเอง
 
                        เมื่อพลิกอ่านหนังสือพิมพ์ของกรมประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ ก็พบว่าเป็นการจัดทำโดยกรมประชาสัมพันธ์ ที่มี “อธิบดีอภินันท์” นั่งเป็นบรรณาธิการด้วยตัวเอง “ประวิน พัฒนะพงษ์" รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็น รองบรรณาธิการ และมี “ดร.ชินภัทร พุทธชาติ" ที่ปรึกษาอธิบดี เป็นที่ปรึกษากองบก. พร้อมเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ 7 คน นั่งทำงานในกองบรรณาธิการด้วย โดยไม่มีชื่อของบุคคลในรัฐบาลเข้าไปนั่งเป็นกองบรรณาธิการแต่อย่างใด
 
                        ส่วนเนื้อหาในเล่มพบว่ามีทั้งข่าว สกู๊ป รายงานพิเศษ คอลัมน์ รวมภาพชุด ที่เป็นเชิงบวกและอวดผลงานของรัฐบาลทุกข่าวทุกหน้าพาดหัวได้หวือหวาน่าสนใจคล้ายหนังสือพิมพ์ เช่น "รัฐ" ยันภาษีบ้านไม่กระทบประชาชน, “ครม.ปรับเกณฑ์ลดขั้นตอนเบิกจ่ายงบประมาณปี 2558” เป็นต้น  
 
                        จุดที่น่าสนใจคือในส่วนของบทบรรณาธิการ หรือ บท บก. ที่เขียนระบุที่ไปที่มาของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า “ในแต่ละวัน มีข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลเข้าสู่การรับรู้ของประชาชนเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่มักเป็นข่าวที่เกิดขึ้นตามกระแสข่าว ด้วยเหตุนี้นายกรัฐมนตรีจึงมีความห่วงใยต่อประชาชนในการรับรู้ข่าวสาร ที่รัฐกำลังดำเนินการ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่บางครั้งข้อมูลเหล่านี้ประชาชนยังไม่รับรู้หรืออาจได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ครบถ้วน ทำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงบริการต่างๆ จดหมายข่าวฉบับนี้จึงเกิดขึ้นเพื่อเผยแพร่นโยบายและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และอื่นๆ รวมทั้งสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของประชาชนซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาประเทศ”
 
                        พออ่านบทบรรณาธิการจบแล้วก็ร้องอ๋อ เพราะตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุม ครม.ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ คือ เมื่อวันอังคารที่ 3 มีนาคม ที่มีรายงานข่าวแจ้งว่าบรรยากาศในการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการด้วยวาจาในที่ประชุมถึงการให้ข้อมูลและการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลที่พบว่ามีปัญหาในการเผยแพร่ผลงานของรัฐบาล โดย "บิ๊กตู่" กําชับทั้งครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวของคือ “กรมประชาสัมพันธ์” ให้ช่วยประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล เพราะรัฐบาลทําภารกิจไปจํานวนมาก แต่การทําความเข้าใจโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคยังทําได้น้อยมาก ทั้งที่การประชาสัมพันธ์ในส่วนกลางและจากกระทรวงก็มีช่องทางมาก
 
                        พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการว่าให้ออกหนังสือพิมพ์หรือเอกสารของรัฐบาล ซึ่งต้องไม่ใช่การโฆษณาผลงาน แต่เป็นการบอกให้สังคมทราบว่าปัญหาที่มีการเรียกร้องมีการดําเนินการถึงไหน ตรวจสอบได้อย่างไร!
 
                        นี่จึงเป็นที่มาของการออกหนังสือพิมพ์ในแบบฉบับของรัฐบาล ที่ออกมาอวดโฉมเป็นฉบับปฐมฤกษ์ ตามคำสั่งของนายกฯ เพื่อหวังว่าจะอุดช่องโหว่งานพีอาร์ของรัฐบาล ที่ทราบมาว่า หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อาจจะตีพิมพ์แบบรายปักษ์ หรือราย 15 วันออก 1 ครั้ง ส่วนยอดตีพิมพ์ต่อครั้งจะเป็นเท่าไรนั้นยังไม่มีการเคาะตัวเลขที่แน่นอน แต่ที่แน่ๆ จะทำเป็นไฟล์ข้อมูลในรูปแบบ PDFและลิงค์หนังสือออนไลน์ แปะลงในเว็บไซต์หน่วยงานของรัฐ เพื่อเพิ่มช่องทางเผยแพร่อีกทางหนึ่งด้วย
 
                        คำถามที่ตามมาคือ ทำแค่นี้พอหรือไม่ กับการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลตามที่นายกฯต้องการ และถามต่ออีกว่าแค่ไหนถึงจะเผยแพร่ได้ลงถึงระดับภูมิภาคตามที่นายกฯ ปรารถนา? 
 
                        คำตอบก็คือ "ยังไม่พอ" สำหรับการส่งข่าวสารไปถึงรากหญ้า เพราะจากการพูดคุยกับ "วงใน" คนทำงานประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ยอมรับว่า แม้รัฐบาลจะมีสื่อในมือครบทุกช่องทาง ทั้งทีวี วิทยุ สื่อออนไลน์ และแม้กระทั่งการสื่อสารโดยตรงจาก "นายกฯ" ก็ยังไม่พอที่ข้อมูลจะไปถึงระดับรากหญ้า
 
                        เนื่องจากสิ่งที่ “หายไป” คือการใช้งบประชาสัมพันธ์ของทุกหน่วยงาน เพราะในช่วงต้นที่ คสช.เข้ามาบริหารงานใหม่ๆ มีนโยบายชัดเจนให้หน่วยงานประหยัดการใช้งบ ทั้งดูงาน และการประชาสัมพันธ์ ที่ “ขีดเส้น” ให้โฆษณา “ห้าม” แปะรูปรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ผู้บริหารหน่วยงานเข้าไปในการโฆษณาเหมือนในอดีต
 
                        ประกอบกับความเข้มงวดในการตรวจสอบการใช้งบประมาณ ที่มีการตั้ง คตร. หรือคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้งบประมาณภาครัฐ และการจริงจังในการใช้ “สัญญาคุณธรรม” ทำให้หน่วยงาน “ไม่กล้า” ที่จะเซ็นอนุมัติงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์เต็มที่ ดังที่เคยปฏิบัติมา ดังนั้นป้ายโฆษณาหน่วยงานรัฐตามสี่แยกไฟแดง ป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่บนทางด่วน การซื้อพื้นที่โฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวี และป้ายโฆษณาเล็กตามชุมชนหมู่บ้านในต่างจังหวัด จึงมีจำนวนน้อยลงไปมาก และหมายรวมถึงการจัดกิจกรรมหรือ “อีเวนท์” ต่างๆ ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคก็ลดลงด้วยเช่นกัน
 
                        นอกจากนี้ ต้องจับตากรณีทีมโฆษกรัฐบาล นำโดย รอ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ ได้เรียกประชุมโฆษกทุกกระทรวงที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อปรับทัพการประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลให้เข้มข้นและลงไปถึงรากหญ้ามากขึ้น 
 
                        จะหวังพึ่งพาแค่ "จดหมายข่าวเพื่อประชาชน" "รายการคืนความสุข" และ "รายการเดินหน้าประเทศไทย" คงไม่พอ !
 
 
 
 
 
-----------------------
 
('หนังสือพิมพ์รัฐบาล' อุดจุดบอดงานพีอาร์ : โดย...จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง สำนักข่าวเนชั่น)