PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

พรุ่งนี้สหราชอาณาจักร จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นผู้หญิง



เทเรซา เมย์
พรุ่งนี้(13ก.ค.) สหราชอาณาจักร จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นผู้หญิง
เธอคือ เทเรซา เมย์ Theresa Mary May ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม Conservative Party แทนดวิด คาเมรอน David Cameron

เธอจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน(เพราะไม่มีการยุบสภาให้ประชาชนเลือกผู้นำ) แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับยูเค เพราะในรอบ 1 ศตวรรษ ประเทศนี้มีนายกฯ 24 คน และครึ่งหนึ่ง คือ 12 คนไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง รวมถึง วินสตัน เชอร์ชิล
นายกรัฐมนตรีคนใหม่วัย 59 (เกิด 1 ตุลาคม 1956) เคยทำงานที่ Bank of England ในปี 1977-1983 และเป็นมหาดไทยมาตั้งแต่ปี 2010 และเป็นรัฐมนตรีหญิงอาวุโสที่สุดในคณะรัฐบาลของคาเมรอน และเป็นรัฐมนตรีที่มีภาพลักษณ์สุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์ แถมแสดงให้เห็นว่ารับภาระได้ดีในการควบคุมดูแลงานในกระทรวงที่มีภาระงานหนักหน่วงมากที่สุดกระทรวงหนึ่งมาในช่วง 6 ปีที่นั่งเก้าอี้
แม้พรรคพวกของเธอเชื่อว่าความใฝ่ฝันสูงสุดของเมย์ตั้งแต่เข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อปี 1997 คือเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ แต่เธอก็ไม่เคยแสดงออกชัดเจน โดยเล่นบท"หนุนหลัง" เดวิด คาเมรอน มาอย่างเหนียวแน่นตลอดเวลา แต่ก็เคยลั่นปากว่าพรรคจะต้อง"เปลี่ยนแปลง" เพราะกลายเป็นพรรคการเมืองสำหรับชนชั้นสูงและผู้มีฐานะ โดยเธอกล่าวในช่วงของการหาเสียงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคหลังคาเมรอนลาออกว่า ต้องการปฏิรูปประเทศให้มีความเที่ยงธรรมและยุติธรรมมากขึ้น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
เทเรซา เมย์ สมรสกับ ฟิลิป เมย์ Philip May นักการธนาคารชาวอังกฤษ เมื่อปี 1980 โดยไม่มีบุตร ทำให้เธอไม่มีปัญหาถูกจับตาเรื่องชีวิตครอบครัวจากสื่อมวลชน แต่ที่สื่อสนใจก็คือ นายกรัฐมนตรีหญิงคนใหม่ได้ชื่อว่า"เจ้าแม่แฟชั่น"ตัวแม่คนหนึ่งในแวดวงการเมืองผู้ดี
ที่น่าสนใจก็คือ เธอมีคอลเล็กชั่นรองเท้าเยอะมา และยอมรับว่าเธอสะสมรองเท้าเป็นงานอดิเรก นอกเหนือจากการอ่านหนังสือและชอบทำอาหาร

คดีฟิลิปปินส์ฟ้องจีนกรรมสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้


คดีฟิลิปปินส์ฟ้องร้องจีนในเรื่องกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทะเลจีนใต้ เป็นคดีที่รอคอยกันมาตั้งแต่ปี 2546 เมื่อฟิลิปปินส์นำเรื่องฟ้องร้องในปีนั้น แต่จีนประกาศชัดไม่ยอมรับอำนาจอนุญาโตตุลาการที่กรุงเฮกและจะไม่ทำตามคำตัดสิน
ในคดีนี้ฟิลิปปินส์กล่าวหาว่า การดำเนินการด้านดินแดนใดๆของจีนในทะเลจีนใต้ถือว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศ จีนนั้นอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทะเลจีนใต้ถึง 90% ซึ่งรวมไปถึงเกาะปะการังและหมู่เกาะอีกหลายแห่งที่ประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศต่างอ้างเป็นของตน
สำหรับอนุญาโตตุลาการในคดีนี้ทำงานภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติเรื่องกฎหมายทางทะเล หรือ UNCLOS ที่ทั้งจีนและฟิลิปปินส์ต่างก็ลงนามทั้งคู่
คำตัดสินที่ออกมาจะถือว่ามีผลในทางกฎหมาย แต่คณะอนุญาโตตุลาการไม่มีอำนาจที่จะบังคับให้เป็นไปตามนั้น 
อย่างไรก็ตาม นักสังเกตการณ์ชี้ว่า เรื่องนี้แม้จีนจะปฏิเสธไม่เข้าร่วม และไม่ยอมรับอำนาจของอนุญาโตตุลาการรวมทั้งจะไม่ปฏิบัติตาม แต่ในด้านหนึ่ง จีนจะเสียชื่อเสียงอย่างมาก หากคำตัดสินในวันนี้ออกมาเป็นคุณกับฟิลิปปินส์มากกว่าจีนและจีนไม่ทำตาม โดยเฉพาะประเด็นว่าเป็นประเทศที่ไม่ทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ นอกจากนั้น คำตัดสินในคดีนี้ยังจะถือเป็นแม่แบบสำหรับการตัดสินในคดีทำนองเดียวกันอื่นๆอีกด้วย อีกประการหนึ่ง คำตัดสินใจคดีนี้อาจนำไปสู่ความตึงเครียดให้ทวีขึ้นระหว่างจีน ฟิลิปปินส์ และรวมไปถึงสหรัฐฯ
มีผู้ออกมาเตือนแล้วว่า หากจีนแสดงปฏิกิริยารุนแรงตอบโต้ เรื่องนี้อาจส่งผลเสีย เพราะขณะนี้เห็นได้ชัดว่า จีนกำลังระดมกำลังต่อต้านคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ขณะที่สหรัฐฯส่งเรือรบและเครื่องบินรบไปประจำเพราะคาดหวังว่าจะมีแรงเสียดทานเกิดขึ้น 
บทบรรณาธิการในนสพ.โกลบอลไทมส์ที่เป็นนสพ.แนวชาตินิยมของรัฐบาลจีนออกมาเรียกร้องทันทีให้จีนเตรียมตัวเพื่อรับมือ “การเผชิญหน้าทางกำลัง” ในขณะที่เรือรบของจีนก็ไปซ้อมรบใกล้หมู่เกาะพาราเซลที่เป็นต้นตอของการแย่งชิงกรรมสิทธิ์ด้วย
ขณะที่คณะอนุญาโตตุลาการบอกว่า คณะมีอำนาจในอันที่จะตัดสินคดีนี้รวมทั้งอีก 7 คดีจากในบรรดา 15 คดีที่ฟิลิปปินส์ร้องเข้าไป นอกจากนั้นคณะอนุญาโตตุลาการยังกำลังพิจารณาว่า ควรจะตัดสินอีก 8 คดีหรือไม่ 

ในส่วนของจีน จีนได้พยายามหาเสียงสนับสนุนจากบรรดาประเทศต่างๆ เพื่อสนับสนุนความเห็นของจีนที่ว่า ไม่ควรจะยอมรับคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ นักการทูตจีนหลายคนออกมาเขียนบทความอธิบายจุดยืนของรัฐบาลจีนโดยลงตีพิมพ์ในสื่อภาษาอังกฤษหลายแห่งทั่วโลก และจีนบอกว่า ขณะนี้มีประเทศต่างๆราว 60 ประเทศที่เห็นว่า ไม่ควรจะยอมรับคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่มีแค่ไม่กี่รายที่แสดงการสนับสนุนอย่างเปิดเผย

ในคำร้องของฟิลิปปินส์ที่มีถึงคณะอนุญาโตตุลาการเมื่อปี 2546 นั้น ฟิลิปปินส์คัดค้านข้ออ้างของจีนในเรื่องกรรมสิทธิ์รวมทั้งที่ไปดำเนินการต่างๆกับพื้นที่ทะเลจีนใต้ โดยระบุว่า เป็นเรื่องขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ฟิลิปปินส์กล่าวหาว่าจีนเข้าแทรกแซงในหลายเรื่องเช่นเรื่องการทำประมง การขุดทรายเพื่อสร้างเกาะเทียม สร้างอันตรายต่อการเดินเรือ และอื่นๆ และยังได้ร้องขอให้อนุญาโตตุลาการปฏิเสธข้ออ้างของจีนเรื่องมีกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทางทะเลซึ่งข้ออ้างดังกล่าวทำให้จีนประกาศว่าตนเองถือกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ถึง 90% ดังปรากฏในแผนที่ของจีน

บิลล์ เฮย์ตัน ผู้เขียนหนังสือ South China Sea: The struggle for power in Asia บอกว่า โดยหลักๆแล้ว เนื้อหาตามคำร้องของฟิลิปปินส์ต้องการให้อนุญาโตตุลาการตัดสินว่า สิ่งที่จะยึดเป็นจุดสำคัญในการบ่งบอกเขตแดนในพื้นที่นี้มีอะไรบ้าง เพื่อจะได้ตัดสินได้ว่า แต่ละประเทศที่อ้างกรรมสิทธิ์นั้นควรจะมีพื้นที่แค่ไหน เช่น ในแผ่นดินหรือปะการังที่ผุดโผล่ให้เห็นช่วงน้ำลด ซึ่งหลายแห่งโผล่ให้เห็นเฉพาะในเวลาน้ำลดเท่านั้น หรือเรื่องของการกำหนดพื้นที่ของทะเล รวมถึงการกำหนดคำว่า “กองหิน” ซึ่งให้คำจำกัดความกันเอาไว้ว่าเป็นอะไรก็ตามที่อยู่เหนือผิวน้ำในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงขนาด ในกรณีของสิ่งที่เรียกว่า “กองหิน” จะมีพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเลโดยรอบ ส่วน “เกาะ” ที่ถือว่า “คนสามารถอาศัยอยู่ได้โดยลำพังหรือมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ด้วยตัวเอง” จะได้พื้นที่ทางเศรษฐกิจ 200 ไมล์ทะเลโดยรอบ ดังนั้นหากคณะอนุญาโตตุลาการตัดสินว่า หมู่เกาะสแปรทลีย์ที่จีนเข้าไปถือครองในเวลานี้ เป็นเกาะตามคำจำกัดความนี้ จีนก็จะไม่สามารถอ้างกรรมสิทธิ์ 200 ไมล์ทะเลโดยรอบได้
ด้านประธานาธิบดีคนใหม่ของฟิลิปปินส์ นายดูแตร์เต้บอกว่า ฟิลิปปินส์พร้อมจะร่วมแบ่งปันทรัพยากรในทะเลจีนใต้เพื่อการพัฒนาร่วมกับจีนหากอนุญาโตตุลาการตัดสินเป็นคุณกับฝ่ายตน ท่าทีอันนี้แตกต่างไปจากของผู้นำคนก่อน
ภาพประกอบ
ภาพแรก จีนเร่งก่อสร้างสิ่งต่างๆบนหมู่เกาะบางแห่งในทะเลจีนใต้ นับตั้งแต่ที่มีการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ของจีนเป็นต้นมา
ภาพที่ 2 เรือรบจีนลาดตระเวนก่อนการตัดสิน
ภาพแผนที่ทะเลจีนใต้ที่เป็นพื้นที่ข้อพิพาท แหล่งที่มา UNCLOS, CIA

ัทัศนทักษิณต่อผู้นำทหาร

อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร แนะแนวทางปรองดอง หัวหน้ารัฐบาลต้องใจใหญ่เหมือนเนลสัน แมนเดลา เข้าใจคนทั้งสองฝ่าย ขจัดความเกลียดชัง เลิกด่ากราด ย้ำสร้างสมานฉันท์ต้องเริ่มที่ทัศนคติของผู้นำ
เว็บไซต์วารสาร World Policy Journal เผยแพร่บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่พูดกับทีมงานกองบรรณาธิการเมื่อคราวไปแสดงปาฐกถาในงานของหน่วยงานคลังปัญญา World Policy Institute ในนครนิวยอร์ก เมื่อเดือนมีนาคม 2559
 เมื่อเดือนเมษายน เว็บไซต์ดังกล่าวได้เผยแพร่ส่วนแรกของบทสัมภาษณ์นี้ ดังที่ วอยซ์ ทีวี (23 เมษายน 2559) เคยถ่ายทอดนำเสนอก่อนหน้านี้ ล่าสุด ทางวารสารนำฉบับเต็มออกเผยแพร่ ซึ่งตีพิมพ์ในฉบับฤดูร้อน ปีค.ศ. 2016
 ระหว่างการให้สัมภาษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ตอบคำถามครอบคลุมหลายประเด็น ตั้งแต่สถานการณ์การเมืองภายหลังรัฐประหารปี 2557  โครงการรับจำนำข้าว มุมมองต่อภูมิภาค เช่น ปัญหาทะเลจีนใต้ บทบาทของจีน สหรัฐฯ อาเซียน และความเห็นต่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีแปซิฟิก หรือทีพีพี
 ในตอนท้าย กองบรรณาธิการของวารสาร เวิลด์ พอลิซี ซักถามอดีตนายกรัฐมนตรีไทยในเรื่องทิศทางนโยบายที่ประเทศไทยควรยึดเป็นเข็มมุ่ง และแนวทางเยียวยาความแตกแยกในสังคม
 WPJ : ถ้าตอนนี้คุณเป็นนายกรัฐมนตรี คุณจะล้มเลิกนโยบายอะไร และนำนโยบายอะไรมาใช้แทน
 ทักษิณ : มีเรื่องต้องทำเยอะแยะ เพราะเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ได้วางแผนอนาคตเลย พวกเขา (รัฐบาลทหาร) พยายามวางโครงสร้างอำนาจที่ชนชั้นนำและกลุ่มอำนาจดั้งเดิมจะสามารถกุมบังเหียนประเทศชาติได้
 เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อยๆ การรักษาความสามารถในการแข่งขันยิ่งยากขึ้นๆ คุณต้องยืดหยุ่น คุณต้องมีกฎหมายที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ระบบการศึกษาของเราแย่ลงๆ ฉะนั้น เราต้องยกเครื่องหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียว
WPJ : ในเรื่องความสมานฉันท์ ต้องทำอะไรบ้าง จึงจะสามารถสร้างความปรองดองได้
ทักษิณ : ถ้าต้องการปรองดอง ผู้นำต้องมีใจใหญ่ อย่างเนลสัน แมนเดลา ถ้าคุณเป็นผู้นำ ต้องการความปรองดอง คุณต้องเข้าใจคนทั้งสองฝ่าย มองหากลไกที่จะทำให้คนหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เอาแต่ทำร้ายความรู้สึกของประชาชน ท่าทีที่คุณพูดจา ท่าทีที่คุณแสดงออก คุณต้องแสดงความเป็นผู้นำ แสดงให้เห็นว่าคุณรักประชาชนจริงๆ ที่เหลือก็ไม่ยากแล้ว
 WPJ : คุณคิดว่า กลไกอะไรที่จะเร่งสร้าง...
 ทักษิณ : มีกลไกหลายอย่าง แต่ทัศนคติต้องมาก่อน พอคุณมีทัศนคติแล้ว คุณจะหันหน้าเข้าหาคนอื่น ค้นพบกลไกร่วมกับคนอื่น ถ้าคุณเข้ามาด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง จัดให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงคุยกัน - - เราเป็นคนไทยด้วยกันนะ พูดภาษาไทยเหมือนกันนะ ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้านะ
 อนาคตจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ เพราะเราทะเลาะกัน เราเกลียดกัน ต้องละเลิกสิ่งนี้เป็นอันดับแรก คนเป็นผู้นำ เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องแสดงให้ประชาชนเห็น ไม่ใช่เข้ามาแล้วด่ากราดไปหมด.

วัฒนา เมืองสุข:"ประชามติผ่านเผด็จการเป็นใหญ่"



นายวัฒนา เมืองสุข อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย โพสเฟสบุ๊ตวันนี้(12ก.ค.59)

"ประชามติผ่านเผด็จการเป็นใหญ่"

เหตุผลหนึ่งที่ผมไม่เห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญคือ ส.ว. 250 คน ที่มาจากการสรรหาของคนที่ คสช. แต่งตั้ง แต่คำถามพ่วงให้มีอำนาจให้ความเห็นชอบกับการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะหากผ่านประชามติจะทำให้ตัวแทนของประชาชนไม่มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้เลยถ้าฝ่ายเผด็จการไม่เอาด้วย เช่น ส.ส. 350 คนที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งถือเป็นเสียงข้างมากที่มั่นคงเพราะมีฝ่ายค้านเพียง 150 คน รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแต่หาก ส.ว. 250 คนที่มาจากการสรรหาไม่เห็นด้วยเมื่อรวมกับฝ่ายค้าน 150 คน จะมีเสียง 400 เสียง มากกว่าเสียงข้างมากของ ส.ส. จึงสามารถขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ทันที ดังนั้น รัฐบาลที่จะจัดตั้งเพื่อบริหารประเทศจึงต้องเป็นรัฐบาลที่เผด็จการเห็นชอบ ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากประชาชน
วัฒนา เมืองสุข
พรรคเพื่อไทย
12 กรกฎาคม 2559

เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นสำนักงาน “ประชาไท” แต่ไม่พบเอกสารผิดกฎหมาย

สำนักข่าวประชาไทเผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายเข้าตรวจค้นสำนักงานวันนี้ โดยพนักงานประชาไทระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารไปด้วยอีก 1 นาย แต่ไม่เข้าไปในสำนักงาน
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวประชาไทถูกจับกุม พร้อมนักกิจกรรมที่แจกเอกสารเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นเอกสารการรณรงค์ที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวประชาไทระบุว่า เขาเพียงติดรถนักกิจกรรมไปทำข่าวเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวของประชาไทยังได้โพสต์คลิปวิดีโอสัมภาษณ์พ.ต.ท.ธีระศักดิ์ ศรีประเสริฐ รองผู้กำกับการจากสถานีตำรวจสุทธิสารที่บอกว่า ตนพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นสำนักงานประชาไทตามหมายค้นจากศาลอาญา เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.ค.ที่ผ่านมามีผู้สื่อข่าวประชาไทถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจภูธรบ้านโป่ง จ.ราชบุรี และเจ้าหน้าที่ยึดได้เอกสารที่อาจเกี่ยวข้องกับการลงประชามติไว้ เนื่องจากสถานีตำรวจสุทธิสารดูแลพื้นที่ที่สำนักข่าวประชาไทตั้งอยู่ จึงได้เข้าไปตรวจสอบ และหลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีเอกสารที่อาจเกี่ยวข้องกับเอกสารที่ทำให้ผู้สื่อข่าวประชาไทถูกจับกุม หรือเอกสารที่เกี่ยวกับความมั่นคงแต่อย่างใด นอกจากนั้นยืนยันว่าการตรวจค้นเป็นการกระทำตามกฎหมาย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดำเนินการ โดยมีเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปด้วยเพียงแต่สังเกตการณ์อยู่ด้านนอกสำนักงานเท่านั้น
(ภาพประกอบข่าวจากประชาไท)

เปิด 7 ประเด็นหลักในคำตัดสินศาลโลก ชี้จีนไม่อาจอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้

เปิด 7 ประเด็นหลักในคำตัดสินศาลโลก ชี้จีนไม่อาจอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้

หลังจากศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮกของเนเธอร์แลนด์ มีคำตัดสินว่าจีนไม่มีสิทธิทางกฏหมายและสิทธิในทางประวัติศาสตร์ใด ๆ ในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเขตแดนในทะเลจีนใต้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า คำตัดสินนี้จะเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศอื่น ๆ ที่อ้างกรรมสิทธิ์แย้งกับจีน ซึ่งได้แก่ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย บรูไน และไต้หวัน ในการใช้คำตัดสินนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองเคลื่อนไหวเรื่องเขตแดนและทรัพยากรในทะเลจีนใต้ต่อไป แม้จีนจะออกมาแถลงไม่ยอมรับคำตัดสินดังกล่าวอย่างหนักแน่นก็ตาม

ประเด็นสำคัญในคำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ของคณะอนุญาโตตุลาการถาวรมีดังนี้

- จีนไม่มี “สิทธิทางประวัติศาสตร์” ใด ๆ เหนือน่านน้ำในทะเลจีนใต้
- เส้นประกำหนดเขตแดน 9 เส้น ที่จีนใช้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ถึงร้อยละ 85 ของทะเลจีนใต้ ไม่สามารถนำมาใช้อ้างสิทธิเหนือพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะของชาติอื่น ๆ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล ปี 1982
- ไม่มีกองหินหรือเกาะใด ๆ ของหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทางตะวันตกของฟิลิปปินส์ ที่จะเป็นเครื่องหมายในการให้สิทธิที่ชอบธรรมแก่จีนเพื่อเข้าถึงน่านน้ำในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของฟิลิปปินส์ได้
- จีนได้เข้าไปก้าวก่ายขัดขวางสิทธิการทำประมงที่มีมาแต่เดิมของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบแนวสันทรายสคาร์โบโรห์
- การสำรวจหาน้ำมันดิบของจีนบริเวณใกล้กับภูเขาไฟใต้ทะเล รีด แบงค์ ละเมิดอธิปไตยของฟิลิปปินส์
- การสร้างเกาะเทียมและการทำประมงเกินพิกัดของจีน ได้ทำลายระบบนิเวศบางส่วนของหมู่เกาะสแปรตลีย์ไป
- จีนได้ละเมิดข้อตกลงกับชาติอื่นในภูมิภาค ในอันที่จะงดเว้นการกระทำยั่วยุซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ระหว่างที่กระบวนการเจรจาแก้ปัญหาทะเลจีนใต้ยังไม่สิ้นสุดลง

กระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์แสดงความยินดีต่อคำตัดสินดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดทนอดกลั้นและจริงจังกับประเด็นนี้ โดยฟิลิปปินส์ขอแสดงความเคารพต่อคำตัดสินที่เป็นความก้าวหน้าสำคัญ และเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อการคลี่คลายกรณีพิพาทที่กำลังดำเนินอยู่ในทะเลจีนใต้

ด้านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนกล่าวว่า จีนจะอุทิศตนรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในทะเลจีนใต้ต่อไป แต่จะไม่ยอมรับสถานะหรือการกระทำใด ๆ ในอนาคต ที่อ้างคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการถาวรนี้

ชาติที่เป็นคู่กรณีกับจีนซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ ได้ออกมาแสดงความยินดีต่อคำตัดสินเช่นกัน โดยเวียดนามออกแถลงการณ์สนับสนุนคำตัดสินในครั้งนี้ และขอสนับสนุนการใช้สันติวิธี รวมถึงวิถีทางการทูตในการแก้ไขกรณีพิพาททะเลจีนใต้ โดยเวียดนามจะได้ออกแถลงการณ์ในรายละเอียด เพื่อยืนยันอธิปไตยเหนือหมู่เกาะพาราเซลและหมู่เกาะสแปรตลีย์ของตนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ไต้หวันได้แถลงไม่ยอมรับคำตัดสินในครั้งนี้ เนื่องจากตนไม่ได้มีส่วนร่วมหรือได้รับเชิญให้คำปรึกษาแก่คณะอนุญาโตตุลาการในการพิจารณาคดี

จนท.บุกยึดจดหมาย 2 พันฉบับ ปลุกระดมประชาชน หวังคว่ำร่าง รธน.

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 12 กรกฎาคม พล.ต.กิตติศักดิ์ แม้นเหมือน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32  ลำปาง นำกำลังเจ้าหน้าที่สารวัตรทหาร และเจ้าหน้าที่ทหารชุดการข่าว เดินทางไปยังที่ทำการไปรษณีย์ สาขาลำปาง  ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ ตั้งอยู่ ต.หัวเวียง องเมือง เขตเทศบาลนครลำปาง หลังได้รับแจ้งจากที่ทำการไปรษณีย์ สาขาลำปาง ว่า พบจดหมายลักษณะ ผิดปกติมีเป็นจำนวนมาก โดยเป็นซองขาว มีตราครุฑ อยู่มุมซ้ายบน จ่าหน้าซองถึงบ้านเลขที่ของผู้รับ แต่ไม่มีการระบุชื่อถึงผู้รับ และไม่ระบุชื่อของผู้ส่ง และจดหมายบางซอง ไม่ได้ปิดผนึก แต่มีการติดแสตมป์ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดออกมาดูพบมีข้อความลักษณะเบี่ยงเบนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และเชิญชวนประชาชนไม่ให้รับร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นี้ ดังนั้น ทางที่ทำการไปรษณีย์ สาขาลำปาง จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ โดยทาง พล.ต.กิตติศักดิ์ ก็ได้สั่งการประสาน นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พ.ต.อ.นิคม เครือนพรัตน์ ผู้กำกับการ สภ. เมืองลำปาง  ตลอดจนเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และหน่วยที่เกี่ยวข้องให้รีบเข้ามาตรวจสอบร่วมกัน
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ที่ทำการไปรษณีย์ สาขาลำปาง โดย  นางมณธิดา  แสนจิตต์ ตำแหน่ง พนักงานขาออก มีหน้าที่ไขตู้ไปรษณีย์ต่าง ๆ ประจำวัน โดยได้ไปไขตู้ไปรษณีย์ประจำตลาดสดออมสิน และหน้าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย , แยกศรีชุม, แยกวัดน้ำล้อม , หน้าโรงเรียนลำปางกัลยาณี ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเขตตัวเมืองลำปาง หลังจากนั้นก็ได้นำจดหมายทั้งหมด มาที่ทำการ เพื่อทำการคัดแยกสิ่งตีพิมพ์ จึงพบความผิดปกติกับจำนวนจดหมายลักษณะดังกล่าว จึงนำเรียนหัวหน้าไปรษณีย์ลำปางทันที ซึ่งเมื่อทำการนับดูพบว่ามีจำนวนกว่า 2,000 ซอง อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าหน้าที่ของ จ.ลำปาง ทุกฝ่ายเดินทางมาถึงก็ได้ทำการตรวจสอบร่วมกันอย่างละเอียด ซึ่งนอกจากพบข้อความข้างต้นแล้ว ก็ไม่พบว่า เป็นการระบุว่า เป็นการกระทำของผู้ใด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และสืบสวนหาต้นต่อในเรื่องนี้ต่อไป
พล.ต.กิตติศักดิ์ แม้นเหมือน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 ลำปาง ได้สั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง ทำการอายัดจดหมายทั้งหมดไว้ ทั้งซอง และเอกสารภายในจดหมาย และให้นำกลับไปยัง สภ.เมืองลำปาง เพื่อเก็บไว้ และจะได้ทำการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อพนักงานสอบสวนต่อไป ซึ่งจดหมาย และเอกสารดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นหลักฐานที่จะดำเนินการสืบสวน เพื่อเอาผิดต่อผู้ที่ทำขึ้น นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ทางหัวหน้าไปรษณีย์ สาขาลำปาง ซึ่งเป็นสาขาใหญ่ดูแล จ.ลำปาง ให้ประสานไปยังที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งใน จ.ลำปาง 13 อำเภอ ให้ช่วยเข้มงวด ตรวจสอบ และกวดขัน จดหมายที่มีลักษณะดังกล่าว หากพบให้ทำการอายัดไว้ห้ามนำส่งต่อโดยเด็ดขาด เพราะหากหลุดไปถึงมือประชาชน จะสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปได้
ด้าน พ.ต.อ.นิคม เครือนพรัตน์ ผู้กำกับการ สภ.เมืองลำปาง ก็ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลำปาง ทำการตรวจสอบลายนิ้วมือแฝงตามซองจดหมายดังกล่าว เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีให้ได้ นอกจากนี้ ยังสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.เมืองลำปาง ออกตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิด ตามเส้นทางต่างๆ ที่มีการหย่อนจดหมายลงตู้ไปรษณีย์ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาให้ได้โดยเร็ว
201607122038112-20110510201751
201607122038114-20110510201751
201607122038113-20110510201751

ชาวเวเนฯนับหมื่นข้ามพรมแดนซื้ออาหาร

ชาวเวเนฯนับหมื่นข้ามพรมแดนซื้ออาหาร
Tuesday, July 12, 2016 - 00:00
ชาวเวเนฯ ข้ามพรมแดนมาซื้ออาหารที่เมืองคูคูตา โคลอมเบีย
ชาวเวเนซุเอลาหลายหมื่นคนข้ามพรมแดนไปโคลอมเบียเพื่อซื้ออาหารและยารักษาโรคเมื่อวันอาทิตย์หลังมีการเปิดพรมแดน 12 ชั่วโมง
ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา นิโกลัส มาดูโร สั่งปิดพรมแดนที่ติดกับโคลอมเบียตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้วตามมาตรการป้องกันอาชญากรรม โดยระบุว่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่แทรกซึมของกำลังรบกึ่งทหารของโคลอมเบียและแก๊งอาชญากร และป้องกันไม่ให้ลักลอบขนสินค้าราคาถูกจากเวเนซุเอลาเข้าโคลอมเบีย แต่เมื่อวันอาทิตย์ทางการเปิดพรมแดน 12 ชั่วโมง
เวเนซุเอลากำลังเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรงทำให้ขาดแคลนอาหารและสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างมาก เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีรายงานว่าหญิงชาวเวเนซุเอเลาราว 500 คน ลักลอบข้ามพรมแดนเพื่อไปซื้ออาหาร
เจ้าหน้าที่โคลอมเบียเผย การเปิดพรมแดนเมื่อวันอาทิตย์มีประชาชนข้ามพรมแดนจากเมืองซาน อันโตนิโอ เดล ตาชีรา ในเวเนซุเอลา มาเมืองคูคูตาในโคลอมเบียราว 35,000 คน
ซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ในโคลอมเบียแออัดด้วยชาวเวเนซุเอลาที่มาซื้อสินค้าจำเป็นต่างๆ ได้แก่ ข้าว, น้ำมันพืช, แป้งและน้ำตาล โดยหญิงเวเนซุเอลาคนหนึ่งบอกว่า ที่นี่มีทุกสิ่งที่เธอต้องการ ส่วนหญิงอีกคนหนึ่งที่ข้ามพรมแดนมาพร้อมกับสามีและลูกเล็กอีก 2 คนให้ความเห็นว่า รัฐบาลไม่ควรปิดพรมแดน เธออยู่ที่เมืองซาน อันโตนิโอ และความเป็นจริงคือ ขณะนี้เราไม่มีอาหารให้ลูกๆ ได้กิน
ส่วนชาวเวเนซุเอลาที่ต้องการข้ามพรมแดนในช่วงเวลาที่พรมแดนปิดจะต้องมีใบอนุญาตพิเศษจากทางการ.

จาตุรนต์Fb

(ข้อมูล)
จาตุรนต์Fb
//
ต้องบอกพล.อ.ประยุทธ์ว่า เถื่อนเกินไปแล้วครับ
ตอนแรกที่คสช.กับนายกฯปูดเรื่องร่างรัฐธรรมนูญปลอมขึ้นมา ผมก็นึกว่าเพื่อดิสเครดิตเอกสารที่เห็นแย้งหรือแค่ขู่เพื่อให้นักศึกษาไม่กล้าทำอะไรต่อไป กับสร้างเรื่องให้ดูเลวร้ายน่ากลัวว่ามีคนหนุนหลังออกทุนให้ ทั้งๆที่เรื่องทั้งหมดไม่มีมูลอะไรเลย
พอมาจับนักศึกษากับผู้สื่อข่าวคราวนี้ ก็เข้าใจแผนโฉดแล้ว ว่าทำไมจู่ๆกุเรื่องร่างปลอมกันขึ้นมา
ร่างปลอมไม่เคยมี ถ้าฝ่ายทางการว่ามีจนบัดนี้ก็ไม่เห็นเอามาแสดงได้ ส่วนเอกสารที่พูดถึงกันนั้น ก็คือ เอกสารเห็นแย้งที่เขาก็บอกอยู่ชัดเจน ไม่ได้อ้างหรือหลอกลวงว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญ เนื้อหาก็ไม่มีอะไรผิดกฎหมายประชามติหรือกฎหมายอื่นใด
กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากรเองก็ยังให้ความเห็นว่าไม่มีอะไรผิดกฎหมายประชามติ
ผมเอารูป 4 รูปมาให้ดูเพื่อจะเล่าให้ฟังว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนผมไปร่วมเสวนาเรื่องรัฐธรรมนูญกับประชามติที่ห้องส่งสถานีไทยพีบีเอส ถึงเวลาทานข้าว แมน ปกรณ์ อารีกุล ก็เอาเอกสารแสดงความเห็นแย้งมาแจกผู้เข้าร่วมเสวนา กกต.สมชัยนั่งอยู่กับผม ก็ยังบอกว่าการแจกเอกสารไม่ผิดกฎหมายประชามติ ผมก็ขอเอกสารจากแมน ปกรณ์มาปึกเล็กๆเพื่อช่วยแจก ผมยังแจกให้กกต.สมชัยด้วยเลย ก่อนแจก ผมถามคุณสมชัยว่าจะขอถ่ายรูปยืนคู่กันรับส่งเอกสารได้มั้ย คุณสมชัยบอกว่าอย่าเลย เดี๋ยวใครเอาไปขยายความผิดๆ ผมถามว่าถ้าผมแจกคนที่อยู่ที่นี่ รวมทั้งคุณสมชัยๆจะรับมั้ย คุณสมชัยบอกว่ารับ ผมก็เลยแจกให้คุณสมชัย อาจารย์เอกชัย ไชยนุวัติช่วยถ่ายรูปไว้ให้ ซึ่งผมก็พูดกับคุณสมชัยแล้วว่า ถ้าไม่ได้ตั้งใจโพสต์ท่าถ่ายรูปคงไม่เป็นไรนะ คุณสมชัยก็ไม่ว่าอะไร
ที่เล่ามาเพื่อจะบอกว่าเอกสารนี้ไม่มีอะไรผิดกฎหมาย การแจกก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะการแจกเอกสาร ก็คือ การเผยแพร่ความคิดเห็นวิธีหนึ่งซึ่งได้รับการคุ้มครองตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 7 การมีเอกสารนี้ไว้ในครอบครองก็ไม่ผิดกฎหมายอะไรเช่นกัน
การที่ตำรวจไปจับนักศึกษา 3 คนที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลยกับผู้สื่อข่าวอีก1 คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ โดยตั้งข้อหาว่ากระทำผิดพ.ร.บ.ประชามติและเอาพวกเขาไปขัง ทั้งยังไม่ให้ประกันตัว จึงเป็นการทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพโดยไม่มีเหตุอันควร ลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
เข้าใจได้ไม่ยากว่าจุดมุ่งหมายของตำรวจคงไม่ใช่แค่ต้องการสกัดกั้นขัดขวางไม่ให้นักศึกษากลุ่มนี้เผยแพร่เอกสารความเห็นแย้ง แต่น่าจะมาจากระดับสูงกว่านั้นที่ต้องการยับยั้งการเผยแพร่ความเห็นต่างให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดลงไป
การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจดูจะสอดคล้องกับการกุเรื่องไปจากส่วนกลาง คือ คสช.และรัฐบาล โดยเฉพาะตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเอง
คงบอกพล.อ.ประยุทธ์ว่า เถื่อนเกินไปแล้ว คุณพร่ำพูดอยู่ตลอดว่าให้ทุกคนทำตามกฎหมาย แต่ที่ทำนี่กลับไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายอะไรเลย นึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องดูตัวบทกฎหมายอะไร อยากจะจับใครไปขังเพื่อขู่ใครก็ทำกันตามใจชอบ แถมยังพูดส่งเดชเรื่อยเปื่อยอยู่เสมอว่าเพื่อรักษากฎหมาย
ถ้าร่างรัฐธรรมนูญของพวกคุณดีจริง ทำไมถึงกลัวความเห็นต่างขนาดนี้
ถึงแม้จะต้องพบเห็นเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผมก็ไม่เสนอให้ใครทำอะไรที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเพื่อให้เข้าล็อคเข้าทางผู้มีอำนาจหรอกครับ
เขากำลังจะหาเหตุล้มประชามติกันอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
ก็คงต้องสู้ทางกฎหมายกันไป ช่วยกันทำให้คนไทยและชาวโลกเห็นความไม่เป็นธรรม ช่วยกันเรียกร้องให้หยุดการคุกคามย่ำยีนักศึกษา ประชาชนผู้บริสุทธิ์ และสื่อมวลชนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่
การที่จะหยุดการใช้อำนาจตามอำเภอใจแบบนี้ มีวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการและชอบธรรมอย่างยิ่งอยู่ทางหนึ่ง คือ การแสดงออกในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ครับ อย่าไปรับรองการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมและช่วยกันบอกผู้มีอำนาจว่า เลิกทำอะไรตามอำเภอใจได้แล้ว
……………….
‪#‎ประชามติ‬ ‪#‎ความเห็นแย้ง‬ ‪#‎แมนปกรณ์‬ ‪#‎ขบวนการประชาธิปไตยใหม่‬
‪#‎จาตุรนต์ฉายแสง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร:ตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ เลือกหุ้นปันผล - P/E ต่ำ

ตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ เลือกหุ้นปันผล - P/E ต่ำ
12 ก.ค. 59
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตลาดหุ้นไทยขยับอีกครั้ง หลังปัจจัย Brexit ทำงานเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้า-ออกมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในประเทศยังรุมเร้ารอบด้าน เศรษฐกิจไทยโตช้า ตลาดหุ้นสหรัฐรอเฟดขยับดอกเบี้ยขึ้น กูรูด้านวีไอ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” แนะลดพอร์ตลงทุนถือเงินสดรอจังหวะ เลือกหุ้นพี/อีต่ำ ปันผลเด่น ธุรกิจมั่นคงสูง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิวรากร นักลงทุนแนววีไอ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในลักษณะไซด์เวย์ มีความผันผวนและลงทุนได้ยากขึ้น ปัจจุบันเขาได้ลดพอร์ตลงทุนลง โดยถือเงินสดไว้ราว 40% ของพอร์ตลงทุน ซึ่งเป็นช่วงที่ถือเงินสดไว้มากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงปกติที่เคยถืออยู่ 0.5% เนื่องจากมองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามากระทบตลาดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เศรษฐกิจ จีน ญี่ปุ่น และยุโรปที่ยังชะลอตัวอยู่


ทั้งนี้มีเพียงเศรษฐกิจของสหรัฐที่ดีขึ้น แต่ก็มีแนวโน้มจะปรับดอกเบี้ยขึ้นในอนาคต ทำให้เม็ดเงินต่างชาติพร้อมโยกกลับเข้าไปยังตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งนักลงทุนจะต้องจับตามองเพราะจะเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการลงทุนของโลกที่ส่งผลทางอ้อมกับไทย และกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนได้ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในระดับต่ำมาหลายปีจึงไม่มีเหตุจูงใจทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามา ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังเติบโตช้า

“อาการของหุ้นที่ขึ้นไปได้ไม่ไกล ขึ้นไปสักพักก็ลงหรือลงไปสักพักเดี๋ยวก็ขึ้น อาการแบบนี้ผมเรียกว่าไซด์เวย์เพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน พื้นฐานเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกไม่ค่อยดีเมื่อหุ้นไม่ไปไหนและปัจจัยเสี่ยงเยอะนักลงทุนควรถือเงินสดไว้รอจังหวะที่หุ้นตกแรงๆ ค่อยเข้าไปซื้อสะสมหุ้นจะดีกว่า”

เขาบอกว่า หุ้นหลายตัวที่ถืออยู่เฉลี่ย 10 ปี ให้ผลตอบแทนเป็น 10 เท่า บางตัวถือมากกว่า 10 ปี หลายตัวราคาหุ้นปรับขึ้นมามากแล้ว เขาจึงตัดสินใจขายหุ้นออกมาหลายตัว อาทิ กลุ่มโมเดิร์นเทรดค้าปลีกอย่าง BIGC เป็นต้น ประกอบกับในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โมเดิร์นเทรดบางกลุ่ม เช่น ไฮเปอร์มาร์เก็ตขยายตัวช้าอย่างชัดเจนจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้การขยายสาขาเริ่มอิ่มตัว

ปัจจุบันสัดส่วนราคาต่อกำไร (พี/อี) หุ้นไทยสูงถึง 20 เท่าต้องระมัดระวังในการลงทุนเพราะมองว่าหุ้นมีโอกาสจะลงมากกว่าปรับขึ้น จึงต้องรอจังหวะและเลือกเล่นหุ้นที่ปันผลดี และธุรกิจมีความมั่นคงสูง ถึงแม้กำไรจะไม่ค่อยโตหรือโตช้า อาทิ กลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่ปันผลสูง 3-4% ดีกว่าฝากเงิน, กลุ่มค้าปลีกบางตัวเริ่มฟื้นตัวบ้างจากการบริโภค ส่วนกลุ่มสื่อสารแม้กำไรลดจริง แต่ทุกคนยังใช้มือถือ และกลุ่มโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ราคาปรับขึ้นไปมากแล้ว

“ตอนนี้หุ้นที่โตเร็วในเมืองไทยคือหุ้นตัวเล็กๆบางตัว พี/อี สูงมาก 40-50 เท่า ซึ่งโตเร็วแต่ซื้อไม่ลงเพราะขึ้นได้ด้วยเม็ดเงิน และเมื่อเม็ดเงินหายไปหุ้นจะตกลงมาแรง นาทีนี้จึงมองหาหุ้นที่ P/E ต่ำกว่า 10 เท่าเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยโตหรือโตช้าๆ หรือโตเล็กน้อยก็ยังดี แต่จ่ายปันผลดี ธุรกิจมีความมั่นคงสูง”

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้กระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามด้วยเพราะเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่ระดับอินเตอร์ เช่น ซัมซุง แอลจี และโซนี่เริ่มย้ายฐานการผลิตจากไทยไปบ้างแล้ว โดยเฉพาะสินค้าใหม่ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตที่มีแรงงานที่ถูกคุณภาพดี และส่งออกสะดวก

“ในช่วงปีแรกที่เข้าๆ ไปลงทุนแม้จะไม่มีกำไรจากการลงทุน แต่ได้ผลตอบแทนปันผลมาประมาณ 10% ซึ่งเป็นระดับที่พอใจ และหลังจากลงทุนมาได้ 2 ปีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็น 30 กว่า% แบ่งเป็นกำไรจากราคาหุ้น 20% และเงินปันผล 10 กว่า%”
- See more at: http://www.moneychannel.co.th/columnist_blog_detail/133#sthash.I4Wb3pt7.dpuf

กรณีพิพาทบนหมู่เกาะสแปรตลีย์:

กรณีพิพาทบนหมู่เกาะสแปรตลีย์:

ข่าวใหญ่ล่าสุดวันนี้ คงไม่พ้นมะกันให้ศาลพิจารณาความขัดแย้งถาวร ( Permanent Court of Arbitration) ของสหประชาชาติ ประจำกรุงเฮก ได้พิจารณาตัดสินคดีหมู่เกาะสแปรตลีย์ว่าเป็นของจีนดังที่จีนอ้างหรือไม่? จีนมีหลักฐานทางโบราณคดีเป็นเครื่องพิสูจน์ทราบว่าชาวจีนเคยอาศัยอยู่และตลอดระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ ชาวจีนก็แวะเวียนไปหาปลาในบริเวณเกาะดังกล่าวนั้นเป็นประจำมาหลายศตวรรษแล้ว แต่มะกันจะไม่ยอมจีนให้ได้ จึงซูเอี๋ยกับศาล ในที่สุด ศาลก็พิพากษาออกมาว่าจีนอ้างเป็นเจ้าของไม่ได้ คำพิพากษานี้เปิดทางให้ฟิลิปปินส์ชนะ แน่นอนครับ ทั้งยูเอ็นและมะกันคงวางแผนให้จีนกัดกับฟิลิปปินส์ต่อ แต่ผู้นำจีนและผู้นำฟิลิปปินส์คงจะคุยกันแบบเอเซีย น่าจะตกลงกันได้
เห็นลีลามะกันหรือยังครับ? เวลาจะจัดการคนอื่นก็อ้างกฎหมาย แต่ตนเองก็ไม่ได้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้ารัฐบาลมะกันอยู่ในกรอบของกฎหมายจริง
๑.มะกันก็ไม่มีสิทธิ์ไปอ้างเอาหมู่เกาะฮาวาย ดังนั้น ที่มะกันยกทัพไปยึดจึงถือได้ว่าเป็นโมฆะ ๒.อดีตคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลมะกันที่นำกองทัพไปบุกอิรัก ปล้นทองคำและน้ำมันจากอิรักต้องถูกตัดสินประหารชีวิต และรัฐบาลมะกันต้องชดใช้ความเสียหายที่ตนเองก่อขึ้น เพราะข้ออ้างที่ว่าอิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นจริง ถ้ายังมีความเป็นผู้เป็นคนอยู่ รัฐบาลมะกันและผู้ดีอย่างอังกฤษอย่างน้อยต้องขอโทษและต้องชดใช้แก่ชาวอิรัก ๓.รัฐบาลมะกันที่ส่งทหารไปบุกซีเรียขณะนี้ต้องถูกสหประชาชาติสั่งลงโทษเพราะเข้าไปอย่างผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เจ้าของประเทศคือซีเรียไม่ต้องการให้เข้าไป ๔.รัฐบาลมะกันที่ส่งสายลับไปคว่ำรัฐบาลชาติต่างๆ เช่น ยูเครน ก็ต้องถูกสหประชาชาติลงโทษเช่นกัน
จะเห็นว่าเวลาอ้างกฎหมาย อ้างเพื่อเอาไปลงโทษชาติอื่น แต่กับตัวเอง มะกันไม่เคยมองกฎหมายระหว่างประเทศในสายตาเลย
12 กรกฎาคม 2559
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
*ถ้าจะแชร์ โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจนและหากจะวิจารณ์ โปรดใช้คำสุภาพเพื่อป้องกันการละเมิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดใช้ภาษาถูกต้องตามหลักภาษาไทยด้วยครับ ผมพยายามลบข้อความวิจารณ์ที่หยาบและสะกดผิดออกทุกครั้งที่เห็น ในกรณีที่วิจารณ์ไม่เข้าเรื่องหรือหยาบเกินไปบ่อยๆ ผมอาจจะบล็อคไม่ให้วิจารณ์อีกนะครับ

คำแถลงการณ์จุดยืนของจีนในประเด็นทะเลจีนใต้ ฉบับสมบูรณ์

คำแถลงการณ์จุดยืนของจีนในประเด็นทะเลจีนใต้ ฉบับสมบูรณ์
ในวันนี้ (12 ก.ค.) รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศแถลงการณ์เกี่ยวกับอำนาจในอธิปไตยและผลประโยชน์ในทะเลจีนใต้ของจีนที่มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศอื่น ยกระดับสันติภาพและความมั่นคง โดยมีถ้อยความดังนี้

1. หมู่เกาะในทะเลจีนใต้ของจีนนั้นประกอบไปด้วยหมู่เกาะตงซา หมู่เกาะซีซา หมู่เกาะจงซา และหมู่เกาะหนานซา เห็นได้จากที่ชาวจีนเข้ามาในภูมิภาคทะเลจีนใต้ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน โดยชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่ค้นพบ ตั้งชื่อ สำรวจและแสวงหาผลประโยชน์ให้หมู่เกาะทะเลจีนใต้และน่านน้ำใกล้เคียง อีกทั้งยังเป็นชนชาติแรกที่แสดงอธิปไตยและอำนาจบนพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ด้วยสันติวิถี และมีประสิทธิภาพ
หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง จีนได้ฟื้นฟูและแสดงอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทะเลจีนใต้ ซึ่งถูกญี่ปุ่นยึดครองอย่างผิดกฎหมายในช่วงสงครามบุกรุกจีน เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในหมู่เกาะเหล่านี้ เมื่อปี 1947 รัฐบาลจีนจึงปรับและวาดแผนที่ของหมู่เกาะทะเลจีนใต้ขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตามแผนที่นี้ถูกเปิดเผยต่อชาวโลกในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1948

2. ตั้งแต่จีนสถาปนาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1949 จีนได้เน้นย้ำถึงอำนาจในอธิปไตย และผลประโยชน์ทางทะเลของจีนในทะเลจีนใต้มาโดยตลอด ซึ่งจะเห็นได้จากเอกสารทางกฎหมายต่างๆ อาทิเช่น คำแถลงการณ์ของรัฐบาลจีนเกี่ยวกับอาณาเขตทางทะเลของจีนเมื่อปี 1958 กฎหมายว่าด้วยอาณาเขตทางทะเลของจีนและบริเวณใกล้เคียงเมื่อปี 1992 รวมถึงกฎหมายว่าด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษและไหล่ทวีปเมื่อปี 1998 อันเป็นการยืนยันว่าจีนมีอำนาจในอธิปไตยและผลประโยชน์ทางทะเลในทะเลจีนใต้

3. สืบเนื่องจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวจีน การยึดมั่นอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลจีน อีกทั้งกฎหมายชาติจีน และกฎหมายระหว่างประเทศ ที่รวมไปถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล จีนจึงมีอำนาจในอธิปไตยและผลประโยชน์บนดินแดน ทั้งยังมีสิทธิทางทะเลในทะเลจีนใต้รวมไปถึงสิทธิอื่นๆดังนี้
i. จีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะในทะเลจีนใต้ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่เกาะตงซา หมู่เกาะซีซา หมู่เกาะจงซา และหมู่เกาะหนานซา
ii. จีนมีน่านน้ำภายใน ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง บนเกาะในทะเลจีนใต้
iii. จีนมีเขตเศรษฐกิจและไหล่ทวีปบนเกาะในทะเลจีนใต้
iv. จีนมีสิทธิในเชิงประวัติศาสตร์ในทะเลจีนใต้
ซึ่งจุดยืนข้างต้นมีความสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมไปถึงสิทธิในทางปฏิบัติ

4. ตลอดเวลาที่ผ่านมาจีนคัดค้านอย่างหนักแน่นมาตลอดในเรื่องการรุกล้ำและการเข้าครอบครองเกาะหรือแนวปะการังบางแห่งในหมู่เกาะหนานซาอย่างผิดกฏหมาย รวมไปถึงการละเมิดสิทธิและผลประโยชน์ทางทะเลที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของจีนโดยบางประเทศ ซึ่งจีนพร้อมเสมอที่จะแก้ปัญหาข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องอย่างสันติ ด้วยวิธีการเจรจาและการปรึกษาหารือโดยตรง ระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องบนพื้นฐานของการเคารพข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์รวมไปถึงความเกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ในช่วงที่รอการตัดสินสุดท้าย จีนก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างร่วมกับประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการจัดการต่างๆ รวมไปถึงการพัฒนาร่วมกันในพื้นที่ทางทะเลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้รับชัยชนะทั้งสองฝ่าย และเพื่อร่วมกันรักษาความสงบสุขและความมั่นคงในทะเลจีนใต้

5. จีนเคารพและส่งเสริมเสรีภาพการเดินเรือและการบินในทะเลจีนใต้ของทุกฝ่ายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งยังพร้อมที่จะร่วมมือกับประเทศชายฝั่งตลอดจนประชาคมโลกเพื่อรับประกันความปลอดภัย และไม่จำกัดการเดินเรือขนส่งระหว่างประเทศในทะเลจีนใต้

."มหาดไทย"ฟันอาญา"สุขุมพันธุ์"ปมไฟ39.5ล้าน

ด่วนที่สุดถึงกทม.!!!..."มหาดไทย"ฟันอาญา"สุขุมพันธุ์"ปมไฟ39.5ล้าน ขรก.โดนเชือดเป็นแถวๆ(รายละเอียด)
2016-07-12 09:29:20

นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ในฐานะรักษาราชการแทน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ มท0208.2/1679 ลงวันที่ 30 มิ.ย.2559 ถึงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม. ) พร้อมแนบสำเนาหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลับมาก ด่วนที่สุด ที่ ตผ0019/0461 ลงวันที่ 10 พ.ค.2559 โดยในหนังสือระบุว่า ด้วยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแจ้งว่าคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ในการประชุมครั้งที่ 26/2559 เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2559 มีมติเห็นชอบด้วยกับผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีโครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 และมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินพ.ศ.2542 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการทางอาญา วินัยและละเมิด เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายดังกล่าว ประกอบมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเร่งรัด ติดตามเกี่ยวกับกรณีเงินขาดบัญชี หรือเจ้าหน้าที่ทุจริต พ.ศ.2546

ในหนังสือระบุต่อว่า จึงให้กรุงเทพมหานคร ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้เป็นไปตามมติของ คตง. ดังนี้ 1.ดำเนินการทางอาญากับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. น.ส.ปราณี สัตยประกอบ ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว นายธวัชชัย จันทร์งาม ผู้อำนวยการกองการท่องเที่ยว คณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ ประกอบด้วย 1.นายสิโรตม์ แสงเจริญ นักพัฒนาการท่องเที่ยวชำนาญการ 2.น.ส.วันทนา เตชะสุวรรณา นักพัฒนาท่องเที่ยวชำนาญการ 3.นายพงษ์พันธ์ ธัญญเจริญ นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ 4.นายมรกต ภูมิพานิช นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ 5.นายสิทธิโชค อภิบาล นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ บริษัท จิปาถะ ไอเดีย จำกัดโดยนายคฑารัฐ สันธิสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม เอ็ม อี.อี.จำกัดโดยนายอนุชิต พลวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัดโดยน.ส.กันติกานต์ อินทศร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สรรค์สร้าง จำกัดโดยนายวีระศักดิ์ ศิริจันทร์เพ็ญ กรรมการผู้จัดการ และน.ส.สิริพร ชาวปราการ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง


ในหนังสือระบุด้วยว่า 2.ดำเนินการทางวินัยกับน.ส.ปราณี สัตยประกอบ ผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว นายธวัชชัย จันทร์งาม ผู้อำนวยการกองการท่องเที่ยว คณะกรรมการกำหนดทีโออาร์ ประกอบด้วย 1.นายสิโรตม์ แสงเจริญ นักพัฒนาการท่องเที่ยวชำนาญการ
 2.น.ส.วันทนา เตชะสุวรรณา นักพัฒนาท่องเที่ยวชำนาญการ
 3.นายพงษ์พันธ์ ธัญญเจริญ นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ
4.นายมรกต ภูมิพานิช นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ
5.นายสิทธิโชค อภิบาล นักพัฒนาท่องเที่ยวปฏิบัติการ

จากที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ตามผลสอบที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ส่งสำนวนให้พิจารณาแล้ว เห็นว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวกรวม 13 ราย มีพฤติการณ์เชื่อได้ว่า เป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เงินและทรัพย์สินของแผ่นดิน และเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 จึงมีมติเห็นชอบที่จะดำเนินการเอาผิดกับผู้กระทำความผิดทั้งหมดแล้ว พร้อมกับส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการไต่สวนต่อ รวมถึงเตรียมเสนอเรื่องให้กับศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 พักราชการไว้ก่อน

สำหรับโครงการค่าใช้จ่ายในการประดับตกแต่งไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Motif of Light) บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด เป็นผู้ชนะการประกวดราคา ด้วยวงเงิน 39,500,000 บาท ทำสัญญาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2558 โดยโครงการดังกล่าวเริ่มประกาศร่างทีโออาร์เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2558 ระบุเป้าหมายเพื่อจัดประดับตกแต่งไฟฟ้าในรูปแบบและเทคนิคพิเศษ (Motif of Light) ที่นำเอารูปแบบของลวดลายประยุกต์ที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำ ท้องฟ้า สวน และป่าไม้มาจัดแสดงด้วยระบบแสงสีที่สวยงาม ณ บริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน ในระหว่างเดือนธันวาคม 2558 ถึงมกราคม 2559 ระหว่างเวลา 18.00-24.00 น. ทั้งนี้ ทีโออาร์โครงการดังกล่าว กำหนดราคากลาง 40 ล้านบาท โดยมีเอกชนสนใจเข้าซื้อเอกสารการประมูลจำนวน 9 ราย ประกอบไปด้วย บริษัท บางกอก แมส จำกัด, บริษัท ยูนิควาไนเซอร์ จำกัด, บริษัท จิปาถะ ไอเดีย จำกัด, บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด, บริษัท เจ เอส เพรสทีจ จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไอ สไมล์ แทรเวิล, บริษัท สรรค์สร้าง จำกัด, บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน), บริษัท พีแอลเอ จำกัด แต่มีผู้สนใจยื่นซองเอกสาร 2 ราย คือ บริษัท คิวริโอ ทัวร์ แอนด์ แทรเวิล จำกัด และบริษัท สรรค์สร้าง จำกัด ซึ่งผ่านการพิจารณาคุณสมบัติและเทคนิคทั้งคู่



cr.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

เฮียชูเคยแฉไว้ซื้อขายตำแหน่งตำรวจ

เฮียชูเคยแฉไว้ซื้อขายตำแหน่งตำรวจ

สารวัตรก็7แสนไปแล้ว!?!...ตำแหน่งอื่นล่ะ เห็นตัวเลขแล้วช็อค จำได้มั๊ย"ชูวิทย์"แฉโหด วิ่งเต้นกันที่เงิน เงิน เงิน ทั้งนั้น

หลังจากที่มีรายงานว่าเมื่อวันที่  5 กรกฎาคม พ.ต.ท.หญิง จิราพร มณฑลทอง พนักงานสอบสวน (พงส.) สน.บางซื่อ รับแจ้งความจาก ร.ต.อ.ชาญชาย เย็นสุข อายุ 39 ปี ว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2559 ได้พบกับ ร.ต.อ.ชนินทร์ธัช รัตน์ชิโนตรัย อายุ 38 ปี ซึ่งในวันและเวลาดังกล่าวผู้ต้องหา (ร.ต.อ.ชนินทร์ ธัช) อ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ สามารถวิ่งเต้นให้ผู้กล่าวหาเลื่อนตำแหน่งเป็นสารวัตรได้

รายงานระบุโดยภรรยา ร.ต.อ.ชาญชายได้มอบเงินจำนวน 700,000 บาทเป็นการวิ่งเต้น แต่เมื่อมีคำสั่งแต่งตั้งออกมา ผู้กล่าวหาไม่ได้รับการแต่งตั้ง ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงมาร้องทุกข์ให้ดำเนิน
คดีตามกฎหมาย
///
ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2556 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "ชูวิทย์ I'm No.5" กรณีการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจในตำแหน่งต่างๆ ว่า ทุกครั้งที่มีการโยกย้ายจะมีการวิ่งเต้นจ่ายเงินสูงถึง 8 หลัก ขึ้นอยู่กับพื้นที่ อำนาจ หน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง โดยเฉพาะถ้าเป็นตำแหน่งผู้กำกับของโรงพักเกรดเอ จะต้องจ่ายเงินถึง 30 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ได้ตั้งข้อสงสัยว่า ถ้ายังมีการซื้อขายตำแหน่งของตำรวจอยู่ คำขวัญของตำรวจที่ว่า "สุขเถิดปวงประชา ตัวข้าจะคุ้มภัย" จะยังใช้ได้อยู่อีกหรือไม่

 ตำแหน่งร้อนๆ...ขายด่วน

 "เร่เข้ามา...สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามา ไม่ต้องตะเบ๊ะ เรามีตำแหน่งร้อนๆไว้ขายให้ท่าน ตั้งแต่ สว... ผกก.... ผบก... ในราคาโปรโมชั่น ด่วน! ก่อนสิ้นฤดูกาลซื้อขาย"

 ทุกครั้งที่มีการโยกย้ายตำรวจ ตำแหน่งต่างๆจะถูกกล่าวถึงด้วยจำนวนเงินซื้อขายที่สูงถึง 8 หลัก ขึ้นอยู่กับพื้นที่ อำนาจ หน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง

 โรงพักเกรดเอ ผกก. 30 ล้าน เกรดบี 20 ล้าน เกรดซี 10 ล้าน ส่วน สว. 5 ล้าน

 รองผกก. ขึ้น ผกก. ใน บชก. 5-10 ล้าน ข่าวการซื้อขายตำแหน่งมีให้ได้ยินกันทุกครั้ง


ถ้าตำรวจไม่จ่ายเงินซื้อตำแหน่ง พวกเขาจะสามารถย้ายไปลง "โรงพักเกรดเอ" หรือ "โรงพักทองคำ" ด้วยความสามารถของตัวเองได้หรือไม่?

ถ้าตำรวจไม่จ่ายเงินซื้อตำแหน่ง พวกเขาจะยังสามารถ "ยึดเก้าอี้" ในตำแหน่งเดิมได้หรือไม่?

ถ้าตำรวจไม่จ่ายเงินซื้อตำแหน่ง พวกเขาจะสามารถได้รับการ "โปรโมท" ในตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วยความสามารถ หรือความอาวุโสของตัวเองได้หรือไม่?

 ถ้าตำรวจมีการซื้อขายตำแหน่ง อาชญากรสามารถจ่ายเงิน "เคลียร์คดี" หรือ "ทำสำนวนให้อ่อน" ได้หรือไม่?

 ถ้าตำรวจสามารถซื้อขายตำแหน่งเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่สูงขึ้น ประชาชนสามารถจ่ายเงินเพื่อไม่ให้ถูกจับได้หรือไม่?

 ทำไมตำแหน่งต่างๆถึงมีการ "ตั้งราคา" สูงถึงเพียงนั้น และทำไมถึงจะต้องมี "ตั๋ว" ของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นจริง ตำรวจจะสามารถดำรงความยุติธรรม และปกป้องประชาชนได้หรือ?

 ตราบใดที่การซื้อขายตำแหน่งของตำรวจยังคงอยู่ คำขวัญของตำรวจที่ว่า "สุขเถิดปวงประชา ตัวข้าจะคุ้มภัย" จะยังใช้ได้อยู่อีกหรือ?

ที่มา : http://headshot.tnews.co.th/contents/195813/

เบื้องหลัง! กก.สรรหาชง‘เรวัต’นั่งผู้ตรวจฯอีกรอบ-จับตา สนช.กลืนน้ำลาย?

วันพุธ ที่ 06 กรกฎาคม 2559
“…คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไม ‘หมอเรวัต’ ถึงกลับเข้ามาสมัครได้อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุม สนช. ต่าง ‘ส่ายหน้า’ ไม่เอาไปแล้ว และที่สำคัญคือ ยังได้รับ ‘ความไว้วางใจ’ จากคณะกรรมการสรรหาฯ ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ได้อีก ว่ากันว่า คนหนุนหลังให้เข้ามานั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้คือ ‘บิ๊กในสภา’ และ ‘บิ๊กจากฝ่ายทหาร’ ?...”
PIC rewatt 6 7 59 1
กลายเป็นเรื่องชวนสงสัยอีกครั้ง!
กรณีที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินจำนวน 6 คน ประกอบด้วย 1.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานฯ 2.นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ 3.นายปิยะ ปะตังทา ประธานศาลปกครองสูงสุด 4.นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 5.พล.ท.ศิลปชัย สรภักดี บุคคลที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือก และ 6.นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์ บุคคลที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดคัดเลือก เป็นกรรมการ
มีมติเห็นชอบให้ ‘นพ.เรวัต วิศรุตเวช’ อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ และอดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน เข้ามานั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอีกหน !
ภายหลังก่อนหน้านี้คณะกรรมการสรรหาชุดดังกล่าวเคยมีมติเห็นชอบให้ ‘หมอเรวัต’ เป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่เมื่อเข้าสู่การพิจารณาในชั้น สนช. มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อตรวจสอบประวัติ ก่อนจะประชุมลับกันร่วม 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นมีการลงคะแนนลับ ปรากฏว่าไม่ได้คะแนนเสียงข้างมาก จึงไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน
ว่ากันว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ ‘หมอเรวัต’ อดนั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้ เนื่องจากมีสมาชิก สนช. หลายคนสงสัยประเด็นที่เคยเปลี่ยนชื่อและนามสกุล โดยบางชื่อเคยปรากฏในคดีที่ฟ้องร้องกันอยู่ รวมถึงอาจมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองเกี่ยวกับ ‘ซีกสีแดง’ เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา รมช.พาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) และที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของนายสมศักดิ์ เกีรยติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ก่อนหน้านี้
ไม่ว่าข้อเท็จจริงข้างต้นจะเป็นอย่างไร แต่ประเด็นที่น่าสงสัยคือ ไฉน ‘หมอเรวัต’ จึงสมัครเข้ามาในการคัดเลือกรอบสองได้อยู่อีก และทำไมคณะกรรมการสรรหาฯ จึงมีมติเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินอีกครั้ง ?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org มีคำตอบ ดังนี้
แหล่งข่าวจาก สนช. ระบุว่า แคนดิเดตที่จะนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินคราวนี้ มีอยู่ 2 คน ได้แก่ 1.นพ.เรวัต 2.นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดีคณะกรรมการสรรหาฯ ต้องโหวตกันถึง 30 ครั้ง จึงจะได้ชื่อของ นพ.เรวัต
สำหรับการโหวตนั้น 29 ครั้ง คะแนนเสียงออกมาเท่ากัน 3 ต่อ 3 ได้แก่ ฝ่ายสนับสนุน นพ.เรวัต คือ นายพรเพชร พล.ท.ศิลปชัย และนายปิยะ ส่วนฝ่ายสนับสนุนนางเสาวนีย์ ได้แก่ นายวีระพล นายนุรักษ์ และนายอัครวิทย์
กระทั่งในการโหวตครั้งที่ 30 ปรากฏว่า คณะกรรมการสรรหาฯ อาจจำเป็นต้องใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 206 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติไว้เพื่อเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ทรงคุณวุฒิ แต่สามารถนำมาใช้สรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินได้โดยอนุโลม 
โดยมาตรา 206 วรรคท้าย ระบุว่า กรณีไม่อาจสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิได้ภายในเวลาที่กำหนด ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแต่งตั้งผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 3 คน และให้ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดแต่งตั้งตุลาการในศาลปกครองสูงสุดจำนวน 2 คน เป็นกรรมการสรรหาเพื่อดำเนินการแทน
ทำให้นายนุรักษ์ ซึ่งค้านไม่เอา นพ.เรวัต มาตลอด 29 ครั้ง ‘กลับลำ’ เลือก นพ.เรวัต แทน ส่งผลให้มติออกมาเป็น 4 ต่อ 2 ได้แก่ ฝ่ายสนับสนุน นพ.เรวัต คือ นายพรเพชร พล.ท.ศิลปชัย นายปิยะ และนายนุรักษ์ ส่วนฝ่ายสนับสนุนนางเสาวนีย์ คือ นายวีระพล และนายอัครวิทย์
ทั้งหมดคือเบื้องลึก-ฉากหลังในวงประชุมคณะกรรมการสรรหาฯ ที่ท้ายสุดมีมติเลือก ‘หมอเรวัต’ ให้กลับเข้ามาขึ้นแท่นนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอีกครั้ง ภายหลังก่อนหน้านี้ถูกมติ สนช. ไม่เห็นชอบ
คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไม ‘หมอเรวัต’ ถึงกลับเข้ามาสมัครได้อีกครั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่ประชุม สนช. ต่าง ‘ส่ายหน้า’ ไม่เอาไปแล้ว และที่สำคัญคือ ยังได้รับ ‘ความไว้วางใจ’ จากคณะกรรมการสรรหาฯ ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งนี้ได้อีก 
ว่ากันว่า คนหนุนหลัง ‘หมอเรวัต’ ให้เข้ามานั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้คือ ‘บิ๊กในสภา’ และ ‘บิ๊กจากฝ่ายทหาร’ ?
ข้อสั่งเกตอีกประการหนึ่งคือ นายวีระพล ประธานศาลฎีกา และ พล.ท.ศิลปชัย ซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ต่างลงคะแนนเสียงต่างกันทั้งที่มาจากหน่วยงานเดียวกัน เช่นเดียวกันกับที่ นายปิยะ ประธานศาลปกครองสูงสุด และนายอัครวิทย์ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ก็โหวตต่างคนละฝ่ายเช่นกัน
นอกจากนี้เหตุใด กรรมการสรรหาฯทั้ง 3 ราย (นายพรเพชร นายปิยะ พล.ท.ศิลปชัย) จึงยังมั่นใจเลือก นพ.เรวัต เหมือนตอนสรรหาครั้งแรก หากเลือกแล้วที่ประชุม สนช. ลงมติไม่ผ่านอีก จะรับผิดชอบอย่างไร ?
โดยเฉพาะนายพรเพชร ที่เป็นถึงประธาน สนช. ทำไมถึงไม่ฟังเสียงสมาชิก สนช. คนอื่นบ้าง เพราะตามมารยาทแล้วไม่ควรเลือกคนที่ไม่ผ่านมติของ สนช. กลับเข้ามาอีก !
ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตาดูกันไปต่อจากนี้คือ เมื่อกรณีนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้น สนช. จะต้องมีการตั้ง กมธ.ตรวจประวัติฯอีกครั้ง ก่อนจะบรรจุเข้าสู่วาระประชุมเพื่อลงมติ
จะมี สนช. รายไหนกล้า ‘กลืนน้ำลาย’ ตัวเอง โหวตให้ผ่านหรือไม่ ต้องรอลุ้นกันอีกครั้ง !

ล้วงยุทธการดัน‘หมอเรวัต’นั่งผู้ตรวจฯ-ผล ปย.คสช.-นักการเมืองหญิงชื่อดัง?



วันพฤหัสบดี ที่ 07 กรกฎาคม 2559
“…เชื่อกันว่าสาเหตุที่ ‘หมอเรวัต’ จ่อคิวได้ตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากเป็น ‘เด็กฝาก’ ของ ‘อดีตนักการเมืองหญิง’ รายหนึ่งที่กำลังโด่งดังเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ในขณะนี้ โดยอดีตนักการเมืองหญิงรายดังกล่าว ได้ฝากฝัง ‘หมอเรวัต’ ไว้กับ ‘บิ๊ก คสช.’ รายหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยังรุ่งเรืองทางการเมือง ?...”
PIC dodome 7 7 59 1
“ถือเป็นครั้งแรกของ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) หรือสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ที่คณะกรรมการสรรหามีการเสนอชื่อบุคคลเดิม ที่ถูกสภาไม่ให้ความเห็นชอบกลับมาอีกครั้ง”
เป็นคำยืนยันตอนหนึ่งจากปาก ‘กล้านรงค์ จันทิก’ อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสมาชิก สนช. ที่ ‘ข้องใจ’ ถึงเหตุผลที่คณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน มีมติเสนอชื่อ นพ.เรวัต วิศรุตเวช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดินอีกครั้ง ภายหลังก่อนหน้านี้ สนช. มีมติไม่เห็นชอบ 66 เสียง เห็นชอบ 66 เสียง และงดออกเสียง 24 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุม 156 คน ซึ่งตรงนี้นายกล้านรงค์ เห็นว่า การงดออกเสียงก็คือการไม่เห็นด้วย ดังนั้นยอดรวมจากผู้ไม่เห็นด้วยจะพุ่งถึง 90 ต่อ 66 เลยทีเดียว
“ขอฝากให้คณะกรรมาธิการตรวจสอบลงลึกในประวัติการทำงานของผู้ได้รับการเสนอชื่อ ทั้งจริยธรรม ความประพฤติและการกระทำ เพื่อประโยชน์ของผู้ได้รับการเสนอชื่อ และถ้าตรวจสอบไม่ลึกพอแล้ว สนช. มีคำถามที่ กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ไม่ได้สอบถามอาจจะเกิดความไม่สบายใจแก่สมาชิกในการลงคะแนน เพราะจะต้องลงมติด้วยความรู้สึกรับรู้ข้อเท็จจริง และเหตุผลอย่างแท้จริงบนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ผมเห็นชื่อ กมธ. ทุกท่านแล้วเชื่อในเกียรติคุณของพวกท่าน และเชื่อว่าจะสามารถตรวจสอบประวัติได้อย่างลึกซึ้ง และตอบคำถามของสมาชิกได้” นายกล้านรงค์ กล่าว
สำหรับเบื้องหลังการเสนอชื่อ ‘หมอเรวัต’ เข้านั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอีกครั้งนั้น คณะกรรมการสรรหาฯ ต้องโหวตกันถึง 30 รอบ โดยในรอบที่ 30 ‘หมอเรวัต’ ก็เฉือนนางสาวนีย์ อัศวโรจน์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยคะแนน 4 ต่อ 2 ทั้งที่ 29 ครั้งที่ผ่านมาเสนอกัน 3 ต่อ 3 ตลอด โดยผู้ที่กลับมติคือ นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ขั้นตอนปัจจุบันขณะนี้คือได้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม สนช. แล้ว โดยมีการตั้ง กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ขึ้นมา 17 คน ได้แก่ 1.พล.อ.อ.อาคม กาญจนหิรัญ กมธ.การเมือง 2.นางนิพัทธา อมรรัตนเมธา กมธ.การบริหารราชการแผ่นดิน 3.พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ กมธ.การกฎหมายฯ 4.นายนิรวัชช์ ปุณณกันต์ กมธ.การปกครองท้องถิ่น 5.นายวิทวัส บุญญสถิต กมธ.การศึกษาและกีฬา 6.พล.อ.อ.ศิวเกียรติ ชเยมะ กมธ.การเศรษฐกิจฯ 7.พล.อ.สุรวัชร บุตรวงษ์ กมธ.การพลังงาน 8.นายมหรรณพ เดชวิทักษ์ กมธ.การสาธารณสุข
9.นายศักดิ์ชัย ธนบุญชัย กมธ.การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีฯ 10.นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ กมธ.สังคมฯ 11.พล.อ.ธีรวัฒน์ บุญยะประดับ กมธ.การเกษตรฯ 12.พล.ท.สมโภชน์ วังแก้ว กมธ.คมนาคม 13.พล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข กมธ.การต่างประเทศ 14.พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก กมธ.การทรัพยากรธรรมชาติฯ 15.พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล กมธ.การพาณิชย์ 16.พล.ต.อ.พิชิต ควรเตชะคุปต์ กมธ.การศาสนาฯ และ 17.พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ กมธ.สามัญกิจการสภาฯ (วิป สนช.)
ล่าสุด แหล่งข่าวจาก สนช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีนี้ว่า ในวันนี้ (7/7/59) กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ได้นัดประชุมกันเพื่อเลือก ประธาน กมธ. อย่างไรก็ดีมีความพยายามจาก สนช. 2 ราย ที่ดำเนินการ ‘บล็อค’ ไม่ให้ สนช. ใน กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ เปิดประชุมได้ครบ ให้การประชุมล่ม เนื่องจากต้องการล็อบบี้ให้ พล.อ.ธีรวัฒน์ ลาออกจาก กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ เพื่อให้ พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ สมาชิก สนช. เป็นมาเป็น กมธ. แทน 
โดยมีเหตุผลเบื้องหลังคือต้องการให้ พล.อ.ยอดยุทธ นั่งเก้าอี้ประธาน กมธ. เพราะเป็นเตรียมทหารรุ่นที่ 12 รุ่นเดียวกับ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และว่ากันว่าเป็น ‘สายตรง’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อ ‘เคลียร์’ ประวัติ ‘หมอเรวัต’ ให้สะอาด-โปร่งใส ผลักดันให้ได้นั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน 
ซึ่งขณะนี้มีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ.ธีรวัฒน์ ได้ยื่นหนังสือลาออกแล้วด้วย ?
ทั้งนี้ถือเป็นวันแรกที่การประชุม กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ล่ม ทั้งที่มีเวลาแค่ 20 วันเท่านั้น !
โดยรายชื่อบุคคลที่ร่วมเข้าประชุมได้นั้นมีแค่ พล.อ.ฉัตรเฉลิม นางนิพัทธา พล.อ.สุรวัชร พล.อ.ธีรวัฒน์ พล.อ.อ.อาคม จึงทำให้องค์ประชุมไม่ครบและล่มลงในที่สุด
นอกจากนี้การตั้ง กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ที่ผ่านมานับตั้งแต่มีการตั้ง สนช. หลังรัฐประหาร 2557 ปกติมักมีชื่อของ พล.อ.อู้ด เบื้องบน อดีตนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เข้ามาตรวจสอบด้วยเกือบทั้งหมด 
แต่คราวนี้กลับไม่มีชื่อของ พล.อ.อู้ด มานั่งเป็น กมธ. แต่อย่างใด!
กลับมีการผลักดัน พล.อ.ยอดยุทธ ซึ่ง สนช. หลายคนเชื่อกันว่า เป็น ‘สายตรง’ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้ ?
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า ในวันที่ 8 ก.ค. 2559 จะมี สนช. ที่ร่วมเป็น กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ทยอยลาออกอีก เพราะอึดอัดกับสิ่งที่ถูกกระทำ 
ซึ่งการดันคน ๆ เดียวนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน จะทำให้ สนช. ทั้ง 218 คน ‘เน่า’ ไปด้วย !
และหากที่ประชุม สนช. กลับลำลงมติโหวตเลือก ‘หมอเรวัต’ ให้เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินตาม ‘ใบสั่ง’ จริง ก็อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัว ‘บิ๊กตู่’ และ คสช. ที่เป็นผู้ตั้ง สนช. มาได้ เพราะที่ผ่านมาในการตั้งกรรมการ ป.ป.ช. ประธานศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมถึงกรรมการองค์กรอิสระทั้งหลาย ทำได้ดีมาตลอด
ทั้งนี้ สนช. เชื่อกันว่าสาเหตุที่ ‘หมอเรวัต’ จ่อคิวได้ตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน เนื่องจากเป็น ‘เด็กฝาก’ ของ ‘อดีตนักการเมืองหญิง’ รายหนึ่งที่กำลังโด่งดังเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ในขณะนี้ 
โดยอดีตนักการเมืองหญิงรายดังกล่าว ได้ฝากฝัง ‘หมอเรวัต’ ไว้กับ ‘บิ๊ก คสช.’ รายหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นอย่างยาวนานตั้งแต่ยังรุ่งเรืองทางการเมือง ?
อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ยุทธการ’ ผลักดัน-จัดเต็ม เพื่อตอบแทนผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่าง คสช. กับ ‘อดีตนักการเมืองหญิง’ รายนั้น 
ส่วนท้ายสุดแค่คน ๆ เดียวจะทำให้ สนช. เน่าทั้งเข่งจริงหรือไม่ รอลุ้นกันวันโหวตลงมติอีกครั้ง !