PR

@@ในความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ที่ปรากฎเป็น"ข่าว"และ"ไม่เป็นข่าว"พยายามสแกนย่นย่อมานำเสนอและเป็นไว้เป็นฐานข้อมูลสังเคราะห์สถานการณ์ ที่นี่ "ข่าวที่ไม่เป็นข่าว"

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

เสธน้ำเงิน : แฉ..ลั่นกลองรบ จากแก้ว 3 ประการ..กลายเป็นแก้ว 3 พิการ

10 มี.ค.57 แฉ..ลั่นกลองรบ จากแก้ว 3 ประการ..กลายเป็นแก้ว 3 พิการ

อาการดิ้นพล่านของแก๊งค์อั้งยี่แดง ที่งัดสารพัดแผนชั่วใต้ดิน มาก่อการร้ายสากลป่วนการชุมนุมของมวลชน กปปส.นั้น ถูกจับตาติดตามไม่กระพริบมาตลอดจากกองทัพ เบื้องหลังการย้ายผู้ชุมนุมไปรวมอยู่สวนลุมฯ จุดเดียวนั้น เป็นเพราะบิ๊กสีเขียวแจ้งไปยังกำนันว่า ได้มีการจับกุมอาวุธสงคราม ระเบิด ปืน ของกลุ่มกองกำลังแก๊งค์อั้งยี่แดง ในทางการข่าวความมั่นคงจะมีการก่อเหตุเข้ามาทำร้ายผู้ชุมนุมในช่วง 26 ก.พ - 4 มี.ค.57

จึงขอให้กำนันย้ายรวมมวลชนไปอยู่จุดเดียว เพื่อที่ชายชุดเขียวในเครื่องแบบ จะเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยได้ง่าย..การหารือลับกันครั้งนั้นมีอับดุล อยู่ในวงหารือด้วย พร้อมรับประกันความปลอดภัยมวลชน กปปส.จุดสวนลุม ต่อมากำนันจึงดำเนินการตามแผนดังกล่าว..จนมีการเสริมกำลังชายชุดเขียว เป็นตาข่ายใบแมงมุมพรึบเป็น 176 จุด กำลังพลเรือนหมื่นนั้นเอง..จนสถานการณ์ถูกควบคุมได้จนถึงวันนี้ จึงมาบอกทุยแดง เพื่อให้ดิ้นพราดๆๆ อีกรอบ..ฮา โดนลับ ลวง พราง เสียท่าไปอีกแล้ว!!

สิ่งที่แกนนำเสื้อแดง และบริษัทเผาไทย ก่อความรุนแรงมาทั้งหมด คืออาการหมาขี้เรื้อนจนตรอกนั่นเอง เพราะฝ่ายของเขากำลังจะแพ้ในทุกแนวรบ ยิ่งทำก็ยิ่งก็ย้อนเข้าหาตัวเองทั้งหมด ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการเปิดเผยตัวเท่านั้น เหมือนแย้ถูกอัดลมลงรู จนต้องออกมาทางปล่องลับ ความลับปริศนาดำมืดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยทั้งประเทศเห็นกำพืด รู้ความจริงจนหมดสิ้น

ประเด็นใหญ่ที่สุดเรื่องการจุดกระแสแยกประเทศ ติดป้ายไปในหลายจุด ถูกตีโต้สวนกลับจากประชาชนทุกจังหวัด ฉีกทำลายป้ายแยกประเทศจนเละทะ เอาไปห่อขี้ควาย แล้วขึ้นป้ายใหม่ที่ต่อต้านการแบ่งแยกประเทศ ต่อต้านแก๊งค์อั้งยี่แดงแทน จนลุกลามเป็นไฟลามทุ่งไปอย่างรวดเร็ว พรึบทุกมุมเมือง ทุกจังหวัด แล้วต่อมาก็ถูกกองทัพจัดหนักอัดยาแรง ด้วยข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน และหมิ่นเบื้องสูงเข้าให้ ที่มีโทษถึงประหาร และจำคุกตลอดชีวิต จนต้องถอยกรูดๆ กระโดดหนีกันเป็นกบอย่างหนัก เหมือนถูกสาดน้ำร้อนเข้าใส่ตัวจังๆ

เกิดกระแสตีกลับของมีประชาชน อย่างหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ย้ายถ่ายเทมวลชนเสื้อแดงตาสว่าง และรากหญ้า โอนมาให้ กปปส.ตลอดเวลา เงียบๆ ที่ละน้อย ข่าวสารความชั่วของแก๊งค์ยั้งยี่แดง และความเดือดร้อนจากการชักดาบโกงเงินค่าจำนำข้าวชาวนาหลายล้านคน สะพัดไปทั่วประเทศ บ่อนทำลายฐานเสียง กระแสความนิยมชมชอบ..ตกต่ำแบบ..สุดๆๆ ลงลึกไปถึงรากหญ้าอย่างรวดเร็ว อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน..มันการสัญญาณการล่มสลายของบริษัทเผาไทยนั่นเอง !!

1. ต่อมาเกิดการทะเลาะเบาะแว้งแตกคอกันเละ ภายในบริษัทเผาไทย กับแก๊งค์เลวแล้วรวย นปช.อย่างหนัก เพราะบรรดาผู้สมัคร ส.ส.ที่อยู่ในพื้นที่ ซึมซับความรู้สึกประชาชนรากหญ้า และชาวนา ในจังหวัดตนเองได้ ว่าลางหายนะสูญพันธ์มาเยือนแล้ว ต้องปรับแผนกันจ้าละหวั่นเป็น “แบ่งกันตี รวมกันโกง “ โดย

1.1. คอมมิวนิสต์กลายพันธ์ นปช.แดง..รับงานด้านการจัดอีเว้นท์ชุมนุมตามภาคอีสาน เหนือ และต่อไปจะมาภาคกลาง
1.2. แรมบ้า..รับงานด้านสมัครการ์ดแบ่งแยกดินแดน อพปช. แมงโม้ปลิวว่อน เพื่อสร้างราคาค่าตัวและเงินทุน
1.3. บริษัทเผาไทย..ปรับโครงสร้างใหม่ ยกเลิกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เป็นคณะกรรมการประสานภารกิจ เพื่อหลอกผู้สมัคร ส.ส.ต่อ
1.4. กองกำลังก่อการร้ายสากล และชายชุดดำฝ่ายชั่ว..หาช่องลอบกัดป่วนสถานที่ บุคคลสำคัญ และมวลชน กปปส. และโจมตีก่อกวน กลั่นแกล้ง ผู้ป่วยตามโรงพยาบาลต่างๆ

2. ส่วนการระดมมวลชนเสื้อแดงต่างๆ นั้น ไอ้ที่จะมาเองด้วยอุดมการณ์นั้นไม่มีแล้ว ต้องใช้เงินจ้าง และอมหัวคิวกันทุกระดับ มีค่าใช้จ่ายปกป้องประชาธิปไตย กันจนน้ำลายไหล เช่น

2.1. การชุมนุมคนเสื้อแดงโคราช ขอเงินแก๊งค์อั้งยี่แดง จำนวน 65 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อมาขับไล่ 9 เปาบุ้นจิ้น รธน.และองค์กรอิสระ โดยขอยอดเงินนี้โดยตรง ไม่ต้องผ่านแกนนำแดงส่วนกลาง ดังนี้
- ค่าจ้างมาชุมนุม คนละ 300 บาท/วัน = รวมเป็น 45 ล้านบาท
- ค่าจ้างการ์ด คนละ 750 บาท/วัน = 5.85 ล้านบาท
- ค่าจ้างชายชุดดำควบคุมฝูงชน คนละ 1,000 บาท/ต่อวัน = 1.2 ล้านบาท
- ค่าจ้างฝ่ายยุทธการ คนละ 1,500 บาท/วัน = 2.25 ล้านบาท
- ค่าจ้างยานพาหนะ 4 คัน ค่าติดต่อ = 200,000 บาท
- ค่าอาหาร เครื่องดื่ม 3 มื้อ วันละ 3,500 ต่อคน = 1.26 ล้านบาท
- ค่ายานพาหนะ 200 เที่ยวไป-กลับกรุงเทพ ( รถบัส) และ ค่ารักษา

2.2. การระดมคนเสื้อแดง ณ ลานจอดรถ บขส.ขอนแก่น ดังนี้
- แกนนำระดับอำเภอ คนละ 1,000 บาท/วัน
- แกนนำระดับหมู่บ้าน คนละ 500 บาท/วัน
- ชุมนุม คนละ 100 บาท/วัน
- ค่าจ้างรถสองแถวขนคน คันละ 3,500 บาท ( ต้องขนคนมาร่วม คันละ 10 คน)

2.3. การสมัครเป็นการ์ดกองโจรแบ่งแยกดินแดน อพปช.ของแรมบ้า
- มาลงชื่อรับค่าจ้าง คนละ 200 บาท และแจกเสื้อผ้าดำ 1 ชุด แล้วไปรับเงินจากหัวหน้าสายที่พามา เพื่อปกปิดไม่ให้ใครเห็นว่ามีการจ่ายเงินกัน
- วีธีการระดมคน มามีขั้นตอนดังนี้ รก.รมต.คลองหลอด สั่งการด้วยวาจาไปที่ผู้ว่าฯ , ผู้ว่าฯ สั่งนายอำเภอ , นายอำเภอสั่ง อบต. และกำนัน,ผู้ใหญ่บ้าน ให้เกณฑ์คนไปลงชื่อสมัครฯ แต่มีคนยอมมาน้อยมาก เพราะคนที่มาสมัครก็จะต้องโดนข้อหากบฏ ติดคุกติดตะรางแน่ๆ คนที่มาก็เพราะไม่รู้ข่าวสาร มีแต่คนแก่หัวหงอก หงำเหงือก ต้องพกถุงยาความดันกันมาทุกคน

** หมายเหตุ อัตรานี้แกนนำจะได้หัวคิวที่ไม่ได้รวมในยอดนี้อีก 75-80 %

ส่วนการชุมนุมเสื้อแดงลั่นกลองรบ 17 จังหวัด ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ที่ผ่านมานั้น ได้เล่าค่าใช้จ่ายให้ฟังแล้ว แต่ก็ได้คนมาร่วมแค่คนเฒ่า คนแก่ และเด็ก มานั่งระเกะระกะ พอเป็นพิธีได้แค่ 2 -3 ชั่วโมง แล้วก็แยกย้ายกันหนีกลับบ้าน..จนถึงช่วง 2-3ทุ่ม สนามกลายเป็นป่าช้า คนโหรงเหรง บรรยากาศวังเวง โหยหวนชวนขนลุก เหมือนโดนผีหลอก !!

กระแสคนเสื้อแดง มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ชาวบ้านเขารู้ทันหมด เขาไม่ช่วยเหลือคนโกง หมิ่นศาล หมิ่นเจ้า ชาวบ้านเขารู้ เขาเห็น เขาเอือมระอาในพฤติกรรมสันดานพวกนี้กันทั้งนั้น ไอ้ที่ข่มขู่ว่าถ้าปูเน่าแพ้คดี จะแบ่งแยกดินแดน ใครๆ ก็ส่ายหน้าไม่อยากคบค้าสมาคมด้วย สร้างความโกรธแค้น และเกลียดชัง แก๊งค์แดงให้ประชาชนหนักเข้าไปอีก..สปป.ล้านนา ใครจะบ้าไปอยู่กับพวกมัน..อดตาย ยากจนทั้งประเทศแน่ !!

จากแก้ว 3 ประการ..กลายเป็นแก้ว 3 พิการ.. คือ บริษัทเผาไทยก็เดี้ยง, ฐานเสียงมวลชนก็เดี้ยง, กองกำลังติดอาวุธก็เดี้ยง (เจอสันติอหิงสวน)..ตอนนี้แม้แต่ นปช.พวกเดียวกันยังสมเพชเวทนาแรมบ้า อย่างโหวงเหวง ยังชิงออกตัวว่างานนี้ นปช.ไม่เกี่ยวนะ บริษัทเผาไทย ยามนี้จึงเป็นการสร้างภาพข้างนอกสดใส แต่ข้างในเป็นโพรง ที่ใครๆ ก็รู้ว่าหมดสภาพ เป็นของหมดอายุรอเปาบุ้นจิ้น และ ปปช. จำหน่ายทิ้ง ฝังกลบซากศพที่เคยรุ่งเรือง

3. แก๊งค์อั้งยี่แดง จึงเร่งดำเนินการวิชามาร เก่าๆ เดิมๆ คือ
- ทางแรก..ส่งลูกสมุนนักเลงอันธพาล ออกมาข่มขู่ โวกเวก โวยวาย รังควาญ แกล้งผู้ป่วยตามโรงพยาบาล สาธารณสุขไปทั่ว ไม่ยอมรับผลการตัดสินของกระบวนการยุติธรรม..ลอบก่อการร้ายสากล
- ทางสอง..ขับไล่ไสส่ง ยั่วยุ ท้าตีท้าต่อย ดูถูกดูหมิ่นเกียรติยศศักดิ์ศรีของชายชุดเขียว
- ทางสาม..หมิ่นสถาบัน จุดกระแสเรื่อง ไพร่ ฝ่ายอำมาตย์ อีกครั้ง
- ทางที่สี่..สร้างสงครามข่าวสาร ดิสเครดิต ใส่ร้าย ป้ายสี ยุแหย่ ฝ่ายมวลชน กปปส. หรือ ฝ่ายชายชุดเขียวให้เสียหาย หรือแตกคอกัน หวังให้อ่อนกำลัง..เช่น ส่งคนของภูมิธรรมมาผสมเป็นแกนนำในมวลชน ยุแยง นำสารพัดเรื่องมาอ้างโจมตี เช่น โจมตีชายชุดเขียว, ปฏิรูปพลังงาน เงินบริจาค เป็นต้น , ให้สื่อแดง และ Social Network แดง แต่แอ๊บแสร้งเป็น กปปส.ยุให้เวที กปปส.- พธม.ให้แตกกันว่าเวทีใหญ่ไม่พูดเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ฯลฯ เป็นวิธีที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้มานานแล้ว..ตามยุทธศาสตร์ของแก๊งเลวแล้วรวย
- ทางที่ห้า..ให้ปูเน่า กดดันชายชุดเขียว ชายชุดดำ แต่ก็ไม่มีคนสนใจฟัง
- ทางที่หก..ให้หญิงกระบังลม, เจ๊ ด.แดกข้าว, ชายตู้เย็น วิ่งหาคนกลางมาช่วยไกล่เกลี่ย ติดสินบน ล๊อบบี้ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เจรจากับทางบิ๊กชาย 3 สี , เลียบๆ เคียงเข้าหากำนัน พยายามยื่นข้อเสนอแปลกๆ พิลึกพิลั่น

4. ให้คำแนะนำหลักคิดง่ายๆ แก้เกมส์สงครามข่าวสารคอมมิวนิสต์กลายพันธุ์ ดังนี้
4.1.เวที กปปส.แต่ละแห่งมีจุดประสงค์เฉพาะอยู่แล้ว ทุกเวที ไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง (เหมือนครอบครัวเดียวกันแต่ลูกหลายคน ไปเปิดร้านขายโทรศัพท์, เครื่องสำอาง, อาวุธปืน, ก๋วยเตี๋ยว แต่และร้านมีเป้าหมายเดียวกันคือรายได้เข้าบ้าน แต่ชำนาญไปคนละแบบ) เช่น เวทีสวนลุม-ปฏิรูปการเมือง-สังคม-โครงสร้างอำนาจรัฐ, เวทีแจ้งวัฒนะ-เน้นเรื่องพลังงาน-ชาวนา-ความยุติธรรม, เวที คปท.พธม.-พลังงาน-ความเป็นธรรม, เวทีกระทรวงคลองหลอด-แรงงาน
4.2. จะให้พูดมันมั่วทุกเรื่องเหมือนเวทีเสื้อแดง-สปป.ล้านนา-แบ่งแยกประเทศ-อาวุธ 10 ล้านกระบอก-ก่อสงครามกลางเมือง-หมิ่นเจ้า-ด่าศาล-ว่าองค์กรอิสระ-ท้าทหาร-สะใจฆ่าเด็ก ฯลฯ คงเป็นไปไม่ได้ เพราะมวลมหาประชาชนเขากินข้าวจึงฉลาด ไม่เหมือนทุยแดงที่กินแต่ฟางข้าวไร้วิตามินสมอง..
4.3. ช่วงนี้จึงพบใส้ศึก แฝงตัวมายุแหย่เรื่องนี้ไปทั่ว เพื่อให้แตกสามัคคีกัน เหมือนคราพม่าตีกรุงศรีอยุธยาไม่ได้ ก็ใช้ใส้ศึกในเมืองจนกรุงแตก หรืออดีตเมืองล้านนา ที่พระนางมหาเทวีจิรประภา ที่เคยหลอกลวงสมเด็จพระชัยราชาว่ามีความภักดีต่ออโยธยา แล้วก็วางแผนคิดคดเป็นกบฏต่ออโยธยา สุดท้ายถูกจับได้ก็ถูกปราบกบฏประหารตัดหัวจนหมดสิ้น!!..บทเรียนในอดีตต้องเรียนรู้
4.4. ยามนี้แหละพิสูจน์มิตร หรือศรัตรูได้ดีที่สุด " ในยามศึกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ศรัตรูมักจะเผลอแสดงตนออกมา “ สหายร่วมรบจะไม่หันมาแว้งกัดกันเอง วิธีการดูง่ายๆ ก็คือ ใครมั่นคงในจุดยืน คงเส้นคงวา “ในเป้าหมายหลักปัจจุบัน “ คือของจริง เวลาเปลี่ยน อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยน ว่างั้นเถอะ
4.5. ก็ไฟมันไหม้บ้าน ก็ต้องดับไฟก่อนค่อย จะให้มามัวคิดแบบบ้านทำไม แล้วเมื่อไรจะดับไฟได้..ก็ตอนนี้มันสงครามรบ ต้องเอาคนชั่วออกไปก่อน แล้วประหารในข้อหากบฏ หรือขังคุก ไม่ใช่ยามบ้านเมืองปกติ..ถ้าแปรเปลี่ยนเป้าหมายปัจุบันไป-มา หรืออ้างชื่อคนอื่น ที่เขาไม่ได้ยินยอม ประชาชนก็ต้องคิดพิจารณาด้วยปัญญา

5. ยกตัวอย่างที่แก๊งค์อั้งยี่แดง ลงมือก่อการร้ายสากล หรือทำให้ประชาชนสับสน โฆษณาชวนเชื่อ และทำการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน เช่น
5.1. หลอกใช้ให้โกเต็ก ทำท่าทีเหิมเกริม ยั่วยุ ท้าชนกับชายชุดเขียว ออกข่าวทุกวันทุกช่องทาง ว่าถ้ามันโดนฆ่าตายก็เป็นฝีมือชายชุดเขียว การข่าวจากผู้ร่วมประชุมคือชายดูไบ ก็จะส่งสมุนตนเองไปเก็บโกเต็กให้ตาย เพื่อใช้ยั่วยุให้คนเสื้อแดงตกมัน เอาศพโกเต็กมาแห่ เป็นเครื่องมืออ้างก่อสงครามกลางเมือง ยั่วยุให้ชาย 3 สีทำการปฏิวัติรัฐประหาร เพื่อล้มกระดานคดีความค้างเก่า..เอาหัวโกเต็กมาสังเวย เป็นเหยื่อกระสุนพวกเดียวกันเองว่างั้นเถอะ!!

5.2. ยิงเอ็ม 79 ลงใกล้บ้านเมียกำนัน ย่านพุทธมณฑล ห่างรั้วคอนกรีตบ้านประมาณ 30 เมตร จำนวน 2 ลูก แต่ไม่ทำงาน และ จนท.ได้ทำลายไปแล้ว

5.3. ให้หน่วยงานราชการที่ถูก กปปส.ปิด ข้าราชการนับพันคน มาเช่าในตึกบริษัทเผาไทย ทำงาน แต่ชั้น 15 มีการแอบตั้งหน่วยงานทำธุรกรรมแฝงการฟอกเงิน โอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่นี่ด้วย รวมทั้งมีการเปิดบริษัทขายเห็ด อาหารเสริมบังหน้า เพื่อการฟอกเงิน

5.4. เป็ดเหลิม หลังจากกลับจากสิงคโปร์ และมาเลย์ฯ ต้องการสร้างผลงาน หาทางให้ชายชุดเขียวเอาบังเกอร์ออก เพราะใช้อาวุธวิถีโค้งโจมตีมวลชน กปปส.ไม่ได้เลย โดยให้
- มีวันนี้เพราะพี่ให้ และ สน.ลุมพินี จับชายชุดเขียว 2 นายนอกเวลาราชการ พร้อมอาวุธปืนสงคราม M-16 ลูกกระสุน 1,976 นัด ปืนพกสั้น 11 มม. 1 กระบอก แก๊สน้ำตา 2 ลูก และแม็กบรรจุกระสุนปืน แบบสั้นและยาว..แต่ทั้ง 2 นายไม่ได้เกี่ยวกับมวลชน กปปส.แต่อย่างใด แต่เขาเคยเป็นการ์ดนักการเมืองท้องถิ่น พรรคแดง โดยลูกยอดเป็ดเหลิม วางแผน และจ้ดหาอาวุธให้ ขนมาจากอุบล บังคับให้ 2 คนมาเป็นเหยื่อล่อ ให้ชายชุดดำจับ จะได้กระหน่ำโจมตีว่าชายชุดเขียวช่วย กปปส. ต้องถอนบังเกอร์ออกไปให้หมดนะ
- บริษัทเผาไทยวางแผนให้ยกเลิกประกาศ พรก.ฉุกเฉินฯ อ้างว่าสถานการณ์ดีขึ้น แล้วให้หุ่นเชิดปูเน่า สั่งถอนกำลังพลชายชุดเขียว ออกจากรอบพื้นที่การชุมนุม กลับเข้ากรมกอง แล้วสลับฉากให้ชายชุดดำฝ่ายชั่ว เข้าปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาความสงบรอบพื้นที่แทน
- พอชายชุดเขียวกลับไปแล้ว ก็ให้ชายชุดดำฝ่ายชั่ว และกองกำลังติดอาวุธก่อการร้ายสากล ของรัฐอั้งยี่แดง โจมตีผู้ชุมนุมต่อเหมือนเดิม
- ใช้คอนโดฯ ที่กำลังก่อสร้างของตระกูลจึงรุ่ง..หุ้นกับชายดูไบ ที่ตรงข้ามตึกที่การบริษัทเผาไทย และที่ตึกชิน 3 เป็นที่รวมพลหลัก และอาวุธ โดยโจรก่อการร้ายต่างชาติ , ของ บ.น้ำมัน , และกองกำลังรับจ้างอดีตทหารพราน ทีมละ 16 ล้านบาทต่อวัน
- ส่วนกองกำลังนักเลงหัวไม้อันธพาล เช่น แก๊งปทุม นนท์ เมืองทอง ตลาดไท กาละแม สมุทรปราการ ก็ลอบเข้ามาโจมตีฉาบฉวย เสริมเป็นครั้งคราว

** เอ..พ่อค้าปีอบคอร์น คงต้องขึ้นไปขยายกิจการ บนคอนโด อมันตา ของลุมพินี บ้างซะมั้ง ที่นั่นลูกเป็ดเหลิม ให้เอาอาวุธสงครามไปส่งไม่ใช่เหรอ..แน่บ..ฮา รู้ทันอีกแล้ว

เสธ คิดว่าชายชุดเขียว คงต้องทำตามที่ปูเน่าสั่งถอนกำลังพลแน่..แต่ๆ อาจถอนเอากำลังชุดเก่าไปราว 8,500 คน กลับไปพักดื่มกาแฟ ปลูกข้าวโพดต้นใหม่บ้างสักหน่อย แล้วขนเอากำลังพลชุดใหม่ที่ฝึกมาหมาดๆ ฟิตเปรี๊ยะ พร้อมรถคั่วข้าวโพด รถไอติมหุ้มเกราะ จากต่างจังหวัด เข้ามาทดแทน หรืออาจถอนบังเกอร์ไป 179 จุด แล้วเอาเข้ามาเพิ่มใหม่อีกเป็น 250 จุด..

พระราชดำรัส บางช่วงของพ่อหลวง ให้สัมภาษณ์กับ BBC เมื่อ 30 ปีที่แล้ว.." เวลาทหารถือปืนเขามักมุ่งที่จะยิงศัตรู แต่ถ้าทหารถือปืนเพื่อปกป้องประเทศชาติ ไม่ถือว่าเขาทำผิดต่อคำสอนของศาสนา ถ้าศัตรูมาถึงทหารก็ต้องยิง เพราะมีเจตนาที่จะปกป้องศาสนาและประเทศชาติ "

นายกเทียมหมดอายุ หมดสภาพแล้ว วันนี้มันต้อง"จำหน่าย" ทิ้งอย่างเดียว ไม่มีใครเขาสนใจคำสั่งหรอก!! เสธ ฝันว่า เท่านั้นยังไม่หนำใจเสื้อแดงพอ ได้ข่าวว่ามีการจัดพ่อค้าป๊อบคอร์น ตะหลิ๋วคั่วร้อน และเพิ่มจำนวนพ่อค้ามาเสริมอีกต่างหาก..

เขาว่าป๊อบคอร์นรุ่นนี้เงาวับ ขายได้ระยะไกลมาก คุณภาพสากล ผ่าน อย.ด้วยนะ..ฮา

** ดูคลิปคำสัมภาษณ์ BBC พ่อของแผ่นดินสมัยหนุ่มๆ เป็นกำลังใจ และหลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อนที่ https://www.youtube.com/watch?v=VJz1GYWPrWg

@เสธ น้ำเงิน
ที่มา https://www.facebook.com/topsecretthai

หลวงปู่พุทธอิสระ:อีกสองอาทิตย์ จะมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมมาที่รัฐบาล

11 มีนาคม 2557 ช่วงค่ำ เวทีแจ้งวัฒนะ

หลวงปู่พุทธะอิสระ

เรามาเจริญสติกันหน่อย ทำจิตให้ว่าง ทำกายให้ว่าง เราเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว วางเสียบ้าง ปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการ หยิบมาทั้งวัน ในวิชาสติปัฏฐาน 4 พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม กายรวมๆ มี 6 บรรพะ คือ กาย อานาปานสติ อิริยาบท จตุธาตุวัฏฐาน 4 นวสีวถิกา การพิจารนาโครงกระดูกในกายตน เรียกว่าอสุภกรรมฐาน หรือโครงกระดูก หลายคนเรียกว่าความไม่สวยงามในกายตน

ทั้งหมดคือเรื่องของกาย แต่เราไม่ต้องสนใจ เป็นวิชาการ แต่รวมๆ คือกายและใจ

ให้เพ่ง ให้ตั้งให้มั่น ตรงอยู่ในกาย มีจิต มีสติ มีอารมณ์ รับรู้เฉพาะในกาย อย่าให้หลุดเลื่อนออกไปนอกกาย ไม่มีภาระ ไม่แบก ไม่พันธนาการ ไม่ว้าวุ่นกลัดกลุ้มทุรนทุราย เป็นตัวรู้เฉยๆ จนเป็นพุทธะคือ ตัวรู้ ผู้รู้ตื่นเบิกบาน ไม่จำเป็นต้องเป็นชาวพุทธ แม้มุสลิม คริสต์ ซิกข์ ก็ทำได้
เพราะถ้าไม่รู้ก็บ้า ต้องมีตัวรู้ ต้องหยิบแล้งวาง แล้วทำความว่างให้ปรากฏ
เรามาทำความว่างให้ปรากฏ ด้วยการวางทุกอย่าง สมองวาง กายวาง ใจวาง แล้วทำให้เกิดความว่าง แม้อารมณ์ก็ต้องวาง ความขมึงทึง ตึงรัด พันธนาการ วิตกกังวล ง่วงเหงาหาวนอน เหล่านี้เป็นงานที่ต้องไปหยิบฉวย ต้องวางภาระให้หมด วางให้หมด เหลือแค่คำว่า ว่างเฉยๆ เริ่มต้นเลย

หยิบแล้ววาง วางแล้งว่าง ทรงอารมณ์ความว่าวเอาไว้ จนรู้สึกว่าตัวเราไม่ใช่เรา ดับแล้วเย็น

ความดับเย็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่งดงามของจิต เป็นเสรีภาพของจิต เป็นสุขุมจิต เป็นวิเศษจิต เป็นจิตที่วิเศษกว่าจิตอื่นๆ ความปรุงแต่งใดๆ พันธนาการใดๆ ความทุกข์ใดๆ ไม่เกิดขึ้นได้เลย เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงสอน โมฆราชว่า "เมื่อใดที่เธอเห็นความว่าง เมื่อนั่นมัจจุราชจะไม่มีวันเห็นเธอ"
เราอยู่กับความว่างแล้วเราจะไม่มีวันตาย ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันแก่
อยู่กับความว่างแล้วเราจะไม่มีความทุกข์ มีแต่ความผ่อนคลายมโปร่งเบาสบาย ความว่างเกิดขึ้นกับใครเป็ยลาภอย่างยิ่ง เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นอำนาจอย่างยิ่ง เป็นตบะ เป็นเสรีภาพอย่างยิ่ง

ทุกวันนี่เราตกอยู่ในอำนาจ เพราะเราไม่ว่าง เรามีพันธนาการ มีภาระ มีเครื่องผูกพันตลอด ชีวิตเรามีการงาน มีสภาวะที่ต้องทำเป็นเนืองนิจ จนชีวิตไม่หยุดนิ่ง ครั้งหนึ่งในหนึ่งวันมีโอกาสได้วางว่างบ้าง พันธนาการเหล่านั้นจะได้หยุดลง เหมือนการแก้ปมเชือก แก้ไม่หมด ถ้าไม่แก้เสียเลยก็จะกลายเป็นดินพอกหางหมู ทีนี้จะหาทางแก้ไม่ได้ เป็นวันเป็นเดือนเป็นชาติ เพราะไม่หาทางที่จะแก้ไม่คิดจะแก้ ไม่ฝึกที่จะแก้ เพราะฉะนั้นเรามาฝึกที่จะแก้พันธนาการ

อยู่กับลมหายใจ
หายใจเข้าภาวนาว่า "สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข"
หายใจออก "สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์" นับหนึ่ง
เที่ยวนี้เอา 16 คู่
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน แล้วลืมตาขึ้น

(เจริญมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล)

_____

สบายดีไหมลูก (เสียงโห่ร้องและนกหวีดสนั่น)

วันนี้ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าข้าว เอาข้าวไปขาย เป็นกรณีศึกษา อยากให้สังคมได้รับรู้ว่าวันนี้ชาวนาเขาแย่จริงๆ ข้าวที่เขาเกี่ยวมาเมื่อเช้านี้ เจ้าของนาเอาไปกองขายที่ลานตากข้าวของโรงสีเอกชน ได้ข้าวประมาณ 20 เกวียน ตีราคาเกวียนละ 6,000 บาท รัฐบาลก็ไม่อยากรับจำนำ แต่ที่แน่ๆ ชาวบ้านมีตัวสัญญาว่าจะรับพร้อมจะรับจำนำ แต่เมื่อเอาไปส่งโรงสีๆ บอกว่าไม่พร้อมรับจำนำ เพราะรัฐบาล ยังไม่สั่งไม่มีตังค์จ่าย สรุปแล้วข้าวที่รัฐบาล สั่งให้ปลูกตั้งแต่ พิจิตร นครสวรรค์ อยุธยา ชัยนาท ลงมาถึงนนทบุรี สมุทรสาคร มีนาไม่ต่ำกว่าห้าแสนไร่ พร้อมเก็บเกี่ยวแต่ไม่รู้จะขายใคร พอไปขายโรงสีก็กดราคา แล้วเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างเช่น มุสลิมเจ้านี้ มี 20 เกวียน ต้องไปอาศัยตาชั่ง ลานตากของเขา แล้วเอาข้าวออกมาไม่ได้ เพราะโรงสีที่มีลานตากข้าวและตาชั่ง บอกว่าต้องเอาเงินมาจ่ายก่อน เงินค่าหนี้ ค่าปุ๋ย เงินที่กู้ไปกินตอนที่ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ เป็นเงินเท่าไหร่ เขาบอกว่า 20 เกวียนนี้หักแล้วยังไม่พอค่าหนี้เลย ให้ราคา 6,500 บาท/เกวียน ถือว่าเมตตาแล้ว เงินทั้งบ้านเหลือติดอยู่ 100 บาท

หลวงปู่วันนี้พาพี่น้องชาวนาไปที่ กระทรวงเกษตร กรมวิชาการเกษตร ไปเพราะอะไร เพราะอธิบดีหลายกรมระดม บริษัท ที่ขายเคมี เครื่องมือเกษตร 7-8 บริษัท มาสุมหัวกัน เขียนหนังสือว่าประชุมด่วนที่สุดแก้ปัญหาชาวนา แก้ปัญหาอย่างไร ว่าเงินสองหมื่นล้านจะลงไปที่ชาวนาแล้วทาง ธกส. พ่อค้าที่เป็นเจ้าหนี้ชาวนาเตรียมที่จะหักหนี้จากสองหมื่นล้าน แต่อ้างว่าจะแก้ปัญหาชาวนา ตัวอย่างแบบที่โดนโรงสีหัก แล้วเงินสองหมื่นล้านนี้จะถึงมือชาวนาไหม ...

วันนี้เขาจึงมาสุมหัวกัน เพื่ออยากจะมีส่วนแบ่งกับเงินสองหมื่นล้านว่าจะแบ่งหนี้กันอย่างไร อย่างนี้ต่างหากเล่า ช่วยซ้ำชาวนา
หลวงปู่เลยไปเตือน ธกส. เอาข้าวไปดัมพ์ไว้สองคันรถว่า นี้คือกรณีตัวอย่าง
ธกส. บอกว่าชาวนามีบัตรเครดิต จะเหลืออะไร มันยึดเอาไปหมดแล้ว ก็รอเงินสองหมื่นล้านบาท สรุปว่าชาวนาไม่เหลือ บริษัทปุ๋ยยาเอาไปกินหมด เหลือเศษเดนมาให้ ชาวนาเอาไปกินยาตาย รายเมื่อเช้านี้นายี่สิบเกวียน ไม่เหลือเงินกลับมาเลย แถมยังมีหนี้เก่าที่จะมาทวง นี้คือทุกข์ชาวนา

รู้ไหมว่าหลวงปู่เอาข้าวออกมายังไง เอาเงินกองทุนชาวนาไปไถ่ แสนสองหมื่น รวมค่าบรรทุกอีกสามหมื่นบาทให้เจ้าหนี้ได้เงินเลย

นี้คือชาวนาไทย พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาฆ่าตัวตาย คนที่อยู่ได้นี้อดทนมาก สมัยก่อนเราทำนาเพื่อกิน ไม่ได้ขาย เรามียุ้งฉางประจำบ้าน ที่บ้านหลวงปู่ตายายทำนาก็มียุ้งฉางไว้หุงกินเหลือก็ขาย เอาไปขายเป็นถังๆ กะโรงสี ถ้าไม่ใช้ตังค์ก็ไม่ขายข้าว เดี๋ยวนี้ทำนาไม่ได้กิน ทำไว้ขายหมด เวลากินก็ต้องไปเชื่อข้าวสารผ่อนส่ง หลวงปู่ถาม เขาบอกว่าเชื่อเป็นรอบๆ ค่าอาหารเครื่องใช้ไม้สอยแต่ละรอบก็ไปเชื่อกับร้านค้ามาก่อน สมมุติไข่สองบาทก็ราคาสองบาทห้าสิบ นี้คือชีวิตชาวนา ฟังแล้วน่าอนาถ ต่อไปนี้ไม่ได้แล้ว ยิ่งทำให้หลวงปู่เกิดความรู้สึก อยากให้พิมพ์เขียวชาวนาสำเร็จในวันนี้พรุ่งนี้

วันนี้ที่ไป ธกส. ไม่ได้ไปตบทรัพย์ แต่เพื่อบอกว่า ชาวนาเขาไม่ได้ตังค์ เพราะบริษัททั้งหลายกำลังจะมาหักหนี้ชาวนา แล้วธนาคารก็ได้เปอร์เซ็นต์จากหนี้ที่ได้หัก มีความสมัครสมานใจพร้อมจะให้หักหนี้จากเงินที่ ธกส. เขาส่งให้ วันนี้หลวงปู่เลยไปคาดคั้นกับ ผู้จัดการ ธกส. กิจการพิเศษว่า ถ้าใช้บัตรเครดิตเก่า เวลานี้ไปอยู่ที่พ่อค้าขายปุ๋ย เงินกู้ หมดแล้ว โอนไปเมื่อไหร่มันก็เบิกได้เพราะชาวนามอบฉันทะให้หมดแล้ว ก็โอนไปเพื่ออุดหนุนยาอุดหนุนปุ๋ย ชาวนาก็อดเหมือนเดิม ขอได้ไหม ปิด บัญชี เก่า เปิด บัญชีใหม่ แล้วเวลาโอนเข้าบัญชีใหม่ ทำได้ไหม เขาบอกว่าทำได้ แต่ยุ่งยากหน่อย ขอให้พี่น้องชาวนารีบไปแจ้งปิด บัญชีเก่า เปิด บัญชี ใหม่ ทุกคน เวลาธกส โอนมาก็เป็นของเราเต็มๆ ส่วนจะใช้หนี้เมื่อรัฐบาล จ่ายเงินใช้หนี้มาค่อยมาคุยกัน ไม่ได้สอนให้โกง ไม่ได้เบี้ยว ชักดาบ แต่ยังไม่ให้ เพราะจำเป็นต้องเลี้ยงลูก ครอบครัว ขอเอาไว้ก่อนนะจ๊ะ ขอให้เรามีกินพออยู่พอควรบ้าง ก็เรียกร้องบอกนายทุนเงินเชื่อ และบริษัทยักษ์ใหญ่ว่า อย่าทำร้ายชาวนานักเลย เขาจะแย่อยู่แล้ว ให้โอกาสให้เขาหายใจบ้าง แต่คงไม่มีวันข้างหน้าแล้ว เพราะจะผลักดันให้เกิดสภาชาวนาให้ได้ มีสภาชาวนาแล้ว เราจะขายข้าวด้วยตัวเราเอง เราจะมีธนาคารชาวนา และเงินทุนในธนาคาร สถานภาพของสภาชาวนาจะเป็นองค์กรอิสระ เหมือน ปปช กกต. มีกฏหมายของเราเอง เราจะออกกฏหมายที่ดิน จากพี่น้องที่มีที่ดินมากมาแบ่งให้เราบ้าง โดยขอซื้อในราคาตลาด ถ้าไม่ขายจะโดนภาษีในอัตราก้าวหน้า ที่สหรัฐใครมีที่รกร้างเจอภาษีสองเท่า ไม่มีใครเก็บตุนที่ดิน เศรษฐีทั้งหลายจึงหาทางตั้งมูลนิธิ เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ และภาษีมรดกของตน เพราะเขาไม่อยากให้คนเอาเปรียบกัน บ้านเรายังไม่มี ที่จริงเวลาที่มันจะนอนจริงๆ แค่ไม่กี่ศอกเท่านั้น เพราะฉะนั้นแบ่งมาหน่อยพี่น้องจ๋า ข้าราชการ นักการเมืองมันกล้าเขียนไหม เพราะฉะนั้นต้องเป็นชาวนาชาวไร่เท่านั้นที่จะเขียน เพราะพวกเขากว่าครึ่งประเทศยังไม่มีที่ดินทำกิน นี้คือสิ่งที่หลวงปู่ฝัน มันจะเป็นจริงได้ พี่น้องต้องออกมาๆ ๆ ๆ ๆ

เดี๋ยววันจันทร์เราจะเอาไปให้ปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วันต่อไปเราจะไปยื่นให้ รมต เกษตรฯ ให้รู้ว่านี้คือสิ่งที่คนในชาติต้องการ ช่วยตอบสนองที ลูกน้องจ๋า..เพราะเราเป็นนายเขา หรือ ใช้ภาษาพ่อขุนรามว่า ช่วยตอบสนองทีขี้ข้าจ๋า

อีกเรื่องหนึ่ง หลังจากที่ไปเปิดโปงสถานภาพ อีกสองอาทิตย์ จะมีคลื่นลูกใหญ่ถาโถมมาที่รัฐบาล คือ นาห้าแสนไร่ที่จะเก็บเกี่ยวจะไปขายใคร ใครจะมารับจำนำเขา จะมีคลื่นชาวนาอีกระลอก เพราะถ้าขายราคาถูกก็ไม่คุ้มค่าปุ๋ย ค่ายา ก็ต้องหาวิธีล่ะ พี่น้องชาวนาถ้าไม่รู้จะพึ่งใครมาเวทีแจ้งวัฒนะ เดี๋ยวหลวงปู่พาไปขาย วันนี้ที่พาไปได้เกวียนละ 8,000 บาท อย่างน้อยก็แพงกว่าโรงสี และเขาจะช่วยขายข้าวกองนั้นให้ ถ้ามีส่วนต่างเขาจะมอบให้อีก คบเวทีแจ้งวัฒนะมีแต่ได้กำไร

เราจะทำอย่างไร ข้าวอีกห้าแสนไร่ เดี๋ยวหาวิธีใหม่ อยากบอกพี่น้องชาวนาลูกหลานว่า เราปล่อยอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ ชาวเกษตรต้องตกระกำลำบาก เสียผ้าเหลือง อุตส่าห์ออกมาสู้ทั้งที ต้องมีอะไรให้กับคนในชาติบ้าง บอกว่าเสื้อแดงสู้ชนะ คนไทยก็ยังจน เสื้อเหลืองสู้ชนะคนไทยก็ยังจน แต่นักรบสีขาวเวทีแจ้งวัฒนะ ถ้าสู้ชนะ คนไทยทุกคนต้องรวยหมด ต้องใช้น้ำมันราคาถูก ส่งออกขายพืชผลเกษตรได้ด้วยตนเอง มีเงินบำนาญ รากเหง้าบรรพบุรุษจะยังอยู่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ มีแต่คนกลัวอาชีพนี้ แล้วจะเหลืออะไร ลูกหลานชาวนาก็ไปเป็นขี้ข้า ไปผ่อนรถ ติดโรคจากอุตสาหกรรม นาก็ไม่มีที่ทำกิน ตกอับ เหมือนเดิม ที่สุดของคนขายแรงงานก็ต้องกลับไปตายรังเหมือนเดิม วันสงกรานต์กลับบ้านกันไปเป็นแถว แทนที่อุตสาหกรรมจะไปหล่อเลี้ยงชาวนา สุดท้ายก็ต้องไปขอดก้นตุ่มเอาข้าวสารของตายายพ่อแม่ แล้วทำไปทำไม ตอนไปไม่เห็นแบกอะไรไป อีตอนมาแบกพะรุงพะรัง ไม่รู้ใครเลี้ยงใคร ชาวนาเลี้ยงอุตสาหกรรม มันเอาเงินไปกินหมดแล้ว เราต้องไปรีดนาทาเร้นเอาข้าวสาร กะปิ ปลาร้า น้ำปลามาเท่าที่จะขนได้ นี้คือความจริงในสังคมไทยที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอาชีพชาวนาพอที่จะเลี้ยงลูกหลานได้ แล้วทำไมเราไม่ทำอาชีพชาวนาให้เป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยคนไทยทุกคนเล่า

ไม่ได้..สู้ครังนี้ต้องให้ได้ หลวงปู่ปฏิญานว่า สู้ครัง้นี้ถ้าทำไม่ได้ยอมตายดีกว่า ไม่ได้..เป็นความฝันอันสุงสุดของชีวิต ออกมาจากวัดก็คือเรื่องชาวไร่ชาวนา เรื่องศีลธรรม ให้สังคมไทยมีคนที่มีศีลธรรมมารับใช้คนทั้งชาติ ไม่ใช่เป็นโจร มือปืน ทรราชมากอบโกย แล้วเราจนเหมือนเดิม แล้วคิดว่าต้องผลักดันให้น้ำมัน แก๊สราคาถูก

พรุ่งนี้ถ้าไปบอกปลัดพลังงานให้ลดราคาน้ำมันสูตรพิเศษทั้งหลายก็ลดได้ 6-7 บาทแล้ว สองสัปดาห์นี้ต้องทำ ต้องชนะแบบราชสีห์ ขู่คำรามให้ก้องปฐพี ชนะแบบหมูไม่เอา เสียท่า เสียฟอร์ม ต้องช่วยกัน

วันเสาร์นี้มีการเสวนาสภาคุณธรรมศีลธรรมแห่งชาติ บ่ายโมง อาคารบี ชั้นล่าง เชิญนักบวชศาสนา และพวกเราก็ช่วยเสนอสภาคุณธรรมศีลธรรมแห่งชาติ เราอยากให้นักการเมืองเป็นอย่างไร มีจิตสาธารณที่ช่วยเหลือสังคมในขั้นที่เท่าไหร่ แนะนำมา อยากให้ตำรวจทำหน้าที่อย่างไร คนไหนที่มันไม่มีศีลธรรมก็ส่งไปอยู่สามจังหวัดชายแดน ให้กลับมาเป็นนายร้อยปี๊บ คนไม่มีศีลธรรม

วันเสาร์นี้บ่ายโมงไปกัน อาคารที่กำนันสุเทพเคยเข้าไปอยู่ เตรียมเอาไว้ จะให้ครู มีศีลธรรมหน้าที่อย่างไร ศาล องค์กรอิสระ มีความรับผิดชอบอย่างไร

ส่วนวันอาทิตย์ บ่ายสองโมง หลวงปู่นัดพี่น้องชาวนามาเสวนาอีกรอบ เพราะมีธรรมนูญชาวนาแค่30 ข้อน่าจะยังไม่พอ แล้วจะขออาสาสมาชิกสภาเกษตรกรทั่วประเทศ จังหวัดละ 50 คน ทั้งหมดน่าจะมากกว่าสภาผู้แทนราษฎร ไปดูแลงานที่จะจัดให้ แต่ไม่เอาอาสาสมัคร เอาชาวนาอาชีพล้วนๆ จิตอาสาก็ไม่เอา มีสภาที่ปรึกษาได้ ต่อไปนี้เลิกพึ่ง ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น

(เปิดคลิปเทข้าวขายที่ ธกส.)

เอาข้าวจริงๆ ไปเท ว่าไม่ใช่แกลบนะจ๊ะ เราอยากทำกรณีศึกษาว่าแล้วอีกห้าแสนไร่ที่จะเกี่ยวอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าจะเอาไปทิ้งที่ไหน วันนี้เค่ 20 เกวียน ที่จริงวันนี้มีคนแนะนำว่าน่าจะไปสามพราน เพราะนายกไปประชุมที่โรงเรียนนายร้อยสามพราน แต่เอาอย่างนี้ดีกว่าขายได้แน่ๆ พี่น้องมุสลิมเขามาขอบใจผู้ใหญ่บ้านมาคุยกับหลววปู่ว่า เขาเห็นช่องทางออกแล้วว่าข้าวจะไปที่ไหน เดี๋ยวพาไปใหม่ หาที่ไปใหม่

เอาเป็นว่าวันนี้เราไปทำภารกิจให้พี่น้องชาวนา เอาหนังสือไปยื่นให้อธิบดี 6 กรม ไว้จะหาทางไปยื่นให้ปลัด กระทรวงเกษตร และ รมต. เกษตรฯ หนังสือนี้คือพิมพ์เขียวชาวนา

ส่วนอีกเรื่อง เป็นเรื่องส่วนตัว เจอหมายเรียกจาก ดีเอสไอ ธาริต เรียกไปฟังข้อหาก่อการซ่องสุมผู้คนเป็นกบฏ (เฮ)

ภูมิใจมากเลยได้เป็นกบฏกับทรราช แล้วเขานัดดีนะ ให้เราไปให้ปากคำที่ศรส. สโมสรตำรวจ วันที่ 21 มี.ค. เลย แต่ไม่ไปสโมสรตำรวจ บอกว่าจะไปให้ทำการดีเอสไอเลย ให้เขาทำหนังสือไปว่าเรายินดีจะไปให้ปากคำ ไม่เลื่อน และให้ความสะดวกจะไปที่ทำการตึกดีเอสไอ ไม่ใช่ ที่สโมสรตำรวจ แล้วเราจะประกันความปลอดภัยให้คุณเองไม่รู้จะกล้ามาหรือเปล่า หลวงปู่พุทธะอิสระยินดีให้คุณสอบไม่ว่าจะกี่วันกี่เดือน คุณต้องกล้าๆ หน่อย คุณต้องมาสอบที่นี่ที่ทำงานของคุณนี้เอาไปสอบที่สโมสร เขาเอาไว้ตีกอล์ฟ ตกปลา เป่ายิ้งฉุบไม่ใช่หรือ (ฮา) ส่งเสียงไปถึงธาริต คิดว่าเขาน่าจะดูอยู่
ทีกบฏแบ่งแยกดินแดนไม่เห็นธาริตออกหมายเรียกเลย เรายังไม่เคยประกาศแบ่งแยกดินแดนเลย ออกหมายเรียก ไม่รู้มันใช้สมองส่วนไหนคิด ไม่เป็นไร กงกรรมกงเกวียน เราไปทำเขาไว้เยอะ ยอมรับได้ ธาริตไม่ใช่คนฉลาด ดูโหงวเฮ้งแล้ว คนเราถ้ามีความหลงเป็นม่านบังตา ไม่มีทางที่จะเข้าถึงปัญญา ถ้ามันมีความโง่เป็นรากเหง้า มันไม่มีทางเอาสติปัญญามาแก้ปัญหา คงจะโดนเจ้านายสั่งมาว่า ไม่รู้จะทำอะไรบ้างหรือไง มีคนเขาบอกหลวงปู่ว่าธาริตเป็นคนรอบจัด ก็คอยดูว่าจะมีสักกี่รอบ

_____
ปุจฉา: จะศึกษาปฏิบัติภาวนาต้องมีครูอาจารย์หรือไม่
หลวงปู่: ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยมีใครสอนเรืองภาวนา สมัยเด็กๆ แม่พาไปฟังธรรมที่วัดบวรฯ ตอนนั้นอายุสัก 6-7 ขวบ ตอนนั้นสมเด็จพระสังฆราชยังเป็นเจ้าคุณศาสนโสภณ ยังหนุ่มๆ เลย ท่านสอนเรื่องสติปัฏฐาน 4 อานาปานสติ ฟังแล้วเพลิน จำอารมณ์ได้ ท่านสอนให้ดูลมหายใจ สี่โมงเย็นยังไม่ลุกจนแม่บอกว่าต้องไปบอกท่านเจ้าคุณศาสนโสภณ ให้มาปลุก
ท่านก็มากระซิบข้างหูว่า ไอ้หนูกลับมาได้แล้วเขาจะปิดโบสถ์แล้ว

มนุษย์นี้เป็นภาวะผู้พัฒนา เหมือนดอกบัวมีพัฒนาการของตัวเองได้ คือ โผล่ออกมาจากตม อยู่ในน้ำ ขึ้นมาเหนือน้ำ มีใครไปสอนดอกบัวไหมล่ะ แต่ทุกอย่างต้องสั่งสมอบรม กระบวนการนั้นคืออะไร เหมือนที่เราเหนื่อยๆ เพลียๆ ก็ถามตัวเองว่า ความเพลียมาจากไหน กายหรือ ใจ ก็พยายามวาง เดี๋ยวมันจะพาเราเปลี้ยไปทุกระบบ ต้องเข้าใจ สมัยเด็กๆ หลวงปูชอบฟังท่านเจ้าคุณโชดก และหลวงตาแพรเยื่อไม้ ท่านคุยกันก็หัวเราะเสียงดัง หลวงปู่ชอบฟังตอนเด็กๆ เพราะตายายชอบฟังนิทานธรรมะ ต้องสอน พวกเขียนคิ้ว เขียนตากระแดะ พอตอนโตมันเป็นของมันเองไม่ต้องสอน ปัญญา ความดี สำนึกต้องสอน สำนึก เป็นเรื่องของพ่อแม่ต้องสอน นี้คือหน้าที่พ่อแม่ วิชาครูสอน ความละอายชั่วกลัวบาป พระต้องสอน ส่วนเรื่องปัญญาพระพุทธเจ้าสอน

มนุษย์นี้มีหลายชนิด:

มนุษยสะเปรโต มนุษย์เหมือนดั่งเปรต เพราะกินภูเขาทั้งลูกไม่รู้จักอิ่ม กินเงินกู้หมื่นล้านมันก้ไม่อิ่มไม่พอ นี่จะสองล้านล้าน อีกแล้ว เปรต แปลว่าผู้พร่องเป็นนิจ เปรตสมัยก่อนกินบุญกินบาป แต่เปรตสมัยนี้มันกินข้าว กินรถไฟ กินหิน กินถนน
มนุษยสเปโตร คือผู้ที่หิวตลอดเวลา
มนุษเดรัจฉาโน คือ ผู้ขวางไป แถไป กูจะแบ่งประเทศล้านนา พอเขาจะจับก็บอกว่าไม่ได้ทำ พวกนี้ต้องบอกว่าพูดเหมือนลมตด ไม่มีหลักให้ยึดเป็นสัจจะวาจา หาสาระไม่ได้ คนที่เชื่อก็คือพวกเผ่าพันธุ์เดียวกัน เดรัจฉานจึงต้องตามกันไปเป็นฝูง
มนุษเทโว มนุษย์เหมือนเทวดา เป็นผู้ละอายชั่วกลัวบาป
มนุษโกโรโกโส อันนี้หลวงปู่ตั้งเอง คือพวกมนุษย์ที่เอาเป็นแก่นเป็นสาระไม่ได้
มนุษย์น้ำตาล โดนน้ำก็ละลายโดนร้อนโดนฝนไม่ได้ มีอยู่ทุกวัดในประเทศไทย อยู่ก็เลี้ยงเสียข้าวสุก


เส้นทางเดิน “ศรีสุข จันทรางศุ” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม

เส้นทางเดิน “ศรีสุข จันทรางศุ” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์11 มีนาคม 2557 09:54 น.
เส้นทางเดิน “ศรีสุข จันทรางศุ” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม
ศรีสุข จันทรางศุ
       “ศรีสุข จันทรางศุ” อดีตปลัดคมนาคมเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัย 70 ปี เมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ทิ้งผลงานหลากหลายไว้เบื้องหลัง ในฐานะอดีตข้าราชการที่แนบแน่นกับนักการเมือง โดยเฉพาะโครงการต่างๆ ในสนามบินสุวรรณภูมิที่ถูกครหาเรื่องความไม่โปร่งใส
      
       นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม อายุ 70 ปี ได้เสียชีวิตลงเมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มี.ค.ที่่ผ่านมา หลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็ง ญาติตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดธาตุทอง และมีกำหนดรดน้ำศพเวลา 16.00 น. วันนี้
      
       สำหรับประวัติ นายศรีสุข จันทรางศุ เกิดวันที่ 14 มกราคม 2487 เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมในปี 2543 สมัยรัฐบาลทักษิณ ทั้งยังเป็นอดีตประธานบอร์ดบริษัทท่าอากาศยานไทย และอดีตประธานบอร์ดบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพฯ แห่งใหม่ (บทม.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการก่อสร้าง และการบริหารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (หนองงูเห่า)
      
       หลังเกษียณอายุราชการ นายศรีสุขยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ในช่วงที่นายโสภณ ซารัมย์ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้แต่งตั้งนายศรีสุขเป็นประธานคณะทำงานฟื้นฟูพัฒนาโครงข่ายขนส่งทางอากาศ นอกจากนี้นายศรีสุขยังเป็นผู้ผลักดันให้ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงคมนาคมอีกด้วย
      
       ทั้งนี้ นายศรีสุข จันทรางศุ เคยเป็นผู้รับผิดชอบโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ และเคยมีเรื่องอื้อฉาวในการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งต่อมาได้เกิดจุดพลิกผันที่หลายคนไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นเมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ทำการยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นแหล่งขุมทรัพย์ในการคอร์รัปชันของนักการเมืองพรรคไทยรักไทยก็ตกเป็นเป้าการสาวไส้การทุจริตออกมาทันที โดยเฉพาะการตกเป็นหนึ่งในโครงการเร่งด่วนที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ชงเรื่องต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ชุดใหม่ที่ คปค.แต่งตั้งขึ้น
      
       เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นายศรีสุข จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพฯ แห่งใหม่ (บทม.) ผู้รับผิดชอบการก่อสร้างและการบริหารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจึงเกิดอาการอยู่ไม่ติดเก้าอี้ โดยเมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2549 ถึงกับรี่เข้าชี้แจงต่อ คตส.ในเรื่องการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ทั้งๆ ที่ทางคณะกรรมการ คตส.ยังไม่ได้เรียกนายศรีสุขให้เข้ามาชี้แจงแต่อย่างใด
      
       กว่า 40 ปีของชีวิตราชการกระทั่งเกษียณไปแล้ว ศรีสุข จันทรางศุ ถือเป็นผู้ทำหน้าที่สนองนโยบายข้าราชการการเมืองด้วยดีมาตลอด โดยเฉพาะกับตำแหน่งข้าราชการในกระทรวงคมนาคมที่มีโครงการขนาดนับแสนล้านบาทอันเป็นที่หมายปองของบริษัทเอกชน
      
       หลังจากจบการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธาเมื่อปี 2509 ศรีสุขก็เข้าทำงานเป็นนายช่างตรี กองสำรวจออกแบบ กรมทางหลวง จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทในสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ด้านการขนส่ง และเดินทางไปศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกด้านการวางแผนระบบขนส่ง ณ มหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา จนจบการศึกษาในปี 2516
      
       ด้วยความเป็นคนหนุ่มอายุแค่ 30 ปีต้นๆ มีความคล่องแคล่ว และมีความรู้ถึงระดับด็อกเตอร์ ประกอบกับ ดร.สิริลักขณ์ จันทรางศุ บิดาก็รับราชการในกระทรวงคมนาคม จนได้ระดับซีสูงสุดคือปลัดกระทรวงคมนาคมในช่วงปี 2510-2519 ศรีสุขจึงเป็นบุคคลที่จัดได้ว่ามีอนาคตดีในหน้าที่การงาน
      
       เมื่อกลับจากสหรัฐฯ ศรีสุขได้ปรับฐานะไปรับหน้าที่ในกองงานคณะกรรมการขนส่งและคมนาคม สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม จากนั้นในเวลาเพียง 7 ปีศรีสุขก็ก้าวไปถึงตำแหน่งผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจการขนส่งและคมนาคม สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
      
       บางคนมองว่าเป็นความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่รวดเร็วด้วยวัยหนุ่มฉกรรจ์ แต่ใครจะรู้ว่าตำแหน่งระดับนี้คงไม่สามารถเรียกได้ว่าสูงสุดสำหรับเขา แม้จะก้าวหน้าเร็วกว่าเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคน เพราะหลังจากนั้นเพียง 4 ปีศรีสุขก็เลื่อนขั้นแทบจะเรียกได้ว่าปีต่อปี จากผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคมชั้น 2 มาเป็นรองอธิบดีกรมการบินพาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ชั้น 1 และรองปลัดกระทรวงคมนาคม
      
       นายศรีสุขเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่ในกระทรวงคมนาคมมานาน และมีความสัมพันธ์กับข้าราชการมานาน ประกอบกับการผลักดันจากการเมือง และได้มีโอกาสเข้าช่วยเหลืองานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในต่างกรรมต่างวาระ ทำให้ศรีสุขสามารถชูบทบาทเด่นชัดให้กับเจ้ากระทรวงได้ไม่ยาก เป็นการปูทางให้ขึ้นสู่ระดับซีที่มากขึ้นในเวลาไม่นาน ว่ากันว่าดูเหมือนจะเด่นชัดที่สุดก็คือการเข้าไปช่วยเหลืองานรับใช้ใกล้ชิดกับ บรรหาร ศิลปอาชา ขณะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
      
       นายบรรหาร แม้จะปรับระดับการศึกษาของตนเองโดยศึกษาระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ความรู้ด้านภาษาอังกฤษก็ยังไม่คล่องแคล่วพอ เมื่อติดต่องานกับเจ้าหน้าที่ต่างประเทศบ่อยครั้งตามหน้าที่ก็ได้อาศัยรองปลัดกระทรวงคมนาคมอย่างศรีสุขเข้าช่วยเหลือทั้งด้านข้อมูลและล่ามแปล จนเรียกได้ว่าเป็นเงาตามตัวของบรรหารแทบจะตลอดเวลา
      
       แม้เมื่อบรรหารกลับจากการดูงานต่างประเทศ ศรีสุขซึ่งติดตามไปด้วยก็ยังได้ช่วยเหลือหิ้วถุงเหล้าจากร้านปลอดภาษีในสนามบิน จนเป็นที่ฮือฮาในหมู่ข้าราชการประจำที่ไปรับนายบรรหารขณะนั้น ถึงความเหมาะสมสำหรับข้าราชการประจำในการกระทำเช่นนี้
      
       ด้วยผลงานที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งเข้าตากรรมการ ก่อนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่นาน บรรหารก็ได้เสนอชื่อศรีสุขให้ขึ้นรับตำแหน่งอธิบดีกรมการบินพาณิชย์ด้วยวัยเพียง 44 ปี เมื่อปี 2531 หลังจากเป็นรองปลัดกระทรวงได้ประมาณ 1 ปี และนับเป็นก้าวย่างที่สำคัญของศรีสุขในการขึ้นสู่อำนาจระดับสูงที่สามารถตอบสนองผลงานกับรัฐมนตรีว่าการที่เป็นข้าราชการการเมือง
      
       นับจากวันนั้น ศรีสุขก็สร้างผลงานชิ้นใหญ่ที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ในยุคที่ธุรกิจการบินของประเทศกำลังก้าวเข้าสู่การพัฒนาครั้งยิ่งใหญ่ ในช่วงที่มนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีโครงการขนาดใหญ่ ที่กระทรวงเน้นการเข้าร่วมทุนกับภาคเอกชนอยู่หลายโครงการ ด้านกรมการบินพาณิชย์ก็ได้เสนอแนวคิดในการขุดซากของโครงการสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ขึ้นมา แน่นอนว่าสนามบินหนองงูเห่าเป็นหัวใจหลัก ด้วยนโยบายการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการบินพาณิชย์ระดับภูมิภาค เพราะอัตราการเติบโตของผู้โดยสารผ่านเข้าออกที่สนามบินดอนเมืองมีเพิ่มมากขึ้น โดยศักยภาพของสนามแห่งเก่านั้นไม่เพียงพอที่จะรองรับ
      
       การขยายการก่อสร้างครั้งใหม่ด้วยการจัดทำแผนแม่บทระยะยาวและจ้างบริษัทที่ปรึกษา มีการคัดเลือกบริษัท หลุยส์ เบอร์เจอร์ เข้ามาดำเนินการ ศรีสุขซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของการท่าอากาศยานฯ ร่วมในการคัดเลือก
      
       แม้จะมีข่าวว่า หลุยส์ เบอร์เจอร์ เป็นบริษัทที่อยู่ในบัญชีดำของธนาคารโลก แต่ศรีสุขเป็นผู้ออกมารับประกันว่าไม่มีปัญหา และหลุยส์ เบอร์เจอร์ ก็ได้รับการคัดเลือกไปอย่างลอยลำในการวางแผนพัฒนาและขยายการปรับปรุงท่าอากาศยานดอนเมือง
      
       ชะตาในกระทรวงคมนาคมของศรีสุขอยู่ในสภาวะขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้งเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว แต่เขาก็ถือว่าเป็นผู้ที่คลุกคลีกับ “หนองงูเห่า” ที่กลายเป็น “สุวรรณภูมิ” มาตั้งแต่ต้น
      
       เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยขึ้นมากุมอำนาจในการบริหารประเทศ ศรีสุขที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม และมีความสัมพันธ์กับคนในพรรคไทยรักไทยหลายคน เช่น นายทวี ไกรคุปต์ อดีต รมช.คมนาคม นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมว.คมนาคม จึงก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการคุมโครงการก่อสร้างสนามบินหนองงูเห่า โดยได้รับตำแหน่งสำคัญคือเป็นทั้งประธานกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย (ประธานบอร์ดทอท.) และประธานกรรมการบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (ประธานบอร์ด บทม.)
      
       นายศรีสุข ที่ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวงเคยมีข่าวอื้อฉาวว่าเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตโครงการก่อสร้างทางหลวงวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านใต้ (S1) จนถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเข้าตรวจสอบและชี้มูลความผิด เมื่อเข้ามารับผิดชอบโครงการสนามบินหนองงูเห่าก็กลายเป็นข้อต่อหลักผู้ดำเนินเรื่องให้มหากาพย์แห่งการคอร์รัปชันเรื่องนี้ดำเนินไปได้จนถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกรณีการจัดซื้อจัดจ้างชุดอุปกรณ์สำหรับตรวจสอบวัตถุระเบิดประจำท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ (CTX) การเปิดประมูลเพื่อคัดเลือกเอกชนดำเนินโครงการให้บริการระบบไฟฟ้าและระบบปรับอากาศ กรณีการจัดจ้างบริษัทรักษาความปลอดภัย การล็อกสเปกท่อร้อยสายไฟแอร์พอร์ตลิงก์ การล็อกสเปกสัมปทานให้กับบริษัท คิง เพาเวอร์ ฯลฯ
      
       โดยเฉพาะในกรณีซีทีเอ็กซ์ที่การดำเนินการสอบสวนการทุจริตโดย คตส.ดูจะคืบหน้าที่สุด เนื่องจากเรื่องนี้ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญสอบสวนและศึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตของวุฒิสภา ที่มี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ส.ว.กทม. เป็นประธาน ได้สรุปรายงานผลการสอบสวนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปลายปี 2548 แล้ว และได้ชี้ชัดว่านายศรีสุขเกี่ยวข้องกับกรณีการทุจริตดังกล่าว โดยมีความผิดตามกฎหมายหลายบท ต่างกรรมต่างวาระกัน ในการจัดซื้อ จัดจ้างชุดตรวจสอบวัตถุระเบิดของ บทม.
      
       การประกาศลาออกจากตำแหน่งของกรรมการบอร์ด ทอท.ยกชุด ซึ่งก็รวมถึงนายศรีสุขที่ดำรงตำแหน่งประธานด้วยนั้นถือเป็นจุดหักเหจุดแรกของนายศรีสุขเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับสนามบินสุวรรณภูมิจนถึงทุกวันนี้คือความไม่โปร่งใส่ในการก่อสร้างสนามบิน ทั้งการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ และก็ยังเงียบหายไปไม่มีความคืบหน้า แต่ผู้เกี่ยวข้องและเป็นผู้ถูกกล่าวหาอย่างนายศรีสุขก็ได้ลาโลกไปแล้ว มีแต่ซากความเสียหายที่ทิ้งไว้ในสนามบินสุวรรณภูมิ และยังไม่สามารถสืบสาวเรื่องราวหาคนผิดมารับผิดชอบในครั้งนี้ได้เลย