PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผบ.สูงสุด ยันกองทัพ พร้อมรับมือภัยคุกคาม ทั้งก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ

ผบ.สูงสุด ยันกองทัพ พร้อมรับมือภัยคุกคาม ทั้งก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ เผยการข่าวกองทัพ มีประสิทธิภาพ เผย เร่ง ทำ ยุทธศาสตร์กองทัพ20 ปี รองรับยุทธศาสตร์ชาติ20ปีของนายกฯ รับมือภัยคุกคามในอนาคต
พลเอกสมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด สวมเครื่องแบบทหารเรือ ในฐานะได้รับพระราชทานยศพลเอก สามเหล่าทัพ เป็นประธานในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมด้วยพลเอก ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอก ณะ อารีนิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเอก ตรีทศ สนแจ้ง ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พลตำรวจเอก พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ กองทัพเรือ
พลเอกสมหมาย กล่าวว่า กองทัพ มีความตื่นตัว ในการเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคาม ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะก่อการร้าย และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งที่ผ่านมา การข่าวของกองทัพ ก็มีส่วนสำคัญในการจับกุม คนในขบวนการทำพาสปอร์ต ปลอม และเพิ่มความร่วมมือในการดูแลความสงบเรียบร้อย และรับมือภัยคุกคามต่างๆ
ผบ.สูงสุด เผยว่า นอกจากนี้ เหล่าทัพ ยังทำการฝึกความพร้อมรบ ใต้ ม็อตโต้"ฝึกเหมือนรบ รบเหมือนฝึก รบทุกครั้งต้องชนะ" ซึ่งล่าสุด ทบ.ฝึกตรวจสอบความพร้อมรบ กรมทหารราบเฉพาะกิจ
ผบสส. กล่าวด้วยว่า เหล่าทัพร่วมทำยุทธศาสตร์กองทัพ20ปี รองรับยุทธศาสตร์ชาติ20ปี วางแผนพัฒนากองทัพ รับมือภัยคุกคามในอนาคต

บิ๊กหมู ถก คสช. สั่ง ทหารดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย เดินหน้าแจง รธน.

บิ๊กหมู ถก คสช. สั่ง ทหารดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย เดินหน้าแจง รธน.หนุนงานบริหารภาครัฐ เดินหน้าลงพื้นที่ดูแลประชาชนเดือดร้อนโดยเฉพาะภัยแล้ง พร้อมชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเตรียมประชาชนสู่การลงประชามติ
พลเอก ธีรชัย นาควานิช เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมสำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ บก.ทบ.
พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. เผยว่า พลเอกธีรชัย ย้ำถึงบทบาทหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ต้องดูแลบ้านเมืองให้มีความสงบเรียบร้อย สนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในทุกมิติ และเดินหน้าตามโรดแม็ปที่ได้กำหนดไว้
โดยให้ทุกส่วนงานคงบทบาทหน้าที่ดังกล่าวไว้อย่างเต็มที่เพื่อให้สังคมสงบ ประเทศเดินหน้าพัฒนาไปตามแนวทางที่ประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุด
นอกจากนี้ พลเอกธีรชัย เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยังมีความห่วงใยถึงสถานการณ์ภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกพื้นที่ แม้ที่ผ่านมากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยได้ช่วยเหลือประชาชนและแก้ปัญหาภัยแล้งตามนโยบายของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
ทั้งในเรื่องการแนะนำให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย การช่วยหาตลาด การแจกจ่ายน้ำ การขุดลอกคลองและการจัดทำแก้มลิง
รวมทั้งโครงการหยุดภัยแล้งด้วยแสงอาทิตย์ ซึ่งประสบผลสำเร็จและช่วยให้พื้นที่มีน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรอย่างเพียงพอ เป็นโครงการที่เห็นผลเป็นรูปธรรม และบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องภัยแล้งได้ทันที
พลเอก ธีรชัย เลขาธิการคณะรักษาความแห่งชาติ ได้มอบให้ทุกส่วนงานทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร เปิดช่องทางการช่วยเหลือภัยแล้งด้วยการแจกจ่ายน้ำให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย และให้มีการแบ่งมอบพื้นที่รับผิดชอบและการแจกจ่ายน้ำกับประชาชนอย่างชัดเจน เพื่อส่งความช่วยเหลือให้ถึงในทุกพื้นที่ เน้นการแจกจ่ายน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด บูรณาการงบประมาณและแผนงานร่วมกับกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ และส่วนราชการในพื้นที่เพื่อจัดทำโครงการหยุดภัยแล้งด้วยแสงอาทิตย์ในจังหวัด อำเภอ หรือชุมชนที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตามภัยแล้งในคราวนี้รุนแรงและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างชัดเจน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันดูแลและบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องดังกล่าวอย่างดีที่สุด
การประชุมในวันนี้ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ปรารภว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการร่างรัฐธรรมนูญที่ทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมและควรศึกษาในรายละเอียดของร่างรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การใช้สิทธิ์ลงประชามติ
โดยที่ผ่านมาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ใช้กลไกของฝ่ายปกครอง กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ตำรวจ เพื่อสร้างการรับรู้ในข้อมูลพื้นฐานของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ควบคู่ไปกับการรับฟังและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในแต่ละพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง
โดยมี รด.จิตอาสาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงพื้นที่พบปะประชาชน ซึ่งบังเกิดผลเป็นรูปธรรมและมีการตอบรับ ที่ดีจากภาคประชาชน
เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กำชับให้ทุกส่วนราชการร่วมกันลงพื้นที่พบปะประชาชนในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ในทุกวาระ ทุกโอกาส ทุกชุมชน
พร้อมเผยแพร่สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญให้ประชาชนได้เข้าใจอย่างง่าย เพื่อเป็นพื้นฐานความรู้ให้ประชาชนมีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจใช้สิทธิ์ลงประชามติ อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของประเทศตามโรดแม็ปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติต่อไป

“ตัวแทนสหประชาชาติ” เข้าพบ “ปู-แกนนำเพื่อไทย” สอบถามเรื่องสถานการณ์การเข้าสู่ ลต.ของไทย



“ตัวแทนสหประชาชาติ” เข้าพบ “ปู-แกนนำเพื่อไทย” สอบถามเรื่องสถานการณ์-การเข้าสู่การลต.ของไทย

เมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย ได้ให้การต้อนรับตัวแทนจากสหประชาชาติ ซึ่งนำโดย H.E. Miroslav Jenca ผู้ช่วยเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติฝ่ายการเมือง H.E. Luc Stevens ผู้ประสานงานสหประชาชาติและผู้แทนสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ 

โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อทราบข้อมูลสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย การพัฒนาประชาธิปไตย และกระบวนการที่นำไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยทางประชาคมโลกต้องการเห็นประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับหลักสากล และคืนอำนาจอธิปไตยกลับสู่ประชาชนชาวไทย

"ทักษิณ"โวกลับไทยแน่

24 กุมภาพันธ์ 2559

ทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อนอกซ้ำ ยันสามารถกลับไทยได้โดยไร้ข้อหา ย้ำรัฐบาลทหารยิ่งอยู่นาน เศรษฐกิจจะ ยิ่งแย่ รธน.ล้าหลังเหมือนเกาหลีเหนือ 

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัลจาซีราออนไลน์ ระบุว่า สิ่งที่เห็นขณะนี้คือประเทศกำลังก้าวถอยหลังมากกว่าที่จะเดินหน้า นี่คือเหตุที่ทำให้ต้องกังวล ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างแย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงอาจเปรียบได้ว่าสิ่งที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนี้เหมือนกับกำลังเขียนกันในเกาหลีเหนือ

"ผมไม่คิดว่าสถานการณ์ขณะนี้จะทำให้พวกเขาสนุกกับอำนาจได้นานขนาดนั้น ไม่ว่าเผด็จการที่ไหนที่ไม่ใส่ใจประชาชนของเขา ไม่มีทางที่จะอยู่ได้นาน" นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ผ่านมาหนึ่งปีครึ่ง แต่ยังไม่พบว่ามีสัญญาณการปรองดอง รวมถึงทำให้ประเทศเดินต่อไปข้างหน้า แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่กองทัพทำคือการเลือกข้างหนึ่งและกดดันอีกข้างหนึ่ง

วันเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์สยังได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายทักษิณด้วย โดยระบุว่ายิ่งรัฐบาลทหารอยู่นานเศรษฐกิจจะยิ่งเผชิญความยากลำบากมากขึ้น เพราะขาดวิสัยทัศน์และความสามารถในการแก้ปัญหา

"เขาไม่พูดกับผม เพราะหาว่าผมมีคดี แต่ความจริงการรัฐประหารเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงกว่า" อดีตนายกฯ ระบุ

นายทักษิณ ยังแสดงความมั่นใจว่าจะสามารถกลับประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องเผชิญกับข้อหา รวมถึงไม่ต้องหลบอยู่แต่ในบ้าน เพราะกลัวการลอบสังหาร เนื่องจากไม่ใช่คนเลว แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเช่นนั้น

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีต รมว.ต่างประเทศ แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ขณะนี้มีแต่ขบวนการปรักปรำใส่ร้ายป้ายสีและใช้กฎหมายสองมาตรฐานเอาผิดฝ่ายตรงกันข้าม

นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็กล่าวว่านายทักษิณไม่ได้ต่อรองให้น้องสาวตัวเองหลุดพ้นคดีจำนำข้าว

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวเพียงว่า หากจะพูดคุยกันต้องคุยกันด้วยกฎหมาย

พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า อย่าให้ความสำคัญกับคำพูดของนายทักษิณ ให้สนใจประชาชนที่กำลังเดือดร้อนดีกว่า

ที่มา : http://www.posttoday.com/politic/417827

นายกขอ5ปีปฏิรูป

นายกฯย้ำใช้ 5ปี ปฏิรูป น้อยใจ ไม่มีใครเห็นใจ นายกฯทหาร ใครบอกไม่เป็นไรหรอก นายกฯเป็นทหาร ต้องเสียสละเข้มแข็ง ทนได้ ชาวบ้าน บอก อยู่ถึง100ปีเลย

พลเอกประยุทธ์  นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวในงาน 100ปีสหกรณฺ์ไทย ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล  ว่า  ขอใช้เวลา 5ปี ปฏิรูป ตอนนึ้ผมเริ่มต้นให้ 2 ปีแล้ว เริ่ม 2ปี สู่100ปีข้างหน้า ขอประชาชนเข้มแข็ง ใครจะมาบิดเบือนไม่ได้
เผย จับมือ  เกษตรกร ตัวแทนจาก สหกรณ์ดีเด่น บอก มือสาก นี่แหล่ะ กระดูกสันหลังของประเทศ

บิ๊กตู่ บ่นน้อยใจ เหนื่อยแต่มีคนบอก ไม่เป็นไรหรอก นายกฯเป็นทหาร ต้องเสียสละเข้มแข็ง ทนได้ แต่ยังไงตอนนี้ก็ไล่ผมไม่ได้

ในตอนท้าย นายกฯบิ๊กตู่ เดินทุกทาย และถูกรายล้อมด้วยเกษตรกร ตัวแทนสหกรณ์ดีเด่น ที่มาร่วมงาน100ปีสหกรณ์ไทย แจก3นิ้ว I love u  อึ้ง!! มีเสียงชาวบ้าน บอก" อยู่ให้ถึง100ปี เลย"

กษิต จวก รบ.

“กษิต” จวก รบ. 2 ปีไม่มีผลงาน แต่กล้าขอเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปี ย้อนถามนายกฯ ทำเพื่อชาติหรือตัวเอง ด้าน “สมพงษ์” ชี้ ต่างความคิด รอฟังผลประชามติ

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายกษิต ภิรมย์ สมาชิกสปท. กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชี้แจงแนวทางรัฐบาล 2 ขยัก ควรมีรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปี ตามข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้อ 16 ของครม. ว่า รัฐบาลคสช.เข้ามาเพื่อแก้ไขความล้มเหลวของประชาธิปไตยไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีภารกิจวางรากฐานประชาธิปไตย ในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังร่าง ตลอดจนสร้างความปรองดองสมานฉันท์ และปราบทุจริตเอาคนผิดมาดำเนินคดี เป็นรัฐบาลเปลี่ยนผ่านก่อนมีการเลือกตั้งปลายปี 2560 ตามโรดแมป ก่อนกลับเข้าสู่กรมกอง แต่ตอนนี้ทุกอย่างที่คสช.ทำยังไม่ตอบโจทย์สักข้อ ความปรองดองยังไม่เกิดขึ้น การปฏิรูปไม่มีอะไรคืบหน้า คดีจำนำข้าวก็ยื้อกันไปมา

“อยู่ดีๆจะมาขอต่ออายุอีก 5 ปี ช่วงจะลาจากเวที ทั้งที่อยู่มาแล้ว 2 ปี ไม่มีผลงาน มันจึงเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล รัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ได้ว่าที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง แล้วจากนี้จนถึงปลายปี 2560 จะทำอะไรอีกบ้าง มีอะไรค้างอยู่อีกหรือไม่ ถ้าประชาชนเห็นด้วยเค้าก็ให้อยู่ต่อ แต่ถ้าไม่มีเหตุผล ก็ไม่สมควรอยู่ต่อไป การร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศต้องคำนึงถึงคนส่วนใหญ่ ต้องรับฟังว่า มวลชน กปปส. นปช. เขาต้องการอะไร ไม่ใช่ทำตามความต้องการของตนเอง กำหนดเนื้อหาให้ข้าราชการทั้งทหารและพลเรือนเป็นใหญ่ ดังนั้นทุกอย่างต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือเหมือนร่างรัฐธรรมนูญ และร่างพ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติ เพราะสุดท้ายอะไรที่ไม่สนองต่อประชาชนส่วนใหญ่ ก็รับรองว่าไปไม่รอด ต้องถามว่า นายกฯอยากทำเพื่อชาติหรือเพื่อตัวเอง” นายกษิตกล่าว

ด้าน นายสมพงษ์ สระกวี สมาชิกสปท. กล่าวว่า เป็นคนละชุดความคิดกัน ฟากรัฐบาลมองว่า การสานต่อภาระหน้าที่ช่วงเปลี่ยนผ่านอีก 5 ปี จะทำให้สร้างความเจริญอย่างเนื่อง ประชาชนกินดีอยู่ดีได้ แต่อีกฟากมองว่า ควรคืนการเลือกตั้ง แล้วพวกเขาจะเลือกตัวแทนมาแก้ปัญหาต่างๆเอง ซึ่งทั้งหมดก็ต้องรอตัดสินกันในช่วงลงประชามติกลางปีนี้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่จะเห็นแบบไหน ประเด็นรัฐบาล 2 ขยัก ขยักแรก 5 ปี มีผลต่อการลงประชามติอย่างแน่นอน ลำพังเนื้อหาในร่างแรกรัฐธรรมนูญก็มีปัญหาอยู่แล้ว เพิ่มอีกสักเรื่องจะเป็นอะไร

การเมือง “ยูเอ็น” ดอดพบ “ยิ่งลักษณ์” สอบถามเรื่องการเมือง-เลือ



“ตัวแทนสหประชาชาติ” เข้าพบ “ปู-แกนนำเพื่อไทย” สอบถามเรื่องสถานการณ์-การเข้าสู่การลต.ของไทย


เมื่อวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) อาทิ พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย ได้ให้การต้อนรับตัวแทนจากสหประชาชาติ ซึ่งนำโดย H.E. Miroslav Jenca ผู้ช่วยเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติฝ่ายการเมือง H.E. Luc Stevens ผู้ประสานงานสหประชาชาติและผู้แทนสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และคณะ โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อทราบข้อมูลสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย การพัฒนาประชาธิปไตย และกระบวนการที่นำไปสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยทางประชาคมโลกต้องการเห็นประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย มีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับหลักสากล และคืนอำนาจอธิปไตยกลับสู่ประชาชนชาวไทย

เมธีขู่บุกโรงพัก โวยพระถูกหักหลัง



โล้นเมธีขู่บุกโรงพัก โวยพระถูกหักหลัง
Wednesday, February 24, 2016 - 00:00
"ดีเอสไอ" มอบ "สำนักคดีภาษีอากร" สาวลึกรถเบนซ์ "สมเด็จช่วง" ผิด กม. คาด 2-3 เดือนชี้ผิด-ไม่ผิด "เจ้าของอู่เอช.ที.วายฯ" หอบเอกสารแจงถูกปลอมใบเสร็จประกอบรถโบราณ "ไพบูลย์" ย้ำชัดเจ้าอาวาสวัดปากน้ำเจตนาทำรถใช้งาน เหตุทั้งจดทะเบียน ติดแก๊ส ใส่เลขทะเบียนสวย ก่อนรู้ว่าผิดรีบเก็บโชว์พิพิธภัณฑ์ "พระเมธีฯ" โพสต์เฟซขู่! ตร.แจ้งข้อหาชุมนุมพุทธมณฑลม็อบพระพร้อมบุกโรงพัก
เมื่อวันอังคาร พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมาย ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชว่า หลังจากดีเอสไอแถลงผลการตรวจสอบรถโบราณของสมเด็จช่วงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาพร้อมรับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งในกระบวนการต่อไป โดยระบบกฎหมายของประเทศไทยเป็นระบบกล่าวหา ทางพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้รับผิดชอบคือสำนักคดีภาษีอากรจะรับตัวสำนวนไปดำเนินการสอบสวนต่อ
พ.ต.ต.วรณันกล่าวว่า สำนักคดีเทคโนโลยีฯ เป็นหน่วยงานทำหน้าที่สืบสวนในชั้นต้น จะมีคำกล่าวโทษ ชี้ประเด็นในการสืบสวนพบความผิดในประเด็นเรื่องอะไร บุคคลใดเกี่ยวข้องบ้าง พร้อมส่งสำนวนพยานหลักฐานไปให้สำนักคดีภาษีอากรเพื่อดำเนินการสอบสวน โดยทางสำนักคดีภาษีอากรจะรวบรวมพยานหลักฐานตามคำกล่าวหาก่อน และถ้าตรวจสอบเห็นว่ามีความผิดเพียงพอก็จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ที่ถูกกล่าวหาและเมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว
“ขั้นตอนต่อไปจะมีขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา และมีสิทธิ์จะนำพยานหลักฐานที่ตัวเองคิดว่าบริสุทธิ์มาหักล้างในชั้นการสอบสวนได้ เมื่อผลเป็นอย่างไรแล้ว พนักงานสอบสวนก็จะพิจารณาหลักฐานทั้งสองฝ่ายและมีความเห็นทางคดีส่งอัยการดำเนินการต่อไป” พ.ต.ต.วรณันกล่าว
ถามถึงระยะเวลาการตรวจสอบในขั้นตอนนี้ รองโฆษกดีเอสไอกล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากมีเอกสารเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญยังมีกระบวนการแก้ข้อหากล่าวหาที่ฝ่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐานมาหักล้างกันได้ด้วย เจ้าหน้าที่จึงต้องฟังความทั้งสองฝ่าย
ซักว่า ทนายวัดปากน้ำมีการประสานเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือยัง พ.ต.ต.วรณันกล่าวว่า ไม่มั่นใจว่าทนายวัดปากน้ำได้ติดต่อพนักงานสอบสวนมาหรือไม่ เพราะว่าสุดท้ายเมื่อทางคดีโอนไปที่ทางสำนักภาษีอากรแล้ว จะต้องไปตรวจสอบแล้วจะเชิญพยานที่เกี่ยวข้องมาสอบเช่นกัน
ถามว่า ถ้าสมเด็จช่วงไม่ส่งรถผิดกฎหมายให้ตรวจสอบจะทำอย่างไร รองโฆษกดีเอสไอกล่าวว่า ยังไม่มีความคิดเห็น จนกว่าจะได้เห็นพยานหลักฐานในชั้นสอบสวน
ต่อมานายวีระชัย อินทร์ประเสริฐ อายุ 48 ปี และน.ส.พรทิพย์ รุ่งรัตน์ธวัชชัย อายุ 47 ปี เจ้าของ หจก.เอช ที วาย ออโต้พาร์ท เลขที่ 27 พุทธมณฑลสาย 2 ซอย 10 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. ซึ่งถูกระบุเป็นสถานที่ประกอบรถเบนซ์ผิดกฎหมายของสมเด็จช่วง เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รอง ผบ.สำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหา พร้อมทั้งนำเอกสารใบเสร็จจริงและปลอมมามอบให้ดีเอสไอด้วย
นายวีระชัยกล่าวว่า หจก.เอช ที วาย ออโต้พาร์ท เป็นบริษัทนำเข้าอะไหล่จักรยานยนต์และจักรยานยนต์ ซึ่งในขณะนี้ได้หยุดกิจการมาประมาณ 2 ปี จนกระทั่งวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้โทรศัพท์ไปสอบถามเกี่ยวกับที่มาทั้งหมด จึงทราบว่าทางบริษัทโดนปลอมแปลงเอกสารใบเสร็จรับเงิน เพราะรูปแบบใบเสร็จดังกล่าวไม่ใช่ใบเสร็จของบริษัท
ชี้เจตนาชัดใช้รถผิด กม.
"ผมยืนยันไม่เคยรู้จักกับนางกาญจนา มากเหมือน ที่มีชื่อระบุในการสั่งจ่ายค่าแรงประกอบรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ของสมเด็จช่วง เป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อซื้ออุปกรณ์ชิ้นรถยนต์และประกอบรถยนต์ รวมทั้งไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจดประกอบรถยนต์ จึงได้ไปลงบันทึกประจำเอาผิดผู้ที่ปลอมแปลงเอกสารใบเสร็จรับเงินไว้ที่ สน.หลักสอง เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา และมาชี้แจงให้ดีเอสไอทราบ" เจ้าของ หจก.เอช ที วาย ออโต้พาร์ท ระบุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใบเสร็จนายวีระชัยใช้ในนาม หจก.เอช ที วายฯ เป็นประจำจะระบุ ชื่อ หจก.เอช ที วาย ออโต้พาร์ท เลขที่ 27 พุทธมณฑลสาย 2 ซอย 10 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 3012106258 แต่ใบเสร็จรับเงินและกำกับภาษีของปลอม มีรายละเอียดระบุ หจก.เอช ที วาย ออโต้พาร์ท เลขที่ 14/19 หมู่ 6 แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กทม. ผู้ซื้อชื่อ นางกาญจนา มากเหมือน (เจ้าของอู่ N.P.การาจ ที่โดนนำชื่ออู่ไปจดประกอบรถยนต์และนำชื่อนางกาญจนาไปจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก) ลงวันที่ซื้อ 16 ส.ค.54 รายละเอียดระบุว่า ค่าแรงประกอบรถยนต์ เลขตัวถัง 18601400042/53 เลขเครื่องยนต์ 1869204500552 รวมเป็นเงิน 50,000 บาท แบ่งเป็น ค่าแรงและบริการ 46,500 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 3,500 บาท
ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์พระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงกรณีมีผู้ระบุสมเด็จช่วงครอบครองรถผิดกฎหมายปราศจากเจตนาว่า ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 17 ทวิ ซึ่งได้กำหนดว่า ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนํา หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจํากัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องก็ดีหรือเป็นของที่นําเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อจํากัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี มีความผิดต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2482 มาตรา 16 กำหนดไว้ว่า การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 27 และ มาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 นั้น ให้ถือว่าเป็นความผิดโดยมิพักต้องคำนึงว่าผู้กระทำมีเจตนาหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือหาไม่” ดังนั้น การพยายามบิดเบือนเรื่องการครอบครองโดยไม่มีเจตนาของสมเด็จช่วง จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอ้างได้ตามกฎหมาย ที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า แม้ไม่มีเจตนาก็มีความผิด
"การพยายามบ่ายเบี่ยงในเรื่องดังกล่าวของคนบางกลุ่ม เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และหากอ้างว่าเป็นการนำรถมาเพื่อไว้โชว์ในพิพิธภัณฑ์เพียงเท่านั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง เพราะมีการจดทะเบียน มีการติดแก๊สเพื่อให้รถสามารถใช้งานได้ รวมถึงมีการซื้อป้ายทะเบียน ขม 99 กรุงเทพฯ เอาไว้ใช้อีก อย่างนั้นแล้วก็ไม่สามารถฟังขึ้นได้ว่าซื้อมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการนำเข้ามาไว้ในพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ต้น และเป็นการแสดงเจตนาตั้งต้นอย่างชัดเจนว่าจะเอาไว้ใช้งาน เพราะหลังจากมีการใช้งานรถไปเรียบร้อยแล้ว และมีกระแสข่าวครอบครองรถหรูในปี 2556 จึงค่อยนำรถเบนซ์คันดังกล่าวเข้ามาไว้ในพิพิธภัณฑ์" นายไพบูลย์กล่าว
ถามถึงเรื่องที่มหาเถรสมาคม (มส.) ออกมติให้ทุกวัดจัดทำบัญชี แต่ไม่รวมไปถึงรายได้ของพระแต่ละรูป นายไพบูลย์กล่าวว่า การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของแต่ละวัดเป็นการทำกันเอง โดยไม่มีผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชี ซึ่งทำให้ไม่มีมาตรฐาน เมื่อทำแล้วก็ส่งให้ มส. และสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) รับทราบ ในลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ทำให้เกิดประโยชน์อะไร เพราะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะรับทราบ
"การแก้ไขปัญหาเรื่องบัญชีของวัด สิ่งที่ควรปรับปรุงคือการทำอย่างมีมาตรฐาน โดยเทียบเคียงกับการทำบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งต่างก็มีสถานะเป็นนิติบุคคลเช่นเดียวกัน แต่ปัญหาที่ควรจะแก้ไขอย่างมาก แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขคือในส่วนของบัญชีของพระ ที่ไม่มีการเปิดเผยแสดงรายได้-ทรัพย์สิน ซึ่งได้รับมาขณะที่เป็นพระ แม้จะอ้างเหตุว่าเป็นเรื่องส่วนตัวก็ไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ขัดกับพระธรรมวินัย เป็นเรื่องน่าเสียดายที่มส. ไม่ได้มีมติในส่วนนี้ออกมา" นายไพบูลย์กล่าว
เขากล่าวว่า ตามกฎหมายได้ให้อำนาจแก่ มส. ในการจัดการสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายและพระธรรมวินัย ตามมาตรา 15 ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ หากมีการแก้ไขจริงก็ดี แต่ขอให้ไม่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก เพียงทำตามที่ท่านนายกฯ สั่งการ เมื่อแก้ไขก็ขอให้มีมาตรฐานและต้องพร้อมเปิดเผยข้อมูลให้สาธารณะรับทราบ
พระเมธีฯ ขู่แจ้งข้อหาม็อบฮือ
ก่อนหน้านั้น ในช่วงเช้า นายบวรเวท รุ่งรุจี ผู้ช่วยโฆษกกรรมาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ คนที่ 2 สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แถลงผลการดำเนินงานของการขับเคลื่อนด้านศาสนาของ กมธ. ที่รัฐสภา ระบุว่า กมธ.เห็นชอบให้ผู้แทนแต่ละศาสนาจัดทำหลักคำสอนของศาสนาของตนเองไม่เกิน 20 ข้อ โดยจัดลำดับความสำคัญและส่งให้ กมธ.ภายในเดือน ก.พ.นี้ เพื่อจะได้พิมพ์เป็นหนังสือและนำไปขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อสร้างความสันติสุขในสังคมไทยต่อไป
นายบวรเวทกล่าวว่า มหาเถรสมาคมยังได้เห็นชอบแผนงานและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัดให้เป็นไปตามมาตรฐาน โดยการจัดทำบัญชีของวัดเพื่อนำไปใช้กับวัดทั่วประเทศ โดยในเดือน มี.ค. ทางสำนักพระพุทธศาสนาฯ จะเชิญผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาของทุกจังหวัดมารับทราบระเบียบต่างๆ เกี่ยวกับการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายของแต่ละวัด เพื่อให้นำไปชี้แจงให้วัดในแต่ละพื้นที่ที่ดูแลได้ทราบถึงระเบียบดังกล่าว
"บัญชีรายรับรายจ่ายของแต่ละวัดจะไม่เกี่ยวข้องกับรายได้ของพระแต่ละรูป เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว ส่วนสาเหตุที่วัดต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายนั้น เพราะวัดถือเป็นนิติบุคคล" ผู้ช่วยโฆษกกรรมาธิการฯ สปท.กล่าว
วันเดียวกัน พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร จนฺทสาโร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ "ผู้ต้องหาคดีเจริญพระพุทธมนต์" ระบุถึงเรื่องที่ ผบช.ภ.7
จะมีหมายเรียกเพื่อดำเนินคดีในเหตุการณ์ที่พุทธมณฑลว่า เรื่องดังกล่าวอาตมาขอยืนยัน การมาของพระสงฆ์ทั้งประเทศเป็นการมาโดยชอบ เพราะพระสงฆ์ทั้งหลายทนไม่ได้ต่อกรณีที่รัฐบาลปล่อยให้กลุ่มบุคคลเพียงหยิบมือเดียว สร้างเรื่อง สร้างเหตุการณ์ เพื่อขัดขวางการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และถือโอกาสด่าทอ จาบจ้วงพระมหาเถระผู้ใหญ่ และมหาเถรสมาคมอย่างไร้หิริ โอตตัปปะ
พระเมธีธรรมาจารย์ระบุว่า การที่พระสงฆ์จำนวนมากออกมาเจริญพระพุทธมนต์ด้วยสันติ และยื่นข้อเสนอที่เป็นการปกป้องคณะสงฆ์และก็ยินยอมเดินทางกลับด้วยความสงบเรียบร้อย และในส่วนของรัฐบาลนั้นก็ออกมารับข้อเรียกร้องและรับปากว่าจะดำเนินการให้โดยไม่มีกรอบเวลาเป็นเครื่องผูกมัด เอาความเหมาะสมพอสมควรเป็นที่ตั้ง ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดก็น่าจะเดินไปได้ด้วยดี
"แต่บัดนี้ปรากฏเสมือนหนึ่งว่า อาตมาและคณะสงฆ์ในวันนั้นถูกหักหลังอย่างรุนแรง เพราะกลายเป็นว่า ต่อจากนี้ไปจะได้เป็นผู้ต้องหาอย่างเต็มตัว มีข้อกล่าวหาติดตามมายาวเป็นหางว่าว จากกรณีร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์ การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยในเวลานี้ ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ประเทศชาติปกติและกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ พร้อมที่จะอำนวยความยุติธรรมกับทุกคน ทุกฝ่าย ไม่เลือกข้าง ก็ยังพอไหว แต่ทุกวันนี้สถานการณ์ในกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไร พึ่งได้หรือไม่ ผู้คนก็พอมองเห็น" พระเมธีธรรมาจารย์ระบุ
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทยกล่าวว่า การออกมาข่มขู่ คุกคาม และจะเล่นงานด้วยวิธีการแบบนี้ แบบที่กำลังทำกันอยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถหยุดยั้งพระสงฆ์กลุ่มใหญ่ในประเทศนี้ได้หรอก ตรงกันข้าม มีแต่จะเพิ่มไฟให้กระพือโหมไหม้ให้วายวอดมากยิ่งขึ้น การกระทำแบบนี้ เป็นการปฏิบัติต่อคนในชาติแบบสองมาตรฐานอย่างแท้จริง
"ขณะนี้พระสงฆ์จำนวนมากที่เดินทางไปร่วมเจริญพระพุทธมนต์ที่พุทธมณฑลในวันนั้น ได้แสดงเจตจำนงมาที่อาตมาเป็นจำนวนมากว่า ถ้ามีหมายเรียกมาถึงอาตมาเมื่อไหร่ วันไหน ทุกรูปจะขอไปแสดงตนให้ล้นโรงพักพุทธมณฑลในวันนั้น เพื่อจะไปแสดงตนเป็นพระผู้ต้องหาร่วมในคดีเจริญพระพุทธมนต์ดังกล่าว และยอมให้จับกุมคุมขังพระสงฆ์หมู่ใหญ่ด้วยกันทั้งหมดในวันนั้นจึงได้แต่หวังว่ารัฐบาลจะมีสติ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญมองอะไรให้รอบคอบ เพื่อจะได้ไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวไปในที่สุด" พระเมธีธรรมาจารย์ระบุ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้ทรัพย์สินของพระในระหว่างที่บวชจนกระทั่งลาสิกขา หรือมรณภาพ ควรจะตกเป็นของพระพุทธศานา โดยระบุว่า ในทางปฏิบัตินั้นจะมีวิธีการในการบริหารจัดการอย่างไรก็ต้องมาว่ากัน ส่วนเรื่องที่ดินหรือที่ธรณีสงฆ์ ต้องดูเจตนาผู้บริจาคว่าต้องการให้วัดมีความคล่องตัว.

เมื่ออลัชชีประกาศ 'เสือโล้นบุก'


  • เมื่ออลัชชีประกาศ 'เสือโล้นบุก'

  • Wednesday, February 24, 2016 - 00:00

    เมื่อถูกคดีทางบ้านเมือง..........
    "ถ้าเป็นพระ" ท่านจะใช้ "ทางธรรม" เข้าข่ม
    "ถ้าเป็นอลัชชี" มันจะใช้ "ทางโจร" เข้าขย่ม!
    กรณี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๗ บอกจะเรียกผู้เกี่ยวข้องเหตุการณ์ชุมนุมที่พุทธมณฑล เมื่อ ๑๕ ก.พ.๕๙ มารับทราบข้อหา ๔ ข้อ
    และในจำนวนนั้น อาจมี "เมธีธรรมาจารย์" หรือประสาร ผู้โล้นคลุมเหลืองให้เห็นว่าเป็นพระรวมอยู่ด้วย
    เขาคนนี้ ทั้งไม่เคารพ ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่เชื่อฟัง "คำสั่ง" พระบรมศาสดาเจ้า ที่ตรัสไว้ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า
    "ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายโดยกาลล่วงไปแห่งเรา"
    แต่กลับประพฤติเยี่ยงอลัชชี........
    ไปฝักใฝ่ มั่วสุม เคารพ-เชื่อฟัง "ระบอบทักษิณ" ที่ประกาศล้มชาติ-ล้มสถาบัน เปลี่ยนประเทศเป็น "แดงทั้งแผ่นดิน"!
    "ศีล-สมาธิ-ภาวนา" ไม่พร่ำบ่น!
    แต่ดันไปปฏิบัติในหน้าที่นอกรีต-นอกรอยสมณะ รวมหัวดำ-หัวเหลือง ตั้งศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา ให้เป็น "เนื้องอก" คณะสงฆ์ ตัวเองเป็นเลขาฯ
    แล้วก็ใช้ศูนย์และตำแหน่งนอกรีตนั้น.......
    เป็นไปเพื่อพิทักษ์ระบอบทักษิณ เป็นไปเพื่อพิทักษ์ธัมมชโย เป็นไปเพื่อพิทักษ์เจ้าของเบนซ์เถื่อน ขม ๙๙!
    เหล่านี้น่ะเรอะ เป็นเนื้อ-เป็นแก่นพระพุทธศาสนา ที่พวกเจ้าใช้ศูนย์บ้า-ศูนย์บอนี้พิทักษ์?
    ความจริง เห็นใช้เป็นแหล่งสุมหัว "แดงทั้งแผ่นดิน" กันมาตั้งแต่ปี ๕๓ แล้ว
    เห็นตัวพ่อ "มหาเปรียญ" ที่สึกหาลาเพศไปเป็นทหาร เป็นครูบาอาจารย์กลุ่มหนึ่ง สุมหัวใช้ศูนย์นี้หนุนระบอบทักษิณทางวิทยุ ตายไปทีละคน-สองคน
    ก็ยังไม่สำนึกในบาป-ในกรรมกัน?
    เป็นพระ.....
    กิจอันพึงทำให้แจ้งด้วย "ศีล-สมาธิ-ภาวนา" ในอริยสัจ ๔ ด้วยเคร่งครัดในพระธรรม-วินัย
    นี้ คือ....
    "การพิทักษ์พระพุทธศาสนา" โดยธรรม-โดยวินัย ตามพุทธบัญญัติโดยตรง!
    ไม่ต้องเสือกเกินกรอบ......
    ไปตั้งศูนย์เป็น "กองกำลังเหลืองนอกกิจสงฆ์" เพื่อให้ตัวเองมีตำแหน่งนอกพุทธบัญญัติ อย่างที่ทำอยู่หรอก!
    อีกทั้ง พลิก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ "ทุกฉบับ" ก็ไม่เห็นมีมาตราไหนว่าให้พระต้องไปตั้งศูนย์นั่น-ศูนย์นี่ ในความหมายเพื่อพิทักษ์พระพุทธศาสนา?
    "ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมจาริง"
    "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"
    นั่นแค่กระทู้สำหรับนักธรรมชั้นตรี ผมท่องตอนเป็นเณร ยังจำได้ แต่จำไม่มีค่าเท่าทำ
    ประสารเป็นอาจารย์มหาจุฬาฯ ใช่มั้ย เป็นรองเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ ใช่มั้ย เป็นมหาเปรียญใช่มั้ย เป็นหัวหน้าแก๊งโล้นยกรถทหารใช่มั้ย?
    แล้วแค่โศลกธรรมแค่นี้ ยังไม่รู้..ไม่เข้าใจ..ไม่เข้าถึง
    ยังจะทะลึ่งอ้าง ที่ทำนอกรีต-นอกรอย "ซึ่งทำลาย" พระพุทธศาสนาแท้ๆ นั้น ว่าเป็นการพิทักษ์พระพุทธศาสนา
    แกมันโล้นเขาเกก....
    ถ้าต้องการพิทักษ์พุทธศาสนาจริง กลับวัดมหาธาตุฯ ไป!
    แล้วสมัครเข้าฝึกอบรมจิต เรียกใจแห่งสมณะคืน ที่คณะไหนผมก็ลืมไปแล้ว เคยแวะไปทำบุญอยู่ เขาเปิดสอนวิปัสสนา-กรรมฐาน ประเสริฐแท้
    เบื้องหน้าคือหุบเหว กลับหลังหันคือฟากฝั่ง ประสาร.....
    ดู หน้า-ตา, หัว-หู ตัวเองซิ มีราศีราสัน สมเป็นพระสงฆ์องคเจ้ากับเขาซะที่ไหน อย่างผมน่ะ ถ้าจะตกนรก ก็แค่สัญชีวมหานรก
    แต่บวชเป็นพระ กลับประพฤติอลัชชี นอกรีต-นอกรอยพระธรรมวินัย ยิ่งฝักใฝ่เอาศาสนาไปรองรับโจรบ้าน-โจรเมือง และกิเลสบ้า-ตัณหาพระด้วยแล้ว
    ต่อให้เป็นสมเด็จพัดยศร้อยยอด ถ้าทำตัวเป็นด้วงศาสนา ในจำนวน ๔๕๗ ขุมนรก
    ลึกสุด "โลกันตรนรก" นั่นละ...จะไปตั้งสมาคม-ตั้งศูนย์กันอยู่ที่นั่น!
    ไปคุกเข่าสำนึกบาปที่หน้าองค์ "พระศรีสรรเพชญ์" พระประธานในโบสถ์ ๗ วัน ๗ คืน นั่นเถอะ ไป๊...!
    ที่กร่างอยู่เวลานี้ ยิ่งนับวัน ยิ่งหาธรรมไม่เจอ มีแต่ห่าทำ
    ตำรวจเขาจะเรียกไปรับทราบข้อหา.....
    โดยปกติ ขนาดโจรห้าร้อย อย่างเก่งก็หนี ที่จะหนังหนา-หน้าด้าน ใช้สันดานโจร "อหังการ-ราวี" กับอำนาจรัฐ ให้เป็นตัวอย่างเลว
    โจรให้เกียรติกฎหมาย...ไม่ทำ
    แต่ประสาร ที่เอาผ้าเหลืองคลุมร่าง ไม่ละอาย...ทำ!?
    ดูเขาพูดก็ได้....เมื่อตำรวจบอกจะเรียกไปรับทราบ ๔ ข้อหา
    ๑.ละเมิด พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ
    ๒.ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต
    ๓.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ
    ๔.หมิ่นประมาท
    ประสารเปรี้ยงทันที..........
    "ถ้ามีหมายเรียกมาถึงอาตมาเมื่อไร วันไหน พระทุกรูปจะขอไปแสดงตนให้ล้นโรงพักพุทธมณฑล ในวันนั้น เพื่อจะไปแสดงตนเป็นพระผู้ต้องหาร่วมกันในคดีเจริญพระพุทธมนต์ดังกล่าว และยอมให้จับกุมคุมขังพระสงฆ์หมู่ใหญ่ด้วยกันทั้งหมดในวันนั้น จึงได้แต่หวังว่า รัฐบาลจะมีสติ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญมองอะไรให้รอบคอบ เพื่อจะได้ไม่กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวไปในที่สุด"
    คลุมเหลือง มาสันดานเดียวกับคลุมแดงเป๊ะ...
    เก่งเดี่ยวไม่กล้า ต้องเก่งหมู่ ใช้ "พวกมาก" เข้าขู่ แถมยกเรื่องที่ตัวเองทำเป็น "น้ำผึ้ง" แบบนี้ไม่มีใครเขาแย่ง-เขาอยากได้กันหรอก
    เพราะมันเป็น....."น้ำผึ้งผี"!
    "ให้รัฐบาลมีสติ ไตร่ตรอง" คนพูดนั่นแหละ ควรใช้สติไตร่ตรองก่อน เอะอะก็อ้าง "พระไปเจริญพระพุทธมนต์"
    พระนะ...ไม่ใช่ขอทาน ที่จะไปเที่ยวร้องเพลงแลกข้าว-แลกไข่ได้ทุกที่ตามใจชอบ
    กิริยาเจริญพระพุทธมนต์ กับกิริยาการชุมนุม ประสารแยกไม่ออกเลยหรือ ถึงได้อ้างโง่ๆ อย่างนั้น?
    อีกอย่าง พระนั้น จะเที่ยวไปเจริญพระพุทธมนต์ โดยไม่มีใครนิมนต์ และไม่มีใครอาราธนาพระปริตร ในสถานที่และในกาลอันเหมาะสมไม่ได้
    คนสำนักพุทธก็แก๊งเดียวกัน ไม่สอน-ไม่บอกหรือ?
    ที่ว่า "พระมากันเอง" เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภานั่น...พูดปดหน้าด้านๆ ถ้าเป็นพระ จะถูกอาบัติกินกระบาล
    คนในคราบโล้นคลุมเหลืองเป็นหมื่น โดยไม่มีใครนัดหมาย มาพร้อมกันเอง ในวัน-เวลาเดียวกัน
    ประสาร "อมสมเด็จช่วง" มาพูด จ้างก็ไม่มีใครเชื่อ?
    ถ้ามากันเอง แล้วรสบัสคันใหญ่มากมาย ขนใครมา มากันโดย "จานบินดลใจ" ในวัน-เวลาเดียวกัน ให้เป็นที่อัศจรรย์หรืออย่างไร?
    แล้วเหมือนประสารมีฤทธิ์นะ....
    ฟังที่ออกโทรทัศน์ดิจิทัลช่อง นิวทีวี เห็นอ้างว่า ประสารเตรียมเสบียงกรังมา แต่ทหารกั้นไม่ให้รถขนอาหารเข้าไปในพุทธมณฑล
    เมื่อมากันเอง ไม่ได้ระดมพลโล้นเหลืองมาชุมนุม แล้วประสารรู้ได้ไง ถึงเตรียมอาหง-อาหารพร้อมสำหรับโล้นเป็นหมื่น
    จำยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีพวกเสื้อแดงตอนชุมนุมมาละซี?
    หยุดเถอะน่ะ...ประสาร!
    อย่าดึงพระ-ดึงศาสนาที่บริสุทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งท่านไม่รู้-ไม่เห็น-ไม่อนุโมทนาด้วย ไปเป็นสมุน เป็นเครื่องมือตัวเอง.........
    เพื่อธัมมชโย เพื่อธรรมกาย เพื่อดุนตูดสมเด็จฯ ขึ้นแท่นเลย!
    ทั้ง ๔ ข้อหาน่ะ ผมดูแล้ว เบากว่าที่หลวงปู่พุทธอิสระโดนไม่รู้กี่ร้อยเท่า ไปเหอะ ไม่ต้องปลุก "พระนอกกรุ" ไปแขวนคอให้รุงรัง
    เห็นแก่หัวโล้น ตำรวจเขาคงไม่เอาหนังสติ๊กรัดไข่หรอก โทษตามข้อหานั้น ดีดติ่งหูแทนค่าปรับ ก็จบแล้ว
    แต่ถ้าจะระดมหัวโล้นไปกันวันนั้นจริงๆ...ก็ดี ทราบว่า งานนี้ "ตำรวจ-ทหาร" เตรียมอำนวยความสะดวกให้เต็มที่
    แค่ตรวจ "ใบสุทธิ" ทุกโล้นที่มาเท่านั้น ถ้าโล้นไหนไม่มี จะได้ช่วยจับเห็บ-จับโลนให้ประสารไงล่ะ
    หัวโล้น "คุก" หัวโตกันบ้างละทีนี้!

ทีวีดิจิตอลทยอยโละพนักงาน


 

นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด สถานีโทรทัศน์ วอยซ์ ทีวี เผยว่า บริษัทได้ปรับนโยบายโครงสร้างองค์กรใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตอย่างยั่งยืน บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์การบริหารและโครงสร้างองค์กรปี 2559 โดยปรับลดพนักงานลงจำนวน 57 อัตรา เพื่อให้องค์กรมีขนาดที่เหมาะสมต่อการทำงานในภาวะการแข่งขันที่สูงมากในธุรกิจทีวีดิจิตอล ทั้งนี้บริษัทได้สื่อสารกับพนักงานทั้งหมดให้เข้าใจเป้าหมายและนโยบายต่างๆ เพื่อก้าวสู่การพัฒนาคุณภาพเนื้อหารายการให้มีคุณภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค
สำหรับการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งนี้ บริษัทได้ดูแลและชดเชยพนักงานที่ถูกเลิกจ้างด้วยความเป็นธรรมตามกฎหมายแรงงานทุกประการ ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนงานส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรตามโครงสร้างองค์กรในปี 2559 อีกกว่า 300 คน เพื่อมุ่งสู่การเติบโตไปพร้อมกับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
“วอยซ์ทีวีมีเป้าหมายในการเป็นหนึ่งในผู้นำของผู้ผลิตสื่อยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด Cross Platform Content Provider ทีวีสื่อสารครบทุกช่องทางที่ต้องการผลิตเนื้อหารายการทีวีคุณภาพสูงและส่งตรงถึงผู้รับสื่อยุคใหม่ครบทุกช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับชมผ่านสื่อออนไลน์ที่เป็นอนาคตของการสื่อสาร อีกทั้งบริษัทเป็นองค์กรสื่อมวลชนองค์กรหนึ่งยืนยันและมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นสถานีข่าวคุณภาพสูง สำหรับคนรุ่นใหม่ นำเสนอเหตุการณ์และข่าวสารสำคัญทั้งในและต่างประเทศ”
จากการรวบรวมของ “ฐานเศรษฐกิจ”ที่ได้ติดตามข่าวสารทีวีดิจิตอลอย่างต่อเนื่อง พบว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้มีกระแสข่าวสถานีโทรทัศน์หลายแห่ง ได้เริ่มคัดพนักงานออกทั้งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทีวีและไม่ใช่ทีวีบ้างแล้ว เช่น โมโน บรอดคาสท์ นิวทีวี ไทยทีวี โพสต์ทีวี และสปริงนิวส์ เป็นต้น เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในความควบคุมและสามารถทำกำไรได้ โดยเฉพาะโพสต์ทีวี ที่ผ่านมาได้มีการคัดพนักงานทีวีออกจำนวนกว่า 10 ราย เนื่องจากครั้งก่อนประมูลโพสต์ทีวี คาดว่าจะได้ช่องทีวีและมีพาร์ตเนอร์ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นไปตามคาดการณ์ พนักงานที่มีอยู่จึงล้นจำนวนปริมาณงาน และส่งผลให้ในช่วงไตรมาสแรกธุรกิจทีวีขาดทุนกว่า 26 ล้านบาท
ขณะเดียวกันช่องโทรทัศน์ทีวีดิจิตอลที่มีการคัดพนักงานออกในปีที่ผ่านมา ได้แก่ ไทยทีวี และ สปริงนิวส์ โดยสปริงนิวส์การคัดพนักงานออก เป็นเรื่องจริงมีจำนวน 38 คน แบ่งเป็น นักข่าว 9 คนและที่เหลือเป็นฝ่ายเจ้าหน้าที่ธุรกิจ โปรดิวเซอร์ เป็นต้น ซึ่งการออกครั้งนี้เป็นการให้ออกที่ถูกต้องตามกระบวนการและข้อกำหนดของกรมแรงงาน ส่วนวัตถุประสงค์การคัดคนออกเนื่องจากบริษัทต้องการปรับโครงสร้างองค์กรภายใน โดยในปี 2559 ทางสปริงนิวส์ ต้องการมุ่งเน้นการผลิตคอนเทนต์ ด้านข่าวเศรษฐกิจ และธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะข่าวต่างประเทศ ขณะที่นักข่าวที่ออกไปส่วนใหญ่เป็นนักข่าวสายในประเทศที่ไม่สอดคล้องกับแผนธุรกิจของบริษัทจะดำเนินไปในปีหน้า
ส่วนด้านไทยทีวีในช่วงที่ผ่านมาได้ให้พนักงานสมัครใจยื่นใบลาออกจำนวนกว่า 20 คน โดยสาเหตุการลาออกเนื่องจากต้องการลดรายจ่าย ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารจัดการเมื่อบริษัทขาดทุน ทั้งนี้หากประเมินค่าใช้จ่ายการบริหารสถานีโทรทัศน์ แต่ละช่องมีงบประมาณการลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทต่อเดือน ก่อนที่ล่าสุดบริษัท ไทยทีวี จำกัด จะอยู่ในสภาวะขาดทุนและถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการให้ใช้คลื่นความถี่ และประกอบกิจการโทรทัศน์ เงินจำนวน 1.74 พันล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559