PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

พิพากษายืนรอลงอาญา 2 ปี"ปราโมทย์" เขียนบทความปฏิญญาฟินแลนด์หมิ่น"ทักษิณ"


ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนรอลงอาญา 2 ปี"ปราโมทย์" เขียนบทความปฏิญญาฟินแลนด์หมิ่น"ทักษิณ"

ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.1747/2549 ที่พรรคไทยรักไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระและคอลัมนิสต์ ,บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเนเจอร์ , นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 , 332 , 393

โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า ระหว่างวันที่ 17 - 25 พ.ค.49 จำเลยทั้งห้า ร่วมกันตีพิมพ์และเผยแพร่บทความ “ ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ : แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย ? ” ของจำเลยที่ 1 ลง
ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ ซึ่งใส่ร้ายโจทก์ทั้งสองเสื่อมเสียชื่อเสียง

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มี.ค.52 เห็นว่า บทความเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ 5 ตอนที่เผยแพร่ใน นสพ. ผู้จัดการและเผยแพร่ในเว็บไซต์ ที่จำเลยที่ 1 เขียนพาดพิงถึงโจทก์ทำนอง ว่ามีนโยบายที่ต้องการทำลายระบบราชการไทย การสร้างระบบการเมืองพรรคเดียว และล้มล้างสถาบันเบื้องสูง แต่ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 กลับไม่นำสืบว่าโจทก์ทั้งสองกระทำการล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด ขณะที่ท้ายบทความยังได้ให้ประชาชนต่อต้านโจทก์ทั้งสองที่กำลังลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 2 เม.ย.49 ซึ่งไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ส่วนจำเลยที่ 4 เป็น บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน มีหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาก่อนตีพิมพ์

จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นและทราบว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ด้วย จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 คนละ 1 ปี และปรับคนละ 100,000 บาทแต่จำเลยที่ 1 เป็นนักวิชาการ นักประชาธิปไตยและจำเลยที่ 4 เป็นนักหนังสือพิมพ์ เคยสร้างคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ ที่กระทำผิดเพราะต้องการปกป้องสถาบันที่เคารพ ประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน

จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับเป็นเวลา 7 วันติดต่อกันด้วย โดยให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 5ต่อมาจำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้วจึงพิพากษายืน แต่ใน

ส่วนจำเลยที่ 4 เห็นว่า ยังไม่มีมูลว่ากระทำการที่เป็นความผิด จึงพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4

ชี้สัดส่วนเชื้อเพลิงก๊าซมากเกินไป อันตรายต่อความมั่นคงด้านไฟฟ้า


ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภาชี้สัดส่วนเชื้อเพลิงก๊าซมากเกินไป อันตรายต่อความมั่นคงด้านไฟฟ้า

วันที่ 5 เม.ย.56 นี้เป็นวันแรกที่แหล่งก๊าซในพม่าจะปิดปรับปรุง และหยุดจ่ายก๊าซมายังไทย ในช่วงระหว่างวันที่ 5-14 เมษายน โดยบริษัท ปตท. ในฐานะผู้จัดหาก๊าซ เปิดเผยว่า แหล่งก๊าซธรรมชาติ
ในพม่าจะเริ่มหยุดจ่ายในช่วงเวลาเที่ยงวันที่5 เม.ย.56 โดยทยอยลดปริมาณก๊าซในท่อลง จนหยุดจ่ายในที่สุด และกลับมาจ่ายก๊าซอีกครั้งในช่วงเที่ยงวันที่ 14 เมษายนนี้ ปตท.ระบุว่า ระหว่างนี้ หาก
แหล่งก๊าซอื่นมีปัญหา จะมีก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) สำรองไว้ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุต นำมาใช้ทดแทน

ในด้านการเตรียมความพร้อม กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัทปตท. รวมถึงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วงระหว่างวันที่ประเมินว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าสูงสูงจะอยู่ระหว่างเวลา 14.00 น. -15.00 น.

ก่อนหน้านี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต ประสานภาคอุตสาหกรรม เพื่อขอความร่วมมือลดใช้ไฟฟ้า โดยมีโรงงานบางส่วนปิดทำการในวันนี้ ขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กจะเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า ทำให้มีปริมาณไฟฟ้าสำรองเพิ่มขึ้นระหว่าง 1,600 - 1,700 เมกะวัตต์ นอกจากนี้หน่วยงานอื่น ๆ ของภาครัฐและเอกชน เช่นห้างสรรพสินค้าร่วมประหยัดไฟฟ้า ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตมั่นใจว่าจะมีปัญหาไฟตกไฟดับ

เมื่อเร็วๆ นี้เว็บไซต์ข่าวรัฐสภาถึงประชาชนได้สัมภาษณ์นายสุรเดช จิรัฐิติเจริญ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดปราจีนบุรี ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ในประเด็นความมั่นคงด้านพลังงาน โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ ...

นายสุรเดชระบุว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภาก็คือ ประเทศไทยพึ่งพาสัดส่วนก๊าซธรรมชาติในการเป็นเชื้อเพลงผลิตไฟฟ้ามากเกินไปถึงประมาณ 70%
โดยมีสัดส่วนก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 3,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากพม่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งหากพม่าหยุดส่งก๊าซธรรมชาติให้ เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าก็ไม่เพียงพอ

ทั้งนี้ในหลักการของทุกประเทศต้องมีการแบ่งสัดส่วนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้เหมาะสมให้มีสเถียรภาพและมีความมั่นคงด้านพลังงาน ทั้งนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีในการผลิตกระแสไฟฟ้านั้นจะต้องมีการซ่อมบำรุงอยู่แล้ว

ในด้านการเพิ่มสัดส่วนพลังงานนั้น สำหรับประเทศไทยการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ๆ ก็มักจะถูกปฎิเสธจากคนในพื้นที่ รวมทั้งโรงไฟฟ้าเก่า ก็จะต้องมีการปลดระวางในอนาคต ซึ่งมันสวนทางกัน แต่ทั้งนี้ต้องมีการกระจายสัดส่วนของโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงชนิดต่างๆ และทำให้ประชาชนยอมรับในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้การสร้างโรงไฟฟ้าปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีผลกระทบมากหรือน้อย และถึงเวลาหรือยังที่เราควรมาดูว่าประโยชน์ของอะไรมันจะมากกว่ากัน ซึ่งเราต้องเลือกกันแล้ว

นอกจากนี้คนไทยยังมีลักษณะที่เรียกได้ว่า "ขาดไฟฟ้าไม่ได้" เปิดสวิทซ์ต้องมีไฟ แต่ถ้าเราไปดูที่อื่นเช่น พม่า หรืออินเดีย ที่ดับทีละหลายๆ ชั่วโมง แต่บ้านเราดับ 30 นาทียังดับไม่ได้ แต่เมื่อจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ก็จะถูกต่อต้าน แบบว่าไปสร้างที่ไหนก็ได้แต่ไม่ใช่บ้านฉัน ปฎิเสธหมด ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่าทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย อะไรเสียมาก เสียน้อย ก็ต้องมาชั่งน้ำหนักกันว่าอันไหนต้องทำ ต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไร

ซึ่งแหล่งพลังงานก็มีหลายชนิด เช่นพลังงานทดแทนที่ช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล พลังงานหมุนเวียนอย่างลม แสงแดด ข้อดีมีและข้อเสียก็มีด้วยนั่นก็คือไม่มีความสเถียรภาพ เช่นพลังงานแสง
อาทิตย์ก็มีข้อจำกัดในตอนที่ไม่มีแสงแดด ดังนั้นหากจะมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ก็ต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานหลักอีกอันควบคู่กันด้วย แต่ทั้งนี้ก็กลายเป้นการลงทุนที่สูงกว่าเดิมและอาจจะต้อง
ผลักภาระค่าไฟฟ้าให้ประชาชน

นอกจากนี้นโยบายต่างๆ ที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชน เช่น การจำนำข้าว รถคันแรก รัฐบาลก็ช่วยเหลือหมดโดยใช้เงินภาษี แต่เรื่องพลังงานนั้นรัฐบาลแทบจะไม่ได้ช่วยเลย แค่เป็นคนกลางเท่านั้น ภาระต่างๆ อยู่กับประชาชน เช่น เรื่องน้ำมัน ทำมันก๊าซ LPG ทำไมถึงมีราคาถูกคือแค่ 18 บาท ทำไมน้ำมันเบนซินถึงราคาลิตรละเกือบ 50 บาท ก็เป็นเพราะรัฐบาลเอาเงินจากคนเติมเบนซินไปอุดหนุนคนใช้ก๊าซ LPG เป็นแค่การนำเงินจากกระเป๋าซ้าย ไปใส่กระเป๋าขวา

เช่นเดียวกันในเรื่องไฟฟ้า นโยบายให้คนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยฟรี แต่สุดท้ายก็เอาค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้ไฟฟ้าฟรีนั้นมาใส่ตะกร้าแล้วหารรวมกับผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่งย้อนกลับไปถึงเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ก็จะเป็นกรณีคล้ายกันคือเอาต้นทุนการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ก็จะถูกรวมเป็นค่าใช้จ่ายรวม แล้วหารรวมกันเป็นค่าไฟฟ้าที่ประชาชนต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นจะมองได้ว่าในเรื่องของพลังงานนั้น รัฐบาลไม่ได้ช่วยอะไรเลย

แต่ทั้งนี้พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีต้นทุนสูงในปัจจุบัน แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีราคาถูกลงในอนาคต ดังนั้นในตอนนี้เราต้องเรียนรู้ควบคู่ไปให้ถึงจุดที่ที่คุ้มทุน ก็ต้องส่งเสริมให้มีการใช้อย่างจริงจังให้คุ้มค่า

ในด้านพลังงานชีวมวล ชีวภาพนั้น หากเราไปเร่งมากก็จะเป็นการใช้พลังงานมาก เราไปปลูกหญ้า ปลูกมัน ปลูกอ้อย เพื่อผลิตไฟฟ้าฟ้านั้นอาจจะทำไม่ทันต่อความต้องการ ส่วนเรื่องพลังงานจากเชื้อเพลิงขยะนั้นมีอุปสรรคที่คนไทยขาดการบูรณาการเรื่องขยะ ไม่มีวัฒนะธรรมการแยกขยะ ทำให้ต้นทุนในการเผาไหม้มีราคาสูง

ในด้านพลังงานหลัก โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มีความกลัว โรงไฟฟ้าถ่านหินก็ไม่เอาโดยกลัวมลพิษ พลังงานน้ำก็ไม่สามารถสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ได้แล้ว เหล่านี้เมื่อไม่เอาก็เลยหันไปใช้ก๊าซเพราะมีความง่ายกว่าทุกอย่าง เอาง่ายไว้ก่อนซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยใช้เชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าไม่หลากหลาย และในอนาคตอันใกล้นี้ก๊าซในอ่าวไทยของเราเองก็จะหมดแล้ว โดยก๊าซในอ่าวไทยกิโลกรัมละ 8 บาท ส่วนจากพม่าเรารับซื้อมากิโลกรัมละ 12 บาท ซึ่งเราใช้ก๊าซจากพม่าเป็นจำนวนหนึ่งในสาม แต่ก็ที่จะเริ่มไม่พอแล้วจึงต้องมีการนำเข้าก๊าซ LNG ราคากิโลกรัมละ 18 บาท เพราะต้องนำเข้าจากแหล่งอื่น

ทั้งนี้เราต้องมาพูดกันอย่างจริงจังในเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าแบบอื่นๆ เพราะในการก่อสร้างแต่ละโรงนั้นต้องใช้เวลา 5-10 ปี ตอนนี้เราไม่คิดกันเพราะเราเหมือนว่ามีไฟฟ้าใช้อยู่เลยไม่เดือดร้อน รอให้ไฟฟ้าหมดถึงมาพูดกัน แต่เวลา 5-10 ปีในตอนนั้นเราจะรอได้ไหม ต้องสังวรณ์ไว้

ในด้านการวางแผนจัดการด้านพลังงานของประเทศนั้น นายสุรเดชระบุว่าต้องมองภาพรวมเป็นประชาคมอาเซียน เอาจุดแข็งด้านการผลิตของเราเป็นตัวตั้ง และประเทศเพื่อนบ้านของเรามี

ทรัพยากรรวมทั้งพลังงาน อย่าลาวและพม่า ตอนนี้เราซื้อไฟฟ้าจากลาวถึง 7,000 เม็กกะวัตต์ ดังนั้นเราต้องเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เรามีอุตสาหกรรม ส่วนเพื่อนบ้านขายพลังงานให้เรา เราเอาทรัพยากรเขามาแล้วสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเราต้องให้ความร่วมมือในระหว่างประเทศ

ส่วนเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ ตัวอย่างจากต่างประเทศอย่างในอเมริกาและยุโรปก็ยังมีการใช้กันอยู่ และมีการเฉลี่ยสัดส่วนเชื้อเพลิงแต่ละประเภทไม่ให้เกิดความเสี่ยง แต่บ้านเรายังใช้ก๊าซสูงถึง 70% และบ้านเรายังคงเหมือนมีความกลัวเรื่องผีนิวเคลียร์ ปฎิเสธไปหมดโดยไม่ฟังว่าเทคโนโลยีในด้านนี้ไปถึงไหนแล้ว

พธม.ออกโรงคัดค้านแก้รธน. ชี้ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง


พธม.ออกโรงคัดค้านแก้รธน. ชี้ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง

4 เม.ย.56 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่ม พธม. อ่านแถลงการณ์ พธม.เรื่อง คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเองว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราจะสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างใหญ่หลวงต่อไป การแก้ไขมาตรา 68 นั้น เป็นการลด และริดรอน สิทธิประชาชนในการยื่นคำร้องโดยตรงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้ประชาชนมีสิทธิ์ยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุด ตามมาตรา 68 ได้เฉพาะในหมวดที่ 3 อันหมายถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเท่านั้น และนั่นหมายความว่าหากนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ซึ่งอยู่ในหมวดที่ 5 เพื่อนำไปสู่การล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ประชาชนจะไม่สามารถยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญได้เลยไม่ว่าจะผ่านอัยการสูงสุดหรือไม่ก็ตาม

สำหรับการแก้ไข มาตรา 190 นั้น เป็นสิ่งที่อันตรายต่อประเทศชาติ เพราะได้ตัดหนังสือสัญญา 3 กลุ่มใหญ่ออกจากมาตรา 190 ได้แก่ 1. หนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ 2. หนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง และ 3. หนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ถือเป็นการทำลายการถ่วงดุลตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน

กรณีการแก้ไขมาตรา 111 เพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาเพิ่มจำนวนเป็น 200 คน ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และไม่จำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง ทำให้ ส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งที่จะหมดวาระในเดือน มี.ค.57 สามารถสมัครรับเลือกตั้งต่อได้ทันที ยังมีความมุ่งหมายให้กระบวนการแต่งตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งต้องมาจาก ส.ว.นั้นยังคงอยู่ภายใต้อำนาจรัฐบาล เกิดการรวบอำนาจและทำให้องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้จริงเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ปี 40 การที่ ส.ว.เข้าชื่อเสนอแก้มาตราดังกล่าวด้วย ขัด รธน.มาตรา 122 อย่างชัดเจน

ส่วนการแก้ไข มาตรา 237 นั้นเห็นว่า นักการเมืองเหล่านี้ไม่มีความจริงใจที่จะเพิ่มบทลงโทษรุนแรงกับผู้ที่กระทำความผิดทุจริตเลือกตั้ง อีกทั้งผู้เสนอทั้งหมดก็จะได้ประโยชน์ต่อพรรคการเมืองและตำแหน่งของตนเองจึงถือเป็นการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์และย่อมขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ด้วย กลุ่มพธม. จึงขอคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 4 มาตราดำเนินการทางกฎหมายต่อเนื่องจนถึงที่สุด

ข่าวจากแนวหน้า

ตร.ทองหล่อฟ้องลูกเจ้าสัวกระทิงแดงซิ่งเฟอร์รารี่ชน"ด.ต."แค่2ข้อหา สั่งเพิ่มฐานขับรถเร็ว


อัยการอึ้ง!! ตร.ทองหล่อฟ้องลูกเจ้าสัวกระทิงแดงซิ่งเฟอร์รารี่ชน"ด.ต."แค่2ข้อหา สั่งเพิ่มฐานขับรถเร็ว

ที่สำนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้ ถนนเจริญกรุง พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 นัดฟังคำสั่งคดีที่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส อายุ 28 ปี ลูกชายนายเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจหมื่นล้านเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง 

ผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน กรณีขับซิ่งรถยนต์สปอร์ตหรูยี่ห้อเฟอร์รารี่พุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ลากศพไปใกล้กว่า 200 เมตร บริเวณหน้าปากซอยสุขุมวิท 49 เมื่อตอนเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555

โดยนายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 กล่าวว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรฟ้องผู้ต้องหา 2 ข้อหา คือฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกช

และมีความเห็นไม่ฟ้อง 2 ข้อหา คือขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถขณะมึนเมาสุรา

โดยเมื่ออัยการพิจารณาแล้วเห็นควรให้ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดฯ อีกหนึ่งข้อหา เนื่องจากอัยการเชื่อหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพรถยนต์ขณะที่ผู้ต้องหาขับผ่านกล้องโดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

"ส่วนข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรานั้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนฟังไม่ได้แน่ชัดว่ามีปริมาณแอลกอฮอร์ขณะขับรถหรือขณะเกิดเหตุ

ดังนั้นจึงเสนอให้นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้พิจารณาว่าจะมีความเห็นอย่างไร นอกจากนี้ผู้ต้องหาได้ส่งทนายความมาขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปก่อน ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงมีคำสั่งให้เลื่อนนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ เวลา 10.00 น."

by..@matichon
อัยการอึ้ง!! ตร.ทองหล่อฟ้องลูกเจ้าสัวกระทิงแดงซิ่งเฟอร์รารี่ชน"ด.ต."แค่2ข้อหา สั่งเพิ่มฐานขับรถเร็ว

ที่สำนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้ ถนนเจริญกรุง พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 นัดฟังคำสั่งคดีที่พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา  หรือบอส  อายุ 28 ปี ลูกชายนายเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจหมื่นล้านเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง 

ผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน กรณีขับซิ่งรถยนต์สปอร์ตหรูยี่ห้อเฟอร์รารี่พุ่งชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม สน.ทองหล่อ เสียชีวิต ลากศพไปใกล้กว่า 200 เมตร บริเวณหน้าปากซอยสุขุมวิท 49 เมื่อตอนเช้ามืดวันที่ 3 กันยายน 2555
 
โดยนายฤชา ไกรฤกษ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ฝ่ายคดีอาญาใต้ 1 กล่าวว่า  คดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสมควรฟ้องผู้ต้องหา  2 ข้อหา คือฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ถูกชน 

และมีความเห็นไม่ฟ้อง 2 ข้อหา คือขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถขณะมึนเมาสุรา 

โดยเมื่ออัยการพิจารณาแล้วเห็นควรให้ฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดฯ อีกหนึ่งข้อหา เนื่องจากอัยการเชื่อหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่สามารถจับภาพรถยนต์ขณะที่ผู้ต้องหาขับผ่านกล้องโดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่ามีความเร็วสูงถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 
"ส่วนข้อหาขับรถขณะมึนเมาสุรานั้นมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นเดียวกับพนักงานสอบสวน เพราะพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวนฟังไม่ได้แน่ชัดว่ามีปริมาณแอลกอฮอร์ขณะขับรถหรือขณะเกิดเหตุ

 ดังนั้นจึงเสนอให้นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้พิจารณาว่าจะมีความเห็นอย่างไร นอกจากนี้ผู้ต้องหาได้ส่งทนายความมาขอเลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปก่อน ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงมีคำสั่งให้เลื่อนนัดสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ เวลา 10.00 น."

by..@matichon

บึ้มรถคณะรองผวจ.ยะลาดับ1เจ็บ2-สุกำพลรู้มือฆ่านาวิกแล้ว


บึ้มรถคณะรองผวจ.ยะลาดับ1เจ็บ2-สุกำพลรู้มือฆ่านาวิกแล้ว
ข่าวภูมิภาค วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ.2556 14:03น.
444933
คนร้าย ลอบวางระเบิดรถของคณะ รองผู้ว่าฯยะลา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 2 ราย ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุ รู้ตัวกลุ่มคนร้ายอุ้มฆ่าทหารนาวิกโยธินแล้ว ย้ำ เดินหน้าถก กลุ่มบีอาร์เอ็น
เกิดเหตุ คนร้าย ลอบวางระเบิดรถของคณะ นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ขณะลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ อ.บันนังสตา เบื้องต้น ได้รับรายงานมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ยังไม่ทราบชื่อ นอกจากนี้ ยังผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย ล่าสุด กองกำลัง 3 ฝ่าย เข้าตรวจสอบพื้นที่แล้ว

'สุกำพล'บอกรู้มืออุ้มฆ่านาวิกฯแล้วย้ำเดินหน้าถกBRN
พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีคนร้ายอุ้มฆ่า
พลทหารนาวิกโยธิน จ.นราธิวาส ว่า ขณะนี้ รู้ตัวกลุ่มคนร้ายแล้ว ว่าเป็นกลุ่มใด แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด
และกำชับกับทาง แม่ทัพภาคที่ 4 ไปแล้ว ว่า ต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ เพราะใช้วิธีการที่โหดเหี้ยม ซึ่งแม้จะมี
เหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่ต้องมีการปรับยุทธวิธี โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ต้องนำไปแก้ไข
อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเพื่อสันติภาพกับแกนนำกลุ่มบีอาร์เอ็น และแกนนำผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัด
ชายแดนภาคใต้นั้น เพื่อทำให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งต้องเดินหน้าต่อไป

ผบ.ทบ. สั่งเข้มล่าตัวคนร้ายก่อเหตุป่วนใต้
พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่รัฐตกเป็นเป้าหมายในช่วงนี้ ว่า ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายใหม่ในการลอบโจมตีแต่อย่างใด เพียงแต่คนร้ายพยายามดำเนินตามกลยุทธ ในการเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แผนการที่ได้กำหนดไว้ทุกแผน ยังคงดำเนินเหมือนเดิม เพียงแต่กำชับเน้นย้ำกำลังพลให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ซึ่งทาง ผบ.ทบ. ได้สั่งนโยบายว่า ต้องบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นมากขึ้น คือ ต้องติดตามคนร้ายมาลงโทษให้ได้ พรัอมกันนั้น ในส่วนมาตราเชิงรับ การดูแลตัวเองของเจ้าหน้าที่ ต้องเข้มงวดมากขึ้น
ส่วนกรณีการอุ้มฆ่าพลหทารของหน่วยนาวิกโยธินนั้น พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่พยายามรวบรวมหลักฐานทุกจุด ตั้งแต่จุดที่ถูกอุ้ม จนถึงจุดที่เสียชีวิต และจากหลักฐานพบว่า มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มที่โจมตีกลุ่มค่ายทหารที่ผ่านมา

 'สุณิสา' ยัน รัฐบาล เดินหน้าคุย BRN
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงตอบโต้กรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องรัฐบาลให้ยุติการพูดคุยกับกลุ่ม BRN ว่า รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าพูดคุยต่อไป และที่ผ่านมานั้น ได้รับความสะดวกในการประสานงานจากประเทศมาเลเซีย เป็นอย่างดี ทั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจ การพูดคุยถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานั้น นอกจากจะมีการพูดคุยแล้ว รัฐบาลก็ยังคงให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทำงานควบคู่ไปตามปกติ ในการดูแลความปลอดภัย ขอร้องพรรคประชาธิปัตย์ อย่านำประเด็นด้านความมั่นคง มาเป็นประเด็นทางการเมือง โดยหากพรรคประชาธิปัตย์ มีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหา ก็ขอให้นำเสนอมาได้ทุกเมื่อ

บึ้ม!รถบัสทหารเป็นฝีมือของ'อาบะห์ เจะอาลี'
จากกรณีที่ได้มีคนร้ายลอบวางระเบิดรถบัสของเจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดงานกิจการพลเรือน ค่ายสมเด็จพระสุริโยทัย ร.152 พัน.1 ซึ่งเดินทางโดยรถบัส กลับจากตั้งหน่วยคัดเลือกทหารเกณฑ์ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อมาถึงบริเวณ ม.8 บ้านลือมุ ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา ก็ได้เกิดระเบิดขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บกว่า 15 นาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 56 ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภ.จว.ยะลา ซึ่งได้ติดตามคนร้ายกลุ่มนี้อยู่ เปิดเผยว่า แนวทางการสืบสวน เจ้าหน้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มของ นายอาบะห์ เจะอาลี อายุ 33 ปี เป็นคนในพื้นที่ ม.2 ต.ปุโรง อ.กรงปินัง จ.ยะลา ซึ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธอาร์เคเค มีกำลัง 1 ชุดปฏิบัติการ ประมาณ 8 - 10 คน พร้อมอาวุธครบมือ เป็นกลุ่มเครือข่ายของ อุสตาซโซ๊ะ หรือ นายอิสมาแอ ระยะหลง แกนนำระดับสั่งการที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา และ มีหมายจับของ สภ.กรงปินัง ในคดีฆ่าและลอบวางระเบิดหลายแห่ง

โจรใต้วางระเบิดรถคณะรองผู้ว่าฯยะลา ตาย1สาหัส2



(5/4/56) เหตุระเบิดรถคณะรองผู้ว่าฯยะลา ล่าสุด นายอิศรา ทองธวัช รองผู้ว่าฯ ได้รับบาดเจ็บ กำลังถูกส่งตัวจากบันนังสตามารับการรักษาที่ รพ.ศูนย์ยะลา

ผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ
1) นายเชาวลิต ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัด เสียชีวิต
2) นายอิศรา ทองธวัช รอง ผวจ.ยะลา
3) นายสะตอปา เจะเลาะ อส.ยะลา

มีรายงานจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าว่า รถที่โดนระเบิดเป็นรถของรองผู้ว่าฯยะลา นายอิศรา ทองธวัช เจ้าตัวเจ็บสาหัส

1.สรุปเบื้องต้นเหตุลอบวางระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าฯยะลา กอ.รมน.สรุปรถที่โดนระเบิดเป็นรถรองผู้ว่าฯ นายอิศรา ทองธวัช เหตุเกิดในพื้นที่ อ.บันนังสตา

2.รองผู้ว่าฯยะลา นายอิศรา ทองธวัช กำลังเดินทางไปเปิดงานไก่เบตง ที่ อ.เบตง จ.ยะลา แต่ถูกดักวางระเบิดในท้องที่ อ.บันนังสตา

3.ระเบิดถูกวางริมถนนฝั่งซ้าย และระเบิดทำงานช่วงที่รถรองผู้ว่าฯยะลาผ่านพอดี ทำให้ นายชวลิต ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลาเสียชีวิต รองผู้ว่าฯเจ็บ

4.รายชื่อผู้เสียชีวิต-เจ็บจากเหตุระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าฯยะลา คือ นายชวลิต ไชยฤกษ์ ป้องกันจังหวัดยะลา เสียชีวิต นายสะตอปา เจ๊ะเลาะ พลขับ เจ็บ

5.นายอิศรา ทองขวัญ รองผู้ว่าฯยะลา ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้คนเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา

แถวธรรม

ย่างก้าวแห่งธรรม ยามเช้า กับสามเณรน้อย_5/4/56

เว้นค่าผ่านทาง สงกรานต์

"ยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทาง มอเตอร์เวย์ และถ.วงแหวนตะวันออก "

พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.จร.กล่าวว่า"เนื่องในเทศกาลสงกรานต์ปี 2556 กระทรวงคมนาคม ประกาศยกเว้น ค่าธรรมเนียมผ่านทาง ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ (กรุงเทพ - ชลบุรี) ด่านลาดกระบัง, ด่านพานทอง

ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 (บางปะอิน - บางนา) ด่านธัญบุรี, ด่านทับช้าง ตั้งแต่ เวลา 16.00 น. ของวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556 ถึง เวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556

และกทพ.ทางพิเศษบูรพาวิถี งดเก็บค่าผ่านทาง เวลา00.01น.
วันที่10เมษายน -24.00น.ของวันที่ 16 เมษายน 2556

คกก.ข้อมูลข่าวสาร วินิจฉัย กลต.ไม่ต้องเปิดบันทึกภายใน กับ “บ.ไร่ส้ม”


คกก.ข้อมูลข่าวสาร วินิจฉัย กลต.ไม่ต้องเปิดบันทึกภายใน กับ “บ.ไร่ส้ม” กรณีแนะนำระวังทำธุรกิจกับบริษัท หลังถูก ป.ป.ช.ชี้มูลคดียักยอกเงินโฆษณา อสมท.138 ล้านบาท ชี้เป็นความเห็นภายในหน่วยงานรัฐ ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ไม่เปิดเผยได้

เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาเศรษฐกิจและการคลังของประเทศ ที่มี ศ.พิเศษ ชมเพลิน จันทร์เรืองเพ็ญ เป็นประธาน ได้มีคำวินิจฉัยที่ คศ.1/2556 กรณีที่ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด (ที่มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท) ผู้อุทธรณ์ ส่งหนังสือ ถึง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ขอให้ชี้แจงและขอเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่สำนักงาน กลต.ออกหนังสือเวียน ที่ กลต.ศส. (ว) 28/2555 ลงวันที่ 2 พ.ย.2555 ไปยังบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ ให้ระมัดระวังการทำธุรกรรมกับบุคคลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย (หลังจากบริษัทไร่ส้ม ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในคดีสนับสนุนให้พนักงานบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ยักยอกเงินโฆษณาเกินกว่าเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา เป็นเงินกว่า 138 ล้าน)

แต่สำนักงาน กลต.มีหนังสือที่ กลต.ศส.3223/2555 ลงวันที่ 4 ธ.ค.2555 แจ้งปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร โดยให้เหตุผลว่า การออกหนังสือเวียนดังกล่าวเป็นการแสดงบทบาทในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ตลาดทุนในการสร้างความตระหนักในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่น สำหรับเอกสารที่ผู้อุทธรณ์ขอถือเป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐ จึงไม่อาจเปิดเผยแก่ผู้อุทธรณ์ ตามนัยแห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.2540

บจ.ไร่ส้มมีหนังสือลงวันที่ 18 ธ.ค.2555 อุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว

สำหรับข้อมูลข่าวสารที่ บจ.ไร่ส้ม ขอให้สำนักงาน กลต.เปิดเผยมีจำนวน 4 รายการ ประกอบด้วย

1.หนังสือเวียนดังกล่าว หน่วยงานใดภายในสำนักงาน กลต.เป็นผู้รับผิดชอบเสนอเรื่องและร่างหนังสือ และเป็นกรณีเสนอตามลำดับขั้นอย่างไร ผ่านเจ้าหน้าที่ผู้ใดบ้าง

2.หนังสือเวียนดังกล่าว เลขาธิการ กลต.ได้ออกตามอำนาจหน้าที่หรือไม่ โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ที่ระบุไว้ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับใด

3.การออกหนังสือเวียนดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือไม่

และ 4.สำนักงาน กลต.หรือเลขาธิการ กลต.ได้ปฏิบัติเป็นมาตรฐานโดยเคยมีหนังสือหรือข้อความลักษณะเดียวกันและระบุบุคคลเฉพาะเจาะจงเช่นเดียวกันมาบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่เคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำผิดฐานทุจริต กรณีใดบ้าง และกรณีของ บ.ไร่ส้มเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ ตามธรรมาภิบาลของสำนักงาน กลต.

ทั้งนี้ ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการวินิจฉัยฯ โดย บจ.ไร่ส้ม ชี้แจงด้วยวาจา เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2556 และมีหนังสือชี้แจงลงวันที่ 15 ก.พ.2556 ว่า การออกหนังสือเวียนของสำนักงาน กลต.ดังกล่าว ทำให้ บจ.ไร่ส้มเสื่อมเสียชื่อเสียงและมีผลต่อการประกอบธุรกิจ ทั้งนี้ การชี้มูลของ ป.ป.ช.เป็นกระบวนการยุติธรรมในเบื้องต้น ศาลยังไม่ได้พิพากษาว่า บจ.ไร่ส้มมีความผิด อีกทั้ง บจ.ไร่ส้มไม่ได้เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์

“จึงต้องการขอข้อมูลข่าวสารเพื่อตรวจสอบว่าสำนักงาน กลต.มีอำนาจออกหนังสือเวียนดังกล่าวหรือไม่ และมีกระบวนการออกหนังสืออย่างไร หากสำนักงาน กลต.ไม่มีอำนาจ บจ.ไร่ส้มจะดำเนินคดีกับสำนักงาน กลต.และผู้เกี่ยวข้อง” ตัวแทนบริษัทไร่ส้ม ในฐานะผู้อุทธรณ์ระบุ

สำนักงาน กลต.มีหนังสือชี้แจงลงวันที่ 20 ก.พ.2556 และผู้แทนสำนักงาน กลต.ชี้แจงด้วยวาจา เมื่อวันที่ 21 ก.พ.2556 มีใจความว่า สำนักงาน กลต.มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมให้เกิดบรรษัทภิบาลที่ดีในตลาดทุน ซึ่งการดำเนินมาตรการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นส่วนหนึ่งของการมีบรรษัทภิบาล โดยสำนักงาน กลต.ได้กำหนดหลักการไว้ในแผลกลยุทธ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ซึ่งการออกหนังสือเวียนดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนกลยุทธ์ของสำนักงาน กลต. สาเหตุที่หนังสือเวียนกล่าวถึง บจ.ไร่ส้ม ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน กลต.นั้น เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวปรากฏข่าวกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด บจ.ไร่ส้ม ฐานะสนับสนุนพนักงาน บมจ.อสมท.กระทำความผิด

ทั้งนี้ หนังสือเวียนมิใช่การออกคำสั่ง ประกาศ หรือหลักเกณฑ์ที่บังคับให้บุคคลใดต้องปฏิบัติตาม เป็นเพียงการสื่อสารขอความร่วมมือเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น สำนักงาน กลต.สามารถดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. ซึ่งการออกหนังสือเวียนดังกล่าวเป็นกรณีแรก เนื่องจากสำนักงาน กลต.เพิ่งเข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น และในอดีตเมื่อสำนักงาน กลต.กล่าวโทษผู้ใดว่ากระทำความผิด แม้คดียังไม่ถึงที่สุดสำนักงาน กลต.ก็แถลงข่าวทุกครั้ง

“เมื่อ บจ.ไร่ส้มมีคำขอข้อมูลข่าวสารแล้วสำนักงาน กลต.ได้มีหนังสือชี้แจงเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่และบทบาทของสำนักงาน กลต.ให้บริษัทไร่ส้มทราบแล้ว (ตามหนังสือที่ กลต.ผด.435/2556 ลงวันที่ 12 มี.ค.2556) แต่ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบันทึกการเสนอเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เป็นต้นเรื่องในการออกหนังสือเวียนดังกล่าว เนื่องจากเป็นการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ในแต่ละระดับ มีลักษณะเป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใดตามมาตรา 15 (3) แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 อีกทั้ง บจ.ไร่ส้มอาจนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประกอบการฟ้องคดีแพ่ง หรือคดีอาญาแก่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง แม้เจ้าหน้าที่จะมีข้อต่อสู้ว่าดำเนินการโดยสุจริต แต่ก็อาจมีผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน” คือคำชี้แจงของตัวแทนสำนักงาน กลต.

คณะกรรมการวินิจฉัยฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่สำนักงาน กลต.มีหนังสือที่ กลต.ฝด.435/2556 ลงวันที่ 12 มี.ค.2556 ถึง บจ.ไร่ส้ม ชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารตามคำขอในข้อ 2 ถึงข้อ 4 ถึงว่าสำนักงาน กลต.ได้เปิดเผยข้อมูลตามคำขอในส่วนดังกล่าวแก่ บจ.ไร่ส้มแล้ว กรณีจึงไม่มีประเด็นต้องวินิจฉัย

ส่วนคำขอข้อ 1. ได้แก่บันทึกภายในสำนักงาน กลต. ซึ่งเป็นต้นเรื่องในการออกหนังสือเวียน เป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานภายในสำนักงาน กลต.เสนอเรื่องราวและความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอที่เป็นไปตามแผนกลยุทธ์

“ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐ ในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด ตามมาตรา 15 (3) แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 ดังนั้น การที่สำนักงาน กลต. ไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามอุทธรณ์ให้แก่ บจ.ไร่ส้มนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์” คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยฯระบุ



-----

สำหรับ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ.2540

มาตรา 15 ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน

...

(3) ความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาใช้ในการทำความเห็นหรือคำแนะนำภายในดังกล่าว