PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มือปืนบุกยิง นายมนตรี สิหนาทกถากุล เสี่ยแลนด์มาร์คดับ

น็อคเลย! เมื่อได้อ่าน จม.ลูกน้องคนสนิทที่ยิง มหาเศรษฐี รร.แลนด์มาร์ค ดับสยอง! กระจ่างทันตา!

น็อคเลย! เมื่อได้อ่าน จม.ลูกน้องคนสนิทที่ยิง มหาเศรษฐี รร.แลนด์มาร์ค ดับสยอง! กระจ่างทันตา!
มือปืนบุกยิง นายมนตรี สิหนาทกถากุล อายุ 78 ปี มหาเศรษฐีเจ้าของโรงแรมแลนด์มาร์ค ดับสยองคาบ้านพักหรูย่านสาทร ก่อนที่คนร้ายจะลั่นไกฆ่าตัวตายตาม โดยทิ้งจดหมายระบายความว่าถูกหลอกให้ร่วมลงทุน
เมื่อ เวลา 21.30 น. วันที่ 21 ก.ค. ร.ต.ท.มงคล ไพรศูนย์ พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย ภายในบ้านเลขที่ 1719/5-9 ซอยจันทน์เก่า 10 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.ภาดล ประภานนท์ รักษาการ ผบก.น.5 กำลังสายตรวจ และฝ่ายสืบสวนจำนวนหนึ่ง ที่เกิดเหตุเป็นบ้านหรูมีด้วยกัน 3 หลังในรั้วเดียวกัน ปลูกอยู่ในพื้นที่ประมาณกว่า 2 ไร่ ภายในบ้านหลังที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียว บริเวณหน้าห้องทำงาน พบศพ นายมนตรี สิหนาทกถากุล อายุ 78 ปี มหาเศรษฐีเจ้าของโรงแรมแลนด์มาร์ค และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง สภาพนอนหงายจมกองเลือด อยู่ข้างที่วางรองเท้า โดยมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธ 11 มม. เข้าที่บริเวณด้านหลังศีรษะและใบหน้า รวม 2 นัด

ส่วน ภายในห้องเก็บของ พบศพ นายประสาร โพธิ์ด้วง อายุ 68 ปี สภาพนั่งอยู่บนเก้าอี้พับ ในมือขวาถือปืน 11 มม. มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกันที่ขมับขวาทะลุขมับซ้าย 1 นัด สมองกระจาย เลือดไหลนองพื้น ใกล้ศพพบจดหมายเขียนด้วยลายมือ 2 หน้ากระดาษ เนื้อหามีลักษณะตัดพ้อ น้อยใจ และอ้างว่าถูก นายมนตรี หลอกลวงให้ร่วมลงทุนธุรกิจ และข่มเหงคนที่ด้อยกว่า นอกจากนี้ยังกล่าวหา นายมนตรี ด้วยว่า มีการโกงนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และมารดาของนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่ง
จากการสอบสวน นายไพสิทธิ์ เข็มรักษ์ อายุ 58 ปี คนขับรถของ นายมนตรี และเป็นผู้ดูแลบ้าน ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายประสาร ได้ขับรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา ทะเบียน ศอ 8396 กรุงเทพมหานคร มาหา นายมนตรี ที่บ้าน และมีการพูดคุยตกลงปัญหาบางอย่างกัน แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ นายประสารจึงใช้อาวุธปืนยิง นายมนตรี จนเสียชีวิต แล้วยิงตัวตายตาม ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ตั้งประเด็นไปที่ความขัดแย้งทางธุรกิจ อย่างไรก็ตามจะต้องมีการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป
 
 

ชายไทยเตรียมตัว !ครม.ไฟเขียวตั้ง “ตำรวจเกณฑ์“ มีสถานะเหมือนทหารเกณฑ์

"วิจารณ์ได้ ภาษีของเรา ลูกหลานของเรา ประเทศของเรา"
ชายไทยเตรียมตัว !ครม.ไฟเขียวตั้ง “ตำรวจเกณฑ์“ มีสถานะเหมือนทหารเกณฑ์
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำหนด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ตำรวจกองประจำการ) โดยมีสาระสำคัญคือ การจัดให้มีตำรวจกองประจำการขึ้น ในลักษณะเดียวกับทหารกองประจำการ เมื่อมีการเกณฑ์ทหารกองประจำการ นอกจากจะแบ่งกองกำลังไปยังเหล่าทัพต่างๆ แล้ว ยังต้องแบ่งสัดส่วนมายังหน่วยงานตำรวจด้วย วิธีการปฏิบัติของตำรวจกองประจำการ จะเหมือนกับทหารกองประจำการ คือประจำการ 2 ปี โดยไม่มียศ เป็นพลตำรวจ หลังจากปลดประจำการแล้วก็จะมีสถานะเหมือนทหารกองหนุน
ทั้งนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าวได้กำหนดให้ตำรวจกองประจำการ มีหน้าที่สนับสนุนภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของราชอาณาจักร ตามที่ผู้บังคับบัญชาได้มีคำสั่ง การปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งให้ตำรวจกองประจำการเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และมีอำนาจหน้าที่เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
"การกำหนดอัตราเงินเดือนและการให้ได้รับเงินเดือนของตำรวจกองประจำการนั้นให้นำกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหารมาใช้บังคับโดยอนุโลม ตลอดจนเงินเพิ่มอื่น หรือเงินช่วยเหลือเช่นเดียวกับที่ทหารกองประจำการมีสิทธิได้รับตามที่กำหนดโดยคณะรัฐมนตรี ส่วนการกำหนดวินัย การรักษาวินัย โทษทางวินัย และการดำเนินการทางวินัยของตำรวจกองประจำการ ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ตร."


"ศักดิ์เจียม"สิ้นสภาพอาจารย์"ก.พ.อ."ยืนตามมติ"มธ."สั่งไล่ออก!

นายพินิติ รตะนานุกูล เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และเป็นกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.)ได้มีหนังสือลงวันที่ 9 มิถุนายน 2558 ถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องขอแจ้งผลการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ

หนังสือระบุว่า ตามที่หนังสือที่อ้างถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ส่งเอกสารและพยานหไลักฐานไปยังสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา(ก.พ.อ.)กรณีนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษปลดออกจากราชการตามคำสั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ 356/2558 ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ต่อก.พ.อ.ตามมาตรา 62 แห่งพรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาพ.ศ.2547 นั้น

สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาขอเรียนว่า ก.พ.อ.ในการประชุมครั้งที่ 5/2558 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ได้พิจารณาอุทธรณ์แล้วมีความเห็นดังนี้

1.นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้ยื่นเรื่องขอลาไปปฏิบัติงานในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ต่อมาวันที่ 18 ธันวาคม 2557หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ได้แจ้งให้นายสมศักดิ์ ทราบถึงการพิจารณาอนุมัติการลาดังกล่าวว่าการพิจารณาเป็นไปด้วยความล่าช้าและระยะเวลาได้ล่วงเลยไปถึง 6 เดือนแล้วยังไม่ได้รับการพิจารณาอนุมัติจากมหาวิทยาลัย และแจ้งให้นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กลับมาปฏิบัติราชการและรับมอบภาระงานสอน แต่นายสมศักดิ์ ไม่กลับมาปฏิบัติราชการตามที่ภาควิชาได้แจ้งดังกล่าว ต่อมาเมื่อคณะศิลปศาสตร์ได้มีบันทึกลงวันที่ 26 ธันวาคม 2557 แจ้งให้นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล กลับมาปฏิบัติราชการโดยด่วน นายสมศักดิ์ ก็ยังเพิกเฉยไม่กลับมาปฏิบัติราชการแต่อย่างใด 

ซึ่งในท้ายที่สุกชด มหาวิทยาลัยได้พิจารณาไม่อนุมัติการลาของนายสมศักดิ์ ดังกล่าว พฤติการณ์จึงถือเป็นการจงใจไม่ปฏฺบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบแบบแผนของทางราชการในเรื่องการลาและการปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและทรัพย์สินซึ่งเป็นเงินเดือนและสวัสดิการอื่นๆ ที่่มหาวิทยาลัยและคณะศิลปศาสตร์ได้จ่ายให้แก่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในระยะเวลาระหว่างนั้น เป็นความผิดวินัยร้ายแรง ตามมาตรา 39 วรรคห้าแห่งพระราชบัญญัติระเบียบราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 และเป็นการละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน ถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามข้อ 55 (6) ของข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 ด้วย

2.ข้อกล่าวอ้างของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่อ้างว่าถูกข่มขู่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจากคณะบุคคลซึ่งเข้าแย่งชิงอำนาจการปกครอง ทำให้ไม่สามารถไปปฏิบัติราชการตามปกติ การขอลาไปปฏิบัติงานในประเทศเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางวิชาการดังกล่าวจึงมีเหตุผลสมควรนั้น ไม่ปรากฎพยานหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แต่อย่างใด ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น 

อีกทั้ง การที่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ขอให้ ก.พ.อ. ทบทวนการใช้ดุลพินิจโดยเห็นว่าการใช้ดุลพินิจของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ไล่ตนออกจากราชการนั้นไม่เหมาะสมนั้น เห็นว่า ด้วยมติคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2536 กำหนดให้การละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และไม่กลับมาปฏิบัติราชการอีกเลย เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งควรลงโทษไล่ออกจากราชการ แม้จะมีเหตุอันควรปรานีอื่นใดก็ไม่เป็นเหตุลดหย่อนลงเป็นปลดออกจากราชการ ซึ่งส่วนราชการจะต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด ตามมติคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531

"ดังนั้น การที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ลงโทษไล่นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ออกจากราชการ จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก.พ.อ. จึงมีมติยกอุทธรณ์ของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล"หนังสือก.พ.อ.ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 นายสมศักดิ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า "ได้ยื่นหนังสือต่อ รศ.นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการ คณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่ออุทธรณ์คำสั่งไล่ออกของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้ว ที่สำนักงาน สกอ. ถนนพญาไท (แหม รถติดมว้ากก ที่จอดรถก็ลำบาก ไอ้เราก็ไม่ได้ขับรถนานหลายเดือน ฮี่ฮี่)

ผมอยากขอถือโอกาสขอบคุณอย่างสูง เพื่อนจำนวนหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือในด้านคำปรึกษาแนะนำและ "อื่นๆ" อีกมากในกระบวนการเตรียมการอุทธรณ์นี้ ผมเสียใจที่ไม่สามารถระบุชื่อขอบคุณเป็นรายๆ ได้ หวังว่าคงมีโอกาสสักวันหนึ่ง เชื่อว่าทุกท่านคงทราบดีว่า ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างสูงอยู่

ตามระเบียบ เรื่องของผมในที่สุดจะตัดสินโดย คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (กพอ.) ซึ่งมี รมต.ว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธาน โดยตำแหน่ง แน่นอน รมต. ปัจจุบันคือนายทหารของ คสช. (มีเพื่อนนักกฎหมายบางคนเสนอกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า ที่จริง ผมสามารถทำเรืองร้องเรียนให้ ประธาน กพอ. ถอนตัวเองจากการตัดสินกรณีผม เพราะต้องถือเป็น ส่วนหนึงของ "คู่กรณี" ด้วย แต่ผมไม่มีเวลาจะทำอะไรยุ่งยากขนาดนั้น)
ภายใต้ระบอบ คสช. เช่นนี้ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ที่อุทธรณ์ก็เพื่อใช้สิทธิ์ คัดค้านการตัดสินที่ผมเห็นว่าไม่เป็นธรรม"


ภตช.ยื่นผู้ตรวจการฯ ฟัน 'ประมนต์' เข้าข่ายเลี่ยงภาษีรถยนต์

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 21 ก.ค. 2558 15:06

6,037 ครั้ง


ภตช.ยื่นผู้ตรวจการแผ่นดิน ฟัน "ประมนต์ สุธีวงศ์" ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เข้าข่ายเลี่ยงภาษีรถยนต์ ยุฟันแล้ว ริบเงินคืนแผ่นดิน
วันที่ 21 ก.ค.58 เมื่อเวลา 11.00 น. ภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของชาติ (ภตช.) นำโดย พล.อ.สำเริง พินกลาง ประธานภาคีเครือข่ายฯ และ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการฯ เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่าน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบจริยธรรม และการมีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียของ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ปัจจุบันนายประมนต์ ดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง รวมทั้งเป็นประธานกรรมการบริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด มีข้อมูลว่ามีการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์โตโยต้าพรีอุสไม่ถูกต้อง แจ้งนำเข้าเป็นชิ้นส่วน แต่ข้อเท็จจริงกลับมีการนำเข้าเป็นตัวรถยนต์ทั้งคัน ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิลดหรือยกเว้นภาษีอากรตามความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และประกาศกระทรวงการคลังมาตรา 12 ได้
ล่าสุด อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ฯ มีความผิดยังไม่ชำระภาษีอากรให้ถูกต้อง ฐานสำแดงเท็จจากการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ ช่วงปี 53-55 และเรียกให้ชำระคืนภาษีรวม 11,667 ล้านบาท ดังนั้น นายประมนต์ ในฐานะประธานฯ ถือเป็นผู้ที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ และเป็นผู้มีส่วนได้เสีย แม้ว่าปัจจุบันคดีนี้จะมีการฟ้องร้องกันอยู่ในศาลแพ่ง
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า ยังพบว่า นายประมนต์เป็นประธานคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งขึ้น และได้ส่งผู้แทน 2 คน เข้าร่วมสังเกตการณ์โครงการจัดซื้อรถโดยสารเอ็นจีวีของ ขสมก. และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน แต่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ได้มีหนังสือแจ้งว่า ทั้ง 2 คน ขาดคุณสมบัติ เพราะเป็นผู้ที่เข้าเสนอราคาแข่งขันกับโครงการจัดซื้อรถโดยสารเอ็นจีวีด้วย ต้องถือว่ากระทำผิดกฎข้อตกลงคุณธรรม และกฎหมาย ป.ป.ช. ส่อทุจริตประพฤติมิชอบหรือไม่ ถ้าผู้ตรวจการฯ ตรวจสอบแล้วว่าผิดจริง มีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ให้ส่ง ป.ป.ช. ดำเนินการ และให้เรียกคืนสิทธิประโยชน์ส่วนต่าง ที่นายประมนต์ ได้รับตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน เพื่อนำเงินดังกล่าว กลับมาเป็นของแผ่นดิน

คุก 4 ปี 3แดงเชียงรายผิดม.116 แขวนป้ายขอแยกประเทศล้านนา

คุก 4 ปี 3แดงเชียงรายผิดม.116 แขวนป้ายขอแยกประเทศล้านนา
Cr:แนวหน้า
22 ก.ค. 58 เฟซบุ๊ก "ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน" รายงานว่า ศาลจังหวัดเชียงราย นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ นายออด สุขตะโก นางถนอมศรี นามรัตน์ และนายสุขสยาม จอมธาร จำเลยในฐานผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และพวกอีก 3 คน ร่วมกันแขวนป้ายข้อความระบุว่า "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกเป็นประเทศล้านนา"
คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 57 ช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. จำเลยทั้ง 3 และพวกอีก 3 คน ซึ่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงในอำเภอแม่สรวย ได้ร่วมกันติดป้ายข้อความ "ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกเป็นประเทศล้านนา" บริเวณสะพานลอยหน้าห้างเซ็นทรัลพลาซ่าเชียงราย ต่อมาถูกจับกุมในช่วงเดือนมิถุนายน 57 ภายหลังการรัฐประหาร ก่อนได้รับประกันตัวออกมาต่อสู้คดี
ศาลได้อ่านคำพิพากษาโดยสรุปว่า จำเลยทั้งสามได้มีการนำแผ่นป้ายไปติดที่สะพานลอยที่เกิดเหตุจริง โดยมีภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่ระบุวันเวลาชัดเจน จำเลยทั้งสามมีใบหน้าตรงกับกลุ่มบุคคลที่ปรากฎในภาพกล้องวงจรปิดที่พนักงานสอบสวนจัดทำเป็นภาพนิ่ง ประกอบกับผู้ใหญ่บ้านของจำเลยเบิกความยืนยันภาพว่าเป็นจำเลยทั้งสามจริง
ศาลพิจารณาต่อว่า สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ มีความแตกแยกในหมู่ประชาชน มีการจัดตั้งกลุ่มการเมืองต่างๆ ป้ายข้อความดังกล่าวจึงอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ข้ออ้างที่ว่าไม่มีความยุติธรรมต่อกลุ่มการเมืองของจำเลยทั้งสามเป็นการคิดเองเพียงฝ่ายเดียว ถ้อยคำ "ขอแยกเป็นประเทศล้านนา" มีความหมายว่าไม่ยอมรับการยกคำร้องของศาลอาญาในการขอออกหมายจับแกนนำกลุ่ม กปปส. ในช่วงนั้น เป็นการปฏิเสธอำนาจของศาลอาญาที่มีกฎหมายให้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ไว้ มิใช้เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริต จึงมีเจตนาทำให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 116 จึงพิพากษาให้จำคุกคนละ 4 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษ 1 ใน 4 เหลือจำคุก 3 ปี และจำเลยทั้งสามไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี


ไทยจีนกระชับสัมพันธ์

ไทย-จีน มุ่งมั่นกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกมิติ
Cr:ผู้จัดการ
นายกฯต้อนรับ "หยู เจิ้งเซิง" ขอบคุณจีนเข้าใจไทยอยู่ระหว่างปฏิรูปประเทศ ขอให้จีนพิจารณาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ หนุนแนวคิดเส้นทางสายไหมทั้งทางบกและทางทะเล เสนอเพิ่มเที่ยวบินตรงระหว่างจังหวัดของไทยกับจีน เพื่อเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวระหว่างกัน
วันที่21 ก.ค. เวลา 15.00 น. นายหยู เจิ้งเซิง (Yu Zhengsheng) ประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ในฐานะแขกของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ภายหลังการหารือ พลตรี วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและยินดีที่สถาบันนิติบัญญัติของทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานและมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ โดยในปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ 40 ปีทางการทูตไทย-จีน และยังมีความสำคัญเนื่องจาก ปีนี้ ไทยและจีนจะร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ด้วย


“พุทธอิสระ” ยื่นหนังสือจี้นายกฯเอาผิด “ธัมมชโย”

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 22 ก.ค. ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พระสุวิทย์ ธีรธมฺโม หรือพระพุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย เดินทางมายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. โดยม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับเรื่อง เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเอาผิดกับพระเทพญาณมหามุนี หรือไชยบูลย์ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ด้วยเอาให้สึก
หลังจากที่ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหนังสือแจ้งผลการวินิจฉัยความผิดของพระธัมมชโย ที่พระพุทธอิสระยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ กรณีการนำเงินออกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของวัดพระธรรมกาย ไปซื้อที่ดินที่อำเภอชนแดนและเขาพนมพา อำเภอวังทรายพูน แล้วใส่เป็นชื่อตัวเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โดยมิได้แจ้งจดการได้มาลงในทะเบียนศาสนาสมบัติของวัดพระธรรมกาย และเอาผิดกับผู้ที่ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบหรือข้อกฎหมายให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของตน ทั้งพนักงานอัยการ ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ข้าราชการ เจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นซึ่งถือว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
“ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินชี้มูลความผิดว่า พระธัมมชโยเป็นอาบัติปาราชิก ในข้อหายักยอกทรัพย์ของวัดและอวดอุตริ อีกทั้งยังมีพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ วินิจฉัยว่าพระธัมมชโย ขาดจากความเป็นพระ จึงขอให้นายกฯ ในฐานะผู้กำกับดูแลหน่วยงานของรัฐและสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เร่งรัดคดีนี้ไปตามกฎหมายปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพราะเรื่องนี้ยืดเยื้อมานาน 17 ปี สิ้นสมเด็จพระสังฆราชฯไป 2 องค์ ผ่านมาแล้ว 6 รัฐบาล แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการได้ เมื่อคสช.เข้ามาบริหารประเทศ ก็ได้ให้สัญญาว่าจะบังคับใช้กฎหมายด้วยความเท่าเทียมทั่วถึงและเที่ยงธรรม ใครผิดก็ว่ากันไปตามผิด จึงขอความกรุณานายกฯให้ช่วยเร่งคดีนี้ให้จบ ก่อนที่จะมีพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อย่าให้สมเด็จพระสังฆราชจากไปอย่างมีมลทินเลย” พระสุวิทย์ กล่าว


ณรงค์ชัยชี้ทางรอดศก.ไทย

- สวัสดีวันอังคารที่ 21 ก.ค. 2558 ครับ
- วันนี้มีประชุมครม. เวลาที่ใช้มากที่สุด คือการหารือเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ทั้งงานที่ทำไปแล้ว เป็นโครงการจัดการแหล่งน้ำที่รับน้ำ แต่ฝนไม่มา และจัดการน้ำเท่าที่มี โดยมีปัญหาที่ประสบโดยเกษตรกร ทั้งที่เชื่อรัฐบาล ไม่ปลูกข้าว คอยจนคงไม่ได้ปลูก และที่ไม่เชื่อ ปลูกข้าวไปแล้ว ข้าวออกรวงแล้ว ต้องมีน้ำเลี้ยงไม่ให้ตาย แล้วรัฐบาลจะช่วยใคร คนเชื่อหรือคนไม่เชื่อ แต่สรุปแล้ว ก็ต้องช่วยทั้งสองกลุ่ม
- ที่อยากเล่าวันนี้ คือผมมางานของม.เคมบริดจ์ เป็นงานปาฐกถา เป็นเกียรติแก่ Prof. Amartya Sen นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย/เบงกาลี ศิษย์เก่า Trinity College ของม.เคมบริดจ์ ที่มีผลงานเพียบ จนได้รางวัลโนเบล วันนี้สมาคมเคมบริดจ์ โดยคุณอานันท์ ปันยารชุน ศิษย์เก่า เป็นประธาน เป็นผู้เชิญ ผู้จัด โดยให้ Dr. Haruhiko Kuroda ผู้ว่าธ.กลางญี่ปุ่น อดีต President ของ ADB เป็นองค์ปาฐก
- ขอสดุดี Prof. Amartya Sen ก่อน ท่านเก่งมาก งานเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนา แก้ไขความยากจน และความเหลื่อมล้ำ (Welfare Economics) ด้วยนโยบายราคาที่เหมาะสม และมี Social Safety Net สำหรับกลุ่มคนที่จำเป็น โดยทั้งนี้ต้องมีการเมืองที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Governance) จากระบอบประชาธิปไตย แต่ที่ผมติดใจ Prof. Sen คือท่านมีหนังสือ Best Seller ชื่อ The Argumentative Indian ที่อธิบายความช่างพูดของคนแขกอินเดียได้ดีที่สุด ว่าที่จริงเป็นจิตวิญญาณของคนอินเดียที่ชอบโต้เถียงกัน ด้วยเหตุผลหลักคือ ต้องการอ้างแสดงเหตุผลของตนว่า มีดีกว่าอีกฝ่าย แต่ถ้าโต้เถียงแล้ว แพ้ก็ไม่เป็นไร เราจึงเห็นคนแขกพูดมาก แต่ไม่ค่อยสู้รบตบตีกัน ความช่างพูดกลายเป็นสมบัติที่มีค่า (Asset) คือตอนมีระบบ Call Center อินเดียกลายเป็นศูนย์กลาง Call Center ของโลก เพราะคนอินเดียพูดไม่รู้จักเหนื่อย
- สำหรับ องค์ปาฐกคือ Dr. Haruhiko Kuroda ท่านพูดเรื่องทำอย่างไรจะให้เอเซียมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง คือเติบโตอย่างยั่งยืน ประเด็นคือ ใน 30-40 ปีมานี้ เศรษฐกิจเอเซีย เติบโตมาก แต่ปีสองปีมานี้ ทำท่าจะช้าลง เริ่มจากญี่ปุ่น ตามมาด้วยประเทศในเอเซียตะวันออกอื่นๆ และ ASEAN และตอนนี้จีนก็เริ่มช้าลงเหมือนกัน ซึ่งคำอธิบายคือ ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ของระบบเศรษฐกิจไม่ได้เพิ่มเร็วพอ ที่เอเซียโตได้ดีที่ผ่านมา ส่วนสำคัญเป็นเพราะใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ทั้งคนและที่ดิน มาผลิตของขายมากขึ้น พอเริ่มใช้เต็ม ก็โตช้าลง จะต้องให้ Productivity เพิ่ม ถึงจะโตต่อได้
- แล้วเราจะเพิ่ม Productivity ได้อย่างไร…
- คำตอบอยู่ที่การบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ คือจะต้องให้ระบบราคา ในตลาดทำงานได้อย่างเต็มที่ ตามหลักของ Adam Smith จะต้องมีนวัตกรรม (Innovation) ต่อเนื่อง คืออาศัยเทคโนโลยีมาผลิตสินค้าและบริการได้ดีขึ้น มากขึ้น ด้วยทรัพยากรเท่าเดิม หรือน้อยกว่า (Joseph Schumpeter) และจะต้องบูรณาการทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจให้ทำงานได้ดีที่สุด โดยไม่ต้องลงทุนสุทธิเพิ่มขึ้น (Robert Solow) ถ้าได้ครบ ก็จะโตต่อเนื่อง
- ผมย้อนมาดูเศรษฐกิจไทย ทำทั้งหมดนี้ก็คือ ปฏิรูป ที่เรากำลังพูดกันอยู่นี่เอง คือให้มีโครงสร้างของตลาด เพื่อการค้า โครงสร้าง ของระบบการใช้ทรัพยากรเพื่อการผลิต และระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้สะดวก และโครงสร้างของกฎ/ระเบียบ ตลอดจนการใช้กฎ/ระเบียบที่เปิดเผย โปร่งใส และเป็นธรรม
- และนี่คือ วาระของชาติคือ Agenda of the Nation ที่พวกเราทุกคนต้องทำต่อเนื่องอย่างไม่จบสิ้น
- ท่านประชาชนไหวไหมครับ?
- สวัสดีครับ...