PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

คสช. ยัน ทหาร ไม่ได้ทำ เอง ใบปลิว โจมตี ร่างรธน.หรือ รธน.ปลอม ทางไปรษณีย์

คสช. ยัน ทหาร ไม่ได้ทำ เอง ใบปลิว โจมตี ร่างรธน.หรือ รธน.ปลอม ทางไปรษณีย์. ยันไม่ใช่IO ถามทหารทำจะได้อะไร

พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. ปฏิเสธข่าวลือ ที่ว่า ทหารทำเอง แจกจ่ายร่างรธน.ปลอม หรือใบปลิว โจมตี ร่างรธน. ทางไปรษณีย์
"คสช.ไม่ทำอะไรแบบนั้น ทำแล้วจะได้อะไร มีแต่เสียหาย เพราะสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด จะเสียหาย หมด ไม่มี เราไม่ทำแบบนั้นแน่"
และ ยันไม่ใช่การ IO ปฏิบัติการข่าวสาร เพื่อหวังผล. ยันทหารไม่มีแน่ ไม่ทำแน่
เผย มีเบาะแส จากกล้องวงจรปิด ที่ตู้ไปรษณีย์ และสแตมป์ จนท.กำลังสอบสวน
แต่ยังไม่ยืนยันว่า โยงนักการเมือง หรือ กลุ่มการเมืองใด ชี้เอกสาร บิดเบือน ข้อเท็จจริง ร่างรธน. ที่ถูกส่งทางไปรษณีย์ หวังทำปชช.เข้าใจผิด เริ่องตัด เบี้ยผู้สูงอายุ 30บาทรักษาทุกโรคและเรียนฟรี เร่งตามล่าตัว
เผยปชช.ตอบรับดี คาดจะไปลงประชามติจำนวนมาก ในภาพรวมยังเรียบร้อย ยังไม่พบการ"ซื้อเสียง"ขอมั่นใจ ใน พลเอกประยุทธ์ หน.คสช.

ทหารเข้มคุมประชามติ

"พล.อ.ธีรชัย"สวมหมวก ผบ.กกล.รส.VTC ถึง หน่วยทหาร จนถึงระดับผู้พัน ทั่วประเทศ สั่งพร้อมรับสถานการณ์ ประชามติ หลังปรับโครงสร้าง ใหม่

เช้านี้ ที่ บก.ทบ. บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ. ในฐานะ เลขาธิการ คสช.และ ผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรัยบร้อย(ผบ.กกล.รส.) ได้ประชุมผ่านระบบ VTC ถึงทุกกองทัพภาค สั่งการผบ.หน่วยทั่วประเทศ จนถึงระดับผู้บังคับกองพันเพื่อชี้แจงการปรับโครงสร้าง กกล.รส.ใหม่ ตั้งแต่ 1กค.เป็นต้นมา และสั่งการ เพื่อคุมเข้มสถานการณ์ ช่วงการทำประชามติร่างรธน.

พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคสช. เผยว่า พลเอกธีรชัย สั่งเดินหน้า3งานหลัก ทั้งงาน รส.ดูสถานการณ์ภาพรวมประเทศ การบังคับใช้กม. และสกัดกั้นการทำผิดกม. และผู้มีอิทธิพล
งานปรองดอง สมานฉันท์ โดยกอ.รมน. และศูนย์ปรองดองฯ(ศปป.) และงานช่วยเหลือปชช และสนับสนุนงานรัฐบาล

ทั้งนี้ พลเอกธีรชัย สั่ง กกล.รส.กำกับดูแล ประสาน ผู้ว่าฯ ทุกส่วนราชการ ตามแนวทาง คสช. เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมเกื้อกูล ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

ผบ.กกล.รส. ยังได้กำชับ หน่วยในพื้นที่ปฏิบัติ แก้ปัญหา การชุมนุมเพราะความเดือดร้อนของปชช. ผ่านศูนยดำรงธรรม โดยให้ทหารไปรับฟังเพิ่อแก้ไขโดยเร็ว
" ยืนยันว่า คสช.จะยืนเคียงข้าง ประชาชนและทำอย่างดีที่สุด"
รวมทั้งการ เกาะติด กลุ่มชุมนุมการเมือง โดยให้ยึดพรบ.ชุมนุม อย่างเคร่งครัด โดยให้ตร.เป็นหลักในการบังคับใช้กม.รวมทั้งการจัดการ กับขบวนการแอบอ้าง คสช.เพือหวังผลประโยชน์ ด้วย

อีกทั้งชื่นชม กกล.รส ทุกคน ที่ทุ่มเท รักษามาตรฐาน ดูแลลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย และให้บังคับใช้กม.ในกรอบที่เหมาะสม โดยมั่นใจว่า การทำงาน เพื่อศักดิศรีทหาร และข้าราชการ ที่มีคุณธรรม อันจะส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

สุภิญญา ชี้ คำสั่งคสช.กระทบเสรีภาพสื่อทั้งหมด แนะองค์กรสื่อมวลชนโชว์จุดยืน

วันนี้ (14 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่พลอ.อประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ออกคำสั่งฉบับที่ 41/2559 เรื่องการกํากับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ โดย กสทช.และ กสท.สามารถปิดสถานีโทรทัศน์และวิทยุ ที่นำเสนอเนื้อหาขัดกับประกาศ คสช.ได้ และเมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย
วันนี้ (14ก.ค.) น.ส. สุภิญญา กลางณรงค์ หนึ่งในกรรมการ กสทช. แสดงความเห็นทางทวิตระบุว่า ดิฉันไม่เคยเห็นด้วยกับการปิดสื่อที่เห็นต่างทางการเมืองและได้ทำหน้าที่ต่อสู้หลักการใช้อำนาจทางกฎหมายมาตลอด ให้สื่อไปสู้ต่อที่ศาลปกครองได้ คำสั่งตามมาตรา44 ของ คสช.ในวันนี้ เป็นการปกป้องการใช้อำนาจของ กสท./กสทช.(เสียงข้างมาก) จะกระทบกับภาพรวมเสรีภาพสื่อทั้งหมด ไม่ใช่แค่พีซทีวี ดิฉันเห็นว่าองค์กรสื่อ วิชาชีพสื่อ อุตสาหกรรมสื่อควรแสดงจุดยืนต่อคำสั่ง คสช.เพื่อการถ่วงดุลอำนาจของ กสทช. ให้สื่อใช้สิทธิ์สู้ในศาลต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง ศาลอาญา หรือ ศาลแพ่ง เพราะเป็นการต้องรับผิดชอบกับการใช้อำนาจของรัฐอย่างเป็นธรรมของรัฐ ตามกระบวนการ Rule of Law
ปัจจุบัน กสทช.มีอำนาจกำกับสื่อได้อยู่แล้ว แต่ต้องใช้อำนาจอย่างรอบคอบ มีการถ่วงดุล ถ้ามี ม.44 มาปกป้องจะทำให้ กสทช.ใช้อำนาจได้แบบแรงขึ้นอีก คำสั่ง คสช. บอกว่า กสทช. ไม่ต้องรับผิดชอบทางอาญาหรือแพ่ง แต่ให้อำนาจเอกชนเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ เป็นการผลักภาระจาก กสทช.ไปให้เงินหลวง
กรณี PeaceTV เป็นเพียงเคสตั้งต้น ที่ตอนนี้ศาลคุ้มครองอยู่ และ กสท. ใช้อำนาจสั่งปิดซ้ำ จากนี้รอผลจากศาลปกครองอีกรอบ ต่อไปอาจมีเคสอื่นๆตามมา ส่วนตัวดิฉันไม่มีเจตนาอยากจะเห็น เพื่อนๆ กสทช. เสียงข้างมากถูกฟ้องอาญาหรือแพ่งจากการทำงาน แต่การมี ม.44มาคุ้มครองจะทำให้ขาดความระวังใช้อำนาจ ผลกระทบจาก มาตรา 44 ครั้งนี้ ไม่ใช่ต่อช่อง PeaceTV เท่านั้น แต่จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมสื่อวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหมด ที่ควรตื่นตัวและมีความเห็น
counter

ถ้าปล่อยไว้ สนช.แตก! เบื้องหลัง‘บิ๊กตู่’งัด ม.44 สกัดแผนดัน‘เรวัต’นั่งผู้ตรวจฯ

เขียนวันที่ วันพฤหัสบดี ที่ 14 กรกฎาคม 2559 เวลา 12:36 น.
เขียนโดยisranewsหมวดหมู่รายงาน-สกู๊ป

“…คสช. วิเคราะห์แล้วเห็นว่า หากยังคงดื้อดึงผลักดันโดยใช้ขุมกำลัง สนช. ฝ่ายทหารที่มีคับสภา ก็อาจจะสะเทือนมาถึง คสช. ทำให้รัฐบาลพังได้ ซึ่งตรงนี้อาจเข้าทางฝ่ายการเมืองหลายกลุ่มที่เล็งไว้อยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นนั้น ก็อาจทำให้แพ้ในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และ ‘บิ๊กตู่-พลพรรค คสช.’ จะอยู่ไม่ได้ จนอาจมีการทาบทามให้ ‘ใครบางคน’ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ?...”

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมจู่ ๆ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 40/2559 ซึ่งมีสาระสำคัญคือให้ ‘งด’ การสรรหาบรรดากรรมการในองค์กรอิสระทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ไว้ก่อน

โดยระบุว่า เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ต้องออกเสียงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. 2559 จึงยังไม่มีความชัดเจนแน่นอนเกี่ยวกับกระบวนการสรรหา ?

(อ่านประกอบ : มุ่งแก้ปมผู้ตรวจการแผ่นดิน! 'บิ๊กตู่' ใช้ม.44งดเว้นสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง5องค์กรอิสระ)

แต่ถ้าโฟกัสให้ลึกลงไปอีกจะเห็นได้ว่า บรรดากรรมการองค์กรอิสระทั้งหลาย ต่างถูกที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โหวตเลือก และเสนอชื่อทูลเกล้าฯ จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งกันเกือบหมดแล้ว เหลือแค่ กกต. (ซึ่งยังมีวาระการดำรงตำแหน่งอีกหลายปี) และผู้ตรวจการแผ่นดิน

ดังนั้นเงื่อนปมสำคัญที่ทำให้ ‘บิ๊กตู่’ ต้องออกคำสั่งดังกล่าว หนีไม่พ้น ‘ปัญหา’ การสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินที่ยังคาราคาซังอยู่ในชั้น สนช. 

เพราะต้องไม่ลืมว่า กรณีที่คณะกรรมการสรรหาฯชงชื่อ ‘นพ.เรวัต วิศรุตเวช’ เข้ามาเป็นหนที่สอง สร้างความข้องใจให้กับ สนช. เป็นจำนวนมาก เนื่องจากในการสรรหาครั้งแรก ที่ประชุม สนช. ได้โหวตแล้ว และไม่ได้รับเลือก 

แต่กลับมีความพยายามผลักดันจาก ‘บิ๊กในสภา-บิ๊ก คสช.’ เพื่อให้ ‘หมอเรวัต’ กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งอีก ?

ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ สนช. ว่า ‘หมอเรวัต’ คือตัวแปรสำคัญที่จะเข้าไป ‘บล็อค’ เสียงในคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ในการส่งเรื่องฟ้องต่อศาล ซึ่งปัจจุบันเรื่องสำคัญที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะผู้ตรวจการแผ่นดินคือ เรื่องท่อก๊าซ ปตท. และการร้องเรียนร้านค้าปลอดภาษีอากร ที่มี ‘กลุ่มนักธุรกิจ-เครือข่ายการเมือง’ ที่เป็นผู้สนับสนุน คสช. พัวพันอยู่ด้วย

นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีประเด็นที่ ‘หมอเรวัต’ มีความสัมพันธ์อันดีกับ ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง’ รายหนึ่ง ที่เป็นผู้ผลักดันให้มาดำรงตำแหน่งดังกล่าว ผ่าน ‘บิ๊ก คสช.’ รวมไปถึงเคยเป็น ‘กุนซือ’ ให้กับอดีตนักการเมือง ‘ซีกสีแดง’ มาแล้ว 

(อ่านประกอบ : เปิดแฟ้มลับ‘หมอเรวัต’! นั่งกุนซือ‘ณัฐวุฒิ-ขุนค้อน’-ไฉน กก.สรรหาฯยังชงชื่อ?)

แหล่งข่าวจาก คสช. ยืนยันสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีนี้ว่า สาเหตุที่ ‘บิ๊กตู่’ ออกคำสั่งดังกล่าว เพื่อต้องการ ‘ปลดล็อค’ ปัญหาในการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่ ‘บูรพาพยัคฆ์’ และบรรดา ผบ.เหล่าทัพ

นัยว่าเพื่อถอนชนวนความขัดแย้งที่อาจถูก ‘ฝ่ายการเมือง’ วางยามาจาก ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง-อดีตนักธุรกิจการเมืองมากบารมี-กลุ่มนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียง’ ที่เป็นคนผลักดันผ่าน ‘คนใกล้ชิด’ บิ๊ก คสช. รายหนึ่ง 

ซึ่งก่อนออกคำสั่งดังกล่าว มีการสอบถาม ‘บิ๊ก คสช.’ รายนั้น ได้รับคำตอบว่า “รู้จักกันแค่ผิวเผิน” ?

จึงทำให้ ‘บิ๊กตู่’ จำเป็นต้องดำเนินการออกคำสั่งดังกล่าว เพราะหากปล่อยไว้จะสร้างความขุ่นหมองข้องใจให้กับ สนช. ที่เป็นคนตั้งมากับมือ รวมถึงหากที่ประชุม สนช. โหวตไม่เห็นชอบอีกครั้ง อาจสร้างความแตกแยกครั้งใหญ่ในหมู่ สนช. ได้ 

ในส่วนนี้ คสช. วิเคราะห์แล้วเห็นว่า หากยังคงดื้อดึงผลักดันโดยใช้ขุมกำลัง สนช. ฝ่ายทหารที่มีคับสภา ก็อาจจะสะเทือนมาถึง คสช. ทำให้รัฐบาลพังได้ ซึ่งตรงนี้อาจเข้าทางฝ่ายการเมืองหลายกลุ่มที่เล็งไว้อยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นนั้น ก็อาจทำให้แพ้ในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ และ ‘บิ๊กตู่-พลพรรค คสช.’ จะอยู่ไม่ได้ จนอาจมีการทาบทามให้ ‘ใครบางคน’ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ?

แต่ว่าเรื่องนี้ ‘บิ๊กตู่’ รู้มาตั้งแต่ที่ประชุม สนช. โหวตไม่เห็นชอบ ‘หมอเรวัต’ แล้ว และทุกคนคาดว่า ‘หมอเรวัต’ จะไม่กลับมาสมัครอีก แต่บรรดากลุ่มตำรวจ และกลุ่มการเมืองบางฝ่ายมีการผลักดันอย่างผิดปกติ กระทั่ง ‘บิ๊กตู่’ ต้องสั่งไปยังหน่วยความมั่นคงให้ตรวจสอบเรื่องนี้ และทั้งหมดต่างยืนยันข้อมูลที่ไม่น่าไว้วางใจเข้ามา รวมถึงปฏิกิริยาของ สนช. หลายคนที่เห็นว่า หากยังผลักดัน ‘หมอเรวัต’ เข้ามา ก็จะโหวตค้านแบบ ‘แตกหัก’ 

นอกจากนี้ยังประเมินด้วยว่า ในวันโหวตเลือกผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น ใกล้กับวันลงประชามติ ซึ่งค่อนข้างสุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้แพ้ประชามติได้ !

แหล่งข่าว ระบุอีกว่า สำหรับ สนช. กลุ่มที่จะผลักดัน ‘หมอเรวัต’ คือบรรดาคนที่ใกล้ชิด ‘อดีตบิ๊กตำรวจ’ รายหนึ่ง ที่ไปคุยกับฝ่ายการเมืองมา กระทั่งเกิดปัญหาในชั้น สนช. ซึ่งประเด็นนี้มีทางออกอยู่แล้วคือให้ ‘หมอเรวัต’ ถอนตัว แต่กลับไม่ยอมถอน จึงทำให้ สนช. สายค้านเดินหน้าลุยแบบ ‘แตกเป็นแตก’ ซึ่ง ‘บิ๊กตู่’ ประเมินว่า หากถึงจุดนั้นอาจทำให้ตัวเองและ คสช. พังแน่ จึงจำเป็นต้องจัดการด้วยมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557

นัยว่า แสดงให้เห็นว่า ‘บิ๊กตู่’ คือผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ไม่ใช่ให้ใครมาสั่งซ้ายหันขวาหันได้ !

เป็นอันว่าปิดฉากเรื่องการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินคนใหม่ไปก่อน จนกว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่าน

แต่ฉากต่อไปที่ต้องจับตา และเป็นปัญหาสำคัญมากคือ การปฏิรูปตำรวจ ว่า สนช. จะทำอย่างไร เพราะเท่าที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามี สนช. บางกลุ่ม ที่ใกล้ชิดกับ ‘อดีตบิ๊กตำรวจผู้มากบารมี’ ยังคงเสียงแข็ง-ดื้อดึงไม่ยอมให้ดำเนินการสักที

ท้ายสุด สนช. จะทำสำเร็จตามความหวังที่ตั้งใจ และเป็นที่พึ่งของประชาชนทั้งประเทศได้หรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป !

เปิดแฟ้มลับ‘หมอเรวัต’! นั่งกุนซือ‘ณัฐวุฒิ-ขุนค้อน’-ไฉน กก.สรรหาฯยังชงชื่อ?


“…เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับ ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง’ ซึ่งได้ข้อมูลจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เคยเป็นที่ปรึกษา-กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้กับบรรดาอดีตข้าราชการ หรือนักการเมือง ‘ซีกสีแดง’ ไปแล้ว ทำไมคณะกรรมการสรรหาฯ จึงยัง ‘มั่นใจ’ และ ‘เชื่อถือ’ ให้ ‘หมอเรวัต’ เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอยู่ ?...”
PIC rewattt 13 7 59 1
หลายคนอาจจะทราบถึงสาเหตุเบื้องลึก-ฉากหลังไปแล้วว่า เหตุใดคณะกรรมการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้เสนอชื่อของ นพ.เรวัต วิศรุตเวช อดีตอธิบดีกรมการแพทย์ เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ซ้ำสอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับเสียงข้างมากจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบประวัติในชั้นคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตรวจสอบประวัติฯ 
ไม่ว่าจะเป็นกระแสข่าวว่า ‘หมอเรวัต’ คือ ‘เด็กฝาก’ ของ ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง’ รายหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานกับ ‘บิ๊ก คสช.’ รายหนึ่ง ตั้งแต่สมัยอดีตนักการเมืองรายนี้ยังรุ่งเรือง
หรือแม้แต่การวิเคราะห์และประเมินกันในหมู่ สนช. บางกลุ่มว่า สาเหตุที่มีการผลักดัน ‘หมอเรวัต’ อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเช่นนี้ เพื่อเข้าไป ‘บล็อกเสียง’ ในที่ประชุมคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบเรื่องใหญ่หลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณีท่อก๊าซ ปตท. และกรณีการร้องเรียนร้านค้าปลอดภาษีอากร ที่มี ‘นักธุรกิจ-เครือข่ายนักการเมือง’ ผู้เป็นกำแพงค้ำยัน คสช. เข้าไปพัวพันอยู่ด้วย
แต่เงื่อนปมสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ ที่มีการหารือและขุดคุ้ยกัน คือ ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง ‘ซีกสีแดง’ กับ ‘หมอเรวัต’ ?
แหล่งข่าวจาก สนช. เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงกรณีนี้ว่า ในการสรรหาผู้ตรวจการแผ่นดินครั้งที่สองนั้น สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้ส่งข้อมูล ‘หมอเรวัต’ ให้กับคณะกรรมการสรรหาฯเพื่อพิจารณาแล้ว พบข้อเท็จจริงว่า‘หมอเรวัต’ มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับ ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง’ รายหนึ่ง
นอกจากนี้ในชั้น กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ครั้งแรก ที่มี พล.อ.อู๊ด เบื้องบน เป็นประธานฯ มีอดีตข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงสาธารณสุขรายหนึ่ง เข้ามาให้ข้อมูลโดยกล่าวหาถึงพฤติการณ์ ‘บางอย่าง’ ของ ‘หมอเรวัต’ ด้วย
นอกเหนือจากนั้นแล้ว ยังว่ากันว่า ‘หมอเรวัต’ เริ่มต้นเส้นทางชีวิตข้าราชการด้วยการสร้างความสัมพันธ์กับ ‘อดีต รมว.สาธารณสุข’ รายหนึ่ง มาก่อนหน้านี้ กระทั่งได้เติบใหญ่ในกระทรวง และปิดท้ายด้วยการเป็นอธิบดีกรมการแพทย์ในที่สุด
ไม่ว่าข้อเท็จจริงเรื่องเหล่านี้จะเป็นเช่นไร แต่มีหลักฐาน ‘เชิงประจักษ์’ ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘หมอเรวัต’ กับนักการเมือง ‘ซีกสีแดง’ อย่างชัดเจน คือ การเข้าไปเป็นประธานที่ปรึกษา รมช.เกษตรและสหกรณ์ (ยุคนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เคยเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของประธานรัฐสภา (ยุคนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์) รวมถึงเคยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ (ยุคนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ) ด้วย (ดูเอกสารประกอบ)
PIC หลกฐานเรวต 1
PIC หลกฐานเรวต 2
PIC หลกฐานเรวต 3
PIC หลกฐานเรวต 4
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับ ‘อดีตนักการเมืองหญิงชื่อดัง’ ซึ่งได้ข้อมูลจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่เคยเป็นที่ปรึกษา-กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้กับบรรดาอดีตข้าราชการ หรือนักการเมือง ‘ซีกสีแดง’ ไปแล้ว 
ทำไมคณะกรรมการสรรหาฯ จึงยัง ‘มั่นใจ’ และ ‘เชื่อถือ’ ให้ ‘หมอเรวัต’ เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอยู่ ?
เพราะต้องไม่ลืมว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นหนึ่งในองค์กรตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการ เป็นดั่งความหวังของข้าราชการและประชาชนทั้งประเทศ ที่จะต้องทำหน้าที่ดั่ง ‘ตาชั่ง’ ถ่วงดุลระหว่างข้าราชการกับประชาชน และต้องซื่อสัตย์ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม ใช้อำนาจอย่าง ‘เป็นกลาง’
ไม่ใช่จะให้บุคคลที่อาจจะมีความสัมพันธ์ทางการเมืองเข้าไปนั่งเล่น เพื่อ ‘ปัดกวาด’ ปัญหาต่าง ๆ เอาไปซุกไว้ใต้พรมได้ ?
แล้วที่ผ่านมาคณะกรรมการสรรหาฯได้ตระหนักและรับรู้ข้อมูลในส่วนนี้หรือไม่ หรือจะทำเป็น ‘หูทวนลม’ แล้วเชื่อตามลมปาก ‘ใครบางคน’ ให้ยินยอมเสนอชื่อ ‘หมอเรวัต’ อีกครั้ง ไม่อาจทราบได้ ?
แต่ปัจจุบันอยู่ในชั้น กมธ.ตรวจสอบประวัติฯ ที่กำลังถูกซุบซิบกันว่า อาจจะมีการ ‘ล็อบบี้’ เคลียร์ประวัติผลักดัน ‘หมอเรวัต’ นั่งเก้าอี้ผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น จะต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้น-โปร่งใส ให้ สนช. ได้เกิดความสบายใจในการลงคะแนนเสียงโหวตเลือกผู้ตรวจการแผ่นดินอีกหนให้ได้
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้กลับมาสู่ สนช. อีกครั้ง !

ISIS เปิดตัวหนังสือพิมพ์ภาษามลายูฉบับแรก-กระจายทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวถึงไทย


รายงานของสื่อมาเลเซียเปิดเผยว่ากลุ่มไอซิสได้ผลิตหนังสือพิมพ์ภาษามลายูฉบับแรก "อัล ฟาติฮิน" หรือ "ผู้พิชิต" พิมพ์มาจากพื้นที่ตอนใต้ของฟิลิปปินส์ กระจายเข้ามายังมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ รวมทั้งภาคใต้ของไทย โดยในเล่มมีเรื่องเดือนถือศีลอด การเผยแพร่ข้อความอดีตผู้บัญชาการทางทหารไอซิสเรียกร้องนักรบไอซิสปฏิบัติการ ข่าวจากรัคคา ที่มั่นหลักของไอซิสในซีเรีย รวมทั้งแผนที่แสดงพื้นที่ซึ่งไอซิสอ้างว่าปกครองทั่วโลก
หนังสือพิมพ์อัล ฟาติฮิน ของกลุ่มไอซิส พิมพ์เป็นภาษามลายู (ที่มา: The Malaymail)
เดอะมาเลย์เมล์ ซึ่งอ้างรายงานของ Berita Harian (BH) รายงานเมื่อ 11 ก.ค. ว่ากลุ่มรัฐอิสลามไอซิส (ISIS) พยายามขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการเริ่มพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาษามลายู
โดยสิ่งพิมพ์ของไอซิสคือ อัล ฟาติฮิน (Al Fatihin) โดยพิมพ์มาจากพื้นที่ทางใต้ของฟิลิปปินส์มาตั้งแต่ 20 มิถุนายน และถูกกระจายเข้ามายังมาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน สิงคโปร์ ภาคใต้ของไทย รวมทั้งภาคใต้ของฟิลิปปินส์
ในรายงานของเดอะมาเลย์เมล์ อ้างผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ระบุชื่อ ซึ่งระบุว่าความเคลื่อนไหวนี้เท่ากับเป็นการ "เตือนอย่างไม่เป็นทางการ" ว่าหมู่เกาะมลายู หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นสมุทรนั้นอยู่ในความสนใจของไอซิส
"ปฏิบัติการจิตวิทยานี้แสดงให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายมีเป้าใหญ่ นั่นคือขยายอิทธิพลมาสู่ผู้คนที่เข้าใจภาษามลายู" แหล่งข่าวของเดอะมาเลย์เมล์ระบุ
"โดยพื้นที่ของภาษาที่ใช้ในหนังสือพิมพ์ เราเชื่อว่าผู้เขียนหรือบรรณาธิการน่าจะมาจากประเทศแถบนี้" ทั้งนี้ อัล ฟาติฮิน เป็นภาษาอาหรับมีความหมายว่า "ผู้พิชิต"
ก่อนหน้านี้ยังมีบทความทางวิชาการของ ศูนย์นานาชาติเพื่อการวิจัยความรุนแรงทางการเมืองและการก่อการร้าย ของสถาบันนานาชาติศึกษาราจารัตนัม (RSIS) ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนานยาง ประเทศสิงคโปร์ เมื่อสิ้นเดือนก่อน โดยให้รายละเอียดเนื้อหาของหนังสือพิมพ์จากไอซิสฉบับแรกด้วย
โดยฉบับแรกของหนังสือพิมพ์ อัล ฟาติฮิน ให้ความสนใจในเดือนรอมฎอนหรือช่วงถือศีลอด และการกระทำญีฮาด โดยเผยแพร่ข้อความ 3 หน้าของ อะบู ฮัมซาห์ อัล-มูจาฮีร์ (Abu Hamzah al-Muhajir) หรือ อะบูู อัยยัป อัล-มัสรี (Abu Ayyub al-Masri) ชาวอียิปต์ ผู้เป็นแกนนำอัลกออิดะห์ในอิรัก และต่อมาเป็นผู้บัญชาการทางทหารของไอซิส ตั้งแต่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 2006 จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2010 โดยข้อความของอัล-มูจาฮีร์ เรียกร้องให้นักรบไอซิส "ดำรงปฏิบัติการญีฮาด ค้นหาชะฮีด หรือผู้ที่เสียชีวิตเพราะมีความศรัทธา และฆ่าหรือตรึงกางเขนแก่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหลายองค์ ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า ผู้กดขี่ และผู้ที่ฝ่าฝืน"
นอกจากนี้ในหนังสือพิมพ์ ยังนำเสนอเรื่องของชะฮีดชาวซีเรีย  อะบู บิลัล อัล-ฮิมชี (Abu Bilal al-Himshi) และข่าวที่รวบรวมมาจากรัคคา (Raqqa) เมืองหลวงของกลุ่มไอซิสในประเทศซีเรีย กลับมาเผยแพร่ยังฟิลิปปินส์ ข้อมูลและสถิติปฏิบัติการทางทหาร แผนที่ของวิลายะ หรือ จังหวัดที่ไอซิสอ้างว่าปกครองอยู่ทั่วโลก และสถิติการบริจาคสิ่งของและการแจกจ่ายในซีเรีย
จากข้อมูลของ Berita Harian บรรณาธิการของ อัล ฟาติฮิน เองยังเชิญชวนนักรบทุกกลุ่มในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ให้สามัคคีกันและประกาศจงรักภักดีต่อผู้นำไอซิสซึ่งตั้งตัวเองเป็นกาหลิบ นั่นคือ อะบู บักร์ อัลบัฆดาดี (Abu Bakr Al-Baghdadi)
ขณะที่ อายุบ ข่าน มิดดิน พิดชัย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ของหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายของตำรวจมาเลเซีย ได้ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อหนังสือพิมพ์อัล ฟาติฮิน โดยระบุว่ากำลังสืบสวนอยู่ อย่างไรก็ตามเขาระบุว่า เชื่อว่าไอซิสกำลังขยายพื้นที่สื่อของตัวเอง ทั้งในรูปแบบเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร สื่อแบบภาพและเสียง รวมไปถึงกระบวนการจัดพิมพ์และนำเสนอ เพื่อรักษาการสื่อสารในระดับโลกของตน โดยเขายังให้ข้อมูลว่า ไอซิสยังกระจายเสียงวิทยุมาจากอิรักเพื่อนำเสนอไปยังทั่วโลกด้วย
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงในภูมิภาค บิลเวียร์ สิงห์ (Bilveer Singh) ซึ่งเป็นผู้วิจัยอาวุโสอยู่ที่ RSIS ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนานยาง ประเทศสิงคโปร์ ก่อนหน้านี้เพิ่งเตือนถึงความเป็นไปได้ที่ ไอซิสจะเพิ่มปฏิบัติการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ไอซิสเองก็สูญเสียพื้นที่ของตนในอิรักและซีเรีย
และเมื่อเร็วๆ นี้ ยังเกิดการโจมตีหลายรอบทั่วโลกที่เชื่อมโยงกับไอซิส รวมไปถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ท่าอากาศยานนานาชาติในนครอิสตันบุล ประเทศตุรกี การจับตัวประกันและสังหารที่ธากา ประเทศบังกลาเทศ และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเหตุระเบิดฆ่าตัวตายที่โซโล ประเทศอินโดนีเซีย รวมไปถึงการวางระเบิดที่บาร์ในเมืองปูชง รัฐสลังงอร์ ประเทศมาลเซีย ที่เป็นเหตุโจมตีครั้งแรกในประเทศมาเลเซียที่เชื่อมโยงกับกลุ่มไอซิส

แปลและเรียบเรียงจาก
Al Fatihin: A newspaper for Malay-speaking IS militants, 11 July 2016http://www.themalaymailonline.com/malaysia/article/al-fatihin-a-newspaper-for-malay-speaking-is-militants

ว่าด้วยการไม่ยอมรับคำตัดสินน่านน้ำพิพาของจีน



จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำในทะเลจีนใต้ ซึ่งเดิมเคยใช้ร่วมกันในหลายประเทศ เมื่อชาวประมงฟิลิปปินส์ที่เคยทำกินบริน่านน้ำที่จีนตีเส้นประแบ่งไว้ในแผนที่แบบหยาบ ๆ หรือที่เรียกว่า “the nine-dash line” รัฐบาลฟิลิปปินส์จะปกป้องประชาชนของตนเองได้อย่างไร? ประเทศซึ่งไม่มีเครื่องบินรบหรือเรือดำน้ำแม้แต่ลำเดียวอย่างฟิลิปปินส์ จะสู้กับมหาอำนาจทางทหารอย่างจีนที่มีเรือดำน้ำอย่างน้อย 68 ลำ เครื่องบินรบอีก 1,200 กว่าลำ (http://bit.ly/29F2eQ5) ได้อย่างไร?
ต้นปี 2556 รัฐบาลนายอาควิโนใช้กลไกศาลระหว่างประเทศตามสนธิสัญญากฎหมายทางทะเล (UNCLOS) จนชนะคดี ศาลที่กรุงเฮกมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า จีนละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำบริเวณนั้นเพียงผู้เดียว และยังเสี่ยงจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แน่นอนจีนไม่ยอมรับอำนาจศาลและไม่เข้าร่วมตั้งแต่ต้น แต่คำวินิจฉัยแบบนี้มันมีผลในทางการทูตมั้ย? มันเป็น “ต้นทุน” ที่ต่ำกว่า และอาจได้ผลมากกว่าการจัดซื้อเครื่องบินรบหรือเรือดำน้ำมั้ย? และจะเป็นต้นทุนของฟิลิปปินส์ในการเจรจาหาทางออกกับจีนและประเทศร่วมภูมิภาคหรือไม่? ถ้าสมองไม่ตื้อเกินไป น่าจะคิดได้ไม่ยาก อ้อ นี่ประเทศที่เขามีข้อพิพาททางทะเล เขายังไม่มีเรือดำน้ำสักลำเลย แหม....แต่เราอยากมี หูย.......


ประยุทธ์ใช้ ม.44 ให้อำนาจ กสทช. ปิดสื่อ โดยไม่ต้องรับผิด

Thu, 2016-07-14 15:21

14 ก.ค. 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 41/2559 เรื่องการกํากับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ มีรายละเอียดดังนี้

ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 103/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 เพื่อกําหนดห้ามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบางประเภท นั้น โดยที่ข้อมูลข่าวสารตามประกาศดังกล่าวมีลักษณะเป็นข้อมูลข่าวสารที่ต้องห้ามมิให้ผู้ประกอบกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ออกอากาศตาม มาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 

ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาในการรับรู้และความเข้าใจในการกํากับดูแลการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของ
ผู้ประกอบการไปสู่ประชาชนทั้งในส่วนของประเภทของข้อมูลข่าวสารที่ต้องห้ามและมาตรการที่จะนํามาใช้ในการกํากับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จึงจําเป็นต้องกําหนดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้การเสนอข้อมูลข่าวสารหรือการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระตามข้อ 3 (1) ถึง (7) ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ลงวันที่ 18 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 103/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 เป็นการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 แล้วแต่กรณี

ข้อ 2 ในกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือบุคคลที่ได้รับมอบอํานาจจากบุคคลดังกล่าว ได้กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจําเป็น เพื่อควบคุมดูแลมิให้มีการเสนอข้อมูลข่าวสารหรือการออกอากาศรายการที่มีลักษณะตามข้อ 1 นับแต่วันที่ประกาศตามข้อ 1 มีผลใช้บังคับ ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่

ข้อ 3 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ 13 กรกฎาคม พุทธศักราช 2559
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
/////////////
"ข้อ 1 ให้การเสนอข้อมูลข่าวสารหรือการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระตามข้อ 3 (1) ถึง (7) ของประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ ลงวันที่ 18 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 103/2557 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 97/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม พุทธศักราช 2557 เป็นการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 แล้วแต่กรณี

"ข้อ 2 ในกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือบุคคลที่ได้รับมอบอํานาจจากบุคคลดังกล่าว ได้กระทําการไปตามอํานาจหน้าที่โดยสุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจําเป็น เพื่อควบคุมดูแลมิให้มีการเสนอข้อมูลข่าวสารหรือการออกอากาศรายการที่มีลักษณะตามข้อ 1 นับแต่วันที่ประกาศตามข้อ 1 มีผลใช้บังคับ ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางวินัย แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่"

ปมพุทธะอิสระปลูกป่า กรมอุทยานฯ ชี้หากไม่ร่วมพุทธอุทยานฯ จะนิมนต์ออกพื้นที่


จากกรณีที่ พุทธะอิสระ ให้สัมภาษณ์ ผ่านรายงานเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า ทางมูลนิธิธรรมะอิสระของวัดอ้อน้อย ได้ร่วมกับ บ.พฤกชเวช ซื้อที่ดินเนินเขา บริเวณบ้านใหม่วังผาปูน ต.แม่วิน อ.แม่วาง เชียงใหม่ จริง โดยซื้อในนาม มูลนิธิธรรมมะอิสระของวัดอ้อน้อย กับ บ.พฤกชเวช เมื่อปี 2556-2557 ในราคา 3 ล้านกว่าบาท เนื้อที่เพียง 300 กว่าไร่ ไม่ใช่ 3,000 ไร่ อย่างที่มีการเสนอข่าวผ่านสื่อโซเชี่ยล โดยพุทธอิสระอ้างว่าตัวเขาเองไม่มีรายชื่อเป็นกรรมการมูลนิธิธรรมมะอิสระ (แต่เป็นเจ้าของวัด)พร้อมยอมรับด้วยว่า บริเวณดังกล่าวเป็นเป็นพื้นที่เขตป่าสงวนหวงห้ามจริง ประชาชนทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้ แต่ที่มูลนิธิไปซื้อไว้ ก็เพื่อนำมาปลูกป่า เพื่อมอบให้หลวง โดยมีหน่วยงานและข้าราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ให้ความเห็นชอบ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
ล่าสุดวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา อรรถพล เจริญชันษา ผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า กรมป่าไม้ กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้เข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวแล้ว โดยต้องตรวจสอบเอกสารสิทธิว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ และมีเจตนาอย่างไร จากนั้นจึงไปเทียบกับข้อกฎหมายของกรมป่าไม้ว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้บ้าง โดยหลักๆ แล้วต้องดูถึงเจตนา หากเป็นพวกนายทุน จะเห็นอย่างชัดเจนว่ามีเจตนาบุกรุกเพื่อครอบครองหวังผลประโยชน์ เพราะมีการปลูกสิ่งก่อสร้าง รีสอร์ต บ้านพัก แต่กรณีนี้ต้องเข้าตรวจสอบก่อนว่ามีเจตนาอย่างไร
ด้าน ศิริ อัคคะอัคร ผู้อำนวยการสำนักป้องกัน ปราบปราม และควบคุมไฟป่า กรมอุทยานฯ กล่าวถึงกรณี บก.ปทส. เตรียมเข้าตรวจยึดพื้นที่จากวัด 10 แห่งที่บุกรุกอุทยานแห่งชาติ ว่า ทาง บก.ปทส.ได้ประสานข้อมูลและทำงานร่วมกรมอุทยานฯ มาตลอด โดยขณะนี้กรมอุทยานฯ กำลังเข้าดำเนินการตรวจสอบวัดที่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ว่ามีรายชื่อเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือไม่ ซึ่งจะทราบข้อมูลในเร็วๆ นี้ หากตรวจสอบแล้วไม่พบรายชื่อว่าเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานฯ หรือมีการบุกรุกขยายพื้นที่เกินกว่าข้อตกลงและเงื่อนไขที่ทำไว้กับกรมอุทยานฯ ก็จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504 ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ต่อไป
ด้าน ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษพญาเสือ กรมอุทยานฯ กล่าวว่า สำหรับวัดในพื้นที่ป่า ถ้าขึ้นบัญชีเข้าร่วมโครงการพุทธอุทยานฯ ก็สามารถอยู่ในป่าไม้ได้ โดยไม่ขยายพื้นที่เพิ่ม แต่หากไม่ร่วมโครงการก็ถือว่าบุกรุกพื้นที่ป่า ทั้งนี้เมื่อเร็วๆ นี้ตนได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่ามีสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งไปบุกรุกพื้นที่ในเขตอุทยานฯ เขาใหญ่ เนื้อที่ 15 ไร่ ซึ่งได้เข้าไปตรวจสอบและขอให้นำเอกสารมาแสดง ภายใน 30 วัน หากไม่มีหลักฐานและข้อตกลงในโครงการพุทธอุทยาน ที่ทำไว้กับกรมอุทยานฯ ตนก็จะนิมนต์ออกจากพื้นที่ต่อไป

พุทธะอิสระ ลงพื้นที่ facebook live ชี้แจง เล็งเอาผิดคนใส่ร้าย

ขณะที่วันเดียวกัน พุทธะอิสระ ได้ลงพื้นที่ดังกล่าว พร้อม ถ่ายทอดสดผ่าน facebook live ชี้แจง ระบุว่าหลังถูกกล่าวโทษว่ามีการบุกรุกป่า จึงขอพามาดูความจริง ซึ่งหลังจากนี้จะให้ทนายรวบรวมหลักฐานและฟ้องกลับทุกคนที่กล่าวหา ใส่ร้ายตนเองจนเสียหาย โดยพุทธะอิสระยืนยันว่าพื้นที่มีแค่ 300 ไร่ ก่อนจะพาไปดูและระบุว่าพื้นที่ดังกล่าวเมื่อ 3ปีก่อนเป็นเพียงเขาโล่งๆ แต่วันนี้กลับมีต้นไม้จำนวนมาก ส่วนที่ยืนต้นตายเพราะมีคนลอบมาเผา ทั้งยังได้นำอาจารย์ใหญ่ จากโรงเรียนแม่วินสามัคคี ที่มาช่วยตนเองปลูกป่าทุกปี เพื่อยืนยันว่าตนมีเจตนาดี ไม่มีการสร้างสิ่งก่อสร้างใดๆมีแต่ต้นไม้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการถือสิทธิ์ครอบครอง เพราะไม่มีการทำประโยชน์อะไร มีแต่ป่า สิ่งที่ตนทำเป็นประโยชน์กับคนไทยทั้งประเทศ คนทั้งโลก
"เป็นพื้นที่โล่งแจ้ง ไม่ใช่ป่าไม้ขออภัยที่พูดออกรายการสปริงนิวส์ของคุณดนัย (เอกมหาสวัสดิ์) ผิดว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวน จริงๆ แล้วเขาบอกว่าเป็นพื้นที่โล่งแจ้ง อนุญาตให้ทำพื้ชผลการเกษตรได้" พุทธะอิสระ กล่าว
“จะใส่ร้ายอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ช่วยลงชื่อจริงหน่อยแล้วกัน จะได้จัดให้สักดอกสองดอกตามเหตุตามปัจจัย ข้อหานำความเท็จเข้าสู่ระบบ” พุทธะอิสระ กล่าว
ส่วนผู้ที่ถามว่าเป็นพื้นที่ป่าสงวนซื้อคืนได้ด้วยหรือ ขอถามกลับว่าการปลูกป่ามันเสียหายตรงไหน ตนไม่ได้ปลูกโรงแรม การปลูกป่าเป็นประโยชน์คนทั้งชาติ หรือคนถามไม่ใช่คนไทย พระปลูกป่าเสียหายตรงไหน ในสมัยพุทธกาลก็มีพระดูแลป่าไม้ ขอแนะนำให้หายาบำรุงสมอง อย่ากินแต่หญ้า ถ้าผิดจริงขอให้ไปแจ้งความ พระที่รักษาธรรมวินัย ย่อมรักษาและผูกพันกับป่ายกเว้นพระไม่ดีที่พยายามทำป่าให้เป็นเมือง