PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พี่เพื่อนยังอยู่! 'ประวิตร-อนุพงษ์-ฉัตรชัย' ไม่ปรับพ้นครม.

พี่เพื่อนยังอยู่! 'ประวิตร-อนุพงษ์-ฉัตรชัย' ไม่ปรับพ้นครม.

17 พฤศจิกายน 2560
 5,798
นายกฯประกาศก้อง "ประวิตร-อนุพงษ์-ฉัตรชัย" ยังอยู่ ไม่ปรับพ้นครม.ประยุทธ์5 
จวกสื่อฯทำไมรังเกียจนักหรือไง
เมื่อเวลา 11.25 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้
สื่อข่าวถึงการปรับ ครม.ว่า "เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอยู่ วันนี้เสร็จแล้ว 
เพียงแต่ยังมีขั้นตอนการดำเนินการทางเอกสารอะไรอีกเยอะแยะ ซึ่งก็ทำดีที่สุดแล้ว"
เมื่อถามว่าจะนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ยังไม่มี" 
ก่อนย้อนถามว่าข่าวมาจากไหนเมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่าเป็นแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ พล.อ.ประยุทธ์ 
จึงกล่าวว่า ถ้าหนังสือพิมพ์ลงก็ให้ไปเชื่อหนังสือพิมพ์ซิ เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประวิตรยังอยู่ในตำ
แหน่งใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อยู่ ยังอยู่ ทำไม รังเกียจนักหรือไง อย่างไรก็ตาม 
ทั้งพล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ยังอยู่ทั้งสองคน"
เมื่อถามว่าแล้ว พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เพื่อนร่วมรุ่นยังอยู่หรือ
ไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อยู่ แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้"

เมื่อถามว่ามีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามากี่คนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีระบุว่า
การปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในครั้งนี้ ทำอยู่คนเดียวเป็นอำนาจนายกฯ

แจงจับแกนนำสวนยางเข้าค่ายทหาร

#รัฐบาลแจงเหตุเชิญตัวแกนนำชาวสวนยาง เข้าค่ายทหาร ย้ำเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ แนะมีช่องทางยื่นข้อเรียกร้องในระดับพื้นที่ พร้อมแสดงความเป็นห่วงสื่อนำเสนอข่าวลดความเชื่อมั่นประเทศ

พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแถลงข่าวเรื่องแกนนำชาวสวนยางภาคใต้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารเชิญตัวไปค่ายทหาร เพื่อไม่ให้เดินทางเข้ามาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำใน กทม. ว่า

“รัฐบาลไม่เคยห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็นหรือเสนอข้อเรียกร้องแต่อย่างใด และยังได้จัดกลไกรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชนทุกสาขาอาชีพในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับอำเภอถึงจังหวัด ผ่านศูนย์ดำรงธรรมและหัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วย ขณะเดียวกันก็มีช่องทางสื่อมวลชนที่แกนนำใช้สะท้อนความต้องการมายังรัฐบาลเป็นรายวันอยู่แล้ว แต่เหตุใดจึงพยายามจะเดินขบวนเข้ามาใน กทม. 

การที่อ้างว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาไม่ได้ อยากให้เสนอมาว่าหากเป็นท่านเองจะทำอย่างไร จะได้ร่วมกันปรึกษาหารือด้วยเหตุผล โดยไม่นำความเดือดร้อนของชาวสวนยางมาสร้างประเด็นทางการเมือง และแม้จะมีความเห็นออกมาแล้วบ้าง เช่น ควรทำให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นเสือตัวที่ 6 ก็ต้องย้อนไปดูด้วยว่าประเทศมีงบประมาณเพียงพอหรือไม่ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่รัฐต้องดูแล หรือหากทำแล้วรัฐจะกลายเป็นคู่แข่งของเอกชน จนถูกมองว่าไปทำลายกลไกตลาดหรือไม่”

ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ย้ำว่ารัฐบาลและ คสช. ยินดีรับฟังข้อเสนอของทั้งพรรคการเมืองและนักกฎหมาย เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจึงอาจทำให้ข้อมูลและวิธีคิดแตกต่างกัน โดยอยากให้นำเสนอข้อเรียกร้องด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ควรเดินขบวนหรือชุมนุม แต่การแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์จะทำให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน ส่วนการเชิญตัวแกนนำไปค่ายทหารนั้นยืนยันว่า เป็นการพูดคุยทำความเข้าใจกัน ไม่ใช่การข่มขู่หรือทำร้าย

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเป็นห่วงเรื่องการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ที่ระบุว่า เสรีภาพของสื่อออนไลน์ไทยถูกลดอันดับ และเสรีภาพการใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยไม่ต่างจากประเทศสังคมนิยมบางประเทศ โดยอยากให้สังคมร่วมกันคิดว่า รัฐบาลใช้อำนาจกับสื่อมากเกินไปจริงหรือไม่ เพราะหากพิจารณาตามความเป็นจริงจะพบว่า วันนี้สื่อมวลชนยังมีเสรีภาพอย่างมาก ส่วนการนำไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันคงไม่ถูกต้องนัก มิหนำซ้ำในบางประเทศมีกฎหมายควบคุมเข้มงวดมากกว่าไทย แม้จะเป็นประเทศประชาธิปไตยก็ตาม

ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะขยายการให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศและเชื่อมโยงเครือข่ายไปยังต่างประเทศ แต่ต้องยอมรับว่าการใช้สื่อออนไลน์ขณะนี้ยังมีปัญหาเรื่องการละเมิด หลอกลวง ฉ้อโกง โป๊ หมิ่นประมาท ขายสินค้าผิดกฎหมาย ฯลฯ ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ทุกประเทศจึงต้องมีกฎหมายควบคุมเรื่องเหล่านี้

“สื่อออนไลน์และผู้ใช้งานควรร่วมกันคิดด้วยว่า จะปฏิรูปสื่อและสร้างสรรค์สังคมอย่างไร และต้องไม่ให้ตนเองกลายเป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้ง หรือนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือน สร้างความเสียหายทำลายความเชื่อมั่นของประเทศ”

ร่วม ครม.นี่ ไม่ใช่เพราะอยากจะเป็นอะไรนะ แต่เพราะนายกฯขอให้มาช่วย

"ที่มา ร่วม ครม.นี่ ไม่ใช่เพราะอยากจะเป็นอะไรนะ แต่เพราะนายกฯขอให้มาช่วย แล้วที่มาเป็น รองนายกฯและรมว.กลาโหม ก็เพราะ อยากมาช่วยดูแลกองทัพ ดูแลน้องๆ .....ถ้าให้เป็นรองนายกฯ อย่างเดียว ก็ไม่รู้จะมาทำไม ที่มาอยู่ตรงนี้ เพราะอยากมาช่วยดูแลกองทัพ เพราะเราเป็นทหาร"
บิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เคยกล่าวไว้
ท่ามกลางข่าวลือ "นายกฯบิ๊กตู่" จะควบ รมว.กลาโหม แล้วให้ บิ๊กป้อม เป็นรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว......"เพื่อ"????
พลเอกประวิตร ไม่ได้มีปัญหา เรื่องการดูแลกองทัพ อีกทั้งที่ผ่านมา นายกฯก็มีอำนาจสูงสุด ในการตัดสินใจ ในการจัดโผทหาร อยู่แล้ว

"บิ๊กตู่" "ยัน" "บิ๊กป้อม -บิ๊กป็อก "ยังอยู่ ถาม "ทำไม รังเกียจนักหรือไง"

"บิ๊กตู่" "ยัน" "บิ๊กป้อม -บิ๊กป็อก "ยังอยู่ ถาม "ทำไม รังเกียจนักหรือไง" เผย ครม."ประยุทธ์ 5"เสร็จแล้ว ..แย้ม"บิ๊กฉัตร"อยู่ แต่ อุบ "ไม่รู้อยู่ไหน"ยันทำดีที่สุด แล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับ ครม.ว่า "เสร็จเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการอยู่ วันนี้เสร็จแล้ว เพียงแต่ยังมีขั้นตอนการดำเนินการทางเอกสารอะไรอีกเยอะแยะ ซึ่งก็ทำดีที่สุดแล้ว"
เมื่อถามว่าจะนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ยังไม่มี"
พร้อมย้อนถามว่าข่าวมาจากไหนเมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่าเป็นแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวว่า ถ้าหนังสือพิมพ์ลงก็ให้ไปเชื่อหนังสือพิมพ์ซิ
เมื่อถามย้ำว่าพล.อ.ประวิตรยังอยู่ในตำแหน่งใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อยู่ ยังอยู่ ทำไม รังเกียจนักหรือไง
ทั้งพล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ ยังอยู่ทั้งสองคน"
เมื่อถามว่าแล้ว พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เพื่อนร่วมรุ่น ยังอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อยู่ แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้"
เมื่อถามว่ามีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามากี่คนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ระบุว่าการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ ทำอยู่คนเดียวเป็นอำนาจนายกฯ

กล่องดวงใจ ยังอยู่!!

กล่องดวงใจ ยังอยู่!!
"บิ๊กตู่" "ยัน" "บิ๊กฉัตร"เพื่อนรัก ยังอยู่ "ครม.ประยุทธ์5" แต่ อุบ บอก "ไม่รู้อยู่ไหน"ยันทำดีที่สุด แล้ว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรับ ครม. ตำแหน่ง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตร ฯเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 ยังอยู่หรือไม่ว่า "อยู่ แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้"
เมื่อถามว่ามีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามากี่คนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้
"ผม ทำอยู่คนเดียว เพราะเป็นอำนาจนายกฯ ทำดีที่สุดแล้ว" นายกฯ กล่าว
โดยก่อนหน้านี้ พลเอกประยุทธ์ ปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า พลเอกฉัตรชัยเป็น"กล่องดวงใจ-กล่องเงิน" โดยยืนยันว่ากล่องดวงใจ คือครอบครัว....ส่วนกล่องเงินนั้น ผมทำของผมเองได้

"3 ป."ตัองอยู่ ด้วยกันไป"ทั้งชาติ"

"3 ป."ตัองอยู่ ด้วยกันไป"ทั้งชาติ"
"บิ๊กตู่" ยัน ไม่นั่ง ควบ รมว.กลาโหม แทน "บิ๊กป้อม" ลั่น ทั้ง"บิ๊กป้อม -บิ๊กป็อก "ยังอยู่ ในครม. ถาม "ทำไม รังเกียจนักหรือไง"
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวที่จะนั่งควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ยังไม่มี
พร้อมย้อนถามว่า ข่าวมาจากไหนเมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่าเป็นแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าหนังสือพิมพ์ลง ก็ให้ไปเชื่อหนังสือพิมพ์ซิ
เมื่อถามย้ำว่าพล.อ.ประวิตรยังอยู่ในตำแหน่งใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อยู่ ยังอยู่ ....ทำไมรังเกียจนักหรือไง
"ทั้ง(พล.อ.ประวิตร)และ (พล.อ.อนุพงษ์)ยังอยู่ทั้งคู่"
เมื่อถามว่าแล้ว พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร เพื่อนร่วมรุ่น ยังอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "อยู่ แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้"
เมื่อถามว่ามีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามากี่คนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่รู้

รื้อคดีทักษิณ "ผงคลีจึงคลุ้ง"

พูดได้คำเดียว.........!
"สนุก"
คือสนุกในบรรยากาศ "๓ ประสาน" ทางการบ้าน-การเมืองช่วงนี้
สนุกแรก "ครม.ใหม่"
นายกฯ ประยุทธ์กำลังเบ่งอึ๊ดๆ แพลมดุ๊กดิ๊กคาก้น
สนุกสอง "เกมใหม่"
สถุลแดนไกล "สู้ก็ตาย-ไม่สู้ก็ตาย" ตัดสินใจปล่อยโซ่ให้สมุนแยกกันไล่งับโคนขาประยุทธ์ เร่งเกมเลือกตั้ง
สนุกสาม "รื้อคดีใหม่"
ป.ป.ช.มีมติให้ "สำนักคดี" ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ให้นำคดีที่ "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นจำเลย แต่ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจาก "จำเลยหลบหนี" ขึ้นมาพิจารณาใหม่ ๒ คดี
๒ คดีนั้น คือ คดีหวยบนดิน
และคดีเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้รัฐบาลพม่า วงเงิน ๔ พันล้านบาท!
นอกจากนั้น ยังมีอีก ๑ คดีที่ ป.ป.ช.มีมติให้รื้อฟื้นด้วย คือ คดีรถ-เรือดับเพลิง กทม.
เรื่อง ครม.ไม่จำเป็นต้องคุย เพราะไปถึงขั้นตอน "เตรียมฟังประกาศ" แล้ว
หุบปาก-เปิดหู ดีที่สุด!
ครม.ท้ายเทอมรัฐบาลที่ปรับ เป็น ครม. "เสี่ยงทาย" ถึงอนาคตกรายๆ ถ้าปรับ "เข้าตา" ประชาชน
เทอม ๒ ของนายกฯ ตู่...ไม่ยาก
แต่ถ้า แต่ละหน้าที่ปรับ เป็นที่ "เขม่นลูกตา" ละก็ เทอมหน้า จะรากแตก!
ส่วนเรื่องที่พวกขี้เรื้อนแยกสายไปร้องนั่น-ร้องนี่ ตอนนี้ ไม่มีอะไรมาก เป็นประเภท "หมาจนตรอก"
สถุลแดนไกล คงประเมินว่า ตอนนี้ "รัฐบาลขาลง" ก็ส่งสมุนสร้างประเด็น ให้เกิดเป็นเงื่อนไข
ถ้ากระแสติด ก็จะใช้เงื่อนไขนั้น "เดินเกมทางมวลชน"
มีทางนี้ทางเดียว ........
ทางอื่นไปยาก เพราะรัฐบาลติด "ตาข่ายดักหมา" ไว้หมด!
ที่แค้นต้องดิ้นสู้อีกยก ก็ตรง ป.ป.ช.รื้อคดีเก่าไปร้องต่อศาล
ให้รื้อขึ้นมาพิจารณาใหม่นี่แหละ
ด้วยกฎหมายใหม่ ให้พิจารณาลับหลังได้
นั่นเท่ากับเอาศพลงหลุมแล้วกลบฝัง ที่หวังอำนาจคืนแล้วฟื้นได้...ไม่มี
มีแต่ หนีแล้ว ก็ต้องหนีไปตาย "ในแผ่นดินอื่น"!
ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจาก "พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.๒๕๖๐"
มาตรา ๒๗ บอกว่า..........
"ในการยื่นฟ้องคดีต่อศาล ให้อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช.แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามาศาลในวันฟ้องคดี ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลและอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีหลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้เคยมีการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัวมา
หรือเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลเกิดจากการประวิงคดี หรือไม่มาศาลตามนัดโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะไม่ปรากฏผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาล"
และมาตรา ๒๘ บอกว่า........
"ในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ตามมาตรา ๒๗ และศาลได้ส่งหมายเรียกและสําเนาฟ้องให้จําเลยทราบโดยชอบแล้ว แต่จําเลยไม่มาศาล
ให้ศาลออกหมายจับจําเลยและให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามหรือจับกุมจําเลยรายงานผลการติดตามจับกุมเป็นระยะตามที่ศาลกําหนด
ในกรณีที่ได้ออกหมายจับจําเลยและได้มีการดําเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถจับจําเลยได้ภายในสามเดือน นับแต่ออกหมายจับ
ให้ศาลมีอํานาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทําต่อหน้าจําเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจําเลยที่จะตั้งทนายความมาดําเนินการแทนตนได้"
ด้วยเงื่อนไขกฎหมายใหม่ ป.ป.ช.และอัยการ ก็ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามนั้น
ป.ป.ช.สำรวจแล้ว มี ๒ คดี ที่ศาลจำหน่ายไว้ชั่วคราว เพราะจำเลยคือ "นายทักษิณ" หลบหนี
ไม่ใช่รื้อด้วยพยาบาทคาดพยาเวรจากใคร หากแต่กฎหมายสั่งให้ต้องทำน่ะ
คดีหวยบนดิน.........
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ตัดสินไปแล้วเมื่อ ก.ย.๕๒ ยกเว้นในส่วนของนายทักษิณซึ่งหลบหนี ศาลจำหน่ายคดีไว้ก่อน
คดีนี้ ผู้ต้องหาทั้งหมด ๔๗ คน โดยนายทักษิณ ที่เป็นนายกฯ ตอนนั้น เป็นจำเลยที่ ๑
ส่วน ครม.ชุดทักษิณ ที่อนุมัติเรื่องนี้ เป็นจำเลยที่ ๒-๓๐
คณะผู้บริหารสำนักงานสลากฯ เป็นจำเลยที่ ๓๑-๔๗
ฟ้องทั้งแพ่ง-อาญาในฐานความผิดดังนี้
-เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อหรือจัดการทรัพย์ ได้เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของคนอื่นโดยทุจริต (ยักยอก)
-เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการดูแลกิจการ เข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อผลประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
-เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จ่ายทรัพย์ จ่ายเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น
-เป็นเจ้าพนักงานที่แสดงว่ามีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร เรียกเก็บโดยทุจริตหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร
-เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
ตามประมวลกฎหมายอาญา ๑๔๗, ๑๕๒, ๑๕๓, ๑๕๔, ๑๕๗ ประกอบมาตรา ๘๓, ๘๔, ๘๖, ๙๐, ๙๑ และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๓, ๔, ๘, ๙, ๑๐
คตส.เป็นโจทก์ฟ้องเอง ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง ๔๗ คน ทั้งขอให้มีคำสั่งให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันคืนหรือใช้ทรัพย์
และขอให้นับโทษทักษิณ จำเลยที่ ๑ จากคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุก ๒ ปีด้วย
ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาจำเลย ๔๖ คน ยกเว้นทักษิณ ที่หลบหนี สั่งจำหน่ายคดีไว้
๓ คน ถูกศาลพิพากษาลงโทษ คือ
-นายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง จำเลยที่ ๑๐ จำคุก ๒ ปี ปรับ ๒ หมื่นบาท
-นายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงคลัง และประธานบอร์ดกองสลากฯ จำเลยที่ ๓๑ จำคุก ๒ ปี ปรับ ๑ หมื่นบาท
-นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลากฯ จำเลยที่ ๔๒ จำคุก ๒ ปี ปรับ ๑ หมื่นบาท
แต่โทษจำคุก ทั้ง ๓ คน ศาลให้ "รอลงอาญา" ไว้กำหนด ๒ ปี
นี่คร่าวๆ เรื่องหวยบนดิน ...........
คนอื่นตัดสินไปหมดแล้ว เหลือแต่ทักษิณ ที่ ป.ป.ช.จะร้องให้ศาลนำขึ้นมาพิจารณาต่อ
ส่วนคดีเอ็กซิมแบงก์ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องทักษิณ เป็นจำเลย เมื่อ ๑๖ ก.ย.๕๑
ในความผิดฐานใช้อำนาจหน้าที่กระทำผิด เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแล เข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่นด้วยกิจการนั้น
และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๒, ๑๕๗
กรณีอนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเอ็กซิมแบงก์ ให้กับรัฐบาลพม่า วงเงิน ๔ พันล้านบาท ในโครงการปรับปรุงระบบโทรคมนาคมของประเทศพม่า
เพื่อเอื้อประโยชน์ธุรกิจดาวเทียม ให้สั่งซื้ออุปกรณ์จากบริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ และบริษัทในเครือตระกูลชินวัตร
จำเลยคือ "นายทักษิณ" ไม่มาศาล!
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าพฤติการณ์มีเจตนาหลบหนี ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว
และให้ออกหมายจับมาเพื่อพิจารณาคดี เมื่อได้ตัวจำเลยมา จึงจะนำคดีขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง
เนี่ย...ก็เท้าความพอให้ปะติด-ปะต่อเรื่องราวกันได้ แต่มีข้อสังเกต เป็นประเด็นน่าสนใจอยู่นิด
คดีทั้ง ๒ อยู่ในช่วงที่.........
"นายชัยเกษม นิติสิริ"เป็นอัยการสูงสุด ระหว่างปี ๒๕๕๐-๒๕๕๒
และทั้ง ๒ คดีนี้ อัยการไม่ได้เป็นผู้นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลเอง!
คือ "คดีหวยบนดิน"
คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) เป็นโจทก์ฟ้องเอง
ส่วน "คดีเอ็กซิมแบงก์" ป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องเอง!
ค้นข่าวเก่าๆ อ่านจะพบ.........
คดีหวยบนดิน คตส.ตั้งอนุกรรมการ "นายอุดม เฟื่องฟุ้ง" อดีตผู้พิพากษาอาวุโส ในศาลอาญา กรุงเทพใต้ เป็นประธานไต่สวนกลางปี ๕๐
ไต่สวนเสร็จ ๒๑ ธ.ค.๕๐ สำนวนและความเห็นส่งมอบอัยการสูงสุด เพื่อส่งฟ้องผู้ถูกกล่าวหาต่อศาลฎีกาฯ
นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ตั้งคณะทำงานพิจารณาคดีนี้ นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด เป็นประธาน
๑๔ ม.ค.๕๑ นายวัยวุฒิ ส่งผลสรุปให้อัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาสั่งคดี
๑๘ ม.ค. นายชัยเกษม บอกว่า .......
คณะทำงานอัยการพิจารณาคดีหวยบนดิน ได้เสนอให้ตั้งคณะทำงานร่วม ระหว่างอัยการกับ คตส.
เพื่อให้สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มใน ๔-๕ ประเด็นที่ยังไม่สมบูรณ์
๔ ก.พ.๕๑ คตส.มีมติขอสำนวนคืนจากอัยการสูงสุด เพราะอัยการสูงสุดเห็นไม่ตรงกับ คตส.ก็เท่ากับอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องคดีนี้
ดังนั้น คตส.จะฟ้องต่อศาลฎีกาฯ เอง ด้วยเชื่อมั่นในสำนวนหลักฐานที่สมบูรณ์!
๑๐ มี.ค.๕๑ คณะทนายจากสภาทนายความ ๑๒ คนที่รับมอบหมายจาก คตส.นำสำนวนยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯ
เอาผิดทักษิณพร้อม ครม.ที่มีมติให้ดำเนินโครงการออกหวยบนดิน รวมทั้งผู้บริหารสำนักงานสลากฯ รวม ๔๗ คน
๒๘ ก.ค.๕๑ ศาลฎีกาฯ รับฟ้องคดี
๓๐ ก.ย.๕๒ ศาลฎีกาฯ ตัดสิน จำคุก ๓ จำเลย ทักษิณหนี จำหน่ายคดีชั่วคราวนั่นแหละ
จากคดีนี้........
ทำให้เข้าใจการทำหน้าที่ "ทนายแผ่นดิน" ของอัยการ ยุคที่ "นายชัยเกษม" เป็นอัยการสูงสุด ได้กระจ่างแจ้งที่สุด
และเป็นคำตอบได้ดีที่สุด ว่าทำไมนายชัยเกษม จึงมาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์
และเป็นแกนบริหารการเมืองใต้ระบอบทักษิณในขณะนี้
ทำให้คำที่ทักษิณเคยพูดกับผม ดังก้องขึ้นมา........
"พี่ กกต.ก็ของผม ตำรวจก็ของผม อัยการก็ของผม
แต่ที่.......ยังครึ่ง-ครึ่ง"!.

“ถาวร” ลั่น รบ.สอบตกแก้ศก. ชี้หากอ้างกลไกตลาดแก้ตัว ก็อย่ามีรัฐมนตรีเสียดีกว่า

“ถาวร” ลั่น รบ.สอบตกแก้ศก. ชี้หากอ้างกลไกตลาดแก้ตัว ก็อย่ามีรัฐมนตรีเสียดีกว่า


(17 พฤศจิกายน 2560) นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์คลิปยาวร่วม 10 นาที วิจารณ์การบริหารงานเกือบ 4 ปีของรัฐบาล คสช. ว่า ตนได้พยายามนำเสนอต่อรัฐบาลเกี่ยวกับการแก้ปัญหายางพาราไปแล้ว 4 ครั้ง โดย 3 ใน 4 ครั้ง ถูกตักเตือนโดยนายทหารระดับพลโท แต่ก็ยังได้นำเสนอการแก้ปัญหาหลายๆ รูปแบบไปให้นายกรัฐมนตรี อาทิ การให้รัฐบาลมีความจริงใจ และจริงจัง สั่งการให้มีการใช้ยางภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยางพาราของหน่วยงานต่างๆ ที่ในปี 2560 รัฐบาลได้จัดงบประมาณไว้ ไม่ว่าจะเป็นงบกลาง งบเหลือจ่าย และงบปกติ 16,000 ล้านบาทเศษ ในปี 2561 จัดงบประมาณไว้ 11,000 ล้านบาทเศษ แต่ปรากฎว่าส่วนราชการเพิกเฉย ละเลย ไม่ปฏิบัติตามคณะรัฐมนตรี ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเรื่องราคายาง ต้องการให้นายกฯ ตั้งกรอบเวลา และมีบทลงโทษสำหรับส่วนราชการที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ จากการที่ การยางแห่งประเทศไทยมีการร่วมทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในการส่งออกยางพาราอีก 5 บริษัท ผลปรากฎว่าการนำเงินของการยางแห่งประเทศไทย และบริษัทมาซื้อยางพารา เพื่อชี้นำตลาด และยกระดับราคาขึ้นมา ทำได้เพียงระยะหนึ่ง เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็หยุดไป โดยตนเคยแนะว่าอย่าให้การบริหารโดยใช้อารมณ์ นั่นคือเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์อาจจะมีอารมณ์ จึงหยุดซื้อ แต่เมื่อคิดว่าหลักการนั้นถูกต้องดีแล้วก็ควรที่จะเดินต่อ หรือชี้แจงให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ

นายถาวร ระบุว่า แนะให้ใช้มติของไตรภาคี 3 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งประชุมกันไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อที่จะอุดหนุนเรื่องยาง บริหารสต็อกเรื่องยาง กำหนดราคาในการส่งออก เมื่อพูดถึงเรื่องของการส่งออก ปรากฎว่ามีบริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัท ไปขายยางล่วงหน้าไว้ในราคาต่ำ แล้วมากดราคาซื้อจากเกษตรกรภายในประเทศ ดังนั้นรัฐบาลนี้ มี พรบ. ควบคุมยางปี 2542 ควรจะได้นำกฎหมายบทลงโทษที่เกี่ยวกับ พรบ. ฉบับนี้มาใช้ในการแก้ไขปัญหา

นายถาวร ยังกล่าวถึงปัญหาเรื่องข้าว และปาล์มว่า รัฐบาลได้อ้างว่าพืชผลชนิดนี้ล้นตลาด หรือเป็นเรื่องของกลไกการตลาด ตนขอเรียนไปยังนายกฯ ว่า ถ้ามีการแก้ตัวโดยใช้คำตอบอันเป็นคำตอบทั่วไปเช่นนี้ อย่ามีรัฐมนตรีเสียดีกว่า

ส่วนเรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นายถาวรมองว่าไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ การส่งออกลุ่มๆ ดอนๆ จึงขอเสนอให้ปรับทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเอาออกหรือเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ก็สุดแล้วแต่ แต่ทั้งนี้ขอได้โปรดดูเรื่องนโยบายเป็นหลักด้วย เพราะแม้ว่าจะเปลี่ยนรัฐมนตรี แต่นโยบายยังคงเดิมก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้เช่นกัน เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปเรื่องความเหลื่อมล้ำ นายถาวรมองว่ารัฐบาลพยายามออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดิน และทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้าง แต่ปรากฎว่าจนถึงวันนี้เรื่องนี้ก็ยังอืดอยู่ ยังคงมีการจนกระจาย และรวยกระจุก

ส่วนปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นยังคงมีอย่างดาดดื่น โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังคงใช้มติคณะรัฐมนตรี ให้มีการจัดจ้างจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ จึงเป็นช่องทางของการทุจริต และมักจะใช้ กอ.รมน. ส่วนหน้า ในการรับงานไปดำเนินการ ดังนั้นขอให้นายกฯ เร่งดูแลเป็นพิเศษ

“ขอฝากไปยังพี่น้องว่า การเมืองกำลังจะเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องของการเลือกตั้งในปี 2561 หลายคนสอบถามว่า เห็นอย่างไรกับทหารจะตั้งพรรคการเมือง มีความเห็นอย่างไรกับ 10 คำถาม รวม 2 ครั้งของนายกฯ ผมกราบเรียนไปหลายครั้งว่า เชิญชวนทหารทั้งหลายถอดเครื่องแบบ ลงสู่สนามการเมือง ไม่ว่าจะตั้งพรรค หรือสนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคการเมืองใด ผมยินดีต้อนรับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้พิจารณาข้อกฎหมายอย่าใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ไปทำการเมือง เดี๋ยวจะผิดกฎหมาย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม จะมาโอดครวญทีหลังไม่ได้ จึงขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่า พี่น้องเป็นเจ้าของประเทศ แม้ว่าขณะนี้ไม่มีตัวแทนของพี่น้อง เรามีระบบการเมืองการปกครองเท่าที่มีอยู่ขณะนี้ ขอให้อดทน แต่อย่างไรก็ตาม พี่น้องต้องตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยสรุปแล้วการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมของรัฐบาลนี้ ผมถึงว่ายังสอบตก” นายถาวรกล่าวทิ้งท้าย

เบื้องลึก ความนัย สถานการณ์ “การเมือง” พฤศจิกายน 2560

เบื้องลึก ความนัย สถานการณ์ “การเมือง” พฤศจิกายน 2560


อ่านเนื้อความในหนังสือ “ด่วนมาก” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ส่งถึงหน่วยงานในสังกัดทุกระดับในวันที่ 14 พฤศจิกายน แล้วเข้าใจ

เข้าใจใน “ความตื่นตัว”

เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพิ่งสั่งการผ่านที่ประชุม ครม.

จากการพบว่า “มีสถานการณ์เข้าสู่โหมดการเมือง”

เห็นได้จากปรากฏการณ์หลายเรื่อง มีการใส่ร้าย บิดเบือน การปล่อยข้อมูลข่าวสารเพื่อเป็นเท็จหรือความพยายามลดความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในรูปแบบต่างๆ

คล้อยหลัง “คำสั่ง” นี้ ก็มีหนังสือด่วนมากของ “ตร.” ออกมา

ให้สืบสวนพฤติการณ์เชิงลึกเกี่ยวกับข้อมูล “แกนนำ” พร้อมเครือข่ายผู้ให้การสนับสนุนทางความคิด งบประมาณ รูปแบบการเคลื่อนไหวและจุดประสงค์ที่แท้จริงในการออกมาเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่ม

นี่แหละคือที่เรียกว่า “โหมดการเมือง”

ความเคยชินประการ 1 เมื่อเอ่ยถึง “โหมดการเมือง” ก็มักจะเห็นภาพพรรคเพื่อไทย ภาพ นปช.คนเสื้อแดงลอยเด่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

นั่นเป็นสภาพเมื่อ 3 ปีก่อน

ไม่ว่าจะเป็น “ขันแดง” ที่ภาคเหนือ ไม่ว่าจะเป็น “ปฏิทิน” ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ล้วนถูกประกบ ล้วนถูกเกาะติด

แต่พอ “ล่วง” มาถึงเดือนพฤศจิกายน 2560

“โหมดการเมือง” เริ่มแปรเปลี่ยน สัมผัสได้จากการเชิญตัวแกนนำเกษตรกรชาวสวนยางที่ตรังเข้าค่ายรัษฎานุประดิษฐ์

ประสานกับการเชิญตัวเกษตรกรชาวสวนยางที่พัทลุงเข้าค่ายอภัยบริรักษ์

เห็นได้จากการออกโรงของอดีต ส.ส.อย่าง นายถาวร เสนเนียม จากสงขลา จาก นพ.สุกิต อัตโถปกรณ์ จากตรัง

นี่เป็น “ประชาธิปัตย์” มิใช่ “เพื่อไทย”

ความสลับซับซ้อนเพิ่มทวีขึ้นเมื่อเหตุผลในการปรับ ครม.มิได้มาจากการกดดันของปัจจัยภายนอก หากแต่มาจากปัจจัยภายใน

นั่นก็คือ การลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล

จากนั้นก็ตามมาด้วยสัญญาณจากการสำรวจความเห็นของประชาชนจากโพล “มืออาชีพ” ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพโพลล์ สวนดุสิตโพล หรือแม้กระทั่งนิด้าโพล

เน้นให้ปรับ ครม.กระทรวง “เศรษฐกิจ”

แต่ทำไมเมื่อสำรวจรายชื่อจากที่ปรากฏในกระแสทางสังคมกลับมีชื่อ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ และตามมาด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เท่ากับเป็นการ “ด้อยค่า” คนของ “คสช.”

ยิ่งเมื่อนักการเมืองอย่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึง 6 คำถามโดยมีเป้าหมายไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และหัวหน้ารัฐบาล

ยิ่งทำให้ “โหมดการเมือง” ทวีความร้อนแรง

สถานการณ์ทางการเมืองในเดือนพฤศจิกายน 2560 จึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสถานการณ์ 1 ปีแรกหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

เวลาเพียง 3 ปี แปรเปลี่ยนไปถึงระดับนี้ได้อย่างไร

ในเมื่อคนที่จะถูกเฝ้ามองมิใช่พรรคเพื่อไทย มิใช่ นปช.คนเสื้อแดง หากแต่เป็นพรรคประชาธิปัตย์ หากแต่เป็น กปปส.และเสียงโหวกเหวกอันมาจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

“โหมดการเมือง” แบบนี้ย่อมไม่น่าไว้วางใจ

ขายฝันกันยาวๆ

ขายฝันกันยาวๆ


ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ ฉบับวานซืน สะกิดคอการ เมืองให้จับตามอง “ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ไว้ดีๆ

เพราะมีกระแสข่าวว่า ดร.สถิตย์ถูกวางตัวให้เป็น แกนนำพรรคการเมืองใหม่เปิดซิงของ คสช.

จริงเท็จอย่างไร “แม่ลูกจันทร์” ไม่รับประกันซ่อมฟรี

ถ้ามองในแง่วิสัยทัศน์และฝีไม้ลายมือ ต้องถือว่า “ดร.สถิตย์” ยอดเยี่ยมกระเทียมโทนระดับหัวกะทิของเมืองไทยคนหนึ่งเหมือนกัน

แต่ปัญหาคือ คนที่เคยเป็นยอดฝีมือในฝ่ายราชการประจำ เมื่อเปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมืองมักโดนตะปูเรือใบเจาะยางแบนแต๊ดแต๋ไปได้ไม่สุดทาง

แต่ถ้า ดร.สถิตย์ ได้รับความไว้วางใจให้ถือธงนำพรรคการเมืองใหม่ คสช.จริง

มันก็ปฏิเสธลำบากเหมือนกันนะท่านผู้ชม

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ดร.สถิตย์ ได้รับมอบหมายงานสำคัญจาก คสช.ให้เป็นประธานวาง
ยุทธศาสตร์ชาติด้านความ สามารถการแข่งขันของประเทศไทย เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หน.คสช. พิจารณาในสิ้นเดือนธันวาคม

จากนั้นจะเอาแผนยุทธศาสตร์ด้านต่างๆมาขยำรวมกันให้กลายเป็นแผนยุทธศาสตร์ชาติใหญ่ที่จะใช้บังคับไปอีก 20 ปี

ประเด็นที่สร้างความฮือฮาคือ แผนยุทธศาสตร์ด้านความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่ง ดร.สถิตย์ เป็นหัวหน้าทีม เขียนได้เร้าใจจนกลายเป็นข่าวพาดหัวตัวเท่าหม้อแกง

เป้าหมายสำคัญในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของ ดร.สถิตย์ คือจะ “อัพ” รายได้เฉลี่ยคนไทยเพ่ิมขึ้นอีกเกือบ 2 เท่าตัว

จากปัจจุบันคนไทยมีรายได้เฉลี่ย 1.9 แสนบาทต่อคนต่อปี หรือ 1.6 หมื่นบาทต่อคนต่อเดือน

หรือ 550 บาทต่อคนต่อวัน

แต่อีก 20 ปีจากนี้ไป รายได้เฉลี่ยของคนไทยจะพุ่งกระฉูดเป็น 4.95 แสนบาทต่อคนต่อปี

หรือ 41,250 บาทต่อคนต่อเดือน หรือ 1,375 บาทต่อคนต่อวัน

หมายความว่าใน 20 ปีข้างหน้า คนไทยทุกคนจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้นอีกคนละ 3 แสนบาทต่อปี หรือ 25,250 บาทต่อเดือน

หรือเพิ่มอีก 825 บาทต่อวัน

ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยพาสชั้นเป็นประเทศรายได้สูงตามมาตรฐานยูเอ็น

ความฝันของ “ดร.สถิตย์” จะเป็นจริงหรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ต่อไปอีก 20 ปี

ทีนี้ย้ายมาดูแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านปฏิรูปเศรษฐกิจที่ คสช.แต่งตั้ง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นหัวหน้าทีมจัดทำ

แผนปฏิรูปเศรษฐกิจฝีมือ ดร.ประสาร ก็ขายฝันบรรเจิดเลิศสะแมนแตนไม่แพ้กัน

โดยกำหนดเป้าเพิ่มรายได้เฉลี่ยของคนไทยจากปัจจุบัน 1.95 แสนบาทต่อคนต่อปี ขึ้นเป็น 3.9 แสนบาทต่อคนต่อปี

หรือ 32,500 บาทต่อคนต่อเดือน

หรือ 1,000 บาทต่อคนต่อวัน

พูดง่ายๆคนไทยจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าเพิ่มอีก 1 เท่าใน 20 ปี

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าแผนขายฝันของ ดร.สถิตย์ กับ ดร.ประสาร จึงประสานงานกันจังเบอร์

แม้จะฝันเรื่องเดียวกัน แต่ฝันของ ดร.สถิตย์ หวานมันกว่าฝันของ ดร.ประสาร เท่าตัว

ชงหวานเกินไป ระวังเบาหวานกำเริบนะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

'รื้อใหญ่' เลยยากหน่อย

'รื้อใหญ่' เลยยากหน่อย


อาจเพราะถึงแมตช์พิเศษในโค้งสุดท้ายต้องทำให้โฉม ครม. “ประยุทธ์ 5” ออกมาให้เนี้ยบเฉียบนิ้ง
จึงไม่ใช่แค่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.จะออกอาการซีเรียส เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในที่ตั้ง งดออกงาน ใช้สมาธิกับรายการใหญ่

เครียดกุมโผแต่เพียงผู้เดียว

กระทั่ง “พี่ใหญ่” ที่เคยมีอะไรๆจะต้องออกโรงแทนน้องรักมาตลอด แต่คิวนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม โดนกระแสพาดพิงขย่มเขย่าเก้าอี้กันแรง

บางห้วงอารมณ์อาจมีของขึ้นนอตหลุดบ้างเป็นธรรมดา

แล้วก็ไม่น่าจะน้อยใจจนต้องหลบกระแสไปต่างประเทศ เพราะรายงานข่าวล่าสุดยืนยันว่า “บิ๊กป้อม” ยังอยู่ในประเทศไทย เพียงแต่เดินทางไปตรวจสุขภาพ และจำเป็นต้องพักผ่อน

แต่เอาเป็นว่า เมื่อได้ชื่อว่าเป็นแก่นแกนสำคัญในรัฐบาล อำนาจคู่ใน คสช. เมื่อทั้งน้องทั้งพี่เก็บตัวเงียบ มันก็สะท้อนสถานการณ์ที่แปร่งๆ ในห้วงถึงไฟต์บังคับปรับ ครม.รอบใหม่ หลายจุดยังไม่สะเด็ดน้ำ

บัญชี ครม. “ประยุทธ์ 5” ปลิวว่อน แต่ยังไม่มีใครคอนเฟิร์ม หลายโผยังแค่คาดการณ์

จากกระแสข่าวลอยลม ในวาระแฝงทั้งเขย่าเชียร์ ขย่มแช่ง

ของจริงยังไม่นิ่ง ต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการ ตามที่โฆษกรัฐบาลป่าวประกาศ

แต่ที่แน่ๆเลย จุดโฟกัสทุกฝ่ายตรงกันที่เป้าหมายจะขยับปรับเปลี่ยน โดยอันดับแรกไม่พ้นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ชื่อของเพื่อนรัก ตท.12 “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ อยู่ในความสนใจ

สรุปความตามโผคาดการณ์ได้ “ไปต่อ” แต่ “เปลี่ยนที่นั่ง”

เช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์ อีกเป้าใหญ่กระทรวงด้านเศรษฐกิจดูแลปัญหาปากท้องชาวบ้าน “อภิรดี ตันตราภรณ์” รมว.พาณิชย์ น่าจะถึงเวลาต้องพัก

โดยมีชื่อ “สายตรงผู้นำ” ชุติมา บุณยประภัศร รมช.เกษตรฯ มีชื่อถูกสลับมานั่งแท่นแก้โจทย์ใหญ่
ขณะที่กระทรวงการคลัง “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” เจ้ากระทรวง ยังรอลุ้นผู้นำจับโยกไปดูแลกระทรวงคมนาคม

คุมสารพัดเมกะโปรเจกต์ แทนอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เพื่อให้เข้าล็อก

ถูกฝาถูกตัวกับนโยบายรวมทีมเศรษฐกิจของ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ

นอกนั้นก็คงต้องโฟกัสที่ชื่อคนนอกที่จะมาเสริมทัพ นอกจาก “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ที่ยังมีกระแสข่าวกำลังเจรจาเงื่อนไขโยกมาเป็นรัฐมนตรี

อีกจุดที่น่าสนใจ หลายชื่อที่ติดโผจัดอยู่ในประเภทมีสายสัมพันธ์โยงเครือข่ายการเมือง

ถ้าเป็นไปตามโผ ก็เข้าสูตร “รัฐบาลปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”

ที่มีชื่อของ “ยุคล ลิ้มแหลมทอง” อดีต รมว.เกษตรฯ สายพรรคชาติไทยพัฒนา ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โผล่ติดโผมาอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯที่ถนัดเช่นเดิม เข้าเค้าสูตรปฏิรูป

เปิดช่องตัวแทนป้อมค่ายมาแชร์อำนาจ ช่วยปั่นงาน

เพราะก็มีอีกหลายบิ๊กเนมที่อนุมานได้จากเครือข่ายสายสัมพันธ์แต่ละขั้วค่ายการเมือง มีชื่อติดโผ ทั้งอดีต รมต.ค่ายใหญ่ อดีตบิ๊ก ธปท. มือบริหารอาชีพที่อยู่มาหลายยุคสมัยการเมือง

แต่ทั้งหมดทั้งปวง โฟกัสหลักๆน่าจะอยู่ที่การลดโทน “สีเขียวลายพราง” ที่ผู้นำประกาศขอใช้สิทธิ

จำเป็นต้องหั่นเพื่อนพ้องน้องพี่ท็อปบูต

แล้วก็ดูเหมือนล้อไปกับกระแสข่าว “พี่ใหญ่” ถึงเวลา “ลดงาน”

สะท้อนภาพรวมรายการปรับ ครม.รอบสำคัญ

เข้าเช็กระยะ “ยกเครื่องใหญ่” เพื่อสัญญาณไฟเขียว

“ไปต่อ”.

ทีมข่าวการเมือง