PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

ข้างหลังภาพถ่าย...

Vulture Waiting for the Malnutritioned Child to Die, 1994
อีแร้งรอกินศพเด็กที่อดอยากใกล้ตาย 2537



ภาพโดย Kevin Carter ไดัรับรางวัล Pulitzer ประเภทสารคดี1994





ภาพจาก Google.com
หนึ่งในภาพที่สะเทือนใจชาวโลก
และก่อให้เกิดการวิพากวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
เกี่ยวกับนิยามมนุษยธรรม/จริยธรรมที่พึงมีของช่างภาพ
ช่างภาพรายนี้ฆ่าตัวตายในภายหลัง
แม้ว่าจะได้รับรางวัลจากภาพนี้

หมายเหตุ ในวันที่ 11 มีนาคม 2536 Kevin Carter
ได้ร่วมเดินทางไปที่ซูดานกับกองทัพสหประชาชาติ (UN)
เพื่อแจกจ่ายอาหารให้ชาวซูดาน
ขณะที่กำลังถ่ายภาพชาวบ้านที่อดอยากหิวโหย
ที่มุ่งหน้ามารับอาหารที่ศูนย์แจกจ่ายอาหาร
มีอีแร้งบินร่อนลงในพื้นที่ใกล้เคียง
ช่างภาพรายนี้บอกแต่เพียงว่า
มันเป็นหน้าที่ที่ต้องถ่ายภาพนี้
ถ่ายภาพแล้วต้องเดินจากไป

ภาพนี้ได้ขายให้ New York Times มีการตีพิมพ์เผยแพร่วันที่ 26 มีนาคม 2536
แล้วแพร่กระจายไปตามสื่อต่าง ๆ ทั่วโลก  ผู้คนนับหลายร้อยคนได้ติดต่อสอบถาม
New York Times ถึงชะตากรรมเด็กน้อยรายนี้
แต่ New York Times ระบุว่า  ไม่ทราบว่า
เด็กคนนี้เดินไปถึงศูนย์แจกจ่ายอาหารหรือไม่

แต่ João Silva  ช่างภาพหนังสือพิมพ์โปรตุเกส
ที่ปักหลักอยู่ในอัฟริกาใต้
ได้ร่วมเดินทางกับ Carter ไปยังซูดาน
ให้สัมภาษณ์อีกแง่มุมหนึ่งกับนักเขียน/ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น
Akio Fujiwara ที่ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า  Fujiwara
โดยมีภาพหน้าปกเป็นเด็กชายคนนี้

โดย Silva ได้เล่าว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้เิกิดขึ้น
ในช่วงเดินทางไปซูดานร่วมกับกองกำลังบรรเทาทุกข์ UN
ขณะที่เรือบินจอดแถบตอนใต้ของซูดาน
ในวันที่ 11 มีนาคม 2536 เจ้าหน้าที่ UN
บอกว่าเรือบินจะขึ้นบินอีกในสามสิบนาทีข้างหน้า
(เวลาที่จำกัด/เพียงพอกับการแจกจ่ายอาหาร)
ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งไปรอบ ๆ เพื่อถ่ายภาพ
ขณะที่เจ้าหน้าที่ UN แจกจ่ายข้าวโพด
พวกผู้หญิงในค่ายผู้อพยพลี้ภัยต่างออกมาจากโรงเรือนไม้ชั่วคราวมายังเรือบิน
Silva ได้วิ่งไปถ่ายภาพพวกนักรบกองโจร
ขณะที่ Carter อยู่ไม่ไกลจากเรือบินเพียงสิบสองฟุตเล็กน้อย

Silva เล่าว่า Carter รู้สึกตกใจมากในครั้งแรกที่เห็นภาพการอดอยาก/ขาดอาหาร
และได้ถ่ายภาพเด็กที่อดอยาก/ขาดอาหารจำนวนมาก
Silva ก็ถ่ายภาพเด็ก ๆ ตามพื้นดินที่กำลังร้องไห้  แต่ภาพไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่
ขณะที่พ่อแม่เด็ก ๆ ต่างยุ่งอยู่กับการไปรับแจกอาหารจากเรือบิน
จึงต้องทอดทิ้งเด็ก ๆ ไว้เป็นการชั่วคราวในช่วงเวลาสั้น ๆ

ภาพเด็กขายคนนี้จึงถูกถ่ายโดย Carter
ขณะที่อีแร้งยืนอยู่ด้านหลังเด็กชายคนนี้
ในการจับภาพทั้งคู่นี้
Carter ต้องระมัดระวังไม่ให้อีแร้งตื่นตกใจแล้วบินหนีไป
ภาพนี้ถ่ายในระยะห่างประมาณ 10 เมตร
และถ่ายอีก 2-3 ภาพก่อนไล่อีแร้งไปให้พ้น

ในเวลานั้นมีช่างภาพสเปน 2 รายที่อยู่ในบริเวณนั้น คือ
José María Luis Arenzana กับ Luis Davilla แต่ไม่รู้จักกับ Kevin Carter 
พวกเขาต่างถ่ายภาพในบริเวณเดียวกัน
เรื่องนี้มีการเล่าหลายครั้งแล้วว่า
ที่ศูนย์แจกจ่ายอาหาร จะมีเหล่าอีแร้งชุมนุมกันที่บริเวณหลุมขยะ
พวกเราเดินทางจาก Pepe Arenzana ถึง Ayod
ที่เป็นศูนย์แจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้านเดินทางมารับ
พื้นที่ปลายสุดชุมชนจะเป็นที่ทิ้งขยะ/ส้วมชาวบ้าน
ขณะที่เด็ก ๆ ต่างอ่อนแออดอยาก/ขาดอาหาร
ต่างเดินไปข้างหน้าทำให้เกิดภาพว่าพวกเขากำลังจะตาย
ในภาพจะเห็นว่ามีอีแร้งรอคอยเหยื่ออยู่ใกล้กับเด็ก
แต่ถ้าสังเกตให้ดีแล้วระยะห่างของเด็กชายกับอีแร้ง
มุมกล้องทำให้เกิดภาพลวงตา
เพราะทั้งคู่อยู่ห่างกันประมาณ 20 เมตร

วันที่ 27 กรกฏาคม 2537 Kevin Carter
ได้ขับรถยนต์ไปที่ Braamfonte
ใกล้กับ the Field and Study Centre
สถานที่ชื่นชอบตอนวัยเด็ก
แล้วจัดการพันเทปรอบท่อยาง
ที่แยงเข้าไปในท่อไอเสียรถยนต์กะบะ
แล้วจ่อท่อยางเข้ามาในหน้าต่างรถยนต์ด้านคนขับ
พร้อมกับเดินเครื่องยนต์เป็นการฆ่าตัวตาย
ด้วยพิษก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์
จบชีวิตในวัย  33 ปี  นี่คือจดหมายลาตายบางตอน

" ผมมีความสุขโดยไม่จำต้องมี ...โทรศัพท์ ... เงินค่าเช่า ...
เงินช่วยเหลือเด็ก... เงินจ่ายหนี้สิน ... เงิน!!!..
ผมถูกหลอกหลอนไปกับความทรงจำที่ไม่ลบเลือน
เรื่องการฆ่าคนและศพ  ความโกรธแค้นและความเจ็บปวด
... การอดอยาก/ขาดอาหารหรือเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ
จากการกระทำของพวกคนบ้าที่มีความสุข(พวกซาดิสท์)
บ่อยครั้งที่เป็นตำรวจ/เพชรฆาตนักฆ่า
ถ้าผมโชคดี ผมคงจะได้ไปอยู่ร่วมกับ Ken

(เพื่อนร่วมกลุ่ม Bang Bang Club
เสียชีิวิตเพราะถูกกระสุนปืนของกองกำลังอีกฝ่าย
ในวันที่ 18 เมษายน 2537
และเป็นชื่อฆาตกรคนแรกของโลกในคัมภีร์ไบเบิ้ล)
สรุปย่อเรียบเรียงจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Kevin_Carter


ที่มาของภาพ http://www.thebangbangclub.com/photographers.html
Bang Bang Club เป็นชื่อกลุ่มช่างภาพกบฏ(นอกกฎเกณฑ์/ธรรมเนียมปฏิบัติของช่าวภาพทั่วไป)
ที่รวมกลุ่มกันสี่คนออกไปถ่ายภาพสงครามกลางเมืองในแอฟริกาใต้ระหว่างปี 2533-2537
ในช่วงการเปลี่ยนผ่านระบบการเมืองการปกครองที่แบ่งแยกสีผิว (เหยียดสีผิว)
เพื่อเตรียมการไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลบนพื้นฐานความเป็นสากลโลก
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวจะมีเหตุการณ์สู้รบ/ความรุนแรง/การก่อการร้าย
ที่เกิดขึ้นกันเองระหว่างกลุ่มคนผิวดำกับกลุ่มคนผิวดำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการหนุนหลังของกลุ่มพรรคการเมือง
ANC (African National Congress) กับ IFP (Inkatha Freedom Party)
หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศอนุญาติให้ทำกิจกรรมการเมืองของทั้งสองกลุ่ม

Kevin Carter, Greg Marinovich, Ken Oosterbroek กับ João Silva เป็นชื่อทั้งสี่คนของกลุ่ม
แม้ว่าจะมีช่างภาพหรือช่างภาพหนังสือพิมพ์อีกหลายคนทำงานร่วมกันก็ตามแต่ (เช่น James Nachtwey กับ Gary Bernard)
ในภาพยนตร์จะนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มนี้  กำกับโดย  Steven Silver
และนำแสดงโดย  Taylor Kitsch, Ryan Phillippe  กับ  Malin Åkerman
เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่ the Toronto International Film Festival ในปี 2553

ชื่อ Bang Bang Club ได้แจ้งเกิดในบทความที่ตีพิมพ์ในนิตยสารชีวิตแอฟริกาใต้ South African magazine Living
เดิมทีใช้ชื่อกลุ่ม Bang Bang Paparazzi แต่ได้เปลี่ยนไปเป็น  Club เพราะสมาชิกรู้สึกว่า
คำว่า Paparazzi ปาปารัสซี่ (แอบถ่ายภาพ/ซุ่มถ่ายภาพโดยเจ้าของภาพไม่ยินยอม)
บิดเบือนการทำงานที่แท้จริงของพวกเขา ชื่อนี้ได้มาจากการทำมาหาเลี้ยงชีพช่างภาพกลุ่มนี้
ขณะเดียวกันผู้อยู่อาศัยในเขตเมือง/ผู้ลี้ภัยมักพูดกับช่างภาพที่เกี่ยวด้วยคำว่า Bang Bang ปัง ปัง
เวลาพูดคุยอ้างอิงถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในชุมชน/พื้นที่สู้รบของพวกเขา
ตัวอักษร bang bang  จึงหมายถึง เสียงปืน
และเป็นคำพูดธรรมดา ๆ ที่ใช้กันในกลุ่มช่างภาพเวลาพูดถึงความขัดแย้ง

วันที่ 18 เมษายน 2537 ในระหว่างการสู้กันระหว่างกองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติ
กับพรรคสภาแห่งชาติแอฟริกัน  ในเขตการปกครอง Thokoza
กระสุนปืนได้สาดใส่ Ken Oosterbroek ถึงแก่ความตาย
ส่วน Greg Marinovich ได้รับบาดเจ็บสาหัส
การพิจารณาคดีการตายของ Ken Oosterbroek เริ่มขึ้นในปี 2538 ผู้พิพากษาตัดสินว่า
ตายโดยไม่ทราบว่าเป็นกระสุนของฝ่ายใด (ไม่มีใครควรได้รับการตำหนิ/หรือตัดสินว่าผิด)
แต่ในปี 2542  Brian Mkhize  คนของกองกำลังรักษาสันติภาพนานาชาติ
ได้บอกกับ Greg Marinovich กับ  Silva ว่า เขาเชื่อว่า
กระสุนมาจากฝ่ายของตนในการยิงถูก Ken Oosterbroek

ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2537 Kevin Carter ฆ่าตัวตาย

ที่ 23 ตุลาคม 2553 Silva เหยียบกับระเบิด
ขณะถ่ายภาพช่วงลาดตระเวนร่วมกับทหารสหรัฐ
ใน คันธาระ (กันดาฮาร์) ของอัฟกานิสถาน
และสูญเสียขาทั้งสอง(บริเวณข้างใต้เข่า)
เป็นการบาดเจ็บครั้งที่สองของเขาในสมรภูมิสู้รบ
การบาดเจ็บครั้งแรกของเขา  ถูกยิงด้วยกระสุนที่ใบหน้า

ช่างภาพสองรายในกลุ่ม Bang Bang Club ได้รับรางวัลภาพถ่าย Pulitzer
Greg Marinovich ชนะจากภาพถ่ายข่าวกีฬา (the Pulitzer for Spot News Photography)
ในปี 2534 จากข่าวการฆาตกรรม  Lindsaye Tshabalala ในปี 2534
Kevin Carter ชนะจากภาพถ่ายสารคดี (the Pulitzer for Featured Photography)
ในปี 2537 จากภาพอีแร้งปรากฎตัวอยู่ด้านหลังเด็กที่อดอยากหิวโหยเขตตอนใต้ซูดาน

เรียบเรียงจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Bang-Bang_Club
ข้อมูล ณ 24 สิงหาคม 2556
เรียงเรียงจาก

http://goo.gl/9LmniO
http://en.wikipedia.org/
http://www.longdo.com/
http://google.com

ผิดพลาดขออภัย/โปรดชี้แนะ จะกลับมาแก้ไข ขอบคุณครับ

อยากเป็น กกต.

อยากเป็น กกต.



หลังจากที่ประชุม สนช.ลากตั้งโหวตเททิ้งยกเข่งว่าที่ กกต. ใหม่ทั้ง 7 คน
แยกเป็น 5 คน ผ่านการสรรหามาตามขั้นตอน
และ 2 คน ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาคัดเลือกมาเอง
เหตุใด สนช.ลากตั้ง จึงพร้อมใจกันโหวตไม่เห็นชอบว่าที่ กกต.ทั้ง 7 คน ยังไม่มีคำตอบชัดเจน
แต่ถึงไม่มีคำตอบชัดเจน ก็เดาได้ว่าต้องมีใบสั่งมา
ถ้าไม่มีใบสั่งมา...ไม่มีทางโหวตคว่ำยกเข่งแน่นอน!!
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่า ผลจากว่าที่ กกต.ใหม่ 7 คน ถูกโหวตคว่ำกลางสภาฯก็ต้องเปิดรับสมัครสรรหา กกต.ใหม่ซ้ำอีกที
ครั้งนี้มีผู้เสนอตัวเข้ารับการสรรหาเป็น กกต.ใหม่ รุ่น 2 รวมทั้งสิ้น 33 คน คิดเป็นอัตราส่วนการแข่งขัน 7 ต่อ 1 โดยประมาณ
ปรากฏว่า ผู้ที่เคยยื่นใบสมัครเป็น กกต.รอบแรก แต่ไม่ได้รับการสรรหากลับมายื่นสมัครซ้ำใหม่หลายคน
ใครจะผ่านการสรรหาเป็น 5 กกต.ชุดใหม่ รอลุ้นต่อไปอีก 2 เดือน
ส่วนโควตา กกต.ฝ่ายตุลาการอีก 2 คน เป็นเรื่องที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะคัดเลือกเอง
ไม่เกี่ยวกับผู้สมัครรับการสรรหาทั้ง 33 คน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า โดยหลักการ ผู้ที่จะผ่านการสรรหาเป็น กกต.น่าจะมีอดีตข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ติดโผมาด้วยไม่ต่ำกว่า 1 หรือ 2 คน
เพราะอดีตข้าราชการฝ่ายปกครอง มีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญการเลือกตั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่นมาแล้วอย่างโชกโชน
“แม่ลูกจันทร์” คาดล่วงหน้าว่า 1 ใน 5 ว่าที่ กกต.ใหม่ น่าจะมี นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ ปทุมธานี ระนอง ชุมพร เป็นตัวเต็ง
เพราะเคยเป็นผู้ว่าฯมาแล้วทั้งภาคใต้ ภาคอีสาน และภาคกลาง
นอกจากนี้ ยังมี นายศิริพงษ์ ห่านตระกูล อดีตอธิบดีกรมที่ดินสังกัดเดียวกัน
และยังมีอดีตผู้ว่าฯใส่ตะกร้าล้างน้ำเข้ารับการสรรหาอีก 2 คน
จิ้มชื่อคนไหนก็เป็น กกต.ได้ทุกคน
“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่า ในยุค คสช.สืบทอดอำนาจการเมือง ถ้าจะมี กกต.ใหม่มาจากสายตุลาการทหารสักคน ก็ต้องเป็น “พล.ท.ศานิต สร้างสมวงษ์” อดีตตุลาการศาลทหาร และหัวหน้าศาลทหารสูงสุด
น่าจะมีโอกาสทะลุติด 1 ใน 5 ว่าที่ กกต.สะดวกโยธิน??
แต่ถ้าสนใจใช้งานระดับ “ปลัดกระทรวง” งวดนี้มีให้เลือกคนเดียว
นายปรีชา กันธิยะ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม
“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่า รอบนี้มี “ทนายความ” เสนอตัวประกวดชายงามชิงโควตา กกต.มากถึง 13 คน
ถ้าจะมี “ทนายความ” ผ่านการสรรหาเป็น 1 ใน 5 กกต.สักคนก็เหมาะสมดี
แต่ถ้าไม่มี “ทนายความ” แหกด่านมะขามเตี้ย เข้ามาได้แม้แต่คนเดียว “แม่ลูกจันทร์” ก็ไม่ผิดหวังอยู่ดี
แต่จะผิดหวังมาก ถ้าโผว่าที่ กกต.ใหม่ 7 คน มีแต่ผู้ชายทั้งดุ้น ไม่มีผู้หญิงแทรกเป็นยาดำแม้แต่คนเดียว
ขอผู้หญิงเก่ง นั่งเก้าอี้ กกต.สักคน ไม่ได้เชียวหรือโยม.
“แม่ลูกจันทร์”

ไม่แปลกที่ ‘สมคิด’ น่วม

ไม่แปลกที่ ‘สมคิด’ น่วม



แข็งแรง ไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่าตัดบายพาสหัวใจแบบที่มีกระแสข่าว
ตามฉากที่พี่ใหญ่ทีมบูรพาพยัคฆ์อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม โชว์ด้วยภาพเปิดบ้านส่วนตัวที่ซอยโชคชัย 4 ให้รดน้ำสงกรานต์
รายการโชว์ความเหนียวแน่นระหว่างพี่ๆน้องๆ
งานสำคัญแบบที่ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. ควง “อาจารย์น้อง” รศ.นราพร จันทร์โอชา มาร่วมรดน้ำพี่ใหญ่ ในบรรยากาศชื่นมื่นแบบคนสนิทคุ้นเคยกันมาทั้งชีวิต
และสังเกตได้แขกที่ตบเท้าร่วมงานมีแต่รัฐมนตรีสายทหาร ผู้นำเหล่าทัพ บิ๊กตำรวจ เท่านั้น
เป็นการสำทับความแน่นปึ้กของทีมท็อปบูต “แบ็กอัพ” อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์
ที่แน่ๆไม่เกี่ยวกับภาพทางการเมืองของรัฐบาล หรือการส่งสัญญาณเดินหน้าไปต่อของทีมงาน คสช. ล้อกับกระแสการเลือกตั้งที่กำลังครึกครื้นแต่อย่างใด
เพราะ “บิ๊กป้อม” ประกาศชัดถ้อยชัดคำแล้วว่า ไม่เล่นการเมือง
เรื่องการตีตั๋วต่อบนเก้าอี้ผู้นำหลังเลือกตั้งเป็นการตัดสินใจของ “นายกฯลุงตู่”
“พี่ใหญ่” ออกตัวล่วงหน้า เลือกตั้งเป็นกองหนุนอยู่วงนอก
ขณะเดียวกัน ดูจากอารมณ์ของพี่รองอย่าง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ก็ปฏิเสธเสียงเข้ม ไม่เกี่ยวข้องและไม่มีส่วนรับรู้กับการตั้งพรรคการเมืองเพื่อเป็นฐานสนับสนุน “นายกฯลุงตู่”
และไม่คิดที่จะเข้าร่วมพรรคการเมืองที่มีข่าวว่าทีมงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กำลังตั้งขึ้นมา
“พี่รอง” ก็ไม่อยู่ในช็อตตีตั๋วต่อกับน้องเล็ก
หรือแม้แต่ “บิ๊กนมชง” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกฯ เพื่อนรักของ “บิ๊กตู่” ก็ยืนยันว่าไม่มีส่วนร่วมรับรู้กับการตั้งพรรคของทีมงานนายสมคิดเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์
พี่น้องผองเพื่อนไม่มีเอี่ยว ถึงจุดนี้ก็ชัดเจนในเบื้องต้น แนวยุทธศาสตร์การตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุน “ลุงตู่” ยกระดับความชอบธรรมเป็น “นายกฯคนใน” เป็นมุมการเมืองของนายสมคิดและทีมงาน
การก่อกำเนิดพรรคพลังประชารัฐไม่มีทหารเกี่ยวข้อง
ไม่ใช่พรรค คสช.อย่างที่ฝ่ายจ้องเตะตัดขา “ป้ายสี”
แบบที่นายสมคิดเปิดสัญญาณนำร่อง เป็นค่ายที่เน้นให้คนรุ่นใหม่ และพวกที่ไม่ยึดติดเงื่อนไขความขัดแย้ง เข้ามาร่วมงานการเมืองเชิงสร้างสรรค์สนับสนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ
ตามจังหวะที่ถือเป็นช็อตต่อเนื่องกับการเริ่มหงายไพ่ของ “สมคิด”
กับมติ ครม.ล่าสุดเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้แต่งตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และแต่งตั้งนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังชล และอดีตนายกเมืองพัทยา เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
สอดรับกับกระแสข่าววงในกระเส็นกระสาย ทีมงานค่ายพลังชลเป็นป้อมค่ายแรกๆที่ต่อสายตรงกับ “สมคิด” ในการร่วมงานทางการเมืองหนุน “ลุงตู่” ตีตั๋วต่อ
เป็นการเดินหมาก “มัดจำ” เกมยุทธ์แบบนักการเมืองอาชีพ
และทั้งหมดทั้งปวง จุดที่สะท้อนว่า “สมคิด” ลุยแบบไม่มีภูมิคุ้มกัน
นั่นก็คือสภาพที่ถูกรุมสกรัมทันทีที่เริ่มเปิดตัวหนุน “ลุงตู่”
โดยรูปการณ์ที่ “เจ้าถิ่นขาใหญ่” กระโดดยำบาทา “สมคิดแอนด์โค”
ตั้งด่านสกัด เตะตัดขาดาวรุ่งเอาให้ร่วงให้ได้
อาการแบบที่ “เดอะมาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปรับองศาหันมามุ่งกระแทกการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ประจานช่วง 3–4 ปี ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า
ล็อกเป้าด่ากระแทกชิ่งทีมงาน “สมคิด” แบบเจาะจงเน้นๆ
หรืออารมณ์แบบที่ “เสี่ยแดง” นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ไล่ตามเบิ้ลบลัฟ “สมคิด” แบบกัดติด ขยันคุ้ยข้อมูลด้านลบมาดิสเครดิต ฝีมือการแก้เศรษฐกิจไม่ได้ดีจริง
ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ฟอร์มเดียวกัน
ไฟต์บังคับนักการเมืองอาชีพ ต้องรีบเจาะยาง “สมคิด” ที่ปั่นกระแสเศรษฐกิจติดลมบน จนเป็นจุดขาย ถึงขั้นมั่นใจหนุน “ลุงตู่” ไปต่อผ่านพรรคการเมือง
แต่เรื่องของเรื่อง นักการเมืองรู้ตัวช้าไปหนึ่งก้าว ถึงตรงนี้คงไม่ทันกาลแล้ว
เพราะ “สมคิด” เปิดไพ่ปุ๊บ กินรอบวงเลย.
ทีมข่าวการเมือง

แรงไปก็ขอโทษ

(17/4/61)

"ถ้ามันแรงไป ก็ขอโทษ"

"บิ๊กตู่" ชี้"เอกชัย หงส์กังวาน" ละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอื่น  ไปรบกวนคนโน้นคนนี้ อยากให้มอง2 ด้าน.  หลังตำรวจรวบตัว ก่อนไปบ้าน"บิ๊กป้อม"

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายเอกชัย หงส์กังวาน และนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ก่อนเดินทางไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าบ้านพักพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรร ที่เปิดบ้านให้รดน้ำสงกรานต์ เมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา ว่า สื่อรู้อยู่แล้ว เขาเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง ฉะนั้นต้องมองว่า การจะไปรบกวนคนโน้นคนนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอื่นหรือไม่ อยากให้มอง2 ด้านบ้าง อย่ามองแค่ด้านใดด้านหนึ่ง มันเหมือนเป็นการสนับสนุนให้ทำกิจกรรมสร้างผลกระทบกับคนอื่น รวมถึงการจราจร และการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่สมควรในเวลานี้

“ก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาต้องการให้เกิดเหตุ และเกิดภาพความรุนแรงขึ้น เพื่อให้สื่อถ่ายภาพลงหนังสือพิมพ์ แล้วสื่อก็มาถามผมแบบนี้ ก็เตือนกันง่ายๆ กลับบ้านไปก็จบ แต่ก็ดิ้นรนไปเรื่อยเปื่อย 

สุดท้ายคือ ต้องการให้เกิดภาพ พอไปโรงพัก ก็ไปพังคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงานสถานีตำรวจ ตรงนี้ทำไมไม่ไปถามเขาดูบ้าง ทำแบบนี้ได้หรือไม่ และเขาก็ไม่ได้เอาเรื่องเอาราวลงโทษทางกฏหมายอะไร จริงๆ แล้วต้องลงโทษ หากทำอีกคงต้องลงโทษ เพราะมันไม่ไหว เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น

ส่วนที่มองว่าเจ้าหน้าที่กระทำรุนแรงเกินไปนั้น เป็นไปอย่างที่บอก มีการดิ้นไปดิ้นมา เจ้าหน้าที่จับแขนจับขา ก็กลายเป็นรัดคอ เพราะเขาไม่หยุด แล้วจะให้ทำอย่างไร 

"วันหลังให้สื่อไปช่วยกันทำให้เขาหยุด จะได้หรือไม่ก็ไม่รู้ ให้เจ้าหน้าที่ลองถ่ายภาพดูบ้าง ไปหาวิธีการที่เหมาะสมก็แล้วกัน ถ้ามันแรงไปก็ขอโทษ” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า เรื่องใดก็ตามที่เป็นความขัดแย้ง หลังสงกรานต์นี้รัฐบาลขอให้เรานำพาประเทศให้ผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญช่วงนี้ไปให้ได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง หากไม่สงบเรียบร้อยเราจะทำอะไรกันต่อไปได้ วันหน้าก็จะเกิดความวุ่นวายสับสนอลหม่านเหมือนเดิม 

ฉะนั้นขอว่าจะเสนอข่าวอะไรขอให้เสนอ2ทาง อย่าไปลองตัดสินว่าโน้นนี่ผิดถูก เพราะบางทีมันไม่ใช่ เนื่องจากข้อมูลไม่ตรงกัน ข้อมูลของภาครัฐเยอะกว่าอยู่แล้วถึงได้ทำงานนั่นนี่ค่อนข้างตรงความต้องการของประชาชน ไม่อยากให้ไปฟังคำพูดคำกล่าวอะไรจากภายนอกมากนัก

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ผ่านมาทั้งสิ้น รัฐบาลนี้ทำสนองตอบทุกคนทั้งประชาชน การเมือง นักการเมืองที่เคยทำไม่ได้ เราก็ทำให้มันได้ ส่วนที่ดีเราทำขนาดนี้ แล้วจะมาติติงอะไร” นายกฯ กล่าว

เตือน

(17/4/61)
"บิ๊กตู่" เตือน เพื่อไทย นัดทานข้าว ตีกอล์ฟ"กับ "ตระกูลสะสมทรัพย์" อาจขัดคำสั่ง คสช. เตือนอย่าทำอะไรผิดกม.

ปีที่แล้ว  ปรากฏภาพบิ๊กตู่ พร้อม บิ๊กฉัตร พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ และ บิ๊กแดง พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ กับตระกูลสะสมทรัพย์ แต่ นายกฯบิ๊กตู่ ยัน พบกันโดยบังเอิญ ไปตีกอล์ฟ สนามเขา แล้ว เขามาต้อนรับ  ไม่มี ดีลการเมือง

แต่มาคราวนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทย มีทนัดรับประทานอาหารกลางวันและตีกอล์ฟกับนักการเมืองตระกูลสะสมทรัพย์ที่สนามนิกันติ จ.นครปฐม พุธนี้  พลเอกประยุทธ์ บอกว่าจะผิดคำสั่งคสช.หรือไม่ ไม่ทราบ แต่กำลังตรวจสอบอยู่ โดยเฉพาะคนที่ไปเดินเคลื่อนไหวพบปะประชาชนต่างๆตอนนี้กำลังดูว่าผิดคำสั่งอะไรหรือไม่เพราะคำสั่งเขียนไว้ชัดเจนว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ ขอให้ระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผิดกฎหมาย

กองหนุน

"กองหนุน ชรา"

"บิ๊กอ๊อด" ลั่น พร้อมช่วย"พรรคบิ๊กตู่" เพราะเป็นพี่น้องกัน แถมรับปาก"ผู้ใหญ่"ไว้แล้ว ชี้ อนาคต"บิ๊กตู่" ไหวมั้ย ตัองรอดู ฝีมือ "สมคิด"

พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรมว.กลาโหม ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย วัย 81 ปี กล่าวถึง การเล่นการเมือง ว่า “ก็ดูอยู่”  “ก็ชีวิตเรา มาแบบนี้”

เมื่อถามว่า จะรับเป็นที่ปรึกษาพรรคของ พลเอกประยุทธ์ หรือไม่ พลเอกยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ตนเอง พร้อมที่จะช่วย พล.อ.ประยุทธ์ อยู่แล้ว เพราะเป็นพี่น้องกัน มีความหวังดีต่อกัน มีความเป็นห่วง แล้ว พลเอกประยุทธ์ ก็ให้เกียรติตนเองมาตลอด 

"ที่สำคัญ ได้รับปาก"ผู้ใหญ่" ไว้ ว่าจะช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องช่วย เพราะเรารับปากไว้แล้ว"

ทั้งนี้ ตนเอง และ พลเอกประยุทธ์ ทำงานด้วยกันมาตั้งแต่ พลเอก ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. ส่วนผมเป็น รมว.กลาโหม ในสมัยนั้น เขาก็เป็นน้องเรา ลงไปดูน้ำท่วมด้วยกัน ลงพื้นที่ จ.ชายแดนภาคใต้ด้วยกัน เราก็ผูกพันกับกองทัพอยู่แล้ว 

ส่วนพล.อ.ประยุทธ์  จะไปไหวในทางการเมืองหรือไม่นั้น พล.อ.ยุทธศักดิ์ ว่า “ต้องดูท่านไปเรื่อยๆ ให้ไปดูฝีมือ ท่าน สมคิด”

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์  รองนายกฯ ที่กำลังตั้งพรรค "ภูมิธรรม"

ตั้งได้ไม่ผิด

ตั้งได้ ไม่ผิด!!

"วิษณุ" ยัน ตั้ง "สนธยา คุณปลื้ม" หัวหน้าพรรคพลังชล เป็น ที่ปรึกษานายกฯ ไม่ขัดกม. ชี้ รัฐบาลเลือกตั้ง ก็ตั้งนักการเมืองได้ยกเว้น สส.เป็น ไม่ได้ ได้เงินเดือน 6-7หมื่นบาท  ส่วน ผช.รัฐมนตรี ราว 5 หมื่นบาท ชี้ ไม่ต้องลาออก ไปลง สมัคร สส.ได้ เผย แม้เป็นที่ปรึกษา นายกฯด้านการเมือง แต่เป็นแค่ตำแหน่ง เพราะจะให้ไปช่วย โครงการ EEC

รมย์บ่จอย

ทั่น หัวหน้า!! เข้ม!!

"สมคิด" เก๊ก เข้ม!! อารมณ์ บ่จอย!!
เจอกล้อง เจอไมค์ นักข่าวรุมซัก คืบหน้าตั้งพรรคใหม่ ปัดตอบชื่อพรรค"ภูมิธรรม"หรือไม่. เอ็ด!! ลูกน้อง"เดี๋ยวไล่ออกซะนี่" หลังเอารถมารับช้าโดนนักข่าวรุม จนต้องเดินวนไปมา. ไม่ตอบ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการตั้งพรรคการเมืองใหม่ 

โดยตอนแรก พอมีรอยยิ้มบ้าง แต่ต่อมา 
มีสีหน้าบึ้งตึง. เมื่อถูก กล้อง และ ไมโครโฟน  นักข่าวรุมถาม 

พร้อมปฏิเสธว่าที่จะตอบว่า พรรคใหม่ จะชื่อว่า พรรคภูมิธรรม ใช่หรือไม่

และไม่ตอบความคืบหน้าในการตั้งพรรคว่า ดึงอดีตสส.เข้าร่วมพรรค ได้มากน้อยแค่ไหนแล้ว

นายสมคิด เดินวนไปวนมา รอรถมารับจนเอ่ยปากตำหนิลูกน้องว่า รถมาหรือยัง

"เดี๋ยว ไล่ออก ซะนี่"!!

ก่อนที่จะเดินขึ้นรถตู้ กลับออกไปจากทำเนียบรัฐบาล

ไม่ใช่เรื่องที่รู้ว่ามาอย่างไร

"ไม่ใช่หน้าที่ของผม ที่ต้องอธิบายทั้งหมด ผมไม่ได้ทราบที่มาทั้งหมด แต่บอกได้เท่าที่ผมรู้"

"วีระศักดิ์" รมว.ท่องเที่ยว ยอมรับ ไม่ได้เป็นคนเลือก"อิทธิพล คุณปลื้ม" มาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ระบุ เพราะผมไม่ใช่เจ้าของกระทรวงท่องเที่ยว ชี้ต้องเป็นมติ ครม.แต่เคยเห็นฝีมือ ขอให้รอดูฝีมือ ส่วนจะทำงานด้วยกันได้หรือไม่ ให้รอดู เผย งานเยอะอยากมีคนมาช่วยงาน ตั้งใครมาอีก ก็ยินดี ยอมรับรู้ล่วงหน้า แค่ไม่กี่วัน

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึง กรณีที่ครม.แต่งตั้งนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา เป็นผู้ช่วยรมว.ท่องเที่ยวฯ ว่า ขณะนี้ นายอิทธิพล ยังไม่ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ 

ส่วนเหตุผลที่เลือกนั้น ผมขอให้รอพิสูจน์ผลงานกันดีกว่า  เพราะนายอิทธิพล เป็นอดีตนายกเมืองพัทยา เป็นเมืองท่องเที่ยว และตอนนี้ภาระงานของผม. เฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว ก็มีตั้ง 2,200 กิจกรรมต่อปี ถ้ามีคนมาช่วยได้ก็ดีทั้งนั้น 

อย่างไรก็ตาม ตนรู้จักกับนายอิทธิพล เคยเห็นฝีมือการทำงานมาก่อน และเคยทำงานด้านกีฬาร่วมกัน      

เมื่อถามว่า ไม่ได้มองเรื่องการเมืองใช่หรือไม่ เนื่องจากนายอิทธิพลเองอยู่ในสายของพรรคพลังชล นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า “ไม่” 

เมื่อถามย้ำว่า ช่วงนี้มีการดูดตัวนักการเมืองเพื่อแลกกับตำแหน่ง รมว.ท่องเที่ยวฯ กล่าวว่า คงไม่เกี่ยวกับตน ตนก็ทำงานของตนไป 

เมื่อถามว่า เป็นความต้องการของรมว.ท่องเที่ยวฯ หรือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเสนอมา นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า เอาเป็นว่า จะมีคนมาเท่าไร ผมสามารถใช้งานได้หมด
          
เมื่อถามย้ำว่า รมว.ท่องเที่ยวฯ เป็นคนชวนนายอิทธิพลมาเองใช่หรือไม่ นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ผมไม่ใช่เจ้าของกระทรวง แต่ถ้าจะให้โควต้าดึงใครมาเพิ่มอีก ผมก็ยินดี 

ทั้งนี้ การแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำหนดให้ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องเห็นชอบก่อนจะมาที่เจ้ากระทรวง 

"ใครเสนอมา ผมไม่ได้ติดใจว่า จะมายังไง อยากรู้เพียงว่า สามารถทำงานร่วมกันและรับถ่ายโอนอำนาจ จัดการงานให้ผมได้มากน้อยแค่ไหน เพราะตอนนี้งานเยอะจริงๆ แต่เจ้าหน้าที่มีเท่าเดิม และกระทรวงตน ก็ไม่ได้มีรมช.

          
“ไม่ใช่หน้าที่ของผม ที่ต้องอธิบายทั้งหมด ผมไม่ได้ทราบที่มาทั้งหมด แต่บอกได้เท่าที่ผมรู้"

ส่วนข้อครหาที่บอกว่ามีการจัดตั้งรัฐบาลในทำเนียบฯ นั้น ผมไม่ทราบ แต่ละวันผมทำแต่งานของผม ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใครเลย ”นายวีระศักดิ์ กล่าว